วิตามินเอ ( Vitamin A ) คืออะไร?

0
46578
วิตามินเอ (Vitamin A) คืออะไร?
วิตามินเอ ทำหน้าที่ช่วยเรื่องการมองเห็น การเจริญเติบโตของกระดูก ซึ่งละลายได้ในไขมัน
วิตามินเอ (Vitamin A) คืออะไร?
วิตามินเอ ทำหน้าที่ช่วยเรื่องการมองเห็น การเจริญเติบโตของกระดูก ซึ่งละลายได้ในไขมัน

วิตามินเอ (Vitamin A) คืออะไร?

วิตามินเอเป็นหนึ่งในวิตามินที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกาย แม้จะต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่กลับมีผลต่อระบบสำคัญหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การเจริญเติบโตของเซลล์ การสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงการบำรุงผิวพรรณและเยื่อบุผิวต่าง ๆ ให้แข็งแรง วิตามินเอยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร และยังเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการของทารกในครรภ์อีกด้วย

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับวิตามินเอในทุกมิติ ตั้งแต่บทบาทระดับโมเลกุล แหล่งอาหารตามธรรมชาติที่ควรรับประทาน ไปจนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับน้อยเกินไปหรือมากเกินพอดี พร้อมทั้งแนะแนวทางในการดูแลสุขภาพให้สมดุลด้วยวิตามินเออย่างมีสติและเหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากสารอาหารชนิดนี้ได้อย่างเต็มที่โดยไม่เสี่ยงต่อผลข้างเคียงในระยะยาว

หากพร้อมแล้ว ต่อไปเราจะเริ่มที่หัวข้อ “วิตามินเอคืออะไร? ความหมายและบทบาททางชีวภาพ” เพื่อปูพื้นความเข้าใจให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น หากคุณต้องการให้เริ่มตรงนี้ บอกได้เลยครับ

วิตามินเอคืออะไร? ความหมายและบทบาททางชีวภาพ

วิตามินเอ (Vitamin A) คือวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งหมายความว่าร่างกายสามารถเก็บสะสมไว้ในเนื้อเยื่อไขมันและตับได้ โดยไม่ต้องได้รับทุกวันในปริมาณสูงเหมือนวิตามินที่ละลายในน้ำ วิตามินเอเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะในกระบวนการเจริญเติบโต การทำงานของเซลล์ และการรักษาสภาพเยื่อบุผิวทั้งภายในและภายนอกร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ

ในเชิงชีวเคมี วิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการสร้างโปรตีนชื่อว่า โรดอปซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนในจอตาที่ช่วยให้เรามองเห็นในที่แสงน้อย การขาดวิตามินเอจึงอาจส่งผลต่อการมองเห็นโดยตรง เช่น ภาวะตาบอดกลางคืน นอกจากนี้วิตามินเอยังทำหน้าที่เป็น Transcription Regulator โดยอยู่ในรูปของ กรดเรติโนอิก (Retinoic Acid) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมการแสดงออกของยีนที่มีผลต่อการแบ่งตัวและเจริญเติบโตของเซลล์ เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ และเซลล์ภูมิคุ้มกัน

คุณสมบัติของวิตามินเอจึงครอบคลุมทั้งในระดับโมเลกุลไปจนถึงการทำงานจริงในร่างกาย หากร่างกายได้รับไม่เพียงพอ ย่อมส่งผลกระทบในหลายระบบพร้อมกัน โดยเฉพาะในเด็กที่อยู่ในช่วงเจริญเติบโต และผู้ใหญ่ที่ต้องการรักษาสุขภาพภูมิคุ้มกันให้สมบูรณ์

เมื่อเข้าใจคุณสมบัติพื้นฐานของวิตามินเอแล้ว คำถามถัดมาคือ วิตามินเอที่เราบริโภคจากอาหารมีรูปแบบใดบ้าง และแตกต่างกันอย่างไร? เราจะไปสำรวจต่อในหัวข้อถัดไป: “ประเภทของวิตามินเอ: รูปแบบต่างๆ และแหล่งที่มา” ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกอาหารอย่างเหมาะสมตามรูปแบบวิตามินแต่ละชนิด

ประเภทของวิตามินเอ: รูปแบบต่างๆ และแหล่งที่มา

วิตามินเอในอาหารมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ ที่แตกต่างกันทั้งในด้านแหล่งที่มาและประสิทธิภาพในการดูดซึมของร่างกาย ได้แก่ Preformed Vitamin A และ Provitamin A

Preformed Vitamin A หมายถึงวิตามินเอในรูปแบบที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที โดยอยู่ในรูปของ เรตินอล (Retinol) และ เรตินิลเอสเทอร์ (Retinyl Ester) มักพบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ตับ ไข่แดง นม เนย และปลาที่มีไขมัน วิตามินเอประเภทนี้มี Bioavailability สูง คือ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีและนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปลงเพิ่มเติม

ในขณะที่ Provitamin A โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นที่พบมากในพืช เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ ผักโขม และผักใบเขียวเข้ม ร่างกายต้องแปลงเบต้าแคโรทีนให้เป็นเรตินอลก่อนจึงจะใช้งานได้ กระบวนการนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ภาวะโภชนาการของแต่ละคน สภาวะลำไส้ และปริมาณไขมันในมื้ออาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ Bioavailability ของ Provitamin A ต่ำกว่ารูปแบบจากสัตว์อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม วิตามินเอจากพืชมักปลอดภัยกว่าในแง่ของการสะสม เพราะร่างกายสามารถควบคุมการแปลงเบต้าแคโรทีนได้ตามต้องการ จึงไม่ค่อยเกิดภาวะได้รับเกินเหมือนวิตามินเอจากสัตว์

ชนิดของวิตามินเอไม่เพียงมีแหล่งที่มาต่างกัน แต่ยังมีผลต่อการทำงานในร่างกายที่แตกต่าง เช่น วิตามินเอจากสัตว์จะมีบทบาทตรงต่อการมองเห็นมากกว่าชนิดจากพืช ซึ่งเราจะเจาะลึกในหัวข้อถัดไปว่าบทบาทนี้สำคัญอย่างไร และเกี่ยวข้องกับดวงตาของเราในระดับเซลล์อย่างไรบ้าง

วิตามินเอกับการมองเห็นและดวงตา

หากพูดถึงวิตามินเอ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการดูแลสายตา และนั่นก็ไม่ผิด เพราะวิตามินเอมีบทบาทพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการมองเห็น โดยเฉพาะในสภาวะแสงน้อย

วิตามินเอในรูปของ เรตินัล (Retinal) ทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบหลักของ โรโดปซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนในจอประสาทตาส่วนรับแสงที่เรียกว่า Rod cells โรโดปซินทำหน้าที่แปลงแสงที่เข้าสู่ตาให้กลายเป็นสัญญาณประสาทเพื่อส่งต่อไปยังสมอง การมีเรตินัลอย่างเพียงพอจึงเป็นหัวใจสำคัญในการมองเห็นภาพในที่มืดหรือในตอนกลางคืน

เมื่อร่างกายขาดวิตามินเอ กระบวนการสร้างโรโดปซินจะบกพร่อง ทำให้การรับรู้แสงผิดปกติ ซึ่งแสดงออกผ่านอาการที่เรียกว่า “ตาบอดกลางคืน” (Night blindness) คือมองเห็นได้ตามปกติในเวลากลางวัน แต่กลับมองอะไรไม่ชัดในความมืดหรือเมื่อมีแสงสลัว เป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่าร่างกายกำลังขาดวิตามินเอ

นอกจากผลที่ส่งตรงต่อดวงตา ยังมีข้อสังเกตว่าในผู้ที่มีปัญหาด้านการมองเห็น โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ มักพบความเกี่ยวโยงกับการบริโภควิตามินเอไม่เพียงพอในระยะยาวด้วยเช่นกัน

แม้ว่าบทบาทด้านสายตาจะเป็นที่รู้จักกันดี แต่จริงๆ แล้ว วิตามินเอยังมีอิทธิพลต่อระบบอื่นของร่างกายอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเราจะได้เห็นชัดเจนในหัวข้อถัดไปว่า วิตามินเอกำลังมีบทบาทมากกว่าที่หลายคนเคยเข้าใจ

วิตามินเอมีผลต่อภูมิคุ้มกันและการแบ่งเซลล์อย่างไร?

วิตามินเอไม่ได้ทำหน้าที่แค่ในเรื่องของการมองเห็นเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทลึกซึ้งต่อระบบภูมิคุ้มกันและการแบ่งเซลล์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการคงอยู่ของสุขภาพในระดับเซลล์และระดับระบบร่างกายโดยรวม

หนึ่งในบทบาทหลักของวิตามินเอคือ การกระตุ้นการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะ ลิมโฟไซต์ชนิด T และ B cells ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการตอบสนองต่อเชื้อโรค เมื่อร่างกายมีวิตามินเอในระดับที่เหมาะสม เซลล์ภูมิคุ้มกันจะสามารถจดจำและจัดการกับสิ่งแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน วิตามินเอยัง มีบทบาทในการควบคุมการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ และการพัฒนาอวัยวะในทารก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ หากขาดวิตามินเอในช่วงนี้ อาจส่งผลต่อความผิดปกติของการพัฒนาเนื้อเยื่อและอวัยวะในเด็กทารกได้

นอกจากนี้ มีงานวิจัยจำนวนมากที่พบว่า การมีระดับวิตามินเอที่เพียงพอสามารถช่วย ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อเฉียบพลัน เช่น โรคทางเดินหายใจและโรคท้องร่วงในเด็ก โดยวิตามินเอจะช่วยให้เยื่อบุทางเดินหายใจและเยื่อบุลำไส้มีความแข็งแรง ทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าไปในร่างกายได้ยากขึ้น

บทบาทเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า วิตามินเอคือปัจจัยที่เชื่อมโยงระหว่างระบบภูมิคุ้มกัน ระบบพัฒนาการ และระบบโครงสร้างเซลล์ทั้งหมดอย่างแน่นแฟ้น ไม่ใช่เพียงแค่วิตามินที่เกี่ยวกับตาอย่างที่เข้าใจกันทั่วไป

เมื่อวิตามินเอมีผลมากขนาดนี้ การขาดวิตามินเอย่อมสะท้อนผ่านอาการหรือโรคต่างๆ ที่เราควรสังเกตไว้ให้ทัน และในหัวข้อถัดไป เราจะมาดูกันว่าการขาดวิตามินเอจริง ๆ แล้วส่งผลอะไรต่อร่างกายบ้าง และควรระวังสัญญาณใดบ้างเป็นพิเศษ

ขาดวิตามินเอเกิดอะไรขึ้น? สัญญาณและความเสี่ยง

การขาดวิตามินเออาจไม่ได้แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข ก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพได้อย่างคาดไม่ถึง อาการต่างๆ ที่เกิดจากการขาดวิตามินเอไม่เพียงสะท้อนผ่านระบบเดียว แต่กระทบหลายระบบในร่างกายพร้อมกัน ซึ่งเราควรเรียนรู้เพื่อสังเกตตนเองและคนรอบข้างได้ทันเวลา

อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ ตาบอดกลางคืน (Night Blindness) ภาวะนี้เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถสร้างสาร “Rhodopsin” ได้เพียงพอ ซึ่งเป็นโปรตีนในจอตาที่ช่วยให้เรามองเห็นในที่มืด คนที่มีอาการนี้จะเริ่มมองเห็นลำบากเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัว

อีกอาการที่พบได้คือ แผลหายช้า และเยื่อบุผิวอักเสบง่าย วิตามินเอเป็นส่วนสำคัญในการดูแลเยื่อบุผิวและเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ดังนั้นการขาดวิตามินเอจะทำให้การสมานแผลช้าลง และผิวพรรณมักจะแห้งแตก ไม่สดใส

ระบบภูมิคุ้มกันเองก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย เมื่อขาดวิตามินเอ ร่างกายจะผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกันได้น้อยลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร เด็กที่มีภาวะขาดวิตามินเอจึงมีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อรุนแรง เช่น โรคหัด หรือโรคท้องร่วง ที่อาจพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิต

ในบางประเทศที่ขาดสารอาหารอย่างหนัก ภาวะขาดวิตามินเอยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการตาบอดถาวรในเด็ก และเป็นตัวชี้วัดระดับปัญหาทุพโภชนาการในระบบสาธารณสุขด้วย

ในทางตรงกันข้าม หากได้รับวิตามินเอมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี และอาจกลายเป็นพิษสะสมในตับได้ ดังนั้นในหัวข้อถัดไป เราจะไปต่อกันด้วยประเด็นสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม: อันตรายจากการได้รับวิตามินเอมากเกินความจำเป็น

วิตามินเอเกินทำให้เกิดโทษได้ไหม? ความเสี่ยงจากการได้รับมากเกิน

แม้ว่าวิตามินเอจะจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย แต่เนื่องจากมันเป็น วิตามินที่ละลายในไขมัน จึงสามารถสะสมในตับได้ หากได้รับในปริมาณที่สูงเกินความต้องการต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Hypervitaminosis A หรือภาวะพิษจากวิตามินเอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะในคนที่นิยมทานอาหารเสริมโดยไม่ปรึกษาแพทย์

อาการเบื้องต้นของการได้รับวิตามินเอมากเกินไปมักแสดงออกในรูปแบบ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ เวียนหัว เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย หากยังบริโภคต่อเนื่องโดยไม่ลดปริมาณ อาจลุกลามไปถึงระดับที่ทำให้เกิด ตับอักเสบหรือภาวะตับโต ซึ่งตรวจพบได้จากค่าเอนไซม์ตับที่สูงขึ้นในการตรวจเลือด

ในรายที่ได้รับมากเกินไปแบบเฉียบพลัน เช่น การรับวิตามินเอในรูปแบบเม็ดในขนาดหลายหมื่น IU ต่อวัน อาจมีอาการรุนแรงได้ภายในไม่กี่วัน เช่น ผิวลอก ปวดกระดูก หรือแม้กระทั่งกะโหลกร้าวในเด็กเล็ก จากการเพิ่มแรงดันในกะโหลกศีรษะ

หญิงตั้งครรภ์ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะการได้รับวิตามินเอเกินอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะหากเสริมวิตามินเอในขนาดสูงโดยไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ จึงแนะนำให้ใช้วิตามินที่ระบุชัดว่า “ปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์” เท่านั้น

จากรายงานของสถาบันการแพทย์สหรัฐฯ (Institute of Medicine) ปริมาณวิตามินเอสูงสุดที่รับได้ต่อวันโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียในผู้ใหญ่ทั่วไปคือ 3,000 ไมโครกรัม RAE (หรือประมาณ 10,000 IU) แต่ค่าที่เหมาะสมในแต่ละวัยจะแตกต่างกันไป

เราจึงควรรับวิตามินเอในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วแต่ช่วงวัยและสถานะสุขภาพ ซึ่งสามารถอ้างอิงได้จากค่าที่แนะนำ ในหัวข้อต่อไป เราจะมาดูกันว่าในแต่ละกลุ่มวัยควรได้รับวิตามินเอเท่าไรจึงจะพอดี และปลอดภัยต่อร่างกาย

ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำในแต่ละช่วงวัย

การได้รับวิตามินเออย่างเหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทั้งการขาดและการได้รับมากเกินไปต่างก็ส่งผลต่อสุขภาพได้ทั้งสิ้น โดยหน่วยงานสาธารณสุขอย่าง Institute of Medicine (IOM) และ กรมอนามัยแห่งชาติ ได้กำหนดค่าปริมาณที่แนะนำต่อวัน (Recommended Dietary Allowance: RDA) ตามช่วงวัยไว้ชัดเจน โดยวัดเป็น ไมโครกรัมของ RAE (Retinol Activity Equivalents) ซึ่งรวมค่าจากทั้งวิตามินเอที่ได้จากสัตว์และพืช

เด็ก

  • เด็กทารก (0–6 เดือน): 400 µg RAE/วัน

  • เด็กทารก (7–12 เดือน): 500 µg RAE/วัน

  • เด็กเล็ก (1–3 ปี): 300 µg RAE/วัน

  • เด็กวัยเรียน (4–8 ปี): 400 µg RAE/วัน

  • เด็กโต (9–13 ปี): 600 µg RAE/วัน

ในเด็ก กลไกการสะสมของวิตามินเอยังทำงานไม่เต็มที่ การได้รับเกินจากอาหารเสริมหรือยาจึงต้องระมัดระวังมากที่สุด โดยเฉพาะในช่วงอายุไม่เกิน 6 ปี

ผู้ใหญ่

  • ชายวัยผู้ใหญ่ (อายุ 14 ปีขึ้นไป): 900 µg RAE/วัน

  • หญิงวัยผู้ใหญ่ (อายุ 14 ปีขึ้นไป): 700 µg RAE/วัน

โดยทั่วไป ผู้ใหญ่ที่รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และมีผักผลไม้หลากสีอยู่ในมื้ออาหารมักได้รับเพียงพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสริมเพิ่มเติมเว้นแต่แพทย์แนะนำ

หญิงตั้งครรภ์

  • หญิงตั้งครรภ์อายุ 19 ปีขึ้นไป: 770 µg RAE/วัน

  • หญิงให้นมบุตร: 1,300 µg RAE/วัน

แม้ร่างกายจะต้องการวิตามินเอเพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์และให้นม แต่ ไม่ควรใช้วิตามินเอในรูปแบบเรตินอล (Retinol) หรืออาหารเสริมในขนาดสูง เพราะอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารก แนะนำให้เน้นการรับจากผักผลไม้สีส้ม–เขียวแทน

ผู้สูงอายุ

  • ชาย–หญิง อายุ 60 ปีขึ้นไป: ยังคงแนะนำที่ 700–900 µg RAE/วัน ตามเพศ

ในกลุ่มผู้สูงอายุ ร่างกายอาจดูดซึมวิตามินได้น้อยลง แต่การสะสมในตับยังเกิดได้ จึงยังไม่ควรเสริมเพิ่มโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาตับ หรือทานยาหลายชนิดอยู่แล้ว

แต่แม้เราจะรู้ปริมาณที่เหมาะสม การตัดสินใจเสริมวิตามินเอในรูปแบบอาหารเสริมหรือยาก็ยังต้องพิจารณาหลายแง่มุม โดยเฉพาะความจำเป็นทางคลินิก ประวัติสุขภาพ และรูปแบบวิตามินเอที่เลือกใช้ ซึ่งเราจะไปเจาะลึกในหัวข้อต่อไป

การเสริมวิตามินเอ: กลุ่มที่ควร–ไม่ควรใช้

การเสริมวิตามินเอไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน และไม่ควรถูกมองว่าเป็น “ทางลัดเพื่อสุขภาพ” เพราะหากใช้อย่างไม่เหมาะสมอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้นการพิจารณาเสริมวิตามินเอจึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของ วิจารณญาณเชิงสุขภาพ (health literacy) ที่มองทั้งความจำเป็นเฉพาะบุคคล รูปแบบของวิตามินเอ และความเสี่ยงต่อการได้รับเกิน

กลุ่มที่ควรเสริมวิตามินเอ

  1. เด็กเล็กในพื้นที่ที่มีภาวะขาดสารอาหารหรือขาดวิตามินเอเฉียบพลัน
    ในหลายประเทศกำลังพัฒนา เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีมักมีความเสี่ยงขาดวิตามินเอสูง การเสริมในรูปแบบโดสสูงภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จึงเป็นมาตรการระดับชุมชนเพื่อป้องกันตาบอดกลางคืนและภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  2. หญิงให้นมบุตรที่อยู่ในพื้นที่ขาดแคลนอาหาร
    หากแม่มีภาวะขาดวิตามินเอ น้ำนมที่ผลิตได้ก็จะมีปริมาณวิตามินเอต่ำ ซึ่งส่งผลถึงทารก การเสริมในช่วงให้นมอาจช่วยให้ทารกได้รับวิตามินเอทางอ้อมในปริมาณที่เพียงพอ
  3. ผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมไขมัน
    เช่น ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง ลำไส้สั้น หรือผู้ที่กินยากดการดูดซึมไขมันเป็นประจำ (เช่น ยาลดอ้วนกลุ่ม Orlistat) ซึ่งอาจจำเป็นต้องได้รับวิตามินเอในรูปแบบที่ดูดซึมง่ายขึ้นภายใต้การดูแลของแพทย์

กลุ่มที่ไม่ควรเสริมวิตามินเอ (หากไม่มีข้อบ่งชี้ทางคลินิก)

  1. คนทั่วไปที่รับประทานอาหารหลากหลาย
    ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และมีผักผลไม้สีสันสดเป็นประจำมักได้รับวิตามินเอเพียงพออยู่แล้ว การเสริมเพิ่มเติมอาจนำไปสู่การสะสมในตับและเกิดพิษโดยไม่จำเป็น
  2. หญิงตั้งครรภ์ (โดยเฉพาะไตรมาสแรก)
    การได้รับวิตามินเอในรูปแบบเรตินอลหรือเรตินิลเอสเทอร์เกิน 3,000 µg RAE/วัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์ จึงไม่ควรเสริมเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  3. ผู้ที่กินอาหารเสริมหลายชนิดซ้อนกัน
    วิตามินเอมักแฝงอยู่ในอาหารเสริมรวมหลายยี่ห้อ เช่น วิตามินรวม วิตามินผิว หรือยาเสริมสายตา การใช้หลายชนิดพร้อมกันอาจทำให้ได้รับเกินโดยไม่รู้ตัว

ท้ายที่สุด การเข้าใจวิตามินเอไม่ใช่แค่เรื่องอาหารหรือยา แต่เป็นการตัดสินใจในชีวิตประจำวันที่ส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพของคุณ การเลือกเสริมวิตามินเอจึงควรเริ่มจากการประเมินความจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่เพียงเพราะ “มีคนบอกว่าดี” และควรอยู่ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเสมอ

สรุป: วิตามินเอมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด

วิตามินเอไม่ใช่แค่วิตามินที่เกี่ยวข้องกับสายตาอย่างที่หลายคนเข้าใจเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทเชิงลึกต่อระบบภูมิคุ้มกัน การเจริญเติบโตของเซลล์ การทำงานของยีน และกระบวนการฟื้นฟูเนื้อเยื่อทั่วทั้งร่างกาย ตั้งแต่ผิวหนังไปจนถึงอวัยวะภายใน แม้จะเป็นสารอาหารที่ต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ความสมดุลในการได้รับกลับส่งผลอย่างมากต่อสุขภาพโดยรวม

การดูแลวิตามินเออย่างเหมาะสมไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาหารเสริมหรือยาในทุกกรณี แต่อยู่ที่การเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลาย มีผักผลไม้สีส้ม–เหลือง เช่น แครอท ฟักทอง มะละกอ และอาหารจำพวกเครื่องใน ตับ ไข่ นม ที่เป็นแหล่งวิตามินเอโดยตรงอย่างเหมาะสม

สิ่งสำคัญคือ “ทางสายกลาง” – ไม่ขาด และไม่เกิน เพราะทั้งสองสุดขั้วต่างก็นำไปสู่ผลเสียที่สะสมในระยะยาวได้ทั้งคู่

ดังนั้น หากคุณกำลังเริ่มดูแลสุขภาพ การรู้จักและให้ความสำคัญกับวิตามินเอ คือหนึ่งในก้าวเล็กๆ ที่มีผลลัพธ์ใหญ่ต่อทั้งการมองเห็น ภูมิคุ้มกัน และคุณภาพชีวิตโดยรวมในระยะยาว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Holmes PD (1971). “The production of experimental vitamin A deficiency in rats and mice”. Laboratory Animals. 5 (2): 239–50. 

Van Beek ME, Meistrich ML (1991). “Spermatogenesis in retinol-deficient rats maintained on retinoic acid”. Journal of Reproduction and Fertility. 

Fuchs E, Green H (1981). “Regulation of terminal differentiation of cultured human keratinocytes by vitamin A”. Cell. 25 

Nelson AM, Zhao W, Gilliland KL, Zaenglein AL, Liu W, Thiboutot DM (2008). “Neutrophil gelatinase–associated lipocalin mediates 13-cis retinoic acid–induced apoptosis of human sebaceous gland cells”. The Journal of Clinical Investigation. 118 (4): 1468–1478. PMC 2262030 Freely accessible.