ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าผากและไรผม
การมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูปช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการมีไรผมที่ดกหนาทำให้ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

หน้าผาก ไรผม

เวลาที่เรานึกถึง การศัลยกรรม ตกแต่งเพื่อเสริมความงามบนใบหน้า อันดับแรกๆ ที่นึกถึงก็จะมีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ไล่ไปตั้งแต่เสริมจมูก ดวงตา ริมฝีปาก รูปหน้า รวมไปถึงการจัดการกับส่วนเกินต่างๆ เช่น เหนียงใต้คาง ถุงใต้ตา เป็นต้น แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะติดอันดับความนิยมในการศัลยกรรมด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือ ส่วนบริเวณ หน้าผาก ไรผม หากเป็นการแต่งหน้าแบบมืออาชีพจะมีการ Shading เพื่อสร้างกรอบหน้าตรงส่วนของหน้าผากและระบายสีเพิ่มความเข้มให้กับแนวไรผม เพราะการมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูป ไม่กว้างหรือแคบเกินไป

ช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญการมีไรผมที่ดกหนาเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์ที่หลายคนต้องการด้วย การทำศัลยกรรมบริเวณ หน้าผาก กับแนว ไรผม จึงคล้ายๆ กับการยืดผมถาวรหรือดัดขนตาถาวรนั่นเอง เมื่อผ่านงานศัลยกรรมไปแล้วก็ไม่ต้องใช้เมคอัพเข้ามาช่วย ประหยัดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งเป้าหมายหลักของการทำก็คือสร้างกรอบหน้าที่ดีที่สุดสำหรับคนๆ นั้นขึ้นมา ยิ่งถ้าได้รูปหน้าในอุดมคติซึ่งก็คือหน้ารูปไข่ก็ยิ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างที่สุดนั่นเอง

ผู้ที่เหมาะกับการศัลยกรรมหน้าผากและไรผม

อย่างแรกเลยก็ต้องเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจริงๆ หรือเป็นความต้องการที่มากขึ้นก็ตามแต่ เดี๋ยวเราจะเจาะไปทีละประเด็น ดังนี้

คนที่มีหน้าผากแบน : โดยปกติแล้วส่วนของ หน้าผาก เมื่อมองด้านข้างจะต้องเห็นเป็นเส้นโค้งนูนต่ำ ตั้งแต่แนว ไรผม มาจรดแนวคิ้ว ใครที่มีหน้าผากแบนก็จะทำให้ใบหน้าขาดมิติที่ดีไป มองแล้วไม่มีชีวิตชีวา ซ้ำร้ายถ้าเป็นหนักมากก็จะดูแข็งจนน่ากลัวไปเสียอีก การปรับแต่งด้วยการเสริมส่วนโค้งให้กับหน้าผากจึงเหมาะกับคนกลุ่มนี้

คนที่มีหน้าผากนูนมากไป : ไม่ใช่แค่คนที่ส่วนของ หน้าผาก แบนราบเท่านั้นที่มีปัญหา คนที่มีหน้าผากนูนโค้ง แต่มากเกินกว่าปกติก็ถือเป็นปัญหาด้วยเช่นเดียวกัน หลายคนกลายเป็นปมเนื่องจากถูกล้อเลียนบ่อยครั้งก็มี เพราะยังไงเสียหน้าผากนูนก็มองเห็นถึงความผิดปกติได้ง่ายกว่าหน้าผากแบน กรณีนี้ก็ต้องใช้การกรอหน้าผากส่วนเกินออกไป

คนที่มีหน้าผากแคบมากไป : คนที่มีหน้าผากแคบส่วนใหญ่ก็มาจากลักษณะทางพันธุกรรมนั่นเอง เราสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการเสริมหน้าผากเข้าไปเพิ่มด้วยหลากหลายวิธี แล้วแต่ว่าต้นทุนในส่วน หน้าผาก ของใครมีเท่าไร จะทำอย่างไรถึงจะคุ้มค่าและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากที่สุด

คนที่มีแนวไรผมอยู่สูงกว่าปกติ : อันนี้เป็นลักษณะที่มีมาตั้งแต่เกิด เมื่อ ไรผม อยู่สูงก็ทำให้ดูคล้ายคนศีรษะล้าน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้อยู่ดี โดยเฉพาะในผู้หญิง หากมีแนวไรผมอยู่สูงก็จะยิ่งสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้นจึงต้องแก้ไขด้วยการศัลยกรรมไรผมด้วยการปลูกผมเพิ่มอีกที่ด้านหน้า พร้อมกับการออกแบบแนวกรอบหน้าไปพร้อมกัน

คนที่มีปัญหาศีรษะล้าน : นี่เป็นอีกกรณีที่ต่างไปจากก่อนหน้านี้ เพราะเดิมทีมีผมดกดำดีอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีปัญหาเส้นผม ทำให้ผมเริ่มบางขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดด้านหน้าก็ไม่มีผมขึ้นมาให้เห็นอีกเลย แบบนี้การศัลยกรรม ไรผม ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่จะต้องไม่ใช่เป็นรูปแบบที่มีอาการหนักมาก เช่น ผมบางไปมากกว่าครึ่งศีรษะแล้ว แบบนั้นก็จะปลูกผมที่จริงจังมากกว่านี้ และต้องผ่านการวิเคราะห์กันก่อนด้วยว่าจะแก้สถานการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน

วิธีการศัลยกรรมหน้าผาก

เมื่อเจาะจงมาที่กรณีของการศัลยกรรม หน้าผาก แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในรูปแบบใดก็ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้เองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเลือกการศัลยกรรมในรูปแบบไหน จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจวิเคราะห์และแนะนำแนวทางที่เป็นไปได้เสียก่อน เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งรูปแบบของการศัลยกรรมหน้าผากก็มีหลากหลายวิธี ดังต่อไปนี้

1. เสริมหน้าผากด้วยการฉีดไขมัน : วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ใช้เวลาน้อยและไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมายนักก่อนการทำศัลยกรรม ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นตัวก็รวดเร็วด้วย เหมาะกับคนที่ไม่ได้มีส่วนเว้าของ หน้าผาก มากเท่าไรนัก กระบวนการจะเริ่มที่การดูดไขมันจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แล้วนำมาฉีดเข้าที่บริเวณหน้าผาก ข้อดีคือไม่มีอาการแพ้อย่างแน่นอน เพราะเป็นไขมันจากตัวผู้เข้ารับการรักษาเอง แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อยคือ มีโอกาสที่จะเกิดเป็นลอนคลื่นได้หากไขมันมีการจัดเรียงและสลายตัวไม่เท่ากัน ทำให้ต้องแก้ไขด้วยการทำซ้ำอีกเพื่อปรับให้หน้าผากเรียบสวย หลังจากฉีดแล้วก็อาจมีอาการบวมบ้างเล็กน้อย

2. เสริมหน้าผากด้วยการฉีดฟิลเลอร์ : ไม่ใช่แค่การลดเลือนริ้วรอยเท่านั้นที่เราใช้ประโยชน์จากฟิลเลอร์ การศัลยกรรม หน้าผาก เราก็ใช้ด้วยเหมือนกัน โดยจะเป็นสารฟิลเลอร์ประเภทที่มีความคล้ายกับคอลลาเจน เรียกว่า HA มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1 ปี มีข้อดีตรงที่ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก อาการบวมช้ำหลังการทำน้อยมาก หลายคนไม่ต้องพักฟื้นเลยหลังการทำ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติได้ทันที แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่าสาร HA นั้นมีอายุประมาณ 1 ปี ดังนั้นจึงต้องกลับมาเติมซ้ำเมื่อครบกำหนด และหากดูแลโดยผู้ที่ไม่ชำนาญพอก็จะทำให้เป็นลอนคลื่นได้เช่นเดียวกับการฉีดไขมัน นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะอุดตันหลอดเลือดบริเวณนั้นได้ด้วย

3. เสริมหน้าผากด้วยการผ่าตัดแล้วเสริมซิลิโคน : วิธีนี้แทบจะเป็นแนวทางพื้นฐานในงานด้านศัลยกรรมอยู่แล้ว เช่นเดียวกับการเสริมคางหรือเสริมจมูก วิธีการก็เริ่มจากตรวจสอบลักษณะของหน้าผากเดิม แล้วเทียบความเป็นไปได้กับหน้าผากใหม่ที่ต้องการ จากนั้นพิมพ์แบบซิลิโคน ซึ่งคล้ายคลึงกับการทำฟันปลอม ต้องใช้วัสดุปูนปลาสเตอร์เป็นต้นแบบ แล้วส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบต่อ ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ประมาณเกือบเดือนกว่าจะได้ซิลิโคนมา หลังจากนี้ก็เป็นกระบวนการผ่าตัด โดยตัดตามแนวคาดผมแล้วสอดซิลิโคนเข้าไป ข้อดีคือการันตีได้ว่า หน้าผาก ใหม่สวยได้รูปอย่างแน่นอน แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ต้องเตรียมตัวนาน แถมยังมีรอยแผลที่ต้องดูแลต่อไปอีก

4. เสริมหน้าผากด้วยการผ่าตัดแล้วเสริมซีเมนต์เทียม : กรณีนี้ฟังชื่อแล้วแอบน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะเราจะเคยชินว่าซีเมนต์นั้นเป็นของแข็งที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับการศัลยกรรมอวัยวะส่วนที่มีความอ่อนนิ่มได้ จริงๆ แล้วซีเมนต์เทียมที่ว่านี้ถูกใช้มาอย่างยาวนานแล้วในผู้ป่วยโรคสมอง ใครที่มีความจำเป็นต้องตัดกะโหลกบางส่วนออกไป ก็จะทดแทนด้วยการใส่ซีเมนต์เทียมเข้าไปนี่เอง ในส่วนของการศัลยกรรม หน้าผาก ก็จะผ่าตัดตามแนวคาดผมแล้วใส่ซีเมนต์เทียมเข้าไป แน่นอนว่าไม่ต้องรอเวลาก่อนการผ่าตัดนานเท่ากับการใช้ซิลิโคน แต่มีข้อเสียหลายอย่าง ตั้งแต่ทำการปรับผิวให้เรียบได้ยาก อาการบวมช้ำจากบาดแผลถือว่ามากที่สุด ในช่วงหลังๆ วิธีนี้จึงนิยมใช้เพื่อแก้งาน หรือใช้กับผู้ป่วยในอุบัติเหตุต่างๆ มากกว่าที่จะเป็นเรื่องความสวยความงาม

การศัลยกรรมหน้าผาก หรือศัลยกรรมไรผม ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขและระดับความปลอดภัยที่จะทำได้

การเตรียมตัวและขั้นตอนการผ่าตัด

เมื่อพิจารณาดูรูปแบบของการศัลยกรรมหน้าผากแล้ว หลายคนอาจจะเทใจไปที่การผ่าตัดมากกว่า ดังนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจเพิ่มเติมก่อนว่า หากเลือกแก้ปัญหาด้วยการผ่าตัดแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด : รายละเอียดของการเตรียมตัวก็จะคล้ายคลึงกับการผ่าตัดอื่นๆ ได้แก่ งดยาในกลุ่มลดการอักเสบ งดการทานอาหารเสริม วิตามิน และยาสมุนไพร วางแผนสำหรับระยะเวลาที่ต้องพักฟื้นเอาไว้ด้วย หากทำงานประจำก็ต้องมีแจ้งลางานอย่างน้อยประมาณ 6 วัน หากมีโรคประจำตัวอะไรให้รีบแจ้งแพทย์ผู้ดูแลเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดในระหว่างการผ่าตัด และสุดท้ายอย่าลืมมองหาคนดูแลในวันที่เข้ารับการผ่าตัดและช่วงแรกของการพักฟื้นด้วย

ขั้นตอนการผ่าตัด : เป็นการผ่าตัดที่จำเป็นต้องวางยาสลบ ดังนั้นจึงต้องงดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัด 6 ชั่วโมงขึ้นไป แนวของการกรีดเปิด หน้าผาก จะอยู่ห่างจาก ไรผม ไม่มากนัก และเป็นแนวกรีดช่วงสั้นๆ เพียงแค่ 3-4 เซนติเมตรเท่านั้น เมื่อใส่วัสดุเสริมเรียบร้อยก็เย็บปิด อาจมีอาการข้างเคียงจากยาสลบบ้างเล็กน้อย ซึ่งจะหายได้เองโดยธรรมชาติ

การมี หน้าผาก อันอวบอิ่มได้รูป ไม่กว้างหรือแคบเกินไป ช่วยเสริมหน้าผากให้มีมิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการมีไรผมที่ดกหนาเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์อีกด้วย

การศัลยกรรมไรผม

มาถึงส่วนของการศัลยกรรม ไรผม กันบ้าง หลังจากที่ผ่านการวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าสามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ด้วยการศัลยกรรมไรผมได้จริง ก็ต้องมาเลือกกันว่าสนใจการรักษารูปแบบไหน เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจากรูปแบบที่เลือกมีค่าสูงหรือต่ำแค่ไหน และคุ้มค่าไหมกับการลงทุนเพื่อรักษาในแต่ละครั้ง ซึ่งการศัลยกรรมไรผมก็มีให้เลือกหลากหลายวิธีไม่แพ้กับการศัลยกรรมหน้าผากเลยแม้แต่น้อย

1. เสริมส่วนไรผมด้วย FUE (Follicular Unit Extraction) : วิธีนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมมาก เพราะไม่ต้องผ่าตัดและไร้รอยแผลเป็น FUE คือการย้ายเซลล์รากผมของผู้เข้ารับการรักษาเอง จากบริเวณหนึ่งมาฝังรากลงที่หนังศีรษะอีกบริเวณหนึ่ง โดยส่วนใหญ่ก็จะใช้เซลล์รากผมจากท้ายทอย เนื่องจากเป็นโซนที่ผมจะมีสุขภาพแข็งแรงมากที่สุด ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีปัญหาในเรื่องเส้นผมหรือไม่ ทีมแพทย์จะใช้เข็มเจาะขนาดเล็ก เจาะลงไปในหนังศีรษะตรงท้ายทอย เพื่อเก็บเอาเซลล์รากผมออกมาเก็บไว้ แล้วปลูกลงไปใหม่ในบริเวณที่ต้องการด้วยเข็มเจาะขนาดเล็กเช่นเดิม หลังจากนั้นก็รอเวลาให้เซลล์ได้ฟื้นตัวและยึดติดกับหนังศีรษะ เส้นผมที่ปลูกลงไปใหม่ก็จะเติบโตได้เหมือนกับเส้นผมเส้นอื่นๆ วิธีนี้ค่อนข้างใช้เวลาในการทำพอสมควร เพราะเป็นงานที่ต้องการความประณีตสูงมาก หากคนทำไม่ชำนาญหรือไม่ใส่ใจมากพอ เซลล์รากผมก็จะเสียหาย ไม่สามารถใช้การได้ในทุกกรณี

2. เสริมส่วนไรผมด้วย FUT หรือ Strip Harvest Technique : นี่เป็นมาตรฐานการศัลยกรรมเกี่ยวกับการปลูกผม ซึ่งมีความยุ่งยากในการทำมากกว่าแบบแรก แต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในบ้านเราและในต่างประเทศ วิธีการก็คือใช้การตัดเอาชิ้นของหนังศีรษะที่มีเส้นผมแข็งแรงสมบูรณ์ดี มาปลูกใหม่ในพื้นที่ที่ต้องการ โดยรูปแบบการตัดจะกรีดเป็นเส้นบางๆ แล้วเอามาเรียงใหม่ทีละเส้น จากนั้นก็เพียงแค่รอเวลาให้เซลล์รากผมฟื้นตัวและกลับมาทำงานได้ตามปกติ หลังการทำจำเป็นต้องสวมผ้าคาดศีรษะเอาไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อป้องกันอาการบวมจากการอักเสบของศีรษะและใบหน้า การทำศัลยกรรมด้วย FUT หรือ Strip Harvest Technique จำเป็นอย่างมากที่จะต้องควบคุมดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดรอยแผลเป็นที่ไม่น่าดูเท่าไร และเส้นผมก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่เสียหายมากกว่าส่วนที่ใช้งานได้

หลักใหญ่ใจความของการศัลยกรรม ไรผม ก็จะเป็น FUE กับ FUT นี่เอง แต่ว่ายังมีการแบ่งแยกย่อยลงในอีกในแต่ละอัน เช่น การปลูกผมแบบ FUE ที่แบ่งเป็นแบบ Slit Grafts และแบบ Micro-Grafts เป็นต้น ดังนั้นถ้าต้องการรู้ลึกในรายละเอียดว่าทำอย่างไรได้บ้างก็ต้องปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละที่ เพราะเทคนิคเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของอุปกรณ์ในโรงพยาบาลนั้นๆ ด้วย

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นการศัลยกรรม หน้าผาก หรือศัลยกรรม ไรผม ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขและระดับความปลอดภัยที่จะทำได้ อย่าเห็นแก่ราคาค่ารักษาที่ถูกจนเกินไป เพราะผลที่ได้จะไม่คุ้มกับที่เสียไปอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.