ความรู้เบื้องต้นของเด็กหลอดแก้ว ICSI คำตอบของผู้มีบุตรยาก !

0
Close up of Sperm swimming towards the blue egg in a blue background. 3D Illustration Rendering.

เด็กหลอดแก้ว

ปัญหาการลูกยาก เป็นปัญหาที่หลายคู่ครองอาจกำลังประสบปัญหาอยู่ ด้วยหลายๆสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของฮอร์โมนฝ่ายชายหญิง อายุ หรือ ความไม่พร้อมของร่างกาย แม้ว่าจะมีหลายคนที่ศึกษาวิธีการแก้ปัญหาการมีบุตรยาก ไม่ว่าจะออกกำลังกาย หรือ การเลือกกินอาหารบำรุง แต่ก็ไม่สามารถกะรันตีได้ว่า จะสามารถแก้ปัญหาได้จริง แต่อย่าพึ่งถอดใจไป เพราะด้วยวิทยาการแพทย์สมัยใหม่ได้มีวิธีการที่สามารถเพิ่มโอกาสในการมีลูกได้แล้ว ซึ่งวิธีที่เป็นที่รู้จักอย่างเเพร่หลายคือ เด็กหลอดแก้ว

เด็กหลอดแก้ว คืออะไร ?

การทำเด็กหลอดแก้ว คือ การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย โดยการนำเซลล์ไข่จากฝ่ายหญิงและอสุจิจากฝ่ายชายมาทำการผสมกันในห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิสนธิจนได้ตัวอ่อนมา ก็จะย้ายตัวอ่อนกลับเข้าไปในครรภ์ของคุณแม่ เพื่อให้ทำการตั้งครรภ์ต่อไป การทำเด็กหลอดเเก้วเรียกเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆได้ว่า IVF (In-vitro Fertilization) แล้ว ICSI คืออะไรหละ ?

ทำเด็กหลอดแก้ว
ทำเด็กหลอดแก้ว

ความแตกต่างระหว่าง ICSI และ IVF

ทั้ง ICSI และ IVF ก็เป็นชื่อเรียกวิธีการทำเด็กหลอดแก้วทั้งคู่ แต่เพื่อให้เข้าใจว่า ICSI คืออะไรอย่างถ่องแท้ เราจะมาดูถึงข้อแตกต่างระหว่าง ICSI หรือ IVF

  • IVF จากที่กล่าวมาข้างต้น คือ การปฏิสนธินอกร่างกาย โดยนำเซลล์ไข่จากฝ่ายหญิงและอสุจิจากฝ่ายชายมาทำการผสมกันในห้องปฏิบัติการ และปล่อยอสุจิและไข่ผสมกันเองตามธรรมชาติ
  • ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ก็คือ การปฏิสนธินอกร่างกายเช่นกัน โดยนำเซลล์ไข่จากฝ่ายหญิงและอสุจิจากฝ่ายชายมาทำการผสมกันในห้องปฏิบัติการ แต่จุดที่ต่างกันคือ ICSI จะคัดเลือกเฉพาะอสุจิที่แข็งแรงที่สุดไปผสมกับไข่ที่เก็บมา

ดังนั้นความต่างของ ICSI และ IVF คือ ขั้นตอนการปฏิสนธิ IVF จะปล่อยใช้เซลล์อสุจิทั้งหมดที่มี นำไปผสมกับไข่ ตามกระบวนการทางธรรมชาติ แต่ ICSI จะคัดเลือดอสุจิที่แข็งแรงที่สุดมาเพียงหนึ่งตัวไปผสมกับไข่เลย โดยไม่ต้องรอกระบวนการที่ปล่อยให้อสุจิว่ายเข้าไปยังไข่ เพื่อทำการปฏิสนธิ เพราะมีบางกรณีที่การทำเด็กหลอดแก้ว IVF ก็อาจไม่ได้ผล

  1. เซลล์อสุจิของฝ่ายชายมีน้ำน้อย และไม่แข็งแรง
  2. เปลืองไข่ของฝ่ายหญิงมีความหนาจนเซลล์อสุจิไม่สามารถเจาะผ่านเปลือกไข่เข้าไปทำการปฏิสนธิได้

หรือก็คือ ICSI คือ IVF แบบพรีเมียมที่มีการเพิ่มขั้นตอนเข้ามาเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว

ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว ICSI

  1. การปรึกษาแพทย์ : เริ่มตั้งแต่การเลือกสถานพยาบาลที่เหมาะสม โดยดูรีวิว เช็คความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาลแห่งนั้นก่อน และเนื่องจากการทำเด็กหลอดแก้วมีค่าใช้จ่ายที่สูง จึงควรเช็คราคาให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงค่อยพบแพทย์ เพื่อปรึกษาหารือเรื่องรายละเอียดของขั้นตอนการทำ วันนัดครั้งต่อไป และวิธีการเตรียมตัวของทั้งฝ่ายชายและหญิง
  2. เริ่มฉีดยากระตุ้นไข่ : ทำการตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนของร่างกายเพื่อประเมินการทำงานของรังไข่และตรวจอัลตราซาวด์ จากนั้นพิจารณาเลือกยากระตุ้นที่เหมาะสมก่อนจะฉีดเข้าไปในรังไข่ โดยการฉีดยากระตุ้นไข่จะมีการฉีดทั้งหมด 3 ขั้นตอน คือ
  • ฉีดยาตัวแรก (Recombinant FSH) เป็นการฉีดเพื่อกระตุ้นไข่หลายๆใบก่อน
  • ฉีดยาตัวที่สอง (GnRH antagonist) เป็นการฉีดเพื่อไม่ให้ไข่ตกก่อนเวลา ในขั้นตอนนี้จะมีการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อคอยดูการเจริญเติบโตของไข่ ตรวจประมาณ 3 ครั้ง เพื่อดูว่าจะเก็บไข่ออกมาจากร่างกายได้ในวันไหน
  • ฉีดยาตัวที่สาม (hCG) เป็นการฉีดเพื่อให้ไข่สุกพร้อมๆกัน และตกในอีก 36 ชั่วโมง
  1. การเก็บไข่และคัดแยกเซลล์อสุจิ
  • การเก็บไข่ สามารถเก็บผ่านทางช่องคลอด ก่อนเริ่มขั้นตอนจะให้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือด เพื่อให้นอนหลับก่อน จากนั้นค่อยเริ่มโดยใช้หัวตรวจอัลตราซาวด์ขนาดเล็ก เพื่อตรวจหาไข่ จากนั้นค่อยทำการดูดของเหลวออกมา และใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจหาไข่ และจึงค่อยนำมาเพาะเลี้ยงในน้ำยาเลี้ยงไข่ เพื่อเตรียมสำหรับการผสม
  • การคัดแยกอสุจิ โดยฝ่ายชายควรงดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการหลั่งน้ำอสุจิออกประมาณ 3 – 7 วัน ก่อนเริ่มขั้นตอน การคัดแยกต้องเริ่มจากการเก็บน้ำเชื้อในภาชนะปลอดเชื้อ จากนั้นส่งไปคัดแยกเซลล์อสุจิออกจากน้ำอสุจิ 
  1. การทำ ICSI : แพทย์จะเลือดคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดและฉีดเข้าไปผสมกับไข่โดยตรง เพื่อให้ได้ตัวอ่อน
  2. การเลี้ยงตัวอ่อน : จะเลี้ยงในตู้ควบคุมอุณหภูมิ ให้สามารถปรับควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อเร่งให้เกิดการแบ่งเซลล์ หลังจากปล่อยให้แบ่งเซลล์ได้ระยะหนึ่ง (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับความเร็วในการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนนั้น) จนตัวอ่อนเข้าสู่ระยะ Blastocyst เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ขั้นต่อไป
  3. การย้ายตัวอ่อน : เริ่มด้วยการตรวจโพรงมดลูกก่อนว่าปกติดีหรือไม่ จากนั้นทำการตรวจอัลตราซาวด์ก่อนเพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมก่อน เนื่องจากผู้หญิงมีโครงสร้างร่างกายที่แตกต่างกันการย้ายตัวอ่อนจะสามารถได้โดยดูดตัวอ่อนผ่านทางสาย และสายนั้นจะสอดผ่านปากมดลูก เพื่อนำตัวอ่อนไปวางไว้บนเยื่อบุโพรงมดลูก
  4. ตรวจการตั้งครรภ์ : หลังจาการทำย้ายตัวอ่อนเสร็จแล้ว ก็ต้องทำการตรวจครรภ์เป็นระยะเพื่อดูว่าตัวอ่อนเจริญเติบโตในครรภ์ตามปกติหรือเปล่า

การทำเด็กหลอดแก้วเหมาะสำหรับกรณีไหน

การทำเด็กหลอดแก้ว คือการปฏิสนธิภายนอก เป็นวิธีช่วยในเรื่องการมีลูกสำหรับคนที่มีปัญหาต่างๆ ซึ่งการทำเด็กหลอดแก้ว เหมาะสมกับคู่ที่มีกรณีดังนี้

  • ฝ่ายหญิงมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ลูกในท้องจะมีความเสี่ยงที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
  • ฝ่ายหญิงมีท่อนำไข่ตีบ หรือ ตันทั้งสองข้าง
  • ฝ่ายหญิงมีภาวะตกไข่ผิดปกติ
  • ฝ่ายหญิงมีเปลือกไข่หนา ทำให้อสุจิไม่สามารถเจาะเข้าไปเพื่อทพการปฏิสนธิ
  • ฝ่ายชายมีปริมาณอสุจิน้อย หรือ อสุจิไม่แข็งแรง
  • ฝ่ายชายทำหมันไปแล้ว แต่ยังอยากมีลูกอีก

การเตรียมตัวทำเด็กหลอดแก้ว

ถึงแม้ว่าการทำเด็กหลอดแก้ว ICSI จะมีโอกาสสำเร็จสูง แต่ทั้งฝ่ายชายและหญิงเองก็ต้องมีการเตรียมตัว เช่นกัน มีรายละเอียด ดังนี้

การเตรียมตัวของฝ่ายหญิง

  • งดอาหารและเครื่องดื่มกลุ่มนี้ เครื่องดื่มเเอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน อาหารที่ไม่ปรุงสุก อาหารที่มีไขมัน และ น้ำตาลสูง
  • รับประทานอาหารบำรุงสุขภาพ เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้เเข็งแรง
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • บริหารจัดการอารมณ์ไม่ให้มีความเครียด
  • งดการสูบบุหรี่
  • ในช่วงการเก็บไข่ พยายามรักษาช่วงท้องให้มีความอบอุ่น โดยงดทานของเย็น เช่น แตงโม หรือ แคนตาลูป
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ช่วงเก็บไข่ 3 – 4 วันจึงถึงช่วงตั้งครรภ์

การเตรียมตัวของฝ่ายชาย

  • งดอาหารและเครื่องดื่มกลุ่มนี้ เครื่องดื่มเเอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน
  • งดการสูบบุหรี่
  • รับประทานอาหรบำรุง เช่น ไข่ กล้วย และ เน้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์
  • งดการอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น เพราะถ้าร่างกายมีอุณหภูมิสูงจะสร้างอสุจิได้ไม่ดี
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการหลั่งอสุจิ ก่อนการคัดเเยกอสุจิ 3 – 7 วัน

ข้อควรระวังหลังจากเริ่มทำเด็กหลอดแก้ว

หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วแล้ว แม้คุณแม่จะสามารถทำกิจกรรมวัตรประจำวันได้ปกติ แต่ก็ยังไม่ควรชะล่าใจ ยังมีข้อควรระวังที่ต้องปฏิบัติตาม

  1. หลังจากกระบวนการฝังตัวอ่อนในมดลูกแล้ว ควรนอนพัก 1 – 2 ชั่วโมงก่อน ถึงค่อยกลับบ้าน
  2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  3. ไม่ทำงานหนักเป็นเวลา 2 – 3 วัน หลังจากการฝังตัวอ่อน
  4. งดการออกกำลังกาย
  5. หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่จะกระทบกระเทือนไปยังช่วงท้อง
  6. รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย งดอาหารที่อาจทำให้ท้องเสียหรือท้องผูก เพราะจะทำให้ต้องเกร็งหน้าท้อง
  7. รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบ ซึ่งมักจะเป็นยาที่ควบคุมฮอร์โมนในร่างกายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝังตัวของตัวอ่อนขณะอยู่ในมดลูก
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว

ค่าใช้จ่ายการทำเด็กหลอดแก้ว

ราคาประมาณอยู่ที่ 175,000 บาท เป็นต้นไป ซึ่งค่าใช้จ่ายในการทำเด็กหลอดแก้วของแต่ละที่จะไม่ทิ้งห่าง

กันเท่าไหร่นัก มักเริ่มที่หลักแสน แต่สถานพยาบาลเกือบทุกแห่งให้ชำระเงินแบบผ่อนได้ เพื่อให้ทุกคนที่สนใจอยากจะมีลูกน้อย มีโอกาสที่จะได้ทำเด็กหลอดแก้วได้

การเลือกสถานที่สำหรับ IVF หรือ ICSI

การทำเด็กหลอดแก้ว เป็นเทคนิคเฉพาะที่ต้องใช้ความสามารถ และอุปกรณ์ที่ครบครัน ดังนั้นการเลือกสถานที่ให้เหมาะสมจึงต้องเลือกอย่างระมัดระวัง ดูความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาล โดยต้องมั่นใจว่า ทางสถานพยาบาลมีใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องหรือไม่ นอกจานี้การอ่านรีวิวของผู้ใช้บริการคนก่อนๆ จะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้น และแทบไม่ต้องเป็นห่วงเลยว่าจะหาสถานพยาบาลที่รับทำเด็กหลอดแก้วได้ยาก เพราะในปัจจุบันที่ไทยมีทั้งโรงพยาบาล คลีนิค และศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากอยู่มากมายหลายที่ ที่มากประสบการณ์และพร้อมให้บริการ

คำถามที่คนสงสัย

ทำเด็กหลอดแก้ว เลือกเพศได้ไหม ?

การทำเด็กหลอดแก้วทั้งแบบ IVF หรือ ICSI ไม่สามารถเลือกเพศของลูกได้ แต่สามารถรับรู้เพศล่วงหน้าได้

ทำเด็กหลอดแก้ว ทำเด็กแฝดได้ไหม ?

มีโอกาส 30 – 35% ที่จะได้เด็กแฝด แต่เเพทย์ไม่แนะนำให้ตั้งท้องเด็กแฝดในการทำเด็กหลอดแก้ว เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเเทรกซ้อน หรือ ร่างกายไม่สมบูรร์ได้

โอกาสและความเสี่ยงในการทำเด็กหลอดแก้ว ?

มีโอกาสเฉลี่ยประมาณ 32% ที่จะตั้งท้องได้ และฝ่ายหญิงจะมีผลข้างเคียงจากยาแต่ไม่ส่งผลร้ายที่รุนแรง

ผลจากการทำเด็กหลอดแก้ว
ผลจากการทำเด็กหลอดแก้ว

สรุป

การทำเด็กหลอดแก้ว เป็นการสร้างโอกาสให้พ่อแม่ที่มีลูกยากได้มีลูกเป็นของตัวเอง แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเตรียมพร้อมทั้งค่าใช้จ่าย เพราะนอกจาค่าใช้จ่ายการทำเด็กหลอดแก้วค่อนข้างสูงแล้ว การเลี้ยงดูลูกต่อจากนี้ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอีกเช่นกัน ดังนั้นขอให้วางแผนการเงินให้ดี และขอให้ทุกท่านโชคดีมีโอกาสได้อุ้มบุตรหลานของตัวเองนะครับ

 

แนะนำ อาหารเสริมน้ำนม หลังคลอด ที่จะช่วยให้น้ำนมมีคุณภาพ

0
อาหารเสริมเพิ่มน้ำนม
อาหารเสริมเพิ่มน้ำนม

อาหารเสริมน้ำนม

คุณแม่มือใหม่หลายๆท่านที่กำลังประสบปัญหาน้ำนมน้อย คงกำลังหาวิธีการต่างๆเพื่อเพิ่มน้ำนมหรือกระตุ้นน้ำนมเพื่อให้ลูกน้อยได้มีน้ำนมกินอย่างเพียงพอ ซึ่งการเพิ่มน้ำนมก็มีหลากหลายวิธี

ทั้งวิธีการกระตุ้นทางธรรมชาติ และ การทาอาหารเสริมน้ำนม แต่วันนี้เราจะมาสรุปให้เห็นภาพรายละเอียด วิธีการเพิ่มน้ำนมด้วยอาหารเสริมน้ำนม

การทานอาหารเสริมน้ำนมเป็นการเติมสารอาหารเข้าไปในร่างกาย เพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำนม โดยสารอาหารที่มีความจำเป็นในการสร้างน้ำนมจะมี โปรตีน แคลเซียม และวิตามินชนิดต่างๆเช่น วิตามินเอ บี1 บี 2 และ ซี

ซึ่งเป็นวิตามินบำรุงน้ำนมทั้งสิ้น เพราะน้ำนมเป็นทั้งอาหารและสารอาหารที่ใช้บำรุงร่างกายของลูกน้อย ทำให้การเลือกทานอาหารในช่วงให้นมลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก แต่ก่อนอื่นเราไปทำความเข้าใจถึงคุณค่าของน้ำนมแม่กันก่อน ว่ามีประโยชน์ขนาดไหน

น้ำนมแม่ มีสารอาหารมากมายหลายชนิดที่จำเป็นต้องการเจริญเติบโตของลูกน้อย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง และนมแม่สามารถย่อยและดูดซึมได้ง่าย ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย จึงเหมาะสำหรับเด็กทารกอย่างมาก นอกจากนี้แล้วการกินนมแม่ยังไม่มีผลข้างเคียงเหมือนนมชนิดอื่น เช่น นมวัว หรือ นมถั่วเหลือง ที่อาจก่อให้เกิดอาหารแพ้โปรตีนขึ้นมาได้ 

จึงเห็นได้ว่า น้ำนมแม่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยหากต้องการสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่ลูกน้อย ถัดมาเราจะมารู้จักกับอาหารเสริมน้ำนมแม่ที่สามารถทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน 

เมนูอาหารเสริมน้ำนมทำง่ายๆ ที่บ้าน

การเสริมน้ำนมโดยการทำอาหารทานเองจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หากเราเลือกใช้วัตถุดิบได้ถูกต้อง และเป็นวัตถุดิบที่มีสารอาหารที่นมแม่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายและปลอดภัย

เพราะวัตถุดิบจากธรรมชาติย่อมปลอดภัยที่สุด และนอกจากนี้เรายังสามารถเลือกวัตถุดิบเองและปรุงรสชาติที่ชอบได้เองตามความต้องการ ซึ่งผักผลไม้ที่มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงน้ำนมแม่ที่สามารถเอาไปปรุงอาหารได้ก็จะมี หัวปลี, กุ่ยช่าย, ขิง, ใบแมงลัก, มะรุม, กระเพรา, ตำลึง, มะละกอ, มะขาม, ฟักทอง, เมล็ดขนุน, ซึ่งเราได้หยิบตัวอย่าง 5 เมนูพื้นฐานที่มีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก แต่มั่นใจได้ว่าแน่นไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์แน่นอน

เมนูที่ 1 : ต้มข่าไก่ใส่หัวปลี

หัวปลีเป็นผักยอดนิยม ที่มีสารอาหารครบถ้วนเหมาะสมกับการบำรุงน้ำนมอย่างมาก ต้มข่าไก่ปรุงรสแบบ

ทั่วไป เปลี่ยนใช้เนื้อส่วนอกไก่เพื่อลดไขมัน ใส่หัวปลีและใส่เห็ดฟางที่มีสารต้านอนุมูลอิสระลงไปเพิ่ม แค่นี้จากต้มข่าไก่ธรรมดาก็กลายเป็นอาหารเสริมน้ำนมที่ดีได้แล้ว

สารอาหาร : ในหัวปลี มีวิตามินซี โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส 

สรรพคุณ : กระตุ้นการสร้างและเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่

เมนูที่ 2 : ไก่ผัดขิง

ไก่ผัดขิง เมนูง่ายๆ ขั้นตอนการทำไม่ซับซ้อน นำเนื้อไก่ ขิงซอย ต้มหอม เห็ดหูหนู เติมเครื่องปรุง ผัดให้เข้ากัน  ก็เสร็จแล้ว
สารอาหาร : ในขิง มีวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และคาร์โบไฮเดรต

สรรพคุณ : ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้น้ำนมไหลได้ดี และช่วยอาการแก้คลื่นไส้ อาเจียน

เมนูที่ 3 : แกงจืดตำลึง

แกงจืดตำลึง ต้มหมูสับหรือเนื้อชนิดใดก็ได้ในน้ำเดือด ใส่เครื่องปรุง ตบท้ายด้วยใบตำลึง สามารถใส่ไข่เพื่อเพิ่มโปรตีนไข่ได้

สารอาหาร : ในตำลึงมี วิตามินเอ บี1 บี2 ซี ธาตุเหล็ก และแคลเซียม

สรรพคุณ : ช่วยบำรุงน้ำนมแม่

เมนูที่ 4 : ฟักทองแกงบวด

ตบท้ายด้วยของหวาน อย่างฟักทองแกงบวด โดยต้มฟักทองที่เป็นวัตถุดิบหลักกับกะทิ ใบเตย โรยหน้าด้วยมะพร้าว

สารอาหาร : ในฟ้องทองมี วิตามิน เอ บี ซี ฟอสฟอรัส และ เบต้าแคโรทีน

สรรพคุณ : ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ และช่วยให้ผิวพรรณสดใส

แต่ถ้าคุณแม่ที่คิดว่า เมนูอาหารเสริมน้ำนมที่แนะนำมายังไม่เพียงพอ การมองหาตัวช่วยอื่นๆก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน เช่นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม ซึ่งเราก็มีเกร็ดความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์อาหารเสริเพิ่มมน้ำนม จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มาฝากให้อีก เพื่อช่วยในการประกอบการตัดสินใจก่อนที่คุณแม่จะหามารับประทานกัน

อาหารเสริมเพิ่มน้ำนม ช่วยเพิ่มและบำรุงน้ำนมได้จริงไหม ?

สารอาหารมากมายหลายชนิดมีสรรพคุณบำรุงร่างกายที่แตกต่างกัน สำหรับการบำรุงน้ำนมเองก็มีสารอาหารเฉพาะในการบำรุงเช่นกัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมก็มีหลายชนิดเช่นกัน ดังนั้นการเลือกทานอาหารเสริมควรดูก่อนว่าเราขาดสารอาหารตัวไหน และดูว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมตัวนั้นมีสารอาหารที่เราต้องการหรือไม่

สารอาหารที่ได้จากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม

  • โปรตีน : เป็นสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างน้ำนมให้ลูก และนอกจากนี้หลังที่คุณแม่พึ่งคลอดก็ต้องการบำรุงเช่นกัน เพราะร่างกายอ่อนล้าและเสียเลือดจากการคลอดไปมาก
  • แคลเซียม : เป็นสารอาหารที่ใช้บำรุงนมแม่ โดยแคลเซียมในนมแม่จะนำไปสร้างกระดูกและฟันให้กับลูกน้อย
  • วิตามินเอ : เป็นสารอาหารสำคัญที่ใช้ร่างกายต้องการเพื่อนำไปใช้สร้างน้ำนมแม่
  • วิตามินบี1 : ในการให้นมแม่จะทำให้คุณแม่ขาดวิตามินบี1 ดังนั้นต้องหารสารอาหารตัวนี้มาเติมให้ร่างกายตลอด เพราะการขาดวิตามินบี1 จะส่งผลให้เกิดโรคเหน็บชา ซึ่งจะส่งผลไปยังลูกด้วย
  • วิตามินบี2 : เป็นสารอาหารสำคัญที่ใช้ร่างกายต้องการเพื่อนำไปใช้สร้างน้ำนมแม่
  • วิตามินซี และ Zinc : เป็นสารอาหารที่บำรุงน้ำนม ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
  • วิตามินดี : เป็นสารอาหารที่ใช่บำรุงกระดูกเช่นกัน
  • ไอโอดีน : เป็นสารอาหารที่ช่วยพัฒนาสมอง
  • เบต้าแคโรทีน : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยพัฒนาสายตา และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้
  • โอเมก้า3 : ช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง และช่วยเสริมสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ

สารอาหารบำรุงน้ำนมที่กล่าวไว้ข้างต้น เป็นรายชื่อสารอาหารที่สามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมทั่วไป แต่อาหารเสริมน้ำนมแต่ละชนิดมีสูตรและส่วนประกอบที่ไม่เหมือนกัน ทั้งสารอาหารและปริมาณในอาหารเสริมแต่ละตัวจึงมีความแตกต่างกัน เช่น อาหารเสริมบางชนิดอาจจะเน้นไปที่วิตามินบำรุงน้ำนม 

การเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงน้ำนม หรือ วิตามินบำรุงน้ำนม

การเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงน้ำนม หรือ วิตามินบำรุงน้ำนม จะมีหลายรูปแบบตั้งแต่แบบเม็ดแคปซูล ผสมน้ำกิน ซึ่งล้วนแล้วเเต่ผ่านการแปรรูปมาเพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนเลือกซื้อมารับประทานเสมอ ซึ่งจุดที่ควรสังเกตก่อนเลือกซื้อมีดังนี้

  1. เช็คส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม ว่ามาจากธรรมชาติ หรือ มาจากการสังเคราะห์ขึ้นมา โดยควรเลือกที่ผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมจากธรรมชาติปราศจากสารเคมี
  2. หน่วยงานที่รับรองผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่สามารถรับรองความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ โดยถ้ามีตราของหน่วยงานนั้นรับรองก็เชื่อได้ว่าสินค้ามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ต้องมั่นใจว่า เป็นตรารับรองจริงๆไม่ใช่การสมอ้างหรือสวมเลขรับรองของผู้ผลิตเจ้าอื่น หน่วยงานที่สามารถออกมาตรฐานให้การรับรองได้ก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง โดยเราจะยกชื่อที่ติดหูสำหรับใครหลายคนขึ้นมา
  • องค์การอาหารและยา (อย.) : กำกับดูแล ส่งเสริมการนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย โดยมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก
  • Good Manufacturing Practice (GMP) : ระบบประกันคุณภาพการผลิตสินค้า ที่จะตรวจสอบขั้นตอนการผลิตของสินค้านั้นว่า สะอาด มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค หรือไม่
  1. เช็คผลตอบรับ หรือ อ่านรีวิวผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมเหล่านั้น จากลูกค้าคนอื่นก่อน ในยุคที่คนใช้โซเชียลมาก การหาอ่านรีวิวจากหลายๆคนที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์มาก่อน ก็เป็นอีกหนี่งวิธีที่สามารถทำได้ การอ่านความเห็นจากคนมากมาย เราจะได้เห็นความเห็นที่หลากหลาย ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินได้เช่นกัน
  2. การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะแพทย์จะวินิจฉัยร่างกายเราก่อน เพื่อพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนม หรือ วิตามินเพิ่มน้ำนมที่เลือกมามีความจำเป็นกับร่างกายของเราไหม 

สรุป

จริงอยู่ที่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมหลายๆยี่ห้อ มีสรรพคุณและสารอาหารมากมาย และรับประทานได้ง่าย แต่ก็ไม่ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเป็นหลัก ควรทานเป็นอาหารเสริม และควรมุ่งเน้นไปที่การทานอาหารปรุงสุก ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ และมีสารอาหารที่บำรุงน้ำนม มากกว่าการพึ่งผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำนมเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้การแล้วการเพิ่มน้ำนมให้ลูกน้อยก็ยังมีปัจจัยอื่นๆที่สามารถช่วยได้อีกเช่นกัน ทั้งการนวดน้ำนม การดื่มน้ำให้มากๆ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอ ก็เป็นการช่วยอีกทางหนึ่งเช่นกัน เราหว่าว่าบทความนี้จะให้ความรู้และช่วยคุณแม่มือใหม่ทุกคนให้ก้าวข้ามปัญหาน้ำนมน้อยได้ครับ

อาการการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose Intolerance)

0
อาการการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose Intolerance)
อาการการย่อยแลกโทสบกพร่องเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโทสได้หมด ซึ่งแล็กโทสที่เหลือจากการย่อยจะทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดอาการผิดปกติ
อาการการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose Intolerance)
อาการกอาการการย่อยแลกโทสบกพร่องเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโทสได้หมด ทำให้เกิดอาการผิดปกติในการย่อยแลกโทส

การย่อยแลกโทสบกพร่อง

อาการการย่อยแลกโทสบกพร่อง (Lactose Intolerance) คือ การที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโทสได้หมด โดยมักพบน้ำตาลชนิดนี้ในนมสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ซึ่งแล็กโทสที่เหลือจากการย่อยจะทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย เป็นต้น พบได้ทั่วไปในผู้ใหญ่ 65-70% พบมากสุดในประเทศในทวีปเอเชีย และพบน้อยในยุโรปสแกนดิเนเวีย ไม่มีอาการร้ายแรง แต่จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว

อาการของภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

อาการหลังจากรับประทานนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมไปแล้วประมาณ 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง โดยความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำตาลแล็กโทสที่เข้าสู่ร่างกาย และปริมาณเอนไซม์แล็กเทส (Lactase) ที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเพื่อนำมาย่อยแล็กโทส เช่น

อาการของภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

อาการหลังจากรับประทานนมหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมไปแล้วประมาณ 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง โดยความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำตาลแล็กโทสที่เข้าสู่ร่างกาย และปริมาณเอนไซม์แล็กเทส (Lactase) ที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเพื่อนำมาย่อยแล็กโทส เช่น

  • ปวดท้อง
  • ท้องอืด มีลมในลำไส้
  • ท้องเสีย
  • คลื่นไส้ และอาจตามมาด้วยการอาเจียน
  • มีเสียงท้องร้องจากการบีบตัวในกระเพาะอาหาร
  • ท้องไส้ปั่นป่วน
  • ผายลม

สาเหตุของภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

  • ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสได้หมด
  • ร่างกายผลิตเอนไซม์แล็กเทสน้อยลง
  • ผลกระทบจากโรคบางชนิดหรือการรักษา
  • เกิดความผิดปกติตั้งแต่เกิด โดยเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่

การวินิจฉัยภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง

แพทย์อาจวิเคราะห์ภาวะนี้ได้โดยดูจากอาการและการตอบสนองของร่างกายผู้ป่วยเมื่อลดปริมาณนมที่ดื่ม หากยังไม่ชัดเจนก็อาจตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
1. ตรวจอุจจาระ
2. ตรวจระดับไฮโดรเจนในลมหายใจ
3. ทดสอบความสามารถในการย่อยน้ำตาลแล็กโทส
4. ตรวจชิ้นเนื้อลำไส้เล็ก

การป้องกัน หรือหลีกเลี่ยงอาการแพ้แลคโตส

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม หรือรับประทานในปริมาณที่น้อยลง และทานอาหารอื่นๆ ที่แคลเซียมสูงทดแทน
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีแล็กโทสในปริมาณน้อย หรือไม่มีแล็กโทสเลย เช่น โยเกิร์ต นมพร่องมันเนย หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ระบุว่ามีแล็กโทสในปริมาณน้อย เป็นต้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มเอนไซม์แล็กเทสก่อนรับประทานอาหารที่ทำจากนม
  • หลีกเลี่ยงการดื่มนมขณะท้องว่าง เพราะอาการจะเป็นมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าดื่มนมพร้อมอาหาร จะสามารถทนปริมาณแลคโตสได้มากขึ้น
  • หากรับประทานอาหารนอกบ้าน ควรเลือกอาหาร ที่ปราศจากน้ำตาลแลคโตส (Lactose free) หรือแจ้งทางร้านก่อนสั่งอาหาร
  • ใช้นมที่ปราศจาก น้ำตาลแลคโตส (Lactose free milk) หรือใช้น้ำนมที่สกัดจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมมะพร้าว ทนแทนนมวัว
  • ใช้เอนไซม์แลคเตสสังเคราะห์ ทานพร้อมกับเมื่อดื่มนมคำแรก

โรคแทรกซ้อนของการแพ้แลคโตส

หากกังวลกับอาหารที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน ควรปรึกษานักโภชนาการเพิ่มเติม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ปัญหาโรคติดเกม จัดการอย่างไรดี

0
ปัญหาโรคติดเกม จัดการอย่างไรดี
โรคติดเกม เป็นอาการทางจิตที่รุนแรงและต้องได้รับการบำบัดรักษาเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเกมออนไลน์ หรือ วิดีโอเกม
ปัญหาโรคติดเกม จัดการอย่างไรดี
โรคติดเกม เป็นอาการทางจิตที่รุนแรงและต้องได้รับการบำบัดรักษาเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเกมออนไลน์ หรือ วิดีโอเกม

ติดเกม

โรคติดเกม (Gaming disorder) คือ อาการทางจิตที่รุนแรงและต้องได้รับการบำบัดรักษาเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเกมออนไลน์ หรือ วิดีโอเกม

สาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกม

1. การเลี้ยงดูในครอบครัว
2. ขาดกฎระเบียบกติกาในบ้าน
3. ไม่มีกิจกรรมที่สนุกสนานให้เด็กทำ หรือ ไม่มีกิจกรรมที่ทุกคนทำร่วมกัน
4. พ่อแม่อาจไม่มีเวลาควบคุมเด็กหรือมองไม่เห็นความจำเป็นของการจำกัดเวลาในการเล่นเกมของเด็ก
5. ปัจจัยในตัวเด็ก เช่น เหงา อยากมีเพื่อน เครียด

พฤติกรรมการติดเกม

1. เมื่อต้องหยุดเล่นหรือถูกขัดจังหวะ จะรู้สึกโกรธ และหงุดหงิดฉุนเฉียวอย่างรุนแรง แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
2. แยกตัวออกจากสังคม ตัดขาดจากโลกภายนอก เลือกที่จะใช้เวลาอยู่หน้าจอมากกว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง
3. ละเลยความรับผิดชอบ การเรียน การทำงาน ตลอดจนกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ
4. คิดและหมกมุ่นอยู่แต่กับการเล่นเกม วางแผนเพื่อที่จะเอาชนะในการเล่นเกมครั้งต่อไป จะโมโหฉุนเฉียวมากถ้าเล่นเกมแพ้
5. ไม่สามารถหยุดเล่นได้ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่ามีผลกระทบต่อตนเองอย่างมาก พยายามและดิ้นรนอย่างมากเพื่อให้ได้เล่นเกม
6. ไม่ยอมรับความจริงว่าตนเองมีปัญหาติดเกม
7. ใช้เวลาในการเล่นนานขึ้นเรื่อยๆ
8. พูดโกหก หรือขโมยเงินเพื่อเอาไปเล่นเกม ไม่ยอมไปโรงเรียน หรือเล่นจนกลายเป็นการติดการพนันในที่สุด

ลักษณะของเกมออนไลน์ในปัจจุบัน

1. ท้าทาย ชวนให้แข่งขัน
2. มีขั้นตอน ได้รับรางวัล เมื่อทำภาระกิจสำเร็จ
3. มีการสวมบทบาทสมมติในเกม โดยไม่ต้องเปิดเผยว่าเป็นใคร
4. เล่นกันเป็นกลุ่มได้ เล่นด้วยกันได้ ชวนกันเล่นได้

ผลเสียจากการติดเกม

1. น้ำหนักเกิน ปวดคอ ปวดหลัง ปวดข้อมือหรือข้อศอก เส้นเอ็นและปลายประสาทอักเสบ ไม่สนใจดูแลตนเอง
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน / ทำงานลดลง
3. ยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เก็บตัว ละเลยการเข้าสังคม ไม่ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว
4. หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห โวยวาย พูดจาหยาบคาย ก้าวร้าว รุนแรง สมาธิสั้น ต่อต้าน ซึมเศร้า วิตกกังวล ลักขโมย
5. เวลานอนหลับไม่เพียงพอและขาดคุณภาพ อ่อนเพลีย
6. การควบคุมยับยั้งตนเอง การควบคุมอารมณ์ ความจำ ความสามารถในการตัดสินใจ และแก้ปัญหาลดลง สมาธิสั้น
7. อาจจะมีการเลียนแบบพฤติกรรมความรุนแรงจากเกมได้
8. รับประทานอาหารไม่เพียงพอ ไม่อยากอาหาร เพราะอยากเอาเวลาไปเล่นเกมมากกว่า และใช้สารเสพติด
9. ปวดตา มองเบลอ ไม่ชัด มีปัญหาสายตาสั้นเทียม นำไปสู่ปัญหาสายตาสั้นจริง
10. ร่างกายไม่แข็งแรง เนื่องจากไม่ค่อยมีการขยับร่างกาย ไม่ออกกำลังกาย หรือวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป

ข้อดีของการเล่นเกม (ในระยะเวลาที่พอเหมาะ)

1. ฝึกภาษา
2. ฝึกพิมพ์ไว
3. พัฒนาสมอง ฝึกไหวพริบ
4. เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์
5. เสริมสร้างในการมองเห็นและก็การบังคับสายตา
6. พัฒนาทักษะในการตัดสินใจที่ดี
7. พัฒนาความสัมพันธ์เพื่อนพ้องได้เป็นอย่างดี
8. พัฒนา IQ
9. สร้างรายได้และอาชีพ
10. ลดความเครียด และความกดดันบางอย่าง

วิธีช่วยเหลือเด็กติดเกม

1. ผู้ปกครองควรให้เวลากับเด็กมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กก่อนเริ่มการปรับพฤติกรรม
2. ค่อยๆ ปรับพฤติกรรม ปรับเวลา อย่าสั่งหยุดทันทีทันใด เด็กจะเกิดการต่อต้าน
3. ตกลงกติกา กำหนดเวลาการเล่นเกมที่เหมาะสม ให้ลดลงเรื่อยๆ เด็ดขาด ไม่มีต่อรอง
4. ผู้ปกครอง หากิจกรรมมารองรับ ใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้น
5. สร้างแรงจูงใจในการเลิกให้กับเด็ก เช่น หากกำลังปรับลดชั่วโมงการเล่นเกม ค่อยๆปรับพฤติกรรมทีละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่สม่ำเสมอ
6. หากมีข้อสงสัยควรขอคำแนะนำจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

ทั้งนี้ การแก้ปัญหาเด็กติดเกมให้ดีขึ้น ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเปลี่ยนและปรับกันทั้งคู่ ทั้งเด็กและพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง รวมถึงคนรอบข้างที่บ้านและที่โรงเรียน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไวอาก้า

0
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไวอาก้า
ไวอาก้า หรือ Sildenafil เป็นสารที่ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศ ช่วยรักษาอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับไวอาก้า
ไวอาก้า หรือ Sildenafil เป็นสารที่ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศ ช่วยรักษาอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

ไวอาก้า

ไวอาก้า (Viagra) หรือ Sildenafil คือ สารที่ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศ ช่วยรักษาอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัว นกเขาไม่ขัน ช่วยให้อวัยวะเพศชายแข็งตัวได้ดี ไม่อ่อนตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ED) เนื่องจากกลไกการทำงานของ ไวอากร้า ( Viagra ) จริง ๆ จะเข้าไปกระตุ้นให้หลอดเลือดขยาย ซึ่งส่งผลให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น ช่วยให้สมองสั่งการผ่านเส้นประสาทไปยังอวัยวะเพศทำให้แข็งตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ จนการร่วมรักดำเนินไปได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้เรื่องการใช้ยาไวอากร้าไม่ควรใช้กับยาชนิดอื่นๆ โดยไม่ได้รับการแนะนำการแพทย์ ก็เป็นจุดที่ควรระวัง เพราะอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตได้

ไวอากร้าที่มีขายในท้องตลาด

1. Sildenafil หรือ ไวอากร้า (ยอดนิยม)
เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด กินก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1 ชั่วโมง แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง คือ มีผลเสียต่อจอเรตินาในตา ทำให้จะเห็นทุกอย่างเป็นสีฟ้า แต่อาการจะหายไปเองภายใน 2-3 ชั่วโมง
2. Vardenafil หรือ เลวิตร้า
ยาตัวนี้ดีพอๆ กับซิลเดนาฟิล แต่ออกฤทธิ์ได้ไวกว่า 1 ชั่วโมง เพราะเป็นแบบละลายในปากทำให้ได้ผลไว แต่ก็พบว่าบางคนอาจแพ้หรือมีผลข้างเคียงได้เช่นกัน
3. Tadalafil หรือ เซียลิส
ยาตัวนี้บางคนอาจจะเรียกกันว่า ยาวันหยุด หรือ Holiday Pill ซึ่งชนิดนี้เป็นตัวที่ผู้ชายส่วนใหญ่เลือกกินเพราะออกฤทธิ์ได้ยาวนานถึง 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว เป็นยาที่แรง แต่ก็เสี่ยงกับผลข้างเคียงที่เพิ่มขึ้น
4. Avanafil หรือ สเตนดร้า
ยาชนิดนี้เป็นตัวใหม่ที่พึ่งได้รับการรับรองจากอเมริกาและแถบยุโรป ซึ่งข้อดีของมันคือ เป็นชนิดเดียวที่ออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุด ภายใน 15 นาทีหลังกินยา จะกินก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ แต่ข้อเสียของมันก็คือ คนที่กินยาไนเตรทห้ามทานเด็ดขาด เพราะทำให้เกิดความดันต่ำจนเสียชีวิตได้เลย

ผลข้างเคียงของไวอาก้า

1. หัวใจเต้นเร็ว มีอาการเหนื่อยง่าย เหงื่อออกง่าย หากใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ ต้องใช้อย่างระมัดระวังและเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
2. อาการของผู้ใช้ยาครั้งแรกที่พบได้บ่อยๆ คือ ปวดศีรษะ หน้าแดง ร้อนวูบวาบ คลื่นไส้ ตาพร่ามัว ตาพร่าแสงแดดง่าย หรือ มองเห็นแสงสีฟ้าสีเขียว
3. ภาวะองคชาตแข็งค้าง และการสูญเสียการได้ยินอย่างเฉียบพลัน

ข้อควรระวัง

1. ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยานี้หรือส่วนประกอบอื่นๆในตำรับยา
2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ สมองขาดเลือด (Stroke) หรือมีปัญหาเรื่องความดันโลหิตต่ำ เคยมีประวัติการมองเห็นลดลง หรือสูญเสียการมองเห็น ให้แจ้งแพทย์ก่อนเริ่มกินยา
3. ห้ามใช้ยา Viagra ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจที่ใช้ยาขยายหลอดเลือดกลุ่มไนเตรดที่ส่วนใหญ่ใช้บรรเทาอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ เช่น Nitroglycerine, Isosorbide Mononitrate, Isosorbide dinitrate เพราะอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ อาจถึงแก่ชีวิตได้
4. ไม่มีข้อบ่งใช้ในผู้ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี และไม่มีข้อบ่งใช้ในเพศหญิง
5. ห้ามใช้ยาร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดอื่นๆ เช่น อีริโทรมัยซิน (Erythromycin) ยาชนิดนี้เป็นยาต้านเชื้อรา ที่จะไปเสริมฤทธิ์ทำให้เกิดผลข้างเคียง อาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
6. ไม่ควรรับประทานยาร่วมกับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ โดยเด็ดขาด

สารอาหารที่ออกฤทธิ์คล้ายไวอาก้า

ไวอากร้า ผู้หญิงกินได้ไหมหรือไม่

ยาไวอากร้าสำหรับผู้หญิง ชื่อว่า ฟลิแบนเซริน ซึ่งจะออกฤทธิ์ต่างกับไวอาก้าสำหรับผู้ชาย ยานี้จะออกฤทธิ์ต่อสมอง ปรับสมดุลของระบบในสมองที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นความพอใจและอารมณ์ทางเพศ ในขณะที่ไวอากร้าสำหรับผู้ชายจะส่งผลต่อปริมาณเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเพศชาย

ปัญหาสุขภาพของคนวัย 50 ปีขึ้นไป

อาหารที่เหมาะสมต่อสุขภาพของคนวัย 50 ปีขึ้นไป

1. โปรตีน ความต้องการสารอาหารในผู้สูงอายุทั่วไปที่ไม่มีโรคประจําตัวรุนแรงที่ความต้องการโปรตีนสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อใหม่ ควรเลือกโปรตีนที่เคี้ยวง่ายหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ดักแด้ไหม ไข่ตุ๋น เนื้อปลา หมูสับหมักนิ่ม หรือเนื้อสัตว์ตุ๋น นม เต้าหู้ เลือดหมู หรือไก่ เป็นต้น โดยสลับทานทั้งเนื้อสัตว์สีแดงและสีขาว เพื่อให้ได้รับธาตุเหล็กที่เพียงพอ
2. แป้ง ควรทานมือละ 3-4 ทัพพี เลือกประเภทนิ่ม เช่น ข้าวต้ม ข้าวหุงนิ่มๆ ขนมปังนิ่มๆ ฟักทอง มันนึงเนื้อนิ่มๆ หรือวุ้นเส้น เป็นต้น
3. ผักผลไม้ ควรทานผักมื้อละ 1-2 ทัพพี และผลไม้มื้อละ 1 ฝ่ามือ โดยเลือกแบบที่นิ่มหรือไม่ต้องเคี้ยว เช่น ผักที่ต้มหรือปรุงจนนิ่ม ส้ม มะละกอ แก้วมังกร แตงโม มะม่วงสุก กล้วยสุก ผักหรือผลไม้ปั่นพร้อมกาก เป็นต้น จะช่วยให้ระบบร่างกายทํางานได้ดีขึ้น และป้องกันท้องผูก
4. เครื่องปรุงรส ทานน้ำมันและน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน น้ำปลาหรือซีอิ๊วไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน จะช่วยป้องกันโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และอีกหลายๆ
5. การดื่มนมวัว หรือนมถั่วเหลือง (นมถั่วเหลืองแนะนําประเภท UHT เนื่องจากมีการเติมแคลเซียมให้เท่าแคลเซียมในนมวัว) โดยทานวันละ 1-2 แก้ว จะช่วยรักษามวลกระดูกและกล้ามเนื้อ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วัคซีน Janssen COVID-19 ของ Johnson & Johnson คืออะไร?

0
วัคซีน Janssen COVID-19 ของ Johnson & Johnson คืออะไร?
ได้รับอนุญาติใช้ได้ทั้งในวัยรุ่น 18 ปีขึ้นไปและผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มีสุขภาพแข็งแรงสำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
วัคซีน Janssen COVID-19 ของ Johnson & Johnson คืออะไร?
ได้รับอนุญาติใช้ได้ทั้งในวัยรุ่น 18 ปีขึ้นไปและผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มีสุขภาพแข็งแรงสำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

วัคซีน Janssen

Janssen (จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน) Ad26.COV2.S คือ วัคซีนป้องกันโรค coronavirus 2019 (COVID-19) ที่ได้รับอนุญาติใช้ได้ทั้งในวัยรุ่น 18 ปีขึ้นไปและผู้สูงอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มีสุขภาพแข็งแรง สำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกันขณะที่วัคซีน Ad26.COV2.S นั้นพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในการพัฒนาวัคซีนอีโบลา
ประกอบด้วยไวรัสในตระกูล adenovirus ที่สามารถตัดแต่งพันธุกรรม และไม่สามารถทำให้เกิด COVID-19 ได้ ซึ่งให้มียีนสำหรับสร้างโปรตีนที่พบใน SARS-CoV-2 เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ของมนุษย์มีจีโนมดีเอ็นเอ (DNA) จะถูกแทรกเข้าไปในยีนที่เข้ารหัสโปรตีนเพื่อขัดขวางไวรัสซาร์ส-โควี-2 เป็นไวรัสที่มีการอุบัติใหม่ และสามารถก่อโรคโควิด-19 ในมนุษย์ได้

ส่วนผสมอื่นๆ ในวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

  • 2-ไฮดรอกซีโพรพิล-β-ไซโคลเด็กซ์ทริน (HBCD) หรือ 2-hydroxypropyl-β-cyclodextrin (HBCD)
  • กรดซิตริกโมโนไฮเดรต หรือ citric acid monohydrate
  • เอทานอล หรือ ethanol
  • กรดไฮโดรคลอริก หรือ hydrochloric acid
  • โพลีซอร์เบต 80 หรือ polysorbate 80
  • เกลือแกง หรือ sodium chloride
  • โซเดียมไฮดรอกไซด์ หรือ sodium hydroxide
  • ไตรโซเดียมซิเตรตไดไฮเดรต หรือ trisodium citrate dihydrate
  • น้ำสำหรับฉีดยา หรือ water for injection

วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ใช้อย่างไร?

วัคซีน Ad26.COV2.S หรือ Johnson & Johnson จะฉีด 1 ครั้งเข้ากล้ามเนื้อ 0.5 มิลลิลิตร บริเวณต้นแขน เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

ปริมาณบูสเตอร์วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

ได้รับอนุญาตใช้ในผู้ใหญ่ทุกคนโดยการบูสวัคซีนอย่างน้อย 2 เดือนหลังจากเสร็จสิ้นการฉีดวัคซีนเบื้องต้น ปริมาณบูสอายุ ≥18 ปี เท่ากันปริมาณ 0.5 mL

ใครไม่ควรรับวัคซีน Janssen COVID‑19?

  • มีอาการแพ้อย่างรุนแรงหลังจากฉีดวัคซีนครั้งก่อน
  • มีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบบางชนิดของวัคซีนนี้

ผลข้างเคียงของวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันที่พบบ่อย

1. อาการที่่บริเวณที่ฉีดวัคซีน

  • ปวดบริเวณที่ฉีด
  • ผิวหนังบวมแดง
  • รู้สึกเจ็บปวด

2. อาการอื่นๆ ทั่วไป

  • หนาวสั่น
  • มีไข้
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดข้อ
  • คลื่นไส้
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

3. อาการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรง

  • ลมพิษ มีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย
  • อาการบวมที่ริมฝีปาก ใบหน้า ลำคอบวม ลิ้น หรือทางเดินหายใจ
  • หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ
  • ปวดท้อง อาเจียน และท้องเสีย
  • หมดสติ
  • ความดันโลหิตต่ำอย่างกะทันหัน
  • รู้สึกเสียวซ่าบริเวณผิวหนัง
  • หูอื้อถาวร
  • อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม
  • ลิ่มเลือดที่เกี่ยวกับเกล็ดเลือดต่ำ

ข้อดีของการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19

  • ช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
  • ช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ไปยังสมาชิกในครอบครัว เพื่อน หรือบุคคลอื่นที่คุณติดต่อด้วย
  • วัคซีนป้องกันโควิด-19 ช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วยหนัก แม้ว่าจะติดเชื้อโควิด-19 ก็ตาม หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Moderna COVID-19 (mRNA-1273)

0
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Moderna COVID-19 (mRNA-1273)
วัคซีนโมเดิร์นนามีสารออกฤทธิ์ใช้สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Moderna COVID-19 (mRNA-1273)
วัคซีนโมเดิร์นนามีสารออกฤทธิ์ใช้สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

วัคซีนโมเดิร์นนา

วัคซีนโมเดิร์นนา (Moderna) มีโมเลกุลที่เรียกว่า mRNA (messenger Ribonucleic Acid) เป็น สารพันธุกรรมที่อยู่ในเซลล์ร่างกายทำหน้าที่ออกคำสั่งให้เซลล์ผลิตโปรตีนขึ้นตามรหัสคำสั่งนั้นๆ เป็นกลไกปกติของร่างกาย ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด19 แต่ไม่มีไวรัสแล้วและไม่สามารถทำให้เกิดCOVID-19 ได้ วัคซีนโมเดิร์นนามีสารออกฤทธิ์ใช้สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 mRNA มีบทบาทพื้นฐานในชีววิทยาของมนุษย์ โดยถ่ายโอนคำสั่งที่เก็บไว้ใน DNA เพื่อสร้างโปรตีนที่จำเป็นในทุกเซลล์ที่มีชีวิต เอ็มอาร์เอ็นเอเป็นโมเลกุลสายเดี่ยวที่นำรหัสพันธุกรรมจาก DNA ในนิวเคลียสของเซลล์ไปยัง ไรโบโซม ซึ่งเป็นกลไกสร้างโปรตีนของเซลล์ mRNA สั่งให้เซลล์ของผู้ป่วยผลิตโปรตีนที่ป้องกัน บำบัด หรือรักษาโรค และองค์การอนามัยโลกได้อนุมัติใช้ได้ใน 76 ประเทศ

ปริมาณยาที่แนะนำสำหรับวัคซีนโมเดิร์นนาเพื่อป้องกันโควิด-19

  • ผู้ที่ได้รับวัคซีนโมเดิร์นนาฉีดเข้ากล้าม ตามข้อกำหนด 2 เข็ม ปริมาณยาที่ใช้ 100 ไมโครกรัม, 0.5 มิลลิลิตรต่อครั้ง ควรเว้นระยะห่างกัน 1 เดือน หรือ 28 วัน หากจำเป็นสามารถขยายเวลาออกไปได้เป็น 42 วัน
  • หากบูสวัคซีนโมเดิร์นนาเข็ม 3 ปริมาณ 0.25 มิลลิลิตร ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 28 วัน หรือ 2 เดือนนับจากฉีดเข็มที่ 2

วัคซีนโมเดิร์นนาทำงานอย่างไร

การทำงานนั้นเป็นการเตรียมร่างกายเพื่อป้องกันตัวเองจาก COVID-19 ประกอบด้วยโมเลกุลที่เรียกว่า mRNA ซึ่งเป็นการสร้างโปรตีนบนพื้นผิวของไวรัส SARS-CoV-2 ที่ไวรัสต้องการเข้าสู่เซลล์ของร่างกายมนุษย์ เมื่อฉีดวัคซีนเซลล์บางส่วนจะอ่านคำสั่ง mRNA และผลิตโปรตีนขัดขวางเชื้อไวรัสชั่วคราว ระบบภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้นจะรับรู้ว่าโปรตีนนี้เป็นสิ่งแปลกปลอมร่างกายจะผลิตแอนติบอดีและกระตุ้นทีเซลล์ หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อโจมตีไวรัสนั้น หากภายหลังบุคคลนั้นสัมผัสกับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขาจะรับรู้และพร้อมที่จะปกป้องร่างกายจากไวรัสโควิด-19

กลุ่มบุคคลใดบ้างเหมาะได้รับการฉีดวัคซีนโมเดิร์นนาได้บ้าง

  • ผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคปอด โรคตับ และโรคไต
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องยังสามารถฉีดวัคซีนได้
  • ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือ HIV
  • ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ไม่รุนแรง โรคหอบหืด
  • สตรีมีครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการฉีดวัคซีน
  • คุณแม่ช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการฉีดวัคซีน
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนหน้าเป็นเวลา 6 เดือน นับจากวันที่ติดเชื้อ

แพทย์แนะนำให้ฉีดวัคซีนโมเดิร์นาสำหรับผู้ที่เป็นโรคร่วมดังที่กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากบุคคลกลุ่นนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เชื้อลงปอดที่รุนแรงได้

กลุ่มบุคคลใดบ้างไม่เหมาะได้รับการฉัดวัคซีนโมเดิร์นนาบ้าง

  • ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
  • ผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอมาก
  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้อย่างรุนแรงในวัคซีนเข็มแรก (ไม่ควรรับวัคซีนนี้หรือวัคซีน mRNA อื่นๆ)

วัคซีนโมเดิร์นนามีประสิทธิภาพแค่ไหน?

วัคซีน Moderna ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพประมาณ 94.1% ในการป้องกันโรคโควิด-19 โดยเริ่มตั้งแต่ 14 วันหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก

อย่างไรก็ตามการได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็ม ทุกชนิดทุกยี่ห้อสามารถลดความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่าไม่ฉีดเลย เพื่อเป็นการสร้างระบบภูมิคุ้มกันหมู่ หากบุคคลใดที่ยังกังกลเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อปฏิบัติตามขั้นตอนคำแนะนำก่อนการเข้ารับวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคแพ้นมวัวในเด็กทารกและเด็กเล็ก

0
โรคแพ้นมวัวในเด็กทารกและเด็กเล็ก
อาการแพ้นมวัว เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองที่ผิดปกติต่อโปรตีนในนมวัวและนมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ
โรคแพ้นมวัวในเด็กทารกและเด็กเล็ก
อาการแพ้นมวัว เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองที่ผิดปกติต่อโปรตีนในนมวัวและนมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ

แพ้นมวัว

แพ้นมวัว ( Cow milk allergy ) หรือที่เรียกว่าโรคภูมิแพ้โปรตีนนม ( cow milk protein allergy ( CMPA ) คือ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองที่ผิดปกติต่อโปรตีนในนมวัวและนมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ มักเกิดในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 1 ปี โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันจะปกป้องร่างกายของเราจากเชื้อโรคสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย เช่น แบคทีเรีย เชื้อไวรัส เมื่อระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติอาจแสดงอาการตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการแพ้นมอย่างรุนแรง (anaphylaxis) ดังนั้น ทำให้โปรตีนในนมวัวเป็นสารอันตรายสามารถทำลายกระเพาะอาหาร และลำไส้ของทารกได้ ในขณะที่อาการแพ้นมวัวเป็นหนึ่งในอาการแพ้อาหารที่พบบ่อยที่สุดซึ่งส่งผลต่อทารกและเด็กในประเทศไทยมีเด็กแรกเกิดประมาณปีละ 8 แสนคน และยังมีเด็กอีกประมาณ 2 หมื่นคน โดยส่วนใหญ่อาการแพ้นมวัวในเด็กมักมีอาการที่บ่งชีถึงการแพ้นมหลายอย่าง

สาเหตุของการแพ้นมวัว

การแพ้นมวัวไม่ใช้จะเกิดขึ้นกับเด็กทุกคน แต่บางคนที่แพ้คือโปรตีนนม 2 ชนิดที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ในลูกน้อย คือ
1. บีตา-แล็กโทโกลบูลิน ( Beta-Lactoglobulin ) เป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของเวย์โปรตีนทั้งหมดของนมวัว ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้นมสูงถึง 82 เปอร์เซ็นต์
2. เคซีน ( Casein ) เป็นโปรตีนหลักในน้ำนมดิบโดยผ่านกระบวนการต้มด้วยความร้อนสูงถึง 100 องศาเซลเซียส และใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์โปรตีนผง ซึ่งในน้ำนมแม่มีเคซีน Casein น้อยกว่านมวัว และนมแม่ไม่มี Beta-Lactoglobulin ดังนั้น อาการแพ้นมแม่จึงพบได้น้อยมาก

อาการแพ้นมวัวในเด็ก

อาการแพ้จะแสดงออกมี 2 ประเภท คือ อาการแพ้แบบเกิดหลังสัมผัสไม่เกิน 2 ชั่วโมง ( IgE-mediated ) และออกการแพ้แบบเกิดหลังสัมผัสอาจใช้เวลาเป็นวัน (non-IgE mediated) โดยทั้งสองประเภทมีอาการที่แตกต่างกัน เมื่อกินนมเข้าไปร่างกายจะตอบสนองทันทีโดยมีน้ำมูกไหล ผื่นแดง คัน ลมพิษ และหายใจถี่ แต่ในบางคนจะมีอาการแพ้ที่ช้ากว่ามักเริ่มภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากกินนมนั่นเอง โดยอาการแพ้นม แบ่งออกตามระบบได้ ดังนี้ อาการทั่วไป ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ ระบบผิวหนัง และระบบโลหิต ได้แก่

1. อาการแพ้นมทั่วไปในเด็ก

  • ใบหน้าบวมแดง
  • เด็กรู้สึกไม่สบายตัวเริ่มงอแงมาก
  • เด็กทารกแรกเกิดร้องไห้ไม่ยอมนอน เกิดจากท้องอืด หรือจุดเสียด
  • เด็กทารกน้ำหนักเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่ควรจะเป็น
  • กรดไหลย้อนในเด็ก

2. ระบบทางเดินอาหาร

  • แหวะนม หรืออาเจียน
  • บ้วนน้ำลาย
  • ปวดท้อง
  • ท้องเสียอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 2-4 ครั้งต่อวัน เป็นระยะเวลานานกว่า 5-7 วัน
  • ท้องอืดเรอบ่อยเพราะมีแก๊สมาก
  • อุจจาระเป็นเลือดในเด็กทารก เนื่องจากลำไส้อักเสบ

3. ระบบทางเดินหายใจ

  • คัดจมูก
  • เป็นหวัด หรือน้ำมูกไหล
  • โรคหอบหืด
  • ไอ หรือจาม
  • ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอบวม
  • หลอดลมอักเสบ
  • หายใจถี่
  • หายใจไม่ออก

4. ระบบผิวหนัง

5. ระบบโลหิต

ผู้ที่เสี่ยงต่อการแพ้นมวัวมากที่สุด

อาการเด็กแพ้นมวัวถือได้ว่าเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมาก มักส่งผลกระทบมากที่สุดในทารกที่อายุน้อยกว่า 1 ปี อัตราความเสี่ยงประมาณ 2 – 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งความเสี่ยงในทารกจะลดลงเมื่อเด็กโตขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเด็กที่อายุ 5 ปีขึ้นไปน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์นั่นเอง

โรคแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อไหร่

  • เด็กมีอายุ 1 ปี อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อ คิดเป็นร้อยละ 45-56 เปอร์เซ็นต์
  • อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อเด็กมีอายุ 2 ปี คิดเป็นร้อยละ 60-77 เปอร์เซ็นต์
  • อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อเด็กมีอายุ 3 ปี คิดเป็นร้อยละ 84-87 เปอร์เซ็นต์
  • อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อเด็กมีอายุ 5 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 90-95 เปอร์เซ็นต์
  • อาการแพ้นมวัวจะหายไปเมื่อเด็กมีอายุเกินอายุ 10 ปีคิดเป็นร้อยละ 1% เปอร์เซ็นต์

ควรพาเด็กที่มีอาการแพ้นมวัวไปพบแพทย์เมื่อใด

หากลูกของคุณเริ่มมีอาการต่อไปนี้ คือ ไม่กินนม อ่อนเพลีย นอนเยอะผิดปกติ มีไข้ อาเจียน หรือท้องเสียอย่างรุนแรง น้ำหนักลด และอุจจาระมีเลือดปน ให้รีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์ทันที

การวินิจฉัยอาการแพ้นมวัว

แพทย์จะตรวจดูอาการของทารกก่อน และสอบถามประวัติการแพ้นมวัวของพ่อแม่ หากสงสัยว่าแพ้โปรตีนนมวัว (CMPA) หรือที่เรียกว่าแพ้นมวัว (CMA) แพทย์จะทำการทดสอบภูมิแพ้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้โปรตีนนม การแพ้อาการ หรือแพ้นมวัวหรือไม่ โดยการทดสอบต้องทำการตรวจเลือด การทดสอบอาการแพ้ที่ผิวหนัง การทดสอบการแพ้อาหาร เป็นต้น

การรักษาอาการแพ้นมวัว

หากเด็กทารกได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้นมวัว แพทย์จะแนะนำให้เปลี่ยนนมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม

  • ผู้ปกครองของเด็กควรอ่านฉลากสินค้าก่อนซื้อนมอย่างละเอียดทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการกินนมวัวและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัวทุกชนิดในเด็กทารก
  • ควรเปลี่ยนนมสูตรพิเศษสำหรับเด็กที่มีอาการแพ้นมวัวแทน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Pfizer (BNT162b2 mRNA Covid-19)

0
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Pfizer (BNT162b2 mRNA Covid-19)
วัคซีนไฟเซอร์ เป็นการสังเคราะห์สารพันธุกรรมเลียนแบบเชื้อไวรัสขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้กับโคโรนาไวรัส และสร้างภูมิคุ้มกันแบบแอคทีฟเพื่อป้องกัน COVID-19
สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับวัคซีน Pfizer (BNT162b2 mRNA Covid-19)
วัคซีนไฟเซอร์ เป็นการสังเคราะห์สารพันธุกรรมเลียนแบบเชื้อไวรัสขึ้นมา ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้กับโคโรนาไวรัส และสร้างภูมิคุ้มกันแบบแอคทีฟเพื่อป้องกัน COVID-19

วัคซีนไฟเซอร์

วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) มีชื่อทางการว่า BNT162b2 ชื่อบริษัทผู้ผลิต Pfizer, Inc. และ BioNTech คือ วัคซีนประเภท mRNA ที่เป็นการสังเคราะห์สารพันธุกรรมเลียนแบบเชื้อไวรัสขึ้นมา ดังนั้นในวัคซีนจึงไม่ได้มีอนุภาคของเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียที่ตายแล้วอยู่ภายในเลย ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายต่อสู้กับโคโรนาไวรัส และสร้างภูมิคุ้มกันแบบแอคทีฟเพื่อป้องกัน COVID-19 ที่เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 ในบุคคลอายุ 16 ปีขึ้นไป BNT162b2 คือ โมเลกุลสายเดี่ยวที่เข้ารหัสโปรตีนไวรัส S1S2 ที่ปรับให้เหมาะสมเข้ารหัสแอนติเจนของไกลโคโปรตีนป้องกันไวรัส SARS-CoV-2 ส่งผลให้เกิดโปรตีนกลายพันธุ์ของโพรลีนสองตัวที่ยึดโปรตีนเพื่อขัดขวาง S1S2 กระตุ้นแอนติบอดีที่ทำให้ไวรัสมีค่าเป็นกลาง และองค์การอนามัยโลกได้อนุมัติใน 103 ประเทศ

ส่วนประกอบของวัคซีน

สารออกฤทธิ์ของวัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค คือ BNT162b2 ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมสำหรับโปรตีนขัดขวางการโคโรนาไวรัส ภายในแคปซูลไขมันส่วนผสมทั่วไปที่ใช้ในวัคซีนที่มีอยู่ทั้งในวัคซีน Pfizer และ AstraZeneca ได้แก่

  • ซูโครส (น้ำตาล)
  • สารควบคุมความเป็นกรด เช่น ฮิสติดีน เกลือโซเดียมและโพแทสเซียม

ปริมาณยาที่แนะนำสำหรับวัคซีนไฟเซอร์เพื่อป้องกันโควิด-19

ปริมาณยาที่ปลอดภัยและประสิทธิภาพของยา BNT162b2 ขนาด 30 ไมโครกรัม หรือ 0.3 มิลลิลิตรต่อครั้ง ฉีดเข้ากล้ามเนื้อส่วนบนแขนทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเป็นเวลา 21 วัน แล้วนั่งพักเพื่อสังเกตอาการเฉียบพลัน
ของผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเวลา 30 นาทีหลังการฉีดวัคซีน

วัคซีนโควิดไฟเซอร์ทำงานอย่างไร

เมื่อบุคคลได้รับ BNT162b2 ร่างกายจะกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีตามธรรมชาติ และกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกัน COVID-19

วัคซีนซีนไฟเซอร์ใช้อย่างไร?

รูปแบบยาต้องเจือจางด้วยน้ำเกลือก่อนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อส่วนบนของต้นแขน

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ COVID-19 ที่รุนแรง

  • โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืดรุนแรง
  • โรคหัวใจและหลอดเลือดเรื้อรัง
  • โรคไตเรื้อรัง
  • โรคตับเรื้อรัง
  • โรคทางระบบประสาทเรื้อรัง
  • โรคเบาหวาน
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร้อง
  • ความผิดปกติของม้าม
  • โรคอ้วนลงพุง
  • โรคจิตขั้นรุนแรง
  • ผู้ดูแลผู้ป่วย
  • ผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา

กลุ่มบุคคลใดบ้างเหมาะได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ได้บ้าง

  • วัคซีนไฟเซอร์เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่อายุระหว่าง 18 ถึง 64 ปีที่มีความเสี่ยงสูงต่อ COVID-19 ที่รุนแรง
  • ผู้ที่อายุ 18 ถึง 64 ปีที่มีการสัมผัสกับเชื้อโรคโควิด-19 ในสถาบันหรือจากการประกอบอาชีพที่พบปะผู้คนบ่อยครั้ง
  • ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหอบหืด โรคปอด โรคตับ หรือไต
  • ผู้ติดเชื้อ HIV
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อ COVID-19 ในอดีตเป็นเวลา 6 เดือน นับจากวันที่ติดเชื้อ
  • สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร แนะนำให้ฉีดวัคซีน Pfizer ป้องกันโควิด-19 สำหรับสตรีมีครรภ์และคุณแม่ช่วงให้นมบุตร เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงจากโควิด-19

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนด หรือการแท้งบุตรมากขึ้นหากติดเชื้อโควิด-19 ในระหว่างตั้งครรภ์ วิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องแม่และลูกจากความเสี่ยงเหล่านี้คือรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สองโดส

กลุ่มบุคคลใดบ้างไม่เหมาะได้รับการฉัดวัคซีนไฟเซอร์ได้บ้าง

  • เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
  • ผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่กำลังเข้ารับการรักษาตัวอยู่
  • ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง หลังจากได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรก ไม่ควรรับวัคซีนเข็มที่ 2
  • ผู้ที่มีอาการแพ้วัคซีนหลังฉีดทันที เช่น ลมพิษ บวม หรือหายใจลำบาก

วัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพแค่ไหน?

วัคซีน Pfizer BioNTech ต้านโควิด-19 มีประสิทธิภาพ 95% ต่อการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ตามอาการ

ผลข้างเคียงที่เป็นไปได้ของ BNT162b2 คืออะไร?

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ BNT162b2 ซึ่งส่งผลกระทบมากกว่า 1 ใน 10 คน คืออาการปวดบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น ปวดข้อและมีไข้ อาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้มักมีความรุนแรงน้อยหรือปานกลาง และอาการจะดีขึ้นได้ภายในสองสามวัน
หลังจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์

สถานการณ์โรคโคโรนาไวรัส 2019 หรือ โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกหลายสิบล้านคนทั้งเด็กเล็ก วัยรุุ่น วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่แออัด รวมถึงเจ้าหน้าที่แนวหน้าหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เป็นด้านหน้าที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการติดเชื้อไวรัส Covid-19 วัคซีนไฟเซอร์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่รุนแรงลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccines) มีอะไรบ้าง

0
วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccines) มีอะไรบ้าง
วัคซีนโควิดได้รับการออกแบบมา เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิดลดความรุนแรงลง
วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccines) มีอะไรบ้าง
วัคซีนโควิดได้รับการออกแบบมา เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิดลดความรุนแรงลง

วัคซีนโควิด

วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccines) ในปัจจุบันวัคซีนมีหลายประเภทแต่ละประเภทได้รับการออกแบบมา เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต่อต้านเชื้อไวรัสบางชนิดลดความรุนแรงลง ดังนั้น การพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงได้อย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้าน coronavirus สายพันธุ์ใหม่ล้วนเป็นอุปสรรคสำหรับนักวิทยาศาสตร์ทำให้ผู้คนมากกว่า 3.86 พันล้านคนทั่วโลกได้รับวัคซีนโควิด-19 คิดเป็นสัดส่วน 50.2 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก ผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด19 ทั่วโลกกำลังพยายามพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด19 ที่กำลังระบาดทั้ง 4 สายพันธุ์ ดังนี้

โควิด-19 สายพันธุ์อันตรายที่พบการระบาดในไทย

1. โควิดสารพันธุ์บราซิล ชื่อทางวิทยาศาสตร์ P.1 หรือ แกมม่า มีรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ลดประสิทธิภาพวัคซีน
2. โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ B.1.1.7 หรือ อัลฟ่า สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด แพร่กระจายง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น 40-70%
3. โควิดสารพันธุ์อินเดีย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ B.1.617.2 หรือ เดลต้า และเดลต้าพลัส (Delta Plus) สามารถแพร่ระบาดได้เร็ว ติดเชื้อง่าย หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้
4. โควิดสายพันธุ์แอฟริการใต้ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ B.1.351 หรือ เบต้า สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็ว แพร่เชื้อไวขึ้นประมาณ 50% ลดประสิทธิภาพแอนติบอดี้

ประเภทวัคซีนโควิด-19 ชนิดต่างๆ

1. วัคซีนชนิดเชื้อที่มีชีวิต (Live-attenuated vaccines) ได้มาจากเชื้อโคโรนาไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคใช้ไวรัสในรูปแบบอ่อนแอภายใต้สภาวะห้องปฏิบัติการ เพื่อกระตุ้นการตอบสนองภูมิคุ้มกันที่ดียิ่งขึ้นหรือสร้างแอนติบอดี
2. วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated vaccine) เป็นวัคซีนเชื้อตายใช้เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคที่ตายแล้ว
3. วัคซีนชนิดสารพันธุกรรม (Messenger RNA หรือเรียกอีกอย่างว่าวัคซีน mRNA) ใช้เทคโนโลยีผลิตวัคซีนโควิด-19 บางตัวสร้างโปรตีนเพื่อกระตุ้นการตอบสนองภูมิคุ้ามกัน
4. วัคซีนทอกซอยด์ (Toxoid vaccines) ใช้สารพิษที่เป็นอันตรายสร้างภูมิคุ้มกันให้กับส่วนต่าง ๆ ของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคแทนตัวเชื้อโรคเอง เป็นการใช้สารพิษที่เกิดจากไวรัสเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับส่วนของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด19
5. วัคซีนหน่วยย่อย รีคอมบิแนนท์ พอลิแซ็กคาไรด์ และคอนจูเกต (Subunit, recombinant, polysaccharide, and conjugate vaccines) เป็นวัคซีนที่ทําจากโปรตีนส่วนอื่นของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรค (Protein subunit vaccine)
6. วัคซีนไวรัสเวกเตอร์ (Viral vector vaccines) เป็นวัคซีนไวรัสที่เป็นพาหะนำโรคเพื่อต่อต้านโรคติดเชื้ออื่นๆ (Recombinant viral vector vaccine) เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ซิกา ไข้หวัดใหญ่ และเอชไอวี

การทำงานของวัคซีนต้านเชื้อโควิด-19

วัคซีนทำงานโดยการฝึกระบบภูมิคุ้มกันให้รู้จักและต่อสู้กับเชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค ไวรัส หรือแบคทีเรีย ในการทำของวัคซีนโควิดจะต้องนำโมเลกุลบางชนิดจากเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ซึ่งโมเลกุลเหล่านี้เรียกว่า “แอนติเจน” มีอยู่ในไวรัสและแบคทีเรียทั้งหมดโดยการฉีดแอนติเจนเข้าสู่ร่างกายระบบภูมิคุ้มกันสามารถเรียนรู้ที่จะจดจำแอนติเจนเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัยว่าเป็นผู้บุกรุกที่เป็นศัตรูร่างกายจะสร้างแอนติบอดี และจดจำรหัสไว้สำหรับอนาคต หากแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสปรากฏขึ้นอีกครั้ง ระบบภูมิคุ้มกันจะรับรู้แอนติเจนทันที และโจมตีอย่างรุนแรงก่อนที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายและทำให้มนุษย์เจ็บป่วยได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม