ขนมจีนอาหารไทยยอดนิยม

0
ขนมจีนทำด้วยแป้งเข้าเจ้าเป็นเส้นกลม ๆ สีขาว มีทั้งแป้งสด แป้งหมัก และอบแห้ง นิยมกินกับน้ำพริก น้ำยา น้ำเงี้ยว ไตปลา ตำซั่ว ยำขนมจีน และมีผักเคียง
เส้นขนมจีน (Thai Rice Noodles)
ขนมจีนทำด้วยแป้งเข้าเจ้าเป็นเส้นกลม ๆ สีขาว มีทั้งแป้งสด แป้งหมัก และอบแห้ง นิยมกินกับน้ำพริก น้ำยา น้ำเงี้ยว ไตปลา และมีผักเคียง

ขนมจีน

ขนมจีน (Thai Rice Noodles) คือ อาหารคาวชนิดหนึ่ง ทำด้วยแป้งเป็นเส้นกลม ๆ นิยมกินกับน้ำยา(กะทิ/ป่า) น้ำพริก น้ำพริก เขียวหวาน น้ำเงี้ยว ไตปลา เคียงกับส้มตำ ตำซั่ว หรือ ยำขนมจีน เป็นต้น ซึ่งร้านขนมจีนได้รับความนิยมจากคนไทยทุกเพศทุกวัย มีร้านขายขนมจีนทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งข้างถนนจนขึ้นไปในห้างสรรพสินค้า

ประวัติความเป็นมาของชื่อขนมจีน

ขนมจีนมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขนมจีนเป็นอาหารดังเดิมของชาวมอญหรือรามัญที่เข้ามาตั้งรกรากในไทย โดยชาวบ้านเรียกเจ้าแป้งกลมๆ ที่ทำจากข้าวแล้วจัดเรียงเอาไว้เป็นกลุ่มๆ ขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือนี้ว่า คนอมจิน ซึ่งในภาษามอญ คำว่าคนอม แปลว่า จับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ส่วนจิน แปลว่า สุก ต่อมาคนไทยเราได้เรียกเพี้ยนมาเป็น ขนมจีน ทำให้เกิดสมมุติฐานตามมาอีกว่าดั้งเดิมทีเดียวขนมจีนเป็นอาหารมอญ แล้วจึงแพร่หลายไปสู่ชนชาติอื่นๆ ในสุวรรณภูมิ รวมทั้งคนไทย ซึ่งรับเอาวัฒนธรรมการกินขนมจีนเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานบวช งานเลี้ยง มักจะมีการทำขนมจีนกินกันมาตั้งแต่โบราณกาล และในสมัยก่อนน่าจะเป็นแป้งหมักเท่านั้น ส่วนน้ำแกงที่ราดจะเป็นน้ำยากะทิ และมีเครื่องเคียงผักสดต่างๆ

ชื่อขนมจีนประจำท้องถิ่น

ชื่อเรียกขนมจีนตามภูมิภาคในประเทศไทย

ภาคกลาง : เรียกว่า ขนมจีน
ภาคเหนือ : เรียกว่า ขนมเส้น หรือข้าวเส้น หรือข้าวหนมเส้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เรียกว่า ข้าวปุ้น
ภาคใต้ : เรียกว่า โหน้มจีน นมปันเจ๊าะ หรือนมรูย หรือนมเวง

ชื่อเรียกขนมจีนนานาชาติ

พม่า : โมนฮีนกา
ลาว/อีสาน : ข้าวปุ้น
กัมพูชา : นมปันเจ๊าะ
เวียดนาม : บุ๋น

เส้นขนมจีนในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 3 ชนิด

1. เส้นขนมจีนแป้งหมัก
เป็นเส้นขนมจีนที่นิยมทำทางภาคอีสาน เส้นมีสีคล้ำออกน้ำตาล เหนียวนุ่ม และเก็บไว้ได้นานกว่า ไม่เสียง่าย เส้นมีขนาดเล็กกว่าเส้นขนมจีนแป้งสด วิธีทำเส้นขนมจีนแป้งหมักจะใช้ข้าวสารข้าวเจ้าล้างให้สะอาดแช่น้ำไว้ 1 คืน หลังจากนั้นใช้ผ้าสะอาดเทข้าวใส่ลงไปปิดให้สนิท ใสในตระกร้าที่มีรูระบายน้ำได้ดีตั้งไว้ในที่ร่มประมาณ 2-5 วัน (ต้องรอน้ำทุกเช้า-เย็น เพื่อให้เมล็ดข้าวเปื่อยยุ่ย) พอครบกำหนดให้นำข้าวที่หมักแล้วมาโม่หรือบดค่อยๆ เติมน้ำลงไปด้วย พักให้แป้งตกตะกอนประมาณ 2 คืน เทน้ำทิ้งเอาเฉพาะแป้งแล้วทำการไล่น้ำออกอีกครั้งโดยเทแป้งใส่ผ้าใช้ครกหินที่มีน้ำหนักทับไว้ 2 วัน (ต้องล้างถุงผ้าทุกวันป้องกันเชื้อรา) เมื่อครบกำหนดให้ปั้นแป้งขนาดประมาณ 15 – 20 เซ็นติเมตร แล้วนำไปต้มในน้ำเดือด (ให้แป้งด้านนอกสุก แต่ด้านในยังขาวอยู่) นำแป้งที่ต้มเสร็จแล้วมาด้วยให้เป็นเนื้อเดียวกันค่อยๆ เติมน้ำเปล่าลงไปนวดต่อให้เข้ากันจนหมด ขั้นตอนสุดท้ายน้ำหม้อขนาดใหญ่หน่อย ตั้งน้ำให้เดือดจัด และเตรียมกะละมังที่ใส่น้ำอุณหภูมิปกติประมาณ 3 ส่วน 4 พอน้ำเดือดให้บีบแป้งโรยเป็นวงกลมไปด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นจนหมด 1 ครั้ง (รอจนเส้นสุกสังเกตได้เส้นจะลอยขึ้นมา) ให้ตักขึ้นไปใส่ในกะละมังน้ำ

2. เส้นขนมจีนแป้งสด
เส้นมีมีลักษณะเป็นสีขาว อุ้มน้ำ ตัวเส้นนุ่ม เส้นมีขนาดใหญ่กว่าขนมจีนแป้งหมัก และเหนียวน้อยกว่า เก็บได้ไม่นาน วิธีทำขนมจีแป้งสดจะใช้การผสมแป้งข้าวเจ้า ไม่ต้องแช่ข้ามคืน สามารถนำมานวดในเครื่องนวดแป้งได้เลย หลังจากนวดแป้งแล้วจะเทแป้งใส่กระบอกทองเหลือง มีรูเจาะไว้ที่ปลายด้านหนึ่ง เมื่อกดแป้งเข้าไปในกระบอก เส้นขนมจีนก็จะไหลออกจากปลายกระบอก เป็นเส้นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 – 1.5 มิลลิเมตร เมื่อได้เส้นแล้วก็ทำต้มในน้ำร้อนเดือดเพื่อทำความสะอาด แล้วนำมาราดด้วยน้ำสะอาดอีกทีหนึ่ง เส้นขนมจีนที่ได้ จะจัดเรียงเอาไว้เป็นกลุ่ม ๆ ขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือ บางถิ่นเรียก จับ หรือ หัว เมื่อเรียงในจานสำหรับรับประทาน จะใส่ประมาณ 3-4 จับ และ การเลือกซื้อขนมจีนแป้งสด ควรเลือกที่ทำใหม่ๆ เส้นจับวางเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่ขาด ไม่มีกลิ่นเหม็นแป้ง ไม่มีเมือก ควรนำมานึ่ง ก่อนกิน

3. เส้นขนมจีนอบแห้ง หรือเส้นขนมจีนกึ่งสำเร็จรูป
เป็นการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยยืดอายุการเก็บรักษาเส้นขนมจีนแบบดั้งเดิมให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น โดยใช้เส้นขนมจีนสดมาอบแห้งด้วยพลังงานสะอาด ปราศจากวัตถุกันเสีย ปราศจากมลพิษ ฝุ่นควันและแมลง ทำให้ได้เส้นขนมจีนที่มีคุณภาพดี เหนียวนุ่ม สะอาด ปลอดภัย และที่สำคัญหาซื้อง่าย ราคาไม่แพง ส่งออกจำหน่ายต่างประเทศได้สะดวก

ไม่ว่าเส้นขนมจีนแบบไหน ก็ยังคงเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งนิยมทานกับ น้ำพริก น้ำยา แกงไตปลา น้ำเงี้ยว แกงเขียวหวาน หรือจะทานเคียงกับส้มตำ หรือทำเป็นยำขนมจีน หรือจะแปรรูปด้วยการนำไปทำให้แห้งแล้วนำมาทอดเป็นอาหารทานเล่นก็มี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น 

0
แกงกะหรี่เป็นอาหารที่ใช้ส่วนผสมของเครื่องเทศหรือสมุนไพรโดยทั่วไป ได้แก่ ขมิ้นบด ยี่หร่า ผักชี ขิง และพริกสดหรือแห้ง
สูตรแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น
แกงกะหรี่เป็นอาหารที่ใช้ส่วนผสมของเครื่องเทศหรือสมุนไพรโดยทั่วไป ได้แก่ ขมิ้นบด ยี่หร่า ผักชี ขิง และพริกสดหรือแห้ง

แกงกะหรี่

แกงกะหรี่ (Curry) คือ อาหารยอดนิยมในญี่ปุ่นที่ทำเองที่บ้านค่อนข้างบ่อย ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นหรือ “kare raisu” (カレーライス) มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Japanese Curry ซึ่งได้รับความนิยมพอ ๆ กับราเมน แกงกะหรี่มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียดินแดนแห่งเครื่องเทศจากนั้นก็เริ่มแพร่หลายไปยังอังกฤษและเดินทางจากสหราชอาณาจักรไปยังญี่ปุ่น ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1800 โดยกะลาสีเรือชาวอังกฤษที่เรืออับปางในทะเลได้ถือมาเพียงคนเดียวเดิมเป็นสตูว์แบบตะวันตกผสมกับผงกะหรี่ เนื่องจากอาหารญี่ปุ่นมีรสเผ็ดน้อยกว่าอาหารอินเดียมากคนญี่ปุ่นไม่ชินกับการกินอาหารรสเผ็ดแกงในญี่ปุ่นจึงมีมีรสหวานมากกว่าแกงกะหรี่สไตล์อินเดีย มักประกอบด้วยผลไม้ น้ำผึ้ง หรือแม้แต่น้ำตาล มันฝรั่ง แครอท หัวหอมใหญ่ เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเนื้อแกะเป็นต้น

ผงแกงกะหรี่

ผงแกงกะหรี่อินเดียเรียกได้ว่าขึ้นชื่อในเรื่องเครื่องเทศที่ค่อนข้างเผ็ดร้อนผงแกงกะหรี่ของอินเดียมีส่วนผสมหลายชนิดทั้งหัวหอม ขิง กระเทียม กระวาน อบเชย กานพลู เมล็ดผักชี เมล็ดยี่หร่า พริกไทยดำ มะเขือเทศ พริกแห้ง ขมิ้น ผักชีสดสับสำหรับโรยหน้าเป็นต้น ซึ่งเป็นเอกลักษณะโดยเฉพาะสีเหลืองที่ทุกคนคุ้นตา ขมิ้นเป็นสมุนไพรกระตุ้นความอยากและช่วยให้เจริญอาหาร เมื่อยกกระทะตั้งไฟแล้วใส่น้ำมันพืชใส่เครื่องแกงกะหรี่ลงไปผัดด้วยไฟอ่อนสักพัก เพื่อให้ได้กลิ่นหอมของเครื่องเทศออกมาให้มากที่สุด หลังจากนั้นนำเนื้อสัตว์ลงไปผัดในน้ำซอสที่เข้มข้นเคี่ยวทิ้งไว้ให้น้ำซอสซึมผ่านเข้าไปในเนื้อสัตว์ ปรุงรสแกงกะหรี่ให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมได้ลิ้มรสความเป็นเครื่องเทศเน้นๆ สไตล์อาหารอินเดียแบบดั้งเดิมเสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลิร้อนๆ

นอกจากนั้นยังมีแกงกะหรี่สำเร็จรูปมีให้เลือกมากมาย เนื่องจากมีร้านอาหารญี่ปุ่นหลายแห่งและสถานประกอบการที่เน้นเฉพาะแกงกะหรี่เท่านั้น ทำให้การเตรียมเครื่องแกงที่บ้านง่ายขึ้นมากจึงกลายเป็นหนึ่งในอาหารประจำบ้านในญี่ปุ่นสามารถปรุงรับประทานได้บ่อย ๆ แทบทุกวัน

ความหมายชื่อแกงกะหรี่แต่ละแบบ

  • Rice Kare คือ อาหารที่เสิร์ฟแบบข้าวที่ราดด้วยแกงกะหรี่แล้ว
  • Kare Rice คือ อาหารที่เสิร์ฟแบบแยกภาชนะข้าวกับแกงกะหรี่ออกจากกัน

คุณค่าทางโภชนาการแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น

แกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น100 กรัม ให้พลังงาน 275 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 25 กรัม
โปรตีน 20 กรัม
ไขมัน 11 กรัม
โคเลสเตอรอล 95 มิลลิกรัม
โซเดียม 635 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 603 มิลลิกรัม
ใยอาหาร 3 กรัม
น้ำตาล 9 กรัม
วิตามินเอ 5539 IU
วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
แคลเซียม 40 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 2 มิลลิกรัม

ส่วนผสมแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น

  • อกไก่ 450 กรัม
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • พริกไทยดำบด 2 ช้อนชา
  • หัวหอมใหญ่ 2 หัว
  • มันฝรั่ง 1-2 หัว
  • ขิงขูด 50 กรัม
  • กระเทียมบด 5 กลีบ
  • น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำซุปไก่ 4 ถ้วย
  • แอปเปิลสด 1 ลูก (ปอกเปลือก)
  • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผงแกงกะหรี่ 1 ห่อ
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
  • ต้นหอมซอย (สำหรับโรยหน้าแกงกะหรี่)

วิธีทำแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นใน 4 ขั้นตอนง่ายๆ

1.ตั้งหม้อให้ใช้ไฟกลางเทน้ำมันพืชลงไปในหม้อรอให้ร้อน และผัดส่วนผสมเป็นชิ้นลงไปทั้ง เนื้อไก่ แครอท หัวหอมใหญ่ มันฝรั่ง
2.เติมน้ำซุปไก่ลงไปในหม้อเคี่ยวจนส่วยผสมนิ่มเทผงกะหรี่ลงไป (หลังจากน้ำซุปเริ่มเดือดประมาณ 15 นาที)
ปรับลดไฟกลางเป็นไฟต่ำ
3.ปรุงรสด้วยแอปเปิ้ลขูด ขิงขูด กระเทียมบด น้ำผึ้ง เกลือป่น ซีอิ๊วขาว ซอสมะเขือเทศเคี่ยวประมาณ 20 นาที
(ไม่ต้องคนบ่อย) ใช้ไฟอ่อนจนซอสข้นขึ้น แล้วปิดไฟยกลงตักราดข้าวสวยโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย พร้อมเสิร์ฟ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ อาหารไทยยอดนิยม

0
ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำยาปลานิล คือ อาหารคาวแบบเส้นชนิดหนึ่งที่นิยมกันมากในประเทศไทยทั่วทุกภูมิภาค มีทั้งแบบขนมจีนน้ำยาป่า และขนมจีนน้ำยากะทิ ซึ่งเป็นเครื่องแกงเต็มไปด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำยาปลานิล คือ อาหารคาวแบบเส้นชนิดหนึ่ง มีทั้งแบบขนมจีนน้ำยาป่า และขนมจีนน้ำยากะทิ ซึ่งเต็มไปด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ

ขนมจีนน้ำยาปลานิล (khanohm jeen namya pla nil) คือ อาหารคาวแบบเส้นชนิดหนึ่งที่นิยมกันมากในประเทศไทยทั่วทุกภูมิภาคเหมาะสำหรับคนมีเวลาหรืออยู่บ้าน เนื่องจากขนมจีนน้ำยานั้นมีขั้นตอนการทำและต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่างมากค่อยข้างยุ่งยากสำหรับคนไม่มีเวลา

ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิเป็นหนึ่งในอาหารไทยที่ไม่เพียงแต่ให้รสชาติที่อร่อยเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางยาในส่วนผสมสมุนไพรอีกด้วย เมื่อนำเครื่องแกงที่เป็นสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกันแล้ว เติมกะทิลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติความเข้มข้นในน้ำยาขนมจีนรอให้น้ำยาขนมจีนเดือด ใส่เนื้อปลานิลที่คัดเนื้อแน่นๆ ลงไปต้มด้วยไฟปานกลางจากนั้นใส่ใบมะกรูดลงไปจะสัมผัสถึงกลิ่นน้ำมันหอมระเหยสามารถดับกลิ่นคาวของปลานิลได้เป็นอย่างดี หากทานร่วมกับผักสดหรือผักลวกยิ่งเพิ่มความอร่อยให้กับขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิได้อย่างลงตัว

ชนิดขนมจีนน้ำยา

น้ำยาขนมจีนมีด้วยกันอยู่ 2 แบบ ขนมจีนน้ำยาป่า และขนมจีนน้ำยากะทิ ในเครื่องแกงประกอบไปด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิด เช่น กระชายขาว ข่า หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด และตะไคร้ รวมถึงผักเครื่องเคียง ถั่วฝักยาว แตงกวา ถั่งงอก กระหล่ำปลี ใบแมงลัก ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว หัวปลี ถั่วพู ยอดกระถิน ฝักกระถินอ่อน มะระลวก ผักบุ้งลวก อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

จากผลสำรวจพฤติกรรมการรับประทานผักและผลไม้ของคนไทยปี 2562 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าคนไทย อายุ 15 ปีขึ้นไป รับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 400 กรัมต่อวัน ถึงร้อยละ 65.5 ส่งผลทำให้มีกากอาหารตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นจำนวนมาก และเกิดการเน่าเปื่อยกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคทางเดินอาหารผิดปกติ มะเร็งลำไส้ อ้วนง่าย

คุณค่าทางโภชนาการขนมจีนน้ำยาปลานิล

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีกว่าในขนมจีนน้ำยาปลานิลมีสมุนไพรอยู่หลายชนิด อาทิ
กระชายขาว ข่า หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด และตะไคร้ ในขนมจีนน้ำยาปลานิล ให้พลังงาน 526 แคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
ไขมัน 18.4 กรัม
โซเดียม 2910 มิลลิกรัม
คลอเรสเตอรอล 67 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 653 มิลลิกรัม
ใยอาหาร 5.1 กรัม
น้ำตาล 3.8 กรัม
โปรตีน 31.1 กรัม
วิตามินดี 14%
วิตามินเอ 35.54%
วิตามินซี 23.985%
วิตามินบี6 14.92%
วิตามินเค 51.95%
วิตามินเอ 1.39%
เหล็ก 22.44%
แคลเซียม 9.92%
วิตามินบี12 38.36%
ซิงค์ 12.475%
ไทอามิน 10.925%
ไนอาซิน 12.51%
ฟอสฟอรัส 36%
แมกนีเซียม 18.54%
ไรโบพลาวิน 10.935%

ส่วนผสมการทำขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ

เนื้อปลานิลต้มสุกโขลกละเอียด 500 กรัม
พริกแห้ง 10 – 20 เม็ด (มากน้อยตามความชอบ)
พริกจินดาแดง 10 เม็ด
หอมแดงหั่นหยาบ 10 กรัม
กระเทียม 10 กรัม
ตะไคร้ซอย 3 กรัม
ข่า หั่นแว่น 3 กรัม
กระชายซอย 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
น้ำปลาอย่างดี 2 – 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 – 2 ช้อนชา (หากทำขนมจีนน้ำยาป่าไม่ต้องใส่)
กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ช้อนชา
ผงปรุงรส 3 ช้อนโต๊ะ
ตีนไก่ 500 กรัม
เลือดก้อนหั่นชิ้น 2 ก้อน
ต้นหอมหั่นยาว (ตามความชอบ)
หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง (หากทำขนมจีนน้ำยาป่า ให้เปลี่ยนเป็นน้ำปลาร้าต้มสุกแทน)

หมายเหตุ การทำน้ำยาขนมจีนมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ
วิธีที่1 การนำเครื่องแกงสดมาต้มให้สุกแล้วนำไปโขลก หรือปั่นให้ละเอียง (ใส่เนื้อปลาต้มสุกโขลกทีหลัง)
วิธีที่2 การนำเครื่องแกงสดโขลกร่วมกันกับเนื้อปลาต้มสุก

วิธีทำน้ำยาขนมจีนปลานิล (แบบต้มเครื่องแกง)

1. ตั้งน้ำให้เดือดต้มลูกชินและตีนไก่ให้สุกก่อน โดยใส่ตระไคร้ใบมะกรูดเพื่อดับกลิ่นคาว พักไว้
2. ตั้งน้ำให้เดือดแล้วใส่เกลือป่นใส่เครื่องแกงท้้งกระชาย พริกแห้ง ใบมะกรูด ข่า หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ต้มทุกอย่างให้สุก นำปลานิลลงไปต้มให้สุกประมาณ 15-20 นาที หลังจากนั้นตักขึ้นพักไว้ให้เย็น แล้วนำไปเนื้อปลาไปแกะโขลกให้ละเอียด เตรียมไว้
3. นำเครื่องแกงที่ต้มสุกมาโขลกให้เข้ากัน โดยแบ่งเป็น 3 รอบ ให้ตำหอมแดง กระเทียมให้เข้ากันดีก่อน แล้วค่อยนำกระชายขาวมาตำต่อให้ละเอียด แล้วนำพริกแห้ง ข่า ตะไคร้ ตำรวมกันให้เข้ากันดีเติมน้ำลงไปประมาณ 2 ถ้วยตวงไม่ต้องมากคนให้เข้ากันแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำแกงเท่านั้น
4. นำน้ำแกงลงไปผสมกับเนื้อปลาที่เตรียมไว้
5. เทน้ำเปล่าลงในหม้อตั้งไฟใส่กะทิ ใบมะกรูดลงไปเพื่อความหอม รอให้เดือดใส่น้ำแกงที่ผสมเนื้อปลานิล ตีนไก่ ลูกชิ้น และเลือกก้อนหั่นลงไป รอให้เดือดอีกครั้งปรุงรสด้วยเกลือป่น กะปิ น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ผงปรุงรส ใส่กระชายซอย ต้นหอมซอยเป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำขนมจีนน้ำยากะทิปลานิล

อย่างไรก็ตามการกินผักที่มีเส้นใยอาหารให้เพียงพอในแต่ละวันกินได้ทั้งแบบผักสด ผักลวกกินเป็นผักเครื่องเคียงขนมจีนน้ำยาปลานิลก็อร่อย แถมมีประโยชน์ต่อสุขภาพจะช่วยลดปัญหาการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ ช่วยย่อย ปรับระบบการขับถ่ายให้เป็นปกติ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และที่สำคัญช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมจีนน้ำพริก อาหารไทยยอดนิยม

0
ขนมจีนน้ำพริก อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำพริก เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง กะทิ น้ำตาลปิ๊บ ถั่งลิสงคั่ว ถั่วเขียวซีกคั่ว พริกแห้ง น้ำมะขามเปียก มะกรูด ที่ให้รสหวาน หอม มัน
ขนมจีนน้ำพริก อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำพริก เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง กะทิ น้ำตาลปิ๊บ ถั่งลิสงคั่ว ถั่วเขียวซีกคั่ว พริกแห้ง น้ำมะขามเปียก มะกรูด ที่ให้รสหวาน หอม มัน

ขนมจีนน้ำพริก

ขนมจีนน้ำพริก (Khanohm jeen namprik) คือ อาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง สันนิษฐานกันว่า ขนมจีนเป็นอาหารของคนมอญ คนมอญเรียกขนมจีนว่า “คนอมจิน” หมายถึงทำให้สุกแล้วจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน นิยมรับประทานกับผักสด ผักลอก คำว่าขนมจีนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศจีนแต่อย่างใด ซึ่งขนมจีนน้ำพริกนั้นประกอบด้วยเส้นเรียกว่า เส้นขนมจีน และน้ำพริกที่มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ กะทิ น้ำตาลปิ๊บ ถั่งลิสงคั่ว ถั่วเขียวซีกคั่ว พริกแห้ง น้ำมะขามเปียก มะกรูด เป็นสูตรโบราณที่นิยมทำรับประทานกันทุกภูมิภาคของไทย

เคล็ดลับ : เพิ่มความอร่อยของขนมจีนน้ำพริกที่ขาดไม่ได้คือขั้นตอนการเจียวหอมแดงให้ใช้ไฟอ่อน และคั่วถั่วลิสงให้สุกทั่วทุกเมล็ดแล้วนำไปตำหรือปั่นให้ละเอียด แม้ว่ารสชาติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของอาหารทุกจานก็จริงอยู่ แต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ เครื่องเทศ การปรุงรสสามารถทำให้ขนมจีนน้ำพริกมีกลิ่นเย้ายวนชวนรับประทานมากยิ่งขึ้น

ส่วนผสมทำน้ำพริกขนมจีน

  • กุ้งสด 700 กรัม
  • ถั่วเขียวซีกคั่ว 400 กรัม
  • ถั่วลิสงคั่ว 150 กรัม
  • น้ำมะขามเปียก 100 กรัม
  • น้ำตาลปิ๊บ 1 กิโลกรัม
  • น้ำมะนาว 50 กรัม
  • มะกรูดหันครึ่ง 3 ลูก
  • น้ำปลา 1 ถ้วย
  • น้ำต้มสุก ½ ถ้วย
  • เกลือ ½ ช้อนชา
  • พริกแห้ง 20 เม็ด
  • กระเทียม 300 กรัม
  • หอมแดง 150 กรัม
  • รากผักชี 5 ราก
  • กะทิ 2 กิโลกรัม
  • ผักชีหั่น ½ ถ้วย
  • พริกทอดสำหรับโรยตกแต่ง

วิธีทำน้ำพริกขนมจีนสูตรโบราณ

1. แกะเปลือกกุ้งออกให้หมด แล้วนำไปลวกให้สุกโขลกให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
2. คั่วถั่วเขียวซีก ถั่วลิสง และพริกแห้ง นำไปตำหรือปั่นไม่ต้องละเอียดมาก
3. หั่นหอมแดง กระเทียม รากผักชี แบ่งหอมแดง กระเทียม พริกแห้งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่1 แล้วนำหอมแดง และกระเทียม ไปคั่วในกระทะให้พอสุก (นำมาโขลกให้ละเอียด)
ส่วนที่ 2 นำหอมแดง กระเทียม และพริกแห้งส่วนที่เหลือไปเจียวในน้ำมัน (จะให้หอมแดงหรือกระเทียมเจียวก็ได้เหมือนกัน) ให้สีสันสวยงามแล้วตักออกพักไว้
4. นำกะทิใส่หม้อตั้งไฟให้เดือดพอแตกมันเล็กน้อยประมาณ 3 นาที แล้วยกลงพักไว้
5. ใส่ถั่วคั่วบดทั้ง 2 อย่างลงในหม้อกะทิคนให้เข้ากัน นำมาตั้งไฟอ่อนเติมน้ำลงไปพร้อมกับกุ้งค่อยคนเลื่อยๆระวังไหม
6. ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำตาลปิ๊บ เกลือป่น พริกป่น คนให้เข้ากันพอเดือดแล้วยกลง
6. เครื่องโรยหน้าขนมจีนน้ำพริก มะกรูดหันครึ่ง พริกคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว และผักชี

ขนมจีนน้ำพริกมักนิยมขายคู่กับขนมจีนน้ำยา ทานพร้อมกับผักเคียง เช่น ผักดิบ ผักสด ผักดอง หรือไข่ต้ม ตามชอบซึ่งได้รับความนิยมทุกเพศทุกวัย ซึ่งมีร้านขายมากมายทั้งร้านเล็กและใหญ่ ข้างถนนจนขึ้นไปในห้างสรรพสินค้า 

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมเทียน หรือขนมนมสาว (ไส้เค็ม ไส้หวาน)

0
สูตรขนมเทียน หรือขนมนมสาว (ไส้เค็ม ไส้หวาน)
ขนมเทียน หรือขนมนมสาว เป็น ขนมไหว้เจ้าชนิดหนึ่งที่เป็นตัวแทนแห่งความรุ่งเรือง ห่อด้วยใบตองเป็นรูปพีระมิด นิยมทำในเทศกาลตรุษจีน และสารทจีน
สูตรขนมเทียน หรือขนมนมสาว (ไส้เค็ม ไส้หวาน)
ขนมไหว้เจ้าที่เป็นตัวแทนแห่งความรุ่งเรือง ห่อด้วยใบตองเป็นรูปพีระมิด นิยมทำในเทศกาลตรุษจีน และสารทจีน

ขนมเทียน

ขนมเทียน หรือ ขนมนมสาว ( Ka Nhom Tian ) คือ ขนมไหว้เจ้าชนิดหนึ่งที่เป็นตัวแทนแห่งความรุ่งเรือง เพราะมีความหมายว่า ความสว่างรุ่งเรืองดังแสงเทียน ขนมทำด้วยแป้งข้าวเหนียวใส่ไส้เค็มที่ทำด้วยถั่วเขียวนึ่งกวนกับพริกไทย เกลือ และไส้หวานที่ทำด้วยมะพร้าวขูดกวนกับน้ำตาลทราย นำมาห่อด้วยใบตองเป็นรูปพีระมิดแล้วนึ่งสุก นิยมทำในเทศกาลตรุษจีน และสารทจีน ปัจจุบันมีการปรับสูตรให้หลากหลาย เช่น ไส้มันม่วง ไส้เห็ดหอม ไส้เค็ม ไส้หวาน ขนมเทียนเม็ดสาคู ขนมเทียนแก้ว

สูตรขนมเทียน

สูตรขนมเทียนไส้เค็ม

วิธีทำไส้เค็ม

1. ล้างถั่วเขียวซีกเราะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท
2. โขลกกระเทียมกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ
3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่น และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้

สูตรขนมเทียนไส้หวาน

วิธีทำไส้หวาน

1. ใส่น้ำเปล่าและน้ำตาลปี๊บใส่ภาชนะใช้ไฟปานกลาง เคี่ยวจนแตกฟอง
2. ใส่มะพร้าวทึนทึกลงไปกวน ประมาณ 10-15 นาที จนเหนียว และแห้งจนปั้นเป็นก้อนได้ แล้วพักไว้

สูตรขนมเทียนแก้ว

วิธีทำตัวขนมเทียน

1. นำน้ำตาลปี๊บไปละลาย ใส่ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนละลาย ปิดไฟแล้วพักทิ้งไว้จนเย็น
2. นวดผสมแป้งข้าวเหนียวดำกับน้ำตาลปี๊บที่ละลายไว้จนเข้ากันดี เตรียมไว้
3. ตัดใบตองเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้า ตัดมุมให้มนเล็กน้อย เช็ดด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อย ขนมจะได้ไม่ติดใบตอง
4. จับใบตองให้เป็นทรงกรวย ใส่ไส้ที่ปั้นไว้ลงไป ตักส่วนผสมแป้งใส่ จากนั้น พับเก็บสอดเหลี่ยมมุมของใบตองให้เรียบร้อย เป็นรูปสามเหลี่ยม เรียงลงในชุดนึ่ง
5. นำขนมไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือดพล่าน นึ่งนานประมาณ 30 นาที จนขนมสุก ปิดไฟ นำออกจากชุดนึ่ง พักให้เย็น พร้อมเสิร์ฟ

เคล็ดลับการห่อ

ควรนำใบตองไปตากแดดเพื่อไม่ให้ใบตองแตกตอนห่อ และใช้น้ำมันพืชทาใบตองเล็กน้อยก่อนห่อ เพื่อตัวขนมจะได้ไม่ติดใบตอง

ส่วนมากจะหาทานได้เฉพาะเทศกาล หากเพื่อนๆอยากทานก็สามารถทำเองได้ตามสูตรนี้เลยค่ะ หรือลองปรับเปลี่ยนประยุกต์มาใส่กระทง หรือ ใช้แป้งถั่วเขียวทำเป็นตัวขนมกันดูคะ สั่งซื้อ ผงไส้ขนมกึ่งสำเร็จรูป คลิ๊ก @ Desserts Mate หรือสอบถาม 085-509-6624 

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก (Yogurt Chiffon Cake)

0
สูตรโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก (Yogurt Chiffon Cake)
โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก เป็นเค้กที่เนื้อนุ่ม เบา เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ซึ่งใช้โยเกิร์ตเป็นตัวหลักในการทำชิฟฟ่อนเค้ก
สูตรโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก (Yogurt Chiffon Cake)
โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก เป็นเค้กที่เนื้อนุ่ม เบา เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ซึ่งใช้โยเกิร์ตเป็นตัวหลักในการทำชิฟฟ่อนเค้ก

โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก

โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก ( Yogurt Chiffon Cake ) คือ เค้กที่เนื้อนุ่ม เบา เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ซึ่งใช้โยเกิร์ตเป็นตัวหลัก

ขั้นตอนการทำโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก

ส่วนผสมที่ 1

  • แป้งเค้ก 40 กรัม
  • แป้งข้าวโพด 25 กรัม
  • เกลือ 1/8 กรัม
  • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 200 กรัม
  • ไข่แดงเบอร์ 1 จำนวน 4 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 60 กรัม
  • วานิลลา 1 ช้อนชา
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
  • น้ำมันคาโนลา 50 กรัม

ส่วนผสมที่ 2

  • ไข่ขาวเบอร์ 1 จำนวน 4 ฟอง
  • ครีมทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 40 กรัม

วิธีทำ โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก

(ขั้นแรก)
1. เทแป้งเค้ก แป้งข้าวโพด และเกลือลงในตะแกรงร่อนแป้งคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นเทไข่แดง น้ำตาลทราย  น้ำมะนาว น้ำมันคาโนล่า ขั้นตอนต่อไปเทโยเกิร์ตแล้วตีให้เข้ากัน

(ขั้นที่ 2)
1. นำไข่ขาว ครีมทาร์ทาร์ น้ำตาลทรายเทลงไปในชามส่วนผสมอีกใบ (แบ่งเทน้ำตาล 2-3 ครั้ง ) ตีด้วยเครื่องจนเมอแรงค์ตั้งยอดอ่อน
2. ตักส่วนผสมที่ 2 ค่อยๆใส่ในส่วนผสมที่ 1 ผสมให้เข้ากันดีจนเนียน
3. เทลงในแม่พิมพ์ชิฟฟ่อน 20 เซนติเมตร นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 150 ℃ เป็นเวลา 40 นาที
4. คว่ำทันทีหลังจากนำออกจากเตาอบ ทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อเค้กเย็นนำออกจากแม่พิมพ์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรเค้กโยเกิร์ตเกาหลีนุ่มๆ ( Cake Yogurt )

0
สูตรเค้กโยเกิร์ตเกาหลีนุ่มๆ ( Cake Yogurt )
ขนมหวานอีกประเภทที่มีรสชาติใกล้เคียงชีสเค้กเบา ๆ ใช้ส่วนผสมแค่โยเกิร์ตและแป้งเป็นหลัก
สูตรเค้กโยเกิร์ตเกาหลีนุ่มๆ ( Cake Yogurt )
ขนมหวานอีกประเภทที่มีรสชาติใกล้เคียงชีสเค้กเบา ๆ ใช้ส่วนผสมแค่โยเกิร์ตและแป้งเป็นหลัก

เค้กโยเกิร์ต

เค้กโยเกิร์ต ( Cake Yogurt ) คือ ขนมหวานอีกประเภทที่มีรสชาติใกล้เคียงชีสเค้กเบา ๆ ใช้ส่วนผสมแค่โยเกิร์ตและแป้งเป็นหลัก ซึ่งยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อย และเป็นที่เป็นที่ชื่นชอบของหลายคน

เตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำเค้กโยเกิร์ต

  • พิมพ์เค้กถอดได้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 ซม. สูง 7 ซม.
  • กระดาษไขรองอบ

ส่วนผสมแป้ง

  • แป้งเค้ก 30 กรัม
  • แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
  • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 240 กรัม
  • เกลือ 2 ช้อนชา
  • ไข่แดง 3 ฟอง (เบอร์ใหญ่)

ส่วนผสมเมอแรงค์

  • ไข่ขาว 3 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 50 กรัม
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำแป้งเค้กโยเกิร์ต

1. นำไข่แดงเทใส่ถ้วยสำหรับผสมเทโยเกิร์ต แป้งเค้ก แป้งข้าวโพด เกลือลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้
2. นำไข่ขาวที่เตรียมไว้แล้วเทน้ำมะนาว น้ำตาลทรายลงไป (แบ่งเทน้ำตาล 2-3 ครั้ง ) ตีด้วยเครื่องจนเมอแรงค์ตั้งยอดอ่อน
3. แบ่งตักเมอแรงค์ออกเป็น 3 ครั้ง ตักใส่ในถ้วยแป้งที่พักไว้แล้วค่อยใช้ไม้พายผสมอย่างเบามือเพื่อไม่ให้ฟองหายไป
4. เทแป้งเค้กลงในพิมพ์เค้กที่ใส่กระดาษไขเรียบร้อยแล้ว ตีเพื่อไล่ฟองอากาศออก
5. นำถาดสำหรับวางพิมพ์เค้กแล้วเทน้ำร้อนลงไป แล้วนำไปอบในเตาที่อุณหภูมิ 150 ℃ ประมาณ 30 นาที แล้วพักในเตาอบ 10 นาที แล้วอบต่อไปอีก 30 นาที รวมเวลาเป็น 60 นาที

เคล็ดลับการอบเค้กโยเกิร์ตให้นุ่มฟูน่าทาน

  • หลังจากเย็นสนิทแล้วให้แยกแม่พิมพ์เค้กและกระดาษออก
  • ควรแช่เย็นและรับประทานในวันถัดไป

เมนูเค้กโยเกิร์ตนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูที่แนะนำสำหรับมือใหม่ เพราะเป็นสูตรที่ง่าย และมีส่วนผสมหลักที่น้อย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก อย่าลืมลองทำแล้วมาแชร์ให้ดูกันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

กระชาย สุดยอดสมุนไพรต้านโรค

0
กระชาย เป็นพืชสมุนไพรสรรพคุณคล้ายโสม เป็นไม้ล้มลุก เหง้าสั้น อวบน้ำ ผิวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในสีเหลือง มีรสเผ็ด
กระชาย สุดยอดสมุนไพรต้านโรค
กระชาย เป็นพืชสมุนไพรสรรพคุณคล้ายโสม เป็นไม้ล้มลุก เหง้าสั้น อวบน้ำ ผิวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในสีเหลือง มีรสเผ็ด

กระชาย

กระชาย ( Fingerroot ) คือ พืชสมุนไพรสรรพคุณคล้ายโสม เป็นไม้ล้มลุก เหง้าสั้น ปลูกในประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางอาจเรียก กระชายขาว กระชายเหลือง ขิงจีน ว่านพระอาทิตย์ อุดมไปตัวยวิตามิน และแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม เหล็ก วิตามินเอ และบี นิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศหรือใช้ประกอบอาหาร
ชื่อวิทยาศาสตร์ Boesenbergia rotunda (L.) Mansf. จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)

ถิ่นกำเนิดของกระชาย

พบในเขตร้อนบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจัดเป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าสั้น แตกหน่อได้ มีรากอวบ เป็นรูปทรงกระบอกหรือรูปทรงไข่ค่อนข้างยาว ปลายเรียว มีความยาวประมาณ 4-10 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 1-2 เซนติเมตร ออกเป็นกระจุก ผิวมีสีน้ำตาลอ่อน ส่วนเนื้อในมีสีเหลืองและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มักพบขึ้นในป่าดิบร้อนชื้น

ลักษณะของกระชาย

มีลักณะเป็นเหง้าสั้น อวบน้ำ รูปทรงกระบอก ตรงกลางพองกว่าส่วนหัวและท้าย ผิวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในสีเหลือง มีรสเผ็ดร้อน ขม กลิ่นหอมฉุน

คุณค่าทางโภชนาการของกระชาย

กระชาย 100 กรัม ให้พลังงาน 53 แคลอรี
ไขมัน 1 กรัม
คลอเรสเตอรอล 0 มิลลิกรัม
โซเดียม 0 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 0 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรด 10 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
แคลเซียม 80 %
เหล็ก 2.3 %
ไทอามิน 3.5 %
ฟอสฟอรัส 71 %

องค์ประกอบทางเคมี

มี Pandulatin A และ Pinostrobin สารทั้ง 2 ตัวในกระชายขาว สามารถทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสต้นเหตุของโควิด-19 ได้ ซึ่งสารทั้ง 2 ตัวนี้สามารถลดจำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อจาก 100% ให้ลดลงจนเหลือ 0% นอกจากนี้ ยังสามารถยับยั้งเซลล์ในการผลิตไวรัสได้ถึง 100% และมีน้ำมันระเหยง่าย 0.08% ประกอบด้วย 1,8 cineol, boesenbergin A, dl-pinostrobin, camphor, cardamonin นอกจากนี้ยังพบสาร flavonoid และ chromene เช่น, 6- dihydroxy – 4 – methoxychalcone, pinocembin

กระชายกินต้านโควิดได้ จริงหรือ?

ในช่วงสถานะการณ์โรคโควิด-19ระบาด ทำให้เกิดกระแสการกินกระชายต้านโควิด-19 แพร่หลายมากในขณะนี้นั้น อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ชี้แจงว่า การที่ใช้กระชายเพื่อรักษาโควิด-19 นั้นต้องใช้สารสกัดเท่านั้น การกระชายสดมาคั้นหรือปรุงอาหารไม่สามารถป้องกันรักษาโควิด-19 ได้ เพราะการจะรักษาโควิด-19 ได้นั้นต้องใช้สารสำคัญ 2 ตัวในกระชายขาวที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของโควิด-19 คือ Pandulatin A และ Pinostrobin ในปริมาณที่มากพอ ซึ่งผู้ป่วยไม่สามารถกินกระชายขาวครั้งละครึ่งกิโลกรัมได้ และหากบริโภคกระชายขาวเกินขนาดจะส่งผลข้างเคียงจากสารอื่น ๆ ที่อยู่ในกระชายขาวตามมา ชาวบ้านจึงไม่สามารถนำกระชายขาวมารับประทานแก้โควิด-19 ได้เองเหมือนกับฟ้าทะลายโจร โดยการสกัดสารสารสำคัญนี้จำเป็นต้องใช้กรรมวิธีเครื่องจักรเท่านั้น

ประโยชน์ที่ได้จากกระชาย

1. ช่วยบำรุงร่างกาย ตับ ไต
2. บำรุงเส้นผม
3. ช่วยกำจัดแมลง
4. ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร
5. ต้านการอับเสบของปอด
6. แก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย
7. แก้อาการฝ้าขาวในช่องปาก
8. รักษาอาการแน่นหน้าอก
9. ลดน้ำหนัก
10. รักษาโรคน้ำกัดเท้า
11. รักษาโรคริดสีดวงทวาร
12. รักษาโรคกระเพาะ
13. ลดอาการท้องอึด ท้องเฟ้อ

เมนูแนะนำจากกระชาย

กระชายดองน้ำผึ้ง
ขนมจีนน้ำยา
ยำกระชายทอดกรอบ
น้ำกระชาย น้ำผึ้ง มะนาว
หมกหน่อไม้ใบย่านาง
ผัดฉ่าทะเล
ผัดเผ็ดหมูป่า
ผัดเผ็ดป่าดุก
ผัดขี้เมา
น้ำยากะทิขาไก่
แกงเลียง
แกงส้ม
ปลาร้าหลนทรงเครื่อง
แกงเขียวหวาน

กระชายขาวมีสรรพคุณมากมายหลายด้าน เราสามารถรับประทานกระชายสดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบรรเทาอาการต่าง ๆ ได้ และทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ หอมอร่อย ทำเองได้

0
สูตรแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ หอมอร่อย ทำเองได้
สูตรแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้าน
แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นการแปรรูปผลไม้ โดยการใช้น้ำตาลความเข้มข้นสูง โดยการนำผลไม้ผสมกับน้ำตาลด้วยความร้อนจนข้นเหนียวพอเหมาะ

แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่

แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ (Karanda jam) คือ ของหวานที่ทำจากการนำมะม่วงหาวมะนาวโห่ไปกวนกับความร้อน ผสานน้ำตาลและเกลือจนเป็นเนื้อหนืดข้น ซึ่งเป็นวิธีการถนอมอาหารแบบดั้งเดิมของคนโบราณ สามารถนำมาใช้ทาขนมปังเพิ่มรสชาติให้อร่อย หรือใช้ชงเป็นน้ำดื่มทั้งแบบร้อนและเย็นก็ได้เช่นกัน

วัตถุดิบที่ต้องเตรียมก่อนทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่

  • วัตถุดิบที่ต้องเตรียมก่อนทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ (คัดเฉพาะผลสีแดงนำมาผ่าครึ่งแกะเมล็ดออก แล้วนำไปแช่น้ำเปล่า เติมเกลือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ล้างยางออกให้หมดประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความขมของยาง แล้วแช่น้ำปูนใสประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นตักขึ้นใส่ภาชนะที่มีรูให้มะม่วงหาวมะนาวโห่สะเด็ดน้ำ)
  • น้ำปูนใส
  • เครื่องปั่นน้ำผลไม้
  • ขวดแก้วสำหรับบรรจุแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ (ควรทำความสะอาดบรรจุภัณฑ์ โดยนำไปต้มในน้ำร้อนเป็นการฆ่าเชื้อโรคก่อน)

ส่วนผสมทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่

1. มะม่วงหาวมะนาวโห่ (ผลสีแดง) 500 กรัม
2. เกลือ 1-2 ช้อนชา
3. น้ำตาลทราย 500 กรัม
4. น้ำปูนใส 500 มิลลิลิตร
5. น้ำเปล่า 1500 มิลลิลิตร
6. เจลลาติน 2 เเผ่น หรือ ผงวุ้น 2 ช้อนโต๊ะ

เคล็ดลับ กำจัดยางมะม่วงหาวมะนาวโห่ให้สะอาดก่อนนำไปทำแยม

1. นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่ผ่าครึ่งซีกแล้วนำเมล็ดออกแล้ว โดยแช่เกลือ 1 ครั้ง ครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ เพื่อใช้แช่และล้างยางมะม่วงหาวมะนาวโห่ล้างเกลือ 2-3 ครั้ง
2. หลังจากนั้นควรแช่น้ำปูนใสให้ท่วมมะม่วงหาวมะนาวโห่

วิธีทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่

วิธีทำแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่1. นำมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่เตรียมไว้ไปปั่นให้ละเอียด
2. นำกระทะขึ้นตั้งไฟ (ใช้ไฟกลางเพื่อลดเวลาในการกวนลง) แล้วเทมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่ปั่นเสร็จแล้วลงไปในกระทะกวนประมาณ 15 นาที แล้วเติมน้ำตาลทราย เกลือ เจลลาติน หรือผงวุ้นลงไปคนต่อให้แห้งเหนียวตามความเหมาะสม ปิดไฟรอให้เย็น
3. ตักแยมใส่ในบรรจุภัณฑ์เพื่อจะได้เก็บรักษาไว้ได้นานยิ่งขึ้น

แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นเมนูที่ทำได้ง่ายๆ สีของแยมที่ทำออกมาชมพูเข้มสดน่ากินมาก ๆ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ยิ่งแช่เย็นแยมเซ็ตตัวดีขึ้น เก็บไว้ทานเป็นของว่างคู่ขนมปังฟินๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง ( Yogurt Dark Chocolate Pudding )

0
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง ( Yogurt Dark Chocolate Pudding )
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง เป็นขนมหวานเนื้อเนียนนุ่มละมุนเหมือนไข่ตุ๋น ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อยเป็นเมนูของหวานที่เหมาะกับหน้าร้อนที่สุด
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง ( Yogurt Dark Chocolate Pudding )
โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง เป็นขนมหวานเนื้อเนียนนุ่มละมุนเหมือนไข่ตุ๋น ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อยเป็นเมนูของหวานที่เหมาะกับหน้าร้อนที่สุด

โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง (Yogurt Dark Chocolate Pudding) คือ ขนมหวานยอดฮิตที่มีรสหวานหอมชวนรับประทาน เนื้อเนียนนุ่มละมุนเหมือนไข่ตุ๋น เป็นสูตรขนมง่าย ๆ ส่วนผสมน้อย ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อยเป็นเมนูของหวานที่เหมาะกับหน้าร้อนที่สุด

โภชนาการโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

แคลอรี่ 246 kcal คาร์โบไฮเดรต 21 กรัม โปรตีน 13 กรัม ไขมัน 11 กรัม ไขมันอิ่มตัว 6 กรัม คอเลสเตอรอล 9 มิลลิกรัม โซเดียม 62 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 380 มิลลิกรัม ไฟเบอร์ 2 กรัม น้ำตาล 15 กรัม วิตามินเอ 45 IU แคลเซียม 181 มิลลิกรัม เหล็ก 3 มิลลิกรัม

ขั้นตอนการทำเมนูโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

เตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง
1. ชาม ขนาดกลาง สำหรับผสมส่วนผสมทั้งหมด
2. หม้อหรือกระทะ ขนาดกลาง
3. พลาสติกห่ออาหาร
4. แก้วน้ำทรงกลม

ส่วนผสมโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

1. โยเกิร์ต 285 กรัม
2. ดาร์กช็อกโกแลตสับ 2 ช้อนโต๊ะ
3. สารสกัดวานิลลา ½ ช้อนชา
4. น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
5. นมจืด 3 ถ้วยตวง

วิธีทำโยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้ง

1. นำหม้อตั้งไฟกลางเทนม ดาร์กช็อกโกแลต วานิลลา น้ำผึ้งคนจนละลายเข้ากันดี
2. เทส่วนผสมลงในชามแล้วใส่โยเกิร์ตลงไป ค่อยๆคนจนเป็นเนื้อเดียวกัน
3. ตักดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งใส่ในแก้วน้ำทรง คลุมด้วยพลาสติกห่ออาหาร
แล้วนำเข้าไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาพักไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง รอให้ดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งเซ็ทตัวก่อน
4. นำดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งออกจากตู้เย็น ตกแต่งหน้าด้วยท็อปปิ้งที่ต้องการแล้วเสิร์ฟทันที

วิธีเก็บรักษา

ควรเก็บไว้ดาร์กช็อกโกแลตโยเกิร์ตพุดดิ้งในตู้เย็น จะทำให้เก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น

โยเกิร์ตดาร์กช็อกโกแลตพุดดิ้งสูตรนี้นอกจากได้ความหอมอร่อยแล้ว ยังได้สุขภาพที่ดีด้วย ซึ่งวิธีทำก็ไม่ยากอย่าลืมลองทำทานกันดูนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม