เหรียง ผักพื้นบ้านจากทางใต้ ช่วยขับลมในลำไส้ เป็นยาสมานแผล บำรุงร่างกาย

0
เหรียง ผักพื้นบ้านจากทางใต้ ช่วยขับลมในลำไส้ เป็นยาสมานแผล บำรุงร่างกาย
เหรียง ผักพื้นบ้านทางภาคใต้ ลักษณะฝักคล้ายสะตอ เปลือกเมล็ดหนามีสีดำหรือสีคล้ำ ส่วนเนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน
เหรียง ผักพื้นบ้านจากทางใต้ ช่วยขับลมในลำไส้ เป็นยาสมานแผล บำรุงร่างกาย
เหรียง ผักพื้นบ้านทางภาคใต้ ลักษณะฝักคล้ายสะตอ เปลือกเมล็ดหนามีสีดำหรือสีคล้ำ ส่วนเนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน

เหรียง

เหรียง (Nitta tree) เป็นผักพื้นบ้านของทางภาคใต้ที่มีลักษณะคล้ายสะตอและมีกลิ่นฉุน สามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ในสภาพที่ไม่เหมาะสม เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีประโยชน์ในด้านเกษตรและนำมารับประทานได้ คนเมืองสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้จักหรือนิยมนำมารับประทานนัก เหรียงยังเป็นต้นที่สามารถนำเมล็ดมาเพาะได้ง่ายด้วยตัวเองและเป็นยาสมุนไพรชนิดหนึ่งของคนเมืองใต้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเหรียง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Parkia timoriana (DC.) Merr.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Nitta tree”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “กะเหรี่ยง เรียง สะเหรี่ยง สะตือ” ภาคใต้และมาเลย์เรียกว่า “นะกิง นะริง” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “เรียง เหรียง เมล็ดเหรียง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Parkia javanica auct., Parkia roxburghii G.Don

ลักษณะของต้นเหรียง

ต้นเหรียง เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีการกระจายพันธุ์ในหมู่เกาะติมอร์และในแถบเอเชียเขตร้อน ในประเทศไทยนั้นจะพบขึ้นได้ทั่วไปทางภาคใต้ มักจะขึ้นตามป่าดิบชื้นทั่วไป
ลำต้น : ลำต้นเป็นเปลาตรง พุ่มใบของต้นเป็นพุ่มกลมเป็นสีเขียวทึบ มีเนื้อไม้สีขาวนวล ไม่มีแก่น เสี้ยนตรงสม่ำเสมอ มีความอ่อนและเปราะ
เปลือกต้น : เปลือกต้นเรียบ กิ่งก้านของต้นมีขนปกคลุมขึ้นประปราย
ใบ : เป็นใบแบบช่อ ใบแคบปลายแหลม ใบแก่มีสีเหลืองร่วงเกือบหมดต้นและจะผลิใบใหม่แทน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกลมที่ปลายยอด ก้านดอกยาวสีเขียวสลับน้ำตาล ออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
ผล : ผลเป็นฝัก ฝักตรงคล้ายสะตอ เมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะแข็งและมีสีดำ มักจะออกผลหรือฝักในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ฝักจะแก่ในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
เมล็ด : แต่ละฝักจะมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปไข่ หนึ่งฝักมีเมล็ดประมาณ 20 เมล็ด ตัวเมล็ดจะไม่นูนอย่างชัดเจน เปลือกเมล็ดหนามีสีดำหรือสีคล้ำ ส่วนเนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นฉุน
ลูกหรือหน่อ : ลักษณะคล้ายกับถั่วงอกหัวโตแต่มีขนาดใหญ่กว่าและมีสีเขียว มีรสมันและกลิ่นฉุน เกิดจากการนำเมล็ดเหรียงของฝักแก่ไปเพาะในกระบะทรายเพื่อให้เมล็ดงอกรากและมีใบเลี้ยงโผล่ขึ้นมาเหมือนกับถั่วงอก สามารถรับประทานได้

การเพาะลูกเหรียง

1. ตัดเมล็ดเป็นรอยเพื่อให้แตกหน่อออกมาได้ โดยตัดปลายด้านที่มีสีน้ำตาลและเป็นรอยบุ๋ม จากนั้นนำไปแช่น้ำ 1 คืน
2. แช่เสร็จให้นำเมล็ดขึ้นมาล้างเมือกที่ติดอยู่ให้หมดโดยใช้มือถูเมล็ดไปมาในน้ำประมาณ 2 ครั้ง
3. ทำการเตรียมตะกร้าพลาสติกโปร่ง โดยการนำผ้าขนหนูหรือผ้าหนา ๆ มาชุบน้ำให้เปียกแล้ววางรองในตะกร้าที่เตรียมไว้ จากนั้นนำเมล็ดที่ล้างเสร็จโรยลงไปบนผ้าเปียก อย่าให้เมล็ดซ้อนกันเพราะอาจทำให้เน่าเสียหายได้ง่าย แล้วนำผ้าเปียกอีกผืนนำมาปิดไว้
4. ทำการรดน้ำเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน
5. วันถัดมาให้นำเมล็ดมาแกะเอาเปลือกออก จากนั้นล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปเพาะในกระบะทราย

สรรพคุณของเหรียง

  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้เจริญอาหาร เป็นยาแก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ขับลมในลำไส้
  • สรรพคุณจากลูกเหรียง บำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาสมานแผล ช่วยลดน้ำเหลือง

ประโยชน์ของต้นเหรียง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำมารับประทานเป็นผักสดโดยจิ้มกับน้ำพริก นำมาทำเป็นผักดอง นำมาปรุงอาหารในแกงต่าง ๆ หรือนำมาผัดได้
2. ใช้ในการเกษตร นิยมนำต้นเหรียงมาใช้เป็นต้นตอในการติดตาพันธุ์สะตอ ช่วยบำรุงดิน นำใบเหรียงมาปลูกควบคู่กับพืชอื่นอย่างการปลูกกาแฟจะทำให้ผลผลิตของกาแฟสูงขึ้นติดต่อกัน
3. ใช้ในอุตสาหกรรม ทำเป็นโครงร่างของการผลิตต่าง ๆ เช่น การทำรองเท้าไม้ หีบใส่ของ ไม้หนาประกบพวกเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ หรือเครื่องใช้สอยอื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของเหรียง

คุณค่าทางโภชนาการของเหรียงในส่วนที่รับประทานได้ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 88 แคลอรี

สารอาหาร สารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 6.7 กรัม
โปรตีน 7.5 กรัม
ไขมัน 3.5 กรัม
เส้นใยอาหาร 1.3 กรัม
น้ำ 79.6 กรัม
วิตามินเอ 22 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.06 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.62 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.1 มิลลิกรัม
วิตามินซี 83 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 182 มิลลิกรัม
เหล็ก 2.0 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 3.8 มิลลิกรัม

เหรียง เป็นผักที่มีลักษณะเด่นแต่มีหน่อคล้ายสะตอ สามารถนำมาเพาะได้ง่ายและมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย เป็นไม้ยืนต้นที่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และมีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ขับลมในลำไส้ เป็นยาสมานแผล บำรุงเหงือกและฟัน เป็นผักที่มีกลิ่นแรงแต่สามารถทานเพื่อบำรุงร่างกายได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เหรียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [25 พ.ย. 2013].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย. นวัตกรรมการบริหารงานวิจัย การสร้างขุมความรู้เพื่อรองรับการวิจัยเชิงพื้นที่ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “เหรียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th. [25 พ.ย. 2013].
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนครศรีธรรมราช. “ลูกเหรียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.skns.ac.th. [25 พ.ย. 2013].

มะเขือเปราะ รักษาเบาหวาน แก้ไข้ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ บำรุงตับ ลดความดันเลือด

0
มะเขือเปราะ รักษาเบาหวาน แก้ไข้ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ บำรุงตับ ลดความดันเลือด
มะเขือเปราะ หนึ่งในมะเขือที่คนไทยนิยมรับประทาน ผลเป็นสีขาวอมเขียว รสชาติหวานปนขมอ่อน ๆ
มะเขือเปราะ รักษาเบาหวาน แก้ไข้ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ บำรุงตับ ลดความดันเลือด
มะเขือเปราะ หนึ่งในมะเขือที่คนไทยนิยมรับประทาน ผลเป็นสีขาวอมเขียว รสชาติหวานปนขมอ่อน ๆ

มะเขือเปราะ

มะเขือเปราะ (Green Brinjal) เป็น หนึ่งในมะเขือที่คนไทยนิยมรับประทานกันเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเมนูที่จิ้มกินกับน้ำพริกหรือแกงเผ็ดต่าง ๆ มีรสชาติหวานปนขมอ่อน ๆ แต่มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรที่ยอดเยี่ยมชนิดหนึ่ง เป็นผักที่สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยาได้และเป็นพืชผลที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย เป็นผักที่คนอินเดียนิยมและให้ความสนใจด้วยการนำมะเขือเปราะมาวิจัย มะเขือเปราะเป็นผักที่คู่ควรแก่การปลูกเพื่อรับประทานเป็นอย่างยิ่ง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเขือเปราะ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum virginianum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Thai Eggplant” “Yellow berried nightshade” “Kantakari”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “มะเขือขื่น มะเขือเสวย” ภาคเหนือเรียกว่า “มะเขือขัยคำ มะเขือคางกบ มะเขือจาน มะเขือแจ้ มะเขือแจ้ดิน มะเขือดำ” ภาคอีสานเรียกว่า “มะเขือหืน” ภาคใต้เรียกว่า “เขือพา เขือหิน” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “มั่งคอเก” จีนกลางเรียกว่า “หวงกั่วเชี๋ย หวงสุ่ยเชี๋ย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)
ชื่อพ้อง : Solanum mairei H. Lév., Solanum xanthocarpum Schrad. & H. Wendl.

ลักษณะของมะเขือเปราะ

มะเขือเปราะ เป็นไม้พุ่มที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย
ใบ : ใบมีขนาดใหญ่ออกเรียงแบบสลับกัน
ดอก : ออกดอกเดี่ยว ดอกมีขนาดใหญ่เป็นสีม่วงหรือสีขาว
ผล : ลักษณะของผลมีรูปร่างกลมแบนหรือเป็นรูปไข่ ผลเป็นสีขาวอมเขียวและอาจเป็นสีขาว สีเขียว สีเหลืองหรือสีม่วง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก ผลแก่จะมีสีเหลือง ส่วนเนื้อในผลมีสีเขียวเป็นเมือก ผลมีรสขื่น

สรรพคุณของมะเขือเปราะ

  • สรรพคุณจากมะเขือเปราะ เป็นยาแก้ไข้พิษร้อน กระทุ้งพิษไข้ ใช้เป็นยาขับน้ำชื้น แก้อาการปวดกระเพาะอาหาร แก้อาการปวดบวม แก้ปวดหลัง แก้ฟกช้ำดำเขียว ช่วยต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ตับแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สรรพคุณจากผล เป็นยาลดไข้ ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับถ่าย เป็นยาขับพยาธิ กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ลดการอักเสบ
    – รักษาโรคเบาหวาน ประเทศอินเดียนำผลมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – เป็นยาแก้ไอ ด้วยการนำผลตากแห้งมาบดเป็นผงแล้วผสมกับน้ำผึ้ง
    – เป็นยาช่วยขับลมชื้น แก้อาการปวดข้อเนื่องจากลมชื้นติดเกาะ แก้ไขข้ออักเสบ แก้มือเท้าชา ด้วยการใช้ผลสดประมาณ 70 – 100 กรัม มาตุ๋นกับไตหมูแล้วรับประทาน
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้หอบหืด แก้หลอดลมอักเสบ ช่วยขับลม เป็นยาขับปัสสาวะ
    – เป็นยาแก้ไอ แพทย์อายุรเวทของอินเดียจะใช้รากในการแก้อาการ
    – แก้อาการปวดฟัน ด้วยการใช้ราก 15 กรัม มาต้มแล้วเอาน้ำอมในปาก
    – เป็นยาแก้อัณฑะอักเสบ ด้วยการใช้ราก 15 กรัม หญ้าแซ่ม้า 15 กรัม และต้นทิ้งถ่อนมารวมกันแล้วต้มกับน้ำเพื่อดื่ม
  • สรรพคุณจากใบสด
    – แก้พิษ แก้ฝีหนอง ด้วยการนำใบสดมาตำแล้วพอก

ประโยชน์ของมะเขือเปราะ

เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำผลมะเขือเปราะสีเขียวมารับประทานสด จิ้มกับน้ำพริกหรือนำไปใส่แกงป่า แกงเผ็ดและอื่น ๆ

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเปราะ

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเปราะ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 39 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
โปรตีน 1.6 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 7.1 กรัม
น้ำ 90.2 กรัม
วิตามินเอ 143 RE.
วิตามินบี1 0.11 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.06 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.6 มิลลิกรัม
วิตามินซี 24 มิลลิกรัม
แคลเซียม 7 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 10 มิลลิกรัม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของมะเขือเปราะ

งานวิจัย

  • งานวิจัยนานาชาติระหว่างปี พ.ศ. 2510 – 2538 พบว่า ผลมะเขือเปราะมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิตและต้านมะเร็ง
  • งานวิจัยในแคว้นโอริสสา ณ ประเทศอินเดีย ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดของน้ำผลมะเขือเปราะเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดหนูเบาหวานอะล็อกซาน พบว่า สารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีเทียบเท่ากับการใช้ยากลิเบนคลาไมด์ (glibenclamide) และยังมีการทดสอบเพิ่มเติมที่พบว่า สารสกัดนี้จะออกฤทธิ์คล้ายกับอินซูลิน โดยจะช่วยเสริมการใช้งานกลูโคสอย่างมีประสิทธิภาพและมีผลเชิงบวกต่อการทำงานของตับอ่อน
    สารในมะเขือเปราะ พบสาร Capresterol, Diosgenin, Solanine, Solanines, Solasonine, Solacarpine พบน้ำมันเล็กน้อยและสารอัลคาลอยด์ต่าง ๆ

สารออกฤทธิ์ในมะเขือเปราะ

  • สารอัลคาลอยด์ในมะเขือเปราะ : ในประเทศอินเดียได้ทำการสกัดเอาสารอัลคาลอยด์จากมะเขือเปราะมาใช้ในการรักษาอาการไข้ตัวร้อน แก้ไอและโรคหัวใจ โดยพบว่าสารดังกล่าวมีฤทธิ์กระตุ้นทำให้หัวใจบีบตัวได้แรงขึ้นแต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไปจะทำให้การบีบตัวของหัวใจลดลง
  • สารไกลโคอัลคาลอยด์โซลามาร์จีน โซลาโซนีนและอัลคาลอยด์โซลาโซดีนที่ปราศจากโมเลกุลน้ำตาล : พบว่า
  • สารเหล่านี้ทุกตัวมีฤทธิ์ต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งตับ
  • สารโซลาโซดีน : ถูกนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สเตียรอยด์คอร์ติโซนและฮอร์โมนเพศ

มะเขือเปราะ เป็นผักยอดนิยมของคนอินเดียและมักจะพบในเมนูอาหารพวกแกงเผ็ดต่าง ๆ เป็นผักที่มีผลอุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย เชื่อว่าคนส่วนมากมักจะเขี่ยมะเขือเปราะออกเมื่อพบเจอในแกงแต่คุณค่าทางอาหารของมะเขือเปราะนั้นไม่ควรไปจบลงที่ถังขยะ มะเขือเปราะเป็นผักที่ช่วยบำรุงอวัยวะสำคัญของร่างกายได้ดีเยี่ยม มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาโรคเบาหวาน แก้ไข้พิษร้อน ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิต ทำให้ตับแข็งแรงและอื่น ๆ อีกมากมาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 351 คอลัมน์ : บทความพิเศษ. (รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ). “มะเขือเปราะลดน้ำตาลในเลือด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [02 ก.ย. 2014].
เดอะแดนดอทคอม. “มะเขือเปราะ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.the-than.com. [02 ก.ย. 2014].
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “มะเขือขื่น”. หน้า 430.
ภาพประกอบ : mygreengardens.com, kruaoun.files.wordpress.com, www.thaichillifarm.com, www.bansuanporpeang.com (by sothorn), trekkingthai.com (by แม็ค)

จุกโรหินีหรือบวบลม ช่วยขับลม ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเลิกบุหรี่

0
จุกโรหินี หรือบวบลม ช่วยขับลม ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเลิกบุหรี่
จุกโรหินี หรือบวบลม เป็นไม้เลื้อยลักษณะคล้ายกับพุงปลาเป็นคู่ ๆ ด้านในเป็นสีม่วง เนื้อใบหนาและอวบน้ำ
จุกโรหินี หรือบวบลม ช่วยขับลม ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเลิกบุหรี่
จุกโรหินี หรือบวบลม เป็นไม้เลื้อยลักษณะคล้ายกับพุงปลาเป็นคู่ ๆ ด้านในเป็นสีม่วง เนื้อใบหนาและอวบน้ำ

จุกโรหินี

จุกโรหินี (Dischidia major) หรือเรียกอีกอย่างว่า “บวบลม” เป็นไม้เลื้อยที่มีลักษณะโดดเด่น ส่วนมากมักจะพบในรูปแบบของใบที่นำมารับประทานเป็นผักร่วมกับขนมจีน สามารถนำมาใช้ประโยชน์เป็นยาสมุนไพรได้ทุกส่วนของต้น มีชื่อเรียกหลากหลายและบางที่มักจะเรียกว่า “พุงปลา” เพราะมีลักษณะคล้ายกับพุงปลาเกาะอยู่บนต้นไม้ และที่สำคัญจุกโรหินีสามารถช่วยให้เลิกบุหรี่ได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของจุกโรหินี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dischidia major (Vahl) Merr.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “โกฐพุงปลา จุกโรหินี พุงปลาช่อน” ภาคเหนือเรียกว่า “กล้วยไม้” ภาคตะวันออกและระยองเรียกว่า “เถาพุงปลา” คนเมืองเรียกว่า “ข้าวฟ่าง” จังหวัดนครราชสีมาและอุบลราชธานีเรียกว่า “บวบลม” จังหวัดจันทบุรีและตราดเรียกว่า “พุงปลา” จังหวัดพังงาเรียกว่า “กล้วยมุสัง” จังหวัดชุมพรเรียกว่า “จุรูหินี” ประเทศไทยเรียกว่า “โกฎฐ์พุงปลา” ประเทศเขมรเรียกว่า “นมตำไร”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)
ชื่อพ้อง : Dischidia rafflesiana Wall.

ลักษณะของจุกโรหินี

จุกโรหินี เป็นไม้เลื้อยล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย พม่า ไทย อินโดจีน มาเลเซีย ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ไปจนถึงทวีปออสเตรเลีย สามารถพบได้ตามป่าดงดิบทั่วไป ป่าชายเลน ป่าแพะและป่าเบญจพรรณ
เถา : เถามีลักษณะกลมสีเขียว ตามข้อเถามีรากงอกเพื่อใช้สำหรับยึดเกาะ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ใบมี 2 แบบอยู่บนต้นเดียวกัน แบบแรกมีลักษณะคล้ายถุงปากแคบและแบนเป็นเหลี่ยม ๆ ผิวด้านนอกเกลี้ยงเป็นสีเขียวหรือสีเหลือง ส่วนด้านในเป็นสีม่วง แบบที่สองเป็นใบธรรมดาที่มีลักษณะค่อนข้างกลม ปลายใบมน มีติ่งแหลมสั้น ๆ เนื้อใบหนาและอวบน้ำ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ ขนาดเล็ก โดยจะออกตามง่ามใบตรงข้ามกับใบ มีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ๆ และป่องเบี้ยวไปอีกข้างหนึ่ง ส่วนตรงปลายเป็นรูปกรวย ที่ปลายปากดอกแต้มไปด้วยสีม่วงและมีขนอยู่ด้านนอก กลีบเลี้ยงหรือกลีบรองดอกมี 5 กลีบ เป็นรูปวงรีหรือรูปไข่ ตามขอบกลีบดอกจะมีขน
ผล : ออกผลเป็นฝักสีเหลืองแกมสีส้ม ผิวของฝักมีลักษณะขรุขระ

สรรพคุณของจุกโรหินี

  • สรรพคุณจากผล
    – ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการนำผลมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – เป็นยาหยอดหูหรือใช้หยอดหูน้ำหนวก ด้วยการนำผลมาดึงไส้ออกแล้วใส่น้ำ จากนั้นนำไปเผาไฟให้อุ่นแล้วเอาน้ำมาหยอดหู
    – แก้ลมพันไส้ ด้วยการนำผลมาผสมกับมดแดงฮ้างแล้วต้มกับน้ำเพื่อดื่ม
    – ขับลมในกระเพาะอาหาร ด้วยการนำผลมาผสมกับฝอยลมแล้วต้มกับน้ำเพื่อดื่มหรือนำผลมาเผาไฟแล้วเอาน้ำมาดื่มเป็นยาขับลม
  • สรรพคุณจากราก แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยบำรุงกำลัง แก้ไข้เพื่อโลหิต แก้ลมปลายไข้ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยลดความร้อนในร่างกาย แก้อาการไอเมื่อเคี้ยวกับพลู แก้หอบหืด แก้อาการอาเจียน แก้เสมหะพิการ แก้อาการท้องร่วงและท้องเสีย แก้บิด แก้ปวดเบ่ง แก้มูกเลือด เป็นยาฝาดสมานหรือใช้ทาเป็นยาสมานแผล
  • สรรพคุณจากใบ แก้อาการอาเจียน แก้เสมหะพิการ แก้อาการท้องร่วงและท้องเสีย แก้บิด แก้ปวดเบ่ง แก้มูกเลือด เป็นยาฝาดสมานหรือใช้ทาเป็นยาสมานแผล
    – ป้องกันอาการเจ็บม้ามในขณะออกกำลังกาย ด้วยการนำข้าวมายัดใส่ใบที่เปลี่ยนรูปแล้วนำไปเผาไฟจนข้าวสุกจนกลายเป็นสีม่วงแล้วนำมารับประทาน
  • สรรพคุณจากเถา
    – ขับลม แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ ด้วยการนำเถามาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้โรคตับพิการ
    – แก้อาการปวดท้องที่เกิดจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ด้วยการนำมาต้มแล้วดื่ม

ประโยชน์ของจุกโรหินี

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนใช้รับประทานร่วมกับขนมจีน
2. ช่วยให้เลิกบุหรี่ ผลนำมาผสมกับข้าวเย็นเหนือเพื่อนำมารับประทานในการเลิกบุหรี่

จุกโรหินี ถือเป็นพืชที่โดดเด่นในเรื่องของการช่วยเลิกบุหรี่ได้ เหมาะอย่างมากสำหรับคนที่อยากเลิกและเป็นวิธีธรรมชาติที่ไม่มีผลกระทบ เป็นพืชที่มีลักษณะเหมือนบวบหรือเหมือนพุงปลา มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยขับลม ลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาหยอดหูน้ำหนวก ป้องกันอาการเจ็บม้ามในขณะออกกำลังกาย และช่วยเลิกบุหรี่ซึ่งเป็นอาการที่คนส่วนมากกำลังเผชิญ ถือเป็นพืชที่คู่ควรแก่การปลูกและใช้ประโยชน์ได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “จุกโรหินี (Chuk Rohini)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 96.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “บวบลม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [1 มี.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “จุกโรหินี”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [1 มี.ค. 2014].
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “โกฐพุงปลา”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 80-82.
ไทยเกษตรศาสตร์. “จุกโรหินี”. อ้างอิงใน: วัลลิ์รุกขบุปผชาติ ตามรอยพระบาทบรมราชกุมารี โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com. [1 มี.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “โกฐพุงปลา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [1 มี.ค. 2014].
พฤกษาน่าสน มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร.

จิกสวน ต้นไม้ในพระพุทธประวัติ ดอกสีชมพูสวยงามและสรรพคุณทางยาหลากหลาย

0
จิกสวน ต้นไม้ในพระพุทธประวัติ ดอกสีชมพูสวยงามและสรรพคุณทางยาหลากหลาย
จิกสวน หรือจิกบ้าน เป็นไม้ประดับ มีดอกสีชมพูและเกสรเพศผู้เป็นเส้นเล็กสีชมพูเข้ม
จิกสวน ต้นไม้ในพระพุทธประวัติ ดอกสีชมพูสวยงามและสรรพคุณทางยาหลากหลาย
จิกสวน หรือจิกบ้าน เป็นไม้ประดับ มีดอกสีชมพูและเกสรเพศผู้เป็นเส้นเล็กสีชมพูเข้ม

จิกสวน

จิกสวน (Powderpuff tree) หรือเรียกอีกอย่างว่า “จิกบ้าน” มีดอกสีชมพูและเกสรเพศผู้เป็นเส้นเล็กสีชมพูเข้มจำนวนมาก เป็นดอกที่สวยงามมากและมีลักษณะเด่นเหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้ประดับ สามารถพบได้ที่วัดวาอารามเนื่องจากเป็นต้นไม้ในพระพุทธประวัติ นอกจากนั้นยังสามารถนำส่วนของต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของจิกสวน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barringtonia racemosa (L.) Spreng.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Powderpuff tree” และ “Bottle brush oak”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “จิกบ้าน” ชาวมลายูและจังหวัดนราธิวาสเรียกว่า “ปูตะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์จิก (LECYTHIDACEAE หรือ BARRINGTONIACEAE)

ลักษณะของจิกสวน

จิกสวน เป็นไม้พุ่มหรือยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและเพื่อนบ้านใกล้เคียงตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงเกาะชวาของอินโดนีเซีย มักพบตามขอบป่าพรุหรือในที่ลุ่ม ที่ชื้นแฉะหรือบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง
เปลือกลำต้น : มีลักษณะขรุขระเป็นสีน้ำตาลปนเทา เปลือกชั้นในเป็นสีน้ำตาลเรื่อถึงสีชมพู มีเส้นใยเหนียว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับเรียงเวียนรอบกิ่งเป็นกระจุกหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับ รูปไข่กลีบแกมรูปขอบขนานหรือรูปหอก ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบแคบ ขอบใบหยักตื้นมนและละเอียดหรือเป็นจักเล็กน้อยคล้ายกับฟันเลื่อย แผ่นใบสีเขียว หลังใบและท้องใบเรียบ เนื้อใบบางคล้ายกระดาษ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อห้อยลงโดยจะออกที่ปลายยอด ก้านช่อดอกเป็นสีชมพูและเขียว ลักษณะของช่อดอกคล้ายกับแปรงล้างขวด ดอกย่อยเป็นสีชมพู กลีบดอกเป็นสีชมพู 4 กลีบ ปลายกลีบมนและโค้ง ดอกมีใบประดับเป็นรูปสามเหลี่ยม กลีบเลี้ยงมีประมาณ 2 – 4 กลีบ ติดกันเป็นเนื้อเดียวและมีขนาดเท่ากันหรือไม่เท่ากัน ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นเส้นเล็กสีชมพูเข้มและมีจำนวนมาก
ผล : ผลเป็นรูปไข่ มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ โคนแคบเกือบเป็นรูปสามเหลี่ยม มักจะออกผลในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดเดี่ยวเป็นรูปไข่ ผิวเมล็ดเป็นร่อง

สรรพคุณของจิกสวน

  • สรรพคุณจากเมล็ด แก้อาการตาเจ็บหรือเยื่อตาอักเสบ แก้ไข้ตัวร้อน แก้อาการไอ แก้อาเจียน แก้อาการจุกเสียดแน่นหรือปวดท้อง เป็นยาขับพยาธิ
    – แก้โรคดีซ่านและโรคเกี่ยวกับน้ำดี ด้วยการนำเมล็ดผสมกับน้ำนม
  • สรรพคุณจากต้น แก้อาการปวดศีรษะ แก้เสมหะพิการ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณจากใบ แก้ชัก แก้อุจจาระพิการ แก้บิดมูกเลือด เป็นยาสมานบาดแผล
    – แก้ไข้ทรพิษ แก้อาการคัน ด้วยการนำใบมาตำพอกหรือจะใช้ใบตำรวมกับรากและเปลือก
    – แก้อาการท้องร่วง ด้วยการนำใบมาต้ม
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาเย็น เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย เป็นยาระบาย
  • สรรพคุณจากผล
    – แก้อาการไอ แก้หืด แก้อาการเจ็บคอ แก้อาการท้องเสีย ด้วยการนำผลมาตำเอาแต่น้ำใช้ดื่ม
    – แก้อาการท้องร่วง ด้วยการนำผลมาต้ม
    – แก้ผิวหนังพุพอง แก้เจ็บคอ ด้วยการนำผลมาตำแล้วพอก
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาขับพยาธิ แก้โรคปวดข้อ
  • สรรพคุณจากเนื้อไม้ ขับระดูขาวของสตรี

ประโยชน์ของจิกสวน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนนำมาใช้รับประทานเป็นผักสด ยอดอ่อนและดอกใช้รับประทานเป็นผักสดหรือรับประทานเป็นผักจิ้มกับลาบ แจ่ว น้ำตกหรือขนมจีน
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกในวัดวาอารามเนื่องจากเป็นต้นไม้ในพระพุทธประวัติ
3. ใช้ในอุตสาหกรรม เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างในร่มหรือนำมาใช้ในการทำเครื่องมือเครื่องใช้พวกครก สาก เครื่องเรือนหรือใช้ทำเรือ พาย ทำเกวียน เป็นต้น
4. ใช้ในการเกษตร เมล็ดหรือเปลือกใช้เป็นยาสำหรับเบื่อปลาและเป็นยาฆ่าแมลง

จิกสวน เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและเป็นไม้ประดับที่เป็นต้นไม้ในพระพุทธประวัติ สามารถนำทุกส่วนของต้นมาใช้เป็นยาได้ ทั้งนี้ควรระวังไม่ให้ละอองเกสรของดอกจิกเข้าตาเพราะอาจทำให้ตาอักเสบและแดงได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้อาการไอเสมหะ แก้ชัก เป็นยาขับพยาธิ แก้อาการท้องเสียหรือท้องร่วง เป็นต้นไม้ไทยที่มีความเชื่อและมีประโยชน์หลากหลายด้าน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “จิกสวน (Chil Suan)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 95.
ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “จิกสวน จิกบ้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [1 มี.ค. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 188 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “จิก ผักพื้นบ้านดอกงามจากป่าหิมพานต์”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [1 มี.ค. 2014].
PlantZAfrica. “Barringtonia racemosa”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.plantzafrica.com. [1 มี.ค. 2014].
ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ, สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “จิกสวน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [03 ก.พ. 2014].
หนังสือคู่มือคนรักต้นไม้ ไม้ดอกหอมสีชมพู. (วชิรพงศ์ หวลบุตตา).
พืชสมุนไพรโตนงาช้าง. “จิกสวน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: paro6.dnp.go.th/web_km/พืชสมุนไพรโตนงาช้าง/. [1 มี.ค. 2014].
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. “จิกสวน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nectec.or.th. [1 มี.ค. 2014].
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “จิกสวน”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 228-230.

แจง ไม้ไทยหายาก ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับปัสสาวะ

0
แจง ไม้ไทยหายาก ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับปัสสาวะ
แจง หรือต้นแกง ต้นแจงเป็นต้นไม้หายาก เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัด รรพคุณทางยาต่อร่างกายมากมาย
แจง ไม้ไทยหายาก ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับปัสสาวะ
แจง หรือต้นแกง ต้นแจงเป็นต้นไม้หายาก เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัด รรพคุณทางยาต่อร่างกายมากมาย

แจง

แจง (Maerua siamensis) หรือเรียกอีกอย่างว่า “ต้นแกง” เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยเรา ส่วนมากมักจะพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้นแจงเป็นต้นไม้หายากที่กำลังจะถูกลืมเพราะไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักจึงควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง และยังเป็นต้นที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากและมีสรรพคุณทางยาต่อร่างกายมากมายอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแจง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Maerua siamensis (Kurz) Pax
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “แกง” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “แก้ง แจ้ง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กุ่ม (CAPPARACEAE หรือ CAPPARIDACEAE)
ชื่อพ้อง : Crateva mucronulata Kuntze, Niebuhria siamensis Kurz

ลักษณะของต้นแจง

ต้นแจง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มักจะพบตามป่าละเมาะ ป่าดิบแล้ง ป่าผสมผลัดใบ ป่าเต็งรังแล้ง ป่าโปร่งแห้ง เขาหินปูน
ลำต้น : แตกกิ่งแขนงมากมายคล้ายกับไม้พุ่ม กิ่งก้านแตกออกแผ่เป็นรูปร่ม
เปลือกต้น : เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวเข้มจนเกือบดำ เปลือกเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ
ใบ : เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือออกสลับกัน มีใบย่อยประมาณ 3 ใบ เป็นรูปไข่กลับ รูปขอบขนานหรือรูปแถบ ปลายใบสอบเรียวหรือกลม หรือเว้าตื้นเล็ก ๆ มีหนามแหลมสั้น ๆ โคนใบสอบเป็นรูปลิ่มหรือมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาและเกลี้ยงทั้งสองด้าน แผ่นใบแตกแขนงมาก
ดอก : ออกดอกเป็นช่อเชิงหลั่นหรือช่อกระจะตามซอกใบหรือที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีเขียวอมสีขาว ไม่มีกลีบดอก แต่มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกรูปไข่ ขอบมีขนคล้ายกับเส้นไหม ออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม
ผล : เป็นรูปทรงกลมวงรีหรือรูปกระสวย ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม ออกผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 2 – 3 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไต

สรรพคุณของแจง

  • สรรพคุณจากราก แก้อาการป่วยจากร่างกายซูบผอม เสื่อมโทรม ปวดเมื่อยหรือโลหิตจาง รักษาฝีในคอ ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้อาการปัสสาวะปวดหรือปัสสาวะแบบกะปริดกะปรอย แก้อาการน้ำปัสสาวะขุ่นข้นหรืออาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ แก้อาการปวดเมื่อย
    – บำรุงกำลังและบำรุงร่างกาย ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้อาการบวม ด้วยการนำรากมาต้มแล้วนำไอน้ำมาอบ
  • สรรพคุณจากต้น
    – บำรุงธาตุในร่างกาย ทำให้กระปรี้กระเปร่าและแข็งแรง แก้อาการปวดหลัง ด้วยการนำต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้ดีพิการ
    – แก้ดีซ่าน แก้ไข้จับสั่น ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้ขัดเบา ด้วยการนำต้นแจงทั้งห้า ชะพลู แก่นไม้สัก อย่างละ 3 ตำลึง มาใส่หม้อดินกับน้ำ 3 ส่วน แล้วต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ใช้ดื่มเป็นยาเช้าเย็น
  • สรรพคุณจากแก่น แก้ไข้ตัวร้อน
  • สรรพคุณจากใบ แก้ฟันผุ
    – แก้อาการฟกช้ำ แก้อัมพฤกษ์อัมพาต ช่วยลดความปวดเมื่อยล้าสำหรับสตรีคลอดบุตร ด้วยการนำใบใช้เข้าลูกประคบเป็นยา
  • สรรพคุณจากยอดอ่อน
    – รักษาโรครำมะนาด แก้อาการปวดฟัน ด้วยการนำยอดอ่อนมาผสมกับเกลือ
    – แก้ตาฝ้าฟาง ด้วยการนำยอดอ่อนมาต้มแล้วใช้ล้างหน้า
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น ราก ใบ
    – แก้ดีซ่าน แก้ไข้มาลาเรีย แก้อาการหน้ามืดตาฟาง ด้วยการนำเปลือกต้น รากและใบมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากใบและยอด เป็นยาแก้ไข้
    – ทำให้ฟันทน ปากหอม ฟันขาวสะอาดสดชื่น ด้วยการนำใบและยอดมาตำหรือโขลกให้พอแหลกแล้วปั้นกลม ๆ เป็นลูกกลอนขนาดเท่าหัวแม่มือนำมาใช้สีฟัน
    – เป็นยาฆ่าแมงกินฟัน ด้วยการนำใบและยอดมาตำหรือโขลกให้พอแหลกแล้วปั้นกลม ๆ เป็นลูกกลอนขนาดเท่าหัวแม่มือนำมาใช้อม
  • สรรพคุณจากเปลือกและราก
    – แก้อัมพฤกษ์อัมพาต ด้วยการนำเปลือกไม้และรากมาต้มอาบ อบหรือกินแก้อาการ

ประโยชน์ของแจง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกอ่อนและยอดอ่อนนำมาดองใช้รับประทานร่วมกับน้ำพริก ซึ่งคนอีสานเรียกว่า “คั้นส้ม”
2. เป็นความเชื่อของคนอีสาน เชื่อว่าหากได้รับประทานคั้นส้มของยอดอ่อนปีละครั้งจะช่วยป้องกันสภาวะสายตายาวได้ และยังช่วยบำรุงสายตาได้ดี
3. ใช้ในการเกษตร ผลใช้เป็นอาหารของนกได้ ในสมัยก่อนนำใบมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาขนสัตว์
4. เป็นไม้ปลูกประดับ ดอกและผลมีลักษณะสวยงามและแปลกตา สามารถปลูกให้ความร่มรื่นและร่มเงาได้
5. ใช้ในอุตสาหกรรม ลำต้นเป็นส่วนผสมหลักในการผลิตลูกแป้งหรือแป้งข้าวหมาก ไม้สีขาวอ่อนนิยมนำมาเผาเอาถ่าน
6. ใช้ในการเรียนรู้ นิยมนำมาใช้เป็นตัวอย่างในการเรียนการสอนทางชีววิทยาเนื่องจากต้นแจงสามารถดูอายุขัยของวงปีต้นไม้ได้

แจง เป็นต้นที่มีประโยชน์มากมายหลายด้าน สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ นอกจากนั้นยังมีดอกที่สวยงามจนนำมาปลูกประดับไว้ได้เช่นกัน มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงร่างกาย แก้ไข้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับปัสสาวะ และช่วยรักษาฟันได้ดีอีกด้วย เป็นต้นไม้ไทยที่คู่ควรแก่การรักษาและอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “แจง”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 90.
ป่าไม้และพรรณพฤกษชาติ หมู่เกาะแสมสาร, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “พรรณไม้ของสังคมพืชป่าดิบแล้ง (ฝั่งทะเล)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/exploration/sms_plants/. [3 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลชนิดพรรณพืช พื้นที่เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี, คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “แจง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.en.mahidol.ac.th/conservation/. [3 มี.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “แจง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [3 มี.ค. 2014].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “แจง”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [3 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “แจง”. อ้างอิงใน: หนังสือ Flora of Thailand, Volume 5, Part 3, Page 266-267. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [3 มี.ค. 2014].
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี. “แจง”. อ้างอิงใน : หนังสือไม้ดอกไม้ประดับ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.skn.ac.th. [3 มี.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “แจง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [3 มี.ค. 2014].
หน่วยงานอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “แจง พันธุ์ไม้อันทรงคุณค่าในสยามกำลังถูกลืม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rdi.ku.ac.th. [3 มี.ค. 2014].
พรรณไม้งาม, ฝ่ายอาคารสถานที่และซ่อมบำรุง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. “แจง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dpu.ac.th/building/. [3 มี.ค. 2014].

ชำมะเลียง ช่วยแก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้อาการกระสับกระส่าย

0
ชำมะเลียง ช่วยแก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้อาการกระสับกระส่าย
ชำมะเลียง มักพบในทางภาคใต้หรือริมทะเล มีผลสีม่วงดำรสหวาน ผลเป็นช่อพวง เนื้อผลฉ่ำน้ำ มีรสหวาน
ชำมะเลียง ช่วยแก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้อาการกระสับกระส่าย
ชำมะเลียง มักพบในทางภาคใต้หรือริมทะเล มีผลสีม่วงดำรสหวาน ผลเป็นช่อพวง เนื้อผลฉ่ำน้ำ มีรสหวาน

ชำมะเลียง

ชำมะเลียง (Luna nut) เป็นต้นที่มักจะพบในทางภาคใต้หรือริมทะเล มีผลสีม่วงดำรสหวานอร่อย เป็นต้นที่ไม่ค่อยได้ยินชื่อผ่านหูแต่เป็นพืชที่มีสรรพคุณต่อร่างกายนอกจากจะเป็นผลไม้เท่านั้น สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามสถานที่ต่าง ๆ ได้และยังนำมาทำเป็น “น้ำชำมะเลียง” ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ที่มีรสหวานฉ่ำได้ด้วยเช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของชำมะเลียง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lepisanthes fruticosa (Roxb.) Leenh.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Luna nut” “Chammaliang”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ชำมะเลียง ชำมะเลียงบ้าน พุมเรียง พุมเรียงสวน” ภาคเหนือเรียกว่า “มะเถ้า ผักเต้า” ภาคอีสานเรียกว่า “หวดข้าใหญ่ ภูเวียง” จังหวัดตราดเรียกว่า “โคมเรียง” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “พูเวียง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)

ลักษณะของชำมะเลียง

ชำมะเลียง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะพบตามป่าโปร่ง ตามแนวชายป่าหรือริมลำธาร แต่พบได้มากในแถบพื้นที่ชายทะเล
เปลือกลำต้น : เป็นสีน้ำตาลแตกเป็นร่อง ๆ ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อน มีขนสีน้ำตาล
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน แผ่นใบย่อยเป็นรูปวงรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือสอบเข้า ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา หลังใบเรียบเป็นมัน ท้องใบเรียบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบที่มีก้านดอกเล็ก ๆ แยกจากก้านใหญ่ ช่อดอกห้อยลง ดอกย่อยของแต่ละช่อจะมีทั้งดอกที่สมบูรณ์เพศและไม่สมบูรณ์เพศ ดอกเป็นสีขาวครีม กลีบดอก 5 กลีบแยกกันเป็นรูปวงรีคล้ายกลีบเลี้ยงแต่จะบางกว่าและอยู่ระหว่างกลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยงเป็นสีม่วง 5 กลีบ เป็นรูปวงรี มักจะออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม
ผล : ออกเป็นช่อและในหนึ่งช่อมีผลเป็นพวง ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม รูปไข่หรือรูปวงรีป้อม ผิวเรียบเป็นมัน ผลสดเป็นสีเขียวอมม่วงแดง เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำ เนื้อผลฉ่ำน้ำ มีรสหวาน
เมล็ด : ภายในผลมีประมาณ 1 – 2 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ปนขอบขนาน ผิวเรียบเป็นสีดำ

สรรพคุณของชำมะเลียง

  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้เหนือ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้พิษ แก้ไข้สันนิบาต แก้ไข้สั่น แก้ไข้กำเดา แก้เลือดกำเดาไหล แก้อาการร้อนใน แก้อาการกระสับกระส่าย ทำให้ระบบทางเดินอาหารเป็นปกติ แก้อาการท้องผูก
  • สรรพคุณจากผล ผลสุกหรือผลแก่ช่วยแก้ท้องเสีย แก้โรคท้องเสียในเด็ก

ประโยชน์ของชำมะเลียง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนและยอดอ่อนสามารถนำมาใช้ทำแกง ใส่ในปลาย่างหรือใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก ผลสุกใช้รับประทานเป็นผลไม้ด้วยการคลึงเบา ๆ ทั่วผลจะช่วยลดรสฝาดลงได้ ทำเป็นน้ำชำมะเลียง สีม่วงนำมาใช้เป็นสีผสมอาหาร
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกไว้ตามสวนผลไม้ทั่วไปหรือใช้ปลูกเพื่อการจัดสวนตามบ้าน ตามสถานที่ราชการ หรือใช้ปลูกเป็นพืชอาหารสัตว์ป่าในป่าอนุรักษ์

วิธีการทำน้ำชำมะเลียง

1. ทำการเลือกผลชำมะเลียงที่สุกงอมมาล้างให้สะอาดแล้วใส่ลงในภาชนะ 1 ถ้วย
2. เติมน้ำที่ต้มแล้วลงไป 1 ถ้วยครึ่ง แล้วยีให้เมล็ดออกจากเนื้อ เติมน้ำที่เหลือลงไปแล้วกรองเอาเมล็ดและเปลือกออก
3. เติมน้ำเชื่อม 1 ส่วน 3 ของถ้วยและเกลือ 1 ช้อนชาลงไป ก็เป็นอันเสร็จ

ชำมะเลียง นิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้และน้ำผลไม้ที่ให้รสหวานฉ่ำแต่มีรสฝาดผสมเล็กน้อย ทั้งนี้หากรับประทานผลมากจนเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ชำมะเลียงเป็นไม้ยืนต้นที่อุดมไปด้วยยาอยู่ในส่วนของรากเป็นส่วนใหญ่ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้อาการกระสับกระส่ายและดีต่อระบบทางเดินอาหารในร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ชำมะเลียง (Chamma Liang)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 105.
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “ชำมะเลียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [5 มี.ค. 2014].
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ชํามะเลียง”. (นพพล เกตุประสาท, สุดใจ วรเลข). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [5 มี.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ชำมะเลียง”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 7. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [5 มี.ค. 2014].
โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์. “ชำมะเลียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.shc.ac.th. [5 มี.ค. 2014].
ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ชํามะเลียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [5 มี.ค. 2014].
วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. “ชำมะเลียง”. อ้างอิงใน: หนังสือผลไม้ 111 ชนิด คุณค่าอาหารและการกิน (ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์, นิดดา หงษ์วิวัฒน์), หนังสือผลไม้ในเมืองไทย (เศรษฐมันต์ กาญจนกุล). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/ชำมะเลียง. [5 มี.ค. 2014].

ผักชีหรือผักชีไทย บำรุงระบบอาหาร ช่วยต้านมะเร็ง แก้พิษไข้

0
ผักชีหรือผักชีไทย บำรุงระบบอาหาร ช่วยต้านมะเร็ง แก้พิษไข้
ผักชีหรือผักชีไทย บำรุงระบบอาหาร ช่วยต้านมะเร็ง แก้พิษไข้
ผักชีหรือผักชีไทย บำรุงระบบอาหาร ช่วยต้านมะเร็ง แก้พิษไข้
ผักชี ผักที่คนไทยที่ใช้ในเมนูอาหารมากมาย สามารถใช้ได้ทุกส่วน มีกลิ่นแรงเฉพาะตัว ใบหยักลึก

ผักชี

ผักชี (Coriander) เป็น ผักที่คนไทยทั่วไปรู้จักและเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในเมนูอาหารมากมาย รวมไปถึงการใช้ผักชีตกแต่งจานด้วยการโรยหน้าอย่างสวยงาม หรือนำมาใช้แต่งกลิ่นให้ความหอมแก่อาหารมากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันการกินผักชีสดกำลังได้รับความนิยมโดยเฉพาะคนญี่ปุ่น ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจเพราะผักชีค่อนข้างที่จะมีกลิ่นแรงและเมื่อกินสดมักจะไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ แต่สรรพคุณของผักชีนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ถือเป็นผักที่อยู่คู่กับคนไทยมานานตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักชี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Coriandrum sativum L.
ชื่อสามัญ : Coriander
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักหอมป้อมหรือผักหอมผอม” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ผักหอมน้อย” จังหวัดกระบี่เรียกว่า “ยำแย้” จังหวัดนครพนมเรียกว่า “ผักหอม” ส่วนที่เรียกกันทั่วประเทศคือ “ผักชีไทย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักชี (APIACEAE)

ลักษณะของผักชี

ผักชี เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
ใบ : มีใบย่อยเป็นจำนวนมาก ใบหยักลึกเข้าหากลางใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ดอกย่อยสีขาวอมชมพู
ผล : มีลักษณะค่อนข้างกลม ผลแก่จัดจะเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล
เมล็ด : มี 2 เมล็ด

สรรพคุณของผักชี

  • สรรพคุณจากใบ ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุในร่างกาย แก้อาการกระหายน้ำ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยกระตุ้นการทำงานของเลือดพลาสมาและกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง แก้อาการหวัดและแก้ไอ แก้อาการสะอึก คลื่นไส้และอาเจียน แก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้อาการอาหารเป็นพิษ ช่วยย่อยอาหารและขับลมในกระเพาะ แก้พิษตานซาง แก้ตับอักเสบ ขับลมพิษ แก้โรคหัด ต่อต้านเชื้อราแบคทีเรียและไข่ของแมลง ลดอาการปวดบวมตามข้อ
  • สรรพคุณจากผล ช่วยย่อยอาหาร รักษาอาการปวดท้อง
    – ช่วยให้เจริญอาหารและบำรุงกระเพาะอาหาร ด้วยการใช้ผลแห้งมาบดเป็นผงแล้วรับประทานหรือใช้ต้มกับน้ำดื่ม – แก้อาการปวดฟันและเจ็บปาก ด้วยการใช้ผลนำมาต้มน้ำแล้วนำมาอมบ้วนปากบ่อย ๆ
    – แก้อาการบิดและถ่ายเป็นเลือด ด้วยการใช้ผลประมาณ 1 ถ้วยชา นำมาตำผสมกับน้ำตาลทรายแล้วนำมาผสมน้ำดื่ม
    – แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ด้วยการใช้ผลประมาณ 2 ช้อนชานำมาต้มกับน้ำดื่ม
    – รักษาโรคริดสีดวงทวาร มีเลือดออก ด้วยการใช้ผลสดนำมาบดให้แตกผสมกับเหล้า ดื่มวันละ 5 ครั้ง
  • สรรพคุณจากผลแก่ ใช้เป็นเครื่องเทศ เมื่อใช้ผสมกับตัวยาอื่นจะช่วยกระตุ้นต่อมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยเพิ่มน้ำดีให้มากขึ้น
  • สรรพคุณจากราก เป็นน้ำกระสายยาช่วยกระทุ้งพิษไข้หัวและไข้อีดำอีแดง รักษาเหือด หิดและอีสุกอีใส
  • สรรพคุณจากต้นสด
    – รักษาโรคริดสีดวงทวาร มีเลือดออก ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 120 กรัม นำมาใส่นม 2 แก้วผสมน้ำตาลดื่ม
    – แก้อาการผื่นแดง ไฟลามทุ่งของเด็กด้วยการใช้ต้นสดนำมาหั่นเป็นฝอย ๆ ใส่ลงไปในเหล้าแล้วต้มให้เดือด นำมาใช้ทา
    – ช่วยให้ผื่นหัดออกเร็วขึ้นโดยใช้ต้นสดนำมาหั่นเป็นฝอย ๆ ใส่ลงไปในเหล้า จากนั้นต้มให้เดือดแล้วนำมาใช้ทา
  • สรรพคุณจากทั้งต้น บำรุงและรักษาสายตา
    – ขับเหงื่อและละลายเสมหะ ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 60 กรัม นำไปต้มกับน้ำดื่มหรือจะคั้นเอาเฉพาะน้ำมาดื่มแก้อาการ

ประโยชน์ของผักชี

ผักชีเป็นส่วนประกอบของอาหาร นำใบมารับประทานเป็นผักและรับประทานกับอาหารอื่น หรือนำมาใช้ตกแต่งหน้าอาหาร ใบช่วยถนอมอาหารและผลช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อ

คุณค่าทางโภชนาการของผักชีสด

คุณค่าทางโภชนาการของผักชีสดต่อ 100 กรัม โดยคิด % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 23 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 3.67 กรัม
น้ำตาล 0.87 กรัม
เส้นใย 2.8 กรัม
ไขมัน 0.52 กรัม
โปรตีน 2.13 กรัม
น้ำ 92.21 กรัม 
วิตามินเอ 337 ไมโครกรัม (42%)
เบตาแคโรทีน 3,930 ไมโครกรัม (36%)
ลูทีนและซีแซนทีน 865 ไมโครกรัม 
วิตามินบี1 0.067 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี2 0.162 มิลลิกรัม (14%)
วิตามินบี3 1.114 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินบี5 0.57 มิลลิกรัม (11%)
วิตามินบี6 0.149 มิลลิกรัม (11%)
วิตามินบี9 62 ไมโครกรัม (16%)
วิตามินบี12 0 ไมโครกรัม (0%)
วิตามินซี 27 มิลลิกรัม (33%)
วิตามินอี 2.5 มิลลิกรัม (17%) 
วิตามินเค 310 ไมโครกรัม (295%)
แคลเซียม 67 มิลลิกรัม (7%)
เหล็ก 1.77 มิลลิกรัม (14%)
แมกนีเซียม 26 มิลลิกรัม (7%)
แมงกานีส 0.426 มิลลิกรัม (20%)
ฟอสฟอรัส 48 มิลลิกรัม (7%)
โพแทสเซียม 521 มิลลิกรัม (11%)
โซเดียม 46 มิลลิกรัม (3%) 
สังกะสี 0.5 มิลลิกรัม (5%)

ข้อควรระวัง

1. คนที่มีประวัติแพ้พืชวงศ์ผักชีควรหลีกเลี่ยง
2. ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป อาจจะทำให้มีกลิ่นตัวแรง มีอาการตาลายและลืมง่าย
3. ไม่ควรรับประทานน้ำผักชีมากจนเกินไป เพราะทำให้ไตพัง

ผักชี เป็นพืชผักที่จำเป็นต่อเมนูอาหารในหลาย ๆ เมนู เชื่อว่าทุกคนต้องเคยรับประทานผักชีแม้ว่าจะไม่ได้รับประทานสดเหมือนคนญี่ปุ่น มีการนำไปแปรรูปเป็นเครื่องดื่มบ้างแต่ไม่ค่อยนิยมสักเท่าไหร่ สรรพคุณที่โดดเด่นของผักชีเลยก็คือ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ต่อต้านมะเร็งและป้องกันไข้หวัด เป็นผักที่พบเจอได้บ่อยแต่มีประโยชน์อย่างมาก ดังนั้นเวลาไปรับประทานอาหารเมนูที่มีผักชีก็อย่าเขี่ยออกจะเป็นการดีกว่า หรือไม่ก็รับประทานควบคู่ไปกับรสอาหารอื่นที่เราชอบก็ได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แหล่งอ้างอิง

www.rspg.or.th, www.samunpri.com, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ฟักแม้ว ช่วยต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจและป้องกันความพิการของทารกในครรภ์

0
ฟักแม้ว ช่วยต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจและป้องกันความพิการของทารกในครรภ์
ฟักแม้ว หรือมะระหวานเป็นผักที่สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้ทั้งใบและผล ผลมีสีเขียวอ่อน คล้ายลูกแพร์
ฟักแม้ว ช่วยต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจและป้องกันความพิการของทารกในครรภ์
ฟักแม้ว หรือมะระหวานเป็นผักที่สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้ทั้งใบและผล ผลมีสีเขียวอ่อน คล้ายลูกแพร์

ฟักแม้ว

ฟักแม้ว (Chayote) หรือนิยมเรียกกันว่า “ยอดมะระหวาน” เป็นผักชนิดหนึ่งที่นิยมทางภาคเหนือ ส่วนมากมักจะนำมาผัดกับน้ำมันหอยจนกลายเป็นเมนูยอดฮิตเลยก็คือ “ผัดยอดฟักแม้ว” เป็นผักที่สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้ทั้งใบและผล ถึงแม้ว่ารูปร่างของผลฟักแม้วจะไม่ค่อยสวยเหมือนผลไม้อื่น ๆ แต่มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายรวมถึงยอดอ่อนและใบของฟักแม้วด้วย เป็นหนึ่งในผักที่น่าสนใจในการนำมาผัดรับประทานที่บ้านด้วยตัวเอง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของฟักแม้ว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sechium edule (Jacq) Swartz.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Chayote”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อท้องถิ่นว่า “มะระแม้ว” “มะระหวาน” “มะเขือเครือ” “มะเขือฝรั่ง” “มะระญี่ปุ่น” “ฟักญี่ปุ่น” “มะเขือนายก” “บ่าเขือเครือ” “ฟักม้ง” “แตงกะเหรี่ยง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)

ลักษณะของฟักแม้ว

ฟักแม้ว เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกและแถบอเมริกากลาง
ราก : มีระบบรากสะสมขนาดใหญ่
ลำต้น : ฟักแม้วมีลักษณะของลำต้นเป็นเหลี่ยม เจริญเป็นเถา มีเถาเป็นแขนง 3 – 5 เถา และมีมือเกาะเจริญที่ข้อ
ใบ : หรือเรียกกันว่า “ใบมะระหวาน” ขอบใบมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ลักษณะคล้ายใบตำลึงแต่มีขนาดใหญ่กว่า ใบมีขนทั้งด้านบนและด้านล่าง
ดอก : หรือเรียกกันว่า “ดอกมะระหวาน” มีสีขาวปนเขียว ดอกจะเกิดตามข้อระหว่างต้นกับก้านใบ ออกดอกเป็นช่อ ดอกเป็นประเภทไม่สมบูรณ์เพศ ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียจะอยู่คนละดอกแต่อยู่ในต้นเดียวกัน
ผล : หรือเรียกกันว่า “ผลมะระหวาน” เป็นผลเดี่ยวลักษณะเป็นทรงกลมยาว ผลมีสีเขียวอ่อน รูปร่างคล้ายลูกแพร์ ผลมีรสเย็น เนื้อผลมีรสหวาน รสคล้ายกับฝรั่งปนแตงกวา

สรรพคุณของฟักแม้ว

  • สรรพคุณจากฟักแม้ว ต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
  • สรรพคุณจากผลและใบ ป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
    – บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการใช้ผลและใบมาดองเป็นยาไว้กิน
    – สลายนิ่วในไต รักษาอาการเส้นเลือดแข็งตัวและรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการนำใบและผลมาต้ม
    – เป็นยาช่วยขับปัสสาวะและแก้อาการอักเสบ ด้วยการนำใบและผลมาดอง
  • สรรพคุณจากใบ ยอดฟักแม้วช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก
  • สรรพคุณจากผล ป้องกันการพิการของทารกแต่กำเนิด ผลอ่อนช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

ประโยชน์ของฟักแม้ว

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนฟักแม้วสามารถนำมาต้มกินกับน้ำพริก ใช้ทำต้มจืด แกงเลียง ผัดฟักแม้ว ลาบ ยำยอดฟักแม้ว ส่วนผลนำมาหั่นเป็นฝอยแล้วผัดกับไข่หรือผัดน้ำมัน รากนำมาต้มหรือผัดได้เพราะมีแป้งและนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการของผลฟักแม้ว

คุณค่าทางโภชนาการของผลฟักแม้ว ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 4.51 กรัม
เส้นใย 1.7 กรัม
ไขมัน 0.13 กรัม
โปรตีน 0.82 กรัม
วิตามินบี1 0.025 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี2 0.029 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี3 0.47 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี5 0.249 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี6 0.076 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี9 93 ไมโครกรัม (23%)
วิตามินซี 7.7 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินอี 0.12 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินเค 4.1 ไมโครกรัม (4%)
แคลเซียม 17 มิลลิกรัม (2%)
เหล็ก 0.34 มิลลิกรัม (3%)
แมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม (3%)
ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม (3%) 
โพแทสเซียม 125 มิลลิกรัม (3%)
สังกะสี 0.74 มิลลิกรัม (8%)

สารออกฤทธิ์จากมะระหวาน หรือฟักแม้ว

ผักฟักแม้ว มีสารโพลีฟีนอลและสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์จึงมีฤทธิ์ยับยั้งและป้องกันเซลล์มะเร็ง และมีโฟเลตสูง จึงมีฤทธิ์ช่วยป้องกันข้อบกพร่องในทารกแรกเกิดได้

ฟักแม้ว เป็นผักชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย เป็นผักที่มีรสชาติอร่อยเมื่อนำมาปรุง สามารถนำผลและใบยอดอ่อนมารับประทานได้ ถือว่าเป็นผักที่ค่อนข้างนิยมพอสมควร มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงหัวใจและหลอดเลือด ต้านมะเร็ง ช่วยชะลอวัย และป้องกันการพิการของทารกแต่กำเนิด เป็นผักที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปและนำมาประกอบเมนูอาหารง่าย ๆ ได้ด้วยตนเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แหล่งอ้างอิง

สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน), ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โคลงเคลง เป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี ช่วยแก้ริดสีดวงทวารและแก้คอพอก

0
โคลงเคลง เป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี ช่วยแก้ริดสีดวงทวารและแก้คอพอก
โคลงเคลง มีดอกเป็นสีม่วงอมชมพูเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นช่อแบบสมบูรณ์เพศ ต้นใช้รับประทานหรือเป็นยาสมุนไพรได้
โคลงเคลง เป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี ช่วยแก้ริดสีดวงทวารและแก้คอพอก
โคลงเคลง มีดอกเป็นสีม่วงอมชมพูเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นช่อแบบสมบูรณ์เพศ ต้นใช้รับประทานหรือเป็นยาสมุนไพรได้

โคลงเคลง

โคลงเคลง (Malabar gooseberry) มีดอกเป็นสีม่วงอมชมพูอย่างสวยงามอยู่บนต้น เป็นไม้ที่ไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยมากนัก สามารถนำส่วนของต้นมารับประทานหรือใช้เป็นยาสมุนไพรได้ ทั้งนี้เพราะความสวยงามและโดดเด่นของดอกจึงทำให้ต้นโคลงเคลงเริ่มเป็นที่นิยมในการปลูกเป็นไม้ประดับในปัจจุบัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโคลงเคลง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Melastoma malabathricum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Malabar gooseberry” “Malabar melastome” “Melastoma” “Indian rhododendron” “Singapore rhododendron” “Straits rhododendron”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “อ้า อ้าหลวง” ภาคใต้เรียกว่า “เบร์ มะเหร มังเคร่ มังเร้ สาเร สำเร” จังหวัดตราดเรียกว่า “โคลงเคลงขี้นก โคลงเคลงขี้หมา” ชองและตราดเรียกว่า “มายะ” ชาวกะเหรี่ยงและกาญจนบุรีเรียกว่า “ซิซะโพ๊ะ” ชาวกะเหรี่ยงและแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ตาลาเด๊าะ” ชาวมลายูและปัตตานีเรียกว่า “กะดูดุ กาดูโด๊ะ” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “เหม่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์โคลงเคลง (MELASTOMATACEAE)
ชื่อพ้อง : Melastoma malabathricum subsp. Malabathricum

ลักษณะของโคลงเคลง

โคลงเคลง เป็นไม้พุ่มที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย มาเลเซียและออสเตรเลีย มักจะพบตามที่ลุ่ม ในพื้นราบที่ชุ่มชื้น ขอบป่าพรุไปจนถึงบนภูเขาสูง ในเมืองไทยมีอยู่ประมาณ 10 กว่าชนิด
ลำต้น : ลำต้นและกิ่งก้านเป็นสีน้ำตาลแดง กิ่งเป็นเหลี่ยม ทุกส่วนของลำต้นมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ และสลับตั้งฉาก ใบเป็นรูปใบหอก ปลายใบและโคนใบแหลม แผ่นใบค่อนข้างแข็ง เส้นใบย่อยเรียงแบบขั้นบันไดและไม่มีหูใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกเป็นสีม่วงอมสีชมพู มีถ้วยรองดอกปกคลุมด้วยเกล็ดแบนเรียบ ดอกเป็นช่อแบบสมบูรณ์เพศ ออกดอกได้ตลอดทั้งปีแต่จะมีมากในช่วงฤดูฝน
ผล : ผลมีลักษณะคล้ายลูกข่างและมีขนปกคลุม เนื้อในผลเป็นสีแดงอมสีม่วง เมื่อแก่เปลือกผลจะแห้งแล้วแตกออกตามขวาง
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก

สรรพคุณของโคลงเคลง

  • สรรพคุณจากโคลงเคลง แก้อาการอาเจียนเป็นเลือด แก้คอพอก แก้อาการถ่ายเป็นเลือด
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาระงับประสาท เป็นยาห้ามเลือดในคนที่เป็นริดสีดวงทวาร
  • สรรพคุณจากราก บำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงร่างกาย เป็นยาแก้มะเร็ง ดับพิษไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงตับ ไตและดี เป็นยาแก้ปวด เป็นยาบำรุงหลังการคลอดบุตรของสตรี
  • สรรพคุณจากใบ แก้ริดสีดวงทวาร รักษาโรคระดูขาวของสตรี รักษาโรคโกโนเรียหรือโรคหนองในแท้ รักษาแผลไฟไหม้
    – กำจัดเชื้อราในช่องปากหรือลำคอ ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำหรือน้ำคั้นจากใบใช้เป็นยาบ้วนปาก
    – รักษาโรคท้องร่วง โรคบิด ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – ป้องกันแผลเป็น ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วใช้ล้างแผล

ประโยชน์ของโคลงเคลง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนนำมารับประทานเป็นผักสดทั่วไป ใบนำมาใช้รูดปลาไหลและช่วยขัดเมือกได้ดี ผลสุกใช้รับประทาน
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ

โคลงเคลง เป็นยาพื้นบ้านในหลายพื้นที่ของโลก ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยที่นำโคลงเคลงมารับประทาน นอกจากนั้นยังมีดอกสีม่วงชมพูสวยงามเหมาะแก่การปลูกประดับไว้ชมในสวนได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาระงับประสาท บำรุงร่างกาย แก้ริดสีดวงทวาร แก้คอพอก และแก้อาการอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด เป็นต้นที่มีสรรพคุณในหลายส่วนเหมาะสำหรับนำมาดื่มเป็นยาบำรุงได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “โคลงเคลง”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 106.
สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “โคลงเคลง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [20 ก.พ. 2014].
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. “โคลงเคลงขี้นก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.kmitl.ac.th. [20 ก.พ. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “เหม่ หรือ โคลงเคลง”. (อนงค์นาฏ ศรีบุญแก้ว). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [20 ก.พ. 2014].
ท่องไทยแลนด์ดอทคอม. “โคลงเคลง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thongthailand.com. [20 ก.พ. 2014].
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี. “โคลงเคลงขี้นก”. อ้างอิงใน : หนังสือไม้ดอกและไม้ประดับ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.skn.ac.th. [20 ก.พ. 2014].

มะอึก ผลรสเปรี้ยวเฉพาะตัว ช่วยแก้ไข้ แก้น้ำดีพิการและแก้อาการไอ

0
มะอึก ผลรสเปรี้ยวเฉพาะตัว ช่วยแก้ไข้ แก้น้ำดีพิการและแก้อาการไอ
มะอึก มะเขือป่า ผลกลมมีขนยาวหนา รสเปรี้ยว และกลิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลสุกมีสีเหลืองแกมน้ำตาล
มะอึก ผลรสเปรี้ยวเฉพาะตัว ช่วยแก้ไข้ แก้น้ำดีพิการและแก้อาการไอ
มะอึก มะเขือป่า ผลกลมมีขนยาวหนา รสเปรี้ยว และกลิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลสุกมีสีเหลืองแกมน้ำตาล

มะอึก

มะอึก (Solanum) เป็นมะเขือป่าชนิดหนึ่งที่คนส่วนมากไม่ค่อยรู้จัก เป็นพืชผลที่นิยมทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนคนเมืองหรือภาคอื่น ๆ อาจจะไม่เคยได้ยินชื่อและไม่รู้ว่ามะอึกคืออะไร เป็นผลที่มีรสเปรี้ยวเป็นหลัก ซึ่งรสและกลิ่นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มะอึกไม่ใช่พืชตลาดที่คนนิยมแต่มีสรรพคุณแก้อาการต่าง ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะอึก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum stramoniifolium Jacq.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Solanum” และ “Bolo Maka”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “มะอึก” ภาคเหนือเรียกว่า “มะเขือปู่ มะปู่ มะเขือขน หมากขน” ภาคอีสานเรียกว่า “หมากอึก หมักอึก บักเอิก” ภาคใต้เรียกว่า “อึก ลูกอึก” ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “ยั่งคุยดี”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)

ลักษณะของมะอึก

มะอึก เป็นไม้พุ่มในกลุ่มมะเขือที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะพบอยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
ลำต้น : ทุกส่วนของต้นจะมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุมอยู่ ลำต้นมีหนามและมีขนอ่อนปกคลุม
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กว้าง โคนใบเว้าหรือตัด ขอบใบหยักเว้าเป็นพู แผ่นใบสีเขียว มีขนอ่อนปกคลุมผิวใบทั้งด้านบนและด้านล่าง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ ดอกมีสีขาว ปลายแหลม มีเกสรตัวผู้สีเหลืองเป็นเส้นรวมกันเป็นยอดแหลม
ผล : เป็นรูปทรงกลม ที่ผิวมีขนยาวหนา ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองแกมน้ำตาล
เมล็ด : มีเมล็ดแบนจำนวนมากเรียงเป็นแถวอยู่ภายในผล

สรรพคุณของมะอึก

  • สรรพคุณจากราก ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย ช่วยแก้ไข้ต่าง ๆ อย่างแก้ไข้เพื่อดีและแก้ไข้สันนิบาต แก้น้ำลายเหนียว แก้ปวด แก้น้ำดีพิการ แก้อาการดีฝ่อ แก้อาการดีกระตุก แก้อาการนอนสะดุ้ง ผวาหรือเพ้อ ช่วยกระทุ้งพิษไข้หัวทุกชนิดหรืออาการของไข้ที่มีตุ่มออกเป็นผื่นตามผิวหนังอย่างเหือด หิด หัด และอีสุกอีใส
  • สรรพคุณจากผล ขับเสมหะในลำคอ แก้อาการไอ แก้น้ำดีพิการ เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย
  • สรรพคุณจากใบ แก้ปอดบวม ใช้เป็นยาพอกแก้อาการคันหรือผดผื่นคัน ใช้ตำแก้พิษฝี
  • สรรพคุณจากเมล็ด แก้อาการปวดฟันด้วยการใช้เมล็ดมาเผาแล้วสูดดมควันเข้าไป
  • สรรพคุณจากขน ช่วยขับพยาธิ

ประโยชน์ของมะอึก

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลอ่อนหรือผลสุกนำมารับประทานได้หรือเป็นส่วนประกอบในเมนูน้ำพริกมะอึก ใส่ในแกงส้มกับหมูย่างหรือใส่ในส้มตำ ช่วยเพิ่มรสชาติเปรี้ยวให้อาหาร ผลมะอึกใช้เป็นอาหารของนกได้

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะอึก

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะอึก ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 53 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 9.5 กรัม
เส้นใย 3.6 กรัม
ไขมัน 0.8 กรัม
โปรตีน 1.9 กรัม
วิตามินบี1 0.07 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 4.9 มิลลิกรัม 
วิตามินซี 3 มิลลิกรัม
แคลเซียม 26 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 41 มิลลิกรัม

มะอึก เป็นผลที่มีลักษณะโดดเด่น มีขนขึ้นอยู่ทุกส่วนของต้น และมีรสเปรี้ยวเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนมะนาวหรือผลที่ให้ความเปรี้ยวอื่น ๆ มีการนำมะอึกมาใช้ประโยชน์ในด้านอาหารและยามานานแล้ว ตำรายาสมุนไพรได้บันทึกสรรพคุณของมะอึกไว้หลากหลาย สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้อาการไข้ แก้น้ำดีพิการ ขับเสมหะและแก้อาการไอ เป็นพืชสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาพิษไข้ได้มาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แหล่งอ้างอิง
เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, หนังสือเภสัชกรรมไทย (วุฒิ วุฒิธรรมเวช), ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง จังหวัดกาญจนบุรี, หนังสือคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย (กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข), เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, เว็บไซต์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), กรมวิชาการเกษตร, มูลนิธิหมอชาวบ้าน (เดชา ศิริภัทร)