มะรุม ผักพื้นบ้านสารพัดประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการ ป้องกันโรคและบำรุงผิวพรรณ

0
มะรุม ผักพื้นบ้านสารพัดประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการ ป้องกันโรคและบำรุงผิวพรรณ
มะรุม เป็นผักพื้นบ้านของไทยที่นิยมนำมารับประทาน ซึ่งรับประทานได้ทั้งใบและฝัก คนโบราณยกย่องว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์
มะรุม ผักพื้นบ้านสารพัดประโยชน์ ช่วยบรรเทาอาการ ป้องกันโรคและบำรุงผิวพรรณ
มะรุม เป็นผักพื้นบ้านของไทยที่นิยมนำมารับประทาน ซึ่งรับประทานได้ทั้งใบและฝัก คนโบราณยกย่องว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์

มะรุม

มะรุม (Moringa) เป็นผักพื้นบ้านของไทยที่นิยมนำมารับประทานและเป็นส่วนประกอบในอาหารหลากหลายเมนู อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านได้เช่นกัน มะรุมเป็นพืชเขตร้อนที่มีรสชาติค่อนข้างเผ็ดร้อนและขมตามแต่ละส่วนของต้นจึงอาจส่งผลเสียได้หากรับประทานในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง ถือเป็นผักที่คนโบราณและคนทั่วไปยกย่องว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะรุม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Moringa oleifera Lam.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Moringa”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “บะค้อนก้อม” ภาคอีสานเรียกว่า “ผักอีฮุม บักฮุ้ม”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะรุม (MORINGACEAE)
ชื่อพ้อง : Guilandina moringa L., Hyperanthera moringa (L.) Vahl, Moringa zeylanica Burmann

ลักษณะของมะรุม

มะรุม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดในแถบทวีปเอเชีย เช่น ประเทศอินเดียและศรีลังกา เนื่องจากปลูกง่ายในเขตร้อนและทนแล้งได้ดี
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกชนิดที่แตกใบย่อย 3 ชั้น ใบออกเรียงสลับกันเป็นรูปไข่ ปลายใบและฐานใบมน ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าและมีขนเล็กน้อย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อสีขาว มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ และกลีบดอก 5 กลีบ
ผล : ผลเป็นฝักยาวเหลี่ยม มีเปลือกสีเขียว

สรรพคุณของมะรุม

  • สรรพคุณจากมะรุม ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย รักษาโรคขาดสารอาหารในเด็กแรกเกิดถึงอายุ 10 ขวบ รักษาโรคมะเร็งในกระดูก ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย รักษาโรคโลหิตจาง ช่วยลดน้ำตาล ช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยรักษาความสมดุลของระดับน้ำตาล รักษาโรคภูมิแพ้ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคที่ต่ำลงของผู้ป่วยเอดส์ บำรุงสุขภาพและรักษาดวงตา ช่วยรักษาโรคตาได้เกือบทุกโรค รักษาโรคตาต้อ รักษาตามืดมัว รักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ รักษาโรคโพรงจมูกอักเสบ รักษาโรคคอหอยพอกชนิดมีพิษ รักษาแผลในปากหรือแผลจากโรคปากนกกระจอก บำรุงและรักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคปอดอักเสบ รักษาโรคลำไส้อักเสบ บรรเทาอาการท้องเสีย บรรเทาอาการท้องผูก บรรเทาอาการของโรคเกาต์ รักษาโรคกระดูกอักเสบ รักษาโรครูมาติสซั่ม บำรุงรักษาโรคตับและไต ลดโอกาสการติดเชื้อ HIV ของเด็กทารกในช่วงตั้งครรภ์
  • สรรพคุณจากน้ำมะรุม ช่วยให้อาการแพ้รังสีของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยรังสีฟื้นตัวเร็วขึ้น
  • สรรพคุณจากน้ำมันมะรุม มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอวัย ใช้นวดศีรษะ ฆ่าเชื้อราบนหนังศีรษะ แก้อาการคันหนังศีรษะ ช่วยลดอาการผมร่วง แก้อาการปวดศีรษะ ลดสิวบนใบหน้า ลดจุดด่างดำจากแสงแดด ป้องกันและฆ่าพยาธิในหู รักษาโรคหูน้ำหนวก รักษาเยื่อบุหูอักเสบ ใช้นวดบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือปวดเมื่อยตามบั้นเอวและขา ใช้นวดเพื่อกระชับกล้ามเนื้อ ลดอาการผื่นคันตามผิวหนังและการแพ้ผ้าอ้อมของเด็กทารก รักษาบาดแผล ช่วยถอนพิษและลดอาการปวดบวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาเชื้อราตามผิวหนังหรือหนังศีรษะ รักษาเชื้อราตามซอกเล็บและโรคน้ำกัดเท้า ทารักษาหูดและตาปลา รักษาโรคเริมและงูสวัด ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และต้านจุลชีพ
  • สรรพคุณจากฝัก ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยลดความดัน รักษาโรคความดันโลหิตสูง แก้ไข้และถอนพิษไข้
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยลดความดัน รักษาโรคความดันโลหิตสูง แก้อาการปวดศีรษะ แก้ไข้และถอนพิษไข้ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการขับปัสสาวะ แก้อาการอักเสบ รักษาบาดแผล ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง เป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยขับน้ำตา แก้อาการไข้หัวลมหรืออาการไข้เปลี่ยนฤดู ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง แก้ไข้และถอนพิษไข้ บรรเทาอาการหวัด บรรเทาอาการไอเรื้อรัง ช่วยขับพยาธิในลำไส้ แก้อาการปวดตามข้อ แก้อาการบวม
    – ช่วยในการขับถ่ายให้เป็นปกติ ด้วยการรับประทานเมล็ดมะรุมวันละ 1 เมล็ดก่อนนอน เมื่อการขับถ่ายกลับมาเป็นปกติค่อยหยุดรับประทาน
  • สรรพคุณจากเปลือกของลำต้น ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยคุมธาตุอ่อน ๆ แก้ลมอัมพาต ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยในการคุมกำเนิด
  • สรรพคุณจากราก รักษาโรคหัวใจ บำรุงธาตุไฟ รักษาโรคไขข้อ แก้อาการบวม
  • สรรพคุณจากยาง รักษาโรคหอบหืด แก้อาการปวดฟัน แก้อาการปวดหู ช่วยฆ่าเชื้อไทฟอยด์ ช่วยรักษาโรคซิฟิลิส
  • สรรพคุณจากยอดอ่อน แก้ไข้และถอนพิษไข้

ประโยชน์ของมะรุม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนประกอบในเมนูพวกแกงส้ม แกงลาว แกงอ่อม แกงกะหรี่ ยำฝักมะรุม เป็นต้น นำใบสดมารับประทาน ใบแห้งนำมาทำเป็นผง นำเมล็ดมาคั่วรับประทานเป็นถั่ว นำดอกมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ยอดอ่อนและใบอ่อนนำไปต้มสุกรับประทานร่วมกับแจ่ว ลาบ ก้อย
2. เป็นส่วนประกอบของยา เป็นยาปฏิชีวนะ แปรรูปเป็นมะรุมแคปซูลได้
3. เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์เครื่องใช้ ในแถบอินเดียใช้ฝักมะรุมทำเป็นไม้ตีกลอง เมล็ดมะรุมนำมาบดละเอียดเพื่อใช้กรองน้ำและทำให้น้ำตกตะกอนจนสามารถฆ่าเชื้อโรคในน้ำได้
4. สกัดเป็นน้ำมันมะรุม นำมาใช้เป็นน้ำมันในการปรุงอาหาร ใช้เป็นน้ำยาหล่อลื่นและช่วยป้องกันสนิม

ข้อควรระวังของมะรุม

1. หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้แท้งบุตรได้
2. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับเลือดไม่ควรรับประทานเพราะจะทำให้เม็ดเลือดแตกง่าย
3. ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปเพราะมะรุมมีโปรตีนที่ค่อนข้างสูงมาก
4. ไม่ควรให้เด็กทารกในวัยเจริญเติบโตถึง 2 ขวบรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปเพราะใบมะรุมมีธาตุเหล็กสูง
5. ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเกินไปเพราะอาจจะทำให้ท้องเสียได้
6. ใบมะรุมควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไปและไม่ควรถูกความร้อนนานเกินไปเพื่อให้ได้ประโยชน์ของสารอาหารอย่างเต็มที่
7. หากต้องการรับประทานแคปซูลมะรุม ควรเลือกซื้อมะรุมแคปซูลที่มีฉลาก (อย.) ชัดเจน

คุณค่าโภชนาการของมะรุม

คุณค่าทางโภชนาการของใบมะรุมสดต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 37 กิโลแคลอรี

คุณค่าสารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 8.53 กรัม
ใยอาหาร 3.2 กรัม
ไขมัน 0.20 กรัม
โปรตีน 2.10 กรัม
น้ำ 88.20 กรัม
วิตามินเอ 4 ไมโครกรัม (1%)
วิตามินบี1 0.0530 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี2 0.074 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี3 0.620 มิลลิกรัม (4%)
วิตามินบี5 0.794 มิลลิกรัม (16%)
วิตามินบี6 0.120 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี9 44 ไมโครกรัม (11%)
วิตามินซี 141.0 มิลลิกรัม (170%)
ธาตุแคลเซียม 30 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุเหล็ก 0.36 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุแมกนีเซียม 45 มิลลิกรัม (13%) 
ธาตุแมงกานีส 0.259 มิลลิกรัม (12%)
ธาตุฟอสฟอรัส 50 มิลลิกรัม (7%)
ธาตุโพแทสเซียม 461 มิลลิกรัม (10%)
ธาตุโซเดียม 42 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุสังกะสี 0.45 มิลลิกรัม (5%)

 

คุณค่าทางโภชนาการของฝักมะรุมต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 32 กิโลแคลอรี 

คุณค่าสารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
เส้นใย 1.2 กรัม
แคลเซียม 9 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 532 IU
วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม
ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม
วิตามินซี 262 มิลลิกรัม

มะรุม เป็นผักที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายและเป็นผักที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้อย่างดีเยี่ยม สามารถนำส่วนประกอบทั้งต้นมาใช้ประโยชน์ได้ ทว่าหากรับประทานไม่ถูกวิธีอาจก่อให้เกิดผลตรงข้ามได้เช่นกัน มะรุมเป็นผักที่คนไทยคุ้นเคยและนำมารับประทานตั้งแต่อดีตจึงเป็นผักพื้นบ้านและเป็นยาสมุนไพรที่สำคัญ มีสรรพคุณที่โดดเด่นมากมายทั้งช่วยบรรเทาอาการ ป้องกันโรคและบำรุงผิวพรรณ นอกจากนั้นยังนำมาทำเป็น “แคปซูลมะรุม” ซึ่งค่อนข้างเป็นที่นิยมเพราะรับประทานง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกายสูง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ทรงบาดาล ไม้มงคลสีเหลือง เป็นยาแก้ไข้และแก้สะอึกได้

0
ทรงบาดาล เป็นไม้มงคลมีลักษณะโดดเด่นเป็นฝักสีเหลืองห้อยลงมาจากต้น นิยมปลูกในวัด
ทรงบาดาล ไม้มงคลสีเหลือง เป็นยาแก้ไข้และแก้สะอึกได้
ทรงบาดาล เป็นไม้มงคลมีลักษณะโดดเด่นเป็นฝักสีเหลืองห้อยลงมาจากต้น นิยมปลูกในวัด

ทรงบาดาล

ทรงบาดาล (Glossy shower) เป็นพืชพื้นเมืองดั้งเดิมของไทยที่มีลักษณะโดดเด่นเป็นฝักสีเหลืองห้อยลงมาจากต้น นิยมปลูกในวัดเพราะเป็นไม้มงคลที่มีดอกสีเหลืองสำหรับนำมาบูชาไหว้พระ คำว่าทรงบาดาลนั้นมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งนาคพิภพ จึงเป็นไม้ที่มีความเชื่อและความเป็นมงคลอย่างสูง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของทรงบาดาล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Senna surattensis (Burm.f.) H.S.Irwin & Barneby
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Scrambled eggs” “Kalamona”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ขี้เหล็กบ้าน” ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า “สะเก๋ง” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “สะเก้ง” จังหวัดขอนแก่นเรียกว่า “ขี้เหล็กหวาน” จังหวัดระยองเรียกว่า “พรึงบาดาล ตรึงบาดาล” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “สะแก้ง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Cassia surattensis Burm.f.

ลักษณะของทรงบาดาล

ทรงบาดาล เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย มักจะพบกลางแจ้ง
ลำต้น : แตกกิ่งก้านสาขามากเป็นเรือนยอด
เปลือกลำต้น : เป็นสีน้ำตาลปนสีเทา แตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวออกเรียงสลับกันเป็นรูปวงรี ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ หลังใบเรียบ ส่วนท้องใบมีขนประปราย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามศอกใบใกล้กับปลายยอด ดอกย่อยเป็นสีเหลือง กลีบดอก 5 กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เป็นสีเขียวอมเหลือง ต้นทรงบาดาลมีดอกดกและสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
ผล : ออกผลเป็นฝักแบนเรียบ เมื่อฝักแก่จะแตกออกตามตะเข็บ
เมล็ด : ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 15 – 25 เมล็ด ผิวของเมล็ดเป็นมันเงา

สรรพคุณของทรงบาดาล

  • สรรพคุณจากราก เป็นยาถอนพิษไข้
    – เป็นยาถอนพิษผิดสำแดงหรือไข้ซ้ำ เป็นยาแก้สะอึก ด้วยการนำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากรากกับเถาสะอึกและรากมะกล่ำเครือ
    – เป็นยาแก้อาการสะอึกจากกระเพาะอาหารขยายตัว ด้วยการนำรากทรงบาดาลร่วมกับเถาสะอึกและรากมะกล่ำเครือ

ประโยชน์ของทรงบาดาล

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนและใบอ่อนสามารถนำมาใช้รับประทานเป็นผักได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเลี้ยงง่ายและแข็งแรงทนทาน ดอกมีสีเหลืองสดใสสวยงาม นิยมปลูกในบริเวณวัด ในสมัยก่อนนิยมนำมาปลูกไว้ตามสถานที่อื่น ๆ อย่างอาคารบ้านเรือน สวนหย่อม สวนสาธารณะ ตามทางเท้าและตามริมถนนสายใหญ่ในชนบท
3. เป็นความเชื่อ เป็นไม้มงคลที่ใช้ในการประกอบพิธีก่อฤกษ์หรือวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้างอาคารหรือถาวรวัตถุต่าง ๆ เชื่อว่าการปลูกต้นทรงบาดาลจะช่วยดลบันดาลให้เกิดโชคลาภ ทำให้มีฐานะดีขึ้น และอีกความเชื่อบอกไว้ว่าหมายถึง การมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่และได้รับการยกย่องจากผู้อื่น คนโบราณนั้นให้ปลูกในวันเสาร์และปลูกทางทิศตะวันตกของบ้านแต่ผู้ปลูกต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพสุจริตด้วยจึงจะเป็นมงคล

ทรงบาดาล เป็นไม้มงคลที่มีความเชื่อยิ่งใหญ่ตามชื่อ และยังเป็นไม้ประดับที่มีดอกสีเหลืองสวยงามซึ่งเป็นสีของธรรมะ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายและเป็นต้นที่มีอายุยืน ส่วนมากมักจะพบตามที่สาธารณะทั่วไป มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาแก้ไข้และแก้สะอึก เชื่อว่าคนไทยทุกคนต้องเคยเห็นแต่อาจจะไม่รู้จักชื่อและไม่รู้ว่าต้นทรงบาดาลมีความเชื่อและมีสรรพคุณทางยาต่อร่างกายได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ทรงบาดาล (Song Badan)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 141.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ทรงบาดาล”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 356.
หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 3. “ทรงบาดาล”.
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 299 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “ทรงบาดาล : ความมั่นคงและคุ้มครองของไม้มงคล”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [18 มี.ค. 2014].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “ทรงบาดาล”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [18 มี.ค. 2014].

ตานหม่อน ป้องกันฝุ่น PM2.5 เป็นยาขับพยาธิและแก้พิษตานซางได้

0
ตานหม่อน ป้องกันฝุ่น PM2.5 เป็นยาขับพยาธิและแก้พิษตานซางได้
ตานหม่อน เป็นยาในตำราไทยที่ขึ้นชื่อในการขับพยาธิ และช่วยป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ มีดอกสีสวยและมีกลิ่นหอม สามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้
ตานหม่อน ป้องกันฝุ่น PM2.5 เป็นยาขับพยาธิและแก้พิษตานซางได้
ตานหม่อน เป็นยาในตำราไทยที่ขึ้นชื่อในการขับพยาธิ และช่วยป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ มีดอกสีสวยและมีกลิ่นหอม สามารถปลูกเป็นไม้ประดับได้

ตานหม่อน

ตานหม่อน (Vernonia elliptica) โด่งดังในการช่วยป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ และยังเป็นยาในตำราไทยที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการขับพยาธิ ต้นของตานหม่อนมีรสเบื่อเอียน รากมีรสหวานชุ่ม ในบัญชียาสมุนไพรได้บอกว่ามีการใช้ใบตานหม่อนร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ อีกด้วย ตานหม่อนเป็นต้นที่มีดอกสีสวยและมีกลิ่นหอม หากจะนำมาปลูกประดับก็ย่อมได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตานหม่อน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vernonia elliptica DC.
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “ลีกวนยู” จังหวัดหนองคายเรียกว่า “ข้ามักหลอด ช้ามักหลอด” จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียกว่า “ตานหม่น” จังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า “ตานค้อน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)

ลักษณะของตานหม่อน

ตานหม่อน เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่นและพยุงตัวขึ้น มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พม่าและไทย ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาคตามชายป่าผสมผลัดใบ ป่าดงดิบแล้งทั่วไปและเป็นพรรณไม้ที่ทนความแห้งแล้งได้
เปลือกเถา : เปลือกเถาเรียบเป็นสีน้ำตาล ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีขาวปกคลุมอยู่หนาแน่น
ลำต้น : แตกกิ่งก้านยาวเรียว แตกลำได้ใหม่จากลำต้นที่ทอดไปตามพื้นดิน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปวงรีแกมรูปไข่กลับ ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบหรือบางครั้งเป็นหยักห่าง ๆ ใบเป็นสีเขียวเข้ม แผ่นใบเรียบหนาคล้ายหนัง หลังใบเกลี้ยง ส่วนท้องใบมีขนสีเงินหรือสีขาวนวล
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่นตามซอกใบหรือที่ปลายยอด ดอกย่อยเป็นสีขาวนวล กลีบดอกเป็นเส้นเล็ก ๆ จำนวนมาก ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ด้านนอกมีขน
ผล : ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก ผลมีสัน 5 สัน
เมล็ด : เมล็ดล่อนเป็นสีดำรูปกระสวย

สรรพคุณของตานหม่อน

  • สรรพคุณจากราก ช่วยคุมธาตุในร่างกาย แก้พิษตานซาง เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน บำรุงเนื้อหนังให้สมบูรณ์
  • สรรพคุณจากต้น แก้ตานซาง เป็นยาขับพยาธิ
  • สรรพคุณจากใบ
    – เป็นยาห้ามเลือด ด้วยการนำใบสดมาขยี้ให้ช้ำหรือตำพอหยาบแล้วนำมาปิดแผลในขณะที่เลือดออก ทำให้เลือดหยุดไหลทันที
  • สรรพคุณจากราก ใบ ดอก แก้ตานซางในเด็ก ช่วยฆ่าพยาธิ
  • สรรพคุณจากต้น ราก ใบ ดอก รักษาลำไส้

ประโยชน์ของตานหม่อน

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนนำมาต้ม ลวกหรือนึ่งใช้รับประทานเป็นผักกับน้ำพริกหรือลาบได้

ตานหม่อน เป็นยาสมุนไพรไทยที่มักจะใช้ในการขับพยาธิและเป็นที่นิยมของหมอยาโบราณ สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ซึ่งระบาดอย่างมากในยุคปัจจุบัน แถมยังเป็นไม้เลื้อยที่ช่วยยกระดับความสวยงามของบ้านได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาขับพยาธิ แก้พิษตานซาง รักษาลำไส้และเป็นยาห้ามเลือด เป็นต้นที่นิยมนำมาใช้ในยาสมุนไพรหลายตำรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ตานหม่อน (Tan Mon)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 128.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ตานหม่อน”. หน้า 205.
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “ตานหม่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [14 มี.ค. 2014].

นมสวรรค์ ไม้สีสันสดใส ช่วยแก้ฝี แก้ไข้ ลดความดันเลือดและรักษาโรคปัสสาวะขัด

0
นมสวรรค์ ไม้สีสันสดใส ช่วยแก้ฝี แก้ไข้ ลดความดันเลือดและรักษาโรคปัสสาวะขัด
นมสวรรค์ ไม้สีสันสดใส ช่วยแก้ฝี แก้ไข้ ลดความดันเลือดและรักษาโรคปัสสาวะขัด
นมสวรรค์ ไม้สีสันสดใส ช่วยแก้ฝี แก้ไข้ ลดความดันเลือดและรักษาโรคปัสสาวะขัด
นมสวรรค์ เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะโดดเด่นและสีสันสวยงาม นิยมปลูกประดับตกแต่ง และใช้เป็นยารักษาได้

นมสวรรค์

นมสวรรค์ (Pagoda flower) เป็นไม้ที่ไม่ค่อยได้ยินชื่อนักสำหรับคนไทยทั่วไป ส่วนมากจะขึ้นอยู่ในป่า เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะโดดเด่นและสีสันสวยงาม มักจะนำมาปลูกประดับตกแต่งมากกว่าจะนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหาร นมสวรรค์ยังสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาใช้เป็นยารักษาได้ เป็นพืชที่น่าสนใจในการนำมาปลูกเพื่อประดับบ้านและนำมาเป็นยาสมุนไพรได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของนมสวรรค์

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clerodendrum paniculatum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Pagoda plant” “Pagoda flower”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ปรางมาลี” ภาคเหนือเรียกว่า “ปิ้งแดง” ภาคใต้เรียกว่า “นมหวัน” จังหวัดนครพนมเรียกว่า “สาวสวรรค์ พนมสวรรค์ เข็มฉัตร” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ฉัตรฟ้า สาวสวรรค์” จังหวัดระนองเรียกว่า “น้ำนมสวรรค์” จังหวัดเลยเรียกว่า “พวงพีเหลือง” จังหวัดสระบุรีเรียกว่า “หัวลิง” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “โพโก่เหมาะ” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “พู่หมวก”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)
ชื่อพ้อง : Clerodendron pyramidale Andrews

ลักษณะของนมสวรรค์

นมสวรรค์ เป็นไม้ล้มลุกที่มีพุ่มขนาดกลาง สามารถพบได้ตามชายป่า
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม
เปลือกต้น : มีลักษณะเรียบ เป็นสีน้ำตาลแกมเขียว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน มีลักษณะเป็นรูปไข่ค่อนข้างกลม ปลายแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบเว้าเป็นแฉกและมีจัก ด้านล่างมีขนสาก มีเส้นแขนงใบ เส้นแขนงใบย่อยเป็นแบบร่างแหผสมขั้นบันได
ดอก : ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายกิ่งสีแดงหรือสีขาว ชนิดดอกขาวจะเรียกว่า “นมสวรรค์ตัวผู้” ส่วนชนิดดอกสีแดงเรียกว่า “นมสวรรค์ตัวเมีย” กลีบรองดอกเป็นรูประฆังสีส้มแดง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด
ผล : ผลสดเป็นรูปทรงกลมหรือสามพู ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่เมื่อสุกมีสีแดงคล้ำ ผลผนังชั้นในแข็ง
เมล็ด : ใน 1 ผลมี 1 เมล็ด ลักษณะแข็ง

สรรพคุณของนมสวรรค์

  • สรรพคุณจากนมสวรรค์
    – รักษาโรคปัสสาวะขัดและใช้เข้าตำรับยาขับนิ่ว ด้วยการใช้ร่วมกับรากหญ้าคาและผักคราดหัวแหวน
    สรรพคุณจากราก ดอกและต้น ลดไขมันในเส้นเลือด แก้ฝีภายใน แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • สรรพคุณจากราก ช่วยลดความดันโลหิต แก้ไข้ที่มีอาการถ่ายเหลว อาเจียนเป็นเลือดและมีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง แก้วัณโรค ขับเสมหะ ช่วยขับลม แก้โลหิตในท้อง เป็นยาถ่าย แก้ประดงลมและประดงไฟ
    – แก้อาการตึงในหนังศีรษะและอาการปวดในเบ้าตา ทางภาคอีสานจึงใช้รากนมสวรรค์มาต้มดื่ม
    – ช่วยทำให้อาเจียน ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยได้กินสารพิษและต้องการขับสารพิษออกจากทางเดินอาหาร ให้กินครั้งละมากกว่า 2 กรัม
    – แก้อาการปวดท้อง แก้ไข้อย่างไข้มาลาเรียและไข้เหนือ ด้วยการใช้รากฝนกับน้ำแล้วดื่ม
    – ขับน้ำคาวปลาของสตรีหรือของเหลวที่ถูกขับออกมาทางช่องคลอดหลังจากคลอดลูก บำรุงน้ำนม ด้วยการต้มรากกับน้ำแล้วดื่ม
    – รักษาฝี ด้วยการนำรากมาฝนแล้วทา
  • สรรพคุณจากใบ รักษาอาการแน่นอก แก้ลมในทรวงอก แก้พิษฝีดาษ
    – แก้ทรวงอกอักเสบ แก้ไข่ดันบวมและแก้ลูกหนูใต้รักแร้บวม รักษาอาการปวดข้อและปวดประสาท ด้วยการนำใบมาตำแล้วพอก
  • สรรพคุณจากดอก แก้อาการตกเลือด แก้โลหิตในท้อง แก้พิษฝีกาฬ แก้พิษที่เกิดจากการติดเชื้อ
  • สรรพคุณจากต้น แก้พิษฝีฝักบัว ช่วยแก้พิษ แก้อาการอักเสบเนื่องจากตะขาบและแมงป่องกัด
    หมายเหตุ : รากและเหง้ามีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีกลิ่นเฉพาะตัวและมีสาร 2 – asarone ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต แต่มีรายงานพบว่าเป็นพิษต่อตับและอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ จึงต้องรอการศึกษาความเป็นพิษเพิ่มเติมก่อนการนำมาใช้

ประโยชน์ของนมสวรรค์

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนและใบนำมาทำแกงได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับเพราะมีสีและรูปทรงที่สวยงาม
3. ใช้ในอุตสาหกรรม ผลนมสวรรค์สามารถนำมาเป็นสีย้อมผ้าได้ โดยจะให้สีม่วงแดง

วิธีการดับกลิ่นเหม็นเขียวของนมสวรรค์

ดับกลิ่นได้ด้วยการนำมาปรุงอาหาร เริ่มจากการหั่นเป็นฝอยใส่ลงในกะทิแล้วใช้รองก้นกระทงสำหรับห่อหมก แล้วนำไปนึ่งให้สุกก็จะสามารถดับกลิ่นเหม็นเขียวได้ แถมยังช่วยให้มีรสชาติอร่อยมากขึ้น

นมสวรรค์ มีชื่อเรียกหลากหลายตามแต่พื้นที่ มักจะพบเป็นไม้ที่ปลูกประดับได้ทั่วไป แต่เป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาได้มากมายกว่าที่คิด ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและมีสีสันจึงไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมารักษาได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ลดความดันเลือด แก้ฝีต่าง ๆ แก้ไข้ รักษาโรคปัสสาวะขัด ถือเป็นไม้ที่มีประโยชน์มากกว่าภายนอกที่เห็น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [4 พ.ย. 2013].
หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. สวนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. (เต็ม สมิตินันทน์).
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [4 พ.ย. 2013].
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th. [4 พ.ย. 2013].
หนังสือผักพื้นบ้านภาคใต้. สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
ฐานข้อมูลทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช. อ้างอิงใน: สำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.culture.nstru.ac.th. [4 พ.ย. 2013].
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [4 พ.ย. 2013].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [4 พ.ย. 2013].
แมกโนเลีย ไทยแลนด์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.magnoliathailand.com. [4 พ.ย. 2013].

มะเดื่อชุมพร ยาแก้ไข้ รักษาเบาหวาน ช่วยขับถ่ายคล่อง

0
มะเดื่อชุมพร
มะเดื่อชุมพร ผลกลมแป้นหรือรูปไข่เกาะกลุ่มอยู่ตามต้นและตามกิ่ง รสฝาดอมหวาน

มะเดื่อชุมพร ไม้ประจำจังหวัดชุมพร เป็นยาแก้ไข้ รักษาเบาหวาน ช่วยขับถ่ายคล่อง

มะเดื่อชุมพร

มะเดื่อชุมพร (Cluster fig) เป็นผลที่นิยมอย่างมากสำหรับต่างประเทศแต่ไม่เป็นที่นิยมนักในประเทศไทยเนื่องจากเป็นต้นที่มักจะมีแมลงหวี่ตอมอยู่ในผลจึงทำให้ดูไม่น่าทานทั้ง ๆ ที่มะเดื่อเป็นผลที่มีโภชนาการสูงชนิดหนึ่งเลยทีเดียว ทั้งนี้คำว่า “ชุมพร” นั้นมาจากการที่มะเดื่อชนิดนี้เป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดชุมพรจึงทำให้ได้ชื่อว่า “มะเดื่อชุมพร” เป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยามากมายจากทั้งต้น

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเดื่อชุมพร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus racemosa L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Cluster fig” “Goolar (Gular)” “Fig”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคอีสานเรียกว่า “มะเดื่อน้ำ มะเดื่อหอม หมากเดื่อ เดื่อเลี้ยง” ภาคเหนือเรียกว่า “เดื่อเกลี้ยง” ภาคใต้เรียกว่า “มะเดื่อ มะเดื่อเกลี้ยง มะเดื่อชุมพร เดื่อน้ำ กูแซ” มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “มะเดื่อดง มะเดื่อไทย มะเดื่ออุทุมพร”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขนุน (MORACEAE)
ชื่อพ้อง : Ficus glomerata Roxb.

ลักษณะของมะเดื่อชุมพร

มะเดื่อชุมพร เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดครอบคลุมในเขตร้อนของทวีปเอเชียตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศจีน
ลำต้น : ลำต้นเกลี้ยง ทรงพุ่มกว้าง ใบหนาทึบ
เปลือกต้น : เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว กิ่งแก่เป็นสีน้ำตาลเกลี้ยง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันตามกิ่ง ใบเป็นรูปทรงวงรีหรือรูปหอก โคนใบมนหรือกลม ปลายใบแหลม ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนไม่หลุดร่วงง่าย ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงใบประมาณ 6 – 8 คู่
ดอก : ออกดอกเป็นช่อยาวตามกิ่ง โดยแต่ละช่อจะมีดอกย่อยขนาดเล็กเป็นกลุ่ม ดอกช่อจะเกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างคล้ายผล ดอกมีสีขาวอมชมพู
ผล : มีลักษณะทรงกลมแป้นหรือรูปไข่ ผลจะเกาะกลุ่มอยู่ตามต้นและตามกิ่งห้อยเป็นระย้าสวยงาม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีแดงม่วง มีรสฝาดอมหวาน

สรรพคุณของมะเดื่อชุมพร

  • สรรพคุณจากมะเดื่อชุมพร ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้ไข้พิษทุกชนิด ช่วยกล่อมเสมหะและโลหิต แก้อาการร้อนใน
    – บำรุงหลังการคลอดบุตรของสตรี ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำเพื่อปรุงเป็นยา
  • สรรพคุณจากเปลือก แก้อาเจียน แก้ธาตุพิการ แก้ประดงเม็ดผื่นคัน
  • สรรพคุณจากผลดิบ แก้โรคเบาหวาน
  • สรรพคุณจากผลสุก เป็นยาระบาย
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น แก้อาการท้องเสียและท้องร่วง ช่วยห้ามเลือดและชะล้างบาดแผล เป็นยาสมานแผล

ประโยชน์ของมะเดื่อชุมพร

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนใช้นึ่งกินเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ส่วนยอดอ่อนนำมาลวกกินกับน้ำพริก ผลอ่อนใช้รับประทานได้ หัวใต้ดินนำมานึ่งรับประทานได้ ลูกมะเดื่อนำมารับประทานเป็นผักได้โดยใช้จิ้มกับผักหรือใช้ทำแกงอย่างแกงส้มได้
2. เป็นไม้มงคลทำพิธีต่าง ๆ ในสมัยอดีตจะใช้ไม้มะเดื่อทำพระที่นั่งในพระราชพิธีราชาภิเษก ใช้ทำเป็นกระบวยตักน้ำเจิมถวายและใช้ทำหม้อน้ำสำหรับกษัตริย์ทรงใช้ในพระราชพิธี
3. ใช้ในการเกษตร ผลสุกใช้เป็นอาหารสัตว์ของพวกกระรอก นก หนู เป็นต้น เมล็ดของมะเดื่อจะงอกได้ดีหากมีน้ำย่อยในกระเพาะของสัตว์จึงเป็นการขยายพันธุ์ของมะเดื่อชุมพรได้
4. ใช้ในอุตสาหกรรม ยางเหนียวใช้ลงพื้นสำหรับปิดทอง เนื้อไม้ใช้ทำเป็นแอกไถ หีบใส่ของและไม้จิ้มฟันได้

มะเดื่อชุมพร เป็นต้นที่มีลูกมะเดื่อเป็นพวงอยู่บนต้น สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ผลมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแต่คนไทยไม่นิยม เป็นต้นไม้มงคลชนิดหนึ่งและยังเป็นไม้ประจำจังหวัดชุมพรอีกด้วย มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้โรคเบาหวาน แก้ไข้ทุกชนิด แก้อาการเสียและท้องร่วงได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บไซต์มูลนิธิหมอชาวบ้าน, เว็บไซต์สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)

มะดัน ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ด ช่วยละลายเสมหะและแก้ประจำเดือนมาผิดปกติ

0
มะดัน ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ด ช่วยละลายเสมหะและแก้ประจำเดือนมาผิดปกติ
มะดัน ผลไม้รสเปรี้ยว เปลือกบางเรียบเป็นมัน ผลมีสีเขียว เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวมาก นิยมนำมาทำเป็นของดอง
มะดัน ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ด ช่วยละลายเสมหะและแก้ประจำเดือนมาผิดปกติ
มะดัน ผลไม้รสเปรี้ยว เปลือกบางเรียบเป็นมัน ผลมีสีเขียว เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวมาก นิยมนำมาทำเป็นของดอง

มะดัน

มะดัน (Madan) เป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่นิยมนำมาทำเป็นของดอง สามารถนำส่วนประกอบทั้งต้นมาใช้ประโยชน์ได้หลายอุตสาหกรรม เป็นต้นที่เป็นพุ่มอย่างสวยงามเหมาะสำหรับนำมาประดับสถานที่ได้ด้วย มะดันไม่ใช่ผลไม้ยอดนิยมสักเท่าไหร่แต่มีสรรพคุณมากมายอย่างคาดไม่ถึง มะดันเรียกอีกอย่างกันว่า “ส้มมะดัน” หรือ “ส้มไม่รู้ถอย”

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะดัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Garcinia schomburgkiana Pierre
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Madan”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “ส้มมะดัน” และ “ส้มไม่รู้ถอย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มังคุด (CLUSIACEAE หรือ GUTTIFERAE)

ลักษณะของมะดัน

มะดัน เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมปลูกกันมากในหลายประเทศ เป็นผลไม้พื้นบ้านของไทย มักจะปลูกกันมากในภาคกลาง
ลำต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เป็นทรงพุ่มที่ขยายแตกกิ่งก้านออก ลำต้นมีลักษณะกลม เป็นไม้เนื้อแข็งและเหนียว เปลือกต้นเรียบและมีสีน้ำตาลอมดำ
ราก : เป็นระบบรากแก้วแทงลึกลงในดิน มีรากแขนงและรากฝอยเล็ก ๆ ออกตามแนวราบ มีลักษณะกลมและมีสีน้ำตาล
ใบ : เป็นใบเดี่ยวแทงออกเป็นคู่ตรงข้ามบนกิ่ง มีลักษณะวงรี โคนใบแหลม ปลายใบเรียวแหลม มีก้านใบยาว ผิวใบเรียบลื่นและมีสีเขียวเข้ม
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ เป็นรูปไข่ มีก้านช่อดอกสั้น กลีบดอกมีสีเหลืองอมส้ม มีกลีบเลี้ยงสีเขียว ดอกแทงออกตามซอกใบ
ผล : มีลักษณะทรงกลมวงรีปลายแหลม ผิวเปลือกบางเรียบเป็นมัน ผลมีสีเขียว มีเนื้อสีขาวนวล เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ มีเมล็ดแข็งยาวอยู่ข้างในเนื้อ มีรสชาติเปรี้ยวมาก
เมล็ด : มีลักษณะรูปทรงยาววงรีอยู่ข้างในเนื้อ มี 3 – 4 เมล็ดต่อผล เมล็ดแข็งและมีสีน้ำตาลเข้ม

สรรพคุณของมะดัน

  • สรรพคุณจากผล แก้อาการคอแห้งและช่วยทำให้ชุ่มคอ แก้ระดูเสียในสตรีและแก้ประจำเดือนมาผิดปกติ
    – แก้อาการไอ ฟอกเสมหะและล้างเสมหะ ด้วยการทำเป็นยาสูตรดองเปรี้ยวเค็ม
    – แก้อาการน้ำลายเหนียวหรือเป็นเมือกในลำคอ ด้วยการทำเป็นยาสูตรดองน้ำเกลือ
  • สรรพคุณจากรก ราก ใบ ผลและเปลือกต้น แก้กระษัยหรือโรคธาตุเสื่อมและขับฟอกโลหิตเมื่อนำมาต้ม รักษาไข้หวัด เป็นยาแก้เสมหะและเสมหะพิการ
  • สรรพคุณจากราก แก้เบาหวาน นำมาต้มเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไข้ทับระดู แก้ระดูเสียในสตรีและแก้ประจำเดือนมาผิดปกติ
  • สรรพคุณจากใบ แก้อาการหวัด แก้อาการไอด้วยการทำเป็นยาสูตรดองเปรี้ยวเค็ม ช่วยขับปัสสาวะ แก้ระดูเสียในสตรีและแก้ประจำเดือนมาผิดปกติ
  • สรรพคุณจากมะดัน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวได้

ประโยชน์ของมะดัน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร รับประทานเป็นผลไม้สดโดยจิ้มกับพริกเกลือ นำมาแปรรูปเป็นมะดันแช่อิ่มหรือมะดันดองแช่อิ่ม สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารแทนมะนาวได้ด้วยการนำยอดอ่อนมาใส่ต้มปลาหรือต้มไก่ ยอดอ่อนและใบอ่อนใช้รับประทานเป็นผักได้ กิ่งของมะดันใช้หนีบไก่ปิ้งซึ่งทำให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทานยิ่งขึ้น ทำเป็นน้ำหมักชีวภาพแล้วกรองเอาน้ำมาใช้ เช่น นำมาใช้ปรุงในเครื่องดื่ม
2. ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เป็นส่วนผสมในสบู่และครีมบำรุงผิว ทำเป็นน้ำหมักชีวภาพแล้วกรองเอาน้ำมาใช้เป็นโทนเนอร์เช็ดหน้า
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ ต้นมะดันมีทรงพุ่มที่สวยงามสามารถใช้ประดับสถานที่ได้ เป็นไม้ที่ทนน้ำท่วมขังได้ดีมากชนิดหนึ่ง จึงเหมาะที่จะปลูกไว้ในบริเวณที่เกิดน้ำท่วมบ่อย

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะดัน

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะดัน ต่อ 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 6.5 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 0.3 กรัม
เส้นใย 0.4 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 431 หน่วยสากล
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินซี 5 มิลลิกรัม
แคลเซียม 17 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 7 มิลลิกรัม
เหล็ก 0 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของใบอ่อนมะดัน

คุณค่าทางโภชนาการของใบอ่อนมะดัน ต่อ 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 7.3 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 0.3 กรัม
วิตามินเอ 225 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.01 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินซี 16 มิลลิกรัม 
ธาตุแคลเซียม 103 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 8 มิลลิกรัม

วิธีการปรุงมะดัน

วิธีการทำเป็นยาดองเปรี้ยวเค็ม
1. นำผลมาบดเป็นผงหยาบ ๆ แล้วห่อด้วยผ้าขาวบางหลวม ๆ ใส่ไว้ในโหลแก้ว
2. เติมเหล้าให้ท่วมผ้าห่อยาแล้วแช่ทิ้งไว้ประมาณ 7 วัน
3. ระหว่างที่แช่ให้บีบผ้าห่อยาบ่อย ๆ เพื่อให้ตัวยาออกมา เมื่อครบ 7 วัน ให้นำมารับประทานครั้งละ 1 แก้ว
วิธีการปรุงเป็นยาต้ม
1. นำใบหรือผลประมาณ 1 กำมือ มาใส่น้ำพอท่วมแล้วต้มให้เดือดประมาณ 10 นาที
2. ใช้ไฟอ่อนให้น้ำค่อยเดือด ๆ แล้วต้ม 3 ส่วน เคี่ยวจนเหลือ 1 ส่วน
3. นำมารับประทานประมาณครึ่งแก้วถึงหนึ่งแก้ว

ข้อควรระวัง

ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางไม่ควรรับประทานมะดันเนื่องจากรสเปรี้ยวจะไปกัดฟอกโลหิต อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

มะดัน เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาจากทุกส่วนของต้น มีรสเปรี้ยวมากจนสามารถนำมาทดแทนมะนาวได้ มีสารอาหารมากมายโดยเฉพาะวิตามิน สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไอและละลายเสมหะ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก แก้ประจำเดือนมาผิดปกติและแก้เบาหวานได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แหล่งอ้างอิง

เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บไซต์สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้, เว็บไซต์หมอชาวบ้าน

ดีหมี ยาสมุนไพรแก้ไข้ รักษามะเร็ง แก้ตับอักเสบหรือตับพิการได้

0
ดีหมี ยาสมุนไพรแก้ไข้ รักษามะเร็ง แก้ตับอักเสบหรือตับพิการได้
ดีหมี มีสรรพคุณทางยา ใบเดี่ยวเรียงสลับกันเป็นรูปวงรี มีสีเขียวเข้ม หลังใบเป็นสีอ่อน
ดีหมี ยาสมุนไพรแก้ไข้ รักษามะเร็ง แก้ตับอักเสบหรือตับพิการได้
ดีหมี มีสรรพคุณทางยา ใบเดี่ยวเรียงสลับกันเป็นรูปวงรี มีสีเขียวเข้ม หลังใบเป็นสีอ่อน

ดีหมี

ดีหมี (Acalypha spiciflora) มักจะพบในป่าและมีสรรพคุณทางยา โดยล่าสุดมีความเชื่อกันว่าใบดีหมีช่วยรักษาโควิดแต่ยังไม่มีการรับรองอย่างแน่ชัด ดีหมีอยู่ในตำรายาไทยมาเนิ่นนาน ในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปหรือทางออนไลน์ เป็นต้นที่คู่ควรแก่การนำมาปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของดีหมี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acalypha spiciflora Burm.f.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะดีหมี จ๊ามะไฟ” จังหวัดลำปางเรียกว่า “ดินหมี” จังหวัดระนองเรียกว่า “คัดไล” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า “กาดาวกระจาย” จังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า “กาไล กำไล” ชาวกะเหรี่ยงและแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “เซยกะชู้” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “โต๊ะกาไล”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE)
ชื่อพ้อง : Cleidion spiciflorum (Burm.f.) Merr.

ลักษณะของต้นดีหมี

ต้นดีหมี เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบที่พบได้มากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย ตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้นและป่าดงดิบริมน้ำ
เปลือกต้น : เปลือกต้นเกลี้ยงและเป็นสีเทาดำ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปวงรี รูปวงรีแกมใบหอกหรือเป็นรูปใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเป็นหยักฟันเลื่อมแกมซี่ฟัน แผ่นใบหนาเรียบเป็นมันและมีสีเขียวเข้ม หลังใบเป็นสีอ่อน ที่ซอกของเส้นใบด้านท้องใบจะมีต่อมกระจัดกระจาย
ดอก : ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน โดยจะออกดอกตามซอกใบ ดอกเพศผู้ออกดอกเป็นช่อกระจะเชิงลด มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ส่วนดอกเพศเมียออกดอกเป็นดอกเดี่ยว ๆ ไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 2 – 3 แฉก
ผล : ผลมีลักษณะค่อนข้างกลมเป็นพู 2 พู เมื่อแก่จะแห้งและแตก
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 2 – 3 เมล็ด มีลักษณะกลมสีขาว

สรรพคุณของดีหมี

  • สรรพคุณจากเปลือกต้น
    – รักษามะเร็ง แก้อาการปวดท้อง แก้ตับพิการ รักษาโรคผิวหนัง ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    สรรพคุณจากแก่น
    – แก้ไข้ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยขับเหงื่อ แก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการนำแก่นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – แก้ไข้ตัวร้อน ช่วยดับพิษไข้ ช่วยขับเหงื่อ แก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาระบาย
  • สรรพคุณจากใบ
    – แก้ผื่นคัน ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วอาบ
  • สรรพคุณจากราก
    – แก้ลมพิษในกระดูก ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากต้น ราก ใบ
    – แก้ไข้ รักษาไข้มาลาเรีย ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงนำราก ต้นหรือใบมาต้มกับน้ำแล้วใช้อาบ
  • สรรพคุณจากต้น เปลือกต้น กิ่งและใบ แก้ตับอักเสบ ตับพิการ ใบไม้ตับ

ประโยชน์ของดีหมี

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบสดนำมาลวกกินเป็นเมี่ยง

ข้อควรระวัง

ใบดีหมีมีพิษ น้ำต้มจากใบอาจทำให้สตรีมีครรภ์แท้งบุตรได้

ดีหมี กำลังเป็นที่นิยมในยุคโควิดและเป็นยาจีนรวมถึงยาในตำราไทยที่มีสรรพคุณแก้อาการหลากหลาย แต่ไม่เป็นผลดีกับสตรีที่กำลังมีครรภ์ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ตับอักเสบหรือตับพิการ รักษามะเร็ง แก้ไข้ เป็นพืชที่นิยมของชาวกะเหรี่ยง จีนและประเทศไทยเรา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ดีหมี”. หน้า 72.[1]
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “ดีหมี”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชอาหารและสมุนไพรท้องถิ่นบนพื้นที่สูง (อัปสรและคณะ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [8 มี.ค. 2014].
คมชัดลึกออนไลน์. “ดีหมี แก่น-ราก-ใบ เป็นยา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.komchadluek.net. [8 มี.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ดีหมี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [8 มี.ค. 2014].
ศูนย์วิจัยสมุนไพรภาคเหนือ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “สมุนไพรที่ใช้แก้อาการแพ้และระคายเคือง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.cmu.ac.th/web2553/index.php. [8 มี.ค. 2014].
การสำรวจทรัพยากรป่าไม้เพื่อประเมินสถานภาพและศักยภาพ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี). “”ดันหมี””. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: inven.dnp9.com/inven/. [8 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ดีหมี : Cleidion speciflorum Merr.”. อ้างอิงใน: หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [8 มี.ค. 2014].
งานการแพทย์แผนไทย จังหวัดอุดรธานี. “สมุนไพรนายูง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: sites.google.com/site/ttmudon/. [8 มี.ค. 2014].

ผักแว่น ดอกเป็นแฉกโดดเด่น ช่วยบำรุงสายตาและเป็นยาทาภายนอก

0
ผักแว่น ดอกเป็นแฉกโดดเด่น ช่วยบำรุงสายตาและเป็นยาทาภายนอก
ผักแว่น ลักษณะของใบเป็นสี่แฉกประกอบแบบพัดคล้ายกังหัน ลำต้นเป็นเหง้าเรียวยาว เลื้อยและแตกกิ่งก้านไม่เป็นระเบียบ
ผักแว่น ดอกเป็นแฉกโดดเด่น ช่วยบำรุงสายตาและเป็นยาทาภายนอก
ผักแว่น ลักษณะของใบเป็นสี่แฉกประกอบแบบพัดคล้ายกังหัน ลำต้นเป็นเหง้าเรียวยาว เลื้อยและแตกกิ่งก้านไม่เป็นระเบียบ

ผักแว่น

ผักแว่น (Water clover) เป็นเฟิร์นที่ขึ้นตามริมน้ำหรือพื้นที่แฉะ มีลักษณะของดอกที่สวยงามเป็นสี่แฉก มีความโดดเด่นและพบเห็นได้ทั่วไป บางคนอาจจะเคยพบแต่ไม่รู้จักชื่อของดอกผักแว่น เป็นผักที่มีสรรพคุณทางยาและมีคุณค่าทางอาหารสูง สามารถนำมารับประทานได้ ในประเทศไทยทางภาคอีสานนิยมนำผักแว่นมารับประทานเป็นผักสดกับน้ำพริก ภาคใต้นิยมนำยอดอ่อนมาแกงร่วมกับหอมแดง กะปิและกระเทียม แต่ทางภาคกลางยังไม่มีการนำมาทานกันอย่างแพร่หลายนัก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักแว่น

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Marsilea crenata C. Presl
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Water clover” “Water fern” “Pepperwort”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลาง ภาคเหนือและภาคอีสานเรียกว่า “ผักแว่น” ชาวกะเหรี่ยงและภาคเหนือเรียกว่า “หนูเต๊าะ” ภาคใต้เรียกว่า “ผักลิ้นปี่” และมีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “ผักก๋ำแหวน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักแว่น (MARSILEACEAE)

ลักษณะของผักแว่น

ผักแว่น เป็นไม้น้ำล้มลุกจำพวกเฟิร์นที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะพบตามหนองน้ำที่ชื้นแฉะหรือตามทุ่งนาในช่วงฤดูฝน
ลำต้น : มีลำต้นเป็นเหง้าเรียวยาวทอดเกาะเลื้อยและแตกกิ่งก้านไม่เป็นระเบียบ มีขนสีน้ำตาลอ่อนขึ้นปกคลุม ลำต้นอ่อนมีสีเขียว ลำต้นแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
ราก : รากสามารถเกาะติดและเจริญอยู่ได้ทั้งบนพื้นดินหรือเจริญอยู่ในน้ำ
ใบ : เป็นใบประกอบแบบพัด โดยมีใบย่อย 4 ใบคล้ายกังหัน ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปสามเหลี่ยม รูปกรวยปลายมนหรือเป็นรูปลิ่มคล้ายพัด โคนใบสอบ ขอบใบและแผ่นใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย ใบไม่มีขน แผ่นใบจะงอกออกจากตรงกลางตำแหน่งเดียวกัน 3 – 5 ใบ ทำให้ใบทั้งหมดรวมกันเป็นลักษณะกลม
ก้านใบ : ใบย่อยไม่มีก้านใบ ใบมีสปอร์โรคาร์ป (Sporocarp) ลักษณะวงรีคล้ายเมล็ดถั่วเขียวเป็นก้อนแข็งออกที่โคนก้านใบ ขณะอ่อนมีสีขาวแต่เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำและร่วงได้ง่าย ภายในมีสปอร์จำนวนมาก
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองขนาดเล็กออกตามซอกใบ กลีบดอกสีม่วง
ผล : มีลักษณะเป็นวงรียาว ขั้วผลและปลายผลแหลม เปลือกผลสาก ผลแบ่งออกเป็น 2 พู มีผลแห้งและแตกได้
เมล็ด : ภายในผลประกอบไปด้วยเมล็ดจำนวนมาก

สรรพคุณของผักแว่น

  • สรรพคุณจากต้น เสริมสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยดับพิษร้อนและถอนพิษไข้ บรรเทาอาการปวดศีรษะ บำรุงสายตา รักษาโรคตาอักเสบ รักษาต้อกระจก ป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน แก้อาการท้องผูก แก้ดีพิการ รักษาโรคเกาต์
    – บรรเทาความร้อนในร่างกาย ระงับอาการร้อนใน แก้ร้อนใน แก้อาการกระหายน้ำ ช่วยสมานแผลในปากและลำคอ ด้วยการนำต้นมาต้มแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากใบ บำรุงสายตา รักษาโรคตาอักเสบ รักษาต้อกระจก ป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน ฆ่าเชื้อราอันเป็นสาเหตุของโรคกลาก รักษาแผลอักเสบหลังการผ่าตัด
    – ช่วยลดไข้ ช่วยสมานแผลในปากและลำคอ รักษาโรคปากเปื่อยและปากเหม็น แก้เจ็บคอและอาการเสียงแหบ แก้อาการท้องเสีย ขับปัสสาวะ ด้วยการนำใบสดมาต้มแล้วดื่ม
    – ใช้เป็นยาภายนอก เช่น รักษาแผลเปื่อย แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยในการสมานแผล เร่งการสร้างเนื้อเยื่อ ช่วยระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดหนองและช่วยลดการอักเสบ ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือ มาล้างให้สะอาดแล้วตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณแผล
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – เป็นยาแก้ไข้และอาการผิดสำแดง ด้วยการใช้ทั้งต้นมาผสมกับใบธูปฤๅษีแล้วทุบให้แตก นำไปแช่น้ำที่มีหอยขมเป็น ๆ อยู่ประมาณ 2 – 3 นาที แล้วดื่ม
    – แก้เจ็บคอและอาการเสียงแหบ ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มแล้วดื่ม

ประโยชน์ของผักแว่น

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อน ยอดอ่อนและก้านใบใช้รับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก นำมาเป็นเครื่องเคียงและเป็นส่วนประกอบในเมนูจำพวกแกงต่าง ๆ ในภาคใต้นิยมนำยอดอ่อนมาแกงร่วมกับหอมแดง กะปิและกระเทียม สามารถนำมาต้มให้นิ่มเป็นอาหารสำหรับเด็กและผู้สูงอายุได้ เมืองสุราบายาของประเทศอินโดนีเซียนำมาเสิร์ฟร่วมกับมันเทศและเพเซล (Pacel) หรือซอสเผ็ดที่ผลิตจากถั่วลิสง
2. เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ มีการพัฒนาเป็นยาชนิดครีมที่นำมาใช้ทาเพื่อรักษาแผลอักเสบหลังการผ่าตัด

คุณค่าทางโภชนาการของผักแว่น ต่อ 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของผักแว่น ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 18 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 0.7 กรัม
โปรตีน 1.0 กรัม
ไขมัน 1.2 กรัม
เส้นใยอาหาร 3.3 กรัม
น้ำ 94 กรัม
วิตามินเอ 12,166 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.10 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.27 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 3.4 มิลลิกรัม
วิตามินซี 3 มิลลิกรัม
แคลเซียม 48 มิลลิกรัม 
เหล็ก 25.2 มิลลิกรัม

สารออกฤทธิ์ในผักแว่น

ผักแว่น มีสารอาหารพวกฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) สารเอทิลอะซิเตท (Ethyl Acetate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในผักแว่น และประกอบไปด้วยสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่มีประโยชน์มากมายโดยเฉพาะการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก

คำแนะนำในการรับประทานผักแว่น

ตำนานหรือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวเหนือมีความเชื่อว่า “หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานผักแว่น เนื่องจากผักแว่นมีลักษณะของลำต้นเป็นเถาเครือ โดยเชื่อว่าเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วอาจทำให้ไปพันคอของเด็กทารกในท้องได้ ทำให้คลอดยากหรือมีอาการปวดท้องก่อนคลอดนาน” ทั้งนี้ก็เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น แต่อาจจะมีสาเหตุมาจากสารไฟโตเอสโตรเจนในผักแว่นอาจเข้าไปรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อในการหลั่งฮอร์โมนที่เป็นปกติ จึงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ภาวะมีบุตรยาก เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในอวัยวะที่ไวต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกในมดลูก ดังนั้นไม่ควรรับประทานมากเกินไปเพราะอาจส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายได้

ผักแว่น เป็นผักที่อาจจะจำสับสนกับผักชนิดอื่นเพราะบางทีชื่อที่ว่า “ผักแว่น” สามารถใช้เรียก “ผักส้มกบ” ได้เช่นกัน ผักแว่นเป็นผักที่มีแฉกโดดเด่นขึ้นอยู่ริมน้ำ ส่วนมากมักจะนำมาประกอบอาหาร มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงสายตา ดับพิษร้อนในร่างกาย เป็นยาทาภายนอก รักษาแผลในปากและลำคอ เป็นผักที่มีสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการหลากหลายและมีดอกที่สวยงาม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักแว่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25. [29 พ.ย. 2013].
สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ผักแว่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: web3.dnp.go.th. [29 พ.ย. 2013].
การสำรวจเฟิร์นตามเส้นทางธรรมชาติน้ำตกแม่เย็น โรงเรียนปายวิทยาคาร. “ผักแว่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: fern.pwtk.ac.th. [29 พ.ย. 2013].
เดลินิวส์. “ผักแว่น…ผักพื้นบ้านแต่มีคุณค่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dailynews.co.th. [29 พ.ย. 2013].
ฐานข้อมูลท้องถิ่น สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. “ผักแว่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 202.29.15.9 (arit.kpru.ac.th). [29 พ.ย. 2013].
กรีนคลินิก. “ผักแว่น”. อ้างอิงใน: หนังสือผักพื้นบ้านไทยสมุนไพรต้านโรค (ชิดชนก). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.greenclinic.in.th. [29 พ.ย. 2013].
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ผักแว่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/ผักแว่น. [29 พ.ย. 2013].
สำนักงานเกษตรอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน. “ผักลิ้นปี๋ ผักหนูเต๊าะWater Clover”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pasang.lamphun.doae.go.th. [29 พ.ย. 2013].
โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่. “ผักแว่น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: learn.wattano.ac.th. [29 พ.ย. 2013].

ดอกดินแดง ช่วยแก้เบาหวาน แก้ไขกระดูกอักเสบ รักษาคอและต่อมทอนซิลอักเสบ

0
ดอกดินแดง ช่วยแก้เบาหวาน แก้ไขกระดูกอักเสบ รักษาคอและต่อมทอนซิลอักเสบ
ดอกดินแดง เป็นพืช ดอกสีม่วงแดงอ่อน มีรสจืดเย็นและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น

ดอกดินแดง ช่วยแก้เบาหวาน แก้ไขกระดูกอักเสบ รักษาคอและต่อมทอนซิลอักเสบ
ดอกดินแดง เป็นพืช ดอกสีม่วงแดงอ่อน มีรสจืดเย็นและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น

ดอกดินแดง

ดอกดินแดง (Broomrape) เป็นดอกสีม่วงแดงอ่อนที่มีรสจืดเย็นและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น เป็นพืชที่สามารถนำมาใช้ได้หลากหลายทั้งการใช้เป็นยาสมุนไพร เป็นสีผสมอาหารหรือนำมาทำเป็นขนม ดอกดินแดงมักจะขึ้นในป่าและเป็นดอกที่ไม่มีใบอยู่บนต้น ส่วนมากไม่ค่อยมีใครรู้จักและพบเห็นได้บ่อยนัก เป็นดอกที่มีการนำมาศึกษาและน่าสนใจในการวิจัยด้านเภสัชวิทยา

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของดอกดินแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aeginetia indica L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Broomrape”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคอีสานเรียกว่า “ปากจะเข้” จังหวัดเลยเรียกว่า “ข้าวก่ำนกยูง หญ้าดอกขอ” จังหวัดสงขลาเรียกว่า “สบแล้ง” ชาวกะเหรี่ยงและแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ซอซวย” จีนกลางเรียกว่า “เหย่กู” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “กะเปเส้ เพาะลาพอ ดอนดิน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ดอกดิน (OROBANCHACEAE)

ลักษณะของดอกดินแดง

ดอกดินแดง เป็นพืชจำพวกกาฝากที่มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ตอนกลางของทวีปเอเชียมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก ในประเทศไทยมักจะพบบริเวณที่ค่อนข้างชื้นในป่าเต็งรัง ซึ่งพบได้มากทางภาคเหนือและทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง โคนต้นมีกาบใบสีชมพูอ่อนห่อหุ้มอยู่ มีก้านเดียวแทงขึ้นมาบนรากไม้อื่น ต้นไม่มีการแตกกิ่งก้าน ปลายก้านออกดอกเป็นดอกเดี่ยว
ใบ : ไม่มีใบหรืออาจจะมีใบเป็นเกล็ดขนาดเล็กที่โคนกอซึ่งมองเห็นได้ยาก โดยจะออกเรียงสลับตรงข้ามกันเป็นรูปสามเหลี่ยม
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวสีม่วงแดงอ่อนรูปถ้วยคว่ำ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด โค้งงอ กลีบเลี้ยงเป็นสีเหลืองอ่อน กลีบดอกจะแตกออกเป็นแฉก 5 แฉก
ผล : ผลเป็นรูปกลมไข่มีสีน้ำตาล เมื่อแก่จะแตกออก
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลขนาดเล็กจำนวนมาก

สรรพคุณของดอกดินแดง

  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาชงแก้เบาหวาน เป็นยาเย็น เป็นยาขับพิษร้อน ช่วยถอนพิษไข้ ทำให้เลือดเย็น แก้อาการเจ็บคอ รักษาคออักเสบ รักษาต่อมทอนซิลอักเสบ แก้อาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ แก้โรคผิวหนัง บรรเทาอาการแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการปวดบวม
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาชงกินแก้เบาหวาน
    – รักษาฝีบนผิวหนัง แก้ฝีภายนอก ด้วยการนำดอกสดมาตำผสมกับน้ำมันงาเล็กน้อยแล้วนำมาใช้พอก
    – แก้พิษงู ด้วยการใช้ดอกแห้ง 40 กรัม ชะมดเชียง 0.5 กรัม และตะขาบแห้ง 7 ตัว มาแช่ในน้ำมันงาประมาณ 15 วัน จึงสามารถนำมาใช้ทาบริเวณที่โดนพิษได้
  • สรรพคุณจากต้น
    – แก้ไขกระดูกอักเสบ ด้วยการใช้ต้นสด 30 กรัม มาตำคั้นเอาน้ำผสมกับผงชะเอม 5 กรัม หรือนำไปต้มกับน้ำแล้วดื่ม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของดอกดินแดง

1. มีการศึกษาพิษต่อระบบภูมิคุ้มกันของดอกดินแดงโดยใช้สารสกัดจากพืชทั้งต้นด้วยเอทานอล (DDDP) และน้ำ (WDDDP) และส่วนเมล็ดสกัดด้วยบิวทานอล (SDDD) พบว่าสารสกัดจากดอกดินแดงมีฤทธิ์กระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
2. มีการศึกษาพบว่าดอกดินแดงมีฤทธิ์ต้านพิษต่อตับ ต้านมะเร็ง กระตุ้น T-cell และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แต่ยังไม่สามารถนำมาใช้ในการรักษาอาการดังกล่าวข้างต้นได้

ประโยชน์ของดอกดินแดง

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกนำมาลวกหรือนึ่งรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ดอกสดหรือดอกแห้งนำมาคั้นเอาแต่น้ำใช้เป็นสีผสมอาหาร ใช้แต่งสีหน้าข้าวเหนียวให้เป็นสีม่วงดำที่เรียกว่า “หม่าข้าว” เมื่อนำดอกมาผสมกับข้าวเหนียวแล้วนำไปนึ่งแล้วทำให้ข้าวเป็นสีม่วงจะเรียกว่า “ข้าวก่ำ” ดอกนำมาโขลกผสมกับแป้งและน้ำตาลใช้ทำเป็นขนมดอกดินได้

ดอกดินแดง เป็นส่วนสำคัญของการนำมาใช้ผสมสีในข้าวเหนียวซึ่งจะให้สีม่วงหรือสีน้ำเงินเข้มเกือบดำที่มักจะพบวางขายเป็นส่วนมาก สีของกลีบดอกมีสารออคิวบิน (Aucubin) เมื่อถูกออกซิไดซ์จากออกซิเจนในอากาศแล้วจะเปลี่ยนสีดำ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้เบาหวาน แก้พิษงู แก้ไขกระดูกอักเสบ รักษาคออักเสบและต่อมทอนซิลอักเสบ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ดอกดินแดง”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 216.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “ดอกดินแดง”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 111.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ดอกดินแดง”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 2. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [7 มี.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ. “ดอกดินแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.kanchanapisek.or.th/kp14/project_dev/project_area/Ratburi/index.php. [7 มี.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ดอกดินแดง (ตราด) สบแล้ง (สงขลา) หญ้าดอกขอ (เลย) ปากจะเข้ (เหนือ) ซอซวย (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)”. อ้างอิงใน: สารานุกรมพืชในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [7 มี.ค. 2014].
สำนักบริหารพื้นที่อนรุักษ์ที่ 13 (สาขาลำปาง). “ดอกดินแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: lampang.dnp.go.th. [7 มี.ค. 2014].
ศูนย์ข้อมูลภาคเหนือ มหาวิทยาลัยพายัพ. “ดอกดิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:lib.payap.ac.th/webin/ntic/. [7 มี.ค. 2014].
วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. “ดอกดิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:th.wikipedia.org/wiki/ดอกดิน_(พืช). อ้างอิงใน: หนังสือเส้นทางขนมไทย. [7 มี.ค. 2014].
การศึกษาพิษวิทยาและผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของดอกดินแดง. (วิมลณัฐ อัตโชติ).
ชีวจิต. “ดอกดิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.cheewajit.com. [7 มี.ค. 2014].

สะระแหน่ สมุนไพรรสจัดที่ช่วยดับร้อน แก้พิษไข้ และมีกลิ่นหอมคล้ายมะนาว

0
สะระแหน่ สมุนไพรรสจัดที่ช่วยดับร้อน แก้พิษไข้ และมีกลิ่นหอมคล้ายมะนาว
สะระแหน่ พืชสมุนไพร มีรูปร่างคล้ายกะเพราริมใบหยัก มีกลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว ทานได้ทั้งใบสดและสกัดเป็นชา
สะระแหน่ สมุนไพรรสจัดที่ช่วยดับร้อน แก้พิษไข้ และมีกลิ่นหอมคล้ายมะนาว
สะระแหน่ พืชสมุนไพร มีรูปร่างคล้ายกะเพราริมใบหยัก มีกลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว ทานได้ทั้งใบสดและสกัดเป็นชา

สะระแหน่

สะระแหน่ (Marsh mint) เป็น พืชสมุนไพรที่มักจะพบในการรับประทานสดร่วมกับอาหารชนิดอื่นหรือนำมาสกัดเป็นชา สะระแหน่มีรูปร่างคล้ายกะเพราและมีกลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว คนทั่วไปอาจจะไม่คุ้นเคยแต่ก็ไม่ใช่ชื่อที่แปลกนักสำหรับคนรักผักเพราะสะระแหน่มักจะนิยมรับประทานกันในอาหารเวียดนาม ทั้งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นพืชที่มีใบสีเขียวย่อมมีสรรพคุณเป็นยาและช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแน่นอน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของสะระแหน่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Melissa officinalis
ชื่อสามัญ : สะระแหน่มีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Kitchen Mint” และอีกชื่อเรียกว่า “Marsh Mint”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “สะระแหน่สวน” ภาคเหนือเรียกว่า “หอมด่วนหรือหอมเดือน” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ขะแยะ” ภาคใต้เรียกว่า “มักเงาะหรือสะแน่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กะเพรา (LAMIACEAE – LABIATAE)
ชื่อพ้อง : Mentha × cordifolia Opiz ex Fresen.

ลักษณะของสะระแหน่

สะระแหน่ เป็นพืชล้มลุกเลี้อยตามพื้นดินที่มีแหล่งกำเนิดในแถบทวีปยุโรปตอนใต้และในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีกลิ่นหอมและรสชาติคล้ายมะนาว
ราก : เป็นรากฝอยขนาดเล็กและสั้น
ลำต้น : มีลักษณะเป็นเหลี่ยมสีแดงเข้มไปจนถึงปลายยอด สามารถแตกเหง้าเป็นต้นใหม่และแตกกิ่งแขนงจำนวนมาก
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ใบมีลักษณะกลมขนาดหัวแม่มือ ใบค่อนข้างหนา ริมใบหยักโดยรอบ ภายในใบเป็นคลื่นยับย่น ปลายใบมนหรือแหลม
ดอก : ดอกมักจะออกเป็นช่อ มีสีชมพูอมม่วง
ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปกระสวยสีดำขนาดเล็ก

การนำไปใช้ประโยชน์ของสะระแหน่

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนผสมในการทำไอศกรีมและชาสมุนไพร เป็นส่วนผสมในอาหารหรือรับประทานสด ๆ ควบคู่ไปกับลาบน้ำตก เพิ่มกลิ่นหอมให้อาหาร ใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องดื่มต่าง ๆ เป็นเครื่องเคียงในอาหารจำพวกผลไม้สดและขนมหวาน สกัดเอาสารเพื่อใช้ในการทำเป็นลูกอม หมากฝรั่งรสมิ้นต์หรือชาสะระแหน่ได้
2. เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมยา ทำเป็นยาปฏิชีวนะได้
3. สกัดน้ำมันหอมระเหย ทำเป็นน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ทำการบำบัดโดยใช้กลิ่น

สรรพคุณของสะระแหน่

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย รักษาอาการอ่อนเพลียของร่างกาย ยับยั้งเชื้อโรคและการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นด้วยการนำใบสะระแหน่มาบดแล้วนำมาทาผิว
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาและดับร้อน ขับเหงื่อในร่างกาย บรรเทาอาการเครียด บรรเทาอาการหวัด น้ำมูกไหลและอาการไอ แก้อาการหน้ามืดตาลาย
    1. บรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและโล่งคอ ด้วยการดื่มน้ำใบสะระแหน่ 5 กรัมกับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง
    2. แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการปวดบวม ผดผื่นคัน ด้วยการนำใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณดังกล่าว
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา ระงับกลิ่นปาก
    1. ลดรอยคล้ำใต้ตา ด้วยการนำใบสะระแหน่มาบดให้ละเอียดโดยเติมน้ำระหว่างบดด้วยเล็กน้อย จากนั้นใส่น้ำผึ้งแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำมาทาใต้ตาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
    2. บรรเทาอาการปวดฟัน เจ็บปาก เจ็บลิ้น ปวดคอและรักษาแผลในปาก ด้วยการดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่
    3. บรรเทาอาการปวดหู ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบสะระแหน่มาหยอดที่รูหู
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค รักษาโรคหอบหืดและโรคหลอดลมอักเสบ รักษาโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ห้ามเลือดกำเดาไหล ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่หยอดที่รูจมูก
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยขับลมในลำไส้และช่วยในการย่อยอาหาร รักษาอาการท้องร่วง ปวดท้องและอาการบิด แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ ลดอาการหดเกร็งของลำไส้ รักษาอาการอุจจาระเป็นเลือด
    1.แก้อาการจุกเสียดในท้องเด็ก ด้วยการใช้ใบสะระแหน่ตำให้ละเอียดผสมกับยาหอมแล้วนำมากวาดคอเด็ก
    สรรพคุณด้านอื่น ๆ ช่วยผ่อนคลายความกดดันของกล้ามเนื้อซึ่งมาจากความเหนื่อยล้า ช่วยในการไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ ด้วยการนำใบมาบดแล้วนำมาทาที่ผิว ช่วยให้หัวใจแข็งแรง

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของสะระแหน่ 100 กรัม ให้พลังงาน 47 กิโลแคลอรี และมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายต่าง ๆ อย่างเช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 และวิตามินซี มีแร่ธาตุต่าง ๆ หลายชนิด อย่างเช่น ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัสและธาตุเหล็ก

สะระแหน่ เป็นพืชที่คนเวียดนามมักจะรับประทานสดแต่คนไทยนิยมนำมาปรุงรสอาหารมากกว่า เพราะสะระแหน่มีรสจัดและช่วยลดกลิ่นคาวของอาหารได้ ทั้งนี้ใบสะระแหน่ที่นำมาปรุงนั้นควรเลือกใช้ใบสดและยอดอ่อนเพื่อให้ได้สรรพคุณที่ดีกว่าใบแห้ง สรรพคุณที่โดดเด่นของสะระแหน่เลยก็คือ เป็นยาดับร้อนที่ช่วยถอนพิษไข้ ขับลมและขับเหงื่อ ระงับกลิ่นปาก และใช้เป็นน้ำมันหอมระเหย

บทความที่เกี่ยวข้อง

แหล่งอ้างอิง 

ฃวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)