โรคอ้วนกับโรคความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันได้ด้วยอาหารแดช ( DASH )

0
3959
การดูแลและพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานตามลักษณะอาการรายบุคคล
ความดันโลหิต ก็คือแรงดันของเลือดต่อผนังหลอดเลือดแดงที่จะเกิดขึ้นขณะที่หัวใจกำลังบีบตัวและคลายตัว
การดูแลและพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานตามลักษณะอาการรายบุคคล
ความดันโลหิต ก็คือแรงดันของเลือดต่อผนังหลอดเลือดแดงที่จะเกิดขึ้นขณะที่หัวใจกำลังบีบตัวและคลายตัว

โรคอ้วนกับโรคความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันได้ด้วยอาหารแดช (DASH)

ในปัจจุบัน โรคอ้วนและโรคความดันโลหิตสูงกลายเป็นปัญหาทางสุขภาพที่พบได้บ่อยและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มอายุ ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานหรือแม้แต่วัยรุ่น สาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่เร่งรีบ ขาดการออกกำลังกาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พฤติกรรมการกิน” ที่มักเลือกอาหารสะดวก แปรรูป เค็มจัด หรือหวานจัดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเมตาบอลิซึมและความดันเลือด

หนึ่งในแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในการควบคุมและป้องกันทั้งโรคอ้วนและความดันโลหิตสูง คือ อาหารแดช (DASH: Dietary Approaches to Stop Hypertension) ซึ่งแม้จะมีชื่อที่ดูเหมือนใช้เพื่อควบคุมความดันโดยเฉพาะ แต่อันที่จริงแล้วแนวทางนี้เป็น “วิถีชีวิต” มากกว่าการควบคุมอาหารชั่วคราว โดยเน้นให้ความสำคัญกับการกินผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ลดโซเดียม เพิ่มโพแทสเซียม และหลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว รวมถึงน้ำตาลส่วนเกิน

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และพฤติกรรมการกิน พร้อมทั้งอธิบายว่าเหตุใด อาหารแดช จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีพลังมากที่สุดในการดูแลสุขภาพระยะยาว และสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ตั้งแต่วันนี้

ความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับโรคความดันโลหิตสูง

ก่อนจะพูดถึงอาหารแดช เราควรเข้าใจก่อนว่าโรคอ้วนและโรคความดันโลหิตสูงนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองไม่ได้เกิดขึ้นแยกกันโดยบังเอิญ แต่มีกลไกในร่างกายและพฤติกรรมบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น และส่งผลซ้ำเติมกันในระยะยาว

โรคอ้วนส่งผลอย่างไรต่อความดันโลหิต

โรคอ้วน โดยเฉพาะการสะสมไขมันในช่องท้องหรือ “ไขมันอวัยวะภายใน” มีผลโดยตรงต่อการควบคุมความดันเลือด ไขมันส่วนเกินทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย นอกจากนี้ ไขมันยังส่งผลให้หลอดเลือดแข็งตัวมากขึ้น ซึ่งทำให้ความดันสูงขึ้นตาม

อีกกลไกสำคัญคือ ระบบประสาทอัตโนมัติและระบบฮอร์โมนเรนิน–แองจิโอเทนซิน–อัลโดสเตอโรน (RAAS) จะถูกรบกวนจากภาวะอ้วน ทำให้ร่างกายเกิดการคั่งโซเดียม (เกลือ) และน้ำในหลอดเลือดมากเกินไป ส่งผลให้ระดับความดันสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ในช่วงที่ไม่ได้รับประทานอาหารเค็มจัด

ภาวะอ้วนลงพุงกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ภาวะอ้วนลงพุง (Central Obesity) เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงความดันโลหิตสูงอย่างมีนัยสำคัญ ไขมันหน้าท้องไม่เพียงแต่เป็นแหล่งสะสมพลังงาน แต่ยังทำหน้าที่ปล่อยสารอักเสบที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ตีบแคบ และตอบสนองต่อฮอร์โมนได้น้อยลง

งานวิจัยจำนวนมากพบว่าคนที่มีเส้นรอบเอวเกินเกณฑ์มาตรฐาน (เช่น มากกว่า 90 ซม. ในผู้ชาย และ 80 ซม. ในผู้หญิง) มักมีแนวโน้มเป็นโรคความดันสูงมากกว่าคนที่มี BMI เท่ากันแต่ไม่มีไขมันสะสมที่หน้าท้อง

ปัจจัยพฤติกรรมร่วม เช่น เค็มจัด–มันจัด–หวานจัด

พฤติกรรมการกินที่ “ไม่สมดุล” คือจุดตัดสำคัญของโรคทั้งสอง เช่น:

  • อาหารเค็มจัด กระตุ้นการคั่งโซเดียมและน้ำในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกโดยตรงของการเพิ่มความดัน
  • อาหารมันจัด โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ทำให้ระดับไขมันในเลือดผิดปกติและเพิ่มภาวะดื้ออินซูลิน
  • น้ำตาลสูงและเครื่องดื่มหวาน ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มเร็วและตับสร้างไขมันมากขึ้น นำไปสู่ความดันสูงในภายหลัง

เมื่อพฤติกรรมเหล่านี้ถูกรับประทานซ้ำซากโดยไม่มีการควบคุม ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะ “ดื้ออินซูลิน–อักเสบ–ไขมันพอก” ซึ่งถือเป็นวงจรโรคเรื้อรังที่สร้างความเสียหายทั้งต่อหลอดเลือด หัวใจ และไต และนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงในที่สุด โรคอ้วนและความดันโลหิตสูงไม่ใช่แค่คู่หูที่บังเอิญมาอยู่ด้วยกัน แต่เป็นผลลัพธ์จากพฤติกรรมการกินและวิถีชีวิตที่พึ่งพาอาหารแปรรูปและขาดความสมดุลอย่างต่อเนื่อง และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องพูดถึง “อาหารแดช” อย่างจริงจังในหัวข้อถัดไป.

อาหารคือปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นทั้งโรคอ้วนและความดันสูง

เมื่อมองผ่านแว่นของระบบร่างกาย อาหารที่เราบริโภคเข้าไปทุกวันคือปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่สามารถ “เร่ง” หรือ “ลด” ความเสี่ยงของโรคเรื้อรังอย่างโรคอ้วนและความดันโลหิตสูงได้โดยตรง ไม่ใช่แค่ปริมาณที่เรากิน แต่ “ชนิดอาหาร” และ “คุณค่าทางโภชนาการ” ต่างหากที่เป็นตัวแปรหลักของปัญหา

โซเดียม (เกลือ) กับความดันโลหิต

โซเดียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายในระดับหนึ่ง แต่เมื่อบริโภคมากเกินไป โดยเฉพาะจากอาหารแปรรูป น้ำซุปก้อน ขนมขบเคี้ยว หรืออาหารฟาสต์ฟู้ด จะส่งผลให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น ความดันในหลอดเลือดจึงสูงขึ้นตามโดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้โซเดียมยังไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติและระบบ RAAS ให้ทำงานหนักขึ้น ซึ่งนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหดตัวเรื้อรัง ผลลัพธ์คือความดันโลหิตสูงที่อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่กลับซ่อนภัยไว้ในระบบไต หัวใจ และสมอง

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มก./วัน หรือเทียบเท่ากับเกลือประมาณ 1 ช้อนชา แต่ในความเป็นจริง คนไทยจำนวนมากบริโภคมากกว่านั้นถึง 1.5–2 เท่า

แคลอรีส่วนเกินกับไขมันสะสม

พลังงานที่เกินจากความต้องการในแต่ละวันไม่หายไปไหน นอกจากจะถูกแปรสภาพเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย ซึ่งหากเกิดขึ้นต่อเนื่องจะกลายเป็นภาวะอ้วน และเมื่อระดับไขมันในร่างกายโดยเฉพาะในช่องท้องเพิ่มขึ้น ก็เป็นการเปิดประตูให้ความดันโลหิตสูงขึ้นตามไปด้วย

สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ แคลอรีส่วนเกินไม่ได้มาจาก “อาหารจานหลัก” อย่างเดียว แต่มักแฝงมาในรูปแบบของ:

  • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล (เช่น ชาเย็น กาแฟใส่นมข้นหวาน)
  • อาหารว่างระหว่างมื้อ
  • ซอสปรุงรสต่าง ๆ ที่ใช้อย่างไม่รู้ปริมาณ

การลดแคลอรีจึงไม่ใช่แค่การลดปริมาณอาหาร แต่คือการเลือกชนิดอาหารที่อิ่มนาน ไฟเบอร์สูง และไม่กระตุ้นความหิวซ้ำ ๆ ซึ่งเราจะเห็นว่าแนวคิดนี้คือหัวใจของ “อาหารแดช” ที่จะพูดถึงต่อไป

น้ำตาลและเครื่องดื่มหวานกับไขมันพอกตับและความดันสูง

น้ำตาล โดยเฉพาะในรูปของฟรุกโตสจากน้ำเชื่อมข้าวโพด น้ำอัดลม น้ำผลไม้กล่อง หรือขนมอบต่าง ๆ มีผลโดยตรงต่อการสร้างไขมันในตับ หากรับเข้าไปมากจะก่อให้เกิดภาวะ “ไขมันพอกตับ” ซึ่งเป็นจุดเริ่มของภาวะดื้อต่ออินซูลิน และเมื่อดื้ออินซูลิน ความดันเลือดจะค่อย ๆ สูงขึ้นตามลำดับ

งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าการบริโภคน้ำตาลมากกว่า 10% ของพลังงานต่อวัน (เช่น ดื่มน้ำหวานวันละ 1–2 แก้ว) ทำให้เพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วนและความดันสูงถึง 1.5–2 เท่า

ยิ่งกว่านั้น เครื่องดื่มหวานยังเป็น “พลังงานเปล่า” ที่ไม่ให้ความอิ่มแต่อย่างใด ทำให้เรากินเพิ่มโดยไม่รู้ตัว และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมคนที่ “กินน้อยแต่ดื่มเยอะ” ถึงยังลดน้ำหนักไม่สำเร็จ

อาหารไม่ใช่แค่สิ่งที่เรากินเข้าไปเพื่อความอร่อย แต่คือเครื่องมือที่ส่งผลระยะยาวต่อทั้ง “น้ำหนักตัว” และ “ความดันเลือด” หากไม่เข้าใจระบบของอาหาร โอกาสที่จะลดโรคได้จริงก็แทบไม่มี และนั่นคือเหตุผลที่ต้องรู้จักทางเลือกใหม่อย่าง “DASH Diet” ที่จะกล่าวต่อในหัวข้อถัดไป

อาหารแดช (DASH) คืออะไร? ทำไมแพทย์ทั่วโลกแนะนำ

ในโลกของการดูแลสุขภาพ อาหารแดช (DASH Diet) ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราวที่มาแล้วผ่านไป แต่คือ “แนวทางการกินแบบยั่งยืน” ที่ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ทั่วโลก ว่าเป็นหนึ่งในวิธีลดความดันโลหิตและน้ำหนักที่ปลอดภัย ใช้ได้จริง และไม่ทำร้ายร่างกายแบบการอดอาหารหรือไดเอทสุดโต่งอื่น ๆ

ความหมายและแนวคิดของ DASH Diet

DASH ย่อมาจาก Dietary Approaches to Stop Hypertension หรือแปลตรงตัวว่า “แนวทางการกินเพื่อหยุดยั้งภาวะความดันโลหิตสูง” จุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้เกิดจากงานวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ (NIH) ที่พบว่า การกินอาหารแบบเน้น “ผัก–ผลไม้–ธัญพืชไม่ขัดสี–ไขมันดี” และลดโซเดียมลงอย่างเหมาะสม สามารถลดค่าความดันโลหิตได้จริง โดยไม่ต้องพึ่งยาในบางราย

หัวใจหลักของ DASH คือการ “ปรับสัดส่วนอาหาร” ให้สมดุล โดยไม่จำกัดหมู่ใดหมู่หนึ่ง แต่เน้นคุณภาพของอาหารแต่ละกลุ่ม เช่น:

  • กินผัก–ผลไม้ให้มากขึ้น (วันละ 4–5 ส่วน)
  • เพิ่มธัญพืชเต็มเมล็ด (whole grain)
  • เลือกนมไขมันต่ำหรือไร้ไขมัน
  • ลดการกินเนื้อแดง แอลกอฮอล์ และของหวาน
  • ลดโซเดียมไม่เกิน 2,300 มก./วัน (หรือ 1,500 มก.ในกลุ่มเสี่ยง)

จุดเด่นที่แตกต่างจากการควบคุมอาหารทั่วไป

สิ่งที่ทำให้ DASH Diet แตกต่างจาก “การควบคุมอาหาร” ทั่วไป คือ ไม่เน้นแค่การลดน้ำหนัก แต่ให้ความสำคัญกับ “คุณภาพของอาหาร” และ “ความสมดุลของร่างกาย”

  • ไม่เน้นอด: DASH ไม่สั่งให้ตัดคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันแบบสุดโต่ง แต่ปรับชนิดที่เลือกกิน เช่น แทนข้าวขาวด้วยข้าวกล้อง เลือกไขมันจากถั่วและปลาแทนของทอด
  • กินตามสัดส่วน: ทุกหมู่อาหารยังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนสัดส่วนให้เหมาะสม เช่น โปรตีน 1/4 จาน ผัก 1/2 จาน คาร์โบไฮเดรตดี 1/4 จาน
  • เสริมใยอาหารและโพแทสเซียม: ช่วยปรับสมดุลความดันในร่างกาย ลดผลกระทบจากโซเดียมที่เกินมา

แนวคิดนี้จึงเหมาะกับคนที่ไม่อยากอดอาหารแต่ต้องการ “ดูแลสุขภาพ” อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงหรืออ้วนลงพุง

เป้าหมายหลัก – ลดโซเดียม เพิ่มโพแทสเซียม และใยอาหาร

การควบคุมความดันโลหิตให้ดีขึ้นไม่ได้อาศัยแค่ “ลดเกลือ” อย่างเดียว แต่ต้องควบคู่ไปกับการเสริมธาตุอาหารอื่น ๆ ที่มีบทบาทร่วมในการรักษาสมดุลของหลอดเลือด

  • ลดโซเดียม: เพื่อลดการเก็บน้ำในร่างกายและแรงต้านในหลอดเลือด
  • เพิ่มโพแทสเซียม: พบมากในกล้วย อะโวคาโด ผักโขม มะเขือเทศ มีบทบาทสำคัญในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว
  • เสริมใยอาหาร: พบในธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ ถั่ว ช่วยลดการดูดซึมไขมันและน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ลดความอยากอาหาร และควบคุมน้ำหนักได้ดี

โดยภาพรวม DASH Diet คือ การปรับรูปแบบการกินเพื่อสร้างระบบที่สมดุลในร่างกาย ซึ่งไม่ใช่แค่ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง แต่ยังช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันในเลือด และลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ในระยะยาว หัวข้อถัดไปจะพาไปดูว่า DASH Diet มีหลักการการกินแบบใด อะไรควรกิน และอะไรควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

หลักการของอาหารแดช: ควรกินอะไรและหลีกเลี่ยงอะไร?

หลังจากที่เราเข้าใจแนวคิดของ DASH Diet แล้ว หัวข้อนี้จะลงรายละเอียดว่า “อาหารแบบแดช” จริง ๆ แล้วประกอบด้วยอะไรบ้าง อะไรคือของที่ควรกินให้มาก และอะไรที่ควรลดหรือหลีกเลี่ยง เพื่อให้ผลลัพธ์ต่อสุขภาพหัวใจ ความดันโลหิต และน้ำหนักชัดเจนที่สุด

กลุ่มอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

หัวใจหลักของอาหารแดชอยู่ที่ “เลือกอาหารที่ดีต่อหลอดเลือด” ไม่ใช่แค่ลดเกลือ

  1. ผัก – แหล่งใยอาหาร โพแทสเซียม แมกนีเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ตำลึง บรอกโคลี ผักโขม ผักบุ้ง
  2. ผลไม้ – ช่วยลดความอยากหวาน และเสริมโพแทสเซียม เช่น กล้วย ส้ม แอปเปิล มะละกอ แตงโม
  3. ธัญพืชไม่ขัดสี – ควบคุมระดับน้ำตาลและอินซูลิน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ข้าวโอ๊ต
  4. ถั่วและเมล็ดพืช – ให้โปรตีนไขมันดีและใยอาหาร เช่น อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง ถั่วแดง
  5. ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ – ให้แคลเซียมโดยไม่เพิ่มไขมันอิ่มตัว เช่น โยเกิร์ตพร่องมันเนย นมจืด low-fat
  6. ปลาและเนื้อขาว – โปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลาทู อกไก่ เนื้อปลาแซลมอน

DASH ไม่ได้ห้ามคาร์โบไฮเดรต แต่เปลี่ยนจาก “แป้งขัดขาว” มาเป็น “แป้งเต็มเมล็ด” และเลือกไขมันจากพืช แทนไขมันสัตว์หรือไขมันทรานส์

อาหารที่ควรจำกัด

แม้แดชจะไม่ใช่แนวทางสุดโต่ง แต่ก็มีรายการที่แนะนำให้จำกัดปริมาณอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอาหารที่มีผลลบต่อความดันโลหิตและหัวใจ

  1. โซเดียม (เกลือ) – เป้าหมายคือไม่เกิน 2,300 มก./วัน (หรือน้อยกว่าสำหรับผู้ที่มีโรคเรื้อรัง)
    • แหล่งแฝง: น้ำปลา ซอสปรุงรส ผงชูรส ขนมถุง
  2. อาหารแปรรูป – เช่น ไส้กรอก เบคอน อาหารแช่แข็ง ขนมปังสำเร็จรูป
    • มักมีโซเดียมและไขมันทรานส์สูง
  3. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ – แนะนำให้จำกัดหรืองดโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีความดันสูง
  4. ของหวานและน้ำตาลเพิ่ม – เค้ก น้ำอัดลม เครื่องดื่มหวาน
    • มีผลต่อไขมันในตับและระดับน้ำตาลในเลือด
  5. ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ – พบในของทอด เนยขาว เบเกอรี่บางประเภท

อาหารแดชไม่ห้ามของโปรดแบบเด็ดขาด แต่เน้นให้ลดปริมาณลง และหาทางเลือกที่ดีกว่าแทน เช่น เปลี่ยนจากไส้กรอกเป็นอกไก่ต้ม หรือจากขนมหวานเป็นผลไม้สด

ตัวอย่างเมนูแดชแบบง่ายในชีวิตประจำวัน

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า DASH ไม่ใช่เรื่องยาก ลองดูตัวอย่างเมนู 1 วัน ที่คนทั่วไปสามารถทำตามได้:

มื้อเช้า:
– ข้าวกล้อง 1 ทัพพี
– ไข่ต้ม 1 ฟอง
– สลัดผักสด + น้ำสลัดใส
– กล้วยหอม 1 ลูก
– นม low-fat 1 แก้ว

มื้อกลางวัน:
– ข้าวกล้อง 1 ทัพพีครึ่ง
– ต้มยำน้ำใสใส่เห็ด–อกไก่
– ผัดผักรวมใช้น้ำมันรำข้าว
– แอปเปิล 1 ผล

มื้อเย็น:
– ข้าวโอ๊ตต้มใส่นม
– ปลานึ่งซีอิ๊ว
– ผักลวกน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวลดโซเดียม
– แตงโม 2 ชิ้น

ของว่างระหว่างมื้อ:
– อัลมอนด์ไม่เกิน 10 เม็ด
– โยเกิร์ตรสธรรมชาติ low-fat

ข้อดีของเมนูแดชคือ “ไม่หิว” เพราะมีใยอาหารและโปรตีนที่อยู่ท้อง และมีรสชาติที่คนไทยปรับใช้ได้ไม่ยาก ในหัวข้อถัดไป เราจะลงลึกว่า DASH Diet มีผลต่อการลดน้ำหนักอย่างไร และทำไมมันถึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการอดอาหารหรือไดเอทแฟชั่นอื่น ๆ

DASH Diet ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร?

แม้ว่า DASH Diet จะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อ “ลดความดันโลหิต” เป็นหลัก แต่หนึ่งในผลพลอยได้ที่ชัดเจนและมีงานวิจัยรองรับก็คือ “การลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง” โดยไม่ต้องอดอาหารหรือใช้แนวทางสุดโต่งใด ๆ ในหัวข้อนี้ เราจะอธิบายให้เห็นว่า ทำไม DASH Diet ถึงสามารถ “เผาผลาญไขมัน” และ “ควบคุมน้ำหนัก” ได้จริงจังในระยะยาว

ความอิ่มจากใยอาหารสูง ช่วยลดพลังงานรวม

อาหารแดชเน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่ว ซึ่งล้วนเป็นแหล่งใยอาหารชั้นเยี่ยม

  • ใยอาหารทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอยู่นาน ลดความอยากของจุกจิกระหว่างมื้อ
  • ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ลดการสวิงของระดับอินซูลินหลังมื้ออาหาร
  • พลังงานต่อหน่วยปริมาณ (calorie density) ต่ำ เช่น กินผัก 1 ชามใหญ่ ได้พลังงานไม่ถึง 100 kcal แต่รู้สึกอิ่มเท่ากับข้าวขาว 1 ทัพพี

ผลลัพธ์คือ การกินน้อยลงโดยไม่ต้องพยายามอด และยังคงได้สารอาหารครบถ้วน

การลดคาร์โบไฮเดรตขัดสีทำให้ระดับอินซูลินลด

แม้ DASH จะไม่ใช่ Low-carb diet แต่ก็ลดคาร์โบไฮเดรต “ประเภทที่ไม่ดี” เช่น แป้งขัดขาว น้ำตาลทราย และของหวาน

  • เมื่อไม่เกิดน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง ก็ไม่ต้องหลั่งอินซูลินมากเพื่อลดน้ำตาล
  • อินซูลินต่ำลง → ลดการสะสมไขมันใหม่ และเปิดทางให้ร่างกาย “ดึงไขมันเก่ามาใช้”

ประโยชน์อีกข้อคือ ลดภาวะ “กินแล้วหิวไว” เพราะไม่มีการพีค–ดรอปของน้ำตาลในเลือดเหมือนตอนกินข้าวขาวหรือขนม

ความยั่งยืนในการควบคุมน้ำหนักมากกว่าการอดอาหาร

สิ่งที่ทำให้ DASH Diet ต่างจากไดเอทแฟชั่น คือ “ไม่ทำลายระบบเผาผลาญ” และ “ไม่โยโย่” เพราะ…

  • ไม่ลดพลังงานจนต่ำเกินไป ร่างกายไม่เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน
  • ไม่มีการตัดกลุ่มอาหารใดออกทั้งหมด → ลดความเครียดและภาวะอยากจัด
  • มีความหลากหลายของรสชาติและวัตถุดิบ → คนทำตามได้ต่อเนื่อง ไม่เบื่อ
  • ช่วยสร้างนิสัยกินดีในระยะยาว มากกว่าการมองแค่ “ลดกี่โล”

คนจำนวนมากที่เคยไดเอทแบบ Keto, IF หรือ Low-carb แล้วล้มเหลว พบว่า DASH เป็นแนวทางที่ทำได้จริง โดยเฉพาะคนที่ชอบอาหารไทย เพราะไม่ต้องตัดข้าวหรือเลิกกินผลไม้ ในหัวข้อถัดไป เราจะลงลึกถึง “หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์” ที่ยืนยันว่า DASH ไม่ได้แค่ดีต่อความรู้สึก แต่ลดความดันโลหิตได้จริง ทั้งในคนป่วยและคนที่กำลังเสี่ยง

DASH Diet กับผลลัพธ์ด้านความดันโลหิตจากงานวิจัย

แม้ว่าเราจะพูดกันมากถึงหลักการของ DASH Diet ว่าช่วยลดโซเดียม เพิ่มโพแทสเซียม และเน้นใยอาหาร แต่คำถามสำคัญคือ: แล้ว ผลลัพธ์จริง ล่ะ? มีงานวิจัยใดรองรับบ้าง? ในส่วนนี้ เราจะพาไปดูข้อมูลจากการทดลองควบคุม (RCTs) ที่ถูกยอมรับในระดับนานาชาติ รวมถึงผลต่อกลุ่มเสี่ยงอย่าง “พรีไฮเปอร์เทนชัน” ซึ่งยังไม่เป็นความดันสูงเต็มตัว

การลดโซเดียมและการเพิ่มโพแทสเซียมช่วยลดความดัน

กลไกพื้นฐานของ DASH Diet คือการ ปรับสมดุลแร่ธาตุในร่างกาย โดยเฉพาะ “ลดโซเดียม” และ “เพิ่มโพแทสเซียม” ผ่านการเลือกอาหารที่เหมาะสม เช่น

  • ลดอาหารแปรรูปและเกลือปรุงรส
  • เพิ่มผลไม้สด ผักใบเขียว และพืชตระกูลถั่ว

โพแทสเซียมช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ และยังช่วยคลายหลอดเลือด ทำให้แรงต้านลดลง ความดันก็ลดลงตาม

หลายงานวิจัยพบว่า แค่ลดโซเดียมอย่างเดียวอาจไม่พอ ถ้าไม่เพิ่มโพแทสเซียมให้ถึงระดับ ก็ยังควบคุมความดันได้ไม่เต็มที่

ข้อมูลจากการทดลองควบคุมในสหรัฐฯ และยุโรป

หนึ่งในงานวิจัยที่ยืนยันประสิทธิภาพของ DASH Diet อย่างชัดเจนคือโครงการ DASH Study ปี 1997 ซึ่งตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine โดย:

  • กลุ่มทดลองกินอาหารตามแนวทาง DASH เป็นเวลา 8 สัปดาห์
  • พบว่า ความดันซิสโตลิก (ตัวบน) ลดลงเฉลี่ย 5.5 mmHg
    และ ไดแอสโตลิก (ตัวล่าง) ลดลง 3 mmHg
    เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

ต่อมาในโครงการ DASH-Sodium Trial ปี 2001 ได้ศึกษาผลของ DASH + ลดเกลืออย่างเข้มงวด (ไม่เกิน 1,500 มก./วัน)

  • กลุ่มที่ใช้ DASH + โซเดียมต่ำที่สุด
    ความดันซิสโตลิกลดลงถึง 11.5 mmHg ในผู้ป่วยความดันสูง

ในยุโรปก็มีการทำซ้ำผลลัพธ์ เช่น โครงการ ENCORE Study ที่พบว่า DASH Diet เมื่อควบคู่กับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ยิ่งเพิ่มผลต่อการลดความดันและน้ำหนักพร้อมกัน

DASH Diet กับกลุ่มผู้ป่วยพรีไฮเปอร์เทนชัน (Pre-HT)

กลุ่มที่ยังไม่เป็นความดันสูง แต่มีค่าความดันระหว่าง 120–139/80–89 mmHg เรียกว่า “Pre-hypertension” หรือที่ในบางคู่มือเรียก “Elevated BP”

งานวิจัยพบว่า DASH Diet ช่วย “ชะลอการพัฒนาไปสู่ภาวะไฮเปอร์เทนชันเต็มตัว” โดย:

  • ลดความดันในระดับป้องกัน ไม่ต้องพึ่งยา
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและไตจากระยะเริ่มต้น
  • ช่วยปรับพฤติกรรมโดยไม่รู้สึกว่ากำลังรักษาโรค

สำหรับแพทย์และนักโภชนาการ DASH กลายเป็นแนวทางเบื้องต้นที่แนะนำทันทีเมื่อตรวจพบความดันสูงระดับเริ่มต้น หัวข้อถัดไป เราจะพูดถึง วิธีปรับพฤติกรรมอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้การเปลี่ยนมาใช้ DASH Diet นั้นไม่รู้สึกฝืน แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง

การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินไปสู่ DASH Diet อย่างเป็นขั้นตอน

แม้ว่า DASH Diet จะเป็นแนวทางการกินที่ได้รับการยอมรับจากแพทย์ทั่วโลก แต่การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในชีวิตจริงอาจเป็นเรื่องยากถ้าทำแบบหักดิบ จุดสำคัญจึงไม่ใช่การ “เปลี่ยนทั้งหมดในวันเดียว” แต่คือการ ค่อย ๆ ขยับทีละนิด จนกลายเป็น “พฤติกรรมใหม่ที่ยั่งยืน” ในส่วนนี้จะชวนมาดู 3 แนวทางที่ทำได้จริงและปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ทันที

ปรับรสเค็มให้ค่อย ๆ ลดลง

หนึ่งในปัญหาใหญ่ของคนไทยคือ “ลิ้นติดเค็ม” ซึ่งเกิดจากการกินอาหารโซเดียมสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น อาหารแปรรูป น้ำปลา ซอสปรุงรส หรือแม้แต่อาหารที่ดูสุขภาพดีอย่าง “ข้าวต้มปลา” ที่ซุปมักเค็มจัด

หากเปลี่ยนพฤติกรรมโดยตัดเกลือหรือซอสทันที อาจทำให้รู้สึกว่าอาหารจืดจนทานไม่ลง ซึ่งจะไม่ยั่งยืนในระยะยาว จึงควรใช้หลัก “ลดทีละน้อย” ดังนี้:

  • ลดการเติมเครื่องปรุงลงครึ่งหนึ่ง
  • ใช้สมุนไพร เช่น ขิง กระเทียม ตะไคร้ แทนการปรุงรส
  • ค่อย ๆ ลดซุปก้อนหรือผงชูรสออกจากอาหารประจำวัน

ภายใน 2–3 สัปดาห์ต่อมาระบบรับรสจะเริ่ม “รีเซ็ต” ทำให้รับรสธรรมชาติของอาหารได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งรสเค็มจัดอีกต่อไป

การเลือกซื้ออาหารแบบ “อ่านฉลาก”

อาหารสำเร็จรูปหรืออาหารกล่องเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเมือง แต่ปัญหาคือหลายคนยังไม่ชินกับการอ่านฉลากโภชนาการ ซึ่งอาจทำให้ไม่รู้ตัวว่าอาหารที่กินเข้าไป “โซเดียมสูงเกินเกณฑ์แนะนำ”

แนวทางง่าย ๆ คือ:

  • เลือกดู “โซเดียมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค” และเปรียบเทียบหลายยี่ห้อ
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่โซเดียมมากกว่า 600 มก.ต่อหน่วยบริโภค
  • สังเกตคำว่า “โซเดียมต่ำ” หรือ “เกลือลด” แต่ต้องดูปริมาณจริงประกอบด้วย

การอ่านฉลากยังช่วยให้ระวังพลังงานรวม น้ำตาล และไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไปได้อีกด้วย

ใช้ระบบบันทึกอาหาร (Food Diary) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมเดิม

การเปลี่ยนพฤติกรรมต้องเริ่มจาก “เข้าใจตัวเองก่อน” ว่าเรากินอะไรบ่อย กินเมื่อไหร่ และกินเพราะอะไร การใช้ Food Diary จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น:

  • จดเวลา–เมนู–ปริมาณอาหาร–สถานการณ์ขณะกิน
  • บันทึกความรู้สึกหรือแรงกระตุ้น เช่น “เครียดจากงานเลยสั่งของทอด”
  • ทบทวนสิ่งที่กินทุกวัน/สัปดาห์ เพื่อตั้งเป้าปรับปรุงเฉพาะจุด

เมื่อเข้าใจพฤติกรรมการกินเดิม ก็สามารถเชื่อมโยงไปสู่การเลือกเมนู DASH ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ง่ายขึ้น ในหัวข้อต่อไป เราจะเปิดมุมมองเปรียบเทียบว่า DASH Diet ต่างจากแนวทางยอดนิยมอื่น ๆ เช่น Keto หรือ IF อย่างไร และแบบไหนยั่งยืนกับคนไทยมากกว่ากัน

เปรียบเทียบ DASH Diet กับแนวทางลดน้ำหนักอื่นๆ

แม้ DASH Diet จะได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ทั่วโลก แต่ก็ไม่ใช่แนวทางเดียวในการควบคุมน้ำหนักและสุขภาพหัวใจ มีแนวทางยอดนิยมอื่น ๆ เช่น Keto Diet และ IF (Intermittent Fasting) ที่คนจำนวนไม่น้อยเลือกใช้ ดังนั้นเราจึงควรเข้าใจความแตกต่าง จุดเด่น และข้อจำกัดของแต่ละแนวทาง เพื่อเลือกสิ่งที่เหมาะกับตนเองที่สุด ไม่ใช่เดินตามกระแสนิยมโดยขาดความเข้าใจ

ต่างจาก Keto อย่างไร

Keto Diet เน้นการจำกัดคาร์โบไฮเดรตให้น้อยมาก (ประมาณ 5–10% ของพลังงานทั้งหมด) เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ “คีโตซิส” ซึ่งจะใช้ไขมันเป็นพลังงานหลักแทนน้ำตาล แนวทางนี้มักให้ผลในการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วในระยะสั้น เพราะลดระดับอินซูลินและส่งเสริมการเผาผลาญไขมันสะสม

ในขณะที่ DASH Diet ไม่เน้นลดคาร์โบฯ จัดจ้าน แต่เน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และยังมีใยอาหารสูงช่วยเรื่องความอิ่ม

ข้อแตกต่างสำคัญ:

  • Keto: เน้นไขมันสูง → เสี่ยงต่อระดับไขมันในเลือดสูงหากเลือกไขมันไม่ดี
  • DASH: เน้นไขมันต่ำ–โปรตีนพอดี–ใยอาหารสูง → คุมความดันและหัวใจได้ดีกว่า

ดีกว่า IF ตรงความสมดุลและยั่งยืน

IF (Intermittent Fasting) เป็นแนวทางที่กำหนด “เวลาในการกิน” เช่น 16:8 (งดอาหาร 16 ชั่วโมง กินได้ใน 8 ชั่วโมง) ซึ่งช่วยลดพลังงานโดยรวม และส่งผลดีต่อระดับอินซูลินและการเผาผลาญ

แต่ข้อจำกัดคือ IF ไม่ได้ระบุว่าในช่วงที่กินควร “กินอะไร” บางคนจึงกินอาหารฟาสต์ฟู้ดหรือหวานจัดในช่วงเวลาที่กินได้ ซึ่งอาจส่งผลเสียระยะยาว

ในทางกลับกัน DASH Diet แม้จะไม่กำหนดช่วงเวลา แต่ให้ความสำคัญกับ “คุณภาพของอาหาร” และการลดโซเดียม เพิ่มโพแทสเซียม–ใยอาหาร จึงให้ผลชัดเจนทั้งในด้านความดันโลหิตและน้ำหนักในระยะยาว

นอกจากนี้ DASH ยังเหมาะกับผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยเรื้อรังมากกว่า เพราะไม่ต้องเคร่งเวลา

ข้อดี–ข้อจำกัดของ DASH สำหรับคนไทย

ข้อดีของ DASH สำหรับคนไทย:

  • วัตถุดิบพื้นฐาน เช่น ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืช และผลไม้หาง่ายในตลาด
  • ไม่ต้องอดหรือคุมเข้มจนเกิดโยโย่เอฟเฟกต์
  • ปรับใช้กับอาหารไทยได้ง่าย เช่น ต้มจืด ผัดผักน้ำมันน้อย ส้มตำไม่ใส่ปลาร้า

ข้อจำกัดที่ต้องระวัง:

  • อาหารไทยทั่วไปมักมีโซเดียมสูง เช่น น้ำปลา น้ำพริก น้ำจิ้ม → ต้องปรับลดหรือหาทางทดแทน
  • เมนูข้างทาง–ของทอด–ของหวาน → อาจต้องใช้วินัยสูงในการหลีกเลี่ยง
  • บางคนเข้าใจผิดว่า DASH คือ “กินจืด” ทำให้หมดกำลังใจตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

ดังนั้น ความสำเร็จในการใช้ DASH จึงขึ้นอยู่กับ การปรับให้เหมาะกับวิถีชีวิต ไม่ใช่ลอกสูตรเป๊ะ ๆ จากต่างประเทศ ในหัวข้อต่อไปเราจะมาดูกันว่า ใครบ้างที่เหมาะกับ DASH Diet และใครบ้างควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม เพื่อให้การปรับพฤติกรรมครั้งนี้ปลอดภัยและได้ผลในระยะยาว

ใครบ้างที่เหมาะกับ DASH Diet และใครบ้างควรปรึกษาแพทย์ก่อน

แม้ DASH Diet จะเป็นแนวทางที่ถูกแนะนำอย่างกว้างขวางโดยสถาบันสุขภาพระดับโลก แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนในรูปแบบเดียวกันเสียทีเดียว การเลือกใช้ DASH ควรคำนึงถึง “สถานะสุขภาพเฉพาะบุคคล” เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่เกิดผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปที่ต้องการป้องกันโรค หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวซับซ้อน

กลุ่มผู้มีภาวะความดันสูง–น้ำหนักเกิน

กลุ่มนี้ถือว่าเป็น “เป้าหมายหลัก” ของ DASH Diet โดยตรง เพราะแนวทางนี้เน้นลดโซเดียม เพิ่มโพแทสเซียม และลดไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่าส่งผลดีต่อระดับความดันโลหิตและภาวะดื้อต่ออินซูลินในกลุ่มที่มีไขมันสะสมรอบเอวสูง (หรืออ้วนลงพุง)

  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย ไม่โยโย่
  • ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดพร้อมกัน
  • เนื่องจากไม่ใช่การจำกัดแคลอรีจัดจ้าน จึงสามารถใช้ในระยะยาวได้ง่าย

กลุ่มผู้มีโรคไตหรือใช้ยาขับปัสสาวะควรได้รับคำแนะนำเฉพาะ

แม้ DASH จะเน้น “เพิ่มโพแทสเซียม” ซึ่งดีต่อหัวใจ แต่ในกลุ่มที่มี ไตบกพร่องหรือโรคไตระยะเริ่มต้น–กลาง การได้รับโพแทสเซียมมากเกินไปอาจทำให้ไตทำงานหนัก และเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) ซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจ

เช่นเดียวกับผู้ที่ใช้ ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Potassium-sparing diuretics เช่น Spironolactone อาจต้องระวังการได้รับโพแทสเซียมจากอาหารสูงเกินไป

  • กลุ่มนี้ไม่ควรใช้ DASH โดยพลการ
  • ควรปรับสูตร DASH แบบ “ลดโพแทสเซียมบางส่วน” ภายใต้การดูแลของนักโภชนาการหรือแพทย์
  • การตรวจค่าการทำงานของไต (eGFR, Creatinine) และโพแทสเซียมในเลือด เป็นเรื่องจำเป็นก่อนเริ่ม

เด็ก–วัยรุ่น หรือผู้สูงอายุ ปรับใช้ DASH อย่างไรให้เหมาะ

DASH Diet สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกช่วงวัย แต่ต้องมีการปรับระดับพลังงานและสารอาหารตามช่วงอายุและกิจกรรมทางกาย

  • ในเด็กและวัยรุ่น ควรเน้นคุณภาพของอาหารเป็นหลัก เช่น ลดน้ำอัดลม–ขนมหวาน เพิ่มผักผลไม้ และให้อาหารครบ 5 หมู่ โดยไม่จำกัดแคลอรีมากเกินไป
  • ในผู้สูงอายุ ควรให้ความสำคัญกับการเคี้ยวกลืน การดูดซึมสารอาหาร และโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน–ความดัน–ไขมันในเลือด

DASH จึงเป็นแนวทางที่ “ยืดหยุ่นได้” หากรู้จักปรับให้สอดคล้องกับสุขภาพของแต่ละบุคคล ไม่ใช่แค่เลือกกินตามสูตร แต่ควรเรียนรู้และปรับวิถีชีวิตให้เหมาะกับตัวเอง ในหัวข้อสุดท้าย เราจะมาสรุปภาพรวมของ DASH ว่าทำไมแนวทางนี้ถึงเป็นมากกว่าการควบคุมอาหาร แต่คือ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างยั่งยืน

สรุป: DASH Diet คือแนวทางป้องกันโรคเรื้อรังที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติได้จริง

เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดทั้งบทความ จะเห็นว่า อาหารแดช (DASH Diet) ไม่ได้เป็นแค่สูตรลดโซเดียม แต่คือ แนวทางที่มีรากฐานมาจากหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์และโภชนาการ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับโรคเรื้อรังโดยเฉพาะ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และโรคหัวใจ

จุดเด่นของ DASH คือการเน้น “โภชนาการที่สมดุล” ไม่สุดโต่งแบบคีโต หรือบีบเวลาแบบ IF ทำให้เหมาะกับคนทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในชีวิตประจำวัน แบบยั่งยืน

การกินที่ดีจึงช่วยได้มากกว่ายาในระยะยาว เพราะเมื่อพฤติกรรมพื้นฐานของการบริโภคเปลี่ยนไป – ผลลัพธ์ในสุขภาพก็เปลี่ยนตามโดยไม่ต้องพึ่งพาการรักษาหนัก ๆ จากโรคเรื้อรัง

สิ่งสำคัญคือ DASH Diet ไม่ใช่แค่การป้องกันโรค แต่มันคือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ไปสู่ความสมดุลทั้งในแง่ร่างกาย อารมณ์ และสังคม (เช่น การเลือกอาหารเวลาออกไปกินข้าวกับครอบครัว หรือการจัดตารางทำกับข้าวเอง)

สุดท้าย ก่อนเริ่ม DASH อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว หรืออยู่ในช่วงวัยที่ต้องการการดูแลพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก หรือผู้ป่วยโรคไต ควรปรึกษาแพทย์ หรือนักโภชนาการที่มีใบรับรอง เพื่อให้แนวทางที่เลือกใช้นั้นปลอดภัยและได้ผลลัพธ์สูงสุด เริ่มต้นจากจานอาหารของวันนี้ คุณอาจกำลังวางรากฐานให้สุขภาพดีในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สถาบันวิจัยโภชนาการ, มหาวิทยาลัยมหิดล

AL (13 October 2015). “Screening for High Blood Pressure in Adults: U.S. Preventive Services Task Force Recommendation Statement.”. Annals of Internal Medicine. 163: 778–86. 

2005, Marla Heller, from The DASH Diet Action Plan, htth://dashdiet.org

“Unusual hypertensive phenotypes: what is their significance?”. Hypertension. 59 (2): 173–78. PMID 22184330.

National Heart, lung, and Blood Institute for information on heart disease and health.“Your guide to lowering your blood pressure with DASH”: http://www.nhlbi.nih.gov/health/public/heart/dash/index.htm.