กระดอม ยาสมุนไพรชั้นดีสำหรับสตรี บำรุงมดลูกและบำรุงน้ำนม

0
กระดอม ยาสมุนไพรชั้นดีสำหรับสตรี บำรุงมดลูกและบำรุงน้ำนม
กระดอม หรือลูกกระดอมเป็นสมุนไพรในตำรับยาโบราณ ลักษณะคล้ายกระสวยหรือรูปวงรีแหลมหัวท้าย มีผิวสาก ผลแก่สุกมีพิษ ผลอ่อนแห้งเป็นสีน้ำตาลทานได้
กระดอม ยาสมุนไพรชั้นดีสำหรับสตรี บำรุงมดลูกและบำรุงน้ำนม
กระดอม หรือลูกกระดอมเป็นสมุนไพรในตำรับยาโบราณ ลักษณะคล้ายกระสวย วงรีแหลมหัวท้าย มีผิวสาก ผลแก่สุกมีพิษ ผลอ่อนแห้งเป็นสีน้ำตาลทานได้

กระดอม

กระดอม (Gymnopetalum chinensis) หรือลูกกระดอมมีผลที่โดดเด่นและมีสรรพคุณทางยารักษา ส่วนมากมักจะพบอยู่ในแกงป่ามากกว่าการรับประทานในรูปแบบอื่น เป็นผักชื่อแปลกที่เป็นสมุนไพรในตำรับยาโบราณของไทยอย่างตำรับยาหอมนวโกฐ ยาหอมอินทจักร์และตำรับยาแก้ไข้จันทน์ลีลา เป็นต้น

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกระดอม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gymnopetalum chinensis (Lour.) Merr.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะนอยจา” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ขี้กาเหลี่ยม” จังหวัดสระบุรีเรียกว่า “ขี้กาดง ขี้กาน้อย” จังหวัดน่านเรียกว่า “ผักแคบป่า” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ขี้กาลาย” จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียกว่า “ดอม” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ผักขาว” และจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “มะนอยหก มะนอยหกฟ้า”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)
ชื่อพ้อง : Gymnopetalum cochinchinense (Lour.) Kurz

ลักษณะของกระดอม

กระดอม เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีถิ่นกระจายพันธุ์ในแถบประเทศอินเดีย ศรีลังกา พม่า ภูมิภาคอินโดจีน และมาเลเซีย ส่วนในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค มักจะขึ้นทั่วไปตามที่รกร้าง
ลำต้น : เป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นเป็นร่องและมีมือเกาะ (tendril)
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน มีลักษณะเป็นรูปไตไปจนถึงรูปสามเหลี่ยม ห้าเหลี่ยมหรือเป็นแฉก โคนใบเว้าลึกเป็นรูปหัวใจ
ดอก : เป็นดอกแยกเพศบนต้นเดียวกัน ขอบใบเป็นจักแฉกลึกแหลม ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ กลีบเลี้ยงติดกันเป็นหลอดยาว ส่วนปลายแยกเป็นแฉกรูปหอก 5 แฉก กลีบดอกมีสีขาว โคนติดกันเล็กน้อยส่วนดอกเพศเมียจะออกเป็นเดี่ยว ๆ และกลีบเลี้ยงลักษณะเหมือนดอกเพศผู้ มีรังไข่ช่อเดียว ยอดเกสรตัวเมียแยกเป็น 3 แฉก
ผล : ผลสุกเป็นสีแดงอมส้มรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ลักษณะคล้ายกระสวยหรือรูปวงรีแหลมหัวท้าย มีผิวสากและมีสัน 10 สัน เนื้อผลสีเขียว ผลแก่และผลสุกมีพิษห้ามรับประทาน ส่วนผลอ่อนจะแห้งเป็นสีน้ำตาลสามารถรับประทานได้
เมล็ด : มีเมล็ดจำนวนมากเป็นรูปวงรี ลักษณะเป็นริ้ว ๆ สีน้ำตาลไหม้และมีกลิ่นฉุน

สรรพคุณของกระดอม

  • สรรพคุณจากผล
    – บำรุงโลหิต ด้วยการนำผลมาต้มแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากผลอ่อน ช่วยดับพิษโลหิต ดับพิษร้อนในร่างกาย แก้อาการสะอึก ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงน้ำดี แก้ดีฝ่อ ดีแห้ง อาการคลั่งเพ้อหรือคุ้มดีคุ้มร้าย รักษามดลูกหลังจากการคลอดบุตรหรือแท้งบุตร บำรุงมดลูก บำรุงน้ำนมของสตรี ช่วยถอนพิษผิดและแก้พิษ
    – แก้ไข้หรือแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ผลแห้งประมาณ 10 กรัม มาต้มกับน้ำพอประมาณแล้วเคี่ยวให้เหลือ 1 ใน 3 นำมาดื่มก่อนอาหารช่วงเช้าและเย็นหรือในช่วงที่มีอาการไข้
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย ขับน้ำลาย ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับน้ำดี รักษาโรคในการแท้งบุตร แก้พิษสำแดง เป็นยาถอนพิษจากการรับประทานผลไม้ที่เป็นพิษ ใช้ถอนพิษจากพืชมีพิษชนิดต่าง ๆ
    – เป็นยาลดไข้ ด้วยการนำเมล็ดมาต้มแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากใบ แก้พิษบาดทะยัก
    – แก้อาการตาอักเสบ ด้วยการนำใบมาคั้นแล้วเอาน้ำมาหยอดตา
  • สรรพคุณจากราก
    – เป็นยาทาถูนวดตามกล้ามเนื้อที่มีอาการปวดเมื่อย ด้วยการนำรากกระดอมแห้งมาบดผสมกับน้ำร้อนแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากสมุนไพรกระดอม ยับยั้งการจับตัวกันของเกล็ดเลือดและช่วยทำให้กล้ามเนื้อเรียบหดตัว

ประโยชน์ของกระดอม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นิยมนำมาใช้ทำแกง เช่น แกงป่าหรือแกงคั่ว โดยผ่าเอาเมล็ดออกก่อนนำมาใช้แกงหรือจะนำมาใช้ลวกจิ้มกินกับน้ำพริกก็ได้เช่นกัน
2. เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร เป็นส่วนประกอบหนึ่งในตำรับยาแก้ไข้จันทน์ลีลา ตำรับยาหอมนวโกฐและตำรับยาหอมอินทจักร์

กระดอม เป็นสมุนไพรที่มีลักษณะเด่นและมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ส่วนมากจะนำผลอ่อนมารับประทานและเป็นส่วนประกอบในอาหารเพราะผลสุกนั้นมีพิษ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงเลือด บำรุงน้ำดี บำรุงมดลูก และเป็นยาแก้ไข้ กระดอมเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เหมาะกับสตรีเป็นอย่างมากเนื่องจากรักษามดลูกหลังจากการคลอดบุตรหรือแท้งบุตร บำรุงมดลูกและบำรุงน้ำนมของสตรีได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [14 ต.ค. 2013].
ข้อมูลพรรณไม้ สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data. [14 ต.ค. 2013].
สมุนไพรพื้นบ้าน โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: school.obec.go.th. [14 ต.ค. 2013].
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. “ลูกกระดอม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.m-culture.in.th. [14 ต.ค. 2013].

เนระพูสีไทย ยาบำรุงกำลังทางเพศชั้นดีของท่านชาย ช่วยแก้อาการอักเสบ แก้ปวดและสรรพคุณอีกมากมาย

0
เนระพูสีไทย ยาบำรุงกำลังทางเพศชั้นดีของท่านชาย ช่วยแก้อาการอักเสบ แก้ปวดและสรรพคุณอีกมากมาย
เนระพูสีไทย ดอกเป็นสีม่วงดำ ลักษณะคล้ายค้างคาวดำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศของผู้ชาย
เนระพูสีไทย ยาบำรุงกำลังทางเพศชั้นดีของท่านชาย ช่วยแก้อาการอักเสบ แก้ปวดและสรรพคุณอีกมากมาย
เนระพูสีไทย ดอกเป็นสีม่วงดำ ลักษณะคล้ายค้างคาวดำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศของผู้ชาย

เนระพูสีไทย

เนระพูสีไทย (Bat flower) หรือเรียกกันว่า “ว่านค้างคาวดำ” มีดอกเป็นสีม่วงดำที่มีลักษณะคล้ายค้างคาวดำโดดเด่นอยู่บนต้น ในปัจจุบันมักจะนำเนระพูสีไทยมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เจลสำหรับใช้ทากันเป็นส่วนมาก สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ เนระพูสีไทยหรือว่านค้างคาวดำนั้นค่อนข้างโด่งดังในเรื่องของการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศของผู้ชายได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเนระพูสีไทย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tacca chantrieri André
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bat flower” “Black lily”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “เนระพูสีไทย” ภาคเหนือเรียกว่า “ดีงูหว้า” จังหวัดจันทบุรีเรียกว่า “คลุ้มเลีย ว่านหัวเลีย ว่านหัวลา ว่านหัวฬา” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “ค้างคาวดำ มังกรดำ” จังหวัดตราดเรียกว่า “ดีปลาช่อน” จังหวัดชุมพรเรียกว่า “ม้าถอนหลัก” จังหวัดยะลาเรียกว่า “ว่านพังพอน” จังหวัดตรังเรียกว่า “นิลพูสี” จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียกว่า “ว่านนางครวญ” ชาวมลายูปัตตานีเรียกว่า “กลาดีกลามูยี” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “เส่แหง่เหมาะ” ชาวลัวะเรียกว่า “ล่อเคลิน” ชาวขมุเรียกว่า “เหนียบเลิน” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “ว่านค้างคาว ว่านค้างคาวดำ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กลอย (DIOSCOREACEAE)

ลักษณะของเนระพูสีไทย

เนระพูสีไทย เป็นไม้ล้มลุกมีอายุหลายปีที่มีเขตการกระจายพันธุ์ในทางตอนใต้ของจีน อินเดีย บังกลาเทศ ลาว พม่า เวียดนามและชายฝั่งมาเลเซีย มักจะพบขึ้นตามป่าเขา ป่าดิบแล้งหรือป่าดิบชื้น
ลำต้น : ลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปวงรีกว้างหรือเป็นรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ เส้นแขนงของใบแตกออกจากเส้นกลางใบโค้งจรดกันเกือบถึงขอบใบ แผ่นใบเกลี้ยงเป็นสีเขียวเข้ม หลังใบเรียบเป็นมัน ท้องใบเรียบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกลุ่ม ๆ ประมาณ 1 – 2 ช่อ ในแต่ละช่อจะมีดอกประมาณ 4 – 6 ดอก แทงออกมาจากเหง้าที่อยู่ใต้ดิน ดอกเป็นสีม่วงดำหรือเป็นสีเขียวเข้ม กลีบดอก 6 กลีบ โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกัน กลีบด้านนอก 3 กลีบมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือเป็นรูปสามเหลี่ยม กลีบด้านใน 3 กลีบ ดอกมีเกสรเพศผู้สีเขียวหรือสีเหลือง ดอกมีใบประดับเป็นสีม่วงดำหรือเป็นสีเขียวเข้ม 2 คู่ ออกตรงข้ามสลับตั้งฉากกัน ไม่มีก้าน ใบประดับคู่นอกมีลักษณะเป็นรูปวงรี รูปไข่หรือรูปใบหอก ใบประดับคู่ในแผ่กว้างออกเป็นรูปไข่หรือรูปไข่กลับ
ผล : ลักษณะของผลเป็นทรงสามเหลี่ยมหรือเป็นรูปกระสวย ผลมีสันเป็นคลื่น 6 สันตามความยาวของผล มีวงกลีบรวมที่ยังไม่ร่วงติด
เมล็ด : เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไต

สรรพคุณของเนระพูสีไทย

  • สรรพคุณจากต้น ใบ ราก เหง้า
    – รักษามะเร็ง เป็นยาบำรุงร่างกาย แก้อาการปวดท้อง แก้อาการอาหารไม่ย่อยและอาหารเป็นพิษ ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ด้วยการนำราก ต้น ใบ เหง้ามาต้มกับน้ำแล้วดื่มหรือเคี้ยวกิน
  • สรรพคุณจากใบ ราก เหง้า
    – ทำให้เจริญอาหาร ด้วยการนำรากหรือเหง้าใช้ดองกับเหล้ากินเป็นยา หรือนำใบสดมารับประทาน
  • สรรพคุณจากเหง้า แก้ธาตุพิการ แก้ซางเด็ก ช่วยดับพิษไข้อย่างแก้ไข้กาฬ แก้ไข้เหนือ แก้ไข้สันนิบาต แก้ไข้ท้องเสีย แก้อาการไอ รักษาโรคในปากคอ แก้ลิ้นคอเปื่อย แก้ปอดพิการ แก้บิดหรือบิดมูกเลือด ช่วยสมานแผล
    – เป็นยาบำรุงกำลัง แก้ความดันโลหิตต่ำ บำรุงกำลังทางเพศ เป็นยาบำรุงสำหรับสตรีมีครรภ์ ด้วยการนำเหง้ามาต้มกับน้ำหรือใช้ดองกับเหล้า
    – รักษาอาการผดผื่นคันตามร่างกาย ด้วยการนำเหง้ามาต้มกับน้ำแล้วอาบ
    – แก้อาการปวด แก้อักเสบ แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้อาการปวดหลังปวดเอว ด้วยการนำเหง้ามาซอยเป็นชิ้นและบดให้เป็นผงละเอียด จากนั้นนำมาละลายในน้ำต้มเดือดแล้วแช่ทิ้งไว้สักครู่ให้พออุ่น ใช้ผ้าขนหนูชุบนำมาประคบบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – แก้อาการเบื่อเมา ด้วยการนำทั้งต้นใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นแล้วนำมาฝนรวมกันเพื่อรับประทานแก้อาการ
    – รักษาอาการผดผื่นคันตามร่างกาย ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำแล้วอาบ
    – แก้อัมพฤกษ์ โรคความดันและโรคหัวใจ ด้วยการนำทั้งต้น 1 กำมือ ต้นเหงือกปลาหมอ 1 กำมือ ใบหนุมานประสานกาย 7 ก้าน และบอระเพ็ด 1 เซนติเมตร มาตากหรืออบให้แห้งแล้วเอามารวมกับโสมเกาหลีอายุ 6 ปีขึ้นไป 5 สลึง ที่หั่นเป็นแผ่นบาง ๆ และขั้วมาแล้ว หลังจากนั้นนำมาห่อด้วยผ้าขาวบาง ใส่ภาชนะต้มน้ำให้พอท่วมยาจนเดือด ใช้ดื่มกินครั้งละ 2 แก้ว เช้าและเย็น แล้วให้อุ่นยาวันละหนึ่งครั้ง หากดื่มหมดก็เติมน้ำต้มใหม่จนยาจืด (หมายเหตุ : ห้ามดื่มของมึนเมาในระหว่างดื่มยานี้ ห้ามนำตัวยานี้ไปใช้แสวงหาประโยชน์เพื่อการค้าและให้นำกล้วยน้ำว้า 1 หวี มาถวายพระและอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของยา)
  • สรรพคุณจากราก
    – แก้อาการปวด แก้อักเสบ แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้อาการปวดหลังปวดเอว ด้วยการใช้รากดองกับเหล้าหรือใช้รากนำมาต้มกับน้ำร่วมกับหญ้าถอดปล้องเพื่อใช้ดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบ
    – แก้อาการปวด แก้อักเสบ แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้อาการปวดหลังปวดเอว ด้วยการนำใบสดมารับประทาน

ประโยชน์ของเนระพูสีไทย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวปะหล่องใช้ใบรับประทานเป็นผักสดร่วมกับลาบ ชาวกะเหรี่ยงแดงใช้ใบรับประทานร่วมกับน้ำพริก คนเมืองและชาวเผ่าม้ง มูเซอ ใช้ใบอ่อนนำมาย่างไฟให้อ่อนหรือนำมาลวกใช้รับประทานกับลาบ ชาวขมุใช้ดอกรับประทานร่วมกับน้ำพริก คนเมืองจะใช้ทั้งดอกและยอดอ่อนรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก
2. สกัดเป็นผลิตภัณฑ์ สกัดเป็นผลิตภัณฑ์น้ำสกัดบรรจุขวดหรือทำเป็นเจลสำหรับใช้ทาบริเวณที่มีอาการอักเสบ มีฤทธิ์ในการต้านแบคทีเรียและใช้รักษาสิวได้
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ
4. ใช้ในการเกษตร มีฤทธิ์ยับยั้งการกินของหนอนใยผักซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชผักที่สำคัญโดยเฉพาะพืชในตระกูลกะหล่ำ

เนระพูสีไทย เป็นที่นิยมสำหรับชาวพื้นเมืองและเป็นยาบำรุงเพศชั้นดีต่อเพศชาย เป็นต้นที่มีลักษณะโดดเด่นเหมือนค้างคาวสีดำเกาะอยู่บนต้น เหง้าของเนระพูสีไทยเป็นส่วนที่มีสรรพคุณทางยาชั้นเยี่ยม มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาบำรุงกำลังทางเพศ ช่วยแก้อาการอักเสบและแก้ปวด ช่วยดับพิษไข้ แก้อัมพฤกษ์ รักษาโรคความดันและโรคหัวใจ รวมถึงอาการอื่น ๆ อีกมากมาย เหมาะอย่างมากที่จะนำมาปลูกไว้ในบ้านเพราะนอกจากจะเป็นยาชั้นดีแล้วยังเป็นไม้ประดับที่โดดเด่นอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “เนระพูสีไทย (Na ra Pu Si Thai)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 159.
หนังสือสมุนไพรไทยในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “เนระพูสีไทย”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 128.
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. “เนระพูสีไทย Bat Flower”. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 206.
หนังสือชุดพรรณไม้เมืองไทย : ไม้ต่างถิ่นในเมืองไทย 1. “เนระพูสีไทย”. (ปรัชญา ศรีสง่า, ชัยยุทธ กล่ำแวววงศ์).
เอกสารการประชุมวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ครั้งที่ 6. “ฤทธิ์ควบคุมหนอนใยผัก (Plutella xylostella L.) ของสารสกัดจากเหง้าค้างคาวดำ (Tacca chantrieri Andre)”. (มยุรฉัตร เกื้อชู, ศิริพรรณ ตันตาคม, ธรรมศักดิ์ ทองเกตุ).
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “เนระพูสีไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [29 ม.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “Bat flower”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [29 ม.ค. 2014].
หนังสือธรรมชาติศึกษา ดอกไม้และประวัติไม้ดอกเมืองไทย. (วิชัย อภัยสุวรรณ).
คมชัดลึกออนไลน์. “วิจัยพบสารออกฤทธิ์ เนระพูสีไทย”. (ผศ.ดร.ไชยยง รุจนเวท). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.komchadluek.net. [29 ม.ค. 2014].
สิงห์แดง รุ่น ๑๘. “ว่านค้างคาวดํา‘”. (สมุทร ทองวิจิตร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: singdang18.net/kangkao.html. [29 ม.ค. 2014].
พืชและสัตว์ท้องถิ่นภูพาน, โครงการตาสับปะรด มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. “เนระพูสีไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pineapple-eyes.snru.ac.th. [29 ม.ค. 2014].
ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “เนระพูสีไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [29 ม.ค. 2014].

ตับเต่านา เป็นไม้ปลูกประดับในอ่างปลา ช่วยแก้ลมและแก้เสมหะได้

0
ตับเต่านา เป็นไม้ปลูกประดับในอ่างปลา ช่วยแก้ลมและแก้เสมหะได้
ตับเต่านา พืชลอยน้ำที่มีดอกสีขาว ใบเป็นรูปหัวใจ นิยมนำมาประดับอ่างปลาหรือนำมาประดับบ้าน
ตับเต่านา เป็นไม้ปลูกประดับในอ่างปลา ช่วยแก้ลมและแก้เสมหะได้
ตับเต่านา พืชลอยน้ำที่มีดอกสีขาว ใบเป็นรูปหัวใจ นิยมนำมาประดับอ่างปลาหรือนำมาประดับบ้าน

ตับเต่านา

ตับเต่านา (Frogbit) เป็นพืชลอยน้ำที่มีดอกสีขาวสวยงามและมีใบโดดเด่นเป็นรูปหัวใจ สามารถพบได้ในแหล่งน้ำนิ่งทั่วไป เป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นเคยและแปลกแต่เราอาจจะเคยผ่านตามาบ้าง เป็นพืชที่เหมาะอย่างมากในการนำมาประดับอ่างปลาหรือนำมาประดับบ้าน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตับเต่านา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hydrocharis dubia (Blume) Baker
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Frogbit” “Frog bit”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ผักตับเต่า ผักตับเต่านา ตับเต่าน้ำ ผักเต่า ผักปอดม้า บัวฮาวาย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์สันตะวา (HYDROCHARITACEAE)
ชื่อพ้อง : Hydrocharis morsus-ranae L.

ลักษณะของตับเต่านา

ตับเต่านา เป็นพืชลอยน้ำที่มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปยุโรปและเอเชีย สามารถพบได้ตามแหล่งน้ำตื้นและในน้ำนิ่งทั่วไป เช่น ตามนาข้าวหรือบริเวณหนองน้ำ
ใบ : ใบจะโผล่อยู่เหนือน้ำหรือลอยบนผิวน้ำ มีก้านใบยาว ในฤดูแล้งที่มีน้ำน้อยก้านใบจะสั้นลง ใบเป็นรูปหัวใจหรือเป็นรูปไข่กว้าง ปลายใบมน โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ รากเกิดเป็นกระจุกอยู่ทางด้านล่างของกลุ่มใบ แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนด้านล่างจะสีอ่อนกว่า และมักจะมีเนื้อเยื่อลักษณะคล้ายกับฟองน้ำอยู่บริเวณกลางใบ ซึ่งมีหน้าที่ในการช่วยพยุงลำต้น
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวสีขาวออกดอกตามซอกใบ มีก้านชูดอกเรียวยาว โคนกลีบดอกมีแต้มสีเหลือง ดอกเป็นแบบแยกเพศโดยมีกาบหุ้มช่อดอก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
ผล : มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกและมีสันอยู่ 6 สัน

สรรพคุณของตับเต่านา

ประโยชน์ของตับเต่านา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ต้นอ่อนหรือยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับหรือใช้ปลูกในบ่อเลี้ยงปลาเพื่อช่วยคลุมผิวน้ำ

ตับเต่านา เป็นพืชลอยน้ำที่มีชื่อแปลกและมีชื่อเรียกหลายชื่อ มักจะพบตามทุ่งนาหรือหนองน้ำทั่วไป มีดอกที่สวยงามและมีใบรูปหัวใจช่วยเพิ่มระดับความงามให้กับอ่างปลาในบ้านหรือบึงริมน้ำ เป็นไม้ที่เหมาะอย่างมากในการนำมาปลูกประดับ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยแก้ลม แก้เสมหะ นอกจากจะมีสรรพคุณทางยาแล้วตับเต่านายังเป็นไม้น้ำที่ช่วยคลุมผิวน้ำได้ด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ตับเต่านา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [23 ม.ค. 2014].
สารสนเทศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “Frog bit”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/AgrInfo. [23 ม.ค. 2014].
หนังสือผักพื้นบ้านภาคเหนือ. “ผักตับเต่านา”. (สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข).
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ผักตับเต่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [23 ม.ค. 2014].
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. “ตับเต่านา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/ตับเต่านา. [23 ม.ค. 2014].

ธูปฤาษี พืชสำคัญทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมที่คนไทยควรรู้

0
ธูปฤาษี พืชสำคัญทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมที่คนไทยควรรู้
ธูปฤาษี ดอกเป็นรูปทรงกระบอก ดอกมีขนาดเล็ก ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก ออกดอกตลอดทั้งปี
ธูปฤาษี พืชสำคัญทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมที่คนไทยควรรู้
ธูปฤาษี ดอกเป็นรูปทรงกระบอก ดอกมีขนาดเล็ก ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก ออกดอกตลอดทั้งปี

ธูปฤาษี

ธูปฤาษี (Cattail) หรือเรียกกันว่า “กกช้าง” มีลักษณะโดดเด่นอยู่ที่ดอกเป็นรูปทรงกระบอกคล้ายธูปดอกใหญ่จึงเป็นที่มาของชื่อ “ธูปฤาษี” มักจะพบขึ้นตามหนองน้ำและหาได้ง่ายทั่วประเทศไทย ต้นธูปฤาษีมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศและการเกษตรเป็นอย่างมาก และที่สำคัญส่วนประกอบต่าง ๆ ของต้นยังเป็นวัสดุที่สามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมได้ รวมถึงประโยชน์ด้านสรรพคุณทางยาในการรักษาที่คาดไม่ถึงด้วย แต่ธูปฤาษีก็มีข้อเสียเพราะเมล็ดสามารถปลิวและลอยฟุ้งไปตามสายลมจนสร้างความรำคาญให้กับผู้คนได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของธูปฤาษี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Typha angustifolia L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bulrush” “Cattail” “Cat – tail” “Elephant grass” “Flag” “Narrow – leaved Cat – tail” “Narrowleaf cattail” “Lesser reedmace” “Reedmace tule”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กกช้าง กกธูป เฟื้อ เฟื้อง หญ้าเฟื้อง หญ้ากกช้าง หญ้าปรือ” ภาคเหนือเรียกว่า “หญ้าสลาบหลวง หญ้าสะลาบหลวง” ภาคใต้เรียกว่า “ปรือ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ธูปฤๅษี (TYPHACEAE)

ลักษณะของธูปฤาษี

ธูปฤาษี เป็นไม้ล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรปและอเมริกา มักจะพบขึ้นตามหนองน้ำ ลุ่มน้ำทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ตามทะเลสาบหรือริมคลอง รวมไปถึงตามที่โล่งทั่วไป
เหง้า : เหง้ากลม แทงหน่อขึ้นเป็นระยะสั้น ๆ
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง
ใบ : เป็นใบเดี่ยว มีกาบใบเรียงสลับในระนาบเดียวกัน ลักษณะใบเป็นรูปแถบ แผ่นใบด้านบนมีลักษณะโค้งเล็กน้อยเพราะมีเซลล์หยุ่นตัวคล้ายฟองน้ำหมุนอยู่กลางใบ ด้านล่างของใบแบน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบเชิงลดเป็นรูปทรงกระบอก ดอกมีขนาดเล็ก ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
ผล : ผลมีขนาดเล็กมาก ลักษณะของผลเป็นรูปวงรี เมื่อแก่จะแตกตามยาว

สรรพคุณของธูปฤาษี

  • สรรพคุณจากลำต้น ช่วยเพิ่มน้ำนมของสตรีหลังการคลอดบุตร
  • สรรพคุณจากลำต้นและราก ช่วยขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากลำต้นและอับเรณู เป็นยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะ

ประโยชน์ของธูปฤาษี

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนใช้รับประทานได้ทั้งสดและทำให้สุก นำแป้งที่ได้จากลำต้นใต้ดินและรากมาประกอบอาหารได้
2. ใช้ในการเกษตร
ต้น : ใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์เคี้ยวเอื้องได้ ใช้เป็นปุ๋ยพืชสตูหรือใช้ทำปุ๋ยหมักบำรุงดินได้
ซาก : นำมาใช้เป็นวัสดุคลุมดินสำหรับไม้ยืนต้นตามสวนผลไม้ต่าง ๆ เพื่อช่วยลดการสูญเสียความชื้นออกจากผิวดินและช่วยลดการชะล้างหน้าดินจากน้ำฝนได้
3. ใช้ในอุตสาหกรรม
ใบ : มีความยาวและเหนียวจึงนำมาใช้มุงหลังคา ทำสานตะกร้า ทำเสื่อและทำเชือกได้
ช่อดอก : ช่อดอกแห้งนำมาใช้เป็นไม้ประดับ ก้านช่อดอกนำมาทำเป็นปากกา
เยื่อของต้น : นำมาใช้ทำกระดาษและทำใยเทียมได้ เส้นใยที่ได้จะมีสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อนนั้นสามารถนำมาใช้ทอเป็นผ้าเพื่อใช้สำหรับแทนฝ้ายหรือขนสัตว์
4. ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ช่วยบำบัดน้ำเสียตามแหล่งต่าง ๆ มีศักยภาพในการลดค่าความเป็นกรดด่างของน้ำ ช่วยปรับเปลี่ยนสีของน้ำที่ผิดปกติให้จางลงและช่วยลดความเป็นพิษในน้ำได้ ป้องกันการพังทลายของดินตามชายน้ำ ช่วยกำจัดไนโตรเจนจากน้ำเสียในที่ลุ่มต่อไร่ได้สูงถึง 400 กิโลกรัมต่อปี ช่วยดูดธาตุโพแทสเซียมต่อไร่ได้สูงถึง 690 กิโลกรัมต่อปี ทำให้วัฏจักรของแร่ธาตุอาหารในดินสมบูรณ์ขึ้น ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน
5. ใช้ในด้านอื่น ๆ
ดอก : นำมาใช้กำจัดคราบน้ำมันได้โดยน้ำหนักของดอก 100 กรัม สามารถช่วยกำจัดคราบน้ำมันได้มากกว่า 1 ลิตร
ต้น : นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เพราะมีปริมาณของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตค่อนข้างสูง กากที่เหลือจากการสกัดเอาโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตออกแล้วใช้แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนย่อยจะให้แก๊สมีเทนซึ่งใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงได้

ส่วนประกอบที่พบในเยื่อธูปฤาษี

เยื่อธูปฤาษีมีเส้นใยมากถึงร้อยละ 40 มีความชื้นของเส้นใย 8.9% ลิกนิก 9.6% ไข 1.4% เถ้า 2% เซลลูโลส 63% และมีเฮมิเซลลูโลส 8.7%

วิธีการป้องกันการแพร่กระจายและการกำจัดต้นธูปฤาษี

  • วิธีการป้องกันการแพร่กระจายของต้นธูปฤาษี ควรทำก่อนที่ต้นธูปฤาษีจะออกดอกเพราะเมล็ดสามารถแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดีโดยอาศัยลมและน้ำ
  • วิธีการกำจัดธูปฤาษี ตัดต้นขนาดใหญ่โดยต้องตัดให้ต่ำกว่าระดับของผิวน้ำ

ธูปฤาษี เป็นพืชที่มีความสำคัญทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมากจึงจัดเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่อาจมีบทบาทเป็นพืชเศรษฐกิจได้ในอนาคต สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายด้านแต่ที่สำคัญคือสามารถบำบัดน้ำเสียได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ถือเป็นพืชที่คู่ควรแก่การปลูกไว้ใกล้กับโรงงานหรือชุมชนที่มีลำคลองเน่าเหม็นเพราะทุกวันนี้ประเทศไทยมีการปล่อยมลพิษทางน้ำมากมายและยังถูกเพิกเฉยจากโรงงานในการตระหนักเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นพืชที่มีสรรพคุณโดดเด่นในเรื่องของการรักษาโรคทางเดินปัสสาวะได้ด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. สารานุกรมพืช, “ธูปฤาษี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: web3.dnp.go.th. [6 ม.ค. 2014].
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ธูปฤาษี“. (นพพล เกตุประสาท หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [6 ม.ค. 2014].
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. “การผลิตกระดาษจากธูปฤาษีและผักตบชวา“. (นพพล เกตุประสาท หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nectec.or.th. [6 ม.ค. 2014].
วิทยาลัยนาโนเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง. “ดอกต้นธูปฤาษี วัชพืชกำจัดคราบน้ำมัน“. (ศาสตราจารย์จิติ หนูแก้ว). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nano.kmitl.ac.th. [6 ม.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ดาราศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา. ” ต้นธูปฤาษี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nano.kmitl.ac.th. [6 ม.ค. 2014].

แคแสด ไม้ยืนต้นดอกสีส้มสะดุดตา เป็นไม้ปลูกประดับที่ช่วยรักษาแผลเรื้อรังต่าง ๆ

0
แคแสด ไม้ยืนต้นดอกสีส้มสะดุดตา เป็นไม้ปลูกประดับที่ช่วยรักษาแผลเรื้อรังต่าง ๆ
แคแสด เป็นไม้ยืนต้น ดอกสีแสดหรือสีเลือดหมู มีขนาดใหญ่
แคแสด ไม้ยืนต้นดอกสีส้มสะดุดตา เป็นไม้ปลูกประดับที่ช่วยรักษาแผลเรื้อรังต่าง ๆ
แคแสด เป็นไม้ยืนต้น ดอกสีแสดหรือสีเลือดหมู มีขนาดใหญ่

แคแสด

แคแสด (Africom tulip tree) เป็นไม้ยืนต้นที่สูงสง่าและสวยงามมาก ดอกมีสีส้มแสดที่มองแล้วต้องสะดุดตา เป็นพืชที่คนไทยรู้จักเพราะดอกแคเป็นดอกพื้นบ้านของไทย แต่ดอกแคแสดอาจจะยังไม่คุ้นเคยมากนัก เป็นไม้ที่นิยมปลูกประดับสถานที่ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายและนำมารับประทานได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแคแสด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Spathodea campanulata P.Beauv.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Africom tulip tree” “Fire bell” “Fountain tree” “Pichkari” “Nandi flame” “Syringe”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “แคแดง” แอฟริกาตอนใต้เรียกว่า “แคแสด” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ยามแดง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)

ลักษณะทั่วไปของแคแสด

แคแสด เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางที่เป็นพืชพื้นเมืองของแอฟริกาตอนใต้
เปลือกต้น : เป็นสีน้ำตาลเข้มและมีรอยแตกเป็นรวงตามยาว ต้นเป็นทรงเรือนยอดพุ่มกลมและค่อนข้างทึบ
ใบ : เป็นใบผสมแบบขนนก ลักษณะของใบเป็นรูปวงรี ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบสาก
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งตรง มีก้านช่อดอกยาว แต่ละช่อจะมีดอกจำนวนมากและจะทยอยกันบาน ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูประฆังคล้ายดอกทิวลิป เป็นสีแสดหรือสีเลือดหมู ดอกแคแสดมีขนาดใหญ่ กลีบดอกหลุดร่วงได้ง่าย จะเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุได้ประมาณ 4 – 8 ปี และจะออกดอกตลอดทั้งปี มักจะออกดอกมากในช่วงฤดูหนาว
ผล : เป็นฝักคล้ายรูปเรือสีดำ ปลายผลแหลม เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลและจะแตกเป็นด้านเดียว จะออกผลตลอดทั้งปีและจะออกผลมากในช่วงฤดูฝน
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดมีขนาดเล็ก แบนและมีปีก

สรรพคุณของแคแสด

  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาบำรุงธาตุเมื่อนำมาต้ม แก้อาการบิด รักษาแผลเรื้อรัง พอกรักษาโรคผิวหนังและแผลเรื้อรังต่าง ๆ
  • สรรพคุณจากดอก รักษาแผลเรื้อรัง ใช้พอกแผล พอกรักษาโรคผิวหนังและแผลเรื้อรังต่าง ๆ
  • สรรพคุณจากใบ ใช้พอกแผล พอกรักษาโรคผิวหนังและแผลเรื้อรังต่าง ๆ
  • สรรพคุณจากผล พอกรักษาโรคผิวหนังและแผลเรื้อรังต่าง ๆ

ประโยชน์ของแคแสด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้เหมือนแคบ้าน
2. เป็นไม้ปลูกประดับ ปลูกประดับหรือปลูกให้ร่มเงา โดยจะนิยมปลูกตามสวนสาธารณะและตามริมข้างถนน

แคแสด เป็นไม้ต้นที่มักจะพบตามที่สาธารณะต่าง ๆ เป็นต้นที่มีดอกสีส้มแสดที่มองแล้วสะดุดตา มีฝักสีดำออกตามต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้อาการบิด รักษาแผลเรื้อรัง พอกรักษาโรคผิวหนังและแผลเรื้อรังต่าง ๆ เป็นต้นที่มีประโยชน์ได้ทั้งในด้านความสวยงามและเป็นยาที่ดีต่อร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์. “แคแสด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.shc.ac.th. [24 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “แคแสด”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [24 ธ.ค. 2013].
โครงการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. “แคแสด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sbg.uru.ac.th. [24 ธ.ค. 2013].
สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 . “แคแสด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: minpininteraction.com. [24 ธ.ค. 2013].
ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (เต็ม สมิตินันทน์).

โพทะเล ไม้มงคลตามชายหาด ช่วยรักษาแผล รักษาหิดและเป็นยาระบาย

0
โพทะเล ไม้มงคลตามชายหาด ช่วยรักษาแผล รักษาหิดและเป็นยาระบาย
โพทะเล ไม้มงคลประจำจังหวัดสมุทรปราการ เป็นดอกที่มีสีเหลืองอ่อน ดอกและผลรับประทานได้
โพทะเล ไม้มงคลตามชายหาด ช่วยรักษาแผล รักษาหิดและเป็นยาระบาย
โพทะเล ไม้มงคลประจำจังหวัดสมุทรปราการ เป็นดอกที่มีสีเหลืองอ่อน ดอกและผลรับประทานได้

โพทะเล

โพทะเล (Portia tree) รู้จักกันในนามของไม้มงคลประจำจังหวัดสมุทรปราการ เป็นดอกที่มีสีเหลืองอ่อนสวยงาม สามารถนำดอกและผลมารับประทานได้ เป็นไม้กลางแจ้งที่พบตามชายฝั่งทะเลและตามริมแม่น้ำที่เป็นดินร่วนปนทราย ในบางประเทศนิยมปลูกต้นโพทะเลไว้ตามวัดเพราะถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ โพทะเลยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรในการรักษาได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโพทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thespesia populnea (L.) Sol. ex Corrêa
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Portia tree” “Cork tree” “Coast cotton tree” “Indian tulip tree” “Pacific rosewood” “Seaside mahoe” “Milo” “Thespesia” “Tulip tree” “Rosewood of Seychelles” “Yellow mallow tree” และ “Umbrella tree”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “โพทะเล โพธิ์ทะเล” จังหวัดราชบุรีเรียกว่า “ปอกะหมัดไพร” จังหวัดเพชรบุรีเรียกว่า “ปอหมัดไซ” จังหวัดปัตตานี มลายูและนราธิวาสเรียกว่า “บากู”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชบา (MALVACEAE)
ชื่อพ้อง : Hibiscus populneus L.

ลักษณะของโพทะเล

โพทะเล เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่มีการกระจายพันธุ์ในแอฟริกา อินเดีย ศรีลังกา จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ รวมไปถึงภูมิภาคมาเลเซียและในหมู่เกาะแปซิฟิก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ตามชายฝั่งทะเลทั่วไป เป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัด เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินแทบทุกชนิดที่มีความชุ่มชื้น
ลำต้น : ลำต้นโค้งและแตกกิ่งในระดับต่ำ ต้นเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้างและค่อนข้างหนาทึบ
เปลือกต้น : เปลือกเป็นสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาล มีลักษณะเรียบหรือขรุขระและมีรอยแตกตามยาวเป็นร่อง ๆ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบคล้ายรูปหัวใจ ปลายใบกว้างแหลมยาวถึงเรียวแหลม ส่วนฐานใบเว้าลึก ขอบใบเรียบและมีเส้นใบออกจากโคนของใบประมาณ 5 – 7 เส้น ผิวใบด้านบนมีลักษณะเกลี้ยงและเป็นมัน ส่วนท้องใบเป็นสีเทาแกมสีน้ำตาลและมีเกล็ด มีหูใบที่มีลักษณะเป็นรูปใบหอกและหลุดร่วงได้ง่าย
ดอก : ออกดอกตามง่ามใบ เป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ตามซอกใบ ก้านดอกอ้วนสั้นและมีเกล็ด ดอกมีริ้วประดับ 3 แฉกและร่วงได้ง่าย มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมแคบ ๆ วงกลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วยไม่มีแฉกลักษณะคล้ายแผ่นหนัง ส่วนกลีบดอกเป็นสีเหลืองลักษณะเป็นรูปไข่ โคนกลีบติดกันเป็นรูประฆังและมีจุดสีแดงเข้มอมสีน้ำตาลแต้มอยู่ที่โคนกลีบดอกด้านใน โดยดอกจะบานเต็มที่ภายในวันเดียวแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูแกมสีม่วงอ่อนและเหี่ยวอยู่บนต้นก่อนที่จะร่วงหล่นในวันถัดมา
ผล : ผลมีลักษณะค่อนข้างกลม เป็นสันตื้น ๆ 5 สัน และมีน้ำยางสีเหลือง ผลอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน ส่วนผลแก่เป็นสีเขียวเข้ม เปลือกผลแข็ง มีวงกลีบเลี้ยงลักษณะคล้ายจานติดอยู่ที่ขั้วของผล เมื่อผลแก่จะแห้งแตกไม่มีทิศทาง ไม่ร่วงหล่นและติดอยู่บนต้น
เมล็ด : ในผลมีเมล็ดอยู่หลายเมล็ดหรือมีเมล็ด 4 เมล็ดในแต่ละช่อง เมล็ดเป็นวงรียาวคล้ายเส้นไหม มีสีน้ำตาลอ่อนค่อนข้างแบน

สรรพคุณของโพทะเล

  • สรรพคุณจากราก เป็นยาบำรุง เป็นยารักษาอาการไข้ เป็นยาระบาย เป็นยาขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากดอก
    – รักษาอาการเจ็บหู ด้วยการใช้ดอกสดประมาณ 2 – 3 ดอก มาต้มกับน้ำนมครึ่งถ้วยตวง แล้วนำมาหยอดหู
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาที่ช่วยให้อาเจียน
    – รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด และช่วยทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการนำเปลือกมาต้มน้ำแล้วพอกบริเวณที่เป็นแผล
  • สรรพคุณจากเมือก รักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาระบายอ่อน ๆ
    – รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด และช่วยทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ใบแห้งประมาณ 2 – 3 ใบ มาบดให้เป็นผงละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นแผล
    – แก้หิด ด้วยการนำใบมาตำแล้วพอก
  • สรรพคุณจากผล
    – แก้หิด ด้วยการนำผลมาตำแล้วพอก

ประโยชน์ของต้นโพทะเล

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอก ผลและใบอ่อนสามารถนำมารับประทานได้
2. เป็นไม้ปลูกประดับ เป็นไม้โตเร็วและมีดอกขนาดใหญ่ จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับหรือใช้ปลูกเพื่อความร่มเงาได้
3. เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เปลือกสามารถนำมาใช้ตอกหมันเรือหรือทำเชือกและสายเบ็ดได้ ไม้ของต้นโพทะเลมีคุณสมบัติคงทน แข็งแรง ทนปลวก เนื้อไม้เหนียว ไสกบตกแต่งได้ง่ายและขัดชักเงาได้เป็นอย่างดี มีสีแดงเข้มดูสวยงาม จึงสามารถนำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้

ข้อควรระวังของโพทะเล

1. น้ำมันที่ได้จากเมล็ด ยางจากต้นและเปลือก หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้
2. เปลือกมีฤทธิ์ทำให้อาเจียนสำหรับผู้ป่วยหรือผู้ที่ต้องการอาเจียน แต่ควรระวังสำหรับผู้ที่รับประทานแบบปกติ

โพทะเล เป็นต้นไม้มงคลที่มักจะพบตามชายฝั่งทะเล สามารถนำส่วนประกอบของต้นมารับประทานเป็นยาสมุนไพรได้ อีกทั้งยังมีดอกสีเหลืองอ่อนสวยงามน่าชมเหมาะกับการปลูกประดับสถานที่และให้ความร่มเงาได้ดี มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาอาการเจ็บหู รักษาแผล รักษาหิดและเป็นยาระบาย เป็นสมุนไพรแก้อาการพื้นฐานได้และยังนำมาเป็นส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. “โพทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nectec.or.th. [19 ธ.ค. 2013].
โรงเรียนดาราพิทยาคม ตำบลบ้านดารา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์. “โพทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.drpk.ac.th. [19 ธ.ค. 2013].
หนังสือสมุนไพรพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด (สุทัศน์ จูงพงษ์).
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “โพทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [19 ธ.ค. 2013].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “พิษระคายเคืองผิวหนัง โพทะเล”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [19 ธ.ค. 2013].

บัวสาย เป็นพืชน้ำที่มีสีสันมากมาย ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจและแก้ไข้ได้

0
บัวสาย เป็นพืชน้ำที่มีสีสันมากมาย ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจและแก้ไข้ได้
บัวสาย พืชน้ำตามบึงหรือลำคลอง ดอกมีหลายสี ก้านดอกมีสีน้ำตาลอวบ
บัวสาย เป็นพืชน้ำที่มีสีสันมากมาย ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจและแก้ไข้ได้
บัวสาย พืชน้ำตามบึงหรือลำคลอง ดอกมีหลายสี ก้านดอกมีสีน้ำตาลอวบ

บัวสาย

บัวสาย (Lotus stem) หรือเรียกกันอีกอย่างว่า “บัวขม” เป็นพืชน้ำที่คนไทยคุ้นเคยกันมานาน มักจะอยู่ตามบึงหรือลำคลอง เป็นไม้น้ำที่ดอกบานแล้วสวยงามมาก บัวสายนั้นมีชื่อเรียกหลายชื่อตามแต่ละท้องที่หรือตามสีของดอกจนน่าสับสน เป็นพืชที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป บัวสายนั้นนอกจากจะเป็นไม้ประดับเพื่อความสวยงามแล้วยังมีสรรพคุณเป็นยาและถูกจัดให้อยู่ใน “ตำรับยาพิกัดบัวพิเศษ” และ “ตำรับยาหอมเทพจิตร”

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบัวสาย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nymphaea pubescens Willd.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Lotus stem” “Water lily” “Red indian water lily”
ชื่อท้องถิ่น : ชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “บัวสายกิน” “บัวกินสาย” “สายบัว” “บัวขม” “บัวขี้แพะ” “บัวแดง” “บัวสายสีชมพู” “บัวจงกลนี” “จงกลนี” “สัตตบรรณ” “สัตตบุษย์” “ปริก” “ป้าน” “ป้านแดง” “รัตอุบล” “เศวตอุบล” มีชื่อเรียกตามสีของดอกโดยสีชมพูเรียกว่า “ลินจง” สีขาวเรียกว่า “กมุท กุมุท โกมุท เศวตอุบล” สีม่วงแดงเรียกว่า “สัตตบรรณ รัตนอุบล”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บัวสาย (NYMPHAEACEAE)
ชื่อพ้อง : Nymphaea lotus var. pubescens (Willd.) Hook. f. & Thomson

ลักษณะของบัวสาย

บัวสาย เป็นพืชน้ำที่มีถิ่นกำเนิดในเขตที่ราบลุ่มของทวีปเอเชีย เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมของไทย
เหง้า : อยู่ใต้ดินและมีรากฝักอยู่ในโคลนเลน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน แผ่นใบมีลักษณะกลม ขอบใบหยักและแหลม ฐานหยักเว้าลึก หูใบเปิด ผิวใบอ่อนวางอยู่บนผิวน้ำ แผ่นใบด้านบนเรียบเป็นมัน มีสีเขียวเหลือบน้ำตาลอ่อนหรือสีแดงเลือดหมู ผิวใบด้านล่างของใบอ่อนเป็นสีม่วง เมื่อแก่จะเป็นสีเขียว ผิวใบด้านล่างของใบแก่เป็นสีน้ำตาลมีขนนุ่ม ๆ เส้นใบใหญ่นูน ส่วนก้านใบมีสีน้ำตาลอมเขียวอ่อนลักษณะค่อนข้างเปราะ ข้างในก้านใบเป็นรูอากาศ
ดอก : มีหลายสีแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด เช่น ชนิดดอกสีชมพู ดอกขาว ดอกแดง ดอกม่วงแดง ดอกเหลือง ดอกเขียว ดอกคราม ดอกน้ำเงิน มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ เป็นสีเขียวเหลือบน้ำตาลแดง ดอกมีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมถึงค่อนข้างกลม มีกลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนกันอยู่หลายชั้นเป็นรูปหอก ก้านดอกมีสีน้ำตาลอวบกลมช่วยให้ดอกลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ดอกบัวสายจะบานในช่วงเวลาใกล้ค่ำถึงตอนสายของวันรุ่งขึ้นและจะหุบในเวลากลางวัน
ผล : ผลสดเรียกว่า “โตนด” มีเนื้อและเมล็ดอยู่ภายในผล
เมล็ด : ลักษณะกลมจำนวนมาก มีขนาดเล็กสีดำอยู่ในเนื้อหุ้มเป็นวุ้นใส ๆ

สรรพคุณของบัวสาย

  • สรรพคุณจากบัวสาย แก้ไข้ตัวร้อน แก้เสมหะ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้ลมและโลหิต ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น
    – ในประเทศฟิลิปปินส์ใช้รักษาโรคหนองใน ด้วยการนำมาถูที่หน้าจะช่วยทำให้ง่วงนอน
  • สรรพคุณจากหัว บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น บำรุงครรภ์ของสตรี
  • สรรพคุณจากดอก บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้ตัวร้อน แก้อาการร้อนใน บำรุงครรภ์ของสตรี แก้อาการหน้ามืดตาลาย แก้อาการใจสั่น ช่วยผ่อนคลายความเครียด
  • สรรพคุณจากเมล็ด บำรุงกำลัง บำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงครรภ์ของสตรี
  • สรรพคุณจากสายบัว บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ต้านโรคมะเร็งในลำไส้
  • สรรพคุณจากก้านบัว บรรเทาความร้อนในร่างกาย

ประโยชน์ของบัวสาย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ก้านดอกและไหลใช้รับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก นำไปปรุงเป็นอาหารหรือทำเป็นขนมได้ ด้วยการนำก้านดอกหรือใบมาลอกผิวหรือเปลือกที่หุ้มอยู่ออกแล้วเด็ดดอกและใบทิ้ง
2. เป็นไม้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับสระน้ำ
3. ใช้ในอุตสาหกรรม ก้านดอกนำมาสกัดย้อมสีเส้นไหมได้โดยจะให้สีเทา
4. ใช้ในด้านวิทยาศาสตร์ ใช้วัดความลึกของระดับน้ำบริเวณนั้นได้ เนื่องจากความยาวของก้านใบและก้านดอกจะเท่ากับความลึกของแหล่งน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการของบัวสาย

คุณค่าทางโภชนาการของบัวสาย ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 6 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 1.1 กรัม
โปรตีน 0.2 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
เส้นใยอาหาร 0.4 กรัม
น้ำ 97.6 กรัม
วิตามินเอ 45 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.02 มิลลิกรัม 
วิตามินบี3 0.4 มิลลิกรัม
วิตามินซี 15 มิลลิกรัม
แคลเซียม 0 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 3 มิลลิกรัม

บัวสาย เป็นบัวชนิดหนึ่งของไทยที่มีมาเนิ่นนานและเป็นไม้น้ำพื้นบ้านที่ชาวชนบทมักจะนิยมปลูกและนำมาทำเป็นกำไลเล่นสำหรับเด็ก เป็นดอกที่สวยงามเหมาะแก่การปลูกประดับสระน้ำหรือบึง เป็นพืชที่มีประโยชน์หลากหลายและสามารถนำส่วนของต้นมาเป็นยาสมุนไพรได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ แก้ไข้และช่วยให้คลายเครียดได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “บัวสาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable. [3 ธ.ค. 2013].
รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตรประจำวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2546. “บัวสายและบัวหลวง”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [3 ธ.ค. 2013].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 195 คอลัมน์: ประสบการณ์รอบทิศ. “บัวสาย สัญลักษณ์แห่งเยื่อใยและความลึก”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [3 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “บัวสาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [3 ธ.ค. 2013].
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. “บัวจงกลนี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.uru.ac.th. [3 ธ.ค. 2013].
พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ กรมหม่อนไหม. “บัวสาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th. [3 ธ.ค. 2013].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “บัวสาย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [3 ธ.ค. 2013].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “บัวขม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [3 ธ.ค. 2013].

จาก ปาล์มชนิดหนึ่งในป่าชายเลน มีประโยชน์มากมายต่อวิถีชีวิตในแบบชาวบ้าน

0
จาก ปาล์มชนิดหนึ่งในป่าชายเลน มีประโยชน์มากมายต่อวิถีชีวิตในแบบชาวบ้าน
จาก ปาล์มชนิดหนึ่งในป่าชายเลน มีประโยชน์มากมายต่อวิถีชีวิตในแบบชาวบ้าน
จาก ปาล์มชนิดหนึ่งในป่าชายเลน มีประโยชน์มากมายต่อวิถีชีวิตในแบบชาวบ้าน
จาก ปาล์มชนิดหนึ่งนิยมเชื่อมเป็นของหวาน เปลือกผลหนา เนื้อผลสีขาว ด้านในกลวงมีน้ำ คล้ายผลตาล

จาก

จาก (Nipa palm) เป็นพืชเก่าแก่มากชนิดหนึ่ง เป็นปาล์มเพียงชนิดเดียวที่เป็นพืชในป่าชายเลน ส่วนมากจะพบเป็นลูกจากเชื่อมที่อยู่ในของหวาน ถึงแม้จะเป็นพืชที่ให้สรรพคุณน้อยกว่าพืชอื่น ๆ แต่เป็นต้นที่มีประโยชน์หลากหลายมากในอุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถนำส่วนประกอบของต้นมาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารและเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์มากมาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของจาก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nypa fruticans Wurmb
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Nypa” “Atap palm” “Nipa palm” “Mangrove palm”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “อัตต๊ะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ปาล์ม (ARECACEAE)

ลักษณะของต้นจาก

ต้นจาก เป็นปาล์มแตกกอที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศไทย
ลำต้น : ลำต้นเป็นเหง้าใต้ดินหรือโผล่เหนือดิน มักเรียกว่า “หินจาก” ต้นเกิดติดกันเป็นกลุ่มกอ มีลักษณะอ้วนสั้น และแบน แตกออกเป็น 2 ง่าม โดยเยื่อของส่วนลำต้นและโคนก้านใบมีโพรงอากาศ
ราก : รากเป็นระบบรากฝอย แตกออกจากด้านล่างของลำต้น จำนวนของรากต่อต้นนั้นมากและมีขนาดยาว ทำให้พื้นที่โดยรอบลำต้นกระจุกตัวด้วยรากจำนวนมาก
ใบ : มีลักษณะเป็นใบเดี่ยวแบบขนนก ก้านใบมีลักษณะอวบใหญ่เรียกว่า “พงจาก” หรือ “ทางจาก” ส่วนโคนก้านใบเรียกว่า “พอนจาก” ใบย่อยมีลักษณะเรียวยาวคล้ายใบมะพร้าวแต่ขนาดใบกว้างกว่า ผิวใบด้านบนมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนผิวใบด้านล่างมีสีนวล กาบใบใหญ่ห่อโคนต้น ก้านใบที่แตกใหม่จะเป็นสีม่วงแดง
ดอก : ดอกมีสีเหลือง ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกแน่นระหว่างกาบใบ ดอกเป็นรูปกลม เป็นดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน ช่อดอกจะชูตั้งขึ้นและโค้งลง ก้านดอกเรียกว่า “นกจาก”
ผล : ผลมีลักษณะอัดรวมกันแน่นบริเวณปลายก้านดอกเรียกว่า “ทะลาย” หรือ “โหม่งจาก” ผลมีขนาดใหญ่ที่ขั้วผลและเล็กที่ปลายผล มีหนามแหลมสั้นที่โคนผล ตัวผลมีลักษณะสามเหลี่ยม เปลือกผลหนา มีสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลแดง
เมล็ด : 1 ผล จะมี 1 เมล็ด อยู่ถัดจากเปลือกผลที่ประกอบด้วยเนื้อผลสีขาว ด้านในกลวงมีน้ำ ซึ่งจะพบได้ขณะที่ผลยังอ่อนเหมาะสำหรับนำมารับประทาน แต่หากเมล็ดแก่มากจะมีเนื้อแข็งและเหนียวทั้งเมล็ด ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายผลตาลแก่ ไม่นิยมนำมารับประทาน และจะร่วงลงดินหรือลอยไปกับกระแสน้ำจนถึงช่วงน้ำลดแล้วจมโคลนจนเกิดเป็นต้นจากใหม่อีกครั้ง

สรรพคุณของจาก

สรรพคุณจากใบ แก้อาการท้องร่วงเมื่อนำมาต้มแล้วดื่ม

ประโยชน์ของจาก

  • ประโยชน์ของกลีบดอก เป็นส่วนผสมของชาสมุนไพรได้
  • ประโยชน์ของต้นจาก ปลูกเป็นไม้ประดับริมน้ำกร่อย ริมทะเลหรือในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง เพื่อกันแนวลมและลดเสียงรบกวน เป็นไม้ประดับปลูกลงกระถางเนื่องจากผลมีความสวยงาม ในสมัยก่อนการปลูกจากถือเป็นการจับจองที่ดินด้วยการปลูกลงแขก ต้นจากที่เหลือใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงได้
  • ประโยชน์ของลูกจากอ่อนหรือผลอ่อน นำมาต้มกินกับน้ำพริก กินร่วมกับแกงไตปลา ทำเป็นแกงกะทิ ผลอ่อนผ่าเอาเมล็ดมารับประทานสดเป็นผลไม้หรือนำมาลอยแก้ว ใช้รับประทานเป็นขนมหวานหรือรับประทานร่วมกับไอศกรีม ผลอ่อนเมื่อแตกหน่อจะมีจาวที่นำมารับประทานได้
  • ประโยชน์ของผลสุก นำมาทำเป็นลูกเชื่อมทานในของหวานได้
  • ประโยชน์จากน้ำหวานที่ต้นจาก หรือที่เรียกกันว่า “น้ำตาลจาก” มีรสชาติเหมือนกับน้ำตาลโตนด สามารถนำไปเคี่ยวเพื่อทำเป็น “น้ำผึ้งจาก” จนเกิดเป็น “น้ำตาลปึก” เมื่อเคี่ยวต่อจะได้ “ขนมตังเม” นอกจากนั้นยังนำไปหมักเพื่อเป็น “น้ำส้มจาก” ได้เช่นกัน มีส่วนช่วยทำให้น้ำในบ่อกุ้งไม่เน่าเสียและนำไปทำเป็น “น้ำตาลเมา” ได้อีกด้วย
  • ประโยชน์ของงวงจากหนุ่ม นำมาทำเป็นไม้กวาด เป็นแส้สำหรับปัดแมลงหรือแปรงล้างกระบอกตาลตอนทำน้ำตาลจากได้
  • ประโยชน์ของใบ นำมาใช้ห่อขนมจาก ทำแมงดากันฝน เป็นของเล่นหรือลูกโตน ส่วนใบแก่จะเย็บแล้วนำมาใช้มุงหลังคาหรือใช้กั้นฝาบ้านได้ ทำกระแชงที่มีลักษณะคล้ายกับเต็นท์ซึ่งสามารถกันความร้อนได้ดีกว่าเต็นท์อีกด้วย หรือนำมาทำเป็นเพิงสำหรับอาศัยพักผ่อน ใช้ทำเป็นหมวกที่เรียกว่า “เปี้ยว” ใช้กันแดดกันฝนบนเรือแจว ทำฝาชีสำหรับครอบกับข้าวหรือทำเป็นฝาซึ้งสำหรับนึ่งอาหาร เพราะใบจากจะทนทานต่อความร้อนได้ดีและกันความร้อน ส่วนก้านใบที่ลิดใบแล้วใช้ทำไม้กวาดและทำเสวียนหม้อได้
  • ประโยชน์ของใบอ่อน ใบอ่อนที่เพิ่งแตกยอดใช้ทำมวนบุหรี่สูบ ทำเสวียนหม้อ ตอกบิด ห่อขนมจาก ทำที่ตักน้ำเรียกว่า “หมาจาก” ซึ่งใช้สำหรับวิดน้ำในเรือเพราะหมาจากนั้นไม่กินเนื้อไม้
  • ประโยชน์ของพอนจากหรือปงจาก ใช้ทำเป็นทุ่นสำหรับเกาะตอนว่ายน้ำเพื่อไม่ให้จม หรือนำไปทำเป็นของเล่นสำหรับเด็ก เช่น ทำเป็นดาบ ปืน เรือ นอกจากนี้ส่วนที่เหนือขึ้นไปเล็กน้อยของพอนจากก็สามารถนำมาตัดทำเป็นไม้ดอกตีเงี่ยงปลาสำหรับชาวประมงได้ด้วยหรือนำมาใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงก็ได้
  • ประโยชน์ของทางจาก สามารถนำมาทำปลอกสำหรับแจวเรือได้เนื่องจากมีความเหนียวแต่ไม่ทนทานเท่าไหร่ ทำตับจากแต่ใช้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นเพราะไม่แข็งแรง ชาวประมงยังนำส่วนของทางจากแก่มาทำเป็นตะแกรงสำหรับย่างปลาอีกด้วย

จาก สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่คิด เป็นต้นที่มีน้ำหวานมาสกัดเป็นน้ำตาลได้ ส่วนประกอบจากต้นของจากนำมาแปรรูปได้ทั้งต้น มีสรรพคุณแก้อาการท้องร่วงได้ เป็นไม้ที่มักจะพบในป่าชายเลนเพราะเป็นต้นที่มักจะขึ้นริมทะเล เป็นพืชในตระกูลปาล์มชนิดหนึ่งที่เหมาะกับวิถีชาวบ้านของคนไทยในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะระ ผักรสขมที่ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาระบาย รักษาโรคเบาหวาน

0
มะระ ผักรสขมที่ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาระบาย รักษาโรคเบาหวาน
มะระ หรือมะระจีนเป็นผักที่ได้รับความนิยมในไทย ทรงกลมรีและยาว ผิวขรุขระ ผลขนาดใหญ่ เนื้อหนาฉ่ำ มีรสขม
มะระ ผักรสขมที่ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาระบาย รักษาโรคเบาหวาน
มะระ หรือมะระจีนเป็นผักที่ได้รับความนิยมในไทย ทรงกลมรีและยาว ผิวขรุขระ ผลขนาดใหญ่ เนื้อหนาฉ่ำ มีรสขม

มะระ

มะระ ( Bitter melon ) หรือเรียกกันว่า “มะระจีน” เป็นผักที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย มักจะอยู่ในเมนู “ต้มจืดมะระ” มีรสขมแต่อร่อยหากนำมาปรุงอย่างถูกวิธี มีสรรพคุณมากมายดั่งคำที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” รสขมของมะระนั้นอาจจะทำให้บางคนรับประทานยากแต่คุ้มค่าเพราะมีสรรพคุณทางยามากมาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะระ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Momordica charantia L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bitter melon” “Balsam pear” “Bitter cucumber” “Bitter gourd”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)

ลักษณะของมะระ

มะระ เป็นพันธุ์ไม้เลื้อยเขตร้อน เถาเลื้อยมีสีเขียว มีมือเกาะไว้ใช้สำหรับยึดเกาะ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันคนละข้างตามเถาเลื้อย มีลักษณะเป็นแฉกเว้าลึก 5 แฉก โคนใบมีลักษณะกลม ก้านใบยาว ใบมีสีเขียวและมีขนสากเล็ก ๆ
ราก : เป็นระบบรากแก้ว มีลักษณะกลมสีน้ำตาล รากแตกแขนงเป็นฝอยเล็ก ๆ
มือเกาะ : มีลักษณะกลมเป็นเส้นเล็ก ๆ คล้ายหนวด มีจำนวนมือเกาะ 1 เส้นต่อข้อ ส่วนตรงปลายมีขนาดเล็กสุดและม้วนงอ จะม้วนงอเข้ายึดเกาะรอบข้างและยึดลำต้นเพื่อเลื้อยแผ่ขึ้นที่สูง
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวลักษณะรูประฆัง กลีบดอกมีสีเหลือง ก้านดอกยาวและออกตามซอกใบ
ผล : มีลักษณะทรงกลมรีและยาว มีเปลือกบางและผิวขรุขระเป็นร่องลึกตามแนวยาว ผลขนาดใหญ่และมีเนื้อหนาฉ่ำน้ำ มีรสชาติขม ผลดิบจะมีสีเขียวอ่อนรับประทานได้ ผลสุกมีสีแดงแต่รับประทานไม่ได้
เมล็ด : มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมากเรียงอยู่ในผล เมล็ดมีลักษณะกลมแบนรูปรี เปลือกเมล็ดแข็งและผิวเรียบ มีสีน้ำตาล

ประโยชน์ของมะระ

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ต้านเชื้อไวรัส เถาช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย เมล็ดช่วยปรับธาตุให้สมดุล
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ปกป้องเซลล์จากการทำลายของสารก่อมะเร็งต่าง ๆ รักษาโรคเบาหวาน ป้องกันมะเร็ง อาจจะยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งเต้านมแต่ยังไม่ระบุแน่ชัด รักษาตับพิการและกระตุ้นการทำงานของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รักษาม้ามพิการ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น ช่วยย่อยอาหาร บำรุงน้ำดี รากและเถาแก้อาการบิด ผลเป็นยาระบายอ่อน ๆ รากรักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก เมล็ดช่วยขับพยาธิตัวกลม
    – รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ด้วยการใช้ใบมาต้มกับน้ำดื่ม
    – รักษาท่อน้ำดีอักเสบ ด้วยการใช้ใบมาคั้นเอาแต่น้ำเพื่อดื่มแก้อาการ
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำให้ดวงตาสดใส เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง น้ำคั้นอมแก้อาการปากเปื่อยได้
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ ลดอาการปวดบวมที่เข่า รากมีฤทธิ์ฝาดสมาน ผลใช้ทาลดอาการระคายเคือง ผิวหนัง
  • แห้งและผิวหนังอักเสบ ใบลดอาการฟกช้ำบวมตามร่างกายและแก้อาการผดผื่นคัน
    – แก้กระหายน้ำและบรรเทาอาการหวัด ด้วยการใช้ใบมาต้มกับน้ำดื่ม
    – แก้อาการไข้ ด้วยการใช้รากมาต้มกับน้ำดื่ม
    – ช่วยขับเสมหะ ด้วยการใช้ร่วมกับกะเม็งตัวเมีย
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยฟอกเลือด
  • สรรพคุณด้านความงาม ผลสุกคั้นเอาแต่น้ำใช้ทาหน้าเพื่อช่วยรักษาสิวอักเสบ

การนำไปใช้ประโยชน์ของมะระ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร มักจะอยู่ในเมนูอย่างแกงจืดมะระยัดไส้ มะระต้มจืด มะระผัด ยำมะระสดหรือนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริก นำผลสดมาคั้นเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ
2. เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นำมาทำเป็นแคปซูลรักษาโรคเบาหวาน

คุณค่าทางโภชนาการของมะระปริมาณ 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของมะระปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 31 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหรที่ได้รับ
น้ำ 92 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 6.3 กรัม
ไฟเบอร์ 0.7 กรัม
เถ้า 0.5 มิลลิกรัม
แคลเซียม 21 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.7 มิลลิกรัม
ไทอะมีน 0.05 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.03 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 0.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 85 มิลลิกรัม

ผสารออกฤทธิ์ทางยา

สารโมโมดิซิน (Momodicine) เป็นสารรสขมในมะระที่ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย

การเลือกซื้อมะระ

ควรเลือกซื้อมะระอ่อนเพราะไม่ขมมากจนเกินไป สามารถดูได้จากหนามซึ่งมีลักษณะอ่อนนิ่ม

วิธีลดความขมของมะระ

1. หลังจากทำการซื้อมะระให้นำมาแช่เกลือก่อนทำอาหารในอัตราส่วนเกลือ 1 ช้อนชา กับน้ำ 1 ลิตร ทำการแช่ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วเทน้ำทิ้ง
2. แช่น้ำเปล่าอีกครั้งประมาณ 10 นาที แล้วจึงนำไปทำอาหารได้
3. หากทำเมนูต้มมะระไม่ควรเปิดฝาทิ้งไว้หรือทำการคนบ่อย ๆ เพราะจะทำให้มะระมีรสขมมากขึ้น

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานมะระที่เป็นผลสุกหรือผลที่มีสีแดง อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ เพราะมีสารซาโปนิน (Saponin) ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายอยู่
2. ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ท้องเสียได้

มะระ เป็นผักที่มีรสขมและรับประทานยาก ทั้งนี้เป็นผักที่นิยมนำมาทำเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพและนำมาทำในเมนูอาหาร หรือนำมาทำเป็นยาแคปซูลก็ได้เช่นกัน รสขมของมะระเป็นรสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นผักที่นำมาปรุงได้ยากชนิดหนึ่งเพราะต้องควบคุมความขมของมะระให้ได้ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยทำให้เจริญอาหาร รักษาโรคเบาหวาน เป็นยาระบายและกระตุ้นการทำงานของตับ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

กระทือ ยาสมุนไพรคนโบราณ เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยเจริญอาหาร

0
กระทือ
กระทือ เป็นยาสมุนไพรประจำบ้านคนโบราณ มีรสขม ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก
กระทือ ยาสมุนไพรของคนโบราณ เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยให้เจริญอาหารและแก้ไข้ได้
สมุนไพรประจำบ้านคนโบราณ มีรสขม ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก

กระทือ

กระทือ (Shampoo ginger) เป็นยาสมุนไพรประจำบ้านชนิดหนึ่งสำหรับคนโบราณ เป็นไม้ล้มลุกที่คาดว่ามีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พบมากในป่าดงดิบของทางภาคใต้ ริมลำธารหรือชายป่า เป็นไม้ที่ปลูกง่ายและมีสรรพคุณทางยามากมาย สามารถนำมาใช้เป็นอาหารได้เหมือนขิง มีรสขม มักจะนิยมปลูกลงดินหรือปลูกในกระถางเพราะดอกมีความทนทานไม่เหี่ยวง่ายและยังมีสีสดใสอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่คนสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก เป็นยาสมุนไพรที่ถูกลืมเลือนไป ทุกวันนี้แทบจะไม่เคยได้ยินชื่อผ่านเข้าหู ทั้ง ๆ ที่เป็นพืชมากสรรพคุณชนิดหนึ่งสำหรับคนไทยในอดีต

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber zerumbet (L.) Roscoe ex Sm.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Shampoo ginger” “Wild ginger”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “กระทือป่า กะแวน กะแอน แสมดำ เฮียวดำ แฮวดำ” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “เฮียวแดง” มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “ทือ กะทือ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)

ลักษณะของกระทือ

ลำต้น : มีลักษณะกลมอยู่เหนือดิน มีเหง้าใต้ดิน ต้นจะโทรมในหน้าแล้งแล้วงอกขึ้นใหม่ในหน้าฝน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันในระนาบเดียวกันคล้ายรูปหอกแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ มีสีเขียว ก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแทงขึ้นมาจากเหง้า ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก มีใบประดับสีเขียวแกมแดงเรียงซ้อนกันแน่นเป็นระเบียบ ดอกมีสีเหลือง มีโคนดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ดอกบานไม่พร้อมกัน
ผล : ผลแห้งแตกและมีรูปทรงค่อนข้างกลม ผลเป็นสีแดง
เมล็ด : เมล็ดมีสีดำ

สรรพคุณของกระทือ

  • สรรพคุณจากเหง้า เป็นยาบำรุงกำลัง ขับน้ำย่อยและช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุไฟ แก้ไข้ตัวร้อน แก้เลือดกำเดาไหล แก้อาการแน่นหน้าอก แก้เสมหะ มีฤทธิ์ในการขับลม ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้ฝี บำรุงและขับน้ำนมของสตรี
    – แก้บิด แก้อาการปวดท้องหรืออาการปวดมวนในท้อง แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อหรือจุกเสียดแน่นท้อง และช่วยขับผายลมในลำไส้ ทำให้อุจจาระในลำไส้เป็นปกติ ด้วยการใช้หัวหรือเหง้าสดประมาณ 20 กรัม มาย่างไฟพอสุก แล้วนำมาตำกับน้ำปูนใสครึ่งแก้ว จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม
    – แก้อาการเคล็ดขัดยอก ด้วยการใช้หัวมาฝนแล้วใช้ทา
  • สรรพคุณจากดอก บำรุงธาตุในร่างกาย แก้โรคผอมแห้งและผอมเหลือง แก้ไข้เรื้อรัง แก้ลม
  • สรรพคุณจากต้น แก้อาการเบื่ออาหาร ช่วยให้เจริญอาหาร ทำให้รับรู้รสอาหารได้ดีขึ้น แก้ไข้
  • สรรพคุณจากใบ ขับประจำเดือน บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  • สรรพคุณจากราก แก้ไข้ต่าง ๆ เช่น แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้ตัวเย็นที่รู้สึกร้อนภายใน เป็นต้น
    – แก้อาการเคล็ดขัดยอก ด้วยการใช้หัวมาฝนแล้วใช้ทา

ประโยชน์ของกระทือ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร คนเมืองกาญจน์นำดอกแห้งและเหง้ามาใช้รับประทานเป็นผักหรือใส่ในน้ำพริก หน่ออ่อนหรือต้นอ่อนสามารถนำมาทำแกงเผ็ด แกงไตปลาหรือนำไปต้มจิ้มกินกับน้ำพริก หัวมีรสขมเล็กน้อย หากนำมาประกอบอาหารต้องนำมาหั่นแล้วขยำกับน้ำเกลือนาน ๆ ก่อนรับประทาน ในแถบอเมริกาใต้นิยมนำเอาใบและลำต้นใส่ไว้ในเตาไฟขณะที่ย่างหมูหรือปลาเพราะกลิ่นหอมจากใบและลำต้นจะทำให้เนื้อหมูหรือปลามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
2. เป็นไม้ปลูกประดับ เป็นไม้ปลูกประดับเพื่อความสวยงามของสถานที่ ดอกสามารถนำไปใช้ปักแจกันเพื่อความสวยงามได้
3. นำมาใช้กำจัดเหา สารสกัดด้วยเมทิลแอลกอฮอล์สามารถนำมาใช้กำจัดเหาได้

กระทือ เป็นไม้ล้มลุกที่มีประโยชน์อย่างมาก สามารถนำทุกส่วนของต้นมาใช้ประโยชน์ได้โดยเฉพาะเหง้าที่มีสรรพคุณเป็นยา เป็นพืชที่มีสีสันทั้งดอกสีเหลืองและผลสีแดง เหมาะสำหรับปลูกประดับในบ้าน มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ไข้ ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายได้ดี ถือเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่คนไทยไม่ควรมองข้าม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม