เรื่องราวข่าวสารและความรู้

ความรู้เรื่องมะเร็ง

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องเบาหวาน

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องไขมันในหลอดเลือดและความดันโลหิต

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องภาวะโรคอ้วน

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องโรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องโรคสมองเสื่อม

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องตรวจเลือดและตรวจเช็คสุขภาพ

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องคุณค่าสารอาหาร

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องโภชนาการสำคัญที่ควรรู้

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

นิตยสารเพื่อสุขภาพ

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

เรื่องเล่าของฉัน

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องศัลยกรรมความงาม

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องความงามและผิวพรรณ

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องสมุนไพร

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องผักและผลไม้

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ความรู้เรื่องอาหารและขนม

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...

ข่าวสุขภาพ

ทำความรู้จัก ICSI หนึ่งในวิธีช่วยสานฝันให้คนอยากมีลูกเป็นจริง

0
การมีลูกคือความใฝ่ฝันของคู่รักหลายคู่ แต่บางครั้งเส้นทางสู่การมีบุตรอาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะมีอุปสรรคอย่างภาวะมีบุตรยากที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ทำให้ปัจจุบันหลายคนจึงหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่าง ICSI เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากขึ้น ICSI เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้คู่รักที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิ หรือปฏิสนธิตามธรรมชาติไม่สำเร็จสามารถมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ ICSI ให้มากขึ้นว่า ICSI คืออะไร เหมาะกับใคร และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจทำ สารบัญบทความ ICSI คืออะไร? ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ขั้นตอนการทำ ICSI มีอะไรบ้าง? ICSI ทางเลือกสำคัญที่ทำให้ฝันของคนอยากมีลูกเป็นจริง ICSI คืออะไร? Intracytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้วิธีฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง โดยวิธีนี้จะแตกต่างจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แบบดั้งเดิมตรงที่ไม่ปล่อยให้อสุจิเคลื่อนตัวไปปฏิสนธิกับไข่เอง แต่จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงภายใต้การดูกล้องจุลทรรศน์ เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำไข่ที่ปฏิสนธิมาเลี้ยงต่อในห้องปฏิบัติการจนกลายเป็นตัวอ่อน จากนั้นจะคัดเลือกตัวอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิง ถ้าหากตัวอ่อนฝังตัวได้สำเร็จ ก็จะนำไปสู่การตั้งครรภ์ต่อไป อิ๊กซี่ (ICSI) มักใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือปริมาณของอสุจิ เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย ตัวอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ รวมถึงกรณีที่ทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันการทำอิ๊กซี่ (ICSI) จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญของคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก และต้องการเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ข้อดีของ ICSI มีอะไรบ้าง? เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและถูกเลือกใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องอสุจิก็คือการทำ ICSI ด้วยเทคนิคการฉีดอสุจิที่คัดเลือกแล้วเข้าไปในไข่โดยตรง ทำให้ ICSI จึงกลายเป็นความหวังของคู่รักหลายคู่ที่อยากมีลูก นอกจากนี้การทำ ICSI ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจ ดังนี้ ช่วยแก้ปัญหาอสุจิผิดปกติ : เหมาะสำหรับกรณีที่อสุจิมีจำนวนน้อย เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ปฏิสนธิเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ : โดยการคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงและฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง จึงช่วยให้การปฏิสนธิมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าวิธีทั่วไป ใช้ไข่และอสุจิจำนวนน้อย : แม้จะมีไข่หรือตัวอสุจิเพียงไม่กี่เซลล์ ก็ยังสามารถทำ ICSI ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไข่หรือน้ำเชื้อน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกสำหรับคู่ที่ทำ IVF ไม่สำเร็จ : หากเคยผ่านการทำ IVF แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ การทำ ICSI อาจเป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์ได้ ICSI แตกต่างจาก IVF ทั่วไปอย่างไร? ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างการทำ ICSI และ IVF จะเป็นกระบวนการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเหมือนกัน แต่ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันบางอย่างในรายละเอียดสำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอนการผสมไข่กับอสุจิ ซึ่งความแตกต่างของการทำ ICSI กับ IVF มีดังนี้ วิธีการปฏิสนธิ การทำ IVF คือการปล่อยให้อสุจิเคลื่อนไหวเองเพื่อเข้าไปผสมกับไข่ในจานเลี้ยงเชื้อ การทำอิ๊กซี่คือการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดอสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง ช่วยเพิ่มโอกาสปฏิสนธิสำเร็จมากขึ้น เหมาะกับผู้มีปัญหาต่างกัน การทำ IVF เหมาะสำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากทั่วไป แต่อสุจิยังสามารถเคลื่อนไหวและปฏิสนธิได้เอง การทำอิ๊กซี่เหมาะกับกรณีที่ฝ่ายชายมีปัญหา เช่น อสุจิเคลื่อนไหวน้อย จำนวนอสุจิน้อย หรือรูปร่างผิดปกติ อัตราความสำเร็จ ICSI มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าในคู่ที่เคยทำ IVF แล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกรณีที่พบปัญหาเรื่องอสุจิ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกทำวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ICSI หรือ IVF คู่รักควรเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา และประเมินความเหมาะสมก่อนว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใดมากที่สุด ขั้นตอนการทำ...

แสงแดดรักษาแผลแม้แต่แผลเบาหวานขั้นรุนแรง

0
แสงแดด แสงแดด เป็น แสงแห่งพลังชีวิต ทำให้พืชเจริญเติมโตให้ดอกออกผล ทำให้มนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆมีร่างกายแข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีด้วยพลังวิตามินดีจากแสงแดด นอกจากนี้ แสงแดดช่วยรักษาแผล เพราะในแสงแดดมีรังสีแสงอุลตราไวโอเลตมีแสงยูวีซีที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรคได้ >> การดูแลผู้ป่วยเบาหวานทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> แสงแดดมีประโยชน์อย่างไร อยากรู้มาดูกันบทความนี้ค่ะ ผู้ป่วยโรคเบาหวานกับการเกิดแผลตามร่างกาย สำหรับคนปกติที่ไม่มีภาวะของโรคเบาหวาน การเกิดบาดแผลถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แค่ระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เมื่อระยะเวลาผ่านไปไม่นาน แผลตามส่วนต่างๆก็สามารถหายได้เองเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการเกิดบาดแผลขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเลย เนื่องจากหากเกิดขึ้นแล้ว แผลจะหายได้ยากกว่าคนปกติมาก ผู้ป่วยบางคนที่มีแผลเกิดขึ้นและไม่ได้ทำการรักษาอย่างดีเพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้แผลติดเชื้อ หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ในที่สุดก็อาจจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งเลย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยกลัวหรือตกใจมากนัก  เมื่อรู้ว่าตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีภาวะของโรคเบาหวานเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว เนื่องจากโรคนี้ไม่ได้อันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต ผู้ที่ป่วยยังคงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแค่ทานยาและ ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่ง แต่หลายคนก็อาจจะไม่ทราบว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโรคเบาหวานก็คือ ภาวะของอาการแทรกซ้อนต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเพียงพอ นอกจากอาการแทรกซ้อนยอดฮิตอย่าง โรคความดันสูง โรคไตวายแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานกลัว และต้องระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง สิ่งนั้นคือการเกิดบาดแผลขึ้นตามส่วนต่างๆในร่างกาย โรคปลายประสามเสื่อม ต้นเหตุของการเกิดบาดแผล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จะเป็นเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆขึ้น โดยโรคที่เจอบ่อยๆประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาท หรืออาจเรียกว่า โรคปลายประสามเสื่อม ซึ่งหากเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลักๆ ดังต่อไปนี้ ประสาทรับความรู้สึกเสื่อม ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสูญเสียการรับรู้ควาเจ็บปวด หรือความรู้สึกร้อนเย็นดังนั้นเมื่อมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บปวด แผลเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนแรก จึงเกิดการอักเสบลุกลามเป็นแผลขนาดใหญ่มากขึ้น ปลายประสาทควบคุมกล้ามเนื้อเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้อที่เท้าไม่อยู่ในสภาพสมดุล ปลายประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ระบบประสาทควบคุมการหลั่งของเหงื่อ การหดและขยายตัวของหลอดเลือดเสื่อมและเสียไป ผิวหนังจะมีอาการแห้งและแตกง่าย เส้นเลือดตีบจนถึงอุดตันในหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย ทำให้เกิดแผลที่เท้า เนื่องจากมีเนื้อเยื่อฉีกขาด แผลมักเกิดขึ้นได้ตามนิ้วเท้า ส้นเท้า ในผู้ป่วยบางรายแผลอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การโดนของมีคมบาด แผลจากการเกา ซึ่งแผลเล็กๆเหล่านี้ก็อาจจะกลายเป็นแผลลุกลามใหญ่โตขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุที่แผลหายช้าในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผลเกิดขึ้น จะทำการรักษาหายได้ยากกว่าแผลของคนปกติมาก เนื่องจาก เลือดไปเลี้ยงบริเวณแผลได้ไม่เพียงพอ เกิดภาวะเลือดหวาน จากการที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งภาวะที่เลือดมีน้ำตาลมากเช่นนี้กลายเป็นอาหารอย่างดีสำหรับเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงมากกว่า ที่เม็ดเลือดขาวจะป้องกันได้  แผลที่เกิดขึ้นจึงติดเชื้อได้ง่าย เกิดการลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง เหตุนี้จึงทำให้แผลของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หายยากกว่าคนปกติมาก  ความร้ายแรงของแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แผลที่เกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ดีเพียงพอ ก็มักจะเกิดความรุนแรงของแผลขึ้น  จนทำให้เนื้อเยื่อที่แผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น เรียกว่าเป็นแผลเนื้อเน่า ( Gangrene ) มีด้วย 2 ชนิด คือ แผลเนื้อเน่าแห้ง ( Dry Gangrene ) เนื้อแผลจะแห้งและมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อหรือแม้แต่ข้อหลุดออกมาได้ แผลเนื้อเน่าเปียก ( Wet Gangrene ) เป็นแผลเน่าและมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีของเหลวไหลออกจากแผลตลอดเวลา เป็นแผลชนิดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมาก หากแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เกิดการลุกลามมากขึ้น โดยที่แพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อได้ เมื่อเกิดการกระจายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยได้เลย ดังนั้นแพทย์ จึงจำเป็นจะต้องตัดอวัยวะที่เกิดบาดแผลทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ การรักษาแผลผู้ป่วยในโรคเบาหวาน การรักษาแผลที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น หากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วยพบเห็นบาดแผลเกิดขึ้นกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นแผลเล็กหรือใหญ่ ให้รีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งเอาไว้ เพื่อให้แผลหายเอง ที่สำคัญเรื่องความสะอาดต้องเน้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ  โดยเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะตรวจและวิเคราะห์  ถึงอาการของบาดแผลที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนในการรักษาต่อไป แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์พบว่า แสงแดดรักษาแผลได้ รวมทั้งแผลที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่หายได้ยากได้ แสงแดดรักษาแผลได้อย่างไร? การที่บาดแผลที่เกิดขึ้นจะหายได้เป็นปกตินั้น จะต้องเกิดการสมานกันของแผลเสียก่อน ซึ่งต้องอาศัยเซลล์และสารชีวเคมีของร่างกายหลายชนิดทำงานร่วมกัน เริ่มจาก การห้ามเลือดให้หยุดไหลโดยเกล็ดเลือด  หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะถูกส่งมาบริเวณบาดแผล เพื่อกำจัดสารและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการออกไป...