คันทรง ช่วยแก้ไข้ บรรเทาอาการปวด ช่วยให้นอนหลับและแก้อาการบวมน้ำ

0
คันทรง ช่วยแก้ไข้ บรรเทาอาการปวด ช่วยให้นอนหลับและแก้อาการบวมน้ำ
คันทรง หรือผักก้านตรงนิยมรับประทานเป็นยา ดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ผลเรียงห้อยลงเป็นแถว ๆ ตามกิ่ง
คันทรง ช่วยแก้ไข้ บรรเทาอาการปวด ช่วยให้นอนหลับและแก้อาการบวมน้ำ
คันทรง หรือผักก้านตรงนิยมรับประทานเป็นยา ดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ผลเรียงห้อยลงเป็นแถว ๆ ตามกิ่ง

คันทรง

คันทรง (Colubrina asiatica) หรือเรียกกันว่า “ผักก้านตรง” เป็นผักที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยแต่มีสรรพคุณมากมายและเป็นต้นที่นิยมนำมารับประทานเป็นยาอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ทั้งนี้ถือเป็นต้นที่มีโทษเช่นกัน นอกจากจะเป็นยาแล้วยังสามารถนำมารับประทานหรือเป็นส่วนประกอบของอาหารในเมนูต่าง ๆ ได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของคันทรง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Colubrina asiatica (L.) Brongn.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “คันซง คันซุง คันชุง คันทรง” ภาคเหนือเรียกว่า “ก้านถึง ก้านเถิ่ง ก้านเถิง ผักก้านเถิง” ภาคใต้เรียกว่า “กะทรง ทรง” ชาวกะเหรี่ยงและแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “เพลโพเด๊าะ” จังหวัดสุรินทร์เรียกว่า “ก้านตรง” ลั้วะเรียกว่า “ผักหวานต้น” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ก้านเถง ผักก้านตรง ผักก้านถึง ผักคันทรง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พุทรา (RHAMNACEAE)

ลักษณะของคันทรง

คันทรง เป็นไม้พุ่มขนาดกลางกึ่งไม้เลื้อยที่คาดว่ามีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย มักจะพบได้มากทางภาคเหนือตามป่าราบ ป่าดงดิบ ป่าละเมาะ หรือที่รกร้างข้างทางทั่วไป
ลำต้น : ตั้งตรงและแตกกิ่งก้านมากตั้งแต่โคนต้น กิ่งก้านมีขนาดเล็กและกลม มีสีเขียวเข้มเป็นมัน
เปลือกต้น : เป็นสีเทา มีรอยแตกเป็นร่องตื้น ๆ ถี่ ๆ และตามลำต้นจะมีตาที่ทิ้งใบเป็นตุ่มห่าง ๆ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปวงรี รูปไข่ รูปไข่กว้างหรือรูปหัวใจ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือแหลม ขอบใบหยักมนแกมจักเป็นฟันเลื่อยละเอียด แผ่นใบบาง หลังใบเรียบเป็นมันและมีสีเขียวเข้มกว่าท้องใบ ท้องใบเรียบมีขนที่เส้นใบ ผิวใบทั้งสองด้านมันเงา
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกเล็ก ๆ ตามซอกใบและตามกิ่ง ก้านเรียงเป็นแถวช่อเล็ก ๆ ดอกย่อยมีขนาดเล็กและมีสีเหลืองอ่อนปนเขียว มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลักษณะของดอกเป็นรูปจาน ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม
ผล : เป็นผลเดี่ยวรูปทรงกลมหรือกลมแป้น ที่ขั้วผลมีวงกลีบเลี้ยงสีเขียวติดอยู่ เรียงห้อยลงเป็นแถว ๆ ตามกิ่ง ปลายผลเว้าเข้า แบ่งออกเป็นพู 3 พู ผลอ่อนเป็นสีเขียวแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อผลแก่ ผิวเรียบเป็นมัน
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวน 3 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะแบนและเป็นสีดำหรือเป็นสีน้ำตาลเทา

สรรพคุณของคันทรง

  • สรรพคุณจากใบ ทำให้เจริญอาหาร มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน แก้อาการบวมน้ำ แก้น้ำเหลืองเสีย
    – บรรเทาอาการระคายเคืองที่ผิว อาการแพ้ ผื่นคัน โรคผิวหนังอักเสบ ฝี และช่วยรักษาโรคผิวหนังได้บางชนิด ด้วยการนำใบมาต้มแล้วทา
  • สรรพคุณน้ำมันจากเมล็ด แก้อาการปวดศีรษะ เป็นยาแก้ไข้ แก้อาการชา ช่วยบรรเทาอาการปวด แก้อาการปวดตามร่างกาย รักษาโรคข้อรูมาติก
  • สรรพคุณจากราก แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการบวมน้ำ แก้น้ำเหลืองเสีย
    – เป็นยาเย็น ช่วยแก้พิษร้อนถอนพิษไข้ โดยนิยมใช้รากคันทรงร่วมกับรากย่านางและรากผักหวานบ้าน เพื่อใช้เป็นยาหลักในตำรับยาแก้ไข้ แก้ไข้พิษ ไข้ออกตุ่มต่าง ๆ
    – แก้ตานขโมยในเด็ก เป็นยาแก้บวม ด้วยการนำรากมาฝนกับน้ำมะพร้าวแล้วรับประทาน
  • สรรพคุณจากผล มีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน
  • สรรพคุณจากต้น
    – บรรเทาอาการของโรคกระเพาะอาหาร ด้วยการนำต้นมาต้มรับประทาน
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น แก้อาการบวมน้ำ แก้น้ำเหลืองเสีย
  • สรรพคุณจากเปลือกต้นและใบ
    – แก้อาการบวมทั้งตัวเนื่องจากไตและหัวใจพิการ แก้เม็ดผื่นคันตามตัว แก้อาการเหน็บชา ด้วยการนำเปลือกต้นและใบใช้ต้มอาบ

ประโยชน์ของคันทรง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนและยอดอ่อนนำมานึ่งหรือต้มใช้รับประทานเป็นผักจิ้มร่วมกับน้ำพริก เป็นผักรองห่อหมก นำมาผัดกับน้ำมันและยังนำมาใส่ในแกงแคร่วมกับผักอื่น ๆ
2. ใช้ในอุตสาหกรรม เป็นยาเบื่อปลา ชาวฮาวายจะใช้ใบแทนสบู่

ข้อควรระวังของคันทรง

1. ใบและผลมีสารซาโปนินซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน บริโภคมากเกินไปอาจทำให้เกิดอันตรายได้
2. ผลทำให้แท้งบุตร สำหรับสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานทั้งผลและใบ

คันทรง เป็นผักที่มีทั้งประโยชน์และโทษหากรับประทานมากจนเกินควร ถือเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยแก้อาการได้หลากหลาย มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ แก้อาการปวด ช่วยให้นอนหลับและแก้อาการบวมน้ำ เป็นต้นที่ไม่มีลักษณะโดดเด่นเมื่อเห็นแต่มีสรรพคุณมากมายที่ไม่ควรมองข้าม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “คันทรง (Khan Song)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 78.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “คัดเค้า”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 179.
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “คันทรง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [17 ก.พ. 2014].
หนังสือผักพื้นบ้านภาคเหนือ. “ผักคันทรง”. (สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2542)
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “คันทรง, ก้านเถง, ผักก้านถึง”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [17 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “คันทรง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [17 ก.พ. 2014].
วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี. “ผักก้านตรง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: rspg.svc.ac.th. [17 ก.พ. 2014].

คัดเค้า สรรพคุณที่ยอดเยี่ยมต่อระบบเลือด เหมาะสำหรับสตรีมีประจำเดือน

0
คัดเค้า สรรพคุณที่ยอดเยี่ยมต่อระบบเลือด เหมาะสำหรับสตรีมีประจำเดือน
คัดเค้า มีลักษณะเด่นอยู่ที่มีหนามแหลมคล้ายกับเขาควายข้อละหนึ่งคู่ มีดอกขนาดเล็กสีขาวและมีกลิ่นหอม
คัดเค้า สรรพคุณที่ยอดเยี่ยมต่อระบบเลือด เหมาะสำหรับสตรีมีประจำเดือน
คัดเค้า มีลักษณะเด่นอยู่ที่มีหนามแหลมคล้ายกับเขาควายข้อละหนึ่งคู่ มีดอกขนาดเล็กสีขาวและมีกลิ่นหอม

คัดเค้า

คัดเค้า (Siamese randia) มีลักษณะเด่นอยู่ที่มีหนามแหลมคล้ายกับเขาควายข้อละหนึ่งคู่ มีดอกขนาดเล็กสีขาวและมีกลิ่นหอม เหมาะสำหรับปลูกประดับหรือกันสัตว์เข้ามาในบริเวณบ้าน สามารถนำมารับประทานได้และเป็นยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณจากทุกสัดส่วนของต้นแม้กระทั่งหนามที่แหลมคม

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของคัดเค้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oxyceros horridus Lour.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Siamese randia”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “คัดเค้า คัดค้าว” ภาคเหนือเรียกว่า “เค็ดเค้า” ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “คัดเค้า คันเค่า” ภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้เรียกว่า “เขี้ยวกระจับ” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “จีเก๊า จีเค้า โยทะกา หนามลิดเค้” จังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “จีเค๊า พญาเท้าเอว” จังหวัดชัยภูมิเรียกว่า “คัดเค้าหนาม” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “คัดเค้าเครือ” มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “จี้เค้า หนามเล็บแมว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เข็ม (RUBIACEAE)
ชื่อพ้อง : Randia siamensis (Miq.) Craib

ลักษณะของต้นคัดเค้า

คัดเค้า เป็นพรรณไม้เถาเนื้อเหนียวแข็งหรือไม้พุ่มรอเลื้อยที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะพบในป่าเบญจพรรณตามภาคต่าง ๆ ตามสวน ตามที่รกร้างว่างเปล่า หรือมักปลูกกันไว้ตามบ้านหรือตามวัดเพื่อใช้ทำเป็นยา
เปลือกลำต้น : ผิวเรียบและเป็นสีน้ำตาล
ลำต้น : ลำต้นคดและยาว มักจะขึ้นพาดพันเลื้อยไปตามต้นไม้และกิ่งไม้ หากไม่มีที่เลื้อยพันก็จะเป็นไม้กึ่งเลื้อยกึ่งยืนต้นคล้ายกับนมแมว ตามลำต้นมีข้อ ซึ่งจะมีใบงอกออกเป็นคู่ ๆ และจะมีหนามแหลมโค้งงองุ้มออกจากโคนใบมีลักษณะคล้ายกับเขาควายข้อละหนึ่งคู่
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นรูปวงรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ หลังใบเรียบเป็นสีเขียวเข้มและเป็นมัน ท้องใบเรียบลื่นและมีสีอ่อนกว่า เนื้อใบเหนียว หนาและแข็ง มีหูใบขนาดเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ระหว่างก้านใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกเป็นช่อใหญ่ ดอกย่อยมีขนาดเล็กสีขาวและมีกลิ่นหอม ลักษณะคล้ายดอกเข็ม มีกลีบดอก 5 กลีบ เมื่อดอกบานเต็มที่กลีบดอกจะบิด กลีบเลี้ยงเป็นสีขาวอมสีเขียว ดอกจะบานพร้อมกันทั้งช่อ เมื่อดอกเริ่มบานจะเป็นสีขาวนวลแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวลในวันต่อมา ดอกจะส่งกลิ่นหอมแรงมากในช่วงเย็นถึงช่วงกลางคืน มักจะออกดอกในช่วงปลายฤดูฝนจนถึงช่วงฤดูหนาว
ผล : ออกผลเป็นพวงหรือออกเป็นกลุ่ม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมหรือกลมวงรี ผิวเรียบและเป็นมัน ผลมีขนาดเท่าเมล็ดพุทรากลม ๆ ปลายผลแหลม ผลเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กอัดแน่นกันเป็นจำนวนมาก เมล็ดมีขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟ

สรรพคุณของคัดเค้า

  • สรรพคุณจากคัดเค้า แก้อาการไอ
  • สรรพคุณจากผล บำรุงโลหิต บำรุงผิวพรรณ
    – เป็นยาฟอกโลหิต ด้วยการนำมาต้มแล้วรับประทาน
    – เป็นยาขับระดูหรือขับโลหิตประจำเดือนเสียของสตรี ด้วยการใช้ผลประมาณ 1 กำมือ มาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น
  • สรรพคุณจากเถา แก้โลหิต
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้โลหิต แก้เสมหะ
    – รักษาฝีทั้งภายนอกและภายใน ด้วยการนำทั้งห้าส่วนมาต้มเป็นยารับประทาน
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาขับโลหิต เป็นยารักษาไข้เพื่อโลหิต เป็นยารักษาโรครัตตะปิดตะโรค ช่วยขับลม เป็นยาขับระดูหรือขับโลหิตประจำเดือนเสียของสตรี
    – เป็นยาแก้ไข้ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน แก้อาการท้องเสีย ด้วยการนำรากมาฝนกับน้ำแล้วดื่ม
    – รักษาฝีและรักษาแผลทั่วไป โดยเฉพาะแผลสุนัขกัด ด้วยการนำรากมาฝนกับน้ำซาวข้าว
  • สรรพคุณจากใบ แก้โลหิตซ่าน
    – – เป็นยาแก้ไข้ ด้วยการนำใบมาแช่กับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากดอก แก้โลหิตในกองกำเดา
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น ช่วยปิดธาตุ แก้เลือดออกตามทวารทั้งเก้า ช่วยรีดมดลูก
  • สรรพคุณจากหนาม แก้พิษไข้กาฬ เป็นยาลดไข้ ช่วยลดความร้อนในร่างกาย แก้พิษฝีต่าง ๆ แก้ฝีประคำร้อย
  • สรรพคุณจากยอด
    – รักษาฝี ด้วยการนำยอดมาขยี้หรือตำแล้วพอก

ประโยชน์ของคัดเค้า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนสามารถนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารหรือใช้รับประทานแกล้มกับลาบ ผลอ่อนหรือผลแก่นำมาลวกให้สุกใช้รับประทานเป็นผักเหนาะหรือผักสดร่วมกับน้ำพริกได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้เลื้อยตามซุ้มหรือตามรั้วเพื่อทำเป็นรั้วป้องกัน ปลูกเป็นไม้ประดับในบ้าน
3. ใช้ในอุตสาหกรรม มีสารจำพวกไตรเทอร์ปีนซาโปนินที่มีฤทธิ์เป็นยาเบื่อปลา

คัดเค้า เป็นไม้พุ่มที่สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาทำเป็นยาได้ โดยส่วนรากมีรสฝาดเย็น ใบมีรสเฝื่อนเมา ผลมีรสเฝื่อนปร่า ทั้งต้นมีรสฝาดเฝื่อน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เป็นต้นที่มีเอกลักษณ์ในส่วนของหนามแหลมคมและยังนำมาทำเป็นยาได้ด้วย มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงโลหิต รักษาฝีและแก้ไข้ ส่วนมากจะช่วยในเรื่องระบบเลือดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “คัดเค้า”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 177.
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “คัดเค้า (Khut Khao)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 77.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “”คัดเค้าเครือ””. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 99.
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “คัดเค้า (คัดเค้าเครือ)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [16 ก.พ. 2014].
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “คัดเค้า”. (นพพล เกตุประสาท, ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [16 ก.พ. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 319 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “คัดเค้า ความหอมอย่างไทย จากป่าไทย”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [16 ก.พ. 2014].
สมุนไพรไทย, มหาวิทยาลัยนเรศวร. “สมุนไพรไทยคัดเค้าเครือ”. (วชิราภรณ์ ทัพผา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th/46313433/Thaiherb/. [16 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “คัดเค้า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [16 ก.พ. 2014].
ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “คัดเค้า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [16 ก.พ. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “คัดเค้าเครือ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [16 ก.พ. 2014].
OK Nation Blog. “คัดเค้า ไม้หอม ยาไทยใกล้ตัว”. (ชบาตานี). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.oknation.net. [16 ก.พ. 2014].

กล้วยนวล หรือกล้วยหัวโต กล้วยหายากแต่มีรสชาติหอมหวาน

0
กล้วยนวล หรือกล้วยหัวโต กล้วยหายากแต่มีรสชาติหอมหวาน
กล้วยนวล กล้วยอบิสซิเนีย เป็นกล้วยที่ค่อนข้างหายากและมีรสหอมหวาน ชาวเมี่ยนนิยมนำมาประกอบของอาหาร
กล้วยนวล หรือกล้วยหัวโต กล้วยหายากแต่มีรสชาติหอมหวาน
กล้วยนวล กล้วยอบิสซิเนีย เป็นกล้วยที่ค่อนข้างหายากและมีรสหอมหวาน ชาวเมี่ยนนิยมนำมาประกอบของอาหาร

กล้วยนวล

กล้วยนวล (Ensets) หรือเรียกกันว่า “กล้วยหัวโต” เป็นกลุ่มของกล้วยอบิสซิเนียที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เป็นกล้วยที่ค่อนข้างหายากและมีรสหอมหวาน มีผลและดอกที่โดดเด่นอยู่บนต้น กล้วยนวลนั้นนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารโดยเฉพาะชาวเมี่ยน และยังนำมาเป็นไม้ประดับสวนได้อีกด้วย

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกล้วยนวล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ensete glaucum (Roxb.) Cheesman
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Elephant banana” “Ensets”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “กล้วยหัวโต” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “กล้วยศาสนา” จังหวัดน่านเรียกว่า “กล้วยโทน” ชาวเมี่ยนเรียกว่า “กล้วยญวน แอพแพละ นอมจื่อต๋าง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กล้วย (MUSACEAE)
ชื่อพ้อง : Musa glauca Roxb.

ลักษณะของกล้วยนวล

กล้วยนวล เป็นไม้ล้มลุกที่มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย เนปาล พม่า จีนตอนใต้ และในภูมิภาคมาเลเซียรวมไปถึงนิวกินีและฟิลิปปินส์ ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค
ลำต้น : ลำต้นเดี่ยว ไม่มีไหล น้ำยางเป็นสีเหลืองอมส้ม เป็นไม้ล้มลุกที่มีกาบใบกลายเป็นลำต้นเทียม ลำต้นเทียมมีจุดสีดำม่วงกระจาย ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก โคนต้นกว้างอวบใหญ่ ส่วนกาบลำต้นเป็นสีเขียวและมีนวลหนาสีขาว ไม่มีหน่อที่โคนต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวรูปวงรียาวขอบขนาน ปลายใบยาวคล้ายหาง ส่วนโคนใบมีลักษณะเป็นรูปลิ่ม แผ่นใบเกลี้ยงเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบมีนวลหนา ก้านใบยาวเป็นสีเขียวนวลและมีร่องเปิดที่เส้นกลางใบ มีก้านใบสั้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่คล้ายระฆังห้อยดิ่งลง ปลีมีใบประดับขนาดใหญ่สีเขียวเรียงสลับและชิดติดกันตั้งแต่โคนจนถึงปลาย ช่อดอกหรือปลีมีลักษณะเป็นรูปกรวย มีใบประดับเรียงซ้อนเหลื่อมกัน มีนวลติดทนอยู่ด้านใน กลีบรวมเชื่อมติดกัน
ผล : ผลอยู่รวมกันเป็นหวีภายในปลี เป็นผลเดี่ยวรูปวงรีสั้น ๆ และมีสันตามยาว ภายในผลมีเนื้อเยื่อบาง ๆ
เมล็ด : เมล็ดมีสีดำขนาดใหญ่ ผิวเรียบและแข็งมาก

สรรพคุณของกล้วยนวล

  • สรรพคุณจากรากเหง้า เป็นยาแก้ถ่ายท้อง
  • สรรพคุณจากน้ำใสที่อยู่ในโพรงหัว รักษาผมร่วง

ประโยชน์ของกล้วยนวล

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลอ่อนนำมาใช้ทำส้มตำกล้วย รับประทานสดหรือจะใช้ผลดิบเป็นเครื่องเคียง ยอดอ่อนนำมาใช้ทำแกงหยวกกล้วยใส่ไก่ ชาวเมี่ยนนิยมนำปลีกล้วยไปทำแกง
2. ใช้ในการเกษตร กาบกล้วยใช้เป็นอาหารสุกร
3. เป็นไม้ปลูกประดับ
4. ประยุกต์ใช้ ใบนำมาใช้รองผักหญ้าหรือรองข้าวเหนียวตอนอุ่นในลังถึง กาบใบนำมาทำเชือกสำหรับรัดสิ่งของหรือใช้สับทำปุ๋ยใส่โคนต้นไม้อื่น

กล้วยนวล เป็นไม้ล้มลุกที่หาได้ยากแต่มีรสชาติหวานอร่อย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย ชาวเมี่ยนนิยมนำไปทำแกง นอกจากนั้นยังเป็นไม้ประดับสวนและใช้เป็นเชือกได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาแก้ถ่ายท้องและรักษาผมร่วงได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “กล้วยนวล”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, รศ.ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 65.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “กล้วยหัวโต, กล้วยนวล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [02 ก.พ. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “กล้วยนวล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [02 ก.พ. 2014].
สำนักงานหอพรรณไม้, สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. (29 พฤศจิกายน 2547). “กล้วยนวล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [02 ก.พ. 2014].
ห้องสมุดความรู้การเกษตร, กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. “กล้วยนวล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doae.go.th/library/html/index_netscape.html. [02 ก.พ. 2014].

ย่านางแดง เป็นสมุนไพรล้างพิษ แก้ไข้และเป็นยาอายุวัฒนะ

0
ย่านางแดง เป็นสมุนไพรล้างพิษ แก้ไข้และเป็นยาอายุวัฒนะ
ย่านางแดง เป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น ไม้เถาเลื้อยมีดอกสีแดงสด ฝักแบนขอบขนาน ปลายฝักแหลม โคนรูปหอก เปลือกฝักแข็ง
ย่านางแดง เป็นสมุนไพรล้างพิษ แก้ไข้และเป็นยาอายุวัฒนะ
ย่านางแดง เป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น ไม้เถาเลื้อยมีดอกสีแดงสด ฝักแบนขอบขนาน ปลายฝักแหลม โคนรูปหอก เปลือกฝักแข็ง

ย่านางแดง

ย่านางแดง หรือเรียกกันว่า “เครือขยัน” มีดอกสีแดงสดชวนให้สะดุดตาอยู่บนต้น เป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องของยาอายุวัฒนะและแก้กรดไหลย้อน ในปัจจุบันพบย่านางแดงได้ในรูปแบบของชาทีมินและสมุนไพรอภัยภูเบศร เป็นต้นที่หาได้ง่ายและเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงยาสมุนไพร

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของย่านางแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bauhinia strychnifolia Craib.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “เครือขยัน” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “หญ้านางแดง” จังหวัดตากและลำปางเรียกว่า “สยาน” มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “ขยัน เถาขยัน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของย่านางแดง

ย่านางแดง เป็นไม้เถาเลื้อยที่มักจะพบตามป่าเบญจพรรณที่แห้งแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าแดง ป่าดิบเขาและตามที่โล่งแจ้ง
เถา : เปลือกเถาเรียบ เถามีขนาดกลางและแบน มีร่องตรงกลาง เปลือกเถาเป็นสีเทาน้ำตาล เถาแก่มีลักษณะกลมและเป็นสีน้ำตาลแดง มีมือสำหรับการยึดเกาะออกเป็นคู่ ๆ ปลายม้วนงอ
ราก : มีผิวขรุขระสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีดำ มีรอยบากตามขวางเล็ก ๆ ทั่วไป ลักษณะของเนื้อไม้ภายในรากเป็นสีน้ำตาลแดง
ใบ : มีใบดกและหนาทึบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปวงรีแกมรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าตื้น ๆ หรือมีลักษณะกลมไปจนถึงรูปหัวใจตื้น ขอบใบเรียบ ผิวใบมันเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบและหลังใบเรียบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะตามปลายกิ่ง เป็นรูปทรงกระบอกแคบและโค้งเล็กน้อย ปลายบานและห้อยลง ช่อดอกมีดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีแดงสด 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กลับ มีขนสีขาวขึ้นปกคลุม ปลายกลีบดอกมีลักษณะมนแหลม ฐานรองดอกมีลักษณะเป็นรูประฆัง กลีบเลี้ยงเป็นสีแดง 5 กลีบ ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉกรูปถ้วย มีขนสั้นขึ้นปกคลุม มีสีชมพูอ่อนหรือสีแดง มักจะออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม
ผล : ออกผลเป็นฝักแบนรูปขอบขนาน ปลายฝักแหลม โคนฝักเป็นรูปหอก เปลือกฝักแข็ง เมื่อแก่จะแตกอ้า
เมล็ด : ภายในฝักมีเมล็ดอยู่ประมาณ 8 – 9 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปขอบขนาน

สรรพคุณของย่านางแดง

  • สรรพคุณจากเถา บำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงหัวใจและแก้โรคหัวใจบวม ดับพิษร้อนภายในร่างกาย เป็นยาแก้ไข้พิษ แก้ไข้หมากไม้ ไข้กาฬ ไข้หัว ไข้สุกใส ไข้เซื่องซึม ไข้ป่าเรื้อรัง ไข้ทับระดูและไข้กลับไข้ซ้ำ ขับพิษโลหิตและน้ำเหลือง
    – แก้อาการท้องผูก ด้วยการนำเถามาฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าว หรือนำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – ล้างสารพิษหรือสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงในร่างกาย หรือเกิดอาการแพ้ต่าง ๆ ด้วยการใช้เถามาต้มแล้วดื่มเป็นประจำ
    – ล้างสารพิษจากยาเสพติด ด้วยการนำเถามาฝนให้ผู้ป่วยที่กำลังเลิกยาเสพติดดื่ม
  • สรรพคุณจากราก ขับพิษโลหิตและน้ำเหลือง เป็นยาบำรุงโลหิตสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตร
    – แก้อาการท้องผูก เป็นยาแก้ไข้ ใช้กระทุ้งพิษไข้ ถอนพิษไข้และแก้ไข้ทั้งปวง ด้วยการนำรากมาฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าว หรือนำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – ล้างสารพิษจากยาเสพติด ด้วยการนำรากมาฝนให้ผู้ป่วยที่กำลังเลิกยาเสพติดดื่ม
  • สรรพคุณจากใบ ขับพิษโลหิตและน้ำเหลือง
    – แก้อาการท้องผูก ด้วยการนำใบมาฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าว หรือนำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – ล้างสารพิษหรือสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงในร่างกาย หรือเกิดอาการแพ้ต่าง ๆ ด้วยการใช้ใบมาต้มแล้วดื่มเป็นประจำ
  • สรรพคุณจากเหง้า
    – เป็นยาแก้พิษทั้งปวง แก้พิษเบื่อเมา พิษเบื่อเมาของเห็ด ถอนพิษยาเมา แก้เมาสุรา แก้ยาเบื่อ ยาสั่ง ถอนพิษผิดสำแดง ด้วยการนำเหง้ามาฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าว หรือนำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากลำต้น เป็นยาบำรุงโลหิตสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตร
  • สรรพคุณจากใบย่านางแดงแคปซูล เป็นยาฆ่าเชื้อรา

ประโยชน์ของย่านางแดง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ใบอ่อน ใช้รับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริกและลาบ
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ

ย่านางแดง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเหมือนกับย่านางเขียวหรือย่านางขาวทุกประการ แต่จะมีฤทธิ์ที่แรงกว่าและดีกว่าเนื่องจากย่านางแดงมีสีเข้มกว่า มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ต่าง ๆ ดับพิษร้อนในร่างกาย ล้างสารพิษในร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะและแก้กรดไหลย้อน เป็นยาที่ช่วยดีท็อกซ์หรือทำความสะอาดภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ขยัน (Khayan)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 58.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ย่านางแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [10 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ย่านางแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [10 ก.พ. 2014].
สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทย. “ย่านางแดง”. [ ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: tmri.dtam.moph.go.th. [10 ก.พ. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “ย่านางแดง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th/veg/. [10 ก.พ. 2014].
ไทยโพสต์. “เถาขยัน แก้ไข้ ล้างพิษ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [10 ก.พ. 2014].
Pendulum. “ใบย่านางแดง ฆ่าเชื้อรา และ ยากษัยเส้น ล้างกรดยูริค”. (lee). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pendulumthai.comt. [10 ก.พ. 2014].

ปีบทอง เป็นไม้มงคลดอกงามและตัวช่วยเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ของหมอพื้นบ้าน

0
ปีบทอง เป็นไม้มงคลดอกงามและตัวช่วยเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ของหมอพื้นบ้าน
ปีบทอง หรือกาสะลอง เป็นไม้ยืนต้น มีดอกสีเหลืองหรือส้ม คล้ายกับระฆัง กลีบดอกยาวและเชื่อมติดกัน
ปีบทอง เป็นไม้มงคลดอกงามและตัวช่วยเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ของหมอพื้นบ้าน
ปีบทอง หรือกาสะลอง เป็นไม้ยืนต้น มีดอกสีเหลืองหรือส้ม คล้ายกับระฆัง กลีบดอกยาวและเชื่อมติดกัน

ปีบทอง

ปีบทอง (Tree jasmine) หรือเรียกกันว่า “กาสะลอง” เป็นไม้ยืนต้นที่พบได้ทั่วไป มีดอกสีเหลืองหรือส้มที่มองไกล ๆ แล้วต้องสะดุดตา ส่วนมากมักจะได้ยินคำว่ากาสะลองมากกว่าปีบทอง เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงรายและยังถูกคัดเลือกให้เป็นพรรณไม้ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีและมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย อีกทั้งยังเป็นพืชที่ใช้ปลูกประดับสถานที่และยังมีสรรพคุณทางยาที่ต่อร่างกาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของปีบทอง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mayodendron igneum (Kurz) Kurz
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Tree jasmine”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ปีบทอง” ภาคเหนือเรียกว่า “สะเภา สำเภา หลามต้น อ้อยช้าง” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “จางจืด” จังหวัดเชียงรายเรียกว่า “กาซะลองคำ กาสะลองคำ แคชาญชัย” จังหวัดลำปางเรียกว่า “แคะเป๊าะ สำเภาหลามต้น” จังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า “กากี” ม้งเรียกว่า “ปั้งอ๊ะมี” เมี่ยนเรียกว่า “เดี้ยงด่งเบี้ยง” คนทั่วไปเรียกว่า “กาสะลองคำ”
ชื่อภาษาจีน : huo shao hua
ชื่อวงศ์ : วงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)
ชื่อพ้อง : Radermachera ignea (Kurz) Steenis

ลักษณะของปีบทอง

ปีบทอง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีเขตการกระจายพันธุ์กว้างตั้งแต่ในประเทศจีนตอนใต้ พม่า ลาว และเวียดนาม ในประเทศไทยพบได้ตั้งแต่ทางภาคใต้ในแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพชรบุรี อุทัยธานี ขึ้นไปถึงทางภาคเหนือของประเทศ
ลำต้น : มีลักษณะเป็นเปลาตรง ตามกิ่งก้านและตามลำต้นจะมีรูระบายอากาศกระจายอยู่ทั่ว ต้นมีเรือนยอดเป็นรูปใบหอกหรือไข่ ทรงพุ่มแน่นทึบ กิ่งก้านแผ่ออกเป็นชั้น ๆ
เปลือกต้น : เป็นสีน้ำตาลอ่อน แตกเป็นลายประสานกันคล้ายตาข่าย เปลือกต้นขรุขระเป็นเม็ดเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกสามชั้นเรียงตรงข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่แกมรูปหอก รูปขอบขนานแกมใบหอกหรือรูปวงรีแกมใบหอก ปลายใบแหลมแต่บางครั้งก็ยาวคล้ายหางหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบแหลมสอบ ขอบใบเรียบบิดเป็นคลื่นเล็กน้อยและมักจะมีต่อมอยู่ที่โคนด้านหลังของใบ แผ่นใบมีลักษณะเป็นมัน ท้องใบมีต่อมเล็ก ๆ อยู่ประปรายทั่วไป
ดอก : เป็นทรงกระบอกที่มีด้านหนึ่งเปิดออกคล้ายกับระฆัง กลีบดอกยาวและเชื่อมติดกัน มีสีส้มผสมเหลืองเล็กน้อย ก้านดอกสั้นและมีขนอ่อนปกคลุม ดอกจะออกรวมกันเป็นช่อเล็กและกระจายตัวอยู่ตลอดแนวของกิ่งก้านและลำต้น
ผล : มีผลเป็นฝักแห้งเรียวยาวคล้ายดาบ ผลอ่อนฝักจะเหยียดตรงแต่เมื่อแก่จะเริ่มบิดเป็นเกลียวแล้วแตกออก
เมล็ด : เมล็ดด้านในผลนั้นแห้งและบางจนสามารถปลิวไปตามลม

สรรพคุณของปีบทอง

  • สรรพคุณจากปีบทอง สกัดด้วยแอลกอฮอล์จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ HIV-1 reverse transcriptase
  • สรรพคุณจากลำต้น แก้ซางในเด็กที่มักจะมีเม็ดขึ้นในปากและลำคอ แก้ลิ้นเป็นฝ้า แก้อาการตัวร้อน แก้อาเจียน เป็นยาแก้ท้องขึ้นและท้องเดิน
    – แก้โรคซาง ด้วยการใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นมาฝนกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น รักษาอาการปวดฟัน เป็นยาใส่แผล รักษาโรคผิวหนังและโรคเรื้อน
    – เป็นยาลดไข้ เป็นยาแก้ท้องเสีย ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้อาการเมายา ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำแล้วอม
  • สรรพคุณจากใบ
    – รักษาแผลสด แผลถลอกและช่วยห้ามเลือด ด้วยการนำใบมาคั้นแล้วนำน้ำมาทาหรือพอกแก้อาการ

ประโยชน์ของปีบทอง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกนำมารับประทานโดยการทอดหรือใช้ลวกเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก
2. ใช้ในอุตสาหกรรม ดอกสามารถนำมาใช้ทำสีย้อมผ้าได้
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมนำใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปตามที่สาธารณะ
4. เป็นความเชื่อและเป็นไม้มงคล มีความเชื่อว่า “ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้รับชื่อเสียงในทางที่ดี มีเกียรติจากหน้าที่การงาน และยังส่งเสริมให้เก็บเงินเก็บทอง” สื่อถึง “ความแข็งแกร่ง ความก้าวหน้าและความร่มรื่น ช่วยให้เกิดความปรองดองในครอบครัวได้ดี”

ปีบทอง เป็นไม้มงคลที่สวยงามและมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นตัวช่วยเลิกเหล้าและบุหรี่ ปีบทองอยู่ในสูตรตำรับยาพื้นบ้านของทางภาคเหนือที่ถูกใช้กันมาแต่โบราณ เป็นการบรรเทาอาการเมาเหล้าและสารเสพติดบางชนิดได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่าจะไม่มีการรองรับจากทางแพทย์แต่เป็นสมุนไพรพื้นบ้านของชาวชนบทมานาน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. “กาซะลองคำ”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 181.
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กาสะลองคำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [04 ก.พ. 2014].
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กาซะลองคำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [04 ก.พ. 2014].
หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 543, วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556. “กาซะลองคำ พันธุ์ไม้พระราชทาน เพื่อปลูกเป็นมงคล จังหวัดเชียงราย”. (ผศ. วรรณา กัลยาณะวงศ์ ณ อยุธยา).
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Radermachera ignea (Kurz) Steenis”. อ้างอิงใน: หนังสือไม้ดอกไม้ประดับ หน้า 61, หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา หน้า 181. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [04 ก.พ. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “กาสะลองคํา”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [04 ก.พ. 2014].
ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “Radermachera ignea (Kurz) Steenis”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [04 ก.พ. 2014].
ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ, สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “กาสะลอง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [04 ก.พ. 2014].

กุหลาบมอญ ดอกสีสดใสสวยงาม มีกลิ่นหอม ช่วยบำรุงหัวใจและคลายความอ่อนเพลีย

0
กุหลาบมอญ ดอกสีสดใสสวยงาม มีกลิ่นหอม ช่วยบำรุงหัวใจและคลายความอ่อนเพลีย
กุหลาบมอญ หรือดอกยี่สุ่นเป็นกุหลาบพันธุ์พื้นเมืองของหงสาวดี ดอกเป็นช่อกระจุกมีกลิ่นหอมมาก
กุหลาบมอญ ดอกสีสดใสสวยงาม มีกลิ่นหอม ช่วยบำรุงหัวใจและคลายความอ่อนเพลีย
กุหลาบมอญ หรือดอกยี่สุ่นเป็นกุหลาบพันธุ์พื้นเมืองของหงสาวดี ดอกเป็นช่อกระจุกมีกลิ่นหอมมาก

กุหลาบมอญ

กุหลาบมอญ (Damask rose) หรือเรียกอีกอย่างว่า “ดอกยี่สุ่น” เป็นกุหลาบพันธุ์พื้นเมืองของหงสาวดี เชื่อกันว่ามีการนำเข้าในไทยเพราะเป็นดอกไม้ที่ทรงโปรดของสมเด็จพระนเรศวร เป็นไม้ดอกที่มีดอกสวยงามและมีกลิ่นหอมมาก สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากกว่าที่เห็นภายนอก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกุหลาบมอญ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rosa × damascena Mill.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Damask rose” “Pink damask rose” “Summer damask rose” “Rose”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ยี่สุ่น” เงี้ยวและแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “กุหลาบออน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กุหลาบ (ROSACEAE)

ลักษณะของกุหลาบมอญ

กุหลาบมอญ เป็นไม้พุ่มกลางแจ้งที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของเอเชียไปจนถึงเขตอบอุ่นของยุโรปตั้งแต่อินเดีย อิหร่าน ประเทศแถบตะวันออกกลางไปจนถึงตุรกีและบัลแกเรีย
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น
เปลือกต้น : เปลือกเรียบ มีหนามแหลมตามกิ่งและตามลำต้น ปกติมีหนามมากและมีความยาวไม่เท่ากัน มีลักษณะตรงถึงโค้งเล็กน้อย หนามอ่อนเป็นสีน้ำตาลแกมสีแดง ส่วนหนามแก่เป็นสีเทา
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน ใบย่อยเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเป็นจักแบบฟันเลื่อยตลอดทั้งขอบ แผ่นใบด้านล่างมีขนไม่มีต่อม ก้านใบมีขนสีน้ำตาลแดง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบกระจะหรือช่อแบบกระจุกแตกแขนงบริเวณปลายยอด ดอกย่อยเป็นสีชมพูและมีกลิ่นหอม กลีบดอกมีลักษณะค่อนข้างกลมเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ปลายกลีบมนหรือเป็นคลื่น กลีบดอกมีตั้งแต่สีแดงไปจนถึงสีขาว กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียวรูปสามเหลี่ยม
ผล : เป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ ผลเป็นสีแดงอ่อนไปจนถึงเข้ม
เมล็ด : ในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลประมาณ 1 – 3 เมล็ด เป็นรูปสามเหลี่ยมกลม

สรรพคุณของกุหลาบมอญ

  • สรรพคุณจากกุหลาบมอญ ช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบ
  • สรรพคุณจากกลีบดอก บำรุงหัวใจ ช่วยขับน้ำดี
  • สรรพคุณจากดอกแห้ง บำรุงหัวใจ แก้อาการอ่อนเพลีย เป็นยาระบายอ่อน ๆ
  • สรรพคุณจากน้ำดอกไม้เทศที่มีส่วนผสมของกุหลาบมอญ แก้อาการอ่อนเพลียและกระวนกระวาย

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกุหลาบมอญ

น้ำมันกุหลาบมอญเป็นสารที่มีความปลอดภัยในการใช้ เนื่องจากมีค่าทำให้สัตว์ทดลองครึ่งหนึ่ง (LD50) เมื่อให้ยาทางปากกับหนูขาวและให้ยาทาโดยการทาผิวหนังของกระต่ายมากกว่า 5 กรัมต่อกิโลกรัม

ประโยชน์ของกุหลาบมอญ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร กลีบดอกสามารถนำมาชุบแป้งทอด ใช้รับประทานเป็นผักร่วมกับน้ำพริก หรือทำเมนูยำดอกกุหลาบได้ ใช้แต่งหน้าขนมตะโก้หรือนำมาใช้โรยบนท่อนอ้อยควั่น กลีบดอกใช้ทำเป็นชากุหลาบ เป็นส่วนผสมของน้ำดอกไม้เทศ
2. เป็นไม้ประดิษฐ์ นำดอกมาใช้ในการร้อยพวงมาลัย กลีบดอกนำมาทำดอกไม้ประดิษฐ์และบุหงา
3. สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย นำมาใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอาง แต่งกลิ่นยา แต่งกลิ่นอาหารและน้ำเชื่อมของขนมไทย และนำมาใช้เป็นหัวน้ำหอม
4. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกง่ายและดูแลง่าย มีดอกที่สวยงามและสีสันสดใสเหมาะสำหรับปลูกไว้ในสวน

กุหลาบมอญ ใช้เป็นยาหอมสำหรับบำรุงหัวใจในตำราไทย ส่วนมากที่พบมักจะมีสีชมพูไปจนถึงสีแดง เป็นดอกที่สวยงามมากและมีกลิ่นหอม อีกทั้งยังปลูกง่ายและดูแลง่ายเหมาะอย่างมากในการนำมาปลูกไว้ในบ้าน มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงหัวใจ แก้อาการอ่อนเพลีย เป็นยาระบายอ่อน ๆ และช่วยขับน้ำดี นอกจากนี้ยังนิยมนำมาทำเป็นไม้ประดิษฐ์อีกด้วย ถือเป็นไม้ดอกที่มีประโยชน์ในหลายด้านจริง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “กุหลาบมอญ (Ku Lhap Mon)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 53.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “”กุหลาบมอญ”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 181.
ฐานข้อมูลน้ำมันหอมระเหยไทย, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “กุหลาบมอญ”. อ้างอิงใน: หนังสืออุทยานสมุนไพรพุทธมณฑล, หน้า 21, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและพลังงาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tistr.or.th/essentialoils/. [04 ก.พ. 2014].
คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “กุหลาบมอญ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.natres.psu.ac.th. [04 ก.พ. 2014].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กุหลาบมอญ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [04 ก.พ. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “กุหลาบมอญ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [04 ก.พ. 2014].
หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 484, วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553. “กุหลาบมอญ กุหลาบในตำนาน”. (องอาจ ตัณฑวณิช).

กาหลง มีสรรพคุณช่วยแก้เสมหะ ลดความดันโลหิต แก้เลือดออกตามไรฟัน

0
กาหลง มีสรรพคุณช่วยแก้เสมหะ ลดความดันโลหิต แก้เลือดออกตามไรฟัน
กาหลง มีดอกสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ชาวเวียดนามว่าเป็นราชินีแห่งดอกไม้ป่า สัญลักษณ์ของความรัก
กาหลง มีสรรพคุณช่วยแก้เสมหะ ลดความดันโลหิต แก้เลือดออกตามไรฟัน
กาหลง มีดอกสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ชาวเวียดนามว่าเป็นราชินีแห่งดอกไม้ป่า สัญลักษณ์ของความรัก

กาหลง

กาหลง (Snowy orchid tree) มีดอกสีขาวสวยงาม เป็นดอกที่มีความหมายและความเชื่อมากมาย ส่วนมากคนไทยมักจะได้ยินผ่านหูเนื่องจากคำว่า “กาหลง” มักจะนำไปใช้มากมายในละคร กาหลงได้รับการยกย่องจากชาวเวียดนามว่าเป็นราชินีแห่งดอกไม้ป่าและเป็นสัญลักษณ์ของความรัก นอกจากความเชื่อแล้วยังมีสรรพคุณทางยาได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกาหลง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bauhinia acuminata L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Snowy orchid tree” “Orchid tree”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ส้มเสี้ยว” มลายูและนราธิวาสเรียกว่า “กาแจ๊กูโด” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “เสี้ยวน้อย” จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียกว่า “โยธิกา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของกาหลง

กาหลง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในป่าเมืองร้อนตั้งแต่ไทย ลาว พม่า กัมพูชา มาเลเซีย อินเดีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
เปลือกลำต้น : ผิวเรียบสีน้ำตาล กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีขาวขึ้นปกคลุม ส่วนกิ่งแก่ผิวค่อนข้างเกลี้ยงและไม่ค่อยมีขน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปวงรีกว้าง ปลายใบเว้าลึกเข้ามาเกือบครึ่ง ทำให้ปลายแฉกสองข้างแหลม แยกเป็น 2 พู โคนใบมนเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียวอ่อน หลังใบเรียบ ส่วนท้องใบมีขนละเอียดสีขาว ร่วงได้ง่ายและมีแท่งรยางค์เล็ก ๆ อยู่ระหว่างหูใบ ผลัดใบในช่วงฤดูหนาวและเริ่มแตกใบอ่อนในช่วงฤดูร้อน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะแบบสั้น ๆ บริเวณปลายกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มีลักษณะตูมเป็นรูปกระสวย มีกลีบสีขาว 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากันเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่กลับ ปลายกลีบมน โคนสอบ กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว 5 กลีบติดกันคล้ายกาบ ปลายกลีบมีลักษณะเรียวแหลมและแยกเป็นพูเส้นสั้น ๆ 5 เส้น สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
ผล : มีลักษณะเป็นฝักแบน ขอบฝักเป็นสันหนา ส่วนปลายฝักและโคนฝักสอบแหลม ฝักอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
เมล็ด : ในแต่ละฝักจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 5 – 10 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเล็กและแบนหรือเป็นรูปขอบขนาน

สรรพคุณของกาหลง

  • สรรพคุณจากดอก ลดความดันโลหิต แก้อาการปวดศีรษะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้เสมหะพิการ แก้อาการอาเจียนเป็นเลือด
  • สรรพคุณจากราก แก้อาการปวดศีรษะ เป็นยาแก้เสมหะ แก้อาการไอ แก้บิด
  • สรรพคุณจากใบ รักษาแผลในจมูก
  • สรรพคุณจากต้น แก้เลือดออกตามไรฟัน เป็นยาแก้เสมหะ แก้โรคสตรี

ประโยชน์ของกาหลง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นิยมนำดอกมารับประทาน ชาวเขาจะนิยมรับประทานยอดอ่อน
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง ชาวจีนมักปลูกต้นกาหลงไว้เป็นไม้ประจำบ้านเพราะเชื่อว่าต้นกาหลงเป็นไม้ที่ให้คุณแก่เจ้าของบ้าน

ข้อควรระวัง

ไม่ควรสัมผัสต้นกาหลงบริเวณใบและกิ่งโดยตรงเนื่องจากมีขนอ่อน ๆ ขึ้นอยู่ประปราย อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังได้

กาหลง เหมาะสำหรับปลูกประดับเป็นอย่างมากเพราะมีดอกสีขาวสวยงามและปลูกง่าย อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคลที่ดีต่อผู้ปลูกด้วย นอกจากนั้นยังนำมารับประทานได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้เลือดออกตามไรฟัน รักษาแผลในจมูก แก้เสมหะและลดความดันโลหิต

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “กาหลง (Kalong)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 47.
ไขปริศนา พฤกษาพรรณ, ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กาหลง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.il.mahidol.ac.th/e-media/plants/. [04 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กาหลง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [04 ก.พ. 2014].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กาหลง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [04 ก.พ. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 305 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “กาหลง : มิใช่หลงเฉพาะเพียงกา”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [04 ก.พ. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “กาหลง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [04 ก.พ. 2014].

แว่นแก้ว พรรณไม้น้ำยอดนิยมในอ่างปลา แต่มีสรรพคุณทางยาได้ด้วย

0
แว่นแก้ว พรรณไม้น้ำยอดนิยมในอ่างปลา แต่มีสรรพคุณทางยาได้ด้วย
แว่นแก้วมีลักษณะคล้ายบัวบกนิยมนำมาประดับในอ่างปลาช่วยเสริมฮวงจุ้ยให้กับบ้าน
แว่นแก้ว พรรณไม้น้ำยอดนิยมในอ่างปลา แต่มีสรรพคุณทางยาได้ด้วย
แว่นแก้วมีลักษณะคล้ายบัวบกนิยมนำมาประดับในอ่างปลาช่วยเสริมฮวงจุ้ยให้กับบ้าน

แว่นแก้ว

แว่นแก้ว (Water pennywort) มีลักษณะคล้ายบัวบก เป็นพืชที่มีอายุยาวหลายปี ส่วนมากมักจะพบเป็นไม้ประดับในอ่างปลาเนื่องจากแว่นแก้วเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย จึงเหมาะที่จะนำมาประดับเป็นพืชในบ้านได้ แถมยังมีสรรพคุณเป็นยาที่หลายคนไม่เคยรู้อีกด้วย นอกจากนั้นแว่นแก้วยังเป็นไม้มงคลที่ช่วยเสริมฮวงจุ้ยให้กับบ้าน ถือเป็นพรรณไม้น้ำที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแว่นแก้ว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Kaempferia rotunda L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Water pennywort”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อท้องถิ่นว่า “บัวแก้ว” “ผักหนอก” “ผักหนอกใหญ่” “ผักหนอกเทศ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ชื่อพ้อง : Kaempferia longa Jacq., Kaempferia versicolor Salisb., Zerumbet zeylanica Garsault

ลักษณะของแว่นแก้ว

แว่นแก้ว เป็นไม้น้ำที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ในประเทศไทยจะพบได้มากทางภาคเหนือและภาคกลาง มีกลิ่นหอม มักจะขึ้นในที่ชื้นแฉะและริมน้ำ
ลำต้น : ทอดเลื้อยไปตามผิวดินที่ชุ่มชื้น
ราก : รากออกตามข้อ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวลักษณะกลม มีก้นปิด ขอบใบหยักมนหรือเป็นแฉกมน มีสีเขียวเข้มเป็นมัน ก้านใบสีเขียวอ่อนและตั้งตรงขึ้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อซี่ร่ม ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีสีขาวขุ่นถึงขาวอมเขียวอ่อน
ผล : เป็นผลชนิดแห้ง เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีก
เมล็ด : ในแต่ละซีกจะมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเล็ก

สรรพคุณผักแว่นแก้ว

  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาแก้พิษไข้ แก้อาการตาแดง แก้อาการท้องเสีย แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาแก้บวม
  • สรรพคุณจากใบ แก้อาการช้ำในด้วยการนำใบมาต้มแล้วดื่ม

ประโยชน์ผักแว่นแก้ว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำใบมารับประทานเป็นผัก โดยใช้เป็นผักจิ้มเครื่องหลน เป็นเครื่องเคียงหรือนำไปทำแกง รับประทานกับลาบแบบสด ๆ หรือนำไปคั้นทำเป็นน้ำดื่มก็ได้เช่นกัน
2. เป็นพืชปลูกประดับ เป็นไม้ประดับในตู้ปลาหรืออ่างปลา ปลูกเป็นไม้กระถางเพื่อให้ความสวยงาม เป็นไม้ที่นิยมเนื่องจากแว่นแก้วเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย

แว่นแก้ว เป็นพืชไม้น้ำที่สามารถนำมารับประทานเป็นผัก ปลูกเป็นไม้ประดับและนำมาทำเป็นยาได้ สามารถปลูกได้ง่ายด้วยตัวเอง สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้อาการบวมหรือช้ำใน แก้อาการตาแดง แก้ท้องเสียหรือท้องอืดท้องเฟ้อได้ แม้ว่าสรรพคุณจะไม่ได้มากมายเหมือนผักอื่น ๆ แต่แว่นแก้วนั้นดูแลรักษาง่าย สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายตามแต่ผู้ปลูกต้องการ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [7 พ.ย. 2013].
พรรณไม้น้ำ เว็บไซต์นิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th. [7 พ.ย. 2013].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “แว่นแก้ว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [7 พ.ย. 2013].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th [7 พ.ย. 2013].
งานประสานงาน มหาวิทยาลัยแม่โจ้. “มารู้จักต้นไม้ในงานประสานงาน ม.แม่โจ้ กันเถิด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.coordinate.mju.ac.th. [7 พ.ย. 2013].

ขจร ดอกสีเหลืองกลิ่นหอม มีสรรพคุณช่วยบำรุงอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย

0
ขจร ดอกสีเหลืองกลิ่นหอม มีสรรพคุณช่วยบำรุงอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย
ขจร หรือดอกสลิดเป็นไม้เถาเลื้อย ดอกที่มีสีเหลืองสดเป็นช่อแบบกระจุกตามซอกใบ
ขจร ดอกสีเหลืองกลิ่นหอม มีสรรพคุณช่วยบำรุงอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย
ขจร หรือดอกสลิดเป็นไม้เถาเลื้อย ดอกที่มีสีเหลืองสดเป็นช่อแบบกระจุกตามซอกใบ

ขจร

ขจร (Cowslip creeper) หรือเรียกกันว่า “ผักสลิด” และ “ดอกสลิด” เป็นไม้ต้นที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ส่วนมากมักจะพบขจรในเมนูอาหารมากมายอย่างแกงส้มดอกขจร เป็นดอกที่มีสีเหลืองสดและมีสรรพคุณทางยาอย่างคาดไม่ถึง เป็นต้นที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของขจร

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Telosma cordata (Burm. f.) Merr.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Cowslip creeper”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “สลิด ขจร” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ผักสลิด” มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “กะจอน ขะจอน สลิดป่า ผักสลิดคาเลา ผักขิก”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)
ชื่อพ้อง : Telosma minor (Andrews) W. G. Craib

ลักษณะของขจร

ขจร เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและอินเดีย มักจะขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะและป่าเต็งรัง
เถา : เถามีขนาดเล็ก ลักษณะกลมเหนียวมากและเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจคล้ายใบโพธิ์หรือใบพลู ปลายใบเรียวแหลมยาวเป็นติ่ง โคนใบมนเว้า ขอบใบเรียบ หลังใบและท้องใบเรียบ แผ่นใบบางเกลี้ยง หน้าใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบเป็นสีเขียวอมแดงเล็กน้อย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกตามใบหรือออกเป็นพวง ๆ คล้ายพวงอุบะตามซอกใบหรือโคนก้านใบ ดอกย่อยมีลักษณะแข็งเป็นสีเขียวอมเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม กลีบดอกมี 5 กลีบ กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว 5 กลีบ ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม
ผล : ผลมีลักษณะเป็นฝักกลมยาวปลายแหลม ผิวเรียบ ผลเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะแตกออกตะเข็บเดียว
เมล็ด : ภายในผลหรือฝักมีเมล็ดลักษณะแบนจำนวนมาก และมีปุยสีขาวติดอยู่ที่ปลายเมล็ด เมล็ดปลิวว่อนคล้ายกับนุ่นที่มีเมล็ดเกาะติดกับใยสีขาว

สรรพคุณของขจร

  • สรรพคุณจากดอก บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงสายตา รักษาหวัดที่เกิดจากการตากลมหรือตากอากาศเย็น บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน ขับเสมหะ แก้เสมหะและโลหิต ช่วยบำรุงปอด แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ ช่วยในการขับถ่าย บำรุงฮอร์โมนของสตรี บำรุงตับและไต
  • สรรพคุณจากยอดใบอ่อน บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงสายตา บำรุงตับและไต
  • สรรพคุณจากราก รักษาโลหิตเป็นพิษ ช่วยให้อาเจียน เป็นยาดับพิษ ทำให้รู้รสชาติของอาหารและช่วยดับพิษยา
    – แก้ตาอักเสบ ตาแดง ตาแฉะ ตามัว ด้วยการนำรากมาฝนหยอดตาหรือใช้ผสมกับยาหยอดตา
  • สรรพคุณจากแก่นและเปลือก บำรุงธาตุในร่างกาย

ประโยชน์ของขจร

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ผลอ่อนและดอกใช้รับประทานเป็นผักสดหรือนำมาลวกให้สุกแล้วรับประทานร่วมกับน้ำพริก ดอกนำไปทำเมนูแกงส้มดอกขจร แกงจืดดอกขจร แกงเลียง ขจรผัดไข่ ขจรชุบแป้งทอด ยำดอกขจร ข้าวต้มดอกขจร เป็นต้น สามารถทำขนมดอกขจรได้ด้วย
2. เป็นไม้ประดิษฐ์ นำมาใช้ร้อยอุบะติดชายมาลัยหรือเครื่องแขวนต่าง ๆ
3. ใช้แทนอุปกรณ์ เถานำมาใช้แทนเชือกได้
4. ปลูกเป็นไม้ประดับ
5. ใช้ในอุตสาหกรรม เนื้อไม้สามารถนำมาใช้ในการก่อสร้างได้

คุณค่าทางโภชนาการของขจร

คุณค่าทางโภชนาการของขจรในส่วนที่รับประทานได้ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 72 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 10.6 กรัม
โปรตีน 5.0 กรัม
ไขมัน 1.1 กรัม
ใยอาหาร 0.8 กรัม
น้ำ 80.5 กรัม
เถ้า 1.0 กรัม
วิตามินเอ 3,000 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.12 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.17 มิลลิกรัม
วิตามินซี 68 มิลลิกรัม
แคลเซียม 70 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.0 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 90 มิลลิกรัม

ขจร เป็นดอกที่มีสีเหลืองและมีกลิ่นหอม ยอดอ่อนของขจรคือส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุด ทั้งนี้ลำต้นนั้นเป็นพิษต่อสุกร ในส่วนของรากมีรสเบื่อเย็น ดอกมีรสเย็นขมและหอม สามารถนำดอกมาใช้เป็นเครื่องยาหอมได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงปอด บำรุงสายตา บำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงตับและไต เป็นต้นที่คู่ควรแก่การนำมารับประทานในชีวิตประจำวัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ขจร (Kha Chon)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 56.
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ขจร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [07 ก.พ. 2014].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “ขนุนและขจร”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [07 ก.พ. 2014].
กรุ่นกลิ่นดอกไม้ในโคราช, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. “ขจร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nrru.ac.th. [07 ก.พ. 2014].
สถานบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “ขจร”.
หน่วยปฏิบัติการวิจัยพรรณไม้ประเทศไทย ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. “สลิด ขจร (Telosma monor Craib)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sc.chula.ac.th/thaiplants/. [07 ก.พ. 2014].
เดอะแดนดอทคอม. “ดอกขจร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.the-than.com. [07 ก.พ. 2014].
Tree2go. “ขจร Telosma minor Craib อร่อย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tree2go.com. [07 ก.พ. 2014].
มติชนออนไลน์. “ดอกขจร”. (จอม ณ คลองลึก). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.matichon.co.th. [07 ก.พ. 2014].

กระถิน สมุนไพรพื้นบ้านทั่วไป อุดมไปด้วยธาตุฟอสฟอรัสและวิตามินเอ

0
กระถิน สมุนไพรพื้นบ้านทั่วไป อุดมไปด้วยธาตุฟอสฟอรัสและวิตามินเอ
กระถิน พืชที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย ใบอ่อน ยอดอ่อนและดอกมีรสมัน เมล็ดอ่อนมีรสมันอมหวานเล็กน้อย
กระถิน สมุนไพรพื้นบ้านทั่วไป อุดมไปด้วยธาตุฟอสฟอรัสและวิตามินเอ
กระถิน พืชที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย ใบอ่อน ยอดอ่อนและดอกมีรสมัน เมล็ดอ่อนมีรสมันอมหวานเล็กน้อย

กระถิน

กระถิน (Leucaena leucocephala) เป็นพืชที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย เป็นไม้ที่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำต้นมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมาก และยังเป็นไม้ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจเนื่องจากต้นสามารถนำมาแปรรูปเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และยังเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านสำหรับบำรุงสุขภาพได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกระถิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Leucaena leucocephala (Lam.) de Wit
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “White popinac” “Lead tree” “Horse tamarind” “Leucaena” “lpil – lpil”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กระถินไทย กระถินบ้าน กระถินดอกขาว กระถินหัวหงอก” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักหนองบก” ภาคใต้เรียกว่า “ตอเบา สะตอเทศ สะตอบ้าน” จังหวัดราชบุรีเรียกว่า “กะเส็ดโคก กะเส็ดบก” จังหวัดสมุทรสงครามเรียกว่า “กะตง กระถิน กระถินน้อย กระถินบ้าน ผักก้านถิน” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ผักก้านถิน” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “กระถินยักษ์”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของกระถิน

กระถิน เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อนและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
เปลือกต้น : เปลือกต้นมีสีเทาและมีปุ่มนูนของรอยกิ่งก้านที่หลุดร่วงไป ลักษณะทรงต้นเป็นเรือนยอดรูปไข่หรือกลม
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นเรียงสลับกัน แกนกลางใบประกอบมีขน ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน โคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลม ขอบใบมีขน
ดอก : ดอกมีสีขาว ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกแน่นตามง่ามใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงโคนติดกันเป็นรูประฆัง ส่วนปลายแยกเป็นสามเหลี่ยมเล็ก 5 แฉก ดอกมีขน มีกลีบดอก 5 กลีบ ออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน
ฝัก : ฝักมีลักษณะแบน ปลายฝักแหลม โคนสอบ เมื่อแก่จะแตกตามยาว
เมล็ด : มีเมล็ดในฝักเรียงตามขวางอยู่ประมาณ 15 – 30 เมล็ด มีลักษณะเป็นรูปไข่แบนกว้างสีน้ำตาลและเป็นมัน

สรรพคุณของกระถิน

  • สรรพคุณจากราก เป็นยาอายุวัฒนะ ขับลมในลำไส้ ขับระดูขาวของสตรี
  • สรรพคุณจากเมล็ดแก่ เป็นยาอายุวัฒนะ แก้อาการนอนไม่หลับ ขับลมในลำไส้ ขับระดูขาวของสตรี บำรุงไตและตับ
  • สรรพคุณจากยอดอ่อน บำรุงกระดูก ลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคความดันโลหิตสูง บำรุงและรักษาสายตา บำรุงหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร
  • สรรพคุณจากฝักอ่อน บำรุงกระดูก บำรุงหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร
  • สรรพคุณจากเมล็ด บำรุงกระดูก ลดการเกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร
    – เป็นยาถ่ายพยาธิตัวกลม (Ascariasis) สำหรับผู้ใหญ่ให้ใช้ครั้งละ 25 – 50 กรัม ส่วนเด็กให้ใช้ 5 – 20 กรัมต่อวัน โดยใช้รับประทานขณะท้องว่างในตอนเช้าประมาณ 3 – 5 วัน
  • สรรพคุณจากดอก แก้เกล็ดกระดี่ขึ้นตา บำรุงตับ
  • สรรพคุณจากฝัก แก้อาการท้องร่วง เป็นยาฝาดสมานและใช้ห้ามเลือด
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาฝาดสมานและใช้ห้ามเลือด

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกระถิน

1. เมล็ดมีสารลิวซีนีน (Leucenine) ซึ่งจะทำให้สัตว์เป็นหมันได้
2. สารสกัดจากใบกระถินเมื่อฉีดเข้าหลอดเลือดของสุนัขจะทำให้มีระดับความดันโลหิตลดลง มีอัตราการเต้นของหัวใจช้าลง แต่ฤทธิ์ดังกล่าวนี้สามารถต้านได้ด้วย Atropine และยาต้านฮิสตามีน
3. หากนำน้ำยาสกัดกระถินมาใช้กับหัวใจของกบและเต่า พบว่ามีอัตราการบีบของหัวใจลดลงและในระบบทางเดินอาหารทั้งการทดลองแบบ in vitro ก็พบว่าน้ำสกัดนี้ทำให้เกิดแรงตึงตัวและเกิดแรงบีบตัวเพิ่มขึ้น เมื่อทดลองใน in vivo จะพบว่าการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ตามปกติลดลง

ประโยชน์ของกระถิน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ฝักอ่อนและเมล็ดใช้รับประทานเป็นผักได้
2. ใช้ในการเกษตร สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น วัว ควาย ไก่ แพะ แกะ นำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยหมักได้ ลำต้นหรือเนื้อไม้สามารถนำมาใช้ทำด้ามอุปกรณ์เครื่องมือทางการเกษตรอย่างการทำฟืนและเผาทำถ่านได้
3. ใช้ในอุตสาหกรรม เมล็ดสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องประดับได้หลายชนิด เช่น เข็มกลัด สายสร้อย เข็มขัด เป็นต้น นำเปลือกต้นมาทำเป็นกระดาษได้แต่คุณภาพไม่ค่อยดี นำมาใช้ย้อมสีเส้นไหมได้โดยเปลือกต้นแห้ง 3 กิโลกรัมจะสามารถย้อมเส้นไหมได้ 1 กิโลกรัม โดยจะให้สีน้ำตาล
4. ปลูกเป็นไม้ประดับ “กระถินยักษ์” ใช้ปลูกเพื่อเป็นแนวรั้วบ้าน แนวกันลมและช่วงบังแสงแดดให้แก่พืชที่ปลูกได้ และยังเป็นไม้มงคลตามความเชื่ออีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการของยอดอ่อนกระถิน

คุณค่าทางโภชนาการของยอดอ่อนกระถิน ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 62 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม
โปรตีน 8.4 กรัม
ไขมัน 0.9 กรัม
เส้นใยอาหาร 3.8 กรัม
น้ำ 80.7 กรัม
วิตามินเอ 7,883 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.33 มิลลิกรัม
วิตามินบี2  0.09 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.7 มิลลิกรัม
วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
แคลเซียม 137 มิลลิกรัม
เหล็ก 9.2 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม

การเลือกซื้อและการเก็บรักษากระถิน

การเลือกซื้อ ควรเลือกซื้อยอดกระถินหรือฝักอ่อนที่มีความสดใหม่และไม่เหี่ยว
การเก็บรักษา นำกระถินมาห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วนำมาใส่กล่องพลาสติก ปิดฝาให้สนิทและเก็บเข้าแช่ตู้เย็นในช่องผัก

โทษของกระถิน

1. มีสารลิวซีนีน (Leucenine) ทำให้ขนร่วงและเป็นหมันได้หากสัตว์กินใบกระถินในปริมาณสูง
2. กระถินสามารถดูดสารซีลีเนียมจากดินได้มาก อาจเป็นพิษต่อคนที่เป็นโรคเกาต์
3. ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงเพราะมีกรดยูริคสูง

กระถิน แต่ละส่วนของต้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอุตสาหกรรม และยังนำมารับประทานได้หลายส่วน แต่ละส่วนมีรสชาติแตกต่างกัน ส่วนของใบอ่อน ยอดอ่อนและดอกมีรสมัน เมล็ดอ่อนมีรสมันอมหวานเล็กน้อย รากมีรสจืดเฝื่อน ส่วนเปลือกมีรสฝาด เป็นผักที่มีทั้งประโยชน์และโทษ มีสารอาหารฟอสฟอรัสและวิตามินเอสูง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกระดูก ลดระดับน้ำตาลในเลือดและรักษาโรคความดันโลหิตสูง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระถินไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [23 พ.ย. 2013].
ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กระถิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [23 พ.ย. 2013].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “กระถิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [23 พ.ย. 2013].
สถาบันการแพทย์แผนไทย. “กระถิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ittm-old.dtam.moph.go.th. [23 พ.ย. 2013].
เดลินิวส์. “กระถินกินมีประโยชน์”. (06/12/55). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dailynews.co.th. [23 พ.ย. 2013].
GotoKnow. “พืชผักสมุนไพรใกล้ครัว: กระถิน”. (ครูนาย). อ้างอิงใน: สถาบันวิจัยสมุนไพรไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (นฤมล มงคลชัยภักดิ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [23 พ.ย. 2013].
เว็บสำหรับคนรักอาหาร. “กระถิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.siammoo.com. [23 พ.ย. 2013].
พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. “กระถินบ้าน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th. [23 พ.ย. 2013].