
Liver Function Test คืออะไร? การตรวจค่าการทำงานของตับและแนวทางแปลผล
เวลาพูดถึงอวัยวะสำคัญในร่างกาย หลายคนอาจนึกถึงหัวใจหรือสมองก่อน แต่จริง ๆ แล้ว “ตับ” ก็เป็นอีกหนึ่งด่านสำคัญที่ทำงานหนักไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในเรื่อง การเผาผลาญอาหาร สังเคราะห์โปรตีน และล้างสารพิษ ต่าง ๆ ที่เรารับเข้ามาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นจากอาหาร ยา หรือแอลกอฮอล์ ตับจะคอยกรอง ดูดซึม แปลง และขับออกแบบเงียบ ๆ โดยที่เราแทบไม่รู้ตัว
แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อตับเริ่มทำงานผิดปกติ เรามักจะไม่รู้ในทันที เพราะอาการมักแสดงออกช้าหรือไม่ชัดเจน จนบางครั้งกว่าจะรู้ตัวก็เข้าสู่ภาวะเรื้อรังหรือรุนแรงแล้ว
นี่แหละครับที่ทำให้การตรวจ Liver Function Test หรือที่เรียกย่อว่า LFTs เข้ามามีบทบาท LFT ไม่ใช่การตรวจแค่ค่าตัวเดียว แต่เป็นการตรวจเลือดหลายค่า ที่แต่ละค่าก็มีหน้าที่เฉพาะ ช่วยให้เรารู้ได้ว่า “ตับยังโอเคอยู่ไหม?” “มีสัญญาณอักเสบเรื้อรังหรือเปล่า?” หรือแม้แต่ “การใช้ยาบางชนิดส่งผลต่อตับไหม?”
คำถามสำคัญคือ — ถ้าผลตรวจ LFT ออกมา คุณจะดูเป็นไหม?
ค่าตับแบบไหนที่บอกว่าเริ่มน่าเป็นห่วง? แล้วค่าปกติของคนทั่วไปควรอยู่ตรงไหน?
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกแบบเข้าใจง่าย ตั้งแต่พื้นฐานของการตรวจ LFT → ค่าที่ควรรู้ → ค่าปกติ → สาเหตุค่าผิดปกติ → ไปจนถึงวิธีดูแลตัวเองหลังรู้ผล เพื่อให้คุณใช้ข้อมูลนี้ดูแลตับของตัวเองได้อย่างเข้าใจจริง
ทำความรู้จัก Liver Function Test (LFT) เบื้องต้น
การตรวจค่าการทำงานของตับ หรือที่หลายคนคุ้นในชื่อ Liver Function Test (LFT) คือจุดเริ่มต้นสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบไม่ต้องรอให้ป่วยก่อน ถึงแม้คุณจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย การตรวจนี้ก็ช่วยให้เห็นล่วงหน้าได้ว่า “ตับของคุณกำลังทำงานอย่างราบรื่นหรือเริ่มมีสัญญาณที่น่ากังวล”
LFT ไม่ได้บอกแค่ “เป็นโรคตับหรือเปล่า” แต่มันบอกได้ลึกกว่านั้น เช่น การอักเสบจากแอลกอฮอล์ ยาที่ใช้อยู่ หรือแม้แต่โรคอื่นที่ส่งผลต่อตับแบบทางอ้อมก็ยังตรวจเจอได้ บางคนรู้ว่าค่าตับสูงจากการตรวจนี้ก่อนจะมีอาการจริงเสียอีก
ลองมาเริ่มจากคำถามง่าย ๆ แต่สำคัญที่สุดกันก่อนเลยว่า…
Liver Function Test คืออะไร
Liver Function Test (LFT) คือชุดการตรวจเลือดที่วิเคราะห์ค่าเคมีต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของตับ โดยเฉพาะในเรื่อง:
- การสังเคราะห์โปรตีน (เช่น Albumin)
- การกำจัดของเสีย (เช่น Bilirubin)
- การอักเสบหรือการทำลายเซลล์ตับ (เช่น AST, ALT)
- ความสามารถในการช่วยให้เลือดแข็งตัว (เช่น Prothrombin Time – PT)
พูดง่าย ๆ ก็คือ LFT เป็นเหมือน “กระจกสะท้อนสภาพตับ” ว่าตอนนี้ยังแข็งแรงดีหรือมีร่องรอยอะไรบางอย่างที่ควรจับตาดู จุดเด่นคือ LFT ไม่ใช่แค่ตัวเลขเดียว แต่เป็นหลายค่า รวมกันเป็นภาพใหญ่ให้แพทย์ประเมินสุขภาพตับในหลายแง่มุม
ทำไมต้องตรวจ LFT?
เหตุผลหลักที่ต้องตรวจ LFT ไม่ใช่แค่เพราะสงสัยว่าตับมีปัญหา แต่ยังใช้เพื่อ:
- คัดกรองโรคตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ: โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น คนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ใช้ยาระยะยาว หรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคตับ
- วินิจฉัยโรค: เช่น ไวรัสตับอักเสบ, ตับแข็ง, มะเร็งตับ, หรือโรคทางเดินน้ำดี
- ติดตามผลการรักษา: คนที่มีโรคตับอยู่แล้ว แพทย์มักสั่ง LFT เป็นระยะเพื่อตรวจว่าการรักษาได้ผลหรือไม่ ตับฟื้นตัวมากน้อยแค่ไหน
- ประเมินผลข้างเคียงจากการใช้ยา: ยาบางตัวโดยเฉพาะยาเคมีบำบัด ยาแก้อักเสบบางชนิด หรือสมุนไพรบางอย่าง อาจมีผลต่อตับโดยไม่รู้ตัว
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ LFT เป็นเหมือน “ตัวช่วยเฝ้าระวังเงียบ ๆ” ให้คุณรู้เท่าทันตับของตัวเอง
ตรวจ LFT ได้เมื่อใดบ้าง?
การตรวจ LFT ไม่ได้จำกัดแค่ตอนป่วยเท่านั้น จริง ๆ แล้วมีหลายกรณีที่ควรพิจารณาตรวจ:
- เมื่อแพทย์สั่ง: เช่น หากมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดชายโครงขวา หรือค่าตับผิดปกติจากการตรวจครั้งก่อน
- ตอนตรวจสุขภาพประจำปี: โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มสุรา ใช้ยาระยะยาว มีโรคประจำตัว หรือมีภาวะน้ำหนักเกิน
- เมื่อสงสัยว่าตับเริ่มมีปัญหา: เช่น เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อาเจียนบ่อย หรือปัสสาวะเข้มผิดปกติ
สิ่งที่น่าสนใจคือ คนจำนวนมากตรวจ LFT แล้วพบค่าผิดปกติแบบไม่รู้ตัวมาก่อนเลย การตรวจล่วงหน้าแบบนี้จึงเป็นการ “ซื้อเวลาให้ร่างกาย” ในการปรับตัวก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม
ค่าที่ตรวจใน Liver Function Test มีอะไรบ้าง?
LFT ไม่ได้เป็นแค่ “การตรวจค่าตับ” แบบรวม ๆ แต่จริง ๆ แล้ว มันประกอบด้วยค่าหลัก ๆ ที่แบ่งตามหน้าที่ของตับแต่ละด้าน ทั้งด้านการทำงานภายในเซลล์, การสร้างโปรตีน, การขับของเสีย และแม้แต่การผลิตโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด ซึ่งทุกค่าที่ตรวจมีความหมายเฉพาะในตัวมันเอง
เพื่อให้เข้าใจง่าย เราแยกค่า LFT ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ตามฟังก์ชันของตับ ดังนี้:
ค่าการทำงานของตับโดยตรง (เช่น AST, ALT)
ค่า AST (Aspartate Aminotransferase) และ ALT (Alanine Aminotransferase) คือหัวใจสำคัญของการดูว่า “เซลล์ตับอักเสบหรือถูกทำลายหรือไม่” สองค่านี้จะอยู่ภายในเซลล์ตับ ถ้าเซลล์ตับโดนทำร้ายหรืออักเสบ ค่าพวกนี้จะรั่วออกมาสู่กระแสเลือด ทำให้ตรวจพบว่า “สูงกว่าปกติ”
โดยทั่วไป:
- ALT มักจะไวและเฉพาะกับตับมากกว่า
- AST เจอในหลายอวัยวะ เช่น หัวใจ กล้ามเนื้อ แต่ถ้าสูงร่วมกับ ALT ก็มีแนวโน้มเกี่ยวกับตับแน่ ๆ
ค่าทั้งสองนี้ใช้บอกภาวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบจากไวรัส, พิษจากแอลกอฮอล์, ผลข้างเคียงจากยา หรือแม้แต่การอุดตันของท่อน้ำดีในระยะเริ่มต้น
ค่าการสร้างโปรตีน (Albumin, Total Protein)
หนึ่งในหน้าที่หลักของตับคือการสังเคราะห์โปรตีนที่จำเป็นในร่างกาย โดยเฉพาะ Albumin ซึ่งทำหน้าที่รักษาความดันออสโมติกของเลือด และช่วยพาสารต่าง ๆ ในร่างกายให้ไหลเวียนได้ดี
- Albumin ต่ำ อาจบ่งชี้ว่าตับเริ่มทำงานผิดปกติ หรือมีโรคเรื้อรัง
- Total Protein คือผลรวมของ Albumin + Globulin ใช้ดูความสมดุลของโปรตีนในร่างกาย
หากค่าพวกนี้ต่ำในขณะที่ AST/ALT ยังปกติ อาจแปลว่าตับเสื่อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่แค่อักเสบเฉียบพลัน ซึ่งเป็นอีกคนละมุมที่ช่วยให้แพทย์มองภาพรวมได้ชัดขึ้น
ค่าการขับของเสีย (Bilirubin, ALP, GGT)
ในบรรดาของเสียที่ร่างกายต้องจัดการ “Bilirubin” คือสารสีเหลืองที่ได้จากการสลายเม็ดเลือดแดงเก่า ๆ โดยปกติแล้วตับจะเปลี่ยนมันให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้และขับออกทางน้ำดี แต่ถ้าค่าสูงเกินไป นั่นอาจหมายถึง “ตับขับไม่ทัน” หรือ “ท่อน้ำดีอุดตัน”
นอกจากนี้ยังมี:
- ALP (Alkaline Phosphatase) และ
- GGT (Gamma-Glutamyl Transferase)
สองค่านี้มักใช้จับคู่กันดู “ปัญหาที่เกี่ยวกับท่อน้ำดี” ถ้า ALP สูง แต่ GGT ปกติ อาจเป็นจากกระดูก แต่ถ้าทั้งคู่สูงพร้อมกัน มักจะเป็นปัญหาที่ระบบทางเดินน้ำดีหรือตับเองโดยตรง
ค่าการแข็งตัวของเลือด (Prothrombin Time – PT/INR)
ตับยังเป็นโรงงานผลิต “โปรตีนช่วยให้เลือดแข็งตัว” โดยเฉพาะกลุ่มโปรตีนที่ทำให้เลือดหยุดไหลเมื่อมีบาดแผล ค่า PT (Prothrombin Time) และ INR (International Normalized Ratio) ใช้วัดระยะเวลาที่เลือดใช้ในการแข็งตัว
- ถ้า PT/INR ยาวกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณว่า “ตับเริ่มผลิตโปรตีนได้ไม่ดี”
- บางครั้งใช้คู่กับค่า Albumin เพื่อดูภาพของตับเรื้อรังแบบระยะลุกลาม
ค่าชุดนี้จึงสำคัญอย่างมากในกรณีผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังระยะกลางถึงรุนแรง หรือก่อนเข้ารับการผ่าตัด ทุกค่าที่อยู่ใน LFT ไม่ได้ยืนโดด ๆ แยกกัน แต่ต้องใช้ร่วมกันเพื่อประเมิน “สุขภาพตับแบบองค์รวม” แพทย์จะใช้การอ่านค่าแบบเทียบกันเป็นคู่ ๆ หรือดูเป็นชุด เพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำและครอบคลุมที่สุด
ค่าปกติของ Liver Function Test อยู่ที่เท่าใด?
หลังจากเข้าใจแล้วว่าแต่ละค่าที่อยู่ใน Liver Function Test (LFT) สะท้อนอะไรเกี่ยวกับตับ คราวนี้ก็ถึงคำถามสำคัญว่า… “แล้วค่าเท่าไหร่ถึงเรียกว่าปกติ?”
ต้องบอกก่อนว่า ค่าใน LFT ไม่ใช่ค่าคงที่แบบตายตัวเป๊ะ ๆ เพราะอาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น เครื่องมือของแล็บแต่ละแห่ง เวลาที่เจาะเลือด หรือแม้แต่พฤติกรรมก่อนเข้าตรวจของเราเอง แต่โดยทั่วไปแล้ว ก็มีช่วงค่ามาตรฐานที่สามารถใช้เป็นแนวทางได้ ซึ่งใช้กันทั่วโลกในการประเมินสุขภาพตับ
ตารางแสดงค่าปกติ (อัปเดตตามมาตรฐานสากล)
ด้านล่างคือตารางรวมค่ามาตรฐานของการตรวจ LFT ตามข้อมูลจากห้องแล็บส่วนใหญ่และหน่วยงานทางการแพทย์ โดยใช้หน่วย U/L (หน่วยต่อเลือด 1 ลิตร) หรือ g/dL ตามชนิดของการตรวจ:
รายการตรวจ (Test Name) | ค่าปกติทั่วไป (Reference Range) |
AST (Aspartate Aminotransferase) | 10 – 40 U/L |
ALT (Alanine Aminotransferase) | 7 – 56 U/L |
ALP (Alkaline Phosphatase) | 44 – 147 U/L |
GGT (Gamma-Glutamyl Transferase) | 9 – 48 U/L |
Total Bilirubin | 0.1 – 1.2 mg/dL |
Albumin | 3.4 – 5.4 g/dL |
Prothrombin Time (PT) | 11 – 13.5 วินาที (seconds) |
INR (International Normalized Ratio) | 0.8 – 1.1 |
หมายเหตุ: ช่วงค่าอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามมาตรฐานของแต่ละแล็บ และลักษณะเฉพาะของผู้รับการตรวจ เช่น อายุ เพศ หรือโรคประจำตัวบางอย่าง
สิ่งที่อาจทำให้ค่าคลาดเคลื่อน
บางครั้งผลตรวจ LFT อาจ “เพี้ยน” ไปจากความเป็นจริง ไม่ได้หมายความว่าตับมีปัญหาเสมอไป ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมหรือสภาวะที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ เช่น:
- เวลาในการเจาะเลือด: ค่าบางตัว เช่น Bilirubin หรือ ALT อาจเปลี่ยนไปตามเวลาในรอบวัน ถ้าตรวจช่วงเช้า–บ่าย ค่าก็อาจต่างกันได้เล็กน้อย
- การอดอาหารก่อนตรวจ: การกินอาหารมันจัด หรือไม่ได้งดอาหารตามที่แนะนำ อาจทำให้ค่า ALP หรือ GGT สูงขึ้นแบบชั่วคราว
- ยาหรืออาหารเสริมบางชนิด: ยาลดไขมัน, ยาพาราเซตามอล, สมุนไพร หรือแม้แต่วิตามินบางชนิด สามารถมีผลต่อค่าตับได้โดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น การเตรียมตัวก่อนตรวจมีผลอย่างมาก และควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหากมีการใช้ยาหรืออาหารเสริมใด ๆ อยู่
ความแตกต่างเล็กน้อยในค่าปกติระหว่างแล็บ
เรื่องนี้หลายคนอาจไม่เคยสังเกต — ผลตรวจจากโรงพยาบาล A อาจแสดงค่า ALT สูงกว่าโรงพยาบาล B ทั้งที่ร่างกายไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย ความต่างนี้เกิดจาก เครื่องมือวัดและวิธีวิเคราะห์ (Assay Methods) ที่แต่ละแล็บใช้ ซึ่งอาจใช้ชุดตรวจจากคนละบริษัทหรือมาตรฐานอ้างอิงคนละชุด
ตัวอย่างเช่น:
- แล็บบางแห่งอาจใช้ช่วง ALT ปกติที่ 7–56 U/L
- อีกแห่งอาจใช้ 10–50 U/L
ถ้าคุณไปตรวจหลายที่ในระยะเวลาใกล้กัน อย่าตกใจถ้าค่าไม่ตรงกันเป๊ะ ๆ สิ่งสำคัญกว่าคือ แนวโน้มของค่า และการอ่านผลแบบเปรียบเทียบหลายค่าเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ดูแค่ตัวเลขเดียวลอย ๆ เมื่อรู้แล้วว่าค่าปกติควรอยู่ที่ไหน ต่อไปเราจะไปดูว่า หากค่าใดค่าเหล่านี้ผิดปกติ จะหมายถึงอะไรบ้าง และควรแปลผลอย่างไร เพื่อให้คุณไม่สับสนเวลารับผลตรวจ
แนวทางการแปลผลค่าผิดปกติแต่ละรายการ
เวลาที่คุณได้ผลตรวจ LFT แล้วเจอคำว่า “สูงเกินค่าปกติ” หรือ “ต่ำกว่ามาตรฐาน” หลายคนอาจเริ่มตกใจ แต่จริง ๆ แล้ว การอ่านค่าผิดปกติเหล่านี้ต้องอิงกับ แนวโน้ม สุขภาพโดยรวม และความเชื่อมโยงระหว่างค่าอื่น ๆ ร่วมด้วย เพราะค่าตัวเดียวไม่สามารถบอกโรคได้ 100% ทันที
เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ เราจะอธิบายค่าที่เจอผิดปกติบ่อยที่สุด 3 ตัว พร้อมแนบบริบทและโรคที่มักเกี่ยวข้อง
ALT, AST สูง = สัญญาณของตับอักเสบ
ALT (Alanine Aminotransferase) และ AST (Aspartate Aminotransferase) คือค่าที่บ่งชี้ถึงการอักเสบหรือการเสียหายของเซลล์ตับโดยตรง
เมื่อเซลล์ตับโดนทำร้าย ไม่ว่าจะจากเชื้อไวรัส ยา หรือแอลกอฮอล์ เอนไซม์พวกนี้จะรั่วออกมาสู่กระแสเลือด ทำให้ค่า ALT/AST สูงขึ้น หากตรวจพบว่าค่าสูงเกินกว่า 2–3 เท่าของค่าปกติ ควรเริ่มระวัง และหากสูงกว่า 10 เท่าขึ้นไป ต้องเข้าพบแพทย์ทันที เพราะอาจอยู่ในภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน
ค่า AST/ALT สูง สื่อถึงอะไรบ้าง? | ตัวอย่างโรคหรือสาเหตุที่เกี่ยวข้อง |
ALT สูงเด่นกว่า AST | ตับอักเสบจากไวรัส, ไขมันพอกตับ, ยา |
AST สูงเด่นกว่า ALT | พิษจากแอลกอฮอล์, ตับแข็ง, กล้ามเนื้อบาดเจ็บ |
AST/ALT สูงร่วมกันมาก ๆ | ตับอักเสบเฉียบพลัน, ยาบางชนิด, ยาเคมีบำบัด |
พูดง่าย ๆ ถ้าค่า ALT/AST สูง คือ “มีบางอย่างกำลังทำร้ายเซลล์ตับอยู่”
Bilirubin สูง = ตับขับสารเหลืองไม่ได้
Bilirubin เป็นผลลัพธ์จากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง และต้องผ่านกระบวนการแปลงสภาพโดยตับ ก่อนจะขับออกผ่านทางน้ำดี
หากระดับ Bilirubin สูงขึ้นมากกว่าปกติ ร่างกายอาจแสดงอาการ ตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณคลาสสิกของปัญหาทางเดินน้ำดี หรือภาวะตับล้มเหลว
Bilirubin สูงจากอะไรได้บ้าง? | ตัวอย่างโรคหรือภาวะที่เกี่ยวข้อง |
ตับอักเสบหรือตับแข็ง | ตับแปลง Bilirubin ไม่ทัน |
ท่อน้ำดีอุดตัน | สารเหลืองระบายออกไม่ได้ |
เม็ดเลือดแดงแตกมากผิดปกติ (Hemolysis) | มีสารเหลืองมากเกินจนตับรับมือไม่ไหว |
แพทย์จะพิจารณาว่า Bilirubin เป็นชนิด Direct หรือ Indirect เพื่อแยกว่า “ตับแปลงไม่ได้” หรือ “ตับแปลงได้แต่ขับออกไม่ได้” ซึ่งจะบอกทิศทางของโรคได้ชัดเจนขึ้น
Albumin ต่ำ = ตับเริ่มสังเคราะห์ไม่เพียงพอ
Albumin เป็นโปรตีนชนิดสำคัญที่สร้างโดยตับ ทำหน้าที่รักษาสมดุลของของเหลวในร่างกายและขนส่งสารต่าง ๆ ไปยังอวัยวะ
เมื่อระดับ Albumin ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน บ่งบอกว่าตับเริ่มทำงานด้านการผลิตโปรตีนได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งพบได้บ่อยใน โรคตับเรื้อรัง โดยเฉพาะในระยะที่เริ่มมีการเสื่อมถอยของเซลล์ตับอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์ที่ Albumin ต่ำกว่าปกติ | สาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง |
โรคตับเรื้อรัง (Cirrhosis) | ตับเสื่อมจนผลิตโปรตีนได้น้อยลง |
ภาวะขาดสารอาหารรุนแรง | ร่างกายไม่มีวัตถุดิบในการสร้างโปรตีน |
โรคไตเรื้อรัง | Albumin รั่วออกทางปัสสาวะ |
Albumin ที่ต่ำมาก อาจสัมพันธ์กับอาการบวมตามแขนขา หรือท้องมาน และใช้ประกอบกับค่าการแข็งตัวของเลือด (PT/INR) เพื่อประเมินว่าเข้าสู่ระยะรุนแรงของโรคตับหรือยัง ในตอนถัดไป เราจะพาไปเจาะว่า อะไรอีกบ้างที่ทำให้ค่าตับผิดปกติ ทั้งที่ไม่ใช่โรคตับโดยตรง เช่น ยา อาหาร หรือโรคอื่นในร่างกาย เพื่อให้คุณเข้าใจมิติที่ลึกขึ้นของผลตรวจ
Liver Function Test บ่งชี้โรคตับอะไรได้บ้าง?
ผลตรวจ LFT ไม่ได้แค่บอกว่าค่าตับ “สูงหรือต่ำ” แต่สามารถช่วยวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับตับในหลายระดับ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงโรคร้ายแรง โดยแพทย์จะดูจาก “รูปแบบของค่าที่ผิดปกติ” และ “การจับคู่ระหว่างค่าต่าง ๆ” เพื่อแยกแยะว่าเป็นภาวะอะไร
ลองมาดูว่า LFT สามารถพาเราไปพบกับโรคใดบ้างในทางปฏิบัติจริง
โรคตับอักเสบไวรัส
หนึ่งในโรคตับที่เจอได้บ่อยที่สุดในคนไทย โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบชนิด B และ C ซึ่งมักแสดงผลใน LFT ได้ชัดเจนว่า:
- ค่า ALT และ AST สูงอย่างมีนัยสำคัญ
- Bilirubin อาจเพิ่มขึ้นตามระดับความรุนแรง
- Albumin และ PT มักยังปกติในระยะเริ่มต้น
หากพบว่าค่า ALT สูงเด่นกว่า AST โดยเฉพาะในช่วง 100–500 U/L โดยไม่มีโรคประจำตัวอื่นที่เกี่ยวข้อง แพทย์มักสงสัยไวรัสตับอักเสบ และจะสั่งตรวจ Viral Marker ต่อทันที
LFT จึงเปรียบเสมือน “ตัวกรองก่อนเข้าสู่การตรวจจำเพาะ” ในโรคไวรัสตับ
ไขมันพอกตับและตับแข็ง
ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) มักตรวจเจอโดยบังเอิญในคนที่ไม่มีอาการ ด้วยลักษณะ:
- ALT สูงเล็กน้อย–ปานกลาง
- AST สูงบ้างแต่ไม่เด่น
- ค่าอื่น ๆ มักปกติถ้ายังไม่ลุกลาม
แต่หากปล่อยทิ้งไว้ อาจพัฒนาไปเป็นตับแข็ง (Cirrhosis) ซึ่งในจุดนี้ LFT จะเริ่มแสดงความเสื่อมของตับอย่างชัดเจน:
- Albumin ต่ำ
- PT/INR ยาว
- ALT, AST อาจไม่สูงมากเหมือนระยะอักเสบ
โดยเฉพาะเมื่อ AST เริ่มสูงกว่า ALT แบบกลับด้าน (AST:ALT > 2) แสดงว่าเซลล์ตับเริ่มสลายถาวร ไม่ใช่แค่อักเสบชั่วคราว
มะเร็งตับ
แม้ว่า LFT จะไม่ได้ใช้สำหรับยืนยันมะเร็งตับโดยตรง แต่สามารถเป็น “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” ร่วมกับอาการหรือความเสี่ยงเดิม เช่น ตับแข็งมาก่อน หรือไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
ในมะเร็งตับบางราย อาจพบ:
- ค่า ALP และ GGT สูงกว่าค่าอื่นเด่นชัด
- Bilirubin ขึ้นร่วม
- Albumin ต่ำแบบช้า ๆ
- AFP (Alpha-fetoprotein) อาจสูงเมื่อใช้ตรวจร่วม
จุดสำคัญคือ เมื่อ LFT เริ่มเพี้ยนหลายค่าพร้อมกันในคนที่เคยมีโรคตับเรื้อรังเดิมอยู่ แพทย์จะส่งต่อให้ทำอัลตราซาวด์หรือ CT Scan เพื่อดูมวลเนื้องอกทันที
โรคทางเดินน้ำดี
ปัญหาทางเดินน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี, ท่อน้ำดีตีบ, หรือมะเร็งของท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma) มักแสดงผลชัดเจนในชุดค่า:
- ALP สูงแบบก้าวกระโดด
- GGT สูงคู่กับ ALP → บ่งบอกว่าเป็นจากตับ ไม่ใช่กระดูก
- Bilirubin สูงตามมาทีหลัง เมื่อมีการอุดตันมากขึ้น
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการคันตามผิวหนัง ตัวเหลือง ตาเหลือง และปัสสาวะเข้มร่วมด้วย ซึ่งช่วยยืนยันผลจาก LFT ว่าควรไปตรวจต่อ จะเห็นว่า LFT ไม่ได้ใช้เพื่อ “ฟันธงโรค” แต่ช่วยชี้เป้าให้เราไปตรวจเพิ่มเติมอย่างถูกทิศทาง เปรียบเสมือนระบบเตือนภัยที่บอกว่า “ตับของคุณกำลังขอความช่วยเหลือแล้วนะ”
เมื่อไรควรพบแพทย์หลังตรวจ LFT?
หลายคนอาจคิดว่าแค่ตรวจ LFT แล้วค่าขึ้น ๆ ลง ๆ ก็คอยดูไปก่อนก็พอ แต่ความจริงแล้ว มีบางค่าในผลตรวจที่ถ้าพบ “ผิดปกติในระดับรุนแรง” หรือ “ผิดปกติหลายค่าพร้อมกัน” ก็ควรพบแพทย์ทันที เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคที่ไม่ควรปล่อยให้ช้า
เราจะมาแยกให้ชัดเลยว่า กรณีไหน “ห้ามรอ” และ กรณีไหน “ควรเฝ้าติดตามต่อ”
ค่าไหนบ่งชี้อันตรายต้องหาหมอทันที
ถ้าในผลตรวจของคุณมีสิ่งเหล่านี้ ควรพบแพทย์โดยไม่ต้องรอ:
- ค่า AST หรือ ALT สูงเกิน 10 เท่าของค่าปกติ
→ บ่งชี้ภาวะตับอักเสบเฉียบพลันรุนแรง เช่น ตับอักเสบไวรัส, ยาเป็นพิษต่อตับ, หรือภาวะตับขาดเลือด - Bilirubin สูงจนเกิดอาการตาเหลือง ตัวเหลือง
→ บ่งบอกว่าตับเริ่มขับของเสียไม่ได้ หรืออาจมีการอุดตันของท่อน้ำดี - ค่า Albumin ต่ำมากร่วมกับ PT/INR ยาวเกินขอบเขต
→ แสดงว่าตับเริ่มเข้าสู่ระยะล้มเหลว (Liver Failure) - มีหลายค่าผิดปกติพร้อมกันแบบไม่มีเหตุผลชัดเจน
→ ยิ่งควรพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการของโรคตับเรื้อรังที่เพิ่งแสดงออก
สัญญาณเหล่านี้ไม่ได้บอกแค่ “ค่าผิด” แต่บอกว่า “ตับกำลังแย่ลงในทางที่ต้องการดูแลโดยด่วน”
ต้องตรวจซ้ำหรือทำเพิ่มเติมไหม
บางครั้งผล LFT อาจขึ้นผิดปกติแค่เล็กน้อย หรือไม่ชัดพอจะฟันธงอะไรได้ทันที แพทย์จึงมักแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์ให้แม่นยำขึ้น เช่น:
- อัลตราซาวด์ตับ (U/S)
→ ใช้ดูโครงสร้างของตับ ว่ามีก้อน ตับแข็ง หรือมีการอุดตันของท่อน้ำดีหรือไม่ - Fibroscan (การวัดความแข็งของตับ)
→ วัดว่าตับมีพังผืดหรือเริ่มเข้าสู่ภาวะตับแข็งหรือยัง โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือเจาะชิ้นเนื้อ - ตรวจ Viral Marker
→ หากค่าตับสูงในลักษณะที่สงสัยตับอักเสบจากไวรัส เช่น ตรวจ HBsAg (ไวรัสตับ B), Anti-HCV (ไวรัสตับ C) - ตรวจซ้ำหลังงดอาหาร งดยา หรือปรับพฤติกรรมแล้ว
→ บางครั้งค่าตับอาจแค่แปรปรวนจากอาหารหรือยา ถ้าหยุดปัจจัยเสี่ยงแล้วค่ากลับมาปกติ แสดงว่าไม่ได้มีโรคร้ายแรงซ่อนอยู่
อย่าลืมว่า “ค่าที่ผิดปกติเล็กน้อย” หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจซ้ำ อาจกลายเป็นการพลาดโอกาสป้องกันโรคแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะในคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่แล้ว
การเตรียมตัวก่อนตรวจ LFT เพื่อผลที่แม่นยำ
ถึงแม้ว่า Liver Function Test (LFT) จะเป็นการตรวจเลือดที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องงดน้ำหรือใช้เครื่องมือพิเศษ แต่ “การเตรียมตัวให้เหมาะสมก่อนเจาะเลือด” ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะพฤติกรรมบางอย่างอาจทำให้ค่าตับ “ขึ้นผิด” หรือ “เพี้ยนไปชั่วคราว” โดยที่ไม่ได้สะท้อนสภาพจริงของร่างกาย
หลายคนเคยเจอเหตุการณ์ว่า “เจาะครั้งแรกค่าขึ้น พอเจาะซ้ำกลับปกติ” ซึ่งมักเกิดจากการเตรียมตัวที่ไม่ครบถ้วน เพราะฉะนั้น ถ้าจะตรวจ LFT ให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ควรปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้
งดอาหาร/งดแอลกอฮอล์กี่ชั่วโมง
การรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารมันจัดหรือของทอดก่อนเจาะเลือด อาจทำให้ค่า ALP, GGT หรือแม้แต่ Bilirubin สูงชั่วคราวได้โดยไม่เกี่ยวกับโรคตับเลย
- ควรงดอาหารอย่างน้อย 8–12 ชั่วโมงก่อนตรวจ
- งดแอลกอฮอล์ล่วงหน้า 24–48 ชั่วโมง เพราะอาจกระตุ้นการอักเสบของตับและทำให้ค่า ALT/AST ขึ้นผิดปกติ
หากมีความจำเป็นต้องตรวจแบบไม่ได้งดอาหาร ควรแจ้งแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้ประเมินผลในบริบทที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงยาบางชนิดหรือวิตามินก่อนเจาะเลือด
ยาและอาหารเสริมหลายชนิดสามารถส่งผลต่อผล LFT ได้ โดยเฉพาะ:
- พาราเซตามอล (Paracetamol) – ใช้ในขนาดสูงหรือบ่อยอาจทำให้ค่า AST/ALT ขึ้น
- ยาลดไขมัน (Statins) – อาจทำให้ค่า ALT สูงได้แม้ไม่มีโรค
- สมุนไพร เช่น ขมิ้นชัน, ฟ้าทะลายโจร, หรือวิตามิน A สูง ๆ – มีรายงานว่าอาจกระตุ้นการอักเสบของตับได้ในบางราย
แนวทางคือ:
- หลีกเลี่ยงการกินยาหรืออาหารเสริมก่อนตรวจ อย่างน้อย 1–2 วัน
- หากเป็นยาประจำ ไม่ควรหยุดเอง แต่ควรแจ้งแพทย์ว่าทานอะไรอยู่บ้าง
เลือกเวลาตรวจเช้าที่เหมาะสม
การตรวจในช่วงเช้าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะ:
- ร่างกายอยู่ในภาวะพักหลังอดอาหาร ทำให้ค่าทางชีวเคมีนิ่งและเชื่อถือได้
- ค่าบางตัว เช่น ALT หรือ Bilirubin มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงตลอดวัน (Diurnal Variation)
→ ตรวจช่วงเช้าจะลดความเสี่ยงเรื่องค่าเพี้ยนจากเวลา
หากคุณต้องตรวจในช่วงบ่ายหรือเย็น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนว่าจำเป็นต้องปรับการอ่านผลหรือไม การเตรียมตัวเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่ส่งผลต่อคุณภาพของผลตรวจอย่างมาก ถ้าค่าต่าง ๆ ออกมาผิดเพี้ยนจากการเตรียมตัวที่ไม่ดี อาจทำให้ต้องตรวจซ้ำ เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และอาจทำให้แพทย์ตีความผิดพลาดได้ ในหัวข้อถัดไป เราจะพูดถึงวิธี “ดูแลสุขภาพตับหลังจากรู้ผล LFT แล้ว” เพื่อให้คุณใช้ผลตรวจนั้นไปต่อยอดในการดูแลตัวเองอย่างเป็นระบบ
วิธีดูแลสุขภาพตับหลังจากรู้ผล LFT แล้ว
หลังจากได้ผลตรวจ LFT แล้ว หลายคนอาจโล่งใจที่ผลปกติ หรือบางคนเริ่มกังวลกับค่าที่ขึ้นสูงไม่คาดคิด แต่ไม่ว่าค่าตับจะอยู่ในระดับไหน สิ่งที่ควรทำหลังจากนี้คือ วางแผนดูแลตับให้ยั่งยืน เพราะตับเป็นอวัยวะที่ “ไม่มีตัวสำรอง” และเมื่อเริ่มเสียหาย ก็ยากที่จะฟื้นได้ 100% ดังเดิม
โดยเฉพาะในคนที่ค่าตับเริ่ม “สูงแบบยังไม่มีอาการ” นั่นคือช่วงเวลาทองที่สามารถฟื้นฟูสุขภาพตับได้ทัน ถ้ารู้วิธีดูแลอย่างถูกจุด ลองเริ่มจาก 3 แนวทางหลักต่อไปนี้
ปรับอาหารให้เหมาะกับคนที่ค่าตับสูง
การกินอาหารที่ถูกต้องคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดที่ช่วยลดภาระการทำงานของตับ
หากค่า ALT หรือ AST ของคุณสูงกว่าปกติ แต่ยังไม่มีอาการรุนแรง การปรับอาหารจะช่วยให้ค่าตับค่อย ๆ กลับเข้าสู่สมดุลได้
แนวทางที่แนะนำ:
- ลดอาหาร ไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว เช่น ของทอด เบเกอรี่ ฟาสต์ฟู้ด
- เลี่ยง น้ำตาลสูง–แป้งขัดขาว เพราะกระตุ้นการสะสมไขมันที่ตับ
- เพิ่ม ผักใบเขียว ผลไม้สด ธัญพืชเต็มเมล็ด และไขมันดีจากปลา ถั่ว อะโวคาโด
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ และเลี่ยงน้ำหวานหรือเครื่องดื่มชูกำลัง
สิ่งสำคัญคือ “ไม่ต้องอด แต่ต้องรู้จักเลือก” และปรับให้เหมาะกับพฤติกรรมประจำวันของตัวเอง
เลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายตับ
นอกจากอาหารแล้ว พฤติกรรมประจำวันบางอย่างก็มีผลมากกับสุขภาพตับ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยเฉพาะถ้าคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้ แนะนำให้ “หยุด” หรือ “ลดลงทันที”:
- ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย หากค่าตับขึ้นแล้วควรงด 100% เพราะตับต้องใช้เวลาในการฟื้น
- ใช้ยาโดยไม่จำเป็น เช่น พาราเซตามอลเกินขนาด ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรืออาหารเสริมที่ไม่ได้ผ่าน อย.
- นอนดึก–พักผ่อนไม่พอ เพราะร่างกายซ่อมแซมเซลล์ตับได้ดีที่สุดในช่วงกลางคืน
- ไม่ออกกำลังกายเลย ทำให้ระบบเผาผลาญอืดและไขมันสะสมที่ตับมากขึ้น
ทุกพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อเมตาบอลิซึมของร่างกาย ก็ส่งผลทางอ้อมต่อตับแทบทั้งสิ้น
วางแผนตรวจติดตามระยะยาว
ตับไม่ใช่อวัยวะที่เปลี่ยนแปลงแบบทันทีทันใด แต่เป็น “อวัยวะที่ค่อย ๆ พังแบบเงียบ ๆ” จึงต้องติดตามต่อเนื่อง ไม่ใช่ตรวจแค่ครั้งเดียว
แนวทางการติดตามที่แนะนำ:
- ถ้าค่าผิดปกติเล็กน้อย → ตรวจซ้ำใน 3–6 เดือน พร้อมปรับพฤติกรรม
- ถ้าผิดปกติหลายค่า หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงชัดเจน → ตรวจซ้ำใน 1–3 เดือน และพิจารณา U/S, Fibroscan, Viral Marker ตามดุลยพินิจแพทย์
- ถ้าเคยมีโรคตับอยู่แล้ว เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง หรือไขมันพอกตับ → ควรวางแผนติดตามกับแพทย์เฉพาะทางแบบรายไตรมาสหรือครึ่งปี
รวมถึงควรมี สมุดบันทึกค่าตับย้อนหลัง เพื่อให้แพทย์ดูแนวโน้มว่าค่ากำลังดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งสำคัญมากในการวางแผนรักษา
สรุป: Liver Function Test คือเครื่องมือเฝ้าระวังสุขภาพตับที่สำคัญ
Liver Function Test (LFT) คือหนึ่งในการตรวจสุขภาพที่แม้ดูเรียบง่าย แต่มี “พลังในการบอกความลับของร่างกาย” ได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในเรื่องของตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่หลากหลายและสำคัญต่อการอยู่รอดของเราแบบเงียบ ๆ
จากเนื้อหาทั้งหมดที่ผ่านมา เราสามารถสรุปสาระสำคัญของ LFT ได้ดังนี้:
- LFT คือชุดการตรวจเลือด ที่ดูหลายค่าเพื่อประเมินหน้าที่ของตับ ทั้งในแง่ของการอักเสบ การสังเคราะห์โปรตีน การขับของเสีย และการแข็งตัวของเลือด
- ค่าที่ตรวจประกอบด้วย AST, ALT, ALP, GGT, Bilirubin, Albumin และ PT/INR ซึ่งแต่ละค่าก็มีความหมายเฉพาะของตัวเอง และช่วยให้แพทย์มองเห็นปัญหาได้หลากหลายมิติ
- ค่าผิดปกติในแต่ละตัว ไม่ได้แปลว่าเป็นโรคเสมอไป แต่เมื่อดูร่วมกันจะสามารถบ่งชี้แนวโน้มของโรคตับได้ เช่น ตับอักเสบ, ไขมันพอกตับ, ตับแข็ง, มะเร็งตับ หรือโรคทางเดินน้ำดี
- การแปลผล LFT ต้องอาศัยบริบท เช่น เวลาตรวจ การเตรียมตัว และพฤติกรรมก่อนหน้า ไม่ควรดูจากตัวเลขเพียงลำพัง
สิ่งที่อยากเน้นคือ:
“รู้ผลแล้ว อย่าหยุดแค่รู้” — เพราะสุขภาพตับที่ดีต้องมาพร้อมกับการปรับพฤติกรรม เลือกอาหาร ลดแอลกอฮอล์ และวางแผนติดตามต่อเนื่อง
หากคุณมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ใช้ยาหลายตัวพร้อมกัน หรือมีประวัติโรคตับในครอบครัว การตรวจ LFT อย่างสม่ำเสมอทุก 6–12 เดือน คือสิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันก่อนป่วยจริง และยิ่งถ้าเคยตรวจแล้วค่าผิดปกติ ยิ่งควรพบแพทย์ตามนัดให้ครบ เพราะหลายโรคสามารถรักษาได้ทัน ถ้ารู้ตัวเร็ว
LFT จึงไม่ใช่แค่ “การเจาะเลือดดูค่าตับ” ธรรมดา แต่เป็น เครื่องมือเฝ้าระวังระยะยาว ที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และตัดสินใจดูแลตัวเองได้ดีขึ้น
ร่วมตอบคำถามกับเรา
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
McClatchey, Kenneth D.(2002). Clinical laboratory medicine. Lippincott Williams & Wilkins. Retrieved 5 August 2011.
Nyblom H, Berggren U, Balldin J, Olsson R (2004). “High AST/ALT ratio may indicate advanced alcoholic liver disease rather than heavy drinking”. Alcohol Alcohol.
Nyblom H, Björnsson E, Simrén M, Aldenborg F, Almer S, Olsson R (September 2006). “The AST/ALT ratio as an indicator of cirrhosis in patients with PBC”. Liver Int. 26.
Mengel, Mark B.; Schwiebert, L. Peter (2005). Family medicine: ambulatory care & prevention. McGraw-Hill Professional.