ต้นฝักไอติม กินได้ดีต่อสุขภาพไขมันต่ำ รสชาติเหมือนไอติมวานิลา

0
ต้นฝักไอติม กินได้ดีต่อสุขภาพไขมันต่ำ รสชาติเหมือนไอติมวานิลา
ต้นฝักไอติม เป็นพืชตระกูลถั่ว ฝักมีลักษณะคล้ายกับถั่วฝักดาบ เนื้อสุกฟูปุยคล้ายกระท้อน รสหวานคล้ายไอติมวานิลลา
ต้นฝักไอติม กินได้ดีต่อสุขภาพไขมันต่ำ รสชาติเหมือนไอติมวานิลา
ต้นฝักไอติม เป็นพืชตระกูลถั่ว ฝักมีลักษณะคล้ายกับถั่วฝักดาบ เนื้อสุกฟูปุยคล้ายกระท้อน รสหวานคล้ายไอติมวานิลลา

ต้นฝักไอติม

ต้นฝักไอติม (Ice Cream Bean) เป็นพืชตระกูลถั่ว (Leguminosae หรือ Fabaceae) ฝักมีลักษณะคล้ายกับถั่วฝักดาบ มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้และอเมริกากลางเป็นพืชที่ใช้เป็นอาหารของชาวินคาและชาวอเมซอน เนื้อด้านในฝักมีปุยฝ้ายสีขาวห่อหุ้มเมล็ดสีดำข้างในอีกชั้นกินได้ รสชาติหวานคล้ายไอติมวานิลลา นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว ต้นฝักไอศครีมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมายใช้ประโยชน์ได้ทั้ง ฝัก เมล็ด และใบอุดมไปด้วยวิตามิน A, B และ C ไฟเบอร์ โปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของต้นฝักไอศครีม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Inga edulis MartInga
ชื่อสามัญ : อังกฤษ Ice Cream Bean สเปน chalaite บราซิล abaremotemo ไอศกรีมถั่ว กัวมา กัวบา กวานิกิล

ลักษณะของต้นฝักไอศครีม

ลำต้น : ต้นถั่วไอติมสูงถึง 30 เมตร ลำต้นสีเทาซีด มีอายุประมาณ 30-50 ปี
ใบไม้ : ใบทรงยาวมนสีเขียวเข้ม มีเยื่อบาง มีขนเล็กน้อย ใบแยกออกจากก้านเรียงสลับซ้ายขวา ใบยาว 10-30 ซม. มี 4 ถึง 6 คู่ตรงข้าม
ดอก : ดอกสีขาว กลิ่นหอม ช่อดอกที่มีเกสรตัวผู้ยาวสีขาวจำนวนมากนำละอองเรณู
ผล/ฝัก : ฝักแบนยาวสีเขียวแกมน้ำตาล ยาวประมาณ 1 ฟุต
เมล็ด : สีม่วงดำขนาดใหญ่
การขยายพันธุ์ : เมล็ดจะงอกเองภายในฝักและตกลงในดินเจริญเติบโตได้เองตามธรรมชาติ

ประโยชน์ต่อสุขภาพของต้นฝักไอศครีม

  • ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี LDL
  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยในการลดน้ำหนัก
  • ช่วยเผาผลาญไขมันและลดความอยากอาหาร ทำให้อิ่มนาน
  • รักษาอาการท้องผูก
  • ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ
  • การรักษาโรคบิด
  • ป้องกันการอักเสบของเนื้อเยื่อภายในร่างกาย
  • ช่วยให้กระดูกแข็งแรงและรักษาโรคไขข้อ
  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วงล้างสารพิษ
  • ช่วยในการย่อยอาหาร
  • บำรุงสายตา และป้องอาการตาบอดกลางคืน หรือต้อกระจก
  • บำรุงหัวใจ
  • สร้างมวลกล้ามเนื้อ
  • ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลาย
  • ช่วยการรักษาความยืดหยุ่นของผิว

ต้นฝักไอศครีม เนื้อสุกมีลักษณะคล้ายปุยฝ้าย รสหวาน มีทั้งแบบฝักสั้นและฝักยาว มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องที่ บางแห่งเรียกว่าถั่วอินคา (Inga bean) และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แคทะเล ไม้แถบชายทะเลที่มีสรรพคุณบำรุงเลือด แก้ไข้ แก้ปวดประสาทและแก้โรคชัก

0
แคทะเล ไม้แถบชายทะเลที่มีสรรพคุณบำรุงเลือด แก้ไข้ แก้ปวดประสาทและแก้โรคชัก
แคทะเล มีดอกสีขาวและฝักเรียวยาวและโค้งงอบิดเป็นเกลียว
แคทะเล ไม้แถบชายทะเลที่มีสรรพคุณบำรุงเลือด แก้ไข้ แก้ปวดประสาทและแก้โรคชัก
แคทะเล มีดอกสีขาวและฝักเรียวยาวและโค้งงอบิดเป็นเกลียว

แคทะเล

แคทะเล (Mangrove trumpet tree) เป็นไม้ยืนต้นที่มักจะขึ้นในป่าโกงกางหรือริมชายทะเลที่มีน้ำทะเลท่วมถึง เป็นพืชที่มักจะพบในภาคใต้และมีต้นที่สวยงาม มีดอกสีขาวและฝักที่โดดเด่นอยู่บนต้น สามารถนำแคทะเลมารับประทานได้และเป็นไม้ที่มีสรรพคุณทางยามากกว่าที่คิด เป็นไม้ปลูกประดับและนำเนื้อไม้มาใช้ในอุตสาหกรรมได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแคทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dolichandrone spathacea (L.f.) Seem.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Tui” “Mangrove trumpet tree”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “แคน้ำ แคนา แคป่า แคน้ำทะเล” ภาคเหนือเรียกว่า “แคฝา แคตุ้ย แคปี่ฮ่อ แคแหนแห้”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)
ชื่อพ้อง : Bignonia spathacea L.f.

ลักษณะของแคทะเล

แคทะเล เป็นไม้ยืนต้นที่มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย ศรีลังกา พม่า เวียดนาม ภูมิภาคมาเลเซีย หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ในประเทศไทยจะพบต้นแคทะเลได้เฉพาะทางภาคกลางและภาคใต้ในแถบจังหวัดชายฝั่งทะเล
เปลือก : เปลือกเป็นสีเทาเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้น ๆ และมีช่องอากาศอยู่ตามลำต้น จะแตกกิ่งก้านน้อยและต่ำ เป็นเรือนยอดแผ่กว้าง กิ่งอ่อนมักมีเมือกเหนียว แต่ละส่วนเมื่อแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่เรียงตรงข้ามกัน ใบย่อยเป็นรูปไข่ไปจนถึงรูปใบหอก ปลายใบแหลมยาว ส่วนโคนใบเบี้ยวหรือแหลมไปจนถึงกลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบมีลักษณะเกลี้ยง มีต่อมประปรายบนเส้นกลางใบและด้านล่างของท้องใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ กลีบเลี้ยงคล้ายกาบรูปขอบขนาน ส่วนกลีบดอกเป็นรูปแตรสีขาว หลอดกลีบส่วนโคนเรียวและแคบ หลอดกลีบส่วนปลายจะบานออกเป็นรูประฆัง ปลายแยกเป็นกลีบ 5 กลีบตื้น ๆ ออกดอกเกือบตลอดทั้งปีแต่จะออกมากในช่วงเดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคม
ผล : ผลเป็นฝักเรียวยาวและโค้งงอ เมื่อแห้งจะแตกออกเป็นสองซีกและบิดเป็นเกลียว ออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน
เมล็ด : ภายในฝักมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หนา แบนและมีปีก

สรรพคุณของแคทะเล

  • สรรพคุณจากราก บำรุงโลหิต แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้โลหิต
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาแก้อาการปวดประสาท แก้โรคชัก
  • สรรพคุณจากดอก แก้ไข้
  • สรรพคุณจากใบ แก้ไข้ เป็นยาบ้วนปาก แก้อาการคัน เป็นยาพอกรักษาแผล
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาแก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ

ประโยชน์แคทะเล

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกและยอดสามารถนำมาใช้รับประทานเป็นผักได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ
3. ใช้ในอุตสาหกรรม เนื้อไม้สามารถนำมาใช้ทำเป็นเครื่องเรือนและหีบสำหรับใส่สิ่งของได้

แคทะเล ไม้ยืนต้นในป่าชายเลนหรือป่าโกงกางที่มีดอกสีขาวโดดเด่น สามารถนำต้นมารับประทานและนำมาเป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยบำรุงเลือด แก้ไข้ แก้ปวดประสาทและแก้โรคชัก เป็นไม้ริมทะเลชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาอาการต่าง ๆ ได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “แคทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [24 ธ.ค. 2013].
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. “แคทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nectec.or.th. [26 ธ.ค. 2013].
ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ กลุ่มงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “แคทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [26 ธ.ค. 2013].
สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “แคน้ำ”. [ ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/pattani_botany. [26 ธ.ค. 2013].
รายวิชาชายฝั่งทะเล กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนท้ายหาด. “แคทะเล”. (วรรณี ทัฬหกิจ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.geocities.ws/Jukkrit_L/. [26 ธ.ค. 2013].
bioGANG. “แคทะเล”. (hedhom). อ้างอิงใน: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.biogang.net. [26 ธ.ค. 2013].
A Guide to Mangroves of Singapore. “Tui”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: mangrove.nus.edu.sg. [26 ธ.ค. 2013].

เฟื่องฟ้า ราชินีแห่งไม้ประดับ เป็นทั้งยารักษาและความสวยงามให้กับบ้าน

0
เฟื่องฟ้า ราชินีแห่งไม้ประดับ เป็นทั้งยารักษาและความสวยงามให้กับบ้าน
เฟื่องฟ้า เป็นต้นไม้ในไทย มีความสวยงาม มีสรรพคุณทางยา ดอกนำมาชุบแป้งทอดเพื่อรับประทานได้
เฟื่องฟ้า ราชินีแห่งไม้ประดับ เป็นทั้งยารักษาและความสวยงามให้กับบ้าน
เฟื่องฟ้า เป็นต้นไม้ในไทย มีความสวยงาม มีสรรพคุณทางยา ดอกนำมาชุบแป้งทอดเพื่อรับประทานได้

เฟื่องฟ้า

เฟื่องฟ้า (Paper flower) เป็นต้นไม้ในไทยที่โด่งดังและมีความสวยงามจนนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย สามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทยและยังเป็นต้นไม้มงคลที่สำคัญ เชื่อกันว่าหากบ้านใดปลูกเฟื่องฟ้าจะช่วยเสริมสร้างคุณค่าให้แก่ชีวิตของเรามากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นไม้ที่ได้ชื่อว่า “ราชินีแห่งไม้ประดับ” เหมาะอย่างมากในการปลูกประดับสถานที่หรือในบ้าน นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยาได้ด้วย และยังสามารถนำดอกมาชุบแป้งทอดเพื่อรับประทานได้ด้วยเช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเฟื่องฟ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bougainvillea glabra Choisy
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Paper flower” “Bougainvillea”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ตรุษจีน” ภาคเหนือเรียกว่า “ดอกกระดาษ ดอกโคม” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “ดอกต่างใบ” จีนกลางเรียกว่า “เย่จื่อฮวา จื่อซานฮวา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บานเย็น (NYCTAGINACEAE)

ประวัติเฟื่องฟ้า

เฟื่องฟ้า ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1766 – 1769 ในประเทศบราซิลโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และเข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2423 หรือในรัชกาลที่ 5 มีการนำพันธุ์ของต้นเฟื่องฟ้าเข้ามาจากประเทศสิงคโปร์และนำเข้าจากต่างประเทศมากมาย จากนั้นเฟื่องฟ้ากลายเป็นที่นิยมและเกิดสายพันธุ์ใหม่เนื่องจากเฟื่องฟ้าเป็นไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย
การใช้ดอกเฟื่องฟ้าเป็นยาในประเทศจีน ในประเทศจีนนำเฟื่องฟ้ามาใช้เป็นยาโดยใช้ดอกที่มีสีม่วงหรือสีแดง แต่ไม่นิยมใช้ดอกสีขาว

ลักษณะของเฟื่องฟ้า

เฟื่องฟ้า เป็นไม้ยืนต้นประเภทพุ่มกึ่งเลื้อยที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศบราซิล สามารถพบได้ตามที่สาธารณะทั่วไปในประเทศไทย
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะกลมใหญ่ เนื้อแข็ง ผิวเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล เปราะและหักได้ง่าย มีหนามขึ้นตามลำต้นอยู่เหนือใบ ต้นเป็นทรงพุ่มที่สามารถตัดแต่งและบังคับทิศทางการเจริญเติบโตได้
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปไข่ รูปวงรีหรือรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียว ผิวใบเรียบ ใบบางและมีหนามอยู่ตามง่ามใบ
ดอก : ออกดอกเป็นกระจุกตามง่ามใบและปลายกิ่ง ในหนึ่งดอกจะมีใบดอก 3 ใบเชื่อมติดกัน มีเกสรเป็นรูปทรงกระบอกสีเขียว สามารถพบได้หลายสี ได้แก่ สีม่วง สีแดง สีขาว สีชมพู สีเหลือง เป็นต้น ดอกมีลักษณะบางคล้ายกับกระดาษ ลักษณะเป็นรูปไข่ปลายแหลม
ผล : ผลมีขนาดเล็ก ลักษณะเป็นสัน 5 เหลี่ยม เปลือกแข็งและมีเมล็ดติดกับเปลือก

สรรพคุณของเฟื่องฟ้า

  • สรรพคุณจากดอก ช่วยบำรุงหัวใจและระบบขับถ่าย
    – เป็นยาสุขุมที่ออกฤทธิ์ต่อตับ เป็นยาแก้ประจำเดือนมาผิดปกติหรือไม่มา รักษาอาการตกขาวของสตรี ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ด้วยการใช้ดอกที่เป็นยาแห้งครั้งละ 10 – 15 กรัม มาต้มกับน้ำแล้วดื่มหรือใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ในตำรับยาตามที่ต้องการได้
  • สรรพคุณจากรากของเฟื่องฟ้าดอกขาว เป็นยาแก้พิษต่าง ๆ

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเฟื่องฟ้า

เฟื่องฟ้าพบสารจำพวก Bougainvillein เช่น Betanidinm Bougainvillea, 6-o-B-Sophoroside, Verbascose Isobetanidin เป็นต้น

ประโยชน์ของเฟื่องฟ้า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำดอกเฟื่องฟ้ามาชุบแป้งทอด
2. เป็นไม้ปลูกประดับ นิยมปลูกลงกระถาง ปลูกในสวน ปลูกตามที่สาธารณะในประเทศไทย เป็นต้นที่นิยมเนื่องจากดูแลรักษาได้ง่ายและทนความแล้งได้ดี เมื่อมีอากาศเย็นจะมีดอกออกเต็มต้น
3. เป็นความเชื่อ คนไทยโบราณมีความเชื่อว่า หากบ้านใดปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะสามารถช่วยสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น และยังเชื่อกันว่าต้นเฟื่องฟ้าเป็นไม้มงคลสำคัญของตรุษจีนเพราะต้นเฟื่องฟ้าสามารถออกดอกได้บานสะพรั่งในช่วงเทศกาลตรุษจีน ดังนั้นจึงเชื่อว่าเมื่อช่วงดอกเฟื่องฟ้าบานจะแสดงถึงความเบิกบาน สว่างไสวและความรุ่งเรืองที่ก้าวไกลแห่งชีวิต ควรปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ทางทิศตะวันออกและผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ ทั้งนี้ผู้ปลูกควรเป็นสตรีเพราะเฟื่องฟ้าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับสุภาพสตรี

วิธีการทำเมนู “ดอกเฟื่องฟ้าชุบแป้งทอด”

1. นำดอกเฟื่องฟ้ามาชุบในแป้งชุบทอด
2. รอให้น้ำมันร้อนจัดแล้วใส่ดอกเฟื่องฟ้าที่ชุบแป้งลงไปทอดจนเหลืองกรอบ
3. จากนั้นตักขึ้นมารอจนน้ำมันสะเด็ด
4. นำมารับประทานกับน้ำจิ้ม

เฟื่องฟ้า เป็นไม้ประดับที่สำคัญของคนไทยเนื่องจากเป็นไม้มงคลและนิยมปลูกกันในที่สาธารณะเป็นจำนวนมาก เป็นไม้ที่มีดอกหลากหลายสีและหลายสายพันธุ์ นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณทางยาในการรักษาได้ด้วย หากบ้านใดปลูกเฟื่องฟ้าและอยากรับประทานดอกก็สามารถนำมาชุบแป้งทอดได้ ดอกจะมีรสขมฝาดแต่จะมีรสชาติดีเมื่อรับประทานกับน้ำจิ้ม มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยบำรุงหัวใจและระบบขับถ่าย แก้ประจำเดือนมาผิดปกติ แก้พิษและช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

เฟื่องฟ้า ราชินีแห่งไม้ประดับ เป็นทั้งยารักษาและความสวยงามให้กับบ้าน
เฟื่องฟ้า เป็นต้นไม้ในไทย มีความสวยงาม มีสรรพคุณทางยา ดอกนำมาชุบแป้งทอดเพื่อรับประทานได้
เฟื่องฟ้า,ตรุษจีน,ดอกกระดาษ,ดอกโคม,ดอกต่างใบ,เย่จื่อฮวา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “เฟื่องฟ้า”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 412.
สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “เฟื่องฟ้า” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [11 พ.ค. 2014].
ไขปริศนา พฤกษาพรรณ, สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล. “เฟื่องฟ้า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.il.mahidol.ac.th/e-media/plants/. [11 พ.ค. 2014].
โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย. “ต้นเฟื่องฟ้า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.suriyothai.ac.th. [11 พ.ค. 2014].
ไทยรัฐออนไลน์. “ผลิตขนมดอกไม้สีรุ้ง ความสวยงามที่บริโภคได้”. (ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th. [11 พ.ค. 2014].

โผงเผง ยาสมุนไพรของชาวพื้นบ้าน ช่วยทำให้นอนหลับ แก้ไข้ แก้ปัสสาวะขัด

0
โผงเผง ยาสมุนไพรของชาวพื้นบ้าน ช่วยทำให้นอนหลับ แก้ไข้ แก้ปัสสาวะขัด
โผงเผง ยาสมุนไพรของชาวพื้นบ้าน ช่วยทำให้นอนหลับ แก้ไข้ แก้ปัสสาวะขัด
โผงเผง เป็นพืชในตระกูลถั่ว มีดอกสีเหลืองสด ใบนำมาบดให้เป็นผงละเอียดเป็นยาลูกกลอน

โผงเผง

โผงเผง (Senna hirsuta) เป็นพืชในตระกูลถั่วที่มีดอกสีเหลืองสดโดดเด่นอยู่บนต้น เป็นต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักกันมากนักในประเทศไทยแต่ค่อนข้างโด่งดังในเรื่องแก้อาการนอนไม่หลับ ต้นโผงเผงนั้นเป็นยาสมุนไพรสำหรับชาวพื้นบ้าน อยู่ในตำรับยาพื้นบ้านล้านนา ยาสมุนไพรของชาวเขาเผ่าลี นอกจากจะเป็นยาแล้วยังเป็นอาหารยอดนิยมของสัตว์อย่างโคหรือกระบืออีกด้วย โผงเผงเป็นต้นที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกายอีกชนิดหนึ่งที่คนนอนไม่หลับควรสนใจ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโผงเผง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Senna hirsuta (L.) H.S.Irwin & Barneby
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “โผงเผง” จังหวัดปราจีนบุรีเรียกว่า “รางจืดต้น” จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียกว่า “ดับพิษ” คนเมืองเรียกว่า “ลำมึนหลวง” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “อิเฉ่อะโชเหมาะ” ปะหล่องเรียกว่า “สะหน่ำสะอี้”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Cassia hirsuta L.

ลักษณะของต้นโผงเผง

โผงเผง เป็นไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่มขนาดเล็กที่มักจะพบขึ้นทั่วไปในพื้นที่ริมป่า ตามป่าละเมาะหรือในพื้นที่เสื่อมโทรม
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง มีขนและมีกลิ่นเหม็นเขียว
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับกัน มีใบย่อยประมาณ 4 – 5 คู่ โดยคู่บนสุดจะมีใบขนาดใหญ่กว่าคู่ล่าง ใบย่อยเป็นรูปไข่ รูปขอบขนาน รูปขอบขนานแกมรูปไข่หรือเป็นรูปใบหอก แผ่นใบมีขนละเอียดขึ้นปกคลุมอยู่หนาแน่นทั้งสองด้าน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกมีดอกย่อยประมาณ 2 – 4 ดอก กลีบดอกเป็นสีเหลืองสด อับเรณูเป็นสีน้ำตาลแกมสีเหลือง ส่วนยอดเกสรเพศเมียเป็นสีเขียวอ่อน ก้านชูเกสรเพศเมียมีปุยขนยาวสีขาว
ผล : ลักษณะของผลเป็นฝักโค้งเล็กน้อย มีขนละเอียดปกคลุมอยู่หนาแน่น ขอบเป็นสันเหลี่ยม
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดเป็นสีม่วงดำ มีรูปร่างแบน

สรรพคุณของโผงเผง

  • สรรพคุณจากใบ
    – เป็นยาแก้ไข้ ตำรับยาของชาวล้านนาจะนำใบโผงเผงผสมกับรากขางครั่งแล้วนำมาบดให้เป็นผงละเอียดเพื่อทำเป็นยาลูกกลอน
  • สรรพคุณจากราก
    – เป็นยาแก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – เป็นยาแก้เบื่อเมา ด้วยการนำรากมาฝนกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้อาการปัสสาวะขัดหรือท้องผูก ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – แก้อาการปัสสาวะขัดหรือท้องผูก ด้วยการนำเมล็ดมาคั่วแช่ในน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – ดีต่อสตรีหลังคลอดบุตร ชาวเขาเผ่าลีซอจะใช้ทั้งต้นนำมาต้มแล้วให้สตรีหลังคลอดดื่ม

ประโยชน์ของโผงเผง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนนำมาลวกเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก
2. ใช้ในการเกษตร ใบและยอดอ่อนเป็นอาหารของสัตว์แทะเล็ม เช่น โค กระบือ

คุณค่าทางโภชนาการของใบโผงเผงรวมก้านใบย่อยและยอดอ่อน

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 15.95%
คาร์โบไฮเดรต 46.86% 
ไขมัน 6.21%
ใยอาหาร 22.08%
เถ้า 8.9%
เยื่อในส่วน ADF 26.27% 
 NDF 33.18% 
ลิกนิน 4.91%

โผงเผง เป็นต้นที่มีกลิ่นเหม็นเขียวและมีดอกสีเหลืองสด มักจะนำมาใช้เป็นยาแก้อาการนอนไม่หลับหรือนำมาเป็นอาหารสำหรับโคและกระบือ สามารถนำทั้งต้นมาใช้ประโยชน์ได้และเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านที่น่าสนใจ เป็นต้นที่ให้พลังงานต่อร่างกายสูงชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้อาการนอนไม่หลับ แก้อาการปัสสาวะขัดหรือท้องผูก แก้ไข้ แก้เบื่อเมาและดีต่อสตรีหลังคลอด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “โผงเผง”. หน้า 62.
สำนักพัฒนาอาหารสัตว์, ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์นครราชสีมา. “โผงเผง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dld.go.th/ncna_nak/. [29 เม.ย. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “โผงเผง, ดับพิษ”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [27 เม.ย. 2014].

เสี้ยวดอกขาว เหมาะสำหรับเป็นไม้ประดับและเป็นยาระบายชั้นดี

0
เสี้ยวดอกขาว เหมาะสำหรับเป็นไม้ประดับและเป็นยาระบายชั้นดี
เสี้ยวดอกขาว ดอกเป็นช่อสั้นตามกิ่ง ดอกสีชมพูอ่อนหรือสีขาว มีกลิ่นหอม ดอกและฝักเป็นยาได้
เสี้ยวดอกขาว เหมาะสำหรับเป็นไม้ประดับและเป็นยาระบายชั้นดี
เสี้ยวดอกขาว ดอกเป็นช่อสั้นตามกิ่ง ดอกสีชมพูอ่อนหรือสีขาว มีกลิ่นหอม ดอกและฝักเป็นยาได้

เสี้ยวดอกขาว

เสี้ยวดอกขาว (Mountain ebony tree) เป็นดอกที่มีสีชมพูอ่อนหรือสีขาวสวยงามและมีกลิ่นหอม เป็นพืชที่นิยมใช้ในการจัดสวนและใช้ดึงดูดนกฮัมมิงเบิร์ด ต้นเสี้ยวดอกขาวเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศแต่เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดตากและจังหวัดน่าน สามารถนำดอกและฝักจากต้นมารับประทานเป็นยาชนิดหนึ่งได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเสี้ยวดอกขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bauhinia variegata L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Mountain ebony tree” “Orchid tree” “Purple bauhinia”
ชื่อท้องถิ่น : คนเมืองเรียกว่า “เสี้ยว” ลั้วะเรียกว่า “ลำปาน” ปะหล่องเรียกว่า “ไฮ่รูหร่า” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “เสี้ยวป่าดองขาว เปียงพะโก โพะเพ่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Phanera variegata (L.) Benth.

ลักษณะของเสี้ยวดอกขาว

เสี้ยวดอกขาว เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียและมาเลเซีย มักจะขึ้นตามป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือและทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กว้างถึงค่อนข้างกลม โดยมีลักษณะเป็น 2 พู ปลายใบเว้าลึก ส่วนโคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ มีเส้นใบออกจากโคนของใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อสั้นตามกิ่ง จำนวนดอกน้อย ดอกมีสีขาวกลีบตั้งและมีกลิ่นหอม มีเส้นริ้วด้านในสีเหลืองหรือสีแดงชัดเจน มีกลีบดอก 5 กลีบ มักจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์
ฝัก : ฝักมีลักษณะแบน ฝักอ่อนเป็นสีเขียว ฝักแก่เป็นสีน้ำตาล เมื่อฝักแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีก

สรรพคุณของเสี้ยวดอกขาว

  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาดับพิษไข้
  • สรรพคุณจากฝัก เป็นยาถ่ายหรือยาระบาย
  • สรรพคุณจากเปลือกไม้ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด
  • สรรพคุณจากตาอ่อนและราก รักษาโรคเกี่ยวกับการย่อยอาหาร รักษาโรคหืดและฝี ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ รักษาโรคผิวหนัง มีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ป้องกันการเกิดมะเร็งตับในหนูทดลองได้

ประโยชน์ของเสี้ยวดอกขาว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกสามารถนำไปต้มแล้วนำมาผัดกินได้ หรือจะทำเป็นเมนูยอดฮิตอย่าง “ยำดอกเสี้ยว” หรือ “ดอกเสี้ยวชุบแป้งทอด” ส่วนยอดอ่อนและใบอ่อนนำไปใช้ประกอบอาหารในการทำแกงต่าง ๆ ใบอ่อนและฝักอ่อนนำมาต้มกินกับน้ำพริกได้
2. เป็นไม้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับริมข้างทางได้เป็นอย่างดี
3. ใช้ในอุตสาหกรรม เปลือกต้นมีสารแทนนินที่นำมาใช้ย้อมแหและอวนให้คงทนแข็งแรงได้

เสี้ยวดอกขาว สามารถนำส่วนประกอบต่าง ๆ มารับประทานได้หลากหลาย ฝักของเสี้ยวดอกขาวมีรสหวาน ดอกมีกลิ่นหอม เป็นไม้ต้นที่เหมาะแก่การนำมาปลูกประดับสถานที่ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาระบาย ช่วยดับพิษไข้ ยับยั้งการอักเสบและยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ เป็นดอกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “เสี้ยวดอกขาว”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1, หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [18 ธ.ค. 2013].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “Mountain ebony tree”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [18 ธ.ค. 2013].
ASTVผู้จัดการออนไลน์. “ดอกเสี้ยว ขาว สวย…อร่อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [18 ธ.ค. 2013].
ข่าวสด. “เสี้ยวดอกขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.khaosod.co.th. [18 ธ.ค. 2013].
โรงเรียนบ้านซับมะนาว. “เสี้ยวดอกขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.submanao.org. [18 ธ.ค. 2013].

ปอทะเล ไม้ยืนต้นแถบป่าชายเลน ช่วยแก้ไข้ แก้หูอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ

0
ปอทะเล ไม้ยืนต้นแถบป่าชายเลน ช่วยแก้ไข้ แก้หูอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ
ปอทะเล เป็นไม้ยืนต้น ทำเป็นบอนไซเพื่อเป็นไม้ประดับตกแต่ง และเป็นยาสมุนไพรรักษาอาการพื้นฐาน
ปอทะเล ไม้ยืนต้นแถบป่าชายเลน ช่วยแก้ไข้ แก้หูอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ
ปอทะเล เป็นไม้ยืนต้น ทำเป็นบอนไซเพื่อเป็นไม้ประดับตกแต่ง และเป็นยาสมุนไพรรักษาอาการพื้นฐาน

ปอทะเล

ปอทะเล (Coast cotton tree) เป็นไม้ยืนต้นแถบป่าชายเลนที่นิยมสำหรับชาวท้องถิ่นหรือชาวพื้นเมือง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ทำอุปกรณ์ในการทำเรือได้ โดยปกติแล้วมักจะเป็นต้นที่อยู่ในแถบริมทะเลซึ่งคนทั่วไปคงไม่รู้จักกันมากนัก ในแถบทวีปเอเชียมีการนำปอทะเลมาทำเป็นบอนไซเพื่อเป็นไม้ประดับตกแต่ง นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรแก้อาการพื้นฐานได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของปอทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus tilliaceus L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Coast cotton tree” “Yellow mallow tree”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ปอฝ้าย” ภาคใต้เรียกว่า “ปอนา ปอนาน ปอมุก ปอฝ้าย” ชาวมลายูนราธิวาสเรียกว่า “ปอโฮ่งบารู” จังหวัดเลยเรียกว่า “ขมิ้นนางมัทรี ผีหยิก” จังหวัดจันทบุรีเรียกว่า “บา” จังหวัดนนทบุรีเรียกว่า “โพธิ์ทะเล” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “โพทะเล”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชบา (MALVACEAE)

ลักษณะของปอทะเล

ปอทะเล เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กที่มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย ในประเทศไทยมักจะพบขึ้นตามชายฝั่งทะเล ป่าชายเลน ตามแม่น้ำลำคลองภายใต้อิทธิพลของน้ำกร่อยหรือตามป่าดิบชื้นใกล้ชายฝั่ง ป่าดิบแล้งและป่าดิบเขา
ลำต้น : ลำต้นคดงอและแตกกิ่งก้านมาก เรือนยอดเป็นพุ่มแผ่กว้าง มีการแตกกิ่งต่ำ
เปลือกลำต้น : เป็นสีเทาอมสีน้ำตาล เปลือกต้นด้านนอกเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้น ๆ มีช่องระบายอากาศเป็นแนวตามยาวของลำต้น ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีชมพูประขาว มีความเหนียว สามารถลอกออกจากลำต้นได้ง่าย
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปหัวใจ โคนใบกว้างและเว้า ปลายใบเรียวแหลมเป็นหางยาว ขอบใบเรียบ เนื้อใบมีลักษณะค่อนข้างหนา ผิวใบด้านบนมีขนบาง ๆ ไปจนถึงเกลี้ยง ท้องใบเกลี้ยงหรือมีขนละเอียดรูปดาวสีขาว
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกสั้นหรือเป็นช่อแขนง โดยจะออกตามซอกใบหรือตามปลายกิ่ง อาจมีหนึ่งดอกหรือหลายดอก มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เป็นสีน้ำตาลรูปใบหอก ปลายกลีบแหลมและมีขน กลีบดอก 5 กลีบ เป็นรูปไข่กว้างหรือไข่กลับสีเหลืองเรียงซ้อนเกยทับกัน บริเวณโคนกลีบด้านในเป็นสีม่วงหรือสีแดงเข้ม มีเกสรเป็นแกนยื่นออกมา เมื่อดอกเริ่มบานจะเป็นสีเหลือง เมื่อดอกโรยราจะเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือแดง สามารถออกดอกได้เกือบตลอดทั้งปี หรือออกในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม
ผล : ผลเป็นรูปทรงกลมหรือเป็นรูปไข่เกือบกลม เปลือกผลแข็งและมีขนสั้นละเอียดคล้ายขนกำมะหยี่ เมื่อแก่จะแตกเป็น 5 พู อ้าออกและติดอยู่กับต้น สามารถออกผลได้เกือบตลอดทั้งปี
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กสีดำอยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไต

สรรพคุณของปอทะเล

  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาระบายอ่อน ๆ
    – เป็นยาหยอดหู แก้หูอักเสบและหูเป็นฝี ด้วยการนำใบสดมาคั้นแล้วเอาน้ำมาหยอดหู
    – เป็นยารักษาแผลสด แผลเรื้อรัง ด้วยการนำใบมาบดให้เป็นผง
  • สรรพคุณจากดอก
    – รักษาอาการเจ็บในหู ด้วยการนำดอกมาต้มกับน้ำนมแล้วทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นนำมาหยอดหู
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้ไข้ เป็นยาระบายท้อง
    – เป็นยาขับปัสสาวะ ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากใบอ่อน
    – เป็นยาแก้ไอ แก้หลอดลมอักเสบ ด้วยการนำใบอ่อนมาตากแห้งเพื่อใช้ชงกับน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากเปลือก ทำให้อาเจียน
    – แก้โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ด้วยการนำเปลือกสดมาแช่กับน้ำจนได้เมือกแล้วนำเมือกมาดื่มแก้อาการ
    – เป็นยารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของชาวโอรังอัสลีในรัฐเประก์ที่ประเทศมาเลเซีย ด้วยการนำเปลือกมาทำเป็นยาผง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของปอทะเล

1. ใบปอทะเลมีสารต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านเอนไซม์ไทโรซีเนส (Tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้าง Melanin หรือเม็ดสี
2. Cyanidin – 3 – glucoside เป็นแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ชนิดหลักที่พบได้ในดอกปอทะเล

ประโยชน์ของปอทะเล

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนใช้รับประทานเป็นผัก
2. เป็นไม้ปลูกประดับ แถบทวีปเอเชียนิยมนำต้นปอทะเลมาทำบอนไซ
3. ใช้ในการเกษตร ใบใช้เป็นอาหารของวัวและควาย
4. ประยุกต์เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ ใยจากเปลือกต้นใช้ทำเชือก ทำกระดาษห่อของ ทำหมันยาเรือ เนื้อไม้ใช้ทำเรือซึ่งในรัฐฮาวายมีการนำมาทำเรือแคนู

ปอทะเล ถือเป็นต้นที่มีดอกสีสดใสและค่อนข้างโดดเด่น สามารถนำส่วนประกอบของต้นมาใช้ประโยชน์ได้โดยเฉพาะชาวพื้นเมือง ที่น่าสนใจคือชาวโอรังอัสลีในประเทศมาเลเซียนำเปลือกมาใช้ในการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นสมุนไพรพื้นเมืองที่มีประโยชน์กว่าที่คิด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้หูอักเสบและอาการเจ็บหู เป็นยาระบาย แก้ไข้และแก้หลอดลมอักเสบได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ปอทะเล (Po Thale)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 171.
พันธุ์ไม้ในป่าชายเลน. “ปอทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nectec.or.th/schoolnet/library/webcontest2003/100team/dlss020/A2/A2.htm. [21 เม.ย. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ปอทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [21 เม.ย. 2014].
หนังสือพรรณไม้ในป่าชายเลน. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี).
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “โพธิ์ทะเล”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 576-577.
หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 468, วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552. “ปอทะเล สมุนไพรป่าชายเลน”. (ชำนาญ ทองเกียรติกุล).
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ปอทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/ปอทะเล. [20 เม.ย. 2014].

นางแย้มป่า มีรากเป็นยา รักษาลำไส้อักเสบและแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียว

0
นางแย้มป่า มีรากเป็นยา รักษาลำไส้อักเสบและแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียว
นางแย้มป่า เป็นดอกไม้ป่า มีดอกสีขาวและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในตอนเช้า
นางแย้มป่า มีรากเป็นยา รักษาลำไส้อักเสบและแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียว
นางแย้มป่า เป็นดอกไม้ป่า มีดอกสีขาวและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในตอนเช้า

นางแย้มป่า

นางแย้มป่า (Nangyam) เป็นดอกไม้ป่าที่มีความสวยงามมาก มีดอกสีขาวและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในตอนเช้า เหมาะสำหรับเชยชมในป่าธรรมชาติแต่ไม่เหมาะสำหรับการนำมาปลูกไว้ในบ้านเนื่องจากเป็นดอกไม้ที่ความเชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่มีภูตผีปีศาจสิงอยู่ หากนำมาปลูกไว้ภายในบ้านอาจทำให้คนในบ้านหวาดผวา เสียขวัญหรือเจ็บไข้ได้ป่วยได้ นอกจากดอกที่สวยงามแล้วยังสามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของนางแย้มป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clerodendrum infortunatum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Nangyam”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “ขี้ขม” จังหวัดแม่ฮ่องสอนและชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “พอกวอ” จังหวัดกาญจนบุรีและชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “โพะคว่อง” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ปิ้งขาว ปิ้งเห็บ” จังหวัดเลยเรียกว่า “ปิ้งพีแดง ฮอนห้อแดง” จังหวัดขอนแก่นเรียกว่า “ต่างไก่แดง” จังหวัดพิษณุโลกเรียกว่า “ขัมพี” จังหวัดสุโขทัยเรียกว่า “กุ๋มคือ ซมซี” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “ปิ้งขม ปิ้งหลวง ปิ้งเห็บ ปุ้งปิ้ง พินพี โพพิง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)
ชื่อพ้อง : Clerodendrum viscosum Vent.

ลักษณะของนางแย้มป่า

นางแย้มป่า เป็นไม้พุ่มขนาดย่อมที่มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดีย อินโดนีเซีย เกาะสุมาตราไปจนถึงฟิลิปปินส์ สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มักจะขึ้นตามชายป่าดิบและที่โล่งชื้น ชอบขึ้นในดินเย็นชื้นบริเวณใต้ต้นไม้
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง กิ่งอ่อนและต้นเปราะ เป็นสันสี่เหลี่ยม ตามลำต้นและกิ่งอ่อนเป็นสีแดงหรือสีดำอมน้ำตาล
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตามข้อเป็นคู่ตั้งฉากกันเป็นรูปวงรีหรือรูปหัวใจ ปลายใบสอบแหลม โคนใบสอบหรือเว้า ส่วนขอบใบหยักเป็นซี่ฟันตื้น ๆ แผ่นใบแข็งเป็นสีเขียวเข้ม มีขนสากระคายมือ มองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแน่นที่ปลายกิ่ง กลีบดอกมีสีขาว กลีบรองดอกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอด กลางดอกเป็นสีชมพูม่วงหรือสีม่วงเข้มและมีขน ดอกจะมีกลิ่นหอมในตอนเช้า โดยจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
ผล : ผลเป็นรูปทรงกลม มีผิวมัน ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือดำ ผลมีกลีบเลี้ยงสีแดงหุ้มอยู่
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด

สรรพคุณของนางแย้มป่า

  • สรรพคุณจากใบ
    – แก้อาการปวดศีรษะข้างเดียว ด้วยการนำใบมาซ้อนกัน 3 ใบ หรือ 7 ใบ แล้วใช้ห่อขี้เถ้าร้อน ใบฮ่อมตำและใบเครือเขาน้ำตำ แล้วนำมาประคบศีรษะ
  • สรรพคุณจากราก รักษาลำไส้อักเสบ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ
    – เป็นยาแก้ไข้ บำรุงน้ำนมของสตรี ด้วยการนำรากมาต้มแล้วดื่ม

ประโยชน์ของนางแย้มป่า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสดสำหรับจิ้มกับน้ำพริก คนเมืองนิยมนำดอกอ่อนมาใส่แกงหน่อไม้ บางข้อมูลบอกว่าสามารถนำเปลือกลำต้นใช้กินแทนหมากได้ด้วย
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ สามารถนำมาปลูกประดับได้แต่ไม่ควรปลูกในบ้าน

นางแย้มป่า มักจะมีสรรพคุณอยู่ที่รากของต้น เป็นไม้ป่าที่มีดอกสวยงาม คนไทยส่วนมากมักจะไม่ค่อยพบและไม่ค่อยรู้จักเนื่องจากเป็นไม้ที่ชอบความชื้นและความเย็น จึงมักจะพบได้ในป่ามากกว่าที่จะพบเห็นทั่วไป มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาลำไส้อักเสบ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไตพิการและแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียวได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “นางแย้มป่า”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 105.
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “นางแย้มป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [25 มี.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “นางแย้มป่า”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [25 มี.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “นางแย้มป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [25 มี.ค. 2014].
ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “นางแย้มป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [25 มี.ค. 2014].
วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. “นางแย้มป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/นางแย้มป่า. [25 มี.ค. 2014].

เผือก เป็นพืชหัวยอดนิยม อุดมไปด้วยสารอาหาร ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงไต บำรุงลำไส้

0
เผือก เป็นพืชหัวยอดนิยม อุดมไปด้วยสารอาหาร ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงไต บำรุงลำไส้
เผือก เป็นพืชหัวที่นิยมนำมารับประทาน มีรสหวานมันอร่อย ใบและยอดของต้นนำมาประกอบอาหารได้
เผือก เป็นพืชหัวยอดนิยม อุดมไปด้วยสารอาหาร ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงไต บำรุงลำไส้
เผือก เป็นพืชหัวที่นิยมนำมารับประทาน มีรสหวานมันอร่อย ใบและยอดของต้นนำมาประกอบอาหารได้

เผือก

เผือก (Taro) เป็นพืชหัวที่นิยมนำมารับประทานในประเทศไทยมากชนิดหนึ่ง มีรสหวานมันอร่อยและมักจะพบในรูปแบบขนมหรืออาหารคาวหวานทั่วไป เป็นพืชที่กินง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลาย เผือกมีหลายชนิดแต่ในประเทศไทยนิยมเผือกหอมเป็นหลักเพราะมีหัวขนาดใหญ่และมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ นอกจากหัวที่นำมารับประทานแล้วใบและยอดของต้นยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเผือก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Colocasia esculenta (L.) Schott
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Taro”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “บอนหรือตุน” ภาคอีสานเรียกว่า “บอน” ภาคใต้เรียกว่า “บอนเขียว บอนจีนดำ บอนท่า บอนน้ำ” ชาวจีนเรียกว่า “โอ่วไน โอ่วถึง โทวจือ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บอน (ARACEAE)

ลักษณะของเผือก

เผือก เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเอดโด (eddoe) เป็นเผือกที่มีหัวขนาดเล็ก และประเภทแดชีน (dasheen) เป็นเผือกที่มีหัวขนาดใหญ่ ในประเทศไทยนิยมเผือกหอมซึ่งเป็นเผือกชนิดหนึ่งในประเภทแดชีน
ลำต้น : ลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน
หัว : หัวเป็นรูปลูกข่างกลมสีน้ำตาลและมีขนาดใหญ่ มีหัวเล็ก ๆ อยู่ล้อมรอบ หัวจะมีรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกันออกไป
ใบ : เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่เรียงเวียนสลับกัน ใบเป็นรูปหัวใจหรือเป็นรูปลูกศรแกมรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบแต่ละด้านกลมหรือเป็นเหลี่ยม สามารถเห็นเส้นใบได้ชัดเจน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อเชิงลดมีกาบ ออกเดี่ยวหรือหลายช่อ
ผล : ผลเป็นสีเขียวเปลือกบาง
เมล็ด : ไม่ค่อยมีเมล็ดแต่บางสายพันธุ์ก็ติดเมล็ดได้

สรรพคุณของเผือก

  • สรรพคุณจากหัว ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ป้องกันฟันผุและช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง บำรุงลำไส้และแก้อาการท้องเสีย บำรุงไต แก้อาการอักเสบ ระงับอาการปวด
    – บำรุงร่างกายให้แข็งแรง เป็นยาลดไข้ ด้วยการใช้หัวเผือก 100 กรัม มาต้มใส่กับข้าวสวย 100 กรัม แล้วต้มให้เป็นโจ๊ก
    – เป็นยาทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อย เป็นยาทาบริเวณที่มีอาการปวดเมื่อย ปวดเมื่อยเส้นเอ็น ปวดกระดูก ด้วยการใช้หัวเผือกสดมาโขลกให้ละเอียด ทำการผสมกับน้ำมันงาแล้วคลุกจนเข้ากันเพื่อนำมาใช้ทา
    – รักษาโรคเรื้อนกวาง ด้วยการใช้ต้นกระเทียม 100 กรัม นำมาโขลกกับเผือกสด 100 กรัม โขลกให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นเรื้อนกวาง
  • สรรพคุณจากน้ำยาง ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย

ประโยชน์ของเผือก

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบและยอดของต้นเผือกนำมารับประทานเป็นผักได้ ก้านใบนำมาใช้ประกอบอาหารในการทำแกงหรือนำไปทำเป็นผักดอง หัวเผือกสามารถนำมาใช้ทำเป็นอาหารคาวหวานอย่างพวกเผือกเชื่อมหรือเผือกทอด สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้
2. ทำเป็นแป้ง ทำเป็นแป้งเผือกเพื่อใช้ทำขนมปัง ทำอาหารทารก เป็นอาหารเพื่อป้องกันโรคแพ้บางอย่างของเด็กทารกและใช้แทนธัญพืชในการรักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะลำไส้
3. ใช้ในการเกษตร ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำใยมาต้มให้หมูกิน

ข้อควรระวังในการรับประทานเผือก

1. ไม่ควรรับประทานแบบดิบเพราะหัวและทั้งต้นของเผือกมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้คันได้
2. ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างอาการคันในช่องปากหรือทำให้ลิ้นชาควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเผือก
3. ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไปเพราะจะทำให้ม้ามทำงานผิดปกติได้

คุณค่าทางโภชนาการของเผือก

คุณค่าทางโภชนาการของหัวเผือกดิบ

คุณค่าทางโภชนาการของหัวเผือกดิบต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 112 กิโลแคลอรี (7%)

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 26.46 กรัม (20%)
น้ำตาล 0.40 กรัม
เส้นใยอาหาร 4.1 กรัม (11%)
ไขมัน 0.20 กรัม มากกว่า (1%)
โปรตีน 1.5 กรัม (3%)
น้ำ 70.64 กรัม
วิตามินเอ 76 หน่วยสากล (2.5%)
วิตามินบี1 0.095 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินบี2 0.025 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี3 0.600 มิลลิกรัม (4%)
วิตามินบี5 0.303 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี6 0.283 มิลลิกรัม (23%) 
วิตามินบี9 22 ไมโครกรัม (5.5%) 
วิตามินซี 4.5 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินอี 2.38 มิลลิกรัม (20%)
วิตามินเค 1.0 ไมโครกรัม (1%) 
แคลเซียม 43 มิลลิกรัม (4%) 
เหล็ก 0.55 มิลลิกรัม (7%)
แมกนีเซียม 33 มิลลิกรัม (8%)
แมงกานีส 0.383 มิลลิกรัม (1.5%)
ฟอสฟอรัส 84 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 591 มิลลิกรัม (12.5%)
โซเดียม 11 มิลลิกรัม มากกว่า (1%)
สังกะสี 0.23 มิลลิกรัม (2%)
ทองแดง 0.172 มิลลิกรัม (19%)
ซีลีเนียม 0.7 ไมโครกรัม (1%)

คุณค่าทางโภชนาการของหัวเผือกเฉพาะส่วนที่กินได้

คุณค่าทางโภชนาการของหัวเผือกเฉพาะส่วนที่กินได้ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 117 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 26.8 กรัม
โปรตีน 2.1 กรัม 
ไขมัน 0.1 กรัม
วิตามินบี1 0.15 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1 มิลลิกรัม
วิตามินซี  2 มิลลิกรัม
แคลเซียม 84 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 54 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของใบเผือกดิบต่อ 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของใบเผือกดิบต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 42 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 6.7 กรัม
น้ำตาล 3 กรัม
เส้นใยอาหาร 3.7 กรัม
ไขมัน 0.74 กรัม
โปรตีน 5 กรัม
วิตามินเอ 241 ไมโครกรัม (30%) 
เบตาแคโรทีน 2,895 ไมโครกรัม (27%)
ลูทีนและซีแซนทีน 1,932 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.209 มิลลิกรัม (18%)
วิตามินบี2 0.456 มิลลิกรัม (38%)
วิตามินบี3 1.513 มิลลิกรัม (10%)
วิตามินบี6 0.146 มิลลิกรัม (11%) 
วิตามินบี9 129 ไมโครกรัม (32%)
วิตามินซี 52 มิลลิกรัม (63%)
วิตามินอี 2.02 มิลลิกรัม (13%) 
วิตามินเค 108.6 ไมโครกรัม (103%)
แคลเซียม 107 มิลลิกรัม (11%)
เหล็ก 2.25 มิลลิกรัม (17%)
แมกนีเซียม 45 มิลลิกรัม (13%) 
แมงกานีส 0.714 มิลลิกรัม (34%) 
ฟอสฟอรัส 60 มิลลิกรัม (9%)
โพแทสเซียม  648 มิลลิกรัม (14%)
สังกะสี 0.41 มิลลิกรัม (4%)

คุณค่าทางโภชนาการของใบต่อ 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของใบต่อ 100 กรัม มีวิตามินเอ 20,885 หน่วยสากล และวิตามินซี 142 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของยอดต่อ 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของยอดต่อ 100 กรัม มีวิตามินเอ 335 หน่วยสากล และวิตามินซี 8 มิลลิกรัม

เผือก เป็นพืชที่มีสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการที่น่าทึ่งและดีต่อร่างกายหากรับประทานอย่างถูกวิธี อีกทั้งยังเป็นอาหารที่ให้พลังงานและบำรุงสุขภาพได้ดีเยี่ยม เป็นพืชที่ช่วยทำให้อิ่มได้เหมือนกับรับประทานข้าว มีรสหวานมันอร่อยเมื่อนำมาปรุงหรือนำมาทำเป็นอาหารคาวหวาน มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง เป็นยาทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อย บำรุงไต บำรุงลำไส้และแก้อาการท้องเสียได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
กลุ่มสื่อส่งเสริมเสริมการเกษตร สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร. “อาหารจากเผือก”.
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. “เผือก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th/kp6/. [31 มี.ค. 2014].
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กรีนไฮเปอร์มาร์ท สารานุกรมผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากพืชในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉบับคอมพิวเตอร์. “เผือก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sc.mahidol.ac.th. [31 มี.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “เผือก”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), สมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ (สมพร ภูติยานันต์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [31 มี.ค. 2014].
Food for Health – อาหารเพื่อสุขภาพ, คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “สมุนไพรจีนและอาหารจีน”. (วงศ์ตะวัน เอื้อธีรศรัณย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pirun.ku.ac.th/~b5310850368/. [31 มี.ค. 2014].

ทิ้งถ่อน หรือ “ถ่อน” ช่วยแก้ลมในร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่าย

0
ทิ้งถ่อน หรือ “ถ่อน” ช่วยแก้ลมในร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่าย
ทิ้งถ่อน ส่วนของรากและแก่นมีรสขมร้อน ใบมีรสเฝื่อนเมาและเปลือกต้นมีรสฝาดร้อน
ทิ้งถ่อน หรือ “ถ่อน” ช่วยแก้ลมในร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่าย
ทิ้งถ่อน ส่วนของรากและแก่นมีรสขมร้อน ใบมีรสเฝื่อนเมาและเปลือกต้นมีรสฝาดร้อน

ทิ้งถ่อน

ทิ้งถ่อน (White siris) หรือเรียกกันเฉย ๆ ว่า “ถ่อน” ส่วนของรากและแก่นมีรสขมร้อน ใบมีรสเฝื่อนเมาและเปลือกต้นมีรสฝาดร้อน เป็นต้นในวงศ์ถั่วที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายทั้งการนำมาใช้ในการก่อสร้าง ใช้ในการเกษตรและใช้ในการย้อมผ้า เป็นต้นที่นำใบอ่อน ยอดอ่อนและดอกอ่อนมารับประทานเป็นผักร่วมกับน้ำพริกด้วยการลวกหรือต้ม นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณทางยาที่ยอดเยี่ยมหลายอย่างทีเดียว

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของทิ้งถ่อน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Albizia procera (Roxb.) Benth.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “White siris” และ “Sit”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ถ่อน ถินถ่อน นมหวา นุมหวา ทิ้งถ่อน” จังหวัดเชียงใหม่และเลยเรียกว่า “พระยาฉัตรทัน ส่วน” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ควะ เยกิเด๊าะ” ชาวกะเหรี่ยงกาญจนบุรีเรียกว่า “เชอะบ้อง ซะบ้อง แซะบ้อง เซะบ้อง เส่บ้อง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของทิ้งถ่อน

ทิ้งถ่อน เป็นไม้ยืนต้นที่มักจะพบขึ้นตามป่าหญ้า ป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณและป่าทุ่งตอนลุ่มในภาคกลางทั่วไปหรือในพื้นที่ต่ำน้ำท่วมถึง สามารถพบได้ทางตอนใต้ของจีน พม่า ลาวและกัมพูชา ในประเทศไทยพบทุกภาคแต่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้มักจะขึ้นเป็นกลุ่มแบบห่าง ๆ กันบนภูเขา
ลำต้น : ลำต้นแตกกิ่งก้านต่ำและโปร่ง ลำต้นเปลาตรง ทรงพุ่มเป็นเรือนยอด ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนปกคลุมเล็กน้อย ต้นแก่เป็นสีเทาถึงสีน้ำตาล
เปลือกต้น : เปลือกต้นมีรอยด่างเป็นสีน้ำตาลกระจาย
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นออกเรียงสลับกัน เหนือโคนก้านมีต่อมเป็นรูปกลมนูน ก้านใบมีขนปกคลุมเล็กน้อย มีใบย่อยประมาณ 5 – 12 คู่ ลักษณะของใบเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน รูปไข่กลับ รูปขอบขนานหรือรูปวงรี ปลายใบมนหรือเว้าเล็กน้อย โคนใบมนหรือเบี้ยว ขอบใบเรียบ แผ่นใบมีขนทั้งสองด้าน ท้องใบมีขนสั้นปกคลุม
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกแน่นตามซอกใบและที่ปลายกิ่งโดยช่อดอกจะเกิดเป็นกลุ่มบนก้านช่อรวม กลุ่มละประมาณ 2 – 5 ช่อ ในแต่ละช่อจะมีดอกย่อยประมาณ 15 – 25 ดอก ดอกย่อยไม่มีก้านดอกหรือมีแต่สั้นมาก ดอกเป็นสีขาวมีกลีบดอก 5 กลีบ เกสรขาวแกมสีเหลืองอ่อนติดกันเป็นหลอด มีผิวเรียบ ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีลักษณะเป็นรูปไข่ปลายแหลม ปลายกลีบดอกมีขนเล็ก ๆ ดอกมีเพศผู้จำนวนมาก ก้านชูอับเรณูเป็นสีเหลืองอ่อน ปลายก้านเป็นสีเขียวอ่อน อับเรณูมีสีขาว กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบติดกันเป็นรูปถ้วย มีสีเขียวและมีผิวเรียบ ขอบถ้วยแยกเป็นแฉก 5 แฉก ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมยาว ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นเส้นสีขาว
ผล : ออกผลเป็นฝักแบน ฝักเมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
เมล็ด : ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 6 – 12 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลและมีลักษณะแบนรูปวงรี

สรรพคุณของทิ้งถ่อน

  • สรรพคุณจากเปลือกต้น แก้ลมในกองธาตุ แก้ลมป่วง บำรุงธาตุในร่างกาย แก้ธาตุพิการ แก้กษัยและลมกษัยหรือโรคของความเสื่อมโทรมทางร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้หืดไอ ช่วยในการขับผายลม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้บิดมูกเลือด แก้ริดสีดวงทวาร แก้ระดูขาวของสตรี เป็นยาห้ามเลือด ใช้ชะล้างบาดแผลและช่วยสมานแผล แก้แผลเน่าเปื่อยเรื้อรังและใช้ทาฝี แก้โรคผิวหนัง
    – เป็นยาอายุวัฒนะ แก้อาเจียน แก้ท้องร่วง ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มกับรากมะตูม
  • สรรพคุณจากแก่น บำรุงกำลัง
  • สรรพคุณจากรากและแก่น
    – แก้อาการท้องอืด แก้อาการปวดหลังและปวดเอว แก้เส้นตึงและเส้นท้องตึง ด้วยการนำรากและแก่นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากผล ขับลม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
  • สรรพคุณจากราก แก้น้ำเหลืองเสีย

ประโยชน์ของทิ้งถ่อน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อน ยอดอ่อนและดอกอ่อนนำมาลวกหรือต้มทานเป็นผักร่วมกับน้ำพริก
2. ใช้ในการเกษตร เป็นยาฉีดฆ่าตัวสัตว์พวกหนอนและแมลงด้วยการนำใบมาเผาไฟผสมกับน้ำใบยาสูบและน้ำปูนขาว นิยมปลูกในแปลงวนเกษตรและปลูกตามสวนหรือริมถนน
3. ใช้ในอุตสาหกรรมผ้าหรือหนัง เปลือกต้นนำมาฟอกหนังหรือใช้ในการย้อมผ้าได้
4. ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เนื้อไม้มีความเหนียว แข็งแรงและชักเงาดีจึงนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้ในงานแกะสลัก ทำเครื่องมือกสิกรรมต่าง ๆ

ทิ้งถ่อน เป็นต้นที่มีรสร้อนและมีสรรพคุณหลากหลายต่อร่างกาย นอกจากนั้นยังเป็นต้นที่มีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังพบได้ง่ายตามท้องถนนทั่วไปในกรุงเทพมหานคร เป็นต้นที่มักจะนำใบอ่อน ยอดอ่อนและดอกอ่อนมาลวกหรือต้มเพื่อรับประทาน ทิ้งถ่อนมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะเปลือกต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ลมในร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่ายและแก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ เป็นต้นที่แก้อาการพื้นฐานทั่วไปและเหมาะสำหรับคนที่ระบบขับถ่ายหรือลมในร่างกายมีปัญหาเป็นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “ทิ้งถ่อน”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 121.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ถ่อน”. หน้า 41
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ถ่อน”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 322.
ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ถ่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [19 มี.ค. 2014].
ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “Sit, White siris”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [19 มี.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ถ่อน (กลาง), ส่วน (เชียงใหม่), เชอะบ้อง (กาญจนบุรี), ทิ้งถ่อน (กลาง)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [19 มี.ค. 2014].
บันทึกขนำริมทุ่งปลักเหม็ด. “ทิ้งถ่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: plugmet.orgfree.com. [19 มี.ค. 2014].
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม, กระทรวงวัฒนธรรม. “สมุนไพรพื้นบ้านทิ้งถ่อน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.m-culture.in.th. [19 มี.ค. 2014].
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม, กระทรวงวัฒนธรรม. “ผักซึก (ถ่อน)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.m-culture.in.th. [19 มี.ค. 2014].

นนทรี ไม้ประจำจังหวัดนนทบุรี มีเปลือกต้นเป็นยา แก้ท้องเสียและช่วยขับประจำเดือน

0
นนทรี เป็นต้นไม้สูงที่มีดอกสีเหลือง ช่อขนาดใหญ่ตามง่ามใบหรือที่ปลายกิ่ง ฝักแบนรูปหอกสีน้ำตาล มีสรรพคุณในด้านยาสมุนไพรได้ด้วย
นนทรี ไม้ประจำจังหวัดนนทบุรี มีเปลือกต้นเป็นยา แก้ท้องเสียและช่วยขับประจำเดือน
นนทรี เป็นต้นไม้สูงที่มีดอกสีเหลือง ช่อขนาดใหญ่ตามง่ามใบหรือที่ปลายกิ่ง ฝักแบนรูปหอกสีน้ำตาล มีสรรพคุณในด้านยาสมุนไพรได้ด้วย

นนทรี

นนทรี (Copper pod) ถือเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดนนทบุรีและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้นสูงที่มีดอกสีเหลืองสวยงามและมักจะพบตามที่สาธารณะทั่วไป เป็นต้นที่คนไทยค่อนข้างรู้จักกันเยอะแต่หลายคนไม่รู้ว่ามีสรรพคุณในด้านยาสมุนไพรได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของนนทรี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Peltophorum pterocarpum (DC.) K.Heyne
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Copper pod” “Yellow flame” “Yellow poinciana”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “สารเงิน” จังหวัดตราดเรียกว่า “กระถินป่า กระถินแดง” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “นนทรีบ้าน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของนนทรี

นนทรี เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดียภาคตะวันออกและภาคใต้ รวมไปถึงประเทศศรีลังกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทยไปจนถึงประเทศฟิลิปปินส์และทวีปออสเตรเลียตอนเหนือ มักจะผลัดใบเมื่อมีอากาศแห้งแล้ง ชอบขึ้นตามป่าชายหาด
ลำต้น : ลำต้นค่อนข้างเปลาตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงเรือนยอดแผ่กว้างเป็นรูปร่มหรือเป็นทรงกลมกลาย ๆ
เปลือกลำต้น : เป็นสีเทาอมสีดำ เปลือกค่อนข้างเรียบและอาจแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ตามกิ่งก้านอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลแดงปกคลุมอยู่ ส่วนกิ่งแก่จะเกลี้ยง
ใบ : ใบออกเป็นช่อแบบขนนกสองชั้นออกเรียงเวียนสลับหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบมนหรือหยักเว้าเล็กน้อย โคนใบมนเบี้ยว ส่วนขอบใบเรียบ หลังใบเรียบเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเรียบเป็นสีเขียวอ่อน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ตั้งขึ้นตามง่ามใบหรือที่ปลายกิ่ง มีกิ่งแขนงในช่อดอก ดอกย่อยเป็นสีเหลืองสด กลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นลักษณะบางและค่อนข้างยับย่น โคนกลีบมีขนสีน้ำตาลอยู่ประปราย กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ ขอบกลีบวางเกยทับกัน
ผล : ออกผลเป็นฝักแบนรูปหอก ปลายฝักและโคนฝักเรียวแหลม ฝักสดเป็นสีเขียวพอแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล โดยฝักจะแก่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน
เมล็ด : ภายในฝักมีเมล็ดเรียงขวางกับฝักประมาณ 1 – 4 เมล็ด เมล็ดมีความแข็งแรง มีรูปร่างและขนาดเท่าใบย่อย

สรรพคุณของนนทรีป่า

  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาขับเสมหะและโลหิต ช่วยปิดธาตุ เป็นยาขับผายลม ช่วยแก้บิด เป็นยาขับประจำเดือน เป็นยาสมานแผลสด
    – แก้อาการท้องร่วงและท้องเสีย ด้วยการนำเปลือกต้นมาเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน แล้วเอานำมาดื่ม
    – เป็นยานวดแก้ตะคริวและแก้กล้ามเนื้ออักเสบ ด้วยการนำเปลือกต้นมาเคี่ยวเข้าน้ำมัน
  • สรรพคุณจากยอด
    – เป็นยาทาแก้โรคสะเก็ดเงิน 7 ชนิด ด้วยการใช้ยอด 1 กำมือ มาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับไข่ขาวซึ่งเป็นไข่เป็ด จากนั้นทาบริเวณที่เป็นบนผิวแล้วใช้ผ้าพันทิ้งไว้หนึ่งคืนแล้วค่อยลอกออก

ประโยชน์ของนนทรี

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดและฝักอ่อนใช้เป็นอาหารประเภทผักเหนาะซึ่งให้รสชาติฝาดมัน
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกง่ายและมีความแข็งแรงทนทาน ดอกมีกลิ่นหอม นิยมปลูกตามอาคารสถานที่ต่าง ๆ อย่างสวนสาธารณะ รีสอร์ต ริมทะเล ริมถนน ทางเดินหรือที่จอดรถ เพื่อให้ร่มเงาและป้องกันลมได้ดี
3. ใช้ในอุตสาหกรรม ใช้ในการย้อมผ้าฝ้ายบาติกหรือใช้พิมพ์ผ้าปาเต๊ะ ใช้ย้อมแหและอวนเนื่องจากเปลือกต้นเมื่อนำไปต้มจะให้สีน้ำตาลอมเหลือง เนื้อไม้มีสีน้ำตาลอมสีชมพูใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนได้

นนทรี มักจะมีสรรพคุณอยู่ที่เปลือกต้นเนื่องจากเปลือกต้นมีรสฝาดร้อนและมีสารแทนนินสูง เป็นต้นที่เด่นในเรื่องของการช่วยเรื่องระบบเลือดในร่างกาย เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดนนทบุรีและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคลด้วย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอุตสาหกรรม มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาขับเลือดและขับประจำเดือน แก้โรคเจ็ด แก้อาการท้องร่วงและท้องเสียได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “นนทรี (Non Si)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 149.
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 278 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “นนทรีจากป่าสู่นาคร”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [24 มี.ค. 2014].
พรรณไม้บริเวณพระตำหนักเรือนต้น, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “นนทรี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/palace/chitralada/cld6-2_1.htm. [24 มี.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “นนทรี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [24 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “นนทรี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [24 มี.ค. 2014].
พืชผักพื้นบ้าน นครศรีธรรมราช 103 ชนิด, เทศบาลเมืองทุ่งสง. “นนทรี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tungsong.com. [24 มี.ค. 2014].