โควิดสายพันธุ์เดลต้าพลัส

0
โควิดสายพันธุ์เดลตาพลัส Delta Plus กลายพันธุ์จากสายพันเดลตาซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนามของไวรัส
โควิดสายพันธุ์เดลต้าพลัส
โควิดสายพันธุ์เดลตาพลัส Delta Plus กลายพันธุ์จากสายพันเดลตาซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนามของไวรัส

โควิดเดลตาพลัส

โควิดสายพันธุ์เดลตาพลัส Delta Plus (B.1.617.21.1 หรือ AY.4.2) คือ โควิดกลายพันธุ์จากสายพันเดลตา (B.1.617.2) เกิดจากการกลายพันธุ์แบบ K417N ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์ในโปรตีนหนามของไวรัส พบครั้งแรกในแถบยุโรปช่วงเดือนมีนาคม และพบในประเทศอินเดีย ช่วงเดือนเมษายน ในปัจจุบันพบว่าสายพันธุ์เดลตาพลัส มีการระบาดในหลายประเทศทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น โปแลนด์ เนปาล รัสเซีย จีน ตุรกี เดนมาร์ค อินเดีย รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยผู้เชี่ยวชาญประเทศอังกฤษระบุว่า Covid สายพันธุ์ ‘เดลต้าพลัส’ แพร่เชื้อได้ง่ายกว่าเดลต้า โควิดสายพันธุ์เดลต้า (Delta) พบครั้งแรกในอินเดีย มีความสามารถในการจับเซลล์ของมนุษย์ได้ง่ายขึ้น ติดง่ายขึ้น แพร่กระเชื้อได้ง่ายและรวดเร็ว และยังมีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์เดลตา พลัส (Delta Plus) ที่มีคุณสมบัติหลบภูมิคุ้มกันได้ดี ติดต่อเชื้อได้ง่ายแพร่กระจายเชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) ซึ่งในปัจจุบันพบว่า มีการระบาดมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก

อาการของสายพันธุ์เดลต้า

  • ปวดศีรษะ
  • มีน้ำมูก
  • เจ็บคอ
  • มีไข้
  • ไม่ค่อยพบการสูญเสียการรับรส
  • อาการคล้ายไข้หวัด

วิธีป้องกันตนเอง

  • สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน
  • หมั่นล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือสบู่บ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่เสี่ยง แออัด ไม่ปลอดโปร่ง
  • เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล Social Distancing
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19
  • หากมีความผิดปกติ หรือสัมผัสผู้ติดเชื้อ ควรรีบมาพบแพทย์

สายพันธุ์ Covid-19 ที่ต้องระวัง

1 มิ.ย. 2564 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประกาศเปลี่ยนการเรียกชื่อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ โดยมีชื่อเรียกและความรุนแรงของแต่ละสายพันธุ์ดังต่อไปนี้

สายพันธุ์แกมม่า P.1 (สายพันธุ์บราซิล) รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เลี่ยงภูมิคุ้มกัน ลดประสิทธิภาพวัคซีน

สายพันธุ์อัลฟ่า B.1.1.7 (สายพันธุ์อังกฤษ) เลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด แพร่กระจายง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น 40-70%

สายพันธุ์เดลต้า B.1.617 (สายพันธุ์อินเดีย) ระบาดเร็ว แพร่เชื้อง่าย หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

สายพันธุ์เบต้า B.1.351 (สายพันธุ์แอฟริการใต้) ระบาดรวดเร็ว แพร่เชื้อไวขึ้นราว 50% ลดประสิทธิภาพแอนติบอดี้

7 วัคซีนป้องกันการติดเชื่อที่รุนแรงที่องค์การอนามัยโลกอนุมัติให้ใช้

1. mRNA-1273 หรือ โมเดิร์นนา อนุมัติใน 76 ประเทศ
2. BNT162b2 หรือ ไฟเซอร์/BioNTech ได้รับการอนุมัติใน 103 ประเทศ
3. Ad26.COV2.S หรือ Janssen (Johnson & Johnson) อนุมัติใน 75 ประเทศ
4. AZD1222 หรือ อ็อกซ์ฟอร์ด/แอสตร้าเซเนก้า ได้รับการอนุมัติใน 124 ประเทศ
5. Serum Institute of India Covishield (สูตรออกซ์ฟอร์ด/แอสตร้าเซเนก้า) อนุมัติใน 46 ประเทศ
6. BBIBP-CorV (Vero Cells) หรือ Sinopharm (ปักกิ่ง) ได้รับการอนุมัติใน 68 ประเทศ
7. Sinovac หรือ CoronaVac ได้รับการอนุมัติใน 42 ประเทศ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอชไพโลไร (H. Pylori ) สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร

0
เอชไพโลไร (H. Pylori ) สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ติดต่อจากคนสู่คน เป็นได้ทุกเพศทุกวัย
เอชไพโลไร (H. Pylori ) สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ติดต่อจากคนสู่คน เป็นได้ทุกเพศทุกวัย

เอชไพโลไร (H. Pylori)

เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) หรือ เอชไพโลไร (H. Pylori) คือ เชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ติดต่อจากคนสู่คนซึ่งสามารถติดเชื้อชนิดนี้ได้กับทุกเพศทุกวัย และเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหาร เชื้อเอชไพโลไรมีคุณสมบัติพิเศษสามารถผลิตด่างขึ้นป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกกรดทำลาย ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลงจึงทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ แต่บางรายเชื้ออาจทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นรวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารด้วย

สาเหตุของการติดเชื้อ H. Pylori

  • เกิดจากการสัมผัสเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
  • รับประทานอาหารและดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อ
  • รับประทานอาหารแช่งแข็งที่ปรุงไม่สุก หรืออาหารดิบ

อาการของการติดเชื้อ H. Pylori

  • มีอาการปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง บริเวณใต้ลิ้นปี่
  • อาการปวดก่อนหรือหลังอาหาร
  • มีอาการปวดแสบ จุกเสียดลิ้นปี่
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เบื่ออาหาร
  • เรอบ่อย
  • อุจจาระมีสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือด
  • น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ

วิธีตรวจหาเชื้อ H. Pylori

  • การเป่าลมหายใจ และวัดหาระดับยูเรีย
  • การส่องกล้องทางเดินกระเพาะอาหารส่วนบนเพื่อตัดชิ้นเนื้อ
  • การตรวจอุจจาระ
  • ตรวจเลือด

การป้องกันการติดเชื้อ H. Pylori

  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนที่จะจัดเตรียมหรือรับประทานอาหาร
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงไม่สุก
  • ดูแลอุปกรณ์การทำอาหารและภาชนะให้สะอาดอยู่เสมอ
  • หากมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร หรือเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง ควรพบแพทย์

โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ H. Pylori

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พยาธิตัวกลม ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยงสู่คนได้จริงหรือไม่ 

0
พยาธิตัวกลม ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยงสู่คนได้จริงหรือไม่ 
พยาธิตัวกลม สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้สุนัขหรือแมว ในมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากการได้รับไข่พยาธิเข้าทางปาก
พยาธิตัวกลม ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยงสู่คนได้จริงหรือไม่ 
พยาธิตัวกลม สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้สุนัขหรือแมว ในมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากการได้รับไข่พยาธิเข้าทางปาก

พยาธิตัวกลม

พยาธิตัวกลม (Toxocariasis) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้สุนัขหรือแมว ไข่พยาธิสามารถอยู่ได้เป็นเวลานานในสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่นที่มีดิน ทราย สนามหญ้า การติดเชื้อพยาธิในมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากการได้รับไข่พยาธิเข้าทางปาก โดยสุนัขหรือแมวได้ถ่ายอุจจาระลงในดินและมนุษย์ก็ได้รับไข่พยาธิตัวกลมจากการสัมผัสดิน ทราย หรือพืชที่ปนเปื้อนนั้นเอง ส่วนใหญ่มักพบในเด็กติดเชื้อจากการเล่นในบริเวณที่อาจมีการปนเปื้อนอุจจาระของสุนัขและแมวที่มีไข่พยาธิ ลักษณะของพยาธิตัวกลมมีรูปร่างยาวกลมมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับชนิด พยาธิตัวกลมที่เพิ่งฟักออกมาจากไข่มักอาศัยอยู่ในดินหรืออุจจาระที่ติดเชื้อนั้นเอง

การวินิจฉัยและการทดสอบการติดเชื้อพยาธิตัวกลม

แพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยอาการเบื้องต้นว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อพยาธิตัวกลม โดยมีขั้นตอนการตรวจอื่นๆ ในการวินิจฉัยร่วมด้วย ได้แก่

  • การตรวจร่างกายทั่วไป
  • เก็บตัวอย่างอุจจาระและปัสสาวะของผู้ป่วย เพื่อตรวจหาไข่หรือตัวอ่อนพยาธิตัวกลม
  • การตรวจเลือด เพื่อค้นหาการติดเชื้อในเลือด
  • การตรวจชิ้นเนื้อ
  • อัลตราซาวนด์ เพื่อค้นหาพยาธิในต่อมน้ำเหลือง
  • x-ray เพื่อดูขนาดและปริมาณพยาธิในลำไส้
  • ซีทีสแกน เพื่อดูภาพพยาธิในช่องท้องและสำไส้

สาเหตุการเกิดพยาธิตัวกลม

  • ผู้สัมผัสดินหรือสิ่งสกปรกปนเปื้อนไข่หรือตัวอ่อนพยาธิตัวกลม
  • ผู้ที่อาศัยในประเทศเขตร้อน
  • เด็กที่ชอบเล่นดิน
  • ชุมชนที่มีสุขภิบาลไม่ดี
  • สภาพชุมชนแออัด
  • มีภาวะทุพโภชนาการ
  • ชอบกินผักดิบ
  • ชอบกินเนื้อสัตว์แบบสุกๆ ดิบๆ
  • สัมผัสกับมูลสัตว์ด้วยมือเปล่า
  • ผู้ที่ชอบท่องเที่ยวตามธรรมชาติป่า เขา หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่เขตร้อน
  • ผู้ที่ไม่ชอบใส่รองเท้า หรือเดินเท้าเปล่า
  • ผู้ที่ใช้น้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่ผ่านการกรองหรือต้มให้สุกก่อน
  • คนในประเทศที่ยังยากจนขาดสุขาภิบาลที่เหมาะสม
  • ชุมชนที่ขาดการกำจัดอุจจาระที่เหมาะสม
  • นำอุจจาระที่ปนเปื้อนไข่หรือตัวอ่อนพยาธิตัวกลมมาทำเป็นปุ๋ยสดสำหรับใช้รดพืชผลทางการเกษตร

อาการผู้ติดเชื้อพยาธิตัวกลม

  • ไอ
  • เป็นไข้
  • กระสับกระส่าย
  • นอนไม่หลับ
  •  อาเจียน
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง
  • หายใจเสียงดัง
  • ร่างกายแคระแกร็น หรือตัวเตี้ยกว่าปกติ
  • ท้องโต หรือ ภาวะทุพโภชนาการ

ระยะชีวิตของพยาธิตัวกลม

  • ไข่ฟักเป็นตัวอ่อนในลำไส้ของโฮสต์
  • ตัวอ่อนจะเคลื่อนที่ผ่านร่างกาย ผ่านทางกระแสเลือดไปยังปอด
  • ตัวอ่อนจะโตเต็มที่ในปอดก่อนเข้าคอ
  • หากกลืนเข้าไป ตัวอ่อนจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้และเติบโตเป็นตัวเต็มวัย
  • พยาธิตัวกลมตัวเมียจะผลิตไข่ได้ประมาณ 200,000 ฟองต่อวัน
  • ไข่พยาธิจะออกจากร่างกายปนไปกับอุจจาระของคน

การป้องกันพยาธิตัวกลมในลำไส้

  • ควรกรองน้ำ หรือต้มน้ำก่อนดื่มทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำในสถานที่ที่น้ำไม่สะอาด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสดินที่ปนเปื้อนอุจจาระ
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนหลังทำอาหาร หรือหยิบอาหารรับประทาน
  • เมื่อซื้ออาหาร ผัก ผลไม้ ควรล้างทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง
  • กำจัดสิ่งปฎฺิกูลในที่ที่เหมาะสม
  • ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักดิบในช่วงหน้าฝน

ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของพยาธิตัวกลม

  • การอุดตันในท่อที่เชื่อมต่อกับตับหรือตับอ่อน
  • การอุดตันในลำไส้ทำให้เกิดอาการปวดและอาเจียน
  • การทำให้เกิดการขาดสารอาหารในเด็ก และหยุดการเจริญเติบโตตัวเล็กกว่าปกติหรือแคระแกรน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคแพนิค อันตรายหรือไม่

0
โรคแพนิค อันตรายหรือไม่
แพนิคเป็นอาการตื่นตระหนก รู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ เสียขวัญ หวาดกลัวอย่างกะทันหันเป็นประจำทุกวัน เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อตึงเครียด หรืออันตราย
โรคแพนิค อันตรายหรือไม่
ตื่นตระหนก รู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ เสียขวัญ หดหู่ เบื่อหน่าย หวาดกลัวอย่างกะทันหันเป็นประจำทุกวัน

โรคแพนิค

โรคแพนิค ( Panic Disorder ) คือ โรคตื่นตระหนกทำให้รู้สึกวิตกกังวล ไม่สบายใจ เสียขวัญ หวาดกลัวอย่างกะทันหันเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อสถานการณ์ที่ตึงเครียด หรือเป็นอันตราย อาจมีอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงมากไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน

อาการของโรคตื่นตระหนก

  • ปากแห้ง
  • หัวใจเต้นแรง หรือใจสั่น
  • หายใจถี่
  • ตัวสั่น
  • เหงื่อออก หรือหนาวสั่น
  • รู้สึกหน้ามืด
  • คลื่นไส้
  • อาการวิงเวียนศีรษะ
  • รู้สึกเสียวซ่าน หรือมือเท้าชา
  • เจ็บหน้าอก
  • ร้อนวูบวาบ
  • ท้องไส้ปั่นป่วน
  • รู้สึกเหมือนกำลังสำลัก

สาเหตุของโรคแพนิคที่เกิดขึ้นได้บ่อย

แม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของโรคตื่นตระหนกจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหลายคนเชื่อว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
ชีวภาพ และจิตวิทยาร่วมกันมีบทบาทดังนี้

  • อายุ : โรคแพนิคอาการตื่นตระหนกมักเกิดขึ้นระหว่างอายุ 18 ถึง 35 ปี
  • เพศ : ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติพบว่า ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคแพนิคมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า
  • พันธุศาสตร์ : หากมีคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดทางสายเลือดที่เป็นโรคแพนิค คุณก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคแพนิคได้เช่นกัน
  • ผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต : มีโอกาสเกิดอาการแพนิคได้มากกว่าคนทั่วไป
  • การใช้สารเสพติด : ผู้เสพเป็นเวลานานๆ ส่งผลกระทบต่อสมอง หวาดกลัว ก้าวร้าว นอนไม่หลับ
  • การได้รับอุบัติเหตุ : การบาดเจ็บรุนแรงหรือเจอเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
  • การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่กะทันหัน เช่น การสูญเสียคนที่เป็นที่รักไป การหย่าร้าง มีลูก ตกงานเป็นต้น

การรักษาโรคแพนิค

โดยทั่วไปการรักษาอาการตื่นตระหนกมักได้รับการรักษาทางจิตเวช โดยจิตแพทย์ นักจิตบำบัด โยคะบำบัด และการใช้ยา

  • จิตบำบัด เป็นการพูดคุยถือเป็นการรักษาทางเลือกแรกที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเสียขวัญ ตื่นตระหนก และเรียนรู้วิธีการรับมือที่จะเกิดขึ้นอีก
  • การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า (Antidepressants) เป็นยาปรับระดับสารเคมีในสมองให้สมดุลย์
  • การใช้ยาระงับอาการวิตกกังวล (Anti-anxiety drugs) เป็นยานอนหลับกดการทำงานของสมองช่วยคลายเครียดกังวลใจ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคตื่นตระหนก

นอกจากนั้นผู้ป่วยโรคแพนิคยังเสี่ยงที่จะมีความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องที่พบบ่อย ได้แก่

  • โรคซึมเศร้า หรือ Depression
  • โรควิตกกังวลทั่วไป หรือ Generalized Anxiety Disorder (GAD)
  • โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ Obsessive-Compulsive Disorder (OCD)
  • โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง หรือ Post-traumatic stress disorder (PTSD)
  • โรคกลัวการเข้าสังคม หรือ Social anxiety disorder (SAD)

อย่างไรก็ตามผู้ที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคแพนิค ต้องฝึกการตั้งสติ ลดความเครียด โดยการทำกิจกรรมที่คุณรู้สึกทำแล้วสบายใจ สงบ หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงที่อาจทำให้โรคแพนิคกำเริบขึ้นได้นั้นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เจาะลึกข้อมูล“ฝากไข่” สิ่งดีๆสำหรับคุณผู้หญิงมีบุตรยาก

0

ทำความรู้จัก การฝากไข่คืออะไร มีขั้นตอน วิธีการทำอย่างไรบ้าง 

ภาวะมีบุตรยาก เป็นภาวะที่เปรียบเสมือนฝันร้ายของเหล่าคุณผู้หญิงที่ใฝ่ฝันอยากมีบุตร เพราะด้วยความที่ตนเองได้ประสบภาวะนี้จะทำให้รังไข่มีประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก

ส่งผลให้ไม่สามารถมีบุตรได้แม้ว่าจะไม่ได้คุมกำเนิดก็ตาม แต่ในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีมากมาย เพื่อช่วยเหลือเหล่าคุณผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก หรือ ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร หนึ่งใน เทคโนโลยีนั้น มีชื่อว่า การฝากไข่ ด้วยเทคโนโลยีนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า จะจุดประกายความฝันที่มืดมิดของเหล่าคุณผู้หญิงที่บุตรยาก ให้กลับมาสว่างอีกครั้ง 

ในบทความนี้ผู้เขียนจะพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับ เทคโนโลยีการฝากไข่ ที่ทำให้คุณผู้หญิงทุกท่านสามารถวางแผนชีวิตการมีบุตรกับคู่รักของคุณได้ อีกครั้ง

การฝากไข่ คืออะไร ? มาทำความรู้จักกัน

ฝากไข่ คือ การนำไข่ที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ของคุณผู้หญิงออกมาจากรังไข่ เพื่อนำไปเก็บโดยการแช่แข็ง (Egg freezing หรือ Oocyte cryopreservation) ในห้องปฏิบัติการที่ดูแลโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์เฉพาะทาง ไข่ที่ถูกเก็บจะถูกแช่ด้วยไนโตรเจนเหลว -195 องศาสเซลเซียส ซึ่งขั้นตอนนี้จะถูกเรียกว่า Vitrification ซึ่งการแช่ด้วยไนโตรเจนเหลว จะทำให้ไข่ที่อยู่ในสภาพดีทั้งหมดนั้นยังคงสภาพและคุณภาพที่ดี แม้จะถูกเก็บไว้นาน 

ใครที่เหมาะที่จะฝากไข่  ?

การฝากไข่นั้น ไม่ได้จำกัดแค่ผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก แต่ผู้หญิงที่ต้องการวางแผนชีวิตในอนาคตทุกท่านก็สามารถฝากไข่ไว้ได้เช่นกัน แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่สมควรอย่างยื่งที่จะต้องเข้ารับการฝากไข่ หากต้องการที่จะมีบุตร คือกลุ่มดังต่อไปนี้ 

  • ผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมตั้งครรถ์ ผู้หญิงในกลุ่มนี้คือกลุ่มที่อาจจะยังมีงาน ยังอยากเที่ยวอยู่ อยากใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นให้คุ้มค่า การฝากไข่จึงช่วยให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ สามารถมาวางแผนการมีบุตรในภายหลังได้
  • ผู้หญิงที่มีปัญหาสุขภาพตรงระบบสืบพันธุ์ ผู้หญิงในกลุ่มนี้ คือกลุ่มผู้หญิงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฝากไข่ เพราะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสที่จะเกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ 

( Endometriosis) หรือ มีโอกาสเป็น ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate cyst) เนื่องด้วยโรคพวกนี้เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติตรงรังไข่

  • ผู้หญิงที่มีปัญหาพันธุกรรมเกี่ยวกับรังไข่ ผู้หญิงกลุ่มนี้คือกลุ่มอาการเทอร์เนอร์ ซินโดรม ( Turner Syndrome) และกลุ่มอาการโครโมโซมXเปราะบาง (Fragile X syndrome) ซึ่งอาการเหล่านี้คือต้นตอของปัญหารังไข่ของคุณผู้หญิงเสื่อมเร็ว
  • ผู้หญิงที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดบริเวณรังไข่ ผู้หญิงกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ต้องเข้ารับการรักษาโรคที่เกิดบริเวณรังไช่ เพื่อให้เซลล์ไข่ของท่านปลอดภัยการฝากไข่จึงเป็นวิธีที่สมควร เพื่อให้คุณผู้หญิงสามารถมีลูกได้หลังเข้ารับการรักษาและหายดีเรียบร้อย
  • ผู้หญิงที่ครอบครัวมีประวัติประจำเดือนหมดก่อนเวลาอันควร โดยทั่วไปผู้หญิงจะเริ่มประจำเดือนหมดตอนอายุ  50 ปี  แต่ถ้าประจำเดือนหมดก่อนช่วงอายุดังกล่าวนั้นหมายความว่า คุณผู้หญิงประจำเดือนหมดก่อนวัย ซึ่งนั่นหมายความว่า ช่วงอายุที่สามารถตั้งครรถ์ได้ก็จะลดลงไปด้วย เพื่อให้ คุณผู้หญิงที่มีประวัติดังกล่าวได้มีโอกาสมีบุตร แพทย์จึงแนะนำการฝากไข่
  • ผู้หญิงที่กำลังรักษาโรคมะเร็ง การรักษาโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ เคมีบำบัด (Chemotherapy) และการฉายแสง (Radiotheraphy) ซึ่งการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้ส่งผลให้รังไข่ผลิตไข่ได้น้อยลงและคุณภาพต่ำลง ถือว่าส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงโดยตรง
  • ผู้หญิงที่ใช้วิธีเด็กหลอดแก้ว (IVF) แล้วไม่ได้ผล สำหรับคุณผู้หญิงที่ทำเด็กหลอดแก้วแล้วไม่สำเร็จ ไม่ต้องกังวลไป แพทย์จะแนะนำให้คุณทำการฝากไข่

การเตรียมตัวก่อนการฝากไข่

ก่อนเริ่มฝากไข่ เราจะต้องพบแพทย์ และคุยรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการฝากไข่ เพื่อให้เราเข้าใจว่า เรากำลังทำอะไร และแพทย์จะแนะนำด้วยว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อการฝากไข่ ซึ่งมีทั้งหมดดังนี้

  1. กระตุ้นรังไข่ด้วยปริมาณยาตามที่แพทย์สั่ง
  2. ทานอาหารประเภทโปรตีนเพื่อช่วยบำรุงไข่
  3. ทานวิตามินตามที่แพทย์แนะนำ
  4. งดการทำกิจกรรมหนักๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่ได้รับบการกระทบกระเทือน
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ
  6. งดภาวะความเครียด

ขั้นตอนการฝากไข่ มีกี่วิธี เจาะลึกให้รู้ก่อนไปทำ !

หลายท่านคงจะสงสัยว่า วิธีฝากไข่นั้นเริ่มจากอะไร ต้องเตรียมตัวอย่างไร ในหัวข้อนี้เราจะมาบอกทุกท่านเองครับ 

การที่คุณผู้หญิงจะเข้ารับการฝากไข่นั้น จะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อรับการปรึกษาก่อน แพทย์จะแนะนำการฝากไข่ และการเตรียมร่างกายก่อนวันนัดมาเก็บไข่ครับ โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่จะได้รับคำแนะนำให้ทานอาหารจำพวกโปรตีน และหากประจำเดือนมาให้รีบโทรเข้ามา เพื่อทำการอัลตราซาวน์

ขั้นตอนที่ 1 หลังจากพบแพทย์แล้ว แพทย์จะนัดมาอีกทีเพื่อตรวจอัลตราซาวน์ดูรังไข่ และ ตรวจระดับฮอร์โมนโดยการเจาะเลือด 

ขั้นตอนที่ 2 หลังจากตรวจอัลตราซาวน์เรียบร้อย พยาบาลจะสอนให้เราฉีดฮอร์โมนกระตุ้นไข่ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะทำให้ร่างกายเราผลิตไข่ได้มากกว่าปกติ ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะฮอร์โมนนี้ผลิตออกมาเลียนแบบฮอร์โมนธรรมชาติ ไม่เป็นอันตรายแน่นอน ซึ่งเราต้องฉีดเองวันละครั้งตรงสะดือ ซึ่งฮอร์โมนนี้มีชื่อว่า Gonal-f® (follitropin alfa for injection) เป็นตัวยา Follicle Stimulating Hormone (FSH) เป็นตัวที่ใช้ฉีดยาเพื่อกระตุ้นไข่

ขั้นตอนที่ 3 เมื่อฉีดฮอร์โมนได้ประมาณ 4 วัน แพทย์จะนัดมาทำการอัลตราซาวน์อีกครั้ง เพื่อวัดดูขนาดของไข่ พร้อมกับเจาะเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน ถ้าการตรวจฮอร์โมนออกมามี ฮอร์โมน  LH (Luteinizing Hormone) สูงหรือต่ำเกินไป จะทำให้มีปัญหาเรื่องการโตของไข่ แพทย์จะให้ฮอร์โมนอีกตัวเพื่อปรับระดับ LH ให้เหมาะสม และจะนัดเพื่อมาเก็บไข่อีกที

ขั้นตอนที่ 5 เมื่อถึงเวลาที่ไข่พร้อมเก็บแล้ว คุณหมอจะนัดมาฉีดฮอร์โมน ชื่อ hCG (Human Chorionic Gonadotropin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ไข่สุกพร้อมเก็บ

ขั้นตอนที่ 6 แพทย์จะนัดมาเก็บไข่ โดยแพทย์จะให้ยาสลบทางสายน้ำเกลือ และจะเริ่มสอดอุปกรณ์ทีมีลักษณะหัวเข็มเข้าไปในรังไข่ แล้วใช้อุปกรณ์นั้นดูดไข่เราออกมา และไข่ที่ถูกดูดออกมาจะถูกนำไปเก็บโดยการแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิ -195  องศาเซลเซียส

ขั้นตอนที่ 7 เมื่อพักฟื้นแล้ว พทแพทย์อีกครั้ง แพทย์จะบอกเราว่าเก็บไข่มาได้กี่ฟอง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการฝากไข่ครับ

อาการผลข้างเคียงที่อาจเกิดหลังฝากไข่

การฝากไข่นับเป็นวิธีที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยมาก เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงอย่าได้กังวลไปครับ แต่ผลข้างเคียงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จะมี อาการคลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย อาจมีอาการปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย หรือแน่นท้องได้ เป็นต้นครับ แต่ทั้งนี้ ถ้ามีอาการผิดปกติ หรือ มีอาการผลข้างเคียงที่รุนแรง ควรรีบติดต่อแพทย์ทันทีครับ เพื่อความปลอดภัยครับ

ฝากไข่ อายุเท่าไรดี? เตรียมพร้อมก่อนถึงเวลา

จริงๆแล้วไม่มีกำหนด แต่สิ่งที่กำหนดคือคุณภาพของรังไข่ เรา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ช่วงอายุ 20-30 ปี จะเป็นช่วงที่เรียกว่า อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ไข่มีความสมบูรณ์มาก และมีอัตรารอดที่สูงมากอีกด้วย ในทางกลับกัน ถ้า ผู้ฝากไข่ อายุมากกว่า 35 ปี โอกาสสำเร็จก็น้อยลงตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สำเร็จนะครับ
ทั้งนี้ ทั้งนั้น การฝากไข่เพื่อตั้งครรถ์ในอนาคตไม่ใช่วิธีที่ได้ผลอย่างนอนมีโอกาส ล้มเหลว ขึ้นอยู่กับปัจจัย ความแข็งแรงของร่างกายผู้หญิง ความแข็งแร็งของอสุจิที่ผู้ชายได้ฝากเชื้ออสุจิไว้  และอายุเป็นต้น

ฝากไข่ราคาเท่าไร ถ้าจะฝากไข่ต้องเสียเงินเท่าไร

เราไม่สามารถบอกราคาได้ตรงๆ ว่าราคาการฝากไข่นั้นราคาเท่าไร เพราะราคาค่าบริการต่างๆ ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลที่เราขอรับบริการการฝากไข่  แต่เราสามารถกำหนดราคาคร่าวๆได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ จะแบ่งเป็นสองช่วง โดยช่วงแรกคือ ค่าบริการทางการแพทย์และค่าบริการระหว่างขั้นตอนการฝากไข่ จะอยู่ที่ราคาประมาณ 100,000-150,000 บาท และค่าบริการในการเก็บรักษาไข่ จะเสียเป็นรายปีปีละประมาณ 1,500 – 5,000 บาทต่อปี โดยความผันผวนของราคานี้ ขึ้นอยู่กับราคาที่ทางโรงพยาบาลตั้งขึ้น และ จำนวนไข่ที่เราได้ฝาก

ฝากไข่ ที่ไหนดี ?  เราควรตัดสินใจอย่างไรในการดูรีวิว เลือกสถานที่ขอรับบริการการฝากไข่

ปัจจุบัน มีสถานพยาบาล หรือ โรงพยาบาลมากมายที่มีบริการรับฝากไข่ ไม่ว่าจะเป็น ฝากไข่ รพ จุฬา ฝากไข่ รามา ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก BeyondIVF นอกจากนี้ยังมีสถานที่ให้บริการดีๆ อีกมากมาย ได้ยินแบบนี้แล้วคุณผู้หญิงคงสงสัยว่า ถ้ามีที่ดีๆมากมายแล้ว ดิชั้นควรจะใช้ปัจจัยใดบ้างในการเลือก สถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่เหมาะสมในการฝากไข่

  1. ความใกล้-ไกล ระหว่างที่พักของเราและโรงพยาบาล ปัจจัยนี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐาน เพราะ ทำให้เราสะดวกในการเดินทางเวลามีปัญหาฉุกเฉิน หรือ เดินทางกลับหลังจากเก็บไข่เสร็จเรียบร้อย
  2. หาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ ว่าเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านนี้หรือไม่ ปัจจัยนี้คือสิ่งสำคัญเพราะแพทย์จะทำหน้าที่ตั้งแต่เราก้าวเท้าเข้าไปเพื่อขอรับบริการฝากไข่ ไปจนถึง หลังเสร็จการฝากไข่แล้ว เพราะฉะนั้น แพทย์จึงควรเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านการเจริญพันธุ์ เพราะจะทำให้เราอุ่นใจได้
  3. โรงพยาบาลควรมีศูนย์สำหรับผู้มีบุตรยาก หรือ ศูนย์เจริญพันธุ์โดยเฉพาะ เพราะ ทำให้เราวางใจได้ว่า เมื่อเราเข้ารับบริการจากที่นั่นแล้ว เครื่องมือของเขาจะพร้อมเสมอ และทำให้การฝากไข่สำเร็จลุล่วง
  4. ค่าใช้จ่าย สำหรับคนที่ต้องการจะประหยัด การเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลรัฐอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า และไม่ต้องกังวลครับ ปัจจุบัน โรงพยาบาลรัฐมีทั้งความปลอดภัยและเครื่องมือที่ทันสมัยแล้วเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น การฝากไข่ รพ จุฬา ฝากไข่ รามา แม้กระทั่งที่ โรงพยาบาลศิริราชครับ
  5. สุขอนามัย ในโรงพยาบาลนั้นๆ อันนี้คือสิ่งสำคัญเพราะ ถ้ามีสุขอนามัยในโรงพยาบาลน้อย เรามีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อครับ

มุมรวมคำถามข้อสงสัย เกี่ยวกับการฝากไข่เพิ่มเติม

อัตราการตั้งครรถ์ของไข่ที่ฝากไว้ ดีกว่าปกติอย่างไร ? 

ถ้าอายุ 20-30 ปี ซึ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์ โอกาสสำเร็จหรืออัตรารอดของไข่ อาจจะสูงถึง 80%-90% เลยทีเดียว นอกจากนี้ วัยนี้ยังเป็นวัยที่ผลิตไข่ได้มากที่สุดจึงเพิ่มโอกาสไปอีก เนื่องด้วยเหตุผลนี้ ถ้าเราฝากไข่ไว้ในช่วง อายุประมาณนี้ตามที่กล่าว แล้วนำไปใช้ในอนาคตเมื่อพร้อมมีบุตร โอกาสสำเร็จจึงมีมากขึ้น กว่าวิธีการทางธรรมชาติ

ในการฝากไข่ สามารถฝากไข่เก็บไว้ได้กี่ปี

สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ทางผู้เขียนบอกได้เลยว่า คุณผู้หญิงสามารถเก็บไข่ได้นานตามที่ต้องการ ขอเพียงมีสารเพิ่มความเย็น (ซึ่งก็คือ ไนโตรเจนเหลว) เพียงพอ ก็สามารถเก็บไว้ได้จนกว่าคุณผู้หญิงจะพร้อม แต่ผู้เขียนแนะนำว่าควร นำไข่ที่แช่มาใช้ก่อนอายุ 50 ปี เพราะ ถ้าอายุมากกว่านี้ จะมีโอกาสทำให้ประสบปัญหาโรคแทรกซ้อนซึ่งเป็นอุปสรรคในการตั้งครรถ์ได้

ฝากไข่เจ็บไหม

ไม่ต้องกังวลเลยครับ จากที่ผู้เขียนศึกษามา เจ็บสุด ก็คือตอนปักเข็มให้น้ำเกลือครับ หลายคนอาจจะคิดว่าตอนฉีดยาฮอร์โมนเจ็บ แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นครับ และตอนดูดไข่มาเก็บเราจะอยู่ในฤทธิ์ยาสลบทำให้ไม่รู้สึกตัวครับ สิ่งที่ควรระวังคือผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างที่กล่าวไปข้างบนครับ เพราะ อาการปวดหน่วงตรงช่องท้อง จะมีลักษณะคล้ายการปวดประจำเดือนครับ ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาให้เราทานเพื่อบรรเทาอยู่แล้วครับ

อายุ 40 ปี ไม่สายแน่นอนที่จะฝากไข่

สำหรับหัวข้อนี้ เอาใจคุณผู้หญิง อายุ 40 ที่มีความสงสัยว่า อายุ 40 แล้วยังฝากไข่ได้ไหม คำตอบคือ ฝากได้ครับ ไม่มีปัญหา แต่อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น เพราะ อาจจะต้องมีการฉีดยากระตุ้นรังไข่ หลายรอบ และทำการเก็บไข่หลายรอบมากกว่า วัยเจริญพันธุ์ เพื่อหาไข่ที่แข็งแรง เพราะวัย 40 เป็นวัยที่เลยวัยเจริญพันธุ์แล้ว ทำให้ร่างกาย ผลิตไข่ได้น้อยลงและคุณภาพอาจจะลดลงครับ ทั้งนี้ ขั้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคุณผู้หญิงด้วยครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ คำตอบเกี่ยวกับการฝากไข่ ได้ครบครันเลยใช่ไหมครับ สุดท้ายนี้ผู้เขียนอยากจะบอกคุณผู้หญิงทุกท่านว่า ไม่มีคำว่าแพงเกินไป หรือ ถูกเกินไปครับ

สำหรับการฝากไข่ เพราะเรากำลังพูดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดชีวิตน้อยๆ 1 ชีวิตที่ประเมินค่าไม่ได้ และ ไม่มีคำว่าสายเกินไปครับ เพราะ ตอนนี้ คุณผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมมีบุตร สามารถฝากไข่เพื่อเตรียมตัวสำหรับการมีบุตรในวัยที่พร้อมแล้วได้ครับ ตอนนี้โลกเราได้สร้างโอกาสให้ใครหลายคนมากขึ้น ทางผู้เขียนหวังว่าคุณผู้หญิงทุกท่านจะใช้โอกาสที่มีอย่างคุ้มค่า และ มีบุตรได้ดั่งตามที่คุณผู้หญิงฝันครับ 

หรือสามารถดู รีวิวฝากไข่ เพิ่มเติมได้จากช่องทางนี้ครับ รีวิวฝากไข่ แชร์ประสบการณ์จริง แนะนำ ละเอียดครบทุกขั้นตอน Beyond IVF

ธุรกิจเดลิเวอรี่ตอบโจทย์ทุกความสะดวก รวดเร็วดีจริงหรือไม่

0
ธุรกิจเดลิเวอรี่ตอบโจทย์ทุกความสะดวก รวดเร็วดีจริงหรือไม่
เดลิเวอรี่เป็นบริการจัดส่งถึงที่ เมื่อสั่งสินค้าแล้วบริการจัดส่งให้ในทันที ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้
ธุรกิจเดลิเวอรี่ตอบโจทย์ทุกความสะดวก รวดเร็วดีจริงหรือไม่
เดลิเวอรี่เป็นบริการจัดส่งถึงที่ เมื่อสั่งสินค้าแล้วบริการจัดส่งให้ในทันที ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้

เดลิเวอรี่

เดลิเวอรี่ (Delivery) คือ บริการจัดส่งถึงที่ เมื่อสั่งสินค้า/บริการจัดส่งให้ในทันที เช่น จัดส่งดอกไม้ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าต่างๆอีกมากมาย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปแต่ละร้านด้วยต้นเอง หรือบางร้านอาจมีบริการเก็บเงินปลายทางให้อีกด้วย และยังเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สร้างรายได้ให้หลายคน ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเดลิเวอรี่อยู่หลายราย

เหตุผลสำคัญที่คนนิยมสั่งอาหารเดลิเวอรี่

การสั่งเดลิเวอรี่ กลายเป็นเรื่องปกติของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเมนูอร่อยแบบร้อนหรือเย็นก็ออเดอร์ผ่านทางเดลิเวอรี่ได้มากขึ้น จนทำให้หลายร้านต้องปรับตัวมารับเดลิเวอรี่มากขึ้น และยิ่งในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ช่องทางการขายและซื้อทางออนไลน์มากขึ้น บางคนไม่เคยใช้บริการเดลิเวอรี่ เมื่อทดลองใช้ก็เกิดอาการติดใจในความในเรื่อง

  • เข้าถึงของอร่อยได้ง่าย ส่งตรงถึงหน้าบ้าน
  • กินได้หลากหลาย ครบทุกความอร่อยในมื้อเดียว
  • งานรัดตัว ไม่มีเวลา
  • ขี้เกียจออกจากบ้าน
  • เบื่อรถติด หาที่จอดรถไม่ได้
  • ไม่อยากจะเดินทางไปที่ร้านเอง
  • สั่งง่ายแค่คลิ๊ก
  • มีช่องทางการชำระเงินให้เลือกมากกว่า 1 ช่องทาง
  • มีอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่มให้เลือกหลากหลาย
  • รับคูปองส่วนลดเมื่อสั่งอาหารครบ 200 บาทขึ้นไป
  • โปรโมชั่นเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า
  • ส่งเร็วทันใจ หากอยู่ในระยะทางที่ไม่เกิน 1 กิโลเมตร
  • เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคลดการสัมผัส
  • ไม่ต้องเสียเวลาไปรอคิวนานๆ
  • สามารถสั่งอาหารพร้อม ๆ กันหลายร้านได้ในมื้อเดียว

พฤติกรรม ทัศนคติของกลุ่มผู้บริโภค

BABY BOOMER (1946–1964)
– ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านมากขึ้น
– หันมาช๊อปออนไลน์มากขึ้น เพราะสะดวกสบาย
– อยู่บ้านมากขึ้น ลดทานอาหารนอกบ้านหรือท่องเที่ยวน้อยลง
– ใช้โซเชียลมีเดียลดความโดดเดี่ยวมากขึ้น แชร์ข้อมูลสุขภาพ และแฟชั่นให้กับเพื่อน ๆ
GEN X (1965–1980)
– เป็นวัยที่ชอบสิทธิพิเศษ ของสมนาคุณ หรือสะสมแต้มสมาชิก
– ใส่ใจเรื่องสุขภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
GEN Y / MILLENIALS (1980–1994)
– สนใจธุรกิจบ้านและที่อยู่อาศัย ตกแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์ตามความชื่นชอบ
– ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลชีวิต เช่น เสียง ASMR คอร์สฟิตเนสออนไลน์ หรืออาหารคลีน
– ชอบใช้โซเชียลมีเดีย แชร์กิจกรรมวันหยุด โชว์ไลฟ์สไตล์หรูหรา
– มีความเชื่อมั่นในความจริงใจของธุรกิจ และความซื่อสัตย์ต่อกลุ่มลูกค้า
GEN Z (1994–2010)
– เสพสื่อและไขข้อเท็จจริง พร้อมแสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์มากขึ้น
– ภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อ ไม่ยึดถือเรื่องความสวย มีคาร์แรกเตอร์ชัดเจน
– มีอิทธิพลกับการเงิน เพราะสามารถทำเงินได้จากการสตรีมมิ่งและธุรกิจออนไลน์
– เป็นส่วนสำคัญในเทรนด์โซเชียลมีเดีย เพราะการเรียนรู้และเปิดรับได้ง่ายจึงสามารถกระจายคอนเทนต์ได้รวดเร็ว
ALPHA (2010–2024)
– เป็นวัยที่พึ่งพาแอปลพิเคชั่นและเทคโนโลยีมากสุดในยุคโควิด-19
– บริการฟู้ดเดลิเวอรี่มีร้านค้าให้เลือกอาหารและของว่างให้เด็กหลากหลาย
– ต้องการแบรนด์สินค้า อาหาร และเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถรีวิวได้ไม่เกินจริง

พฤติกรรมของผู้บริโภคของคนกรุงเทพในแต่ละกลุ่ม

คนกรุงเทพมีการใช้บริการจัดส่งอาหารมากสุด 5 ครั้งต่อเดือนต่อคนโดยแบ่งเป็น

  • กลุ่มนักเรียนนักศึกษา (18 – 20 ปี) มีการใช้บริการสั่งอาหาร 4.8 ครั้งต่อเดือน
  • วัยเริ่มต้นวัยทำงาน (21 – 30 ปี) มีการใช้บริการสั่งอาหาร 5.2 ครั้งต่อเดือน
  • คนทำงานทั่วไป (อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป) มีการใช้บริการสั่งอาหารอยู่ที่ 4.8 ครั้งต่อเดือน

เปรียบเทียบความนิยมระหว่าง อาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่ม

1. อาหาร เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ยำ ทอด ส้มตำ พิซซ่า 71.5%
2. เครื่องดื่ม เช่น น้ำชง ชาไข่มุก น้ำสมุนไพร น้ำผลไม้ 19.43%
3. ขนมหวาน เช่น ขนมไทย เบเกอรี่ 9.07%

เมนูที่คนไทยนิยมสั่งออนไลน์ผ่านแอป Food Delivery

1. เครื่องดื่ม หรือชานมไข่มุก
2. เมนูทอดและย่าง
3. อาหารฟาสฟู้ด
4. ก๋วยเตี๋ยว/อาหารประเภทเส้น
5. ขนมปัง / เบเกอรี่

ตารางเปรียบเทียบ 6 แอพ Food Delivery

Food Delivery ค่าบริการ (โดยประมาณ) ระยะเวลาการจัดส่ง พื้นที่ให้บริการ
Grab เริ่มต้นที่ 8 บาท 20-40 นาที ทั่วประเทศ
Foodpanda เริ่มต้นที่ 9 บาท 30-50 นาที ทั่วประเทศ
Gojek 5 กม. แรกเริ่อมต้น 10 บาท กทม. และปริมณฑล
LINE MAN เริ่มต้นที่ 10 บาท 40-50 นาที กทม. ปริมณฑล และทุกภูมิภาค
Robinhood 4 กม. แรกเริ่อมต้น 9 บาท กทม. และปริมณฑล
Lalamove เริ่มต้นที่ 55 บาท 45-60 นาที กทม. และปริมณฑล

สินค้าออนไลน์ที่น่าขายที่สุด?

1. อาหารกล่อง เป็นแบบเมนูเดียวจบ มีทั้งอาหารไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือเกาหลี
2. อาหารซีฟู๊ด เป็นเมนูท๊อปบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเมนูปูดอง กุ้งเแช่น้ำปลา หรือทะเลเผา
3. น้ำพริก เป็นอาหารแห้งที่ลูกค้าชอบซื้อไปเก็บไว้ทาน เช่น น้ำพริกแห้ง น้ำพริกผัด
4. อาหารประเภททอด เป็นเมนูทอดที่ไม่ธรรมดา เช่น ต้องมีสูตรเด็ด หรือ มีไอเดียที่แปลกและน่ากินมากกว่าร้านทั่วไป
5. อาหารคลีน เป็นอาหารของเทรนด์หนุ่มสาวรักสุขภาพที่กำลังมาแรง
6. ผลไม้สด เป็นอีกประเภทที่ลูกค้าสนใจสั่งมากอยู่ไม่น้อย และผลไม้ต้องมีคุณภาพ แพ็คเกจสวย
7. อาหารสดแช่แข็ง เป็นสินค้าที่ขนส่งง่าย เป็นที่ต้องการของลูกค้าทั่วไป เช่น ปลาสด กุ้งสด หมึกสด
8. เบเกอรี่ เป็นอีกสินค้าที่ขายดี เช่น เค้ก ขนมปัง คุกกี้ หรือขนมไทย ซึ่งการจัดส่งง่าย มีช่องทางการจัดส่งหลากหลาย

เดลิเวอรี่ ทำให้หลายคนมีงานทำ ทำให้ได้กินของอร่อยโดยไม่ต้องเดินทาง ทำให้ร้านค้าเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น เมื่อมีประโยชน์ ก็เกิดการใช้ จะใช้เพื่อความสะดวก ความคุ้มค่า ช่วยบริหารเวลา หรือช่วยอุดหนุนร้านค้า ซึ่งทำให้บริการเดลิเวอรี่ครองใจคนในยุคปัจจุบันมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

กินปลาดิบอย่างไรให้ปลอดภัย

0
กินปลาดิบอย่างไรให้ปลอดภัย
ปลาดิบ คือ เนื้อปลาทะเลสด แล่เป็นชิ้นบาง ๆ นิยมกินกับวาซาบิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และหัวไช้เท้าขูดฝอย เช่น แซลมอล ทูน่า
กินปลาดิบอย่างไรให้ปลอดภัย
ปลาดิบ คือ เนื้อปลาทะเลสดแล่เป็นชิ้นบาง ๆ นิยมกินกับวาซาบิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และหัวไช้เท้าขูดฝอย เช่น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า เป็นต้น

ปลาดิบ

ปลาดิบ (Raw fish) คือ เนื้อปลาทะเลสดแล่เป็นชิ้นบาง ๆ นิยมกินกับวาซาบิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และหัวไช้เท้าฝอย เช่น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า หรือปลาอื่น ๆ ปลาดิบสามารถนำมาประกอบอาหารหลายรูปแบบ แตกต่างกันไปตามความนิยมของแต่ละประเทศ เช่น ซาชิมิของประเทศญี่ปุ่นที่จะหั่นปลาดิบเป็นชิ้นพอดีคำรับประทานคู่กับวาซาบิและซอสถั่วเหลือง ประเทศอิตาลีที่นำปลาดิบมาแล่บาง ๆ รับประทานคู่กับสลัด และคนไทยในแถบอีสานจะเป็นก้อยปลาโดยใช้เนื้อปลาดิบมาผสมกับน้ำปลา น้ำมะนาว กระเทียม พริก และผักชนิดต่าง ๆ ให้รสชาติคล้ายลาบและส้มตำ

ประโยชน์ของปลาดิบ

  • เพิ่มสารอาหาร การรับประทานปลาดิบบางชนิดอาจได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากเนื้อปลาได้มากกว่า เช่น วิตามินดีธรรมชาติที่มักไม่ค่อยพบในอาหารชนิดอื่น และโอเมก้า 3
  • เสริมความแข็งแรงให้อสุจิ มีงานวิจัยหนึ่งให้ผู้ชายจำนวน 188 คนรับประทานปลาสดร่วมกับผัก ผลไม้ และธัญพืช พบว่าอสุจิของผู้ทดลองนั้นมีรูปลักษณ์ที่แข็งแรงและมีความคล่องตัวมากกว่าอสุจิของผู้ที่รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
  • ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง การประทานปลาดิบแทนปลาปรุงสุกอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ เพราะการทอดปลาหรือย่างปลาด้วยความร้อนสูงจะทำให้เกิดสารอันตรายอย่างเฮเทอโรไซคลิก เอมีน (Heterocyclic Amine) อาจทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ปลาดิบ เช่น ปลาแซลมอนอุดมไปด้วย โอเมก้า 3 ช่วยต้านโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

ข้อควรระวังในการบริโภคปลาดิบ

อันตรายจากปลาดิบหรือเนื้อปลาที่ปรุงไม่สุก บางคนชอบเนื้อปลาสดสัมผัสถึงรสชาติหวานของปลาดิบเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นรวมถึงคนไทยบางกลุ่ม เช่น ซาซิมิ ซูชิ โดยเฉพาะปลาดิบที่มาจากทะเลสดๆ เช่น แซลมอน ปลามากุโระ ปลาบุริ ปลาซาบะ ปลาคัตสึโอะ ปลาโอ หลายคนเกิดความกังวนเมื่อกินเนื้อปลาดิบที่ไม่มีวิธีจัดการอย่างถูกวิธีในการเตรียมวัตถุดิบก่อนนำมาทำอาหาร

การจัดเก็บวัตถุดิบในเมนูปลาดิบให้ปลอดภัยจากพยาธิ

ก่อนนำปลาดิบมารับประทานควรนำไปแช่แข็งและจัดเก็บที่อุณหภูมิติดลบ 20 องศา (-20°C) หรือต่ำกว่าเป็นเวลา 7 วัน หรือแช่แข็งที่อุณหภูมิติดลบ 35 องศา (- 35°C) เป็นเวลา 15 ชั่วโมงก็สามารถฆ่าตัวอ่อนพยาธิหรือไข่พยาธิในเนื้อปลาดิบก่อนนำไปรับประทานได้

การติดเชื้อพยาธิจากปลาดิบ

การติดเชื้อพยาธิใบไม้จะเกิดขึ้นหากกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนด้วยไข่พยาธิหรือตัวออ่นจะเริ่มฝังตัวอยู่ตามผนังลำไส้ เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในของร่างกาย พยาธิสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรวมถึงปลาสามารถมีพยาธิได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า ปรสิต สามารถแพร่เชื้อสู่คนผ่านทางอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนตัวพยาธิหรือไข่พยาธิ ได้แก่ พยาธิใบไม้ (trematodes) พยาธิตัวตืด (cestodes) และพยาธิไส้เดือน (Ascariasis) ซึ่งพยาธิมีขนาดเล็กไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามีอยู่ประมาณ 50,000 สายพันธุ์ พยาธิสามารถแพร่กระจายได้ง่ายทำให้เกิดการติดเชื้อภายในระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรงอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อชีวิตได้

สาเหตุของการเกิดโรคพยาธิ

โรคพยาธิ เกิดจากการรับพยาธิหรือไข่พยาธิเข้าสู่ร่างกาย โดยมีช่องทางการเข้าสู่ร่างกาย ดังนี้
1. เข้าทางปาก จากการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนไข่พยาธิ หรือ ตัวพยาธิ
2. เข้าทางผิวหนัง เกิดจาการเข้าทางแผล หรือ สัตว์เป็นพาหะ

อาการเบื้องต้นของโรคพยาธิที่พบบ่อย

ใครบ้างที่เสี่ยงการติดเชื้อพยาธิ

  • ผู้ที่กินเนื้อปลาดิบเป็นประจำ
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในถิ่นอาศัย หรือชุมชนที่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี
  • ผู้ที่กินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนไข่หรือตัวอ่อนพยาธิ
  • ผู้ที่ใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ไม่ผ่านการกรองหรือบำบัด

วิธีป้องกันการติดเชื้อพยาธิเบื้องต้น

  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ก่อน – หลังหยิบจับอาหารเข้าปาก
  • ดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มสุกหรือผ่านการกรองแล้ว
  • ไม่กลืนน้ำเวลาเล่นน้ำจากแหล่งธรรมชาติ
  • ควรปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกก่อนรับประทานทุกครั้งถ้าเป็นไปได้
  • ล้างเนื้อสัตว์ เนื้อปลาดิบ ก่อนรับประทานหรือปรุงอาหาร

อย่างไรก็ตาม การกินปลาดิบเป็นประจำจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อพยาธิได้ แต่พยาธิบางชนิดก็สามารถอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ คุณสามารถลดความเสี่ยงจากพยาธิ โดยการเลือกทานและเลือกซื้อปลาดิบจากร้านที่ได้คุณภาพมีความน่าเชื่อถือในความสะอาด และมีวิธีการจัดเตรียมอาหารเมนูปลาดิบได้อย่างเหมาะสมถูกวิธีนั้นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เจลาติน คืออะไร

0
เจลาติน คืออะไร
เจลาตินเป็นส่วนประกอบในอาหารไร้สีไร้รสได้มาจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนเกือบทั้งหมดคล้ายอัลบูมินที่ละลายน้ำ ได้มาจากการต้มหนังเนื้อเยื่อของสัตว์ กระดูก ผิวหนัง และเส้นเอ็นของสัตว์
เจลาติน คืออะไร
เจลาตินเป็นส่วนประกอบในอาหารไร้สีไร้รสได้มาจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนเกือบทั้งหมดคล้ายอัลบูมินที่ละลายน้ำ 

เจลาติน

เจลาติน (Gelatin) คือ ส่วนประกอบในอาหารไร้สีไร้รสได้มาจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนเกือบทั้งหมดคล้ายอัลบูมินที่ละลายน้ำได้ ซึ่งได้มาจากการต้มหนังเนื้อเยื่อของสัตว์ กระดูก ผิวหนัง และเส้นเอ็นของสัตว์ เช่น วัว ควาย ไก่ หมู และปลา ในเจลาตินมีกรดอะมิโนอยู่สองชนิดเป็นสารที่ร่างกายมนุษย์ใช้สร้างคอลลาเจน จากข้อมูลพบว่าในผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ใช้สารเพิ่มความข้นจากเจลาตินที่มนุษย์ใช้อยู่นั้นประมาณ 9,590 จาก 10,586 รายการในเกรดอาหาร และเกรดยา ในรูปแบบแคปซูลเจลาตินคิดเป็นประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ สำหรับขนมหวานบางชนิด เช่น ขนมเหนียว ๆ ลูกอมเหนียวหนึบ มาร์ชเมลโลว์ เค้ก พาย เยลลี่ โยเกิร์ตข้น ลูกอมเยลลี่ ฯลฯ

เจลาตินทำอย่างไร

นำกระดูก เนื้อเยื่อ เส้นเอ็น หนังแห้งจากสัตว์ รวมถึงเกล็ดปลาสามารถใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการทำเจลาตินได้ ขั้นตอนต่อไปหั่นวัตถุดิบทั้งหมดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วแช่ด้วยน้ำล้างให้สะอาด และนำไปแช่ต่อในสารเคมีประมาณสองวัน
เมื่อครบ 2 วันแล้วก็นำวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการไฮโดรไลซิส ซึ่งเป็นกระบวนการย่อยสลายตัวของวัตถุดิบด้วยปฏิกิริยาจากน้ำร้อนและสารเคมี เมื่อเสร็จแล้วเอาวัตถุดิบที่ได้พักทิ้งไว้ให้เย็น หลังจากนั้นกรองแยกน้ำแยกกากเสร็จแล้วเป็นขั้นตอนการทำให้กระจ่างน้ำระเหยเพื่อให้ผลิตภัณฑ์เจลาตินมีความเข้มข้นสูง มาถึงขั้นตอนการฆ่าเชื้อแล้วรอให้เย็นแล้วฆ่าเชื้อซ้ำอีกครั้ง โดยนำไปผ่านกระบวนการที่เปลี่ยนของเหลวให้เป็นเจล จากนั้นนำไปเข้าเตาอบเพื่อบดให้เป็นผงขนาดสม่ำเสมอ คัดแยก และบรรจุ

ประเภทของเจลาติน

1. เจลาตินแบบแผ่น
2. ผงเจลาติน
3. แคปซูลเจลาติน (แคปซูลยา)

ประโยชน์ของเจลาตินต่อสุขภาพ

  • เจลาตินช่วยสร้างและรักษาเนื้อเยื่อของร่างการให้แข็งแรง
  • เจลาตินช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ลดริ้วรอย ร่องลึกต่างๆ
  • อุดมไปด้วยกรดกลูตามิกช่วยย่อยอาหารโดยกระตุ้นการผลิตน้ำย่อย
  • ช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหาร
  • คอลลาเจนในเจลาตินสามารถลดอาการปวดข้อที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
  • ไลซีนในเจลาตินช่วยเสริมสร้างกระดูก และป้องกันการสูญเสียกระดูก
  • ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม
  • ช่วยให้กระดูกแข็งแรงไกลซีนในเจลาติน
  • ช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดียิ่งขึ้น

คุณสมบัติที่สำคัญของเจลาติน คืออะไร

  • เจลาตินละลายที่อุณหภูมิร่างกายทำให้รู้สึกสบายปากจึงเหมาะสำหรับทำขนม เช่น กัมมี่ มาร์ชเมลโลว์ ลูกอมเคี้ยวหนึบ และผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ และของหวานอื่นๆ อีกมากมาย
  • เป็นโปรตีนจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัย เมื่อรับประทานเข้าไปจึงทำให้เกิดอาการแพ้ในร่างกายมนุษย์น้อยมาก ดังนั้น เจลาตินจึงเหมาะสำหรับการใช้งานด้านเภสัชกรรมและการแพทย์
  • เจลาตินเป็นส่วนประกอบในอาหารทั่วไปในซุป ซอส ลูกอมเหนียวหนึบ และเจลาตินไม่ได้ใช้ในอาหารเท่านั้น แต่ยังใช้ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหรือเครื่องสำอางเท่าและเจลาตินยังถูกใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ ฟิล์มถ่ายภาพกระดาษ หัวไม้ขีด กระดาษทราย กระดาษพิมพ์เคลือบเงา หมวกว่ายน้ำ
  • แผ่นจำลองทางการแพทย์สำหรับเย็บแผลผ่าตัด
  • การตรวจลักษณะบาดแผลที่เกิดจากการถูกยิงด้วยอาวุธปืน
  • เพื่อระบุบาดแผลทางเข้าและบาดแผลทางออกของกระสุนปืนใช้ในงานด้านนิติวิทยาศาสตร์

กรดอะมิโนในเจลาตินจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีมากที่สุด

  • ไกลซีน 27%
  • โพรลีน 16%
  • วาลีน 14%
  • ไฮดรอกซีโพรลีน 14%
  • กรดกลูตามิก 11%

ผลข้างเคียงของเจลาตินคืออะไร?

นอกจากจะใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพแล้ว เจลาตินยังใช้ทำการเคลือบแคปซูลสำหรับยาหลายชนิดอีกด้วย แม้ว่าจะพบได้ยาก แต่บุคคลบางคนอาจแพ้ผลิตภัณฑ์เจลาตินจากวัว ดังนั้น หากคุณรู้ว่าคุณมีอาการแพ้ หรือแพ้ง่ายควรศึกษาข้อมูลบนฉลากสินค้าก่อนทุกครั้ง เมื่อกินอาหารหรือขนมหวานที่มีส่วนผสมของเจลาตินในปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลข้างเคียงหลังการบริโภคเจลาตินเพราะเจลาตินสามารถทำให้เกิดรสชาติที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้รู้สึกหนักในกระเพาะอาหาร ท้องอืด หรือเรอมากกว่าปกตินั่นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วุ้น ทำมาจากวัตถุดิบอะไร เรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวุ้น

0
วุ้น ทำมาจากวัตถุดิบอะไร เรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวุ้น
วุ้น ทำมาจากอะไร
วุ้นที่ใช้ทำขนมมี 2 ชนิด คือ ชนิดผง มีลักษณะเป็นผงสีขาวนวล และชนิดเส้น มีลักษณะคล้ายเชือกฟาง ขาวใสเส้นยาว

วุ้น

วุ้น (Agar–Agar) คือสารที่ประกอบไปด้วยน้ำตาลหลายโมเลกุล ซึ่งสกัดมาจากสาหร่ายทะเลสีแดง 2 ชนิด คือ Gelidium (สาหร่ายเขากวาง) และ Gracilaria (สาหร่ายวุ้นหรือสาหร่ายผมนาง) โดยสาหร่ายเหล่านี้มีการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วโลกในพื้นที่ชายฝั่งทะเลหรือบริเวณเกาะที่มีคลื่นลมสงบ ทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ในประเทศไทย วุ้นสามารถพบได้ตามชายฝั่งของอ่าวไทยและฝั่งมหาสมุทรอินเดีย

วิธีทำวุ้น (ผงวุ้น)

นำสาหร่ายทะเลสีแดงแห้ง (ทั้ง2ชนิด) มาแยกเศษวัสดุเจือปนออกโดยล้างด้วยน้ำแล้วนำไปตากแห้ง ทำซ้ำ หลาย ๆ รอบจดสะอาด จากนั้นนำไปต้มจนสาหร่ายนิ่มแล้วบดให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำไปต้มต่อโดยเติมสารต่าง ๆ เพื่อปรับระดับความเป็นกรดด่าง และนำไปกรอง ทิ้งวุ้นให้แข็งตัวแล้วนำไปแช่เย็นเพื่อทำให้น้ำแยกตัวออกจากวุ้นตามเวลาที่กำหนด จากนั้นวุ้นออกมาปล่อยให้น้ำแข็งละลายและล้างวุ้นด้วยน้ำเย็นทิ้งให้สะเด็ดน้ำ และขั้นตอนสุดท้ายคือการอบแห้งและบดให้เป็นผง เมื่อเราจะทำวุ้นกิน ก็นำวุ้นผงสำเร็จรูปต้มใส่น้ำ น้ำตาลแล้วทิ้งไว้ให้วุ้นแข็งตัวได้สะดวกขึ้น

ชนิดสาหร่ายที่ใช้ทำวุ้น

สาหร่ายที่ให้วุ้นเหล่านี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามความสามารถในการแข็งตัวของวุ้น (setting power) ได้แก่
1. เจลิเดียม (Gelidium type) เป็นสาหร่ายชนิดที่ให้วุ้น ซึ่งสามารถแข็งตัวได้ดี แม้จะใช้วุ้นในปริมาณต่ำ
2. กราซิลลาเรียฮิบเนีย (Glacilaria, Hypnea type) เป็นสาหร่ายที่ให้วุ้น ซึ่งจะแข็งตัวได้เมื่อใช้ในปริมาณค่อนข้างสูงหรือต้อง เติมสารอิเล็กทรอไลต์
3. คอนดรัส (Chondrus type) เป็นสาหร่ายที่ให้วุ้นซึ่งจะแข็งตัวได้ เมื่อใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูงเท่านั้น

ประเภทของวุ้น

วุ้นแบ่งประเภทออกได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. วุ้นที่ทำจากเจลาติน (GELATIN)
ทำมาจากคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนในเนื้อเยื่อพังผืดของสัตว์เ เช่น กระดูก เอ็น หนังสัตว์ การหุงต้มทำให้คลอลาเจนเปลี่ยนเป็นเจลาติน แล้วผ่านขบวนการทำให้แห้งและบดให้เป็นเม็ดเล็กๆ เจลาตินในท้องตลาดมีขายทั้งในลักษณะเป็น เม็ด ผง เกล็ดและแผ่น การนำไปใช้ต้องผสมเจลาตินกับของเหลวเย็นในปริมาณเล็กน้อย ตั้งไว้จนอ่อนตัวลง จึงนำไปตั้งไฟเพื่อให้เจลาตินกระจายไปทั่ว หรือจะเติมน้ำร้อนลงในเจลลาตินที่อ่อนตัวนั้นได้ แล้วคนจนส่วนผสมใส ไม่มีเม็ดเจลาตินเหลืออยู่ จึงเติมส่วนผสมอื่น เช่น น้ำตาล เกลือ
2. วุ้นที่ทำจากสาหร่ายทะเล (AGAR-AGAR)
เป็นกัมที่สกัดได้จากสาหร่ายทะเลสีแดงบางชนิด เช่น Gelidium-amansii, Gelldlum-pacificum ฯลฯ เป็น กัมที่ไม่ละลายน้ำเย็น แต่จะละลายในน้ำร้อน เมื่อแข็งตัวให้เจลที่มีลักษณะแข็งและยืดหยุ่นได้ดี เนื่อง จากคุณสมบัติที่วุ้นสามารถเกิดเจลได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิละลายมาก จึงทำให้มีการนำวุ้นไปใช้ ในอุตสาหกรรมอาหารมาก นิยมใช้กันมากในผลิต ภัณฑ์ขนมอบ ผลิตภัณฑ์ขนมหวาน ผลิตภัณฑ์เนื้อและ ปลา ซึ่งประเทศไทยนิยมนำวุ้นจากสาหร่าย (AGAR-AGAR) นำมาทำขนม เช่น วุ้นหน้ากะทิ วุ้นลาย วุ้นชั้น วุ้นสังขยา ฯลฯ วุ้นสาหร่ายทำมาจากสารเหนียวที่มีอยู่ในสาหร่าย มีคุณสมบัติ จับตัวเป็นวุ้นที่ยืดหยุ่นได้ มิลักษณะใส

ชนิดของวุ้นทำขนม

วุ้นที่ใช้ทำขนมมี 2 ชนิด คือ
1. ชนิดผง มีลักษณะเป็นผงสีขาวนวล บรรจุในถุงพร้อมใช้สะดวก
2. ชนิดเส้น มีลักษณะคล้ายเชือกฟาง ขาวใสเส้นยาว (คนละชนิดกับที่ทำแกงจืด) วิธีการใช้ก็คือ ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดผงแล้วแช่น้ำสักครู่ พอให้เส้นพองขึ้น แล้วนำไปเคี่ยว

คุณสมบัติของวุ้น

1. วุ้นละลายในน้ำเดือด เป็นเจลระหว่าง 32 ถึง 43 ° C เจลนี้จะไม่ละลายจนกว่าจะได้รับความร้อนถึง 85 ° C หรือสูงกว่าวุ้นไม่ละลายในน้ำเย็น มีลักษณะของเจลจากวุ้น แข็งกรอบ และยึดหยุ่น
2. 90% ของการผลิตวุ้นใช้สำหรับอาหาร สำหรับไอซิ่งเคลือบชีสแปรรูปเยลลี่และขนมหวาน ฯลฯ
3. ใช้ทำเป็นเจล และใช้เคลือบผิวของกินให้มันวาว
4. ใช้ในการใช้งานทางจุลชีววิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพอื่น ๆ
5. ใช้เจือปนขนมหวานบางอย่าง เช่น วุ้นกะทิ วุ้นนํ้าเชื่อม

ประโยชน์ของวุ้น

1. ใช้เป็นอาหารแล้ว
2. ผสมในผลิตภัณฑ์นม ขนมปัง และอาหารกระป๋อง
3. อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง และสิ่งทอ
4. ทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ ใช้เป็นส่วนประกอบของยาระบายใช้เป็นทันตวัสดุ และใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เป็นต้น

ข้อแนะนำการทำวุ้น

วิธีทำวุ้นให้น่ารับประทานไม่เละหรือแข็งเกินไป ต้องชั่งปริมาณให้ได้ 7-10% ของน้ำหนักน้ำ เช่น น้ำ 1,000 กรัม ต่อผงวุ้น 70-100 กรัม ซึ่งถ้าอยากให้ตัววุ้นแข็งมากก็ใช้ผงวุ้น 100 กรัม หรืออยากให้ตัววุ้นนุ่มก็ลดผงวุ้นลงตามต้องการ (ใช้ได้กับวุ้นทุกชนิด)

ผู้ที่ควรบริโภควุ้นแต่น้อย

เด็กที่กำลังเจริญเติบโตไม่ควรบริโภคขนมประเภทเหล่านี้มากเกินไปจนขาดความอยากอาหารอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการขาดอาหารได้ เพราะสารอาหารที่มีอยู่ในขนมประเภทนี้ไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต อีกทั้งอาจก่อให้เกิดปัญหาฟันผุอีกด้วย เด็กๆ มักชอบกินเยลลี่เพราะเย็นชื่นใจ และยังละลายได้ในปาก ส่วนประเภทขนมเยลลี่พร้อมบริโภคก็ชอบเพราะสะดวกและเคี้ยวสนุก นอกจากนี้ยังมีรสชาติต่างๆ อยู่ในถุงเดียวกัน ผู้ปกครองจึงควรระมัดระวังให้มาก ส่วนผู้ใหญ่ที่ต้องการลดน้ำหนักก็อาจกินวุ้นหรือเยลลี่ลองท้อง แต่อย่างไรต้องระวังไว้เกี่ยวกับปริมาณน้ำตาลที่สูงพอๆ กับน้ำอัดลมที่หวานๆ ทีเดียว

บทความที่เกี่ยวข้อง

คาราจีแนนในอาหาร ปลอดภัยแค่ไหน ข้อดีและข้อควรระวังที่ต้องรู้

0
คาราจีแนนในอาหาร ปลอดภัยแค่ไหน ข้อดีและข้อควรระวังที่ต้องรู้
คาราจีแนน นิยมใช้ทำอะไร และดีหรือไม่ดีอย่างไร
เป็นสารเพิ่มความข้น สารก่อเจล สารทำให้คงตัว หรืออิมัลซิไฟเออร์ในขนม ของหวาน และอาหารแปรรูปที่หลากหลาย

คาราจีแนน

คาราจีแนน (Carrageenan) คือสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงที่สามารถรับประทานได้ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในเกาะอังกฤษ สารนี้ถูกใช้เป็นวัตถุเจือปนในอาหารเพื่อเพิ่มความข้นและทำให้เกิดเนื้อสัมผัสที่ดีขึ้น คาราจีแนนไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความข้น, การก่อเจล, การช่วยให้คงตัว หรือทำให้สารต่างๆ รวมกันเป็นอิมัลซิไฟเออร์ ซึ่งทำให้มันถูกใช้ในอาหารหลายประเภท เช่น นมถั่วเหลือง, โยเกิร์ต, ชีสสด, นมช็อคโกแลต, นมผงสำหรับทารก รวมถึงผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์และขนมหวานต่างๆ

อาหารใดบ้างที่มีคาราจีแนนเป็นส่วนประกอบ

อาหารใดบ้างที่มีคาราจีแนนเป็นส่วนประกอบมักผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติ เนื่องจากเป็นพืชผู้ผลิตจึงใช้คาราจีแนนแทนเจลาติน ซึ่งทำจากชิ้นส่วนของสัตว์นั่นเอง

  • ไอศครีม
  • ชีสสดหรือคอทเทจชีส
  • นมช็อคโกแลต
  • วิปครีม
  • เยลลี่ผลไม้
  • ของหวานเมนูมูสแช่เย็น
  • น้ำสลัดไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ
  • สูตรอาหารทารกสำเร็จรูป

วิธีใช้ผงคาราจีแนน

ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนอย่างน้อย 70 องศา เพื่อทำการละลายผงคาราจีแนนก่อนนำไปผสมกับส่วนผสมอย่างอื่น

ประโยชน์ของคาราจีแนน

ประโยชน์ของคาราจีแนนคาราจีแนนมีคุณสมบัติเฉพาะตัวใช้สำหรับเพิ่มความหนืดในอาหารเครื่องดื่มที่ต้องการเจลหรือเพิ่มความหนืด เช่น เต้าหู้นม นมช็อคโกแลต เยลลี่ ไอศกรีม ไส้กรอก เนื้อสัตว์ อาหารสัตว์ เครื่องดื่ม และเป็นสารเพิ่มเนื้อ
อาหารที่มีคาราจีแนน

  • ผลิตภัณฑ์จากนม : วิปปิ้งครีม นมช็อกโกแลต ไอศกรีม ซาวครีม คอทเทจชีส และผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตสำหรับเด็ก
  • ผลิตภัณฑ์นมทดแทน : นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมกัญชง กะทิ พุดดิ้งถั่วเหลือง และของหวานอื่นๆ
  • เนื้อสัตว์ : ไก่ปรุงสำเร็จ และเนื้อ
  • อาหารสำเร็จรูป : ซุปและน้ำซุปกระป๋อง อาหารเย็นแบบใช้ไมโครเวฟได้ และพิซซ่าแช่แข็ง
  • เพื่อให้เนื้อสัตว์กับเครื่องเทศปรุงรสกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน (อาหารกระป๋อง)
  • เพิ่มการคงรูปเป็นเนื้อเดียวกัน
  • คงสภาพหลังเก็บในความเย็นต่ำแช่เย็นแล้วไม่เปลี่ยนรสไม่แข็งตัวเป็นก้อน (เนื้อสัตว์)
  • ป้องกันการแยกชั้นและตกตะกอนของช็อคโกแลต (นมช็อคโกแลต)
  • ทำให้นมช็อคโคแลตมีส่วนผสมคงที่
  • ป้องกันการแยกชั้นของไขมันและน้ำในนมช็อคโคแลต
  • เพิ่มความมัน ทำให้ไขมันรวมตัวกับนม แป้ง ไข่ กลิ่น
  • ลดการละลายของเนื้อไอศกรีม (ไอศกรีม)
  • ป้องกันการแยกตัวของความมัน จากเนื้อไอศกรีม
  • ทำให้เกิดการตกตะกอนโปรตีน เพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์และความใส (เครื่องดื่มแอลกอฮอร์)
  • ป้องกันการแยกชั้นของส่วนไขมัน (ขนมพุดดิ้งและอาหารทำจากนม)
  • คงสภาพของพุดดิ้งขณะตัดแบ่งที่สวยงาม
  • เพิ่่มความยืดหยุ่นและความกรอบของเยลลี่ได้ (เจลลี่)
  • สามารถผลิตเจลลี่ได้ในอุณหภูมิปรกติโดยไม่ต้องแช่เย็น
  • ทำให้โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรตและน้ำ รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกันในนมถั่วเหลือง
  • ทำให้นมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้มีความเข้มข้นกลมกล่อม

กระบวนการผลิตของคาราจีแนนก่อนนำมาใช้

1. การเตรียมสาหร่ายดิบ : สาหร่ายดิบเตรียมตากแดดโดยสาหร่ายสดที่เก็บจากฟาร์ม สาหร่ายตากแห้งล้างให้สะอาดด้วยน้ำกลั่นด้วยเหตุผลสองประการ เพื่อขจัดสิ่งปนเปื้อนและทำให้ความชื้นของสาหร่ายเป็นมาตรฐาน สาหร่ายเปียกถูกทำให้แห้งในเตาอบที่ 60°C เป็นเวลา 15-16 ชั่วโมงเพื่อขจัดความชื้นส่วนเกิน
2. การสกัดสาหร่าย : สกัดสาหร่ายแห้งในหม้อหุงเป็นชุดในสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (สูตรโมเลกุลแบบย่อ KOH) อุณหภูมิในการสกัดถูกควบคุมให้คงที่ ในขณะที่ความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์และเวลาในการสกัดถูกกำหนดให้เป็นค่าที่ต้องการสาหร่ายที่สกัดแล้วถูกทำให้เย็นลงที่อุณหภูมิห้อง และล้างด้วยน้ำกลั่นเพื่อขจัดสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ส่วนเกิน
3. การผลิตผง : หลังจากนั้น ตัวอย่างจะละลายด้วยน้ำกลั่นที่อุณหภูมิ 90°C ก่อนกระบวนการพ่นแห้งแบบพ่นฝอย อัตราส่วนของตัวอย่างต่อน้ำกลั่นคือ 1:15 อัตราการไหลของฟีดมีการตั้งค่าที่ 8 มลเอช1 และอัตราการไหลของอากาศร้อนในห้องอบแห้งเป็น 40 เมตร3ชั่วโมง-1 อุณหภูมิขาเข้าของอากาศร้อนคือ 140°C สำหรับเครื่องพ่นแห้งแบบพ่นฝอย กระบวนการทำแห้งแบบพ่นฝอยได้ในห้องปฏิบัติการโดยใช้เครื่องพ่นสเปรย์
4. การตรวจสอบ : นำผงคาราจีแนนมาวัดค่าความหนืด และการวิเคราะห์ความหนืดของคาราจีแนน มีค่าอยู่ในช่วง 54.6-194.8 cP

จากการทดสอบพบว่าค่าความหนืดของคาราจีแนนมีความสัมพันธ์กับระยะเวลาในการสกัดและความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์
เนื่องจากความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ยิ่งสูงขึ้น แอนไฮโดรกาแลคโตส 3,6 ก็จะสร้างมากขึ้น และให้คาราจีแนนที่หนืดมาขึ้นเท่านั้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม