5 ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงาน

0
5 ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงาน
ในแต่ละวันของคนวัยทำงานจะพบกับความรีบเร่ง ความเครียด ซึ่งส่งผลกับสุขภาพร่างกาย และจิตใจเป็นส่วนมาก
5 ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงาน
ในแต่ละวันของคนวัยทำงานจะพบกับความรีบเร่ง ความเครียด ซึ่งส่งผลกับสุขภาพร่างกาย และจิตใจเป็นส่วนมาก

ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงาน

ในแต่ละวันของคนวัยทำงานมักเริ่มต้นด้วยการตื่นมาอย่างรีบเร่งเพื่อที่จะเดินทางไปทำงานให้ทันเวลา ต้องฝ่าฟันการจราจรทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งส่วนมากต้องทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง จึงเป็นสาเหตุที่คนวัยทำงานละเลยการดูแลสุขภาพ พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย เกิดริ้วรอยก่อนวัย  ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอครบถ้วน

ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงานที่พบมาก

1. โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)
ออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยตรงกับพนักงานออฟฟิศร้อยละ 60 ด้วยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนทำงานที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับตัว จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือกดทับเส้นประสาทได้

2. โรคเครียด (Acute Stress Disorder)
โรคเครียดมักพบมากในวัยทำงานส่วนมากเกิดจากสาเหตุเรื่องงาน เรื่องเงิน และปัญหาในครอบครัว และปัจจุบันได้รับผลกระทบของ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ สุขภาพจิตย่ำแย่ นอนไม่หลับ ส่งผลให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมโดยเฉพาะผู้หญิง เช่น เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย ที่เป็นผลกระทบมาจากความเครียด

3. โรคอ้วน (Obesity)
โรคอ้วนเกิดจากคนในวัยทำงานมีการเคลื่อนไหวน้อย และมีความเครียดเข้ามาตลอดเวลา ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายต่างๆ เพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการรุนแรงของ COVID-19 ถึง 7 เท่า การทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วนเพียงพอจะช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น

4. โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
โรคความดันโลหิตสูงเกิดจาก2สาเหตุหลักคือ ข้อแรกเป็นผลต่อเนื่องมาจากโรคอ้วน สองเกิดจากคนวัยทำงานส่วนใหญ่ต้องทำงานภายใต้แรงกดดัน ทำให้เกิดอาการเครียด จนมีภาวะความดันโลหิตสูง และบางส่วนก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้

5. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อีกหนึ่งโรคยอดฮิตของคนวัยทำงาน สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้คนเกิดโรคนี้คือ เมื่อปวดปัสสาวะแล้วไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำน้อย หรือเลือกดื่มกาแฟแทนน้ำเปล่า ซึ่งพฤติกรรมที่ทำจนเกิดเป็นนิสัยแบบนี้ส่งผลให้เกิดโรคร้ายได้

วิธีแก้ปัญหาสุขภาพ อย่างง่ายๆ

พฤติกรรมการทานอาหารเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้สุขภาพดี หากทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งในวัยทำงานจำเป็นต้องทานอาหารที่ดีและครบถ้วนอยู่เสมอ

1. วิตามินและเกลือแร่รวม ซึ่งคนวัยทำงานต้องใช้ความคิดและพลังงานมาก ทำให้ขาดวิตามินและเกลือแร่ ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย รวมถึงการทานอาหารแบบจานด่วนที่มีโอกาสขาดวิตามินและเกลือแร่ได้ จำเป็นต้องเสริมด้วยสารอาหารให้ครบถ้วนจะช่วยป้องกันการขาดวิตามินและเกลือแร่ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย

2. วิตามินบี ช่วยป้องกันอาการมึนงง สมองตื้อ อ่อนเพลีย และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองให้ฉับไวมากขึ้นและปลอดโปร่ง สดชื่น และช่วยลดเครียดได้ด้วย

3. การดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารตรงเวลา งดการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า ควบคู่กันจะช่วยลดปัญหาสุขภาพในวัยทำงานให้หมดไป

สำหรับปัญหาสุขภาพของคนวัยทำงานเป็นปัญหาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆที่จะทำให้เกิดโรคได้ ดังนั้นจึงควรได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี และทานอาหารเสริมเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

6 สมุนไพรบรรเทาอาการปวด ลดไข้

0
6 สมุนไพร บรรเทาอาการปวด ลดไข้
สมุนไพรชนิดต่างๆ มีสรรพคุณทางยาบรรเทาปวด ลดไข้ เช่น ฟ้าทะลายโจร ขิง ลูกใต้ใบ บอระเพ็ด รางจืด หญ้าดอกขาว
6 สมุนไพร บรรเทาอาการปวด ลดไข้
สมุนไพรชนิดต่างๆ มีสรรพคุณทางยาบรรเทาปวด ลดไข้ เช่น ฟ้าทะลายโจร ขิง ลูกใต้ใบ บอระเพ็ด รางจืด หญ้าดอกขาว

สมุนไพรบรรเทาอาการปวด ลดไข้

สมุนไพรบรรเทาอาการปวด ลดไข้ (Herbal antipyretic) คือ สมุนไพรชนิดต่างๆ มีสรรพคุณทางยาสามารถบรรเทาและรักษาอาการต่างๆ เป็นที่ยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลาช้านาน แม้ว่าปัจจุบันจะมีความเจริญมากแค่ไหนสมุนไพรก็ยังคงมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนไทย

สมุนไพรที่ช่วยลดไข้ บรรเทาปวด

สมุนที่มีสรรพคุณในการแก้ปวดหัว ตัวร้อน ลดไข้ ที่สามารถหาได้ง่ายและนำมาใช้ได้อย่างสะดวก มี 6 อย่างดังนี้

1. ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata)
ฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณทางยาหลายประการ สามารถแก้ไข้ทั่วๆ ไป เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ระงับอาการอักเสบ ไอ เจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิล หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ รักษาโรคผิวหนัง ฝี ท้องเสีย บิด แก้กระเพาะลำไส้อักเสบ เป็นยาขมเจริญอาหาร มีฤทธิ์ระงับการติดเชื้อหรือระงับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้ ฟ้าทะลายโจร เป็นพืชสมุนไพรไทยที่สามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ จะเด็ดใบมากินสดๆก็ได้ ตำให้แหลกแล้วต้มกินกับน้ำก็ดี หรือจะนำมาอบแห้งแล้วบดเป็นผงไว้ชงกับน้ำต้มสุขก็ได้เช่นกัน

2. ขิง (Ginger)
ขิง เป็นสมุนไพรที่ใช้แก้หวัด แก้ไข้ แก้หนาวสั่น แก้บาดทะยัก แก้โรคเรื้อน จัดได้ว่าขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น ที่มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้ปวดข้อ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดโคเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด ถ้านำขิงมาต้มกับน้ำตาลอ้อย (หรือน้ำตาลทรายแดง) จะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับ ทั้ง 2 ข้างจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัว และถ้าเอาขิงสดมาอมไว้ใต้ลิ้นจะช่วย บรรเทาอาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้ อาเจียนได้ดี

3. ลูกใต้ใบ (Seed under leaf)
ลูกใต้ใบ ทุกส่วนของต้นมีรสขม มีสารในกลุ่มของไกลโคไซด์ และอัลคาลอยด์ มีฤทธิ์ลดอาการไข้ทุกชนิด (ไข้หวัด ไข้ทับระดู ไข้จับสั่น) ระงับอาการปวด ลดการปวดบวม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้เป็นยารักษาอาการท้องเสีย และต้านการอักเสบ วิธีใช้คือนำรากของต้นลูกใต้ใบไปฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วดื่มแก้อาการต่างๆ หรือนำต้นสดประมาณ 1 กำมือมาต้มกับน้ำในปริมาณ 2 แก้วแล้วเคี่ยวต่อ ทิ้งไว้จนอุ่นแล้วค่อยๆจิบ

4. บอระเพ็ด (Heart leaved moonseed)
บอระเพ็ด มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ทุกชนิด แก้ร้อนใน ขับเหงื่อ เพียงนำบอระเพ็ดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเทใส่ขวดเพื่อนำมาหมัก จากนั้นใส่น้ำผึ้งลงไปให้ท่วม ไม่ควรปิดฝาแน่นมาก หมักทิ้งไว้ 7 วัน ถึงจะรับประทานได้ ควรรับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดไข้ บรรเทาอาการปวดหัว ตัวร้อน ลดอาการไอ และขับเสมหะได้

5. รางจืด (Thunbergia laurifolia)
รางจืด เป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์เย็นจนได้ชื่อว่าเป็น ราชาแห่งการถอนพิษ ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยแก้พิษ ขับสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ที่สำคัญควรดื่มรางจืดหรือรับประทานอย่างพอดี ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน

6. หญ้าดอกขาว (Cyanthillium cinereum)
หญ้าดอกขาวหรือหญ้าละออง จัดเป็นพืชที่หาได้ง่ายมีอยู่ทั่วไป รสเย็นขื่น มีสรรพคุณที่สามารถรักษาได้อย่างมากมายทั้ง บรรเทาอาการไข้ทับระดู ช่วยลดไข้ ไข้มาลาเรีย เป็นยาล้างปอดที่ดีจึงช่วยบรรเทาอาการไอ แก้เจ็บคอ ใช้รักษาอาการปวดได้ ทั้งปวดท้อง โรคกระเพาะ ปวดเมื่อย และปวดข้อ สามารถนำมาใช้ได้ทั้งต้น วิธีใช้สามารถนำทั้งต้นและใบไปต้มกับน้ำแล้วนำมาดื่ม

สมุนไพรมีสรรพคุณที่ช่วยบรรเทาอาการปวด ลดไข้ ซึ่งควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ และหากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการให้ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้รสเปรี้ยวฆ่ามะเร็งและเนื้องอก

0
มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้รสเปรี้ยวฆ่ามะเร็งและเนื้องอก
มะม่วงหาวมะนาวโห่ หรือ หนามแดงจัดเป็นผลไม้พื้นเมืองคล้ายเบอร์รี่ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี และธาตุเหล็ก
มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้รสเปรี้ยวฆ่ามะเร็งและเนื้องอก
มะม่วงหาวมะนาวโห่ หรือ หนามแดงจัดเป็นผลไม้พื้นเมืองคล้ายเบอร์รี่ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี และธาตุเหล็ก

มะม่วงหาวมะนาวโห่

มะม่วงหาวมะนาวโห่ ( Karanda ) คือ ผลไม้ของชาวอินเดีย ซึ่งพบได้ทั่วไปในพื้นที่แห้งแล้งของประเทศอินเดีย มีการเพาะปลูกเป็นผลไม้มักนำผลมะม่วงหาวมะนาวโห่มาแปรรูปในเมนูต่างๆ เช่น มะม่วงหาวมะนาวโห่แช่อิ่ม มะม่วงหาวมะนาวโห่ปั่น แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ น้ำผลไม้จากม่วงหาวมะนาวโห่ หรือไวน์ เป็นต้น

มะม่วงหาวมะนาวโห่ สรรพคุณ

มะม่วงหาวมะนาวโห่ คือ ผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี และธาตุเหล็ก ช่วยต้านอนุมูลอิสระและป้องกันรักษาภาวะโลหิตจางได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้มะม่วงหาวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย โดยเฉพาะฟีนอลิก แอนโทไซยานิน ฟลาโวนอยด์ กรดไตรเตอพีนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติ ดังนี้

  • ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ลดไข้
  • ต้านการอักเสบ
  • ต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ยับยั้งการเกิดมะเร็งและเนื้องอก
  • ยับยั้งการเกิดโรคเบาหวาน
  • บรรเทาอาการโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ต่อต้านไวรัส
  • ต่อต้านจุลินทรีย์
  • ใช้เป็นยาระบาย
  • รักษาอาการท้องร่วง ท้องเสีย
  • ใช้รักษาริดสีดวงทวาร
  • ขับไล่หนอนออกจากร่างกาย
  • ป้องกันรักษาเลือดคั่งในตับ
  • กระตุ้นความอยากอาหาร
  • ขับน้ำเหลืองเสีย
  • ใช้เป็นยาสมานแผล
  • รักษากรดไหลย้อน
  • สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ รักษาแผลในปาก
  • ป้องกันหรือรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

แหล่งกำเนิดของมะม่วงหาวมะนาวโห่

พบในประเทศอินเดีย มาเลเซีย ศรีลังกา พม่า จีน อินโดนีเซีย และไทย มีชื่อสามัญ Bengal Currants, Carandas plum, Karanda ชื่อท้องถิ่น มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่ หนามแดง ( ภาคกลาง ) หนามขี้แฮด ( เชียงใหม่ ) มะนาวโห่ ( ภาคใต้ ) มะม่วงหาว มะนาวโห่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Carissa carandas L. นิยมนำมารับประทานกันอย่างแพร่หลายทั้งกินดิบ และนำมาแปรรูป

ชื่อพื้นเมืองในภาษาอื่นของมะม่วงหาว มะนาวโห่ หรือ คารานด้า

มะม่วงหาว ชื่อภาษาอังกฤษ Karanda ( คารานด้า )
อังกฤษ : Benga l- currants, Carandas – plum, Karanda, Christ thorn, Christ’s thorn, Jasmine flowered carrisa, Karaunda, Karanda, black currants
อินเดีย: Korjatenga, Korja tenga, Karenja, karja tenga
เบงกาลี : Koromcha
จีน : Cu Huang Guo ( 刺黄果 )
เยอรมัน : Karandang, Karanda Wachsbaum
อินเดีย : karaunda ( करौदा ) garinga, gotho, karonda
อินโดนีเซีย : Karandan, Karendang
มาเลย์ : karaunda, keranda
เนปาล : Karodha
ปากีสถาน : Gerna, Karanda, Kakranda
โปรตุเกส : Carandeira
สเปน : Caranda

คุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงหาวมะนาวโห่

มะม่วงหาว ปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 75 แคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม
โปรตีน 0.5 กรัม
วิตามินเอ 40 IU
น้ำตาล 14 กรัม
วิตามินซี 38 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 1.0 มิลลิกรัม
ไนอาซิน 2.0 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.3 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 16 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 260 มิลลิกรัม
ทองแดง 2.0 มิลลิกรัม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ ม่วงหาว มะนาวโห่

มะม่วงหาวมะนาวโห่หรือหนามแดงผลไม้พื้นเมืองมีลักษณะคล้ายเบอร์รี่เป็นผลไม้ทรงพุ่มมีความสูงประมาณ 3-5 เมตร แหล่งกำเนิดแถบเทือกเขาหิมาลัยที่ระดับความสูง 300 ถึง 1800 เมตร

ลำต้น : ม่วงหาว มะนาวโห่เป็นไม้พุ่งทรงกลมลำต้นสูงประมาณ 3-5 เมตร แตกกิ่งจำนวนมากทุก
ส่วนมียางสีขาวเหมือนน้ำนม ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมยาว 2-5 เซนติเมตร ปลายหนามมีสีแดง
ใบ : ใบเดี่ยวเป็นไม้พุ่มผลัดใบ เรียงตรงข้าม รูปไข่กลับ ปลายใบมนหรือเว้าเข้าเล็กน้อยของต้นหนามแดง ใบมีก้านใบสั้นสีเขียวสดเรียงตรงข้ามรูปไข่หรือรูปไข่ยาว 4 ถึง 7.5 เซนติเมตรกว้าง 2.5 ถึง 4 เซนติเมตร สีเขียวเข้มผิวมันวาวที่ผิวด้านบนสีเขียวเข้ม และผิวใบด้านล่างสีเขียวออกขาว
ดอก : เป็นดอกขนาดเล็กออกเป็นช่อสั้นๆ ที่ปลายกิ่งมีขน ลักษณะดอกเป็นท่อยาวโคนกลีบเชื่อม
ติดกันสีชมพูแกมแดง กลีบดอกสีขาวมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ หอมตลอดวัน ออก
ดอกทั้งปี
ผล : มะม่วงหาวเป็นผลเดี่ยวออกรวมกันเป็นช่อ ผลรูปกลมรีหรือรูปไข่ ผลอ่อนที่ยังไม่สุกมีรสเปรี้ยว ผลมีสีขาวอมชมพูเนื้อข้างในสีขาว ผลดิบมีน้ำยางสีขาวเหนียวๆจำนวนมาก เรียกว่า “มะนาวโห่” หลังจากนั้นผลจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงเข้มขึ้น เรียกว่า “ มะม่วงหาว ” รสชาติของผลสุกจะออกหวาน เมล็ดมี 1 เมล็ด ติดอยู่ที่ส่วนปลายรูปไต ยาว 2.5-3 เซนติเมตร สีน้ำตาลอมเทา มีเปลือกแข็งหุ้ม
หนาม : ม่วงหาว มะนาวโห่มีหนามแหลมสีแดงจำนวนมาก หรือที่รู้จักต้นหนามแดงนั้นเอง
เมล็ดพันธุ์ : เมล็ดมีขนาดเล็กแบบทรงหยดน้ำสีน้ำตาลในหนึ่งผลจะมีประมาณ 5 – 10 เมล็ด ให้ผลผลผลิตช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่งเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนพบได้ทั่วไปในที่ราบและป่าละเมาะริมฝั่งแม่น้ำ ชอบดินที่ลึกอุดสมบูรณ์และมีการระบายน้ำได้ดี แต่ถ้าดินแฉะเกินไปจะมีการเจริญเติบโตของพืชมากเกินไปและให้ผลผลิตน้อยลง

ประโยชน์ของ มะม่วงหาว มะนาวโห่

  • ช่วยยับยั้งการเติบโตของโรคมะเร็งและเซลล์เนื้องอก
  • ช่วยลดความตื่นเต้นและลดความวิตกกังวล
  • ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง
  • ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอล
  • ช่วยปกป้องหัวใจโดยทำให้การไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ
  • ช่วยลดอาการเลือดออกภายในร่างกาย
  • ช่วยป้องกันโรคตับและโรคไต
  • เป็นยาแก้พิษของยาบางชนิด
  • ช่วยลดความเมื่อยล้า
  • ช่วยให้เจริญอาหาร
  • ช่วยลดน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วน
  • ช่วยรักษาโรคข้ออักเสบ
  • ช่วยในการบรรเทาอาการปวดศีรษะโรคไมเกรน
  • ช่วยรักษาหูด
  • ช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกาย
  • วิตามินเอมีประโยชน์ต่อดวงตา
  • ช่วยบำรุงกำลัง
  • ช่วยป้องกันโรคเครียด
  • ช่วยขับพยาธิ
  • ช่วยป้องกันโรคตับอักเสบ
  • ช่วยให้ผิวดีและช่วยป้องกันโรค
  • วิตามินซีที่อยู่ในมะม่วงหาวมะนาวโห่ช่วยปกป้องฟันและเหงือก
  • ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  • ช่วยยับยั้งการก่อตัวของสารพิษในร่างกาย
  • มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอย
  • ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร กระชับกระเพาะอาหาร
  • ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
  • ช่วยบรรเทาอาการคันตามผิวหนัง กลากเกลื้อน
  • ช่วยรักษาแผลจากโรคเบาหวาน
  • ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นขึ้น
  • ช่วยรักษาตาปลา
  • ช่วยรักษาแผลเนื้องอก
  • ช่วยรักษาโรคเท้าช้าง
  • ช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกจากเลือด
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยรักษาโรคเบาหวาน
  • ช่วยให้ร่างกายกระปรีกระเปร่า และทำให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น
  • ช่วยป้องกันพิษที่เกิดจากการใช้ยาพาราเซตามอล
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
  • ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ป้องกันผมร่วง
  • ช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน

องค์ประกอบทางเคมีมะม่วงหาว มะนาวโห่

จากการศึกษาพบว่าในมะม่วงหาว มะนาวโห่ หรือหนามแดง มีสารสำคัญประกอบด้วยฟีนอลิก แอนโทไซยานิน ฟลาโวนอยด์ กรดไตรเตอพีนอยด์ และวิตามินซี เนื่องจากเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง และมะนาวโห่ยังอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน เป็นสารสีม่วงแดงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าวิตามินซีหลายพันเท่า และที่สำคัญยังพบว่าในเนื้อมะม่วงหาวมะนาวโห่ยังมีสารในกลุ่มของ amorphous water – soluble polyglycoside ที่มีฤทธิ์ในการบำรุงหัวใจ ป้องกันตับอักเสบ และช่วยลดความดันโลหิตได้

การขยายพันธุ์มะม่วงหาวมะนาวโห่

โดยปกติการขยายพันธุ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1)ใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์ 2)การตอนกิ่งเมื่อต้นกล้าใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี จะเริ่มติดดอกออกผลแต่ยังไม่มาก

ข้อควรระวัง และ ผลข้างเคียงจากการใช้มะม่วงหาว มะนาวโห

  • ข้อควรระวัง ผลข้างเคียงจากการใช้มะม่วงหาว มะนาวโห่สำหรับคนปกติ
    ข้อควรระวังหากกินมะม่วงหาว มะนาวโห่ผลดิบมากเกินไป เนื่องจากมีรสเปรี้ยวทำให้เกิดความเป็นกรดในกระเพาะรู้สึกแสบร้อน และอาจมีเลือดออกผิดปกติในกระเพาะได้
  • มะม่วงหาวมะนาวโห่คนท้องกินได้ไหม ข้อควรระวังผลข้างเคียงสำหรับคนท้องหรือมีอาการแพ้ท้อง ไม่ควรกินมะม่วงหาวมะนาวโห่ เพราะมีคุณสมบัติช่วยขับเลือดอาจทำให้เสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้

อย่างไรก็ตามแม้มะม่วงหาวมะนาวโห่มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรมากมาย ส่วนที่ใช้คือทั้งต้นหนามแดง ใบสด ราก ผล แก่น เนื้อไม้ เมล็ด เปลือก ยอดอ่อน น้ำมันหอมระเหย และน้ำยาง มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรใช้รักษาโรคต่าง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

5 สมุนไพร เพิ่มภูมิคุ้มกันและต้าน COVID-19

0
สมุนไพรแต่ละชนิดมีฤทธิ์ร้อนฤทธิ์เย็นต่างกัน ซึ่งช่วยปรับสมดุลต่างๆในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับโควิด19
5 สมุนไพร เพิ่มภูมิคุ้มกันและต้าน COVID-19
สมุนไพรแต่ละชนิดมีฤทธิ์ร้อนฤทธิ์เย็นต่างกัน ซึ่งช่วยปรับสมดุลต่างๆในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับโควิด19

5 สมุนไพร เพิ่มภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับ COVID-19

การดูแลตนเองก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการเอาตัวรอดจากโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในตอนนี้ การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และต้องเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ให้แข็งแรงเพื่อต่อสู่กับเชื้อโรคเชื้อไวรัส เพื่อลดอาการติดเชื้อที่อาจรุนแรงลงได้ ดังนั้น สมุนไพรพื้นบ้านต่อไปนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ

สมุนไพรที่เพิ่มภูมิคุ้มกัน

ขิง (Ginger)
ประกอบด้วยสารจินเจอรอล (Gingerol) ที่มีสรรพคุณทางยาที่มีประสิทธิภาพใช้ได้ทั้งแบบขิงสด ขิงแห้ง ขิงบดผง หรือต้มดื่มแบบน้ำด้านการแพทย์แผนไทยมีการใช้ขิง เนื่องจากมีสรรพคุณทางยามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจได้หลายชนิด รวมถึงช่วยย่อยอาหาร ลดอาการคลื่นไส้ ช่วยป้องกันไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

กระเทียม (Garlic)
มีสารประกอบที่เรียกว่า แอลลิอิน (Alliin) เป็นตัวกระตุ้นการตอบสนองของเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายช่วยต่อสู่กับการติดเชื้อ และเพิ่มภูมิคุ้มกันเมื่อมีเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่นำไปสู่อาหารเป็นพิษ การกินกระเทียมจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น น้ำมันกระเทียมช่วยต้านการอักเสบของกล้ามเนื้อ ป้องกันความเสียหายของกระดูกอ่อนจากโรคข้ออักเสบ กระเทียมเป็นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่ช่วยขยายหลอดเลือด

เห็ดหลินจือ (Reishi)
มีสารอาหารมากกว่า 400 ชนิด ที่ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายรวมถึงสารสำคัญอย่าง เบต้ากลูแคน (Beta Glucan) คือ สารอาหารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างและกระตุ้นเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกันให้ตรวจจับและต่อสู้กับการติดเชื้อ โดยการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว ช่วยปรับและควบคุมระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายให้มีความสมดุล และที่สำคัญเห็ดหลินจือสามารถลดความเหนื่อยล้าเรื้อรังแม้แต่การพักผ่อนให้เพียงพอก็ไม่สามารถบรรเทาลงได้

โสม (Ginseng)
คือ สมุนไพรจีนมีประโยชน์ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันประกอบด้วยสารสำคัญสองชนิด ได้แก่ จินเซนโนไซด์ (Ginsenoside) และจินโทนิน (Gintonin) โสมมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ต่อสู้กับความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจรวมถึงช่วยเพิ่มพลังงาน

ดอกอิชิเนเชีย (Echinacea)
เป็นทั้งดอกไม้สมุนไพรที่มีกรดซิโคริก (Cichoric acid) สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและรักษาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ โรคจมูกอักเสบ โรคไซนัสอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคคอหรือต่อมทอนซิลอักเสบ โรคสายเสียง หรือกล่องเสียงอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ และโรคปอดอักเสบหรือปอดบวม ดอกอิชิเนเชียช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวทำให้ร่างกายสามารถต่อสู่ กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น

ผลไม้ตระกูลซิตรัส (Citrus Fruit)
ผลไม้ตระกูลซิตรัส หรือผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว เลมอน ส้มโอ ซึ่งจะมีวิตามินซีค่อนข้างสูงและช่วยป้องกันการเกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ และกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวให้ระบบภูมิต้านทานร่างกายแข็งแรงขึ้นได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

6 สมุนไพรลดเสมหะ

0
สมุนไพรใกล้ตัวบางชนิดสามารถช่วยลดเสมหะอาการแห้งและไอเสมหะ เช่น รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสขม จากผลไม้และสมุนไพร เป็นต้น
6 สมุนไพรลดเสมหะ
สมุนไพรใกล้ตัวบางชนิดสามารถช่วยลดเสมหะอาการแห้งและไอเสมหะ เช่น รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสขม จากผลไม้และสมุนไพร เป็นต้น

สมุนไพรลดเสมหะ

เสมหะ (Phlegm) คือ อาการที่เกิดจากการไอ หรืออาการไอเรื้อรังไม่หายสักที ก็อาจเกิดจากหลายสาเหตุอาการไอก็มีทั้งไอแห้งและไอเสมหะ วันนี้ Amprohealth มีสมุนไพรใกล้ตัวที่สามาถช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสมหะได้มาฝากกันค่ะ

สมุนไพรบรรเทาอาการไอและขับเสมหะ

1. มะนาว (Lime)
มะนาวมี กรดซิตริก (citric acid) สรรพคุณช่วยลดการอักเสบ ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ทำให้เจ็บคอแล้ว ยังมีฤทธิ์ลดไข้ แก้กระหายน้ำ เมื่อชงดื่มกับน้ำอุ่น จะช่วยละลายเสมหะได้ ซึ่งสูตรมะนาวแก้ไอสามารถทำได้ดังนี้ คั้นน้ำมะนาว ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับเกลือ หรือละลายในน้ำอุ่นเล็กน้อย และจิบบ่อย ๆ

2. ขิง (Ginger)
ขิง สรรพคุณต้านการอักเสบ ผ่อนคลายเยื่อบุในทางเดินหายใจ ช่วยลดอาการไอ บรรเทาอาการไอแห้งบรรเทาอาการคลื่นไส้ วิงเวียน โดยมีวิธีทำสูตรขิงแก้ไอ คือ ให้ชงชาขิง หรือ น้ำขิง แล้วหั่นฝางขิงสดบางๆ ลงในถ้วยน้ำร้อน ทำให้เด็กกินอาจจะเติมน้ำมะนาวลงไปด้วย จะทำให้รสชาติดีขึ้นและทานได้ง่าย

3. มะขาม (Tamarind)
มะขาม มีสารสำคัญในเนื้อฝักมะขามแก่ คือ กรดทาร์ทาริก (tartaric acid) ช่วยบรรเทาอาการไอ อาการไข้ ชุ่มคอ ละลายเสมหะ สูตรวิธีทำมะขามแก้ไอมีดังนี้ รับประทานเนื้อฝักแก่ จิ้มทานกับเกลือ หรือ คั้นเป็นน้ำผสมกับเกลือแล้วค่อยๆ จิบ เพื่อช่วยบรรเทาอาการไอ

4. มะแว้งต้น/มะแว้งเครือ (Maweng Ton / Maweng Krua)
มะแว้งต้น/มะแว้งเครือ ปัจจุบันมะแว้งได้รับการพัฒนาจากองค์การเภสัชกรรมผลิตและจำหน่ายยาอมมะแว้ง สรรพคุณช่วยแก้ไอและชุ่มคอ ซึ่งสามารถทำในรูปแบบอาหารเป็นยาได้โดยใช้ผลสดตำกับน้ำพริกหรือใช้รับประทานเป็นผักเคียงกับน้ำพริก หรือใช้ผลมะแว้งสด 5-6 ผลล้างให้สะอาดเคี้ยว กลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมแล้วคายทิ้ง หรือใช้ผลสด 5-10 ผลโขลกพอแตกคั้นเอาแต่น้ำใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อย ๆ เวลาไอ

5. มะขามป้อม (Indian Gooseberry)
มะขามป้อม มีสารที่ละลายน้ำได้ มีฤทธิ์ช่วยละลายเสมหะเป็นส่วนประกอบในการทำยาแก้ไอ ช่วยบรรเทาอาการไอ วิธีทำมะขามป้อมแก้ไอ สามารถกินสด หรือต้มกับน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย จิบเพื่อแก้ไอ ขับเสมหะ

6. สับปะรด (Pineapple)
สับปะรด มีโบรมีเลน (Bromelain) มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยรักษาอาการไอ ละลายเสมหะ แต่ก็ไม่ควรกิน หรือ ดื่มน้ำสับปะรด มากเกินไป เพราะอาจเกิดผลเสียกับร่างกายมีน้ำตาลสูงได้ ซึ่งสูตรสับปะรดแก้ไอทำได้ดังนี้ ขั้นแรกคั้นน้ำสับปะรดสด เติมเกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ เพื่อให้ชุ่มคอ

หากใช้สมุนไพรแก้ไอขับเสมหะแล้วไม่หาย หรือไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะ อาจต้องพึ่งยาแก้ไอ ขับเสมหะ และไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการเพิ่มเติมด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

การสูดดมไอน้ำบำบัดโรคทางเดินหายใจ

0
การสูดดมไอน้ำบำบัดโรคทางเดินหายใจ
การสูดดมไอน้ำ คือ การหายใจเข้าด้วยไอน้ำทุกวันจะช่วยป้องกันไม่ให้เยื่อเมือกแห้งตั้งแต่แรก และยิ่งเมือกเหนียวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งขับออกได้ยากมากเท่านั้น
การสูดดมไอน้ำบำบัดโรคทางเดินหายใจ
การสูดดมไอน้ำ คือ การหายใจเข้าด้วยไอน้ำทุกวันจะช่วยป้องกันไม่ให้เยื่อเมือกแห้งตั้งแต่แรก และยิ่งเมือกเหนียวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งขับออกได้ยากมากเท่านั้น

การสูดดมไอน้ำ

การสูดดมไอน้ำ (Steam inhalation) คือ การหายใจเข้าด้วยไอน้ำทุกวันจะช่วยป้องกันไม่ให้เยื่อเมือกแห้งตั้งแต่แรก และยิ่งเมือกเหนียวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งขับออกได้ยากมากเท่านั้น การสูดหายใจในอากาศที่ร้อนประมาณ 40-60 องศาจะช่วยเพิ่มความชื้นทำให้เสมหะที่ติดอยู่ในปอดและทางเดินหายใจดีขึ้น นอกจากนั้นทำให้การขับเสมหะออกมาทำได้ง่ายขึ้น

ประโยชน์ของการสูดดมไอน้ำ

การสูดดมไอน้ำเป็นวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย หรือแพทย์ทางเลือก แนะนำให้ผู้ป่วยทำเป็นประจำเพื่อให้จมูกโล่ง หายใจได้สะดวกขึ้น รักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล อาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะ ซึ่งเกิดจากการไหลเวียนของอากาศในไซนัสที่ไม่ดีจากเยื่อบุจมูกที่บวมไปอุดกั้นรูเปิดของไซนัสในโพรงจมูก และทำให้การพ่นยาชนิดต่าง ๆ เข้าไปในจมูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่วมกับการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือสามารถบรรเทาอาการโรคทางจมูก เช่น โรคไข้หวัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไซนัส โรคหืด นอกจากนั้นยังทำให้ทางเดินหายใจส่วนล่างโล่งขึ้น ช่วยลดการติดเชื้อทางเดินหายใจและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น

เตรียมอุปกรณ์การต้มน้ำสมุนไพร เพื่อการสูดไอน้้ำร้อน

1. เตรียมสมุนไพรสด ดังต่อไปนี้ กระชาย ขิง ตะไคร้ ข่า ผลมะกรูด หอมแดง สาระแหน่ กะเพรา ใบเตย และพิมเสนก้อน หรือแบบน้ำก็ได้
2. เตรียมน้ำสะอาด
3. เตรียมภาชนะที่มีปากกว้าง สำหรับใช้ต้มสมุนไพรทั้งหมด
4. เตรียมผ้าสะอาดผืนใหญ่ เพื่อนำมาคลุมศีรษะและภาชนะที่ต้มน้ำสมุนไพรจนเดือด

วิธีการต้มสมุนไพร เพื่อการสูดไอน้้ำร้อน

1. นำหม้อใส่น้ำสะอาดตั้งไฟ พร้อมกับใส่พิมเสนก้อนและสมุนไพรทั้งหมดที่เตรียมไว้ ปิดฝาต้มจนเดือด
2. ปิดไฟแล้วยกลงจากเตา เทน้ำสมุนไพรที่ต้มเสร็จใส่ภาชนะที่เตรียมไว้

การสูดดมไอน้ำสมุนไพรที่บ้านง่าย ๆ ด้วยตนเอง

การใช้ไอน้ำในการเปิดช่องจมูกทำเองได้ โดยการต้มน้ำร้อนและสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยแล้วเอนตัวลงไปเพื่อให้ใบหน้าอยู่เหนือภาชนะที่มีไอน้ำแล้วใช้ผ้าสะอาดผืนใหญ่คลุมศีรษะกับภาชนะที่มีไอน้ำนั้น แล้วสูดหายใจทางจมูกเข้าให้เต็มปอดทำซ้ำหลายครั้งติดต่อกัน การสูดไอน้ำร้อนควรทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อสูดไอน้ำร้อนให้ยาสมุนไพรเข้าไปสัมผัสกับเยื่อบุจมูกได้มากขึ้นและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น

คำแนะนำ

การสูดดมไอน้ำสำหรับผู้ใหญ่ควรใช้ระยะเวลาประมาณ 20 นาที และเด็กสำหรับเด็กเล็กควรใช้ระยะเวลาประมาณ 10 นาที
แล้วพักชั่วคราวโดยเอาหน้าออกจากภาชนะ

ข้อควรระวัง

การสูดดมไอน้ำควรทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากไอน้ำอาจร้อนเกินไปอาจทำให้ใบหน้าแสบไหม้ได้ แนะนำควรทิ้งไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ทำความรู้จักกับหอมแดง สมุนไพรที่คนไทยต้องเคยกิน!

0
10 ประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ของหอมแดงเพื่อสุขภาพ
หอมแดง เป็นพืชตระกูลกระเทียม หัวหอม และกุยช่าย ในหอมแดงสดมีเอนไซม์อัลลิเนส ซึ่งใช้ในการต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรีย
10 ประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ของหอมแดงเพื่อสุขภาพ
หอมแดง หอมหัวเล็ก หอมแกง เป็นพืชตระกูลกระเทียม หัวหอม และกุยช่าย มีเอนไซม์อัลลิเนส ซึ่งใช้ในการต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรีย

หอมแดง

หอมแดง (Shallot) คือ พืชในวงค์ตระกูล AMARYLIDACEAE ที่มีทั้งกระเทียม หัวหอม และกุยช่ายมีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ถือเป็นพืชชนิดหนึ่งที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทย และเป็นส่วนประกอบในอาหารไทยมากมาย ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักหอมแดงอย่างแน่นอน ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันเป็นอย่างดีว่าหอมแดงมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านใดบ้าง นอกจากจะสำคัญต่อสุขภาพแล้วหอมแดงถือเป็นพืชที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในไทยและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทางภาคเหนือในประเทศไทยเราถือเป็นแหล่งเพาะปลูกหอมแดงที่มีคุณภาพและโด่งดัง โดยเฉพาะจังหวัดศรีสะเกษ ในหอมแดงสดมีเอนไซม์อัลลิเนส (alliinase) เป็นสารประกอบกำมะถันปริมาณสูงจากธรรมชาติ ซึ่งใช้ในการต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันโรคหวัด คัดจมูก ช่วยรักษาการติดเชื้อและอาการแพ้ระบบทางเดินหายใจ เช่น เจ็บคอ มีเสมหะ ปวดหัว และแพ้อาหารบางชนิด รวมถึงสารสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นฉุนของหัวหอมแดง คือ Propenedisulphide ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดไขมันในเส้นเลือดและลดน้ำตาลกลูโคสในเลือด

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหอมแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium ascalonicum L.
ชื่อสามัญ : หอมแดงมีชื่อสามัญว่า “Shallot”
ชื่อท้องถิ่น : ชื่อทางภาคกลางเรียกว่า “หอมแกง หอมไทย หอมเล็ก หอมหัว” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ผักบั่ว” ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า “หอมหัวขาว หอมบัว หอมปั่ว” ส่วนภาคใต้เรียกว่า “หอมแกง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พลับพลึง (Amaryllidaceae)
ชื่อพ้อง : Allium carneum Willd., Allium fissile Gray, Allium hierochuntinum Boiss., Porrum ascalonicum

ลักษณะของหอมแดง

หอมแดง เป็นพืชที่มีลำต้นสั้นและฝังอยู่ใต้ดิน
ใบ : ใบเป็นลักษณะยาวกลม ผิวเรียบและตั้งตรงขึ้นฟ้า แต่ละต้นจะมีใบประมาณ 5 – 8 ใบต่อต้น
ราก : เป็นรากฝอยขึ้นบริเวณก้นของหัวหอม
ดอก : ดอกมีลักษณะเป็นช่อคล้ายร่ม ประกอบไปด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอก 6 กลีบ มีสีขาวอมม่วง มักจะออกดอกในช่วงฤดูร้อน
หัวหอมแดง : หัวมีลักษณะกลมสีม่วงอมแดง ประกอบด้วยหัวเล็ก ๆ อยู่รวมกันหลายหัว มีเปลือกบาง ๆ ห่อหุ้มอยู่ภายนอก เนื้อภายในจะมีสีม่วงอ่อน

คุณค่าทางโภชนาการของหอมแดง

หอมแดง  100 กรัม ให้พลังงาน 72 แคลอรี่ (Kcal)
สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โซเดียม 12 มิลลิกรัม
ไขมันทั้งหมด 0.1 กรัม
ไขมันอิ่มตัว 0 กรัม
คอเลสเตอรอล 0 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 334 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 17 กรัม
โปรตีน 2.5 กรัม
น้ำตาล 8 กรัม
ไฟเบอร์ หรือใยอาหาร 3.2 กรัม
วิตามินเอ 4 IU
แคลเซียม 37 มิลลิกรัม
วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.3 มิลลิกรัม

10 ประโยชน์ที่ของหอมแดงเพื่อสุขภาพ

หอมแดงสดอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการทั้งรสชาติเผ็ดและกลิ่นฉุน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งใยอาหารที่ดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น อัลลิซิน (allicin) เควอซิติน (quercetin) และเปปไทด์ (Peptide) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีคุณสมบัติต้านไวรัสและแบคทีเรีย

1. หอมแดงเต็มไปด้วยเปปไทด์และโปรตีน ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น ไข้หวัด คัดจมูก เจ็บคอ
2. บำรุงหัวใจให้แข็งแรง โดยการลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีและป้องกันการสะสมของไขมัน (คราบพลัค) เกาะที่ผนังหลอดเลือดแดง หอมแดงยังสามารถลดอาการของโรคหัวใจได้
3. ป้องกันโรคอ้วน และน้ำหนักเกิน เนื่องจากเอทิลอะซิเตทในหอมแดงช่วยป้องกันการก่อตัวของไขมันส่วนเกิน ดังนั้นการกินหอมแดงสดหรือใส่ในอาหาร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
4. ป้องกันโรคเบาหวาน จากการวิจับพบว่าสารประกอบฟลาโวนอยด์ในหอมแดงมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากการยับยั้งการสลายตัวของอินซูลินในตับ รวมถึงควบคุมการผลิตอินซูลินของร่างกายและช่วยรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ดี
5. ช่วยบรรเทาและรักษาอาการแพ้ หอมแดงมีคุณสมบัติต้านไวรัสและต้านเชื้อแบคทีเรีย หากเป็นหวัดการกินหอมแดงสามารถช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก เจ็บคอ และช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้
6. กระตุ้นการทำงานของสมองสูง
7. ช่วยป้องกันและชะลอการเกิดปัญหาสายตา ในหอมแดงมีวิตามินเออยู่มากซึ่งช่วยรักษาสายตาและลดโอกาสการเกิดต้อกระจกได้
8. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ในหัวหอมมีสารเคมีเอทิลอะซิเตทช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากหัวหอมมีคุณสมบัติต้านการอักเสบช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
9. หอมแดงที่มีธาตุเหล็กและทองแดงสูง สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการขยายหลอดเลือดในร่างกาย โดยการกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
10. หัวหอมและกระเทียมมีเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย การอักเสบ ไวรัส และการติดเชื้อทั้งที่พบได้บ่อยและอาการรุนแรง

แนะนำเมนูอาหารใส่หอมแดง

  • ไข่ตุ๋นหมูสับหอมแดง
  • ไข่เจียวหอมแดง
  • ยำปลากระป๋องใส่หอมแดง
  • ลาบหมูใส่หอมแดง
  • ยำไข่เค็มโรยหอมแดง

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานหอมแดงมากจนเกินไปหรือรับประทานบ่อยครั้งเพราะทำให้ผมหงอก มีกลิ่นตัว ตาฝ้ามัว ฟันเสีย และอาจทำให้มีอาการหลงลืมง่ายไปจนประสาทเสียได้
2. น้ำจากหอมแดงมีสารกำมะถันซึ่งทำให้แสบตา แสบจมูก และผิวหนังอาจมีอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อนได้ จึงไม่ควรทาใกล้บริเวณที่ผิวบอบบาง

เนื่องจากหัวหอมแดงอุดมไปด้วยกรดโฟลิก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าโดยการลดระดับโฮโมซิสเทอีนในร่างกาย ดังนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในอาหารไทยหลากหลายเมนู มีกลิ่นที่ค่อนข้างแรงแต่เมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึกโล่งจมูก ถือเป็นพืชที่นิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณมากมายและเป็นสมุนไพรที่คนไทยต้องเคยกิน ไม่ว่าจะกินสดหรือจากส่วนประกอบในเมนูอาหารต่าง ๆ สรรพคุณที่โดดเด่นของหอมแดงเลยก็คือช่วยเผาผลาญอาหารในร่างกาย เป็นยาถ่าย บำรุงเลือดและช่วยแก้หวัดได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ฝอยทอง ขนมไทยมงคล พร้อมสูตรทำแบบดั้งเดิม

0
ฝอยทอง ขนมไทยมงคล พร้อมสูตรทำแบบดั้งเดิม
สูตรขนมฝอยทอง ขนมไทยมงคล
ขนมฝอยทอง เป็นขนมที่มีลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย

สูตรขนมฝอยทอง ขนมไทยมงคล

ฝอยทอง (Golden Thread) เป็นขนมต้นตำรับจากโปรตุเกสที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยเส้นฝอยสีทองอร่าม ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด นำมาหยดลงในน้ำเชื่อมเดือดจนได้เส้นที่บางและเงางาม คนโปรตุเกสมักรับประทานฝอยทองคู่กับขนมปัง อาหารจานหลักที่มีเนื้อสัตว์ หรือใช้เป็นส่วนประกอบของขนมเค้กเพิ่มความหวานละมุน ขนมชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากเมืองอาไวรู ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของโปรตุเกสและมีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรมการทำขนมแบบดั้งเดิม

ความเป็นมาของขนมฝอยทอง

ความเป็นมาของขนมฝอยทองขนมฝอยทอง เป็นขนมมงคลของไทยจากหลักฐานมีการริเริ่มในสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบการถ่ายทอดโดยท้าวทองกีบม้ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น ฝอยทองลักษณะเป็นเส้นเล็กฝอย ๆ สีเหลืองทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ดแล้วนำเคี่ยวในน้ำเชื่อมจะมีกลิ่นหอมของใบเตย และน้ำลอยดอกมะลิ ฝอยทองมีการเผยแพร่
ความรู้ให้กับคนไทยในประเทศไทยพร้อมกับขนมทองหยิบและขนมทองหยอด มีรูปลักษณ์โดดเด่นรวมถึงรสชาติที่อร่อย หอมกลิ่นดอกไม้จากธรรมชาติ กลิ่นอบควันเทียน มักนำมาใช้ประกอบในพิธีมงคลต่าง ๆ หรือมอบเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญแทนคำอวยพรให้ร่ำรวยมีเงินมีทอง

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทอง

  • อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทองไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต
  • กระทะทองเหลือง
  • ถาดรองน้ำเชื่อม
  • กรวยโลหะ
  • ดอกมะลิสด
  • ตะแกรง
  • ใบเตยสด

ส่วนผสมขนมฝอยทอง
1. ไข่เป็ด 5 ฟอง (เฉพาะไข่แดง)
2. ไข่ไก่ 5 ฟอง (เฉพาะไข่แดง)
3. น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
4. น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง
5. ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ (ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านบน)
6. น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
7. เทียนอบ 1 ชิ้น
8. ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)
9. กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
10. ใบเตย 3-5 ใบ (มัดรวมกัน)

วิธีทำขนมฝอยทอง

1. ทำน้ำเชื่อม โดยการนำน้ำลอยดอกมะลิ เทน้ำตาลในกระทะทองเหลือง แล้วยกตั้งไฟโดยใช้ไฟปานกลาง รอจนเดือด
2. ใช้ไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออกตีไข่แดงให้เข้ากัน
3. ผสมไข่แดง ไข่น้ำค้าง และน้ำมันพืช คนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวย และนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลือง
ประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลมสอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการวางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำเชื่อม
5. จัดใส่จาน เสิร์ฟเป็นของว่างทานเล่นในวันสบายๆ

เคล็ดลับ : ถ้าต้องการฝอยทองเส้นเล็กให้ยกกรวยสูงจากน้ำเชื่อม แต่ถ้าต้องการฝอยทองเส้นใหญ่ ก็ให้ถือกรวยต่ำ ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมฝอยเงิน ขนมไทยมงคลเสริมความร่ำรวย

0
สูตรขนมฝอยเงิน ขนมไทยมงคลเสริมความร่ำรวย
ขนมฝอยเงิน หรือ ไข่ในรัง เป็น ขนมไทยที่หาทานได้ยากเนื่องจากไข่น้ำค้าง ปัจจุบันทำจากไข่ขาวซึ่งหาได้ง่าย ความอร่อยอยู่ที่ไข่ขาวจะต้องไม่มีกลิ่นคาว
สูตรขนมฝอยเงิน ขนมไทยมงคลเสริมความร่ำรวย
ขนมฝอยเงิน หรือ ไข่ในรัง เป็น ขนมไทยที่หาทานได้ยากเนื่องจากไข่น้ำค้าง ปัจจุบันทำจากไข่ขาวซึ่งหาได้ง่าย ความอร่อยอยู่ที่ไข่ขาวจะต้องไม่มีกลิ่นคาว

ขนมฝอยเงิน

ขนมฝอยเงิน (Silver thread) หรือ ไข่ในรัง คือ ขนมไทยที่หาทานได้ยากเนื่องจากไข่น้ำค้างที่เป็นส่วนประกอบหลักมีน้อยมาก (ไข่ขาวส่วนนอกที่มีลักษณะค่อนข้างเหลว และใสกว่าไข่ขาวชั้นใน) มักทานคู่กันกับขนมฝอยทองเชื่อกันว่ากินแล้วจะเสริมโชคลาภและความร่ำรวย ในปัจจุบันขนมฝอยเงินทำจากไข่ขาวซึ่งหาได้ง่าย ความอร่อยอยู่ที่ไข่ขาวจะต้องไม่มีกลิ่นคาว โดยแบ่งน้ำเชื่อมออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ใช้สำหรับโรยไข่ขาวลงไปในน้ำเชื่อม ส่วนที่ 2 นำน้ำเชื่อมมาเจือจางแล้วใส่ขิงทุบห่อด้วยผ้าขาวบางใส่ลงไปในน้ำเชื่อมเพื่อดับกินคาว จะได้กลิ่นดอกมะลิในน้ำเชื่อมเป็นการเพิ่มความอร่อย หอม หวานให้กับขนมฝอยเงินตามสูตรโบราณ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทอง

  • ไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต
  • กระทะทองเหลือง
  • ถาดรองน้ำเชื่อม
  • กรวยโลหะ
  • ดอกมะลิสด
  • ตะแกรง
  • ขิงแก่สด

ส่วนผสมขนมฝอยทอง

1.ไข่เป็ด 5 ฟอง (เฉพาะไข่ขาว)
2.ไข่ไก่ 5 ฟอง (เฉพาะไข่ขาว)
3.น้ำตาลทราย 2 ½ ถ้วยตวง
4.น้ำเปล่า 500 กรัม
5.ขิงแก่หั่นแว่น 3-5 ชิ้น
6.น้ำลอยดอกมะลิ 400 กรัม

วิธีทำขนมฝอยทอง

1. ตอกไข่ขาวลงในถ้วยแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
2. นำกะทะตั้งไฟเทน้ำเปล่าแล้วน้ำตาลทราย ขิงหั่นลงไป (เพื่อทำน้ำเชื่อมอ่อน) คนจนน้ำตาลละลายจนหมดยกลง (พักไว้)
3. นำกะทะตั้งไฟเทน้ำลอยดอกมะลิแล้วน้ำตาลทรายลงไป (เพื่อทำน้ำเชื่อมเข้มขน) ตั้งไฟต้มจนน้ำเชื่อมเดือด
4. ใส่ไข่ขาวลงไปในกรวยแล้วนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่ขาวสุกลอยขึ้นมาจึงใช้ไม้แหลมตักเส้นฝอยเงินขึ้นมา นำเส้นฝอยเงินที่ได้ใส่ลงในน้ำเชื่อมแบบอ่อนที่เตรียมไว้
5. หลังจากนั้นใช้ไม้แหลมตักขึ้นแล้วม่วนให้มีลักษณะคล้ายรังไหมกลมยาว
6. จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

ฝอยเงินเป็นเมนูขนมไทยมงคลที่นิยมเสิร์ฟคู่กับฝอยทอง เชื่อว่าเมื่อกินแล้วจะเสริมโชคลาภและความร่ำรวย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมหม้อแกง ขนมไทยโบราณยอดนิยม 

0
ขนมหม้อแกง ขนมไทยโบราณยอดนิยม 
ขนมหม้อแกง เป็น ขนมไทยที่ได้รับความนิยมในโบราณ ใช้หม้อดินในการทำขนม และมีหลายสูตร เช่น หม้อแกงถั่ว หม้อแกงไข่ หม้อแกงเผือก และหม้อแกงเม็ดบัว
ขนมหม้อแกง ขนมไทยโบราณยอดนิยม 
ขนมหม้อแกง เป็น ขนมไทยที่โบราณ ใช้หม้อดินในการทำขนม และมีหลายสูตร เช่น หม้อแกงถั่ว หม้อแกงไข่ หม้อแกงเผือก และหม้อแกงเม็ดบัว

ขนมหม้อแกง

ขนมหม้อแกง (Thai Mung Bean Custard) คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ริเริ่มโดยชาวต่างชาติมีชื่อว่า คุณท้าวทองกีบม้า หรือ มารีกีมาร์ เป็นผู้สอนให้คนไทยซึ่งเป็นลูกหลานคนเมืองเพชรเดิมใช้หม้อดินในการทำขนมหม้อแกง ซึ่งมีหลายแบบเรียกชื่อตามส่วนผสมสูตรดั้งเดิม เช่น ขนมหม้อแกงถั่ว ขนมหม้อแกงไข่ ขนมหม้อแกงเผือก ขนมหม้อแกงเม็ดบัว และขนมหม้อแกงฝอยทอง จากการสันนิษฐานว่า “กีมาร์ ” มีส่วนประกอบหลักเผือกนึ่ง ถั่วนึ่ง ไข่เป็ด น้ำตาลโตนด กะทิ แป้งข้าวเจ้า

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมหม้อแกงถั่ว

  • เครื่องปั่น
  • ถาดฟอยล์ขนาด 25 เซ็นติเมตร
  • ไมโครเวฟ

ส่วนผสม ขนมหม้อแกงถั่ว

  • ถั่วเขียวซีกนึ่งบดละเอียด 200 กรัม
  • ไข่เป็ด (ขนาดใหญ่) 5 ฟอง
  • ใบเตย 5 ใบ
  • น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
  • หัวกะทิ 400 กรัม
  • หอมแดงเจียว 50 กรัม
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำขนมหม้อแกงถั่ว

1. ตอกไข่เป็ดทั้งหมดลงในกะละมังสแตนเลสก้นลึก
2. ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปทั้งหมด แล้วนำใบเตยมาขยำกับไข่และน้ำตาลให้เป็นเนื้อเดียวกัน
3. แล้วเติมกะทิลงให้ขยำให้เข้ากัน นำไปกรองด้วยผ้าขาวบางเตรียมไว้
4. นำถั่วเขียวซีกที่นึ่งแล้วมาบดให้ละเอียดเทใส่หม้อ หลังจากนั้นนำส่วนผสมที่กรองเรียบร้อยแล้วมาเทใส่ลงไปคนให้เข้ากัน ยกตั้งไฟคนให้พอเข้นๆ แล้วปิดไฟ
5. ตักส่วนผสมที่ถาดฟอยล์ประมาณ 3 ส่วน 4 (ไม่ต้องเต็มถาด) ใช้ไม้จิ้มฟันคนไม่ให้มีฟองอากาศ
6. นำไปอบด้วยไมโครเวฟ โดยวอมเตาอบก่อน 5-10 นาที ใช้อุณหภูมิ 180 องศา (ใช้ไฟบน-ล่าง) ตั้งเวลา 30 นาทีหรือจนกว่าขนมจะสุก
7. ยกออกจากเตาไมโครเวฟ รอให้เย็นแล้วตักหอมเจียวโรยหน้า พร้อมเสิร์ฟ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม