เพกติน (Pectin) ทำความรู้จักสารเพิ่มความหนึบในเยลลี่

0
เพกติน (PECTIN) สารเพิ่มความหนึบเยลลี่
เพกตินเป็นสารจากพืชเกิดขึ้นตามธรรมชาติละลายน้ำได้และมีลักษณะคล้ายกาวเหนียวๆ มีทั้งแบบ เช่น ผง ของเหลว และแผ่น

เพกติน

เพกติน (Pectin) คือ สารจากพืชที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีลักษณะคล้ายกาวเหนียวและละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยยึดเซลล์พืชไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดความเหนียว โดยปริมาณเพกตินในผลไม้แต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดและความสุกของผลไม้ เพกตินมีหลายรูปแบบ เช่น ผง ของเหลว และแผ่น ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการผลิตอาหารได้หลากหลาย ทั้งในการทำแยม เยลลี่ หรือแม้กระทั่งน้ำผลไม้ เพกตินจะช่วยเปลี่ยนให้ของเหลวจากผลไม้เซ็ตตัวเป็นเจลได้ดีโดยไม่ต้องใช้น้ำตาลมากเกินไป ทำให้เหมาะสำหรับการผลิตขนมหวานต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดความหนึบหนับ นอกจากนี้ยังมีการใช้เพกตินในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวอีกด้วย

ประเภทของเพคติน

เพคตินมีอยู่หลายชนิดมีเพียง 2 ชนิด ที่ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์กันอย่างแพร่หลายในท้องตลาด ได้แก่ ไฮ เมทอกซิล HM (High methoxyl) และ เมทอกซิลต่ำ LM (low methoxyl)

HMP (ปริมาณเมทอกซิลสูง) LMP (ปริมาณเมทอกซิลต่ำ)
ประกอบด้วยกรดเพกติกซึ่งสกัดด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นในสารละลายที่เป็น กรด ประกอบด้วยกรดเพกติกซึ่งถูกสกัดที่อุณหภูมิต่ำโดยมีสารละลายที่เป็นกรดน้อยกว่า แต่มีสารประกอบทางเคมีอื่นๆ
HMP ต้องการน้ำตาลและความเข้มข้นของกรดสูงเพื่อสร้างเจล LMP ไม่ต้องการความเข้มข้นของน้ำตาลในการสร้างเจล
สร้างเจล HMP ไม่จำเป็นต้องมีแคลเซียมไอออน สร้างเจล LMP ในที่ที่มีแคลเซียมไอออน

เพกตินทำมาจากอะไร?

เพกตินทำมาจากอะไร?เพกตินสามารถหาได้จากผักและผลไม้หลากหลายชนิด ได้แก่ มะม่วงหาวมะนาวโห่ ส้ม เกรฟฟรุต มะนาว แอปเปิ้ล มะยมเขียว แอปริคอต ลูกพลัม แบล็กเบอร์รี่ เชอร์รี่ ปริมาณเพคตินที่พบในผักและผลไม้จะแตกต่างกันมาก ผลไม้ดิบที่เนื้อแน่นจะมีปริมาณเพคตินสูงกว่าผลไม้สุกที่เนื้อนิ่มกว่าจะมีปริมาณเพคตินที่ต่ำกว่านั่นเอง

เพคตินทำงานอย่างไร?

เพกตินมาในรูปของเหลวหรือผง และละลายได้ในน้ำเย็น เพคตินต้องการส่วนผสมอื่นๆเพื่อที่จะเป็นเจล โดยปกติส่วนผสมเหล่านั้นจะเป็นน้ำตาลหรือแคลเซียม

วิธีการผลิตเพกตินอย่างไร

การผลิตเพคตินประกอบด้วยกระบวนการสกัดเป็นส่วนใหญ่ในสภาวะที่เป็นกรดโดยที่เพคตินจะถูกแยกออกจากเปลือกส้มและกลายเป็นรูปแบบที่ละลายน้ำได้ ซึ่งโปรโทเพคตินที่มีอยู่ในผลไม้สกัดโดยการไฮโดรไลซิสในสารละลายที่เป็นน้ำ ของเหลวจะถูกแยกออกจากเศษเปลือกที่ยังคงอยู่ในสารแขวนลอยโดยใช้การกรองเพื่อให้ได้เพคตินที่ใส เมื่อใช้ในการผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป จากนั้นน้ำเชื่อมเพคตินจะถูกทำให้ตกตะกอนทำให้บริสุทธิ์ และกรองเพื่อแยกเพคตินออกให้ได้เพคตินบริสุทธิ์จะถูกทำให้แห้งและตรวจวิเคราะห์ทางเคมีอย่างละเอียด เพื่อให้ลูกค้าได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับการเกิดเจลคงที่และเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหาร และอื่นๆ

เพกตินเหมือนกับเจลาตินหรือไม่?

หลายคนจะเข้าใจผิดว่าเพกตินและเจลาตินจะทำหน้าที่เป็นสารเพิ่มความเหนียวข้น หรือสารทำให้คงตัวเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เนื่องจากเพกตินมาจากพืชส่วนเจลาตินมาจากสัตว์ ดังนั้น เพคตินจึงถูกนำมาทำเป็นอาหารมังสวิรัติ

ประโยชน์ของเพกติน

เพคตินมีการใช้งานที่หลากหลายมีความสามารถเฉพาะตัวในการสร้างเจล เมื่อมีน้ำตาล กรด หรือแคลเซียมไอออน เนื่องด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวจึงถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น

  • ใช้เป็นสารลดแรงตึงผิวหรือสารสร้างเจล
  • สารเพิ่มความข้น
  • สารเพิ่มความคงตัว
  • สารทดแทนไขมัน หรือน้ำตาลในอาหารแคลอรีต่ำ
  • ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหาร
  • ใช้เป็นสารเคลือบผิวอาหาร ขนม ลูกอมที่รับประทานได้
  • เพกตินมักใช้ในแยมผิวส้ม แยม และเยลลี่ เพราะเมื่อปรุงด้วยกรดและน้ำตาลที่อุณหภูมิสูงจะทำให้ได้เนื้อเจลที่สวยงาม

ดังนั้น การเกิดเจลของเพคตินและการคงตัวเป็นไปตามกลไกที่แตกต่างกัน สำหรับเพคตินประเภทต่างๆ รูปแบบเจล HMP ในช่วง pH ต่ำ 2.0 – 3.5 เมื่อมีซูโครสที่ความเข้มข้นสูงกว่า 55% w/v ในตัวกลาง ในระหว่างการทำให้เกิดเจล การสร้างเจลโดย LMP เกิดขึ้นใน pH 2.0 – 6.0 พวกมันไม่ต้องการความเข้มข้นของซูโครส แต่ต้องมีไอออนไดวาเลนต์ ในระหว่างการเกิดเจล

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อาหารว่างสำหรับเด็กควรเป็นอย่างไร

0
อาหารว่างสำหรับเด็กควรเป็นอย่างไร
อาหารว่าง คือ อาหารทานระหว่างมื้อ เบาๆ มีทั้งคาว หวาน เป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ หยิบรับประทานง่าย เป็นได้ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ
อาหารว่างสำหรับเด็กควรเป็นอย่างไร
อาหารว่าง คือ อาหารทานระหว่างมื้อ เบาๆ มีทั้งคาว หวาน เป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ หยิบรับประทานง่าย เป็นได้ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ

อาหารว่าง

อาหารว่าง ( Light meal ) คือ อาหารระหว่างมื้อ เป็นอาหารประเภทเบาๆ มีปริมาณอาหารน้อยกว่า อาหารมื้อหลัก อาจจะเป็นอาหารน้ำ หรืออาหารแห้ง คาว หรือหวาน เป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอคำ หยิบรับประทานได้ง่าย เป็นได้ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ หรือรับประทานควบคู่กับเครื่องดื่มร้อน เย็น หรือน้ำผลไม้

หลักการเลือกอาหารว่างสำหรับเด็ก

1. เลือกขนมที่มีพลังงานไม่สูงมาก ไม่มีน้ำมัน และน้ำตาลมากเกินไป พลังงานจากอาหารว่างไม่เกินมื้อละ 100-150 กิโลแคลอรี่ วันละ 2 ครั้ง
2. อาหารว่างควรมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปรตีน เหล็ก แคลเซียม วิตามินเอ ซี บี 1 บี 2 หรือใยอาหาร โดยแต่ละชนิดมีปริมาณไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
3. ควรเลือกซื้อขนมที่มีสีตามธรรมชาติ สีสันไม่ฉูดฉาด
4. เลือกขนมโดยการพิจารณาจากข้อมูลบนฉลากโภชนาการ
5.ผลไม้สดหลากสี เช่น ส้ม ฝรั่ง ชมพู่ มะละกอ กล้วย แอปเปิ้ล มะม่วงสุก หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด
6. ขนมอื่น ๆ เช่น นมจืด ขนมปังกรอบชนิดโฮลวีต หรืออาจเป็นขนมหวานไทยที่รสไม่หวานจัด ไม่มีกะทิ
7. หลีกเลี่ยงขนมถุงกรุบกรอบที่มีเกลือและผงชูรสเป็นส่วนประกอบเป็นอาหารว่าง
8. ของหวาน เช่น ไอศกรีม โยเกิร์ตไขมันต่ำ และไม่ควรบริโภคน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือนมเปรี้ยว
9. ขนมปัง เช่น ขนมปังกรอบโฮลวิท ปลาเส้น ถั่วอบ เมล็ดทานตะวันอบ แซนวิท

ข้อควรระวังเกี่ยวกับของการกินขนม

1. ถ้ากินขนมมากและกินอาหารหลัก3 มื้อได้มากจะทำให้เกิดโรคอ้วน
2. กินขนมมากแต่กินอาหารหลัก 3 มื้อน้อย จะทำให้เด็กผอมและขาดสารอาหาร
3. ไม่กินอาหารว่างที่มีเกลือสูง เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
4. ไม่กินขนมหวานแล้วดูแลรักษาความสะอาดฟันจะเกิดฟันผุ
5. ไม่กินอาหารว่างที่มีรสหวานบ่อยๆ เพราะเด็กจะติดหวาน ไม่ชอบกินผักผลไม้หรืออาหารที่มีกากใย

ข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับการกินขนม

1. ควรกินห่างจากมื้ออาหารไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง
2. ไม่กินอาหารว่างก่อนนอน
3. กินขนมแล้วให้ดื่มน้ำเปล่า บ้วนปากหรือแปรงฟันเพื่อกำจัดความหวาน และช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในช่องปากที่เป็นสาเหตุของฟันผุ
4. เลือกชนิดของขนมให้มีสารอาหารและพลังงานที่เหมาะสมไม่กินมากหรือน้อยเกินไป และกินขนมให้เป็นเวลาให้เหมาะสม โดยไม่ละเลยการกินอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ เพื่อสุขภาพที่ดี

โภชนาการอาหารว่างสำหรับเด็ก

นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว เด็กควรได้รับอาหารว่างที่มีประโยชน์และให้พลังงานที่เพียงพอในแต่ละมื้อ
เนื่องจากเด็กอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตร่างกายจึงต้องการพลังงานระหว่างวัน เลือกอาหารว่างหรือขนม
ขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ดังนี้

ตารางโภชนาการอาหารว่างสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัยที่ควรบริโภค

ช่วงอายุ / ปี เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย
2 – 4 แคลอรี่ 1,000-1,400 kcal แคลอรี่ 1,000-1,600 kcal
โปรตีน 2-4 ออนซ์ 2-5 ออนซ์
ผลไม้ 1-1.5 ถ้วย 1-1.5 ถ้วย
ผัก 1-1.5 ถ้วย 1-2 ถ้วย
ธัญพืช 3-5 ออนซ์ 3-5 ออนซ์
ผลิตภัณฑ์นม 2-2.5 ถ้วย ผลิตภัณฑ์นม 2-2.5 ถ้วย
5 -8 แคลอรี่ 1,200-1,800 kcal แคลอรี่ 1,200-2,000 kcal
โปรตีน 3-5 ออนซ์ โปรตีน 3-5.5 ออนซ์
ผลไม้ 1-1.5 ถ้วย ผลไม้ 1-2 ถ้วย
ผัก 1.5-2.5 ถ้วย ผัก 1.5-2.5 ถ้วย
ธัญพืช 4-6 ออนซ์ ธัญพืช 4-6 ออนซ์
ผลิตภัณฑ์นม 2.5 ถ้วย ผลิตภัณฑ์นม 2.5 ถ้วย
9 -13 แคลอรี่ 1,400-2,200 kcal แคลอรี่ 1,600-2,600 kcal
โปรตีน 4-6 ออนซ์ โปรตีน 5-6.5 ออนซ์
ผลไม้ 1.5-2 ถ้วย ผลไม้ 1.5-2 ถ้วย
ผัก 1.5-3 ถ้วย ผัก 2-3.5 ถ้วย
ธัญพืช 5-7 ออนซ์ ธัญพืช 5-9 ออนซ์
ผลิตภัณฑ์นม 3 ถ้วย ผลิตภัณฑ์นม 3 ถ้วย
14 -18 แคลอรี่ 1,800-2,400 kcal แคลอรี่ 2,000-3,200 kcal
โปรตีน 5-6.5 ออนซ์ โปรตีน 5.5-7 ออนซ์
ผลไม้ 1.5-2 ถ้วย ผลไม้ 2-2.5 ถ้วย
ผัก 2.5-3 ถ้วย ผัก 2.5-4 ถ้วย
ธัญพืช 6-8 ออนซ์ ธัญพืช 6-10 ออนซ์
ผลิตภัณฑ์นม 3 ถ้วย ผลิตภัณฑ์นม 3 ถ้วย

เด็กเป็นวัยเจริญเติบโต เป็นวัยที่ต้องการพลังงานและสารอาหารมากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งควรได้รับประทานอาหารหลักวันละ 3 มื้อ และควรกินอาหารว่างเพื่อให้ได้พลังงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังช่วยเสริมการเรียนรู้ในเรื่องการกินอาหารที่หลากหลาย ซึ่งในปัจจุบันเด็กได้รับพลังงานจากอาหารว่างและขนมที่ไม่เหมาะสมที่เต็มไปด้วยไขมัน แป้งและน้ำตาล มากกว่าอาหารหลัก ส่งผลให้เด็กมีปัญหาโภชนาการเกิน ดังนั้นการเลือกขนมหรืออาหารว่างที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมขบเคี้ยวอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร

0
ขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารที่กินระหว่างมื้อซึ่งไม่ใช่มื้อหลัก และไม่ใช่กับข้าว มีทั้งขึ้นรูปและแปรรูปทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นได้ทั้งของหวานหรือของคาว
ขนมขบเคี้ยวอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร
ขนมขบเคี้ยวเป็นอาหารที่กินระหว่างมื้อซึ่งไม่ใช่มื้อหลัก และไม่ใช่กับข้าว มีทั้งขึ้นรูปและแปรรูปทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นได้ทั้งของหวานหรือของคาว

ขนมขบเคี้ยว

ขนมขบเคี้ยว (Snack food) คือ อาหารที่กินระหว่างมื้อซึ่งไม่ใช่มื้อหลัก และไม่ใช่กับข้าว มักปรุงด้วยแป้งต่าง ๆ หรือข้าว นํ้าตาล เกลือ ไขมัน ผงชูรส แต่งกลิ่น รสหวาน มัน เค็ม และสี มีทั้งขึ้นรูปและแปรรูปทำเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นได้ทั้งของหวานหรือของคาว ได้แก่ มันฝรั่งทอด ลูกอมลูกกวาด ช็อกโกแลต คุกกี้ หมากฝรั่ง เนื้อปลาและปลาหมึก ถั่ว สาหร่าย ข้าวเกรียบกุ้ง และข้าวโพดอบกรอบ และของหวานที่เคี้ยวได้ต่าง ๆ เช่น นมอัดเม็ด ซึ่งมักกินเพื่อลดความหิว ความอร่อย หรือ เพิ่มพลังงาน คลายเคลียด

ประวัติของ ขนมขบเคี้ยว

ขนมขบเคี้ยว พบได้ในวัฒนธรรมตะวันตก ในรูปแบบของอาหารที่ไม่ใช่อาหารที่เป็นมื้อหลักของวัน แต่หมายถึงอาหารที่มีไว้เพื่อระงับความหิวระหว่างมื้อ และให้พลังงานแก่ร่างกายเล็กน้อย

ประเภทของขนม

1. ขนมไทย
2. ขนมขบเคี้ยวหรือ สแน็ก
3. ขนมหวาน
4. ขนมเค้ก
5. ขนมปัง

โทษของขนมขบเคี้ยว

1. โรคอ้วน และฟันผุ ขนมขบเคี้ยวบางชนิดมีรสหวานเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วไม่มีการเผาผลาญ กลูโคสในน้ำตาลจะแปรสภาพเป็นไขมันและเกาะตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้อ้วนได้ และน้ำตาลยังเป็นสาเหตุของฟันผุอีกด้วย
2. ไขมันอุดตันในเลือด โดยไขมันที่ไม่ดีอาจทำให้เกิดภาวะการเกิดลิ่มเลือด และเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวสำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายบ่อยๆ
3. เบื่ออาการ เด็กที่ชอบรับประทานขนมขบเคี้ยวเป็นประจำ เมื่อรับประทานเข้าไปมากๆ จะชิดกับรสเค็ม หวานจากขนมจะทำให้เบื่ออาหาร ส่งผลให้ไม่ได้รับสารอาหารตามโภชนาการ และเกิดการขาดสารอาหาร
4. โรคไต ขนมขบเคี้ยวส่วนใหญ่จะมีการเติมเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ มีทั้งการแต่งสี กลิ่นและใส่ผงชูรส ซึ่งเมื่อรับประทานเข้าไปมากไตจะทำงานหนัก และถ้าบริโภคต่อเนื่องจะทำให้เกิดการสะสมของสารพิษในตับและไตและทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
5. โรคความดันโลหิตสูง ขนมขบเคี้ยวจำพวกช็อกโกแลตหรือขนมอบเคลือบช็อกโกแลต มีสารเฟนิลไธลามิน ธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน ซึ่งรับประทานมากเกินไปจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควนทานช็อกโกแลตแท้ หรือ Dark chocolate แทน

ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ

1. ผลไม้อบแห้ง อาทิ ฟักทองอบแห้ง แครอทอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง กล้วยอบแห้ง ลูกพรุนอบแห้ง จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตตามินซี และกากใยอาหารช่วยเรื่องระบบขับถ่าย พกพาสะดวก สามารถรับประทานได้ทุกที
2. นมอัดเม็ด นมอัดเม็ดเป็นขนมขบเคี้ยวทำขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนนมของเด็กที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งตอนนี้ขนมชนิดนี้ได้มีวางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป อร่อย เคี้ยวเพลิน ได้แคลเซียมสูง
3. ปลาเส้นหรือปลาสวรรค์ มีโปรตีนและวิตามินเป็นส่วนประกอบ เป็นขนมขบเคี้ยวที่มีโทษน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับขนมขบเคี้ยวในปริมาณ และต้องเลือกยี่ห้อที่ใช้การอบแทนการทอดรวมทั้งมีโซเดียมต่ำ
4. อัลมอนด์อบกรอบ เป็นขนมขบเคี้ยวที่อร่อยมีประโยชน์ อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ วิตามิน โปรตีนและกรดไขมันไม่อิ่มตัว มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยเพิ่มไขมันดี HDL และลดระดับไขมันไม่ดี LDL
5. ป็อบคอร์นไขมันต่ำ ให้พลังงานสูงแต่ไขมันต่ำมีวิตามินบี 1 วิตามินบี2 วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ

ข้อควรปฏิบัติในการเลือกขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ

1. เลือกขนมที่ใช้สีที่มาจากธรรมชาติ
2. ขนมอบกรอบที่น้ำตาลน้อย และไม่เค็มเกินไป
3. ไม่ควรรับประทานขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานแทนอาหารหลัก
4. ควรจำกัดปริมาณขนมขบเคี้ยว ขนมทานเล่นให้เหมาะสม

ขนมขบเคี้ยวถือเป็นอาหารว่างที่มีมาตั้งแต่เด็กจนโต เป็นอาหารที่ทานได้เพลินๆไม่เฉพาะแต่เด็กๆ ที่ชื่นชอบ เพราะผู้ใหญ่วัยทำงานหลายๆ คนก็ซื้อหาขนมติดตัวเพื่อช่วยประทังความหิว ตามท้องตลาดทั่วไปมีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย ดังนั้นควรรับประทานแต่น้อย และออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการเผาผลาญให้มากขึ้น เลือกบริโภคขนมที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เคล็ดลับดูแลลูกน้อยก่อนวัยเรียน ให้สุขภาพดี

0
เคล็ดลับดูแลลูกน้อยก่อนวัยเรียน ให้สุขภาพดี
การดูแลสุขภาพเด็กก่อนวัยเรียน
เด็กวัยก่อนเรียน หรือปฐมวัย คือ เด็กที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 2-6 ปี ซึ่งมีพัฒนาการรูปร่าง จินตนาการ การสื่อสารเพิ่มมากขึ้น ต้องให้ความใกล้ชิดมาก ๆ

เด็กวัยก่อนเรียน หรือปฐมวัย

เด็กวัยก่อนเรียน หรือที่เรียกว่าปฐมวัย (Early Childhood) คือเด็กที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 2-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มมีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจอย่างรวดเร็ว โดยรูปร่างจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่อ้วนเตี้ยเป็นผอมสูง แขนขายาวมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาทางด้านจินตนาการและการสื่อสารที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงวัยนี้การดูแลโภชนาการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกายและสมองให้แข็งแรง โดยการให้เด็กทานอาหารที่มีความหลากหลายและครบ 5 หมู่ จะช่วยให้เด็กได้รับสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเติบโตและพัฒนาการในทุกด้าน

การดูแลสุขภาพเด็กวัยก่อนเรียนให้พร้อมก่อนเข้าเรียน

1. ด้านโภชนาการ

เด็กวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินต้องใช้พลังงานในการเล่นมาก โภชนาการในช่วงนี้จึงต้องการอาหารจำพวกโปรตีน และอาหาร 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการที่เหมาะสมตามวัย ได้แก่ ข้าวหรือแป้ง เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียวและผักอื่น ๆ ผลไม้ ไข่ (วันละฟอง) ไขมัน เช่น กะทิ น้ำมันหมู ฯลฯ เป็นต้น
1.1 ปลูกฝังการรับประทานอาหาร เริ่มฝึกวินัยให้ช่วยตัวเองในการกิน ควรให้ลูกได้ลองกินอาหารที่หลากหลาย และอย่าปล่อยให้เด็่กกินขนมจุบจิบ เช่น ลูกอม ขนมกรุบกรอบ เพราะเด็กจะรสชาติเค็ม ๆ หวาน ๆ ชอบกินแต่ขนม กินข้าวน้อยลง ก็จะทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา
1.2 ให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย
1.3 ควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กและเพิ่มแคลเซียมให้กระดูกและฟัน
1.4 ใช้เกลือหรือน้ำตาลปรุงรสอาหารเพียงเล็กน้อย

2. ด้านสุขภาพในช่องปาก

โรคฟันผุเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กวัยก่อนเรียน พบได้ตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้นในช่วงขวบปีแรกจนถึง 3 ปี สาเหตุอาจเกิดจากการกินของหวาน
2.1 ดูแลทำความสะอาดช่องปากให้ถูกวิธี แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และช่วง 1 ขวบต้องตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ครั้งแรก หรือ ใช้ฟลูออไรด์เคลือบฟันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ
2.2 ลดกินของหวานในปริมาณต่อวันให้น้อยลง เพราะหากฟันผุแล้วต้องถอนออกซึ่งจะทำให้เคี้ยวอาหารไม่ได้ตามปกติ มักไม่อยากกินอาหาร สูญเสียความมั่นใจในการพูดหรือยิ้ม
2.3 ปรับพฤติกรรมด้านการกินหลีกเลี่ยงการให้ขนมกรุบกรอบ ขนมถุง ลูกอม เยลลี่ น้ำหวาน น้ำอัดลม ฝึกรับประทานอาหารให้เป็นเวลา รวมถึงการดูดนิ้ว ติดจุกนม กัดเล็บ

การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของเด็กก่อนวัยเรียน

การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของเด็กก่อนวัยเรียนผู้ปกครองควรส่งเสริมพัฒนาการด้านพื้นฐาน เพื่อให้เด็กสามารถปฏิบัติกิจกรรมต่างๆได้ เน้นให้เด็กช่วยเหลือตนเอง เช่นการทานอาหาร การแต่งตัว เป็นต้น เพื่อให้เด็กปรับตัวในสังคมได้

1. ด้านร่างกาย (Physical หรือ psycho-motor development) หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการทรงตัวในอิริยาบถต่างๆ และการเคลื่อนไหวโดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ การใช้สัมผัสรับรู้และการใช้ตาและมือประสานกันในการทำกิจกรรมต่างๆ
2. ด้านสติปัญญา (Cognitive development) หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ความสัมพันธ์
ระหว่างสิ่งต่างๆกับตนเอง การรู้คิด รู้เหตุผล และความสามารถในการแก้ปัญหาซึ่งแสดงออกด้วยการใช้ภาษาสื่อความหมายและการกระทำ ดังนั้นพัฒนาการด้านภาษาและสื่อความหมาย การใช้ตากับมือทำงานประสานกันเพื่อแก้ปัญหาและความสามารถในการปรับตัว จึงมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการด้านสติปัญญา
3. ด้านจิตใจอารมณ์ (Emotional development) หมายถึง ความสามารถในด้านการแสดงความรู้สึก เช่น พอใจ ไม่พอใจ รัก ชอบ โกรธ เกลียด กลัว และเป็นสุข ความสามารถในการแยกแยะ ลึกซึ้ง และควบคุมการแสดงออกของอารมณ์อย่างเหมาะสมเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ตลอดจนการสร้างความรู้สึกที่ดีและนับถือตนเอง บางครั้งจึงมีการรวมพัฒนาการทางด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมเป็นกลุ่มเดียวกัน
4. ด้านสังคม (social development) หมายถึง ความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น มีทักษะการปรับตัวในสังคม คือ สามารถทำหน้าที่ตามบทบาทของตน ร่วมมือกับผู้อื่น มีความรับผิดชอบ และมีความเป็นตัวของตัวเอง สำหรับเด็กหมายความรวมถึงความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน และการปฏิบัติตัวเหมาะสมกับกาลเทศะในบริบทเชิงสังคมและวัฒนธรรมของสังคมตนเอง และวัฒนธรรมสากล
5. ด้านจิตวิญญาณ (spiritual development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความสามารถในการรู้จักคุณค่าของชีวิตของตนเอง มีกำลังใจในการควบคุมตนเองให้เลือกดำรงชีวิตในทางที่ชอบที่ควรและสร้างสรรค์ นำมาสู่การรู้จักคุณค่าชีวิตของคนอื่นๆ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และพัฒนาการด้านคุณธรรม เช่น ความเมตตากรุณา ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของชีวิตที่ดีงาม

หลักการส่งเสริมสุขภาพของเด็กวัยก่อนเรียน

หลักการส่งเสริมสุขภาพของเด็กวัยก่อนเรียน1. ด้านความรับผิดชอบต่อสุขภาพ เป็นการดูแลส่งเสริมสุขภาพอนามัยของเด็ก เช่น การดูแลสุขภาพ รับวัคซีน และพบแพทย์
2. ด้านโภชนาการ เป็นการส่งเสริมด้านอาหารและโภชนาการให้เด็กได้อย่างครบถ้วน หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์
3. ด้านการออกกำลังกาย เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆภายในร่างกาย ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อของเด็ก
4. ด้านการพัฒนาจิตวิญญาณ สามารถทำได้โดยการให้กำลังใจ ใกล้ชิด ฝึกฝนให้ช่วยเหลือตนเองให้มากขึ้น
5. ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ควรส่งเสริมให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆให้มากขึ้น เช่น พาไปพบปะกับญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียง
6. ด้านการจัดการกับความเครียด กิจกรรมการคลายเครียดสามารถกระทำได้โดยการเล่านิทานหรือร้องเพลงให้เด็กฟัง และควรให้ได้รับการนอนหลับทั้งกลางวันและกลางคืนไม่น้อยกว่า 8-10 ชั่วโมง

เด็กวัยก่อนเรียนต้องการอาหารที่ให้พลังงานมีสารอาหารครบ 5 หมู่ ให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง และอาหารควรมีความหลากหลายครบถ้วนทุกมื้อ เพื่อเสริมสร้างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สิ่งที่ผู้สูงวัยควรรู้

0
สิ่งที่ผู้สูงวัยควรรู้
ผู้สูงวัยหรือผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรมถดถอยในด้านต่างๆทั้งร่างกายและจิตใจ
สิ่งที่ผู้สูงวัยควรรู้
ผู้สูงวัยหรือผู้สูงอายุเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรมถดถอยในด้านต่างๆทั้งร่างกายและจิตใจ

ผู้สูงวัย

ผู้สูงวัย หรือผู้สูงอายุ ( Elderly person ) คือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เป็นที่เคารพรักของลูกหลาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของทุกคนในครอบครัว เพื่อเป็นการแสดงถึงคุณค่าของผู้สูงอายุและให้คนทั่วไปได้ตระหนัก องค์การสหประชาชาติจึงกำหนดให้ทุกวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี เป็น วันผู้สูงอายุสากล หรือ International Day of Older Persons สำหรับประเทศไทยเรานั้น คณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้มีมติอนุมัติให้วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น วันผู้สูงอายุ ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์หรือปีใหม่ไทย เป็นการที่ทุกคนในครอบครัวอยู่พร้อมหร้อมหน้ากันและมีการ ทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังธรรม สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่

สิ่งที่ผู้สูงอายุต้องเตรียมตัว

ผู้สูงอายุ เป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรมถดถอยในด้านต่างๆทั้งร่างกายและจิตใจ จึงต้องมีการปรับตัวให้สมวัยดังนี้

1. การเตรียมทางด้านร่างกาย ผู้สูงอายุต้องยอมรับสภาพเสื่อมถอยของร่างกาย และต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสภาวะที่เป็นอยู่ โดยการลดภาระหน้าที่ให้น้อยลง อย่าหักโหก ควรทำงานที่ให้ความเพลิดเพลินและกระจายงานที่รับผิดชอบไปสู่ลูกหลาน หากไม่สบายให้รีบไปหาหมอ อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่ทำให้เกิดความเครียดทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งสนใจในสิ่งจำเป็นพื้นฐานของตนเอง ได้แก่ อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย สุขอนามัย การออกกำลังกาย และการพักผ่อน

2. การเตรียมทางด้านจิตใจ ผู้สูงอายุต้องเข้าใจและยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ฝึกตนให้อยู่ในหลักธรรม ทำตนให้เป็นที่เคารพของคนทั่วไป ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ใช้จ่ายให้พอดีกับรายรับ และหากิจกรรมที่ชื่นชอบทำ

3. การเตรียมทางด้านสังคม ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มักอยู่ติดบ้านมากขึ้น ส่วนใหญ่ได้แต่นั่งๆ นอนๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกห่อเหี่ยวลงทุกวัน ดังนั้น ผู้สูงอายุต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบัน ไม่ยึดถือตัวตน ฟังความคิดเห็นของคนอื่น สนใจสิ่งใหม่ๆ คบเพื่อนต่างวัยเพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ออกสังคมบ้างเป็นครั้งคราว หรือเข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุที่อยู่ใกล้บ้าน รวมทั้งเตรียมพร้อมทางด้านกฎหมาย โดยควรทำพินัยกรรมทิ้งไว้ในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ เพื่อให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของตนเอง

การดูแลผู้สูงอายุ

1. อาหาร ผู้สูงอายุควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และไขมัน เน้นทานโปรตีนจากปลา ไข่แดงไม่ควรเกินวันละ3ฟองต่อสัปดาห์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
2. ออกกำลังกาย ผู้สูงอายุควรออกกำลังกาย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ ฝึกกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นร่างกาย เช่น ยืดเหยียด รำไทเก็ก รำไม้พลอง โยคะ เดินเร็ว ว่ายน้ำ เป็นต้น ป้องกันการพลัดตกหกล้ม
3. อารมณ์ ผู้สูงอายุต้องควบคุมอารมณ์ ความนึกคิด ความเข้าใจตนเองถึงการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ปล่อยวางเรื่องต่าง ๆ ไม่ยึดติด ทำจิตใจให้ร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เครียด
4. สุขอนามัย ระบบขับถ่าย และตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ทานอาหารที่มีประโยชน์หลีกเลี่ยง เหล้า บุหรี่ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ
5. ทำกิจกรรม หรืองานอดิเรก เช่น ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เข้าวัดฟังธรรม เข้าร่วมชมรมต่างๆ พบปะสังสรรค์กับเพื่อนผู้สุงวัย

ดังนั้น ลูกหลานควรเอาใจใส่ดูแลด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจ เพื่อให้เข้าใจความต้องการของผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุก็ต้องเปิดใจ ไม่ยึดติดในตัวตน ใช้ชีวิตอย่างสงบ เรียบง่าย สุขุม ยินดีในสิ่งที่มี ฝึกสมาธิ ฟังธรรมเพื่อให้จิตใจสงบผ่อนคล้าย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ความสำคัญระหว่างจุลินทรีย์กับร่างกายมนุษย์

0
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นส่วนประกอบที่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ และพบมากที่สุดคือในลำไส้
ความสำคัญระหว่างจุลินทรีย์กับร่างกายมนุษย์
จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นส่วนประกอบที่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์ และพบมากที่สุดคือในลำไส้

จุลินทรีย์

จุลินทรีย์ (Microorganism) คือ สิ่งที่มีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยเซลล์มนุษย์เพียง 43% ส่วนที่เหลือเป็นจุลินทรีย์ ไม่ว่าคุณจะชำระล้างทำความสะอาดเพียงใดก็ไม่หมด และแทบทุกซอกทุกมุมของคุณถูกปกคลุมไปด้วยจุลินทรีย์ ซึ่งมีทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา โดยแหล่งที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากที่สุดในร่างกายเราก็คือลำไส้

ไมโครไบโอต้า คืออะไร และสำคัญอย่างไร

ไมโครไบโอม (Microbiome) หรือ ไมโครไบโอต้า (Microbiota) คือ ยีนทั้งหมดของจุลินทรีย์ ในร่างกายมนุษย์ ทั้งจุลินทรีย์ แบคทีเรีย อาร์เคีย และไวรัส มีประโยชน์ต่อการดูแลรักษาสุขภาพของเรา ทั้งในแง่ของการคาดการณ์โรคที่อาจเกิดขึ้น การเลือกวิธี หรือเลือกใช้ยาเพื่อการรักษาที่จำเพาะเจาะจงต่อตัวบุคคลในอนาคต ซึ่งนำไปสู่นวัตกรรมการรักษาโรคแบบใหม่ ๆ เช่น การเกิดสิว โรคสะเก็ดเงินชนิดเรื้อรัง โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังชนิดเรื้อรัง และ/หรือผื่นภูมิแพ้จากการสักลาย แผลที่ผิวหนังเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวาน โรคซึมเศร้า เป็นต้น

ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร

ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารหมายถึงจุลชีพต่างๆที่อาศัยอยู่ภายในลำไส้หรือระบบทางเดินอาหารของเรา ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความหลากหลายของเชื้อจุลชีพมากที่ในร่างกาย ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อปัญหาสุขภาพ เช่น น้ำหนักเกิน หอบหืด เบาหวาน มะเร็ง ภูมิคุ้มกันบกพร่องและโรคหัวใจ และส่งผลต่อการนอนหลับ อารมณ์ ความตื่นกลัว และพฤติกรรมต่างๆ การตอบสนองของยา

สาเหตุที่ขาดแบคทีเรียดีในลำไส้

1. กินยาปฏิชีวนะ
2. กินอาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง โปรตีนสูง
3. การดื่มแอลกอฮอร์
4. สูบบุหรี่
5. ความเครียดสะสมต่อเนื่อง

แหล่งจุลินทรีย์

การรักษาสมดุลอาจมีเสริม พรีไบโอติก (prebiotic) และโพรไบโอติก (probiotic) เป็นสารอาหารที่ลำไส้ ย่อยไม่ได้ แต่จะถูกย่อยโดยแบคทีเรียในท้อง เช่น แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส หรือจุลินทรีย์สายพันธุ์ Bifidobacterium ด้วยการกระตุ้นการทำงานและการเจริญของจุลินทรีย์โพรไบโอติก จุลินทรีย์เหล่านี้พบได้ในร่างกายมนุษย์ทั้งในและนอกร่างกาย ตั้งแต่ช่องท้อง ช่องหู ช่องคลอด ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และอื่นๆ ส่วนอาหารที่เป็นแหล่งจุลินทรีย์ เช่น โยเกิร์ต กิมจิ เทมเป้ ซาวเคราท์ (sauerkraut) หรือกะหล่ำปลีเปรี้ยว แตงกวาดอง แกงส้ม น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล

ประโยชน์ของจุลินทรีย์ชนิดดีต่อร่างกาย

1. ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน
2. ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานเป็นปกติ
3. ช่วยปรับสมดุลย์ในลำไส้ โดยเฉพาะคนที่ใช้ยาปฏิชีวนะบ่อย จะขาดจุลิทรีย์ดี ปกป้อง
4. ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อต่างๆ
5. ช่วยย่อยนมแลคโตส สำหรับคนที่แพ้นมวัว

ความเครียดสามารถทำให้ไมโครไบโอมของผิวพร่องลงไปได้ รวมถึงสภาพอากาศ รังสีอัลตราไวโอเลต มลภาวะ และการใช้ชีวิต จะทำให้ผิวไม่มีตัวป้องกันและไวต่อการระคายเคือง ดังนั้นเราควรเสริมจุลินทรีย์พรีไบโอติกและโพรไบโอติกให้กับร่างกายอยู่เสมอ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

การเสริมสร้างสมองสำคัญกับวัยไหน

0
การเสริมสร้างสมองสำคัญกับวัยไหน
ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้นั้นเป็นช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี เพราะการพัฒนาสมองในช่วงวัยนี้จะพัฒนาได้ถึง 80 %
การเสริมสร้างสมองสำคัญกับวัยไหน
ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้นั้นเป็นช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี เพราะการพัฒนาสมองในช่วงวัยนี้จะพัฒนาได้ถึง 80 %

การทำงานของสมอง

ระบบประสาททารกเริ่มพัฒนาตั้งแต่ในครรภ์มารดา 22 วัน หลังตั้งครรภ์ และมองจะพัฒนาไปจนกระทั่งเป็นวัยรุ่น และมีการพัฒนาและซ่อมแซมในวัยผู้ใหญ่ พัฒนาการส่วนต่าง ๆ ในสมองมีระยะเวลาที่ต่างกัน พัฒนามากในช่วงมารดาตั้งครรภ์ได้ 32 สัปดาห์ จนถึงทารกอายุ 18 เดือน เนื้อสมองส่วนกลีบหน้าผากส่วนหน้าทำหน้าที่ในการคิดวิเคราะห์ขั้นสูงในช่วง 6 เดือนแรก และบางส่วนจะมีการพัฒนาไปจนถึงช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ พัฒนาการด้านอารมณ์ จะพัฒนามากในช่วง 3 ปีแรก ดังนั้นช่วงตั้งแต่มารดาตั้งครรภ์ถึง อายุ 3 ปีแรก เป็นช่วงที่สำคัญมากที่จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสมอง

เสริมสร้างสมองและสุขภาพให้ดีได้อย่างไร

สมองของเด็กหลังคลอดทุกคนจะแบ่งเป็น 2 ซีก คือ สมองซีกขวา ซึ่งเป็นส่วนจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์จะพัฒนาได้มากในช่วงวัย 4-7 ปี ส่วนสมองซีกซ้าย เป็นส่วนของการคิดที่เป็นเหตุผลจะพัฒนาในช่วง 9-12 ปี และสมองทั้งสองด้านจะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่อเด็กอายุ 11-13 ปี แต่สิ่งที่ทำให้เด็กแต่ละคนมีไอคิวที่ต่างกัน คือ วิธีการส่งเสริมการเรียนรู้ การอบรมเลี้ยงดู เซลล์สมองที่ไม่ได้เชื่อมโยงกันจะถูกทำลาย ซึ่งประสิทธิภาพของสมองส่วนนั้นก็จะขาดหายไป เช่น การคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

สารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง

1. ดีเอชเอ หรือ Docosahexaenoic acid (DHA)
เป็นกรดไขมันจำเป็น ชนิดไม่อิ่มตัวในกลุ่ม Omega-3 DHA ประโยชน์ของ DHA ในการพัฒนาสมองและสายตาของเด็กวัยรุ่น ช่วยพัฒนาสมองและสายตา ช่วยในการเรียนรู้ เสริมความจำ ช่วยป้องกันการเกิดโรคสมาธิสั้น เสริมให้มีสมาธิดีขึ้น ช่วยป้องกันปัญหาการเรียนรู้ช้า ทั้งการอ่านและการเขียน

2. เลซิติน (Lecithin) และ โคลีน (Choline)
สารโคลีนในเลซิตินจำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายจะนำโคลีนไปใช้ในกระบวนสร้างสารสื่อประสาท ใช้ในการสื่อสารข้อมูลต่างๆ ระหว่างเซลล์ประสาทและเนื้อเยื่อประสาท ช่วยเสริมพัฒนาการสมอง การพูด การเคลื่อนไหว ช่วยในการเรียนรู้ เสริมสร้างความจำที่ดี ควบคุมและส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ช่วยบรรเทาความเครียดที่เกิดขึ้นจากการเรียนหนังสือ

10 สารอาหารที่บำรุงสมอง

สมองเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานมาก โดยใช้พลังงานประมาณ20 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีในร่างกายดังนั้นสมองจึงต้องการเชื้อเพลิงที่ดีเพื่อรักษาสมาธิตลอดทั้งวัน

1. DHA&โอเมก้า 3 ช่วยบำรุงสมอง สายตา อีกทั้งเสริมสร้างการเชื่อมต่อของโครงข่ายใยประสาทของเซลล์สมอง พบในแซลมอน ปลาทู ทูน่า ปลาเฮอริ่ง ปลาซาร์ดีน อะโวคาโด ไข่แดง และธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่ว เมล็ดแฟลกซ์ เป็นต้น ซึ่งพืชตระกูลถั่วนี้ยังมีวิตามินอีช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์

2. ธาตุเหล็ก ช่วยนำออกซิเจนในเลือดไปเลี้ยงสมองและร่างกายให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ พบในตับ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว ผักคะน้า กะหล่ำปลี บร็อคโคลี และธัญพืช เป็นต้น

3. กรดอะมิโนจำเป็น เป็นหน่วยย่อยของโปรตีน เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาท ช่วยให้สมองทำงานได้ดี พบในเนื้อสัตว์ นม ไข่ และธัญพืช เป็นต้น

4. ไอโอดีน มีความสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย การเจริญเติบโตของเซลล์สมอง ความจำ และสติปัญญาของเด็ก พบใน ปลาทู อาหารทะเล และนม เป็นต้น

5. วิตามินบี 12 ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง พบในอาหารทะเล ตับ ชีส นม และไข่ เป็นต้น

6. ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตมีโกโก้หรือที่เรียกว่าโกโก้ โกโก้มีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อสมอง ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ประสาทและหลอดเลือดในส่วนต่าง ๆ ของสมอง

7. เบอร์รี่
เบอร์รี่หลายชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์เป็นอาหารที่ดีต่อสมอง ช่วยลดการอักเสบและความเครียด ปรับปรุงการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง สารที่พบในพวกเบอร์รี่ได้แก่ แอนโธไซยานิน กรดคาเฟอิก คาเทชิน และเควอซิทิน และพบในผลไม้ เช่น สตรอเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ลูกเกดดำ หม่อน

8. พืชเต็มเมล็ด และ ธัญพืช
การรับประทานธัญพืชไม่ขัดสีจะได้รับวิตามินอีจากธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น ข้าวกล้องบาร์เล่ย์ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลเกรน พาสต้าโฮลเกรน เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ เฮเซลนัท ถั่วลิสง เป็นต้น

9. กาแฟ
คาเฟอีนในกาแฟช่วยเพิ่มความสามารถของสมองในการประมวลผลข้อมูล และเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์

10. อะโวคาโด
อะโวคาโดเป็นแหล่งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยบำรุงสมอง มีวิตามินและแร่ธาตุมากกว่า 20 ชนิด

ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้นั้นเป็นช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี เพราะการพัฒนาสมองในช่วงวัยนี้จะพัฒนาได้ถึง 80 %  และการรับประทานวิตามิน B, C หรือ E, เบต้าแคโรทีนหรือแมกนีเซียมเสริมอาจช่วยปรับปรุงการทำงานของสมองได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ปัญหาการขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพอย่างไร

0
ปัญหาการขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพอย่างไร
การขับถ่าย คือ กระบวนการขับถ่ายของเสียที่เหลือจากการที่ร่างกายดูดซับสารอาหารไปแล้ว และเหลือกากใยอาหาร ซึ่งจัดเป็นของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ
ปัญหาการขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพอย่างไร
การขับถ่าย คือ กระบวนการขับถ่ายของเสียที่เหลือจากการที่ร่างกายดูดซับสารอาหารไปแล้ว และเหลือกากใยอาหาร ซึ่งจัดเป็นของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ

การขับถ่าย

การขับถ่าย (Excretion) คือ กระบวนการขับถ่ายของเสียที่เหลือจากการที่ร่างกายดูดซับสารอาหารไปหล่อเลี้ยงซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอแล้ว และเหลือกากใยอาหาร ซึ่งจัดเป็นส่วนเกิน หรือเป็นของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเสียในลำไส้ ซึ่งเป็นอาหารเก่าประกอบด้วยกากอาหารที่มีกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ในลำไส้จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ รวมถึงการปัสสาวะก็เป็นการขับถ่ายของเสียเช่นกัน เพราะร่างกายเราขับเอาน้ำเสียในร่างกายออกมาหากไม่ขับถ่ายออกมาหรือกลั้นปัสสาวะไว้นานๆ จะทำให้เกิดเป็นโรคนิ่วในไตหรือทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบและไตอักเสบได้

สาเหตุที่ทำให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ

1. รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้น้อยหรือไม่รับประทานเลย
2. ดื่มน้ำในแต่ละวันไม่เพียงพอ
3. พักผ่อนไม่เพียงพอ
4. ขาดการออกกำลังกายเป็นประจำ
5. มีความเครียด หรือ วิตกกังวล
6. รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะ

ปัญหาการขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพอย่างไร

1. ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ รู้สึกเครียด เบื่ออาหาร ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ปวดหัว ปวดหลัง และแสบร้อนบริเวณหน้าอก
2. การออกแรงเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำยังก่อให้เกิดผลร้าย เช่น ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร หรือแผลปริรอบๆ ทวารหนัก
3. ทำให้ความดันในช่องทรวงอกเพิ่มขึ้น
4. ผู้ป่วยโรคหัวใจอาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
5. ความดันในลูกตาสูงขึ้นซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดตาและหู
6. เกิดไส้เลื่อนได้
7. กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
8. ลำไส้อุดตัน จนเกิดอาการ ปวดท้องมาก อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ไม่ผายลม และไม่ถ่ายอุจจาระ

วิธีแก้ปัญหาการขับถ่าย

1. กินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงในมือเช้า เช่น ผัก ผลไม้ น้ำลูกพรุนหรือนม โยเกิร์ต และขนมปังโฮลวีท รวมทั้งลดปริมาณการทานเนื้อลง
2. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ซึ่งช่วงเวลาตั้งแต่ 05.00-07.00 น. เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการขับถ่ายมากที่สุด
3. ดื่มน้ำอุ่นตอนเช้า การดื่มน้ำอุ่นหลังตื่นนอนตอนเช้าโดยที่ยังไม่ต้องแปรงฟัน เพราะแบคทีเรียที่ดีจากเอนไซม์ในน้ำลายนี้ จะช่วยไปกระตุ้นให้ลำไส้ และระบบทางเดินอาหารให้ขับสิ่งตกค้างในลำไส้ออกมา
4. ไม่อั้นอุจจาระ เพราะการอั้นจะทำให้อุจจาระตกค้างหรือย้อนกลับมาสู่ลำไส้ใหญ่จนทำให้มีอาการท้องผูก
5. นวดลำไส้กระตุ้นการขับถ่าย คนที่มีปัญหาขับถ่ายยากแนะนำให้นวดกระตุ้นการขับถ่ายก่อนเข้านอน โดยนวดตรงท้องล่างซ้ายจนถึงกะเพาะ ทำเป็นเวลา 5 นาที
และนวดซ้ำตอนเช้าขณะนั่งในห้องน้ำ นวดบริเวณหน้าท้องแบบทวนเข็มนาฬิกาพร้อมแขม่วท้องสักครู่
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะทำให้มีการยืดเหยียดและหดของลำไส้ไปตามการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่ายเช่นกัน

ข้อดีของการขับถ่ายเป็นประจำ

1. ช่วยขับของเสีย หรือสารพิษออกจากร่างกาย
2. ช่วยลดกลิ่นปาก และกลิ่นกาย
3. ช่วยลดอาการร้อนใน
4. ช่วยลดการปวดเมื่อยเส้นเอ็น
5. ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และผิวหมองคล้ำ
6. ช่วยลดหน้าท้อง และส่วนเกินในร่างกาย
7. การมีระบบขับถ่ายปกติจะช่วยปัองกันโรคต่างๆได้

ความเร่งรีบในชีวิตประจำวันมีผลทำให้หลายคนต้องรับประทานอาหารที่ให้ความสะดวกและรวดเร็ว โดยอาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการเท่าที่ควร และได้รับกากใยไม่มากพอ ดังนั้นการดื่มน้ำ การรับประทานผักผลไม้ และเพิ่มพรีไบโอติกส์ให้ลำไส้เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้สะดวกขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

5 สมุนไพร ยับยั้งแบคทีเรีย

0
5 สมุนไพร ยับยั้งแบคทีเรีย
แบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อโรคทำให้เกิดการการอักเสบติดเชื้อ จึงต้องมีการยับยังแบคทีเรียเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
5 สมุนไพร ยับยั้งแบคทีเรีย
แบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อโรคทำให้เกิดการการอักเสบติดเชื้อ จึงต้องมีการยับยังแบคทีเรียเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย

สมุนไพรยับยั้งแบคทีเรีย

สมุนไพรยับยั้งแบคทีเรีย ( Antibacterial Herbs ) คือสมุนไพรที่ทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับพืชสมุนไพรอย่างมากในด้านอุตสาหกรรมยา มาใช้ยับยั้งแบคทีเรีย ที่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม แบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อโรคทำให้เกิดการการอักเสบติดเชื้อ ดังนั้นจึงต้องมีการยับยังแบคทีเรีย

สมุนไพรที่ยับยั้งแบคทีเรีย

จันทน์แปดกลีบ หรือโป๊ยกั๊ก ( Illiciumverum Hook.f. ) อยู่ในวงศ์ Illiciaceae มีสรรพคุณผลใช้ขับลมเป็นยากระตุ้น ขับเสมหะบำรุงธาตุ อาหารไม่ย่อย แก้ลม แก้ไอ แก้เกร็งต้านเชื้อแบคทีเรีย น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค คลายกล้ามเนื้อเรียบ แก้ปวดท้อง ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ ขับน้ำนม เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทางสุคนธบำบัด ใช้แก้ท้องอืดท้องเฟ้อช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน บรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบ

ฝาง ( Caesalpinia sappan L. ) อยู่ในวงศ์ Leguminnosae สรรพคุณในตำรายาไทยใช้แก่นต้มน้ำดื่มบำรุงโลหิต แก้ปอดพิการ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ยาฝาดสมาน แก้ท้องร่วง บิดธาตุพิการ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก ขับเสมหะแก้ไอ ขับระดู เป็นยาบำรุงโลหิตสตรี แก้เลือดกำเดา แก้คุดทะราด (yaws) แก่นฝนกับน้ำเป็นยาทาภายนอกรักษาโรคผิวหนังบางชนิด ฆ่าเชื้อโรคขับหนอง และในตำราพระโอสถพระนารายณ์ระบุว่าเป็นยาแก้ความผิดปกติของธาตุน้ำ ประกอบด้วยเครื่องยาสองสิ่งคือ เปลือกมะขามป้อมและฝางเสน ปริมาณเท่ากัน ต้มน้ำกินแก้ท้องเสียและบิด

ยี่หร่าหรือเทียนขาว ( Cuminumcyminum L. ) อยู่ในวงศ์ Apiaceae มีสรรพคุณขับลมในลำไส้ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้นิ่ว ขับระดูขาว ผสมกับยาระบายแก้ปวดมวน ใช้เป็นยาฝาดสมานแก้ท้องเสีย บัญชียาจากสมุนไพรตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติจัดให้ยี่หร่าอยู่ในยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) และรักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร

สมอไทย ( Terminalia chebula Retz.varchebula ) อยู่ในวงศ์ Combretaceaeผลมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ แก้ลมป่วง แก้พิษร้อนใน แก้ลมจุกเสียด ลดไข้ รักษาอาการบิดท้องผูก บัญชียาจากสมุนไพรตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ัดให้สมอไทยอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร 2 ตำรับ ได้แก่ ยาถ่ายดีเกลือฝรั่ง และยาธาตุบรรจบ

อบเชย ( Cinnamomum spp. ) อยู่ในวงศ์ Lauraceae ใช้เปลือกต้มน้ำ มีสรรพคุณแก้ตับอักเสบ แก้ท้องเสีย ลำไส้เล็กทำงานผิดปกติขับพยาธิ บำรุงธาตุ แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต (fever)แก้ไอ แก้ไข้หวัด ลำไส้อักเสบ ท้องเสียในเด็ก บิด ท้องผูก บัญชียาจากสมุนไพรตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติจัดให้อบเชยอยู่ในยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหารกลุ่มยาขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้แก่ ยาธาตุอบเชย และนำมาใช้ในพิกัดยาไทยคือ พิกัดตรีธาตุ และพิกัดตรีอากาศผล

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสร้างอย่างไร

0
ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสร้างอย่างไร
การที่จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงได้นั้นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นการกิน การออกกำลังกาย
ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสร้างอย่างไร
การที่จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงได้นั้นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นการกิน การออกกำลังกาย

ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง (strong immune system) คือ การป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา สารพิษ และสารเคมีที่ผลิตโดยจุลินทรีย์ ประกอบด้วยอวัยวะ เซลล์ และโปรตีนต่างๆที่ทำงานร่วมกัน ดังนั้น ระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ในร่างกาย สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท 1.ระบบภูมิคุ้มกันปฐมภูมิ (Immune System) 2.ระบบภูมิคุ้มกันทุติยภูมิ (Adaptive imm­­­une system หรือ acquired immune)

8 วิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

การที่จะมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้นั้นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเราเองเป็นสำคัญนอกเหนือจากการรับประทานอาหารเสริมเพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ได้แก่ วิตามินบี6 วิตามินซี และวิตามินอี

1. การออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ อย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน เช่น เดิน วิ่งจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายแบบแอโรบิก สามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของคุณให้ต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายได้

2. ทานขนม นมอัดเม็ด และผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงให้น้อยลง โดยใช้สารให้ความหวานทดแทนที่ดีต่อสุขภาพที่มีวิตามินและแร่ธาตุ เช่น สตีวิโอไซด์จากหญ้าหวาน อีริไธทอล ซูคราโลส

3. ทานอาหารประเภทหมักดองในประมาณที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการย่อยอาหารและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โยเกิร์ต กิมจิ เทมเป้ หรืออาหารที่มีส่วนผสมของโปรไบโอติกส์ในทุกๆวัน

4. การได้รับวิตามินที่เพียงพอ เช่น วิตามินบี6 วิตามินซีมีส่วนในการป้องกันภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการทำงานของเซลล์และป้องกันความเครียด โดยทานส้ม สตรอเบอร์รี่ ผักโขม กีวี่ เกรปฟรุต และวิตามิดีสามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้โดยการตากแดดยามเช้าเพียงวันละ 10-15 นาทีจะช่วยให้ผิวหนังผลิตวิตามินดีมากขึ้น

5. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายจะรักษาและฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกายได้อย่างเต็มที อย่างน้อย 7-9 ชั่วโมง ซึ่งมีความสำคัญต่อการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันและดีต่อสุขภาพทำให้สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อในอนาคตได้

6. การลดระดับความเครียดสะสม เพราะความเครียดส่งผลเสียต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายและลดจำนวนการผลิดเม็ดเลือดขาวที่สามารถต่อสู่กับการติดเชื้อได้ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดได้เช่นกัน

7. ฝึกการหายใจลึกๆ อย่างช้าๆ เป็นการเพิ่มออกซิเจนในเลือด ลดความดันโลหิตและเพิ่มประสิทธิภพการไหลเวียนของเลือด

8. การล้างมือบ่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 20 วินาที เป็นวิธีป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค และเชื้อไวรัสที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามควรสังเกตตนเองหากมีสัญญาณบ่งบอกว่าคุณเริ่มมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง เช่น รู้สึกอารมร์แปรปรวนบ่อยเป็นเวลานานซึ่งเกิดจากความเครียด มักเป็นหวัดติดเชื้อบ่อย ท้องเสีย ท้องผูกหรือมีก๊าซมากกว่าปกติ แผลหายช้า รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา ถ้ามีอาการเหล่านี้แสดงว่าภูมิคุ้มกันของคุณกำลังมีปัญหาไม่สามารถต่อสู่กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยนั่นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม