ฝิ่นต้น เปลือกต้นอุดมไปด้วยสรรพคุณ แต่เมล็ดและยางเป็นพิษ!

0
ฝิ่นต้น เปลือกต้นอุดมไปด้วยสรรพคุณ แต่เมล็ดและยางเป็นพิษ!
ฝิ่นต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีลำต้นคล้ายกับต้นมะละกอ ดอกสีแดงสด รากมีรสเฝื่อน เปลือกต้นมีรสฝาดเมาร้อน ใบและเมล็ดมีรสเมาเบื่อ
ฝิ่นต้น เปลือกต้นอุดมไปด้วยสรรพคุณ แต่เมล็ดและยางเป็นพิษ!
ฝิ่นต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีลำต้นคล้ายกับต้นมะละกอ ดอกสีแดงสด รากมีรสเฝื่อน เปลือกต้นมีรสฝาดเมาร้อน ใบและเมล็ดมีรสเมาเบื่อ

ฝิ่นต้น

ฝิ่นต้น (Coral bush) เป็นไม้ยืนต้นที่มีลำต้นคล้ายกับต้นมะละกอ มีดอกสีแดงสดและเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภททำให้นิยมปลูกเป็นไม้ประดับได้ ส่วนของรากมีรสเฝื่อนแต่สามารถนำมารับประทานได้ ส่วนของเปลือกต้นมีรสฝาดเมาร้อน ใบมีรสเมา เมล็ดมีรสเมาเบื่อ ทว่าสามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ นอกจากจะเป็นยาแล้วนั้นฝิ่นต้นถือเป็นต้นที่มีพิษชนิดหนึ่ง ส่วนที่มีพิษคือส่วนของเมล็ดและยาง มีสารที่เป็นพิษคือ สาร Clacium Oxalate
รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของฝิ่นต้น

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jatropha multifida L.

ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Coral bush” “Coral plant” “Physic Nut”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะหุ่งแดง” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “มะละกอฝรั่ง” คนเมืองเรียกว่า “ทิงเจอร์ต้น ว่านนพเก้า”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE)

ลักษณะของฝิ่นต้น

ฝิ่นต้น เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก
ลำต้น : ลำต้นคล้ายกับต้นมะละกอแต่มีขนาดเล็กและเป็นแกนแข็งกว่า ค่อนข้างอวบน้ำ เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีเทา มีกระและจุดเล็ก ๆ มียางเป็นสีขาว
ราก : รากมีลักษณะเป็นหัว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปกลม ขอบใบลึกเป็นแฉกเว้าลึกลักษณะคล้ายฝ่ามือ ประมาณ 9 – 11 แฉก ในขอบใบที่เป็นแฉกจะหยักเป็นซี่ฟันช่วงกลางขอบใบ ปลายเป็นติ่งแหลมถึงยาวคล้ายหาง ปลายใบแหลม แผ่นใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน หลังใบเรียบ ก้านใบยาวกลม หูใบแยกเป็นง่ามรูปขนแข็ง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบนแน่นติดกันแบบช่อเชิงหลั่น โดยจะออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็กติดกันแน่น ดอกมีสีแดงสดเป็นแบบแยกเพศ ลักษณะของดอกคล้ายกับดอกเถาคันหรือดอกกะตังบาย กลีบเลี้ยงในดอกเพศผู้เป็นรูปไข่กลับกว้าง กลีบดอกแยกจากกันเป็นสีแดงสด เกสรเพศผู้มี 8 อัน ก้านเกสรแยกกัน ส่วนกลีบดอกในดอกเพศเมียมียอดเกสรเพศเมียเป็นรูปกระจุก เป็นพู 2 พู
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม มีพู 3 พู คล้ายผลสลอดหรือผลปัตตาเวียแต่จะมีขนาดใหญ่กว่า แต่ละพูจะมีลักษณะเป็นสัน ผิวผลเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียว พอแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีออกเหลืองหม่น มีลายสีน้ำตาล มีจุกขั้วขนาดเล็ก แต่ละพูมีเมล็ด 1 เมล็ด

สรรพคุณของฝิ่นต้น

  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาแก้ลมและโลหิต เป็นยาคุมธาตุ เป็นยาแก้อาการลงแดง เป็นยาแก้อาเจียน เป็นยาแก้บิดปวดเบ่ง แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดเมื่อยตามข้อ แก้ปวดเส้นเอ็น เป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้ตัวเย็น แก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน
  • สรรพคุณจากเมล็ด ทำให้อาเจียน เป็นยาถ่ายอย่างแรง
    – ทำให้แท้งบุตร ด้วยการนำเมล็ดมาบีบเอาน้ำมันใช้ทั้งภายในและภายนอก
  • สรรพคุณจากราก
    – แก้โรคลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาฆ่าหิด กำจัดพยาธิผิวหนัง ใช้สระผมแก้เหา
    – เป็นยาถ่าย ด้วยการนำมาต้มกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากน้ำยาง
    – ช่วยสมานแผล ใช้ทาแผลปากเปื่อย แก้แผลมีดบาด แก้แผลอักเสบเรื้อรัง ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ด้วยการนำน้ำยางใส่แผลสดเป็นยา

ประโยชน์ของฝิ่นต้น

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร รากมีรสเฝื่อนแต่สามารถนำมาเผาแล้วกินได้
2. เป็นยาเบื่อ เมล็ดใช้เป็นยาเบื่อ อาจใช้เป็นยาเบื่อปลา ต้นมีสารจำพวกซาโปนินก็สามารถนำมาใช้เบื่อปลาได้
3. ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า ใบใช้ในการย้อมสีเส้นไหมโดยใช้ใบสด 15 กิโลกรัม ย้อมสีเส้นไหมได้ 1 กิโลกรัม โดยให้สีน้ำตาลเขียว
4. ปลูกเป็นไม้ประดับ
5. เป็นส่วนประกอบของตำรับยา อยู่ในตำรับพิกัดตรีเกสรมาศ ตำรับพิกัดตรีเกสรเพศ

พิษของฝิ่นต้น

ส่วนที่มีพิษในฝิ่นต้น เมล็ดและน้ำยางมีพิษ ซึ่งเมล็ดจะมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร โดยสารที่เป็นพิษคือสาร Clacium Oxalate

อาการของพิษที่ได้รับ

  • เมล็ด เมื่อรับประทานจะทำให้เกิดอาการคัน รู้สึกปวดแสบปวดร้อน ปากบวมพอง เยื่อบุแกม ลิ้นเพดานและหนาบวม น้ำลายไหล บริเวณที่บวมพองอาจมีเม็ดตุ่มเกิดขึ้น ลิ้นเคลื่อนไหวลำบาก กลืนอาหารยาก พูดไม่ถนัด มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ทำให้กระเพาะอักเสบ ปวดท้อง อาจมีอาการชา แขนขาอาจเป็นอัมพาตได้ถึง 24 ชั่วโมงและอาการจะดีขึ้นภายใน 7 วัน หายใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ แม้ว่าจะรับประทานเพียง 3 เมล็ด ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
  • น้ำยาง เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง บวมแดงแสบร้อน
    การรักษาอาการเบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษ :
  • หากทานเมล็ด ก่อนนำส่งโรงพยาบาลให้ดื่มนมหรือผงถ่าน (Activated charcoal) เพื่อช่วยลดการดูดซึมของสารพิษ แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อล้างท้องทันที ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดเพื่อป้องกันการหมดสติและอาการช็อกที่เกิดจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่
  • หากมีอาการคล้ายสาร atropine เช่น ในกลุ่มสารพิษ curcin ให้สารแก้พิษ (atropine antagonists) เช่น physostigmine salicylate ทางเส้นเลือด
  • น้ำยาง หากถูกผิวหนังให้ล้างน้ำยางออกโดยใช้สบู่และน้ำ และใช้ยาทาสเตียรอยด์ แต่หากรับประทานเข้าไปให้เอาส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมออกโดยใช้ผงถ่าน ทำให้อาเจียนหรือล้างท้องและรักษาตามอาการ
  • กรณีอื่น รักษาไปตามอาการ เช่น การให้ morphine sulfate เพื่อลดอาการปวด เป็นต้น

ฝิ่นต้น เป็นต้นที่ค่อนข้างเป็นพิษสูงในส่วนของเมล็ดและน้ำยาง ทว่าส่วนของใบและเปลือกต้นถือเป็นส่วนที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยา เป็นส่วนที่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของตำรับยา เป็นต้นที่สามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า เป็นยาเบื่อและนำมารับประทานได้ ฝิ่นต้นมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเปลือกต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้บิด แก้ปวดเมื่อย แก้โรคลำไส้และช่วยสมานแผล เป็นต้นที่ค่อนข้างดีต่อระบบขับถ่ายและลำไส้ต่าง ๆ ทว่าฝิ่นต้นนั้นก็เป็นพืชที่ควรระวังเป็นอย่างมากเพราะมีสารพิษสูงและอาจอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นก่อนที่จะนำมารับประทานไม่ว่าจะรูปแบบใดควรศึกษาให้ดีก่อนใช้ด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ฝิ่นต้น (Fin Ton)”. หน้า 187.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ฝิ่นต้น”. หน้า 520-521.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “มะละกอฝรั่ง, ฝิ่นต้น”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6 (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม)., หนังสือสมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ (สมพร ภูติยานันต์)., หนังสือสมุนไพรไทยตอนที่ 6 (ลีนา ผู้พัฒนพงศ์)., ทรัพยากรพืชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลำดับที่ 12(1) : พืชสมุนไพรและพืชพิษเล่ม 1 (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [13 พ.ย. 2014].
ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฝิ่นต้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/. [13 พ.ย. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ฝิ่นต้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [13 พ.ย. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ฝิ่นต้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.saiyathai.com. [13 พ.ย. 2014].
พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ, กรมหม่อนไหม. “ฝิ่นต้น”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : qsds.go.th/webtreecolor/. [13 พ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ว่านมหาเมฆ เหง้าอุดมไปด้วยสรรพคุณ ดีต่อมดลูกของสตรี

0
ว่านมหาเมฆ เหง้าอุดมไปด้วยสรรพคุณ ดีต่อมดลูกของสตรี
ว่านมหาเมฆ มีเหง้าเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อนหรือเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ดอกสีขาวหรือสีชมพูแดง รสขมเผ็ด
ว่านมหาเมฆ เหง้าอุดมไปด้วยสรรพคุณ ดีต่อมดลูกของสตรี
ว่านมหาเมฆ มีเหง้าเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อนหรือเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ดอกสีขาวหรือสีชมพูแดง รสขมเผ็ด

ว่านมหาเมฆ

ว่านมหาเมฆ (Curcuma aeruginosa) เป็นพืชในวงศ์ขิงที่มีเหง้าเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อนหรือเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน จึงทำให้มีคนเรียกว่า “ขิงดำ” หรือ “ขิงสีน้ำเงิน” มีดอกเป็นช่อแทงขึ้นมาจากเหง้าเป็นสีขาวหรือสีชมพูแดงรูปกระบอกทำให้ดูสวยงามมาก ชาวมาเลเซีย อินเดียและประเทศในแถบอินโดจีนนิยมปลูกเป็นไม้ประดับและปลูกเพื่อเป็นยาสมุนไพรโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนของเหง้าจะมีรสขมเผ็ดและเป็นยาร้อนเล็กน้อย นอกจากนั้นยังเป็นต้นที่เป็นความเชื่อได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของว่านมหาเมฆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma aeruginosa Roxb.
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ขมิ้นดำ ว่านขมิ้นดำ” จีนกลางเรียกว่า “กระเจียวแดง มหาเมฆ อาวแดง ขิงเนื้อดำ ขิงดำ ขิงสีน้ำเงิน เหวินจู๋เอ๋อจู๋”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)

ลักษณะของว่านมหาเมฆ

ว่านมหาเมฆ เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มักจะพบตามดินทราย ทุ่งหญ้า ป่าเบญจพรรณและป่าราบทั่วทุกภาคของประเทศไทย
เหง้า : มีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลักษณะของเหง้าเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อนหรือเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน หัวหรือเหง้าเมื่อเก็บไว้นานหลายปีจะเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเหลือง
ใบ : ใบจะแทงขึ้นมาจากเหง้าที่โคนใบ จะมีกาบใบสีม่วงอมเขียวเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ในหนึ่งต้นมีใบประมาณ 4 – 7 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปยาววงรี ปลายใบแหลม ตรงกลางใบจะมีสีม่วงแดง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแทงขึ้นมาจากเหง้าและมีกาบใบห่อหุ้มอยู่ ดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมวงรี กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีชมพูแดง มีประมาณ 20 กลีบ เรียงซ้อนกันเป็นชั้น บริเวณโคนกลีบดอกเป็นสีขาว มีเกสรเพศผู้ 1 อัน และเกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่มี 3 รัง
ผล : ออกผลเป็นพวง ลักษณะของผลเป็นรูปไข่สามเหลี่ยมเหมือนดอกระกำหรือดอกคำ ภายในผลมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปกลมและมีเนื้อสีขาวใสหุ้มอยู่

สรรพคุณของว่านมหาเมฆ

สรรพคุณจากเหง้า ออกฤทธิ์ต่อตับและม้าม เป็นยากระจายเลือดลม บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย เป็นยาแก้ไข้ แก้อาเจียน เป็นยาแก้โรคหอบหืดหายใจไม่ปกติ แก้ไอ เป็นยาแก้ลมขึ้น แก้จุกเสียดแน่นหน้าอก ขับลม แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติเนื่องจากเส้นเลือดของมดลูกอุดตัน ช่วยคลายและกระจายก้อนเนื้อในร่างกายหรือซีสต์ในมดลูก รักษาโรคมะเร็งปากมดลูกระยะแรก ช่วยรักษาตับและม้ามโต เป็นยาสมานแผลและต้านเชื้อรา เป็นยาประคบผิวหนังแก้อาการคัน เป็นยาแก้ปวด แก้ฟกช้ำดำเขียว
– แก้โรคธาตุพิการ ด้วยการนำเหง้าสดมาโขลกให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาวแล้วคั้นเอาแต่น้ำกิน
– แก้อาการปวดท้อง รักษาโรคเกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้ ด้วยการนำเหง้ามาหั่นเป็นแว่นสดหรือตากแห้งต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
– รักษาอาการท้องร่วงได้ดีมาก เป็นยาสำหรับสตรีที่คลอดลูกใหม่หรืออยู่เรือนไฟ เป็นยาช่วยแก้อาการปวดมดลูก มดลูกอักเสบ ช่วยชักมดลูกให้เข้าอู่เร็วขึ้น ช่วยรัดมดลูกและทำให้ยุบตัวเร็ว ด้วยการนำเหง้ามาหั่นแล้วนำไปดองกับเหล้ากินเป็นยา
– เป็นยาถ่ายพยาธิเส้นด้าย ด้วยการนำเหง้าสดทานกับน้ำสะอาดก่อนเข้านอนเพียง 3 วัน

ประโยชน์ของว่านมหาเมฆ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริกได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับหรือปลูกเพื่อใช้เป็นยาสมุนไพร ชาวมาเลเซีย อินเดียและประเทศในแถบอินโดจีนนิยมปลูก
3. เป็นความเชื่อ มีความเชื่อกันว่าหากเกิดจันทรุปราคาให้นำหัวว่านมหาเมฆมาปลุกเสกด้วยคาถา ทำการเสกจนพระจันทร์มืดแล้วนำหัวว่านมาทาบตัวจะทำให้ผู้อื่นมองไม่เห็นตัวเราและหากปรารถนาสิ่งใดก็จะสมดั่งปรารถนา หรือหากนำมารับประทานก็จะเป็นคงกระพันชาตรี

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของว่านมหาเมฆ

สารที่พบในเหง้า พบน้ำมันซึ่งมีสาร Curcumenol, Curdione, Curzerenone, Germacene, Isofrtungermacrene, Zedoarone และแป้ง

ฤทธิ์ของเหง้า

  • น้ำมันจากเหง้ามีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Bacillus inuza, Staphylococcus, เชื้ออหิวาต์และเชื้อในลำไส้ใหญ่ได้หลายชนิด
  • สาร Curdione จากเหง้ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Salmonella typhi, Klebsiella. Pneumoniae และ Stophylococcus aureus
    การทดลองของว่านมหาเมฆ
  • เมื่อนำสารที่สกัดได้จากเหง้ามาฉีดเข้าช่องท้องของหนูทดลองที่เป็นโรคมะเร็งในตับหรือเป็นเนื้อร้าย 180 พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ แต่ถ้านำสารสกัดมาให้หนูทดลองดังกล่าวกินพบว่าจะไม่มีผลในการรักษา
  • เมื่อนำน้ำมันจากเหง้ามาให้คนหรือสัตว์กิน พบว่ามีฤทธิ์กระตุ้นกระเพาะและลำไส้ให้มีการขยับและบิดเคลื่อนไหวตัว ทำให้สามารถขับลมในกระเพาะและลำไส้ได้ อีกทั้งยังช่วยแก้อาการปวดกระเพาะและลำไส้ได้อีกด้วย
  • สารสกัดยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ HIV – 1 และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ HIV – 1 protease

ข้อควรระวังของว่านมหาเมฆ

สตรีมีครรภ์หรือผู้ที่มีอาการเลือดลมพร่องหรือม้ามและกระเพาะหย่อน ไม่ควรรับประทาน

ว่านมหาเมฆ เป็นว่านที่นิยมในแถบอินโดจีนเพื่อปลูกเป็นไม้ประดับหรือปลูกเพื่อใช้เป็นยาสมุนไพร เป็นต้นที่มีเหง้าเป็นจุดเด่น ทว่าดอกก็มีสีสันสวยงาม ภายในเหง้าจะมีน้ำมันซึ่งเป็นส่วนที่มีสารอยู่ภายในและทำให้มีฤทธิ์ในการเป็นยาได้ ว่านมหาเมฆมีสรรพคุณทางยาจากส่วนของเหง้าโดยเฉพาะ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงกำลัง แก้ท้องร่วง รักษาตับและม้ามโต ช่วยคลายและกระจายก้อนเนื้อในร่างกายหรือซีสต์ในมดลูก มีสรรพคุณที่ดีต่อมดลูกของผู้หญิงเป็นอย่างมาก ถือเป็นต้นที่สาว ๆ ควรรับประทานแต่สำหรับสตรีที่มีครรภ์นั้นควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ว่านมหาเมฆ”. หน้า 514.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ว่านมหาเมฆ”. หน้า 727-728.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ว่านมหาเมฆ”. อ้างอิงใน : หนังสือพืชสกุลขมิ้นในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [23 ต.ค. 2014]
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ว่านมหาเมฆ”. อ้างอิงใน : หนังสือพืชอาหารและสมุนไพรท้องถิ่นบนพื้นที่สูง (อัปสร และคณะ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [23 ต.ค. 2014]
๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “ว่านมหาเมฆ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.panmai.com. [23 ต.ค. 2014].
สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. “ว่านมหาเมฆ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : aidsstithai.org/herbs/. [23 ต.ค. 2014].
ว่านและสมุนไพรไทย, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร. “ขมิ้นดำ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : natres.skc.rmuti.ac.th/WAN/. [23 ต.ค. 2014].
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “สารสำคัญในต้นว่านมหาเมฆ”. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [23 ต.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

เห็ดหูหนู สุดยอดสรรพคุณทางยา ป้องกันโรคอันตราย บำรุงอวัยวะสำคัญ

0
เห็ดหูหนู สุดยอดสรรพคุณทางยา ป้องกันโรคอันตราย บำรุงอวัยวะสำคัญ
เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหูหนูดำ เป็นแผ่นเหมือนกับหูหนูหรือหูคน แผ่นคล้ายวุ้น เนื้อนิ่มและเหนียว มีสีออกน้ำตาลเทาหรือน้ำตาลอ่อน
เห็ดหูหนู สุดยอดสรรพคุณทางยา ป้องกันโรคอันตราย บำรุงอวัยวะสำคัญ
เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหูหนูดำ เป็นแผ่นเหมือนกับหูหนูหรือหูคน แผ่นคล้ายวุ้น เนื้อนิ่มและเหนียว มีสีออกน้ำตาลเทาหรือน้ำตาลอ่อน

เห็ดหูหนู

เห็ดหูหนู (Jelly ear) หรือ เห็ดหูหนูดำ เป็นพืชในกลุ่มเห็ดราของเห็ดฟันไจ มีรสจืดชุ่มและเป็นยาสุขุม เป็นเห็ดที่หาได้ง่ายและราคาไม่แพง จึงเป็นเห็ดที่คนนิยมนำมาบริโภคกันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในอาหารเจ ถือเป็นเห็ดที่พบได้ทั่วไปในเมนูต่าง ๆ เป็นที่รู้กันดีว่าเห็ดหูหนูมีประโยชน์ต่อร่างกายและมีคุณค่าทางโภชนาการ ดีอย่างมากต่ออวัยวะภายในและป้องกันโรคอันตรายได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเห็ดหูหนู

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Auricularia auricula – judae (Bull.) J.Schröt.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Jew’s ear” “Wood ear” “Jelly ear”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “เห็ดหูหนูดำ เห็ดหูแมว เห็ดหูลัวะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ AURICULARIACEAE

ลักษณะของเห็ดหูหนู

เห็ดหูหนู มักจะพบตามลำต้นของต้นใหญ่ที่เน่าเปื่อยหรือซากไม้ที่ผุสลาย มีลักษณะเป็นแผ่นเหมือนกับหูหนูหรือหูคน แผ่นคล้ายวุ้นใส เนื้อนิ่มอ่อนและเหนียว มีสีออกน้ำตาลเทาหรือน้ำตาลอ่อน แผ่นใบด้านบนเรียบเป็นมันเงา ส่วนขอบแผ่นมีรอยจีบหรือเป็นลอน ด้านใต้ใบมีขนละเอียดขึ้นปกคลุมอยู่เล็กน้อย ถ้าใบแห้งจะมีความแข็งและเหนียว ก้านใบเห็ดหูหนูนั้นสั้นมาก โดยจะอยู่กลางดอกหรือไปข้างใดด้านหนึ่งยึดติดกับลำต้นไม้หรือท่อนไม้ที่เน่าเปื่อย ส่วนสปอร์ของเห็ดหูหนูจะมีลักษณะเป็นรูปไส้หรือมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก มีสีเทาม่วงอ่อน

สรรพคุณของเห็ดหูหนู

  • ออกฤทธิ์ต่อปอด ตับ กระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ เป็นยาบำรุงร่างกาย เป็นยาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย เป็นยาฟอกเลือด ช่วยทำให้ปอดชุ่มชื่น ช่วยทำให้เลือดเย็น ช่วยแก้อาการไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้เลือดกำเดาไหล เป็นยาห้ามเลือด ช่วยแก้มือเท้าเย็นชา ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ลดไขมันในเลือดสูง ลดความดันเลือดสูง ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันหลอดเลือดตีบ ป้องกันเลือดจาง แก้อาการอ่อนเพลีย รักษาวัณโรค แก้หอบหืด แก้ไอแห้ง แก้ไอเป็นเลือด แก้เจ็บคอ แก้ร้อนใน แก้นิ่วในถุงน้ำดี แก้นิ่วในทางเดินกระเพาะปัสสาวะ แก้นิ่วในไต แก้อุจจาระเป็นเลือด ป้องกันมะเร็งและต้านมะเร็ง ลดอาการแทรกซ้อนภายหลังจากการฉายรังสี ช่วยหยุดเลือด เป็นยาระบายและขับของเสียในลำไส้ ทำให้หัวใจแข็งแรง ช่วยบำรุงสายตา บำรุงตับ ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดให้คลายตัว บำรุงผิวพรรณ
  • รักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดแข็งตัว ด้วยการนำเห็ดหูหนู 3 กรัม มาแช่ในน้ำ 1 คืน จากนั้นนำมานึ่งประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง ใส่น้ำตาลกรวดลงผสมกันทานวันละครั้งก่อนนอน
  • รักษาอาการท้องผูก ช่วยรักษาริดสีดวงทวารมีเลือดหรือถ่ายเป็นเลือด ด้วยการนำเห็ดหูหนู 3 – 6 กรัม และลูกพลับอบแห้ง 30 กรัม มารวมกันต้มกับน้ำทาน
  • รักษาอาการประจำเดือนมามากหรืออาการตกขาวของสตรี รักษาอาการตกเลือดหรือแก้สตรีตกเลือด ด้วยการนำเห็ดหูหนูอบแห้งมาบดให้เป็นผง ใช้ชงกับน้ำทานครั้งละ 3 – 6 กรัม วันละ 2 ครั้ง

ประโยชน์ของเห็ดหูหนู

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ประกอบอาหารอย่างเมนูผัดเนื้อไก่ใส่ขิงใส่เห็ดหูหนู แกงจืดเห็ดหูหนู ยำเห็ดหูหนู เป็นต้น เป็นอาหารคาวของอาหารเจและยังเป็นสุดยอดของเห็ดอีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการของเห็ดหูหนู

คุณค่าทางโภชนาการของเห็ดหูหนู ต่อ 100 กรัม จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สาขาพืชผัก ระบุว่า ให้พลังงาน 321.5 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสรอาหาร
ไขมัน 0.70%
โปรตีน 7.25%
คาร์โบไฮเดรต 71.50%
ความชื้น 85.70%
กากใยอาหาร 18.70%
เถ้า 1.69%
วิตามินบี1 0.008 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 1.173 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.43 มิลลิกรัม
วิตามินซี 0.38 มิลลิกรัม
แคลเซียม 332.60 มิลลิกรัม
เหล็ก 14.30 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 122.10 มิลลิกรัม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเห็ดหูหนู

พบสาร โปรตีน ไขมันและกลูโคสกลูโคลิน เช่น D – Mannanm Glueuronic acid, Methyl pentose, Licithin, Cephalin, Sphingomyelin, Ergosterol และแร่ธาตุอีกหลายชนิด

ข้อควรระวังของเห็ดหูหนู

1. ผู้ที่มีระบบการย่อยอาหารหรือมีภาวะของร่างกายเย็นมาก ต้องมีอาหารหรือสมุนไพรอื่นที่มีคุณสมบัติร้อนประกอบด้วย
2. ไม่ควรกินมากในช่วงกลางคืน แต่ควรกินในช่วงเวลากลางวันมากกว่า

เห็ดหูหนู เป็นเห็ดที่อยู่ในอาหารทั่วไปและสามารถพบได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นสุดยอดเห็ดที่ช่วยบำรุงร่างกายได้อย่างดี สามารถป้องกันโรคที่คนทั่วไปมักจะเป็นกันได้ ถือเป็นเห็ดที่ไม่ควรมองข้าม แถมยังมีราคาไม่แพงและซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป เป็นเห็ดที่เหมาะต่อผู้สูงอายุในการซ่อมแซมร่างกายและบำรุงอวัยวะ ส่วนคนหนุ่มสาวก็ควรทานเพื่อป้องกันเช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง บำรุงสายตาและบำรุงตับได้ ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะปฏิเสธการทานเห็ดหูหนูเพราะไม่มีอะไรยากเลยในการซื้อมาทำกินเองหรือไปทานที่ร้าน แถมยังอุดมไปด้วยสรรพคุณมากมายขนาดนี้ ทั้งหมดทั้งมวลมีแต่กำไรต่อชีวิตทั้งสิ้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เห็ดหูหนู”. หน้า 628.
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 300 คอลัมน์ : แพทย์แผนจีน. (นพ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล). “เห็ดหูหนู : สุดยอดของเห็ด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [24 ก.ย. 2014].
อาหารพื้นบ้านล้านนา, สำนักหอสมุด และสำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “เห็ดหูหนู”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/. [24 ก.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

โมกมัน ไม้ดอกหอม แก้บิด ขับเลือดเสียและรักษาโรคไต

0
โมกมัน ไม้ดอกหอม มีสรรพคุณแก้บิด ขับเลือดเสียและรักษาโรคไต
โมกมัน เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ต้นมีสีขาวหรือสีเทาอ่อน ดอกมีสีขาวอมเหลืองและมีกลิ่นหอม
โมกมัน ไม้ดอกหอม มีสรรพคุณแก้บิด ขับเลือดเสียและรักษาโรคไต
โมกมัน เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ต้นมีสีขาวหรือสีเทาอ่อน ดอกมีสีขาวอมเหลืองและมีกลิ่นหอม

โมกมัน

โมกมัน (Lanete) เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่มักจะพบตามป่าเบญจพรรณชนิดหนึ่ง คนไทยส่วนมากอาจจะรู้จักต้นไม้ต้นนี้เพราะเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดราชบุรี เป็นต้นที่มีดอกสีขาวอมเหลืองและมีกลิ่นหอมชวนให้น่าปลูกในสวนป่าและเพื่อความร่มเงาได้ นอกจากนั้นยังเป็นต้นที่สามารถนำส่วนของยอดอ่อนมาใช้รับประทานในรูปแบบของผักได้ ทว่าส่วนที่สำคัญเลยก็คือ ส่วนต่าง ๆ ของต้นสามารถนำมาใช้ทำเป็นยาสมุนไพรได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโมกมัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Wrightia arborea (Dennst.) Mabb.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Ivory” “Darabela” “Karingi” “Lanete”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดน่านเรียกว่า “มูกน้อย มูกมัน” จังหวัดสระบุรีเรียกว่า “โมกมันเหลือง” จังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า “มักมัน” คนทั่วไปเรียกว่า “โมกน้อย” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “เส่ทือ แนแก แหน่แก”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)
ชื่อพ้อง : Wrightia tomentosa Roem. & Schult.

ลักษณะของโมกมัน

โมกมัน เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กผลัดใบที่มักจะพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบและป่าโปร่งทั่วไป
เปลือกต้น : เปลือกลำต้นมีสีขาวหรือสีเทาอ่อน เปลือกต้นแตกเป็นร่องตื้นตามยาวและมีขนสีขาวตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อน ที่เปลือกมีรูอากาศมากและด้านในมีน้ำยางสีขาว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกันเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบและที่พื้นผิวบางเหมือนกับกระดาษ ใบมีเส้นแขนงใบข้างละ 8 – 12 เส้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามปลายกิ่ง ดอกมีสีขาวอมเหลืองและมีกลิ่นหอม มีกลีบดอก 5 กลีบเป็นรูปวงรีและมักจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม
ผล : ออกผลเป็นฝักยาวห้อยลง ลักษณะของฝักเป็นรูปทรงกระบอก เมื่อฝักแก่และแห้งจะสามารถแตกออกได้
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปวงรีหรือรูปแถบ ปลายด้านหนึ่งจะมีขนปุยสีขาวอยู่เป็นกระจุกซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ปลิวไปตามลมได้

สรรพคุณของโมกมัน

  • สรรพคุณจากเปลือกต้น บำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยทำให้ประจำเดือนมาปกติ รักษาโรคไต แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยฆ่าเชื้อโรคคุดทะราดและรำมะนาด
  • สรรพคุณจากผล ช่วยแก้ฟันผุ ช่วยฆ่าเชื้อรำมะนาด
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยขับเหงื่อ แก้ท้องมาน ช่วยแก้ตับพิการ ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย
  • สรรพคุณจากราก แก้ลม แก้ลมที่เกิดเรื้อรัง แก้ลมสันดาน รักษางูกัด
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก
  • สรรพคุณจากยางของต้น แก้ท้องร่วง แก้พิษงู แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • สรรพคุณจากแก่น บำรุงถุงน้ำดี แก้ดีพิการ
  • สรรพคุณจากรากและใบ รักษาวัณโรคแรกเริ่มที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ แก้อาการปวดข้อจากโรคข้อรูมาติก
  • สรรพคุณจากรากและเนื้อไม้
    – แก้บิดและแก้อาการถ่ายเป็นมูกเลือด โดยหมอยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีนำรากและเนื้อไม้มาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากเนื้อไม้และแก่น ช่วยขับเลือดเสียออกจากร่างกาย

ประโยชน์ของโมกมัน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนนำมาลวกจิ้มทานร่วมกับน้ำพริกหรือนำมาใช้ทำแกงได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า เปลือกของต้นมีเส้นที่สามารถนำมาใช้ทำกระดาษและใช้แทนเส้นใยจากฝ้ายได้ ส่วนเปลือกของต้นสามารถนำมาใช้เป็นสีย้อมเส้นไหมซึ่งจะให้สีเขียวอ่อน
3. ใช้ในอุตสาหกรรม เนื้อไม้ของต้นมีความเหนียวและละเอียดจึงสามารถนำมาใช้ทำในงานแกะสลัก เครื่องเล่นดนตรีไทย เครื่องเล่นสำหรับเด็ก เครื่องเขียนและใช้สร้างบ้านได้
4. ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนป่า

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของโมกมัน

สารที่พบในโมกมัน พบสาร benzoic acid, 2 – hydroxy – 6 – methyoxy, benzoic acid, 4 – hydroxy, conessidine, conessine, conkurchin, ferulic acid, gentisic acid, hexaconsane – 3, 6 – diol, 12 – oic acid, hexacosan – 3, 6 – diol – 12 – oic acid, quercetin, kaempferol, kurchicine, kurchine, n – tritriacontane – 16 – one, sinapic acid, syringic acid, vanillic acid, wrightiadione

โมกมัน เป็นต้นที่มีดอกสีขาวอมเหลืองและกลิ่นหอมจึงเหมาะอย่างมากที่จะนำมาปลูกเอาไว้ในสวนป่า อีกทั้งส่วนต่าง ๆ ของต้นยังเป็นยาสมุนไพรอีกด้วย นอกจากนั้นยังสามารถนำเปลือกต้นมาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อทดแทนวัตถุดิบชนิดอื่นได้ โมกมันมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเปลือกต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้บิด ขับเลือดเสีย รักษาโรคไตและแก้ลม ถือเป็นต้นที่มีประโยชน์มากกว่าที่เห็นในภายนอกทั้งการนำมาใช้เป็นยาและการนำมาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมย้อมผ้า

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “โมกมัน”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 165.
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “โมกมัน (Mok Mun)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 248.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “โมกมัน”. หน้า 209.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “โมกมัน”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 650-651.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “โมกมัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [20 พ.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “โมก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [20 พ.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “โมกมัน” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [20 พ.ค. 2014].
ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “โมกมัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th/veg/. [20 พ.ค. 2014].
พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. “โมกมัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: qsds.go.th. [20 พ.ค. 2014].
ศูนย์ปฏิบัติการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “โมกมัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [20 พ.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “โมกมัน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [20 พ.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ขวง หรือ สะเดาดิน เป็นผักในตำรับยาทั้งหลาย ช่วยแก้ไข้และบำรุงน้ำดี

0
ขวง หรือ “สะเดาดิน” เป็นผักในตำรับยาทั้งหลาย ช่วยแก้ไข้และบำรุงน้ำดี
ขวง หรือ สะเดาดินเป็นไม้ล้มลุก แตกแขนงแผ่ราบไปกับพื้นดิน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก ดอกเป็นสีขาวอมเขียว
ขวง หรือ “สะเดาดิน” เป็นผักในตำรับยาทั้งหลาย ช่วยแก้ไข้และบำรุงน้ำดี
ขวง หรือ สะเดาดินเป็นไม้ล้มลุก แตกแขนงแผ่ราบไปกับพื้นดิน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก ดอกเป็นสีขาวอมเขียว

ขวง

ขวง (Glinus oppositifolius) เป็นไม้ล้มลุกที่เลื้อยไปตามพื้นดินซึ่งสามารถพบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทยแต่จะพบได้มากทางภาคเหนือ ดอกมีสีขาวอมเขียวขนาดเล็ก เป็นผักที่มีรสขมคล้ายกับสะเดาทำให้บางพื้นที่เรียกผักชนิดนี้ว่า “สะเดาดิน” นิยมนำมาทานในรูปแบบของผักสดจิ้มกับน้ำพริกหรือทานร่วมกับลาบได้ จากภายนอกขวงเหมือนเป็นพืชบนดินทั่วไปที่ไม่มีอะไรและไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ขวงเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการและยังเป็นส่วนประกอบของตำรับยามากกว่า 7 ตำรับด้วยกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของขวง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Glinus oppositifolius (L.) Aug.DC.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “สะเดาดิน ผักขวง” ภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า “ผักขี้ขวง” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ขี้ก๋วง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์สะเดาดิน (MOLLUGINACEAE)

ลักษณะของผักขวง

ผักขวง เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีลำต้นเตี้ยหรือทอดเลื้อยแตกแขนงแผ่ราบไปกับพื้นดิน มักจะพบมากในภาคเหนือ ขึ้นตามบริเวณที่ชื้นแฉะ ตามไร่นาและตามสนามหญ้าทั่วไป
ต้น : แตกกิ่งก้านสาขาแผ่กระจายออกไปรอบต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก มีการแตกใบออกตามข้อต้น ซึ่งในแต่ละข้อจะมีใบอยู่ประมาณ 4 – 5 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปยาววงรี ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียว ก้านใบสั้น
ดอก : ออกดอกเดี่ยวรวมกันอยู่ตามข้อของลำต้นใกล้กับใบ ในข้อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 4 – 6 ดอก ดอกเป็นสีขาวอมเขียว มีกลีบดอก 5 กลีบ
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปยาววงรี เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 3 แฉก ทำให้เห็นเมล็ดที่อยู่ภายในผลได้ชัดเจน
เมล็ด : เมล็ดมีจำนวนมาก เป็นสีน้ำตาลแดงและมีขนาดเท่ากับเม็ดทราย

สรรพคุณของผักขวง

สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาบำรุงธาตุ เป็นยาแก้ไข้หรือแก้ไข้ทั้งปวง เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ระงับความร้อน เป็นยาระบาย ช่วยบำรุงน้ำดี เป็นยาแก้คัน เป็นยาทาแก้โรคผิวหนัง เป็นยาฆ่าเชื้อ แก้อาการฟกช้ำบวมอักเสบ
– แก้อาการปวดศีรษะ แก้หวัดคัดจมูก ด้วยการนำต้นสดมาตำผสมกับขิงใช้เป็นยาสุมกระหม่อมเด็ก
– แก้อาการปวดหู ด้วยการนำทั้งต้นผสมกับน้ำมันละหุ่งแล้วนำไปอุ่นใช้เป็นยาหยอดหู
สรรพคุณจากผักขวง
– แก้ไข้ที่เกิดจากดีพิการซึ่งมีอาการปวดศีรษะและไข้สูง โดยตำรับยาในพระคัมภีร์ธาตุวิวรณ์นำผักขวง เครือเขาด้วย รากขี้กา รากขัดมอน ต้นผีเสื้อ หญ้าเกล็ดหอยและน้ำผึ้งมาผสมเข้าด้วยกัน
– แก้อาการปวดศีรษะและจมูกตึง โดยตำรับยาในพระคัมภีร์โรคนิทานนำผักขวง ใบหญ้าน้ำดับไฟ ใบหางนกยูง ฆ้องสามย่าน เทียนดำ ไพล หัวหอม ดอกพิกุลและดินประสิวขาวมาบดสุมกระหม่อม

ประโยชน์ของผักขวง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวบ้านนำมาทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริกและรับประทานร่วมกับลาบ หรือนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริกหรือนำมาแกงรวมกับผักอื่นอย่างแกงแค แกงเมืองหรือแกงกับปลาทูนึ่ง
2. เป็นส่วนประกอบของยา เป็นส่วนประกอบในตำรับพระคัมภีร์ธาตุวิวรณ์ พระคัมภีร์โรคนิทานและพระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของผักขวง 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของผักขวง 100 กรัม ให้พลังงาน 30 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
น้ำ 90.3%
โปรตีน 3.2 กรัม
ไขมัน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.4 กรัม
ใยอาหาร 1.1 กรัม
เถ้า 1.7 กรัม
แคลเซียม 94 มิลลิกรัม 
ธาตุเหล็ก 1.8 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม 
วิตามินบี2 0.45 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 2.7 มิลลิกรัม
วิตามินซี 19 มิลลิกรัม

ผักขวง ถือเป็นผักที่นิยมอย่างมากในการเป็นส่วนประกอบของยาพื้นบ้านหรือตำรับยาของคนในอดีต ถือเป็นผักที่คนไทยในยุคใหม่ไม่ค่อยสนใจกันแต่กลับมีประโยชน์ทางโภชนาการและเป็นยาแก้อาการได้ดี ผักขวงมีสรรพคุณทางยาจากส่วนของทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ทั้งปวง เป็นยาระบาย บำรุงน้ำดี แก้โรคผิวหนังและอาการปวดหูได้ ถือเป็นต้นที่น่าสนใจชนิดหนึ่งในการนำมาปรุงเป็นยาสมุนไพรแก้อาการทั้งหลาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ผักขวง”. หน้า 469-470.
วัชพืช, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “ขี้ก๋วง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/use/crop_2.htm. [22 พ.ย. 2014].
หนังสือพิมพ์มติชนบทเทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 545, วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556. (ไพบูลย์ แพงเงิน). “ผักขวง…สมุนไพรบำรุงน้ำดี”.
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักขวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [22 พ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

สันพร้าหอม ต้นกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือดและบำรุงหัวใจ

0
สันพร้าหอม ต้นกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือดและบำรุงหัวใจ
สันพร้าหอม เป็นต้นที่มีรสเผ็ดและมีกลิ่นหอม มีดอกสีแดงหรือสีขาวขนาดเล็ก ผลสุกจะแห้งเป็นสีน้ำตาลอมดำ
สันพร้าหอม ต้นกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือดและบำรุงหัวใจ
สันพร้าหอม เป็นต้นที่มีรสเผ็ดและมีกลิ่นหอม มีดอกสีแดงหรือสีขาวขนาดเล็ก ผลสุกจะแห้งเป็นสีน้ำตาลอมดำ

สันพร้าหอม

สันพร้าหอม (Eupatorium fortunei) เป็นต้นที่มีรสเผ็ดและมีกลิ่นหอม เป็นยาสุขุมที่หมออีสานนิยมใช้เพราะปลูกมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน มีดอกสีแดงหรือสีขาวขนาดเล็กดูสวยงามจึงทำให้นิยมนำมาปลูกลงกระถางขาย นอกจากนั้นยังนำมารับประทานหรือเป็นส่วนผสมของแป้งหอม ทว่าสันพร้าหอมก็มีเรื่องที่ควรระวังเพราะผู้ที่มีอาการกระเพาะหรือลำไส้หย่อนไม่มีกำลังห้ามทานเด็ดขาดและมีผลต่อตับและไตได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของสันพร้าหอม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eupatorium fortunei Turcz.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “เกี๋ยงพาใย” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “สันพร้าหอม” จังหวัดราชบุรี สุพรรณบุรีและกาญจนบุรีเรียกว่า “หญ้าเสือมอบ” ชาวเงี้ยวแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ซะเป มอกพา หญ้าลั่งพั้ง” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “พอกี่” จีนกลางเรียกว่า “หลานเฉ่า เพ่ยหลาน”มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ผักเพี้ยฟาน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)
ชื่อพ้อง : Eupatorium stoechadosmum Hance

ลักษณะของสันพร้าหอม

สันพร้าหอม เป็นพรรณไม้ล้มลุกเนื้ออ่อนอายุหลายปี มักจะขึ้นบริเวณตามหุบเขาหรือลำธาร ปลูกมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง โคนต้นเรียบเป็นมันและเกลี้ยง ตามลำต้นเป็นร่องแต่จะค่อนข้างเกลี้ยงเล็กน้อย
ราก : รากแก้วใต้ดินแตกแขนงมาก
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงกันเป็นคู่ตามข้อของลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปมนวงรีหรือรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบแคบ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ผิวใบเกลี้ยงเป็นสีเขียว หลังใบมีขนปกคลุม เส้นใบคล้ายรูปขนนก เมื่อขยี้ดมจะมีกลิ่นหอม ใบบริเวณโคนต้นจะมีขนาดใหญ่กว่าและแห้งง่าย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้นลักษณะคล้ายซี่ร่ม ก้านช่อดอกมีขนขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น ในช่อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 4 – 6 ดอก ลักษณะของดอกเป็นรูปทรงกระบอก ดอกมีสีแดงหรือสีขาวขนาดเล็ก ปลายแยกออกเป็นแฉก 5 แฉก มีกลีบเลี้ยงสีม่วงแดง ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน อยู่ใจกลางดอก
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปขอบขนานแคบหรือรูปทรงกระบอก ผลเป็นสีดำและมีสัน 5 สัน เมื่อสุกผลจะแห้งเป็นสีน้ำตาลอมดำ

สรรพคุณของสันพร้าหอม

  • สรรพคุณจากทั้งต้น ออกฤทธิ์ต่อม้ามและกระเพาะอาหาร เป็นยาขับน้ำชื้นในร่างกาย เป็นยาบำรุง ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ตัวร้อนจัด แก้ไข้แดด ช่วยขับเหงื่อ แก้อาการร้อนใน แก้กระหายน้ำ แก้ปากแห้ง แก้น้ำลายเหนียว แก้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ช่วยแก้ลมขึ้นจุกเสียด แก้ลมขึ้นเบื้องสูง แก้อาการแน่นหน้าอก แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยแก้อาการปวดท้อง แก้ปวดกระเพาะ แก้กระเพาะลำไส้อักเสบเฉียบพลัน เป็นยาช่วยขับปัสสาวะ เป็นยากระตุ้นความกำหนัด
    – บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง ทำให้เลือดไหลเวียนดี ช่วยแก้อาการวิงเวียน ด้วยการนำทั้งต้นมาบดให้เป็นผงแล้วชงเป็นชาดื่ม
    – แก้หวัด ด้วยการนำทั้งต้นประมาณ 1 กำมือ ใส่ในน้ำ 1 ลิตร แล้วต้มให้เดือด พอเดือดหรี่ไฟลงแล้วต้มต่ออีกประมาณ 15 นาที ใช้ดื่มครั้งละครึ่งแก้วประมาณ 125 มิลลิลิตร วันละ 3 เวลา หรือนำมาบดเป็นผงทำเป็นชาชงดื่ม
    แก้ไอ บรรเทาอาการหอบหืดในเด็กและผู้ใหญ่ ด้วยการนำทั้งต้นมาบดกับน้ำแล้วเติมน้ำผึ้งเล็กน้อยกินเป็นยา
    – แก้ลมชัก แก้ลมมะเฮ็ดคุด ทำให้สดชื่นรู้สึกปลอดโปร่ง ช่วยกระจายเลือดลมไปเลี้ยงสมอง ช่วยเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง ทำให้อาการวิงเวียนและอาการปวดศีรษะลดลง ด้วยการนำทั้งต้นมาขยี้ดม
    – บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ขับน้ำออกจากร่างกาย ลดอาการบวมน้ำ ช่วยทำให้เหงื่อออก เป็นยาขับประจำเดือนในหญิงที่ประจำเดือนผิดปกติ โดยหมอยาอีสานนำทั้งต้นมาใช้กับแม่หลังคลอดในการทำเป็นยาอบต้มกิน
  • สรรพคุณจากใบ แก้พิษเบื่ออาหาร เป็นยาบำรุงหัวใจ
    – แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้แดด ด้วยการนำใบสันพร้าหอม 5 กรัม ใบสะระแหน่ 5 กรัม ใบบัวหลวง 5 กรัม พิมเสนต้น 5 กรัม ปี่แปะเอี๊ยะ 30 กรัม โหล่วกิง 30 กรัมและเปลือกฟัก 60 กรัม มารวมกันต้มกับน้ำทาน
    – เป็นยาปรับธาตุ เป็นยาระบาย แก้อาการท้องร่วง ด้วยการนำใบทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก
  • สรรพคุณจากราก
    – เป็นยาแก้สตรีประจำเดือนมาไม่ปกติ ทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ ใช้จับเลือดเสียหลังการคลอดบุตรของสตรี ด้วยการนำราก 1 กำมือ ใส่ในน้ำ 1 ลิตร แล้วต้มให้เดือด พอเดือดหรี่ไฟลงต้มต่ออีก 15 นาที ใช้ดื่มครั้งละครึ่งแก้วประมาณ 125 มิลลิลิตร วันละ 3 เวลา
    – แก้พิษ ด้วยการนำรากต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากน้ำมันหอมระเหย ยับยั้งเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่

ประโยชน์ของสันพร้าหอม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบใช้กินกับลาบ น้ำพริกหรืออาหารอื่น ๆ
2. เป็นส่วนผสมในการใช้ความหอม ใช้เป็นส่วนผสมของแป้งหอม ยาสระผมหอมบำรุงผม ธูปหรือเครื่องหอมอื่น ๆ คนปกาเกอะยอนำมาห่อด้วยใบตองที่ทาด้วยน้ำมันมะพร้าวไว้แล้วนำมาย่างไฟจะทำให้กลิ่นหอมมาก จากนั้นจะนิยมนำมาทัดหูหรือนำมาห้อยกับสายสร้อยคล้องคอ
3. เป็นความเชื่อ ปลูกไว้ในบริเวณบ้านเพื่อดึงดูดผีบ้านผีเรือนให้คอยปกป้องรักษาบ้านที่อยู่อาศัยและผู้อาศัยหรือนำมาใช้ห้อยคอเพื่อความเป็นสิริมงคลป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ
4. ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป พ่อค้านิยมนำมาปลูกไว้ในกระถางเพื่อขายเป็นการค้า

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของสันพร้าหอม

สารที่พบในสันพร้าหอม ทั้งต้นพบน้ำมันระเหยประมาณ 1.5 – 2% ในน้ำมันพบสารหลายชนิด เช่น P – cymene, Neryl acetate, 5 – Methylthymol ether, Nerylacetate และยังพบสาร Coumarin, O – Coumaric acid, Thymohydroquinone ส่วนใบพบสาร Euparin, Eupatolin gxH เป็นต้น
การทดสอบทางพิษของสันพร้าหอม เมื่อนำสันพร้าหอมทั้งต้นมาให้แพะหรือวัวกินติดต่อกันเป็นเวลานาน พบว่าจะเกิดการกระทบที่ตับและไต ทำให้แพะหรือวัวเป็นเบาหวาน หรือถ้าใช้สารที่สกัดได้จากทั้งต้นด้วยแอลกอฮอล์ มาฉีดเข้าที่หนูทดลอง จะทำให้หนูทดลองมีการหายใจช้าลง การเต้นของหัวใจช้าลง อุณหภูมิในร่างกายของหนูลดลง น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและมีอาการแสดงคล้ายกับเป็นโรคเบาหวาน

ข้อควรระวังของสันพร้าหอม

1. ผู้ที่มีอาการกระเพาะหรือลำไส้หย่อนไม่มีกำลัง ห้ามรับประทาน
2. ไม่ควรทานติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ตับ ไต หัวใจและน้ำตาลในเลือดได้

สันพร้าหอม เป็นต้นที่ใบมีวิตามินซีสูงและมีสรรพคุณทางยาได้จากทั้งต้น เป็นต้นที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความหอมและเป็นไม้ประดับสวยงาม สามารถนำใบมารับประทานในรูปแบบของผักสดได้ สันพร้าหอมมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงร่างกาย บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แก้ไข้และแก้ลมได้ นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณแก้อาการต่าง ๆ ได้อีกเยอะ ทั้งนี้ถือเป็นต้นที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบที่ให้ความหอมได้ดีมาก

สันพร้าหอม ต้นกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือดและบำรุงหัวใจ
สันพร้าหอม เป็นต้นที่มีรสเผ็ดและมีกลิ่นหอม มีดอกสีแดงหรือสีขาวขนาดเล็ก ผลสุกจะแห้งเป็นสีน้ำตาลอมดำ
เกี๋ยงพาใย,สันพร้าหอม,หญ้าเสือมอบ,ซะเป,มอกพา,หญ้าลั่งพั้ง,พอกี่,หลานเฉ่า,เพ่ยหลาน,ผักเพี้ยฟาน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม 

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สันพร้าหอม”. หน้า 774-775.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “สันพร้าหอม”. หน้า 550.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “สันพร้าหอม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [11 ต.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพันธุกรรมพืช กรมวิชาการเกษตร. (สัจจะ ประสงค์ทรัพย์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ). “สันพร้าหอม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : th.apoc12.com. [11 ต.ค. 2014].
ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร. “ต้นสันพร้าหอม”.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

จอก ไม้น้ำในอ่างปลา ทั้งต้นเป็นยา ใบอุดมไปด้วยวิตามิน

0
จอก ไม้น้ำในอ่างปลา ทั้งต้นเป็นยา ใบอุดมไปด้วยวิตามิน
จอก เป็นวัชพืชน้ำขนาดเล็ก ลำต้นทอดขนานไปกับผิวน้ำ ใบเดี่ยวเขียวเรียงสลับ ดอกเป็นช่ออยู่กลางต้น
จอก ไม้น้ำในอ่างปลา ทั้งต้นเป็นยา ใบอุดมไปด้วยวิตามิน
จอก เป็นวัชพืชน้ำขนาดเล็ก ลำต้นทอดขนานไปกับผิวน้ำ ใบเดี่ยวเขียวเรียงสลับ ดอกเป็นช่ออยู่กลางต้น

จอก

จอก ( Water lettuec ) เป็นพืชน้ำขนาดเล็กที่ลอยอยู่บนน้ำ สามารถพบได้ตามลำคลองหรือพื้นที่น้ำท่วมขังทั่วไป นิยมนำมาปลูกประดับในอ่างเลี้ยงปลาและใช้ทำปุ๋ยหมัก นอกจากนั้นต้นอ่อนยังนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ และที่สำคัญเป็นต้นที่มีวิตามินเอ วิตามินบีและวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายทั้งสิ้น ส่วนต่าง ๆ ของจอกยังสามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ ถือว่าเป็นต้นที่มีอะไรดีมากกว่าที่เห็นในภายนอก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของจอก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pistia stratiotes L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Water lettuec”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “กากอก” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ผักกอก” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ไต่ผู้เฟี้ย” จีนกลางเรียกว่า “ต้าฝูผิง” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “จอกใหญ่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บอน (ARACEAE)

ลักษณะของต้นจอก

จอก เป็นวัชพืชน้ำขนาดเล็กที่ลอยเป็นกลุ่มอยู่บนผิวน้ำ มีอายุได้หลายปี มักจะพบตามลำคลอง หนองน้ำ นาข้าวและพื้นที่น้ำขังทั่วไป
ลำต้น : ลำต้นทอดขนานไปกับผิวน้ำและมีลักษณะอวบน้ำ ลำต้นมีไหล ซึ่งต้นใหม่จะเกิดจากโคนต้นและเกิดบนไหล
ราก : เป็นระบบรากแก้วและมีรากฝอยเป็นจำนวนมาก มักจะออกเป็นกระจุกอยู่ใต้น้ำ รากมีสีขาว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวสีเขียวเรียงสลับกัน รูปร่างของใบมีลักษณะไม่แน่นอนแต่ส่วนมากจะเป็นรูปสามเหลี่ยม ที่ปลายใบจะมนเป็นคลื่น บริเวณฐานใบพองออกและมีลักษณะอ่อนนุ่มคล้ายกับฟองน้ำซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ต้นสามารถลอยน้ำได้
ดอก : ออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงกลางต้น มีกาบหุ้มดอกอยู่ประมาณ 2 – 3 ใบ จอกเป็นดอกที่ไม่มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง
ผล : ผลมีลักษณะเป็นแผ่นบาง มีกาบหรือใบประดับสีเขียวอ่อนติดอยู่
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดอยู่ประมาณ 2 – 3 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลอ่อนลักษณะกลมยาว เปลือกเมล็ดจะมีรอยย่น

สรรพคุณของจอก

  • สรรพคุณจากจอก ช่วยขับเสมหะ แก้หืด แก้บิด รักษาโรคโกโนเรียหรือโรคหนองในแท้
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาฟอกเลือดให้เย็น ออกฤทธิ์ต่อปอดและกระเพาะปัสสาวะ ช่วยขับความชื้นในร่างกาย แก้พิษไข้ ช่วยขับเหงื่อ เป็นยาขับลม แก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน แก้ฝีหนองภายนอก
    – แก้ท้องมานและอาการบวมน้ำ ด้วยการนำใบสดผสมกับน้ำตาลทรายแล้วนำมาอย่างละ 120 กรัมต่อน้ำ 3 ถ้วย ทำการต้มให้ข้นจนเหลือเพียงถ้วยเดียวแล้วทาน 3 ครั้ง
    – เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ท้องมานและอาการบวมน้ำ ด้วยการนำใบแห้ง 15 – 20 กรัม มาต้มกับน้ำกินเป็นยา
    แก้หัด แก้ผื่นคัน ด้วยการนำใบสด 100 กรัมมาตากแห้งแล้วบดผสมกับน้ำผึ้งเพื่อทำเป็นยาเม็ด ควรทานให้หมดภายใน 1 วัน หรือนำใบแห้งต้มกับน้ำแล้วอบผิวเพื่อใช้เป็นยาต้มมาล้างบริเวณที่มีอาการ
    – บรรเทาอาการฟกช้ำหรือแก้อาการบอบช้ำ ด้วยการนำใบสดมาผสมกับน้ำตาลกรวดดำ ทำการอุ่นให้ร้อนแล้วใช้เป็นยาพอกบริเวณที่มีอาการ หรือนำใบสดมาตำแล้วพอกก็ได้
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาระบาย เป็นยาขับปัสสาวะ

ประโยชน์ของจอก

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร คนจีน อินเดียและชาวแอฟริกานำมาใช้เป็นอาหารในเวลาขาดแคลนได้
2. ใช้ในการเกษตร ต้นอ่อนใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู เป็ด ปลา เป็นต้น ทั้งต้นยังนำมาใช้ทำปุ๋ยหมักได้ด้วย
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้ปลูกประดับในอ่างปลาเพื่อให้ลูกปลามีที่กำบัง

คุณค่าทางโภชนาการของใบจอกสด

คุณค่าทางโภชนาการของใบจอกสด ให้วิตามินเอ วิตามินบีและวิตามินซีในปริมาณที่สูง ให้คาร์โบไฮเดรต (2.6%) เส้นใย (0.9%) โปรตีน (1.4%) ไขมัน (0.3%) ความชื้น (92.9%) ธาตุแคลเซียม (0.20%) ธาตุฟอสฟอรัส (0.06%)

ข้อควรระวังของจอก

1. จอกเป็นไม้น้ำที่สามารถดูดพิษได้มาก ดังนั้นหากแม่น้ำลำคลองแห่งนั้นมีสารพิษปนเปื้อนสูง อาจทำให้จอกอุดมไปด้วยพิษได้
2. ต้นจอกที่มีรสขมไม่ควรนำมารับประทานเป็นอันขาด
3. ส่วนของรากจะมีสารพิษเล็กน้อย ดังนั้นก่อนนำมาใช้จะต้องทำการตัดรากออกก่อน ส่วนของใบก็ควรนำมาล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน
4. สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานเด็ดขาด

จอก เป็นพืชน้ำที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าการนำมาประดับในอ่างปลาแบบที่คนทั่วไปรู้จักกัน ทั้งนี้การนำพืชน้ำมารับประทานนั้นก็มีความเสี่ยงสูงเพราะขึ้นอยู่กับการปนเปื้อนของลำคลองที่พืชน้ำเติบโต เนื่องจากประเทศไทยจะมีการปล่อยของเสียและยังไม่ค่อยมีการบำบัดน้ำที่ถูกต้องนัก ลำคลองทั่วไปจึงมักจะสกปรกและไม่สะอาดสักเท่าไหร่ จอกมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้โรคผิวหนัง เป็นยาขับลม แก้บิดและขับปัสสาวะได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “จอก”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 220-221.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “จอก”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 176.
ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “จอก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/. [22 ก.พ. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “จอก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [22 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “จอก”. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้น้ำบึงบอระเพ็ด. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org . [22 ก.พ. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Pistia stratiotes L.”. อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพรพื้นบ้าน เล่ม 1 (684). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [22 ก.พ. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

โสมซานชี โสมจีนมากสรรพคุณทางยา ดีต่อเลือดและอวัยวะสำคัญ

0
โสมซานชี โสมจีนมากสรรพคุณทางยา ดีต่อเลือดและอวัยวะสำคัญ
โสมซานชี เป็นโสมจีน พืชยืนต้น ใบเป็นสีเขียวเข้ม ดอกเป็นสีขาวอมเขียว ผลมีขนาดเล็กสีแดง
โสมซานชี โสมจีนมากสรรพคุณทางยา ดีต่อเลือดและอวัยวะสำคัญ
โสมซานชี เป็นโสมจีน พืชยืนต้น ใบเป็นสีเขียวเข้ม ดอกเป็นสีขาวอมเขียว ผลมีขนาดเล็กสีแดง

โสมซานชี

โสมซานชี (Sanchi Ginseng) เป็นโสมจีนที่อยู่ในวงศ์เล็บครุฑ มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่เหวินซานโจว จังหวัดยูนนานในประเทศจีน มีดอกเป็นสีขาวอมเขียวและมีผลสีแดงทำให้ดูเด่น เป็นยาสมุนไพรที่สำคัญของชาวจีนและมีฤทธิ์ในการต้านโรคอย่างมะเร็ง หัวใจ ตับและปอดได้ ถือเป็นต้นที่ดีต่ออวัยวะในร่างกายเป็นอย่างมาก ทุกส่วนของต้นโสมซานชีสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารและใช้ประโยชน์ได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโสมซานชี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Panax notoginseng (Burkill) F.H.Chen
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Sanchi Ginseng”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ ว่า “โสมจีน” “ชั่งชิก”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เล็บครุฑ (ARALIACEAE)
ชื่อพ้อง : Aralia quinquefolia var. notoginseng Burkill, Panax pseudoginseng var. notoginseng (Burkill) G.Hoo & C.L.Tseng

ลักษณะของโสมซานชี

โสมซานชี เป็นพืชยืนต้นที่มีแหล่งกำเนิดอยู่จังหวัดยูนนานในประเทศจีน
ต้น : มีกิ่ง 3 กิ่ง ในแต่ละกิ่งมีใบ 7 ใบ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ซานชี” เพราะคำว่า “ซาน” หมายถึง 3 ส่วนคำว่า “ชี” หมายถึง 7
ใบ : แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม
ดอก : เป็นสีขาวอมเขียว มักจะออกรวมกันเป็นกลุ่ม
ผล : ผลมีขนาดเล็กสีแดง ออกรวมกันเป็นกลุ่มอยู่ตรงกลาง

สรรพคุณของโสมซานชี

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของร่างกาย ช่วยคงสภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโรค ปรับสมดุลทุกระบบในร่างกายให้เป็นปกติ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์ ลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย ช่วยขับล้างสารพิษหรือของเสียออกจากร่างกาย
  • สรรพคุณด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของอวัยวะ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาทและการทำงานของหัวใจ ช่วยทำให้ตับและปอดแข็งแรง
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ต้านมะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันเบาหวาน
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ช่วยละลายไขมันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด ช่วยป้องกันการเกาะตัวของไขมันในผนังหลอดเลือด ช่วยป้องกันการเกิดอาการหัวใจขาดเลือด ป้องกันอาการเส้นเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงสมองตีบทำให้สมองตาย ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่ทำให้เส้นเลือดอุดตัน ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยลดอาการบวมน้ำของสมองและการอุดตันของเส้นเลือด ปรับความดันเลือด ทำให้ระบบเลือดสะอาด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • สรรพคุณด้านลมในร่างกาย ปรับลมปราณของร่างกาย
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหาร ช่วยระงับการไหลของเลือดและมีเลือดออกจากกระเพาะ
  • สรรพคุณด้านบรรเทาอาการ ช่วยลดอาการปวดบวมและอักเสบ

ประโยชน์ของโสมซานชี

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ทุกส่วนของต้นนำมาใช้เป็นอาหาร เครื่องดื่ม ชา กาแฟ อาหารเสริมได้
2. เป็นน้ำมันหอมระเหย
3. เป็นส่วนประกอบของยา
4. ใช้ทำยาสีฟัน

ข้อควรระวังในการใช้โสมซานชี

1. ผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูง ไข้หวัด มีอาการไอปนเลือด เป็นโรคไต นอนไม่หลับ ไม่ควรรับประทาน
2. ห้ามทานกาแฟในขณะกินโสมซานชีเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้ความดันเลือดสูงและมีอาการนอนไม่หลับได้
3. หากต้องการทานเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่มีกรดสูงหรือมีฤทธิ์เป็นกรดและห้ามกินโสมร่วมกับวิตามินซี เพราะอาหารหรือสารอาหารเหล่านี้จะไปทำลายฤทธิ์ที่ควรจะได้ ควรจะกินหลังการกินโสมอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
4. ควรเก็บโสมไว้ในภาชนะที่แห้งสนิทเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา

โสมซานชี เป็นโสมยอดนิยมของคนจีนที่มีสรรพคุณได้อย่างน่าทึ่งจริง ๆ เป็นโสมที่ดีต่อระบบอวัยวะที่สำคัญในร่างกายเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นยังนำมาใช้ทำเป็นอาหารได้ เป็นพืชที่คนจีนนำมาทานเพื่อสุขภาพและป้องกันโรคภัยโดยเฉพาะ โสมซานชีมีสรรพคุณทางยาต่อร่างกายได้หลายส่วนโดยเฉพาะระบบการไหลเวียนเลือด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ปรับสมดุลทุกระบบในร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ต้านมะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันเบาหวานและทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ถ้ามีโอกาสและหาซื้อได้ก็ถือเป็นโสมที่คู่ควรแก่การนำมารับประทานเป็นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
“โสมซานชี พืชอาหารเพื่อสุขภาพ”. (รัตนา ไชยมูล เจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เพื่อความปลอดภัยด้านอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา).
นพ.ดร.เซียว กั๋วกัง จากหนังสือวิชาการภาษาญี่ปุ่น.
เภสัชกร นิติ โตชนันท์.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

โพธิ์ ไม้มงคลทางศาสนา ใบมีโปรตีนสูง มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจและรักษาโรคเกาต์

0
โพธิ์ ไม้มงคลทางศาสนา ใบมีโปรตีนสูง มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจและรักษาโรคเกาต์
โพธิ์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ใบเป็นรูปหัวใจ ดอกเป็นสีเหลืองนวล ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกเป็นสีชมพูม่วง สีแดงคล้ำหรือม่วงดำ
โพธิ์ ไม้มงคลทางศาสนา ใบมีโปรตีนสูง มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจและรักษาโรคเกาต์
โพธิ์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ใบเป็นรูปหัวใจ ดอกเป็นสีเหลืองนวล ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกเป็นสีชมพูม่วง สีแดงคล้ำหรือม่วงดำ

โพธิ์

โพธิ์ (Sacred fig) เป็นต้นไม้ที่คนไทยทุกคนต้องรู้จักเพราะเป็นต้นที่อยู่ในศาสนาและเป็นต้นสำคัญสำหรับชาวพุทธ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มักจะพบตามวัดอาราม ทว่านอกจากจะเป็นต้นไม้มงคลแล้วนั้นต้นโพธิ์ยังสามารถนำใบอ่อนมารับประทานและมีคุณค่าทางโภชนาการได้อย่างน่าทึ่งอีกด้วย และยังเป็นยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลาย ส่วนมาก หากคนไทยพูดถึงต้นโพธิ์ก็มักจะนึกถึงวัดหรือไปในทางศาสนา ทว่าไม่ค่อยมีใครรู้กันนักว่าต้นโพธิ์ก็มีประโยชน์ในด้านอื่นได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโพธิ์

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus religiosa L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Sacred tree” “Sacred fig” “Sacred fig Tree” “The peepal tree” “Peepul tree” “Peepul of India” “Pipal tree” “Pipal of India” “Bo tree” “Bodhi Tree”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “โพ โพธิ โพศรีมหาโพ” ภาคเหนือเรียกว่า “สลี” ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า “สี สะหลี” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ย่อง” เขมรเรียกว่า “ปู” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “โพธิใบ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขนุน (MORACEAE)

ลักษณะของต้นโพธิ์

โพธิ์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ผลัดใบที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ในไทยพบในธรรมชาติน้อยมาก เป็นไม้ที่มีอายุยืนยาวมาก
ลำต้น : แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นพุ่มตรงส่วนยอดของลำต้น ปลายกิ่งลู่ลง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ตามกิ่งมีรากอากาศห้อยลงมาบ้าง มีน้ำยางสีขาว เปลือกต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลปนเทา โคนต้นเป็นพูพอนขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากมีกิ่งก้านแยกสาขาออกจากลำต้นมากจึงทำให้เกิดเชื้อราที่อาศัยความชุ่มชื้นจากน้ำฝนที่ขังอยู่ตามง่ามไม้ เข้าทำลายเนื้อไม้จนเป็นโพรง มักจะพบได้ในต้นโพธิ์ที่มีขนาดใหญ่และมีอายุมาก
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลมและมีติ่งหรือหางยาว โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบเป็นรูปหัวใจ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ใบมีลักษณะห้อยลง แผ่นใบเป็นสีเขียวนวล ยอดอ่อนหรือใบอ่อนนั้นเป็นสีน้ำตาลแดง ก่อนใบจะร่วงหล่นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ก้านใบยาวและอ่อน ปลีที่หุ้มส่วนยอดอ่อนมีสีครีมหรือสีงาช้างอมชมพู
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกลมรวมกันเป็นกระจุกภายในฐานรองดอกรูปคล้ายผล โดยจะออกที่ตอนปลายของกิ่ง ดอกย่อยเป็นแบบแยกเพศ ไม่มีก้าน มีใบประดับเล็กที่โคน ฐานดอกเป็นรูปทรงกลม ดอกย่อยมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ดอกเป็นสีเหลืองนวลและจะเจริญไปเป็นผล
ผล : เป็นผลรวม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็ก ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูม่วง สีแดงคล้ำหรือม่วงดำและร่วงหล่นลงมา

สรรพคุณของต้นโพธิ์

  • สรรพคุณจากต้นโพธิ์ ยับยั้งระดับน้ำตาลในเลือดสูง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อจุลชีพ ต้านเชื้อรา
  • สรรพคุณจากใบ เป็นยาแก้ไข้จับสั่นเรื้อรัง รักษาโรคคางทูม รักษาโรคท้องผูกหรือท้องร่วง เป็นยาบำบัดโรคผิวหนัง
    – ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการนำใบแก่ 1 กำมือ มาต้มกับน้ำ 3 แก้ว แบ่งกินก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • สรรพคุณจากผล เป็นยาแก้โรคหัวใจ เป็นยาช่วยขับพิษ ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยรักษาโรคหืด เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยในการย่อยอาหาร
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาลดไข้ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เป็นยาระบาย แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาแก้เจ็บคอ แก้ปวดฟัน รักษารากฟันเป็นหนอง เป็นยาชงกินแก้โรคหนองใน เป็นยาล้างแผล ช่วยรักษาแผลเปื่อย ช่วยสมานบาดแผล ห้ามเลือด ทำให้หนองแห้ง เป็นยาแก้โรคผิวหนัง ช่วยแก้กล้ามเนื้อช้ำบวม
  • สรรพคุณจากราก รักษาโรคเหงือก เป็นยารักษาโรคเกาต์
  • สรรพคุณจากลำต้นและใบ เป็นยาถ่าย
  • สรรพคุณจากยาง รักษาริดสีดวงทวาร เป็นยารักษาโรคหูด แก้เท้าเป็นหน่อ แก้เท้าเป็นพยาธิ
  • สรรพคุณจากลำต้น เป็นยาบำบัดโรคผิวหนัง

ประโยชน์ของต้นโพธิ์

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนทานเป็นอาหารและใช้เลี้ยงหนอนไหมได้ ซึ่งใบมีปริมาณของโปรตีนและธาตุหินปูนสูง ผลอ่อนใช้รับประทานเป็นอาหารได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับตามวัดวาอาราม ปลูกเลี้ยงไว้เป็นไม้แคระแกร็นหรือปลูกตามคบไม้หรือปลูกเกาะหิน
3. เป็นไม้มงคล ชาวพุทธหรือฮินดูถือกันว่าต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะมีความเกี่ยวข้องทางศาสนา จึงปลูกกันมากตามวัดวาอาราม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นโพธิ์

  • สารที่พบในต้นโพธิ์ พบสาร amyrin, bergapten, bergaptol, campesterol, fucosterol,28 – iso, n – hentriacontane, hexacosan – 1 – ol, lanosterol, lupen – 3 – one, lupeol, n – nonacosane, octacosan – 1 – ol, oleanolic acid methyl ester, pelargonidin – 5, 7 – dimethyl ether 3 – O – α – L – rhamnoside, β – sitosterol, solanesol, stigmasterol
  • การทดลองของต้นโพธิ์ เมื่อปี ค.ศ. 1963 ณ ประเทศอินเดีย ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจากใบโพธิ์พบว่า สารสกัดดังกล่าวสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้
  • การทดสอบความเป็นพิษ การทดสอบความเป็นพิษ ด้วยการฉีดสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำในอัตราส่วน 1:1 เข้าที่ช่องท้องของหนูถีบจักรทดลอง พบว่า ในขนาดสูงสุดที่หนูทนได้คือ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และมีผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย

โพธิ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาและยังเป็นไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดปราจีนบุรี ภาพจำของคนไทยที่มีต่อต้นโพธิ์คือเป็นต้นทางศาสนาที่อยู่ในวัดอาราม ทว่าใบของต้นสามารถนำมาทานเป็นผักได้และผลยังใช้รับประทานได้ด้วย โพธิ์มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเปลือกต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาโรคเกาต์ ลดระดับน้ำตาลในเลือด แก้โรคหัวใจ เป็นยาระบายและอื่น ๆ อีกมากมาย น่าตกใจเหมือนกันที่ต้นโพธิ์นั้นก็มีอะไรหลายอย่างที่เราไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่เรารู้จักกับต้นไม้ชนิดนี้มานาน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “โพธิ์ (โพ)”. หน้า 575-576.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “โพธิ์”. หน้า 116-117.
ไม้พุทธประวัติ, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “โพธิ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/homklindokmai/budhabot/budbot.htm. [27 ส.ค. 2014].
ลานธรรมจักร. “โพธิญาณพฤกษา : ต้นโพธิ์ (ต้นอัสสัตถะ)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dhammajak.net. [27 ส.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ผักขมหิน วัชพืชตามข้างถนน ยาชั้นดีต่อระบบเลือด

0
ผักขมหิน วัชพืชตามข้างถนน ยาชั้นดีต่อระบบเลือด
ผักขมหิน เป็นไม้ล้มลุกทอดตามพื้นดินและชูยอดขึ้น ยอดอ่อนและช่อดอกมีขน ดอกมีทั้งสีขาว สีชมพูและสีแดง
ผักขมหิน วัชพืชตามข้างถนน ยาชั้นดีต่อระบบเลือด
ผักขมหิน เป็นไม้ล้มลุกทอดตามพื้นดินและชูยอดขึ้น ยอดอ่อนและช่อดอกมีขน ดอกมีทั้งสีขาว สีชมพูและสีแดง

ผักขมหิน

ผักขมหิน (Spreading hogweed) หรือ “ผักโขมหิน” เป็นไม้ล้มลุกที่เลื้อยไปตามที่รกร้างและข้างถนนในประเทศไทย คนยากจนในบางประเทศมักจะนิยมนำใบมาทานเป็นผักสด ส่วนในประเทศออสเตรเลียนั้นถือเป็นพืชผักชั้นดีที่ใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงวัวและแกะ นอกจากนั้นส่วนต่าง ๆ ของต้นยังสามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร จากที่เห็นภายนอกพบว่าผักขมหินนั้นอยู่บนพื้นถนนดูไม่มีค่าหรือประโยชน์อะไร ทว่าหากใครรู้สรรพคุณของวัชพืชชนิดนี้แล้วอาจจะเปลี่ยนมุมมองไปเลยก็ได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักขมหิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Boerhavia diffusa L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Pigweed” “Spreading hogweed”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักขมหิน” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักเบี้ยหิน ปังแป ผักปังแป” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ผักปั๋งดิน” จังหวัดสุโขทัยเรียกว่า “ผักขมฟ้า” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “นังกู่แซ” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ผักเบี้ยใหญ่ ผักโหมฟ้า ผักโขมหิน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บานเย็น (NYCTAGINACEAE)

ลักษณะของผักขมหิน

ผักขมหิน เป็นไม้ล้มลุกที่พบขึ้นทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคตามที่รกร้างและข้างถนน
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะทอดเลื้อยขนานไปตามพื้นดินและชูยอดขึ้น มีการแตกกิ่งก้านมาก ผิวเรียบหรือมีขนบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะต้นกลมเป็นสีเขียวปนแดง ยอดอ่อนมีขน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน แผ่นใบมีขนาดไม่เท่ากัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบเป็นรูปลิ่มหรือมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียวค่อนข้างหนา ท้องใบมักมีสีอ่อนกว่าหลังใบ มีต่อมสีแดงตามแนวขอบใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกคล้ายซี่ร่มรวมกันเป็นช่อแยกแขนง โดยจะออกบริเวณซอกใบและที่ปลายกิ่ง ก้านช่อดอกมีขน ดอกย่อยมีหลายดอก กลีบรวมเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง ดอกมีทั้งสีขาว สีชมพูและสีแดง มีกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ตรงปลายแยกออกเป็น 10 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 2 – 3 อัน ยื่นพ้นกลีบรวมเล็กน้อย
ผล : เป็นผลแห้งและมีส่วนโคนกลีบรวมหุ้มอยู่ ลักษณะของผลเป็นรูปกระบอง ขอบผลเป็นสัน 5 สัน มีต่อมทั่วไป ผิวผลมีขนเมื่อจับดูจะรู้สึกเหนียวมือ

สรรพคุณของผักขมหิน

  • สรรพคุณของผักขมหิน มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด บำรุงหัวใจ ต้านการชัก ช่วยขับปัสสาวะ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดบิลิรูบินในพลาสมา อาจมีฤทธิ์ต้านมะเร็งเต้านมที่เกี่ยวข้องกับผลของเอสโตรเจน
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยขับโลหิต เป็นยาแก้ลมอัณฑพฤกษ์ ช่วยแก้อาการปวดท้อง เป็นยาขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากต้น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยทำให้คลื่นไส้อาเจียน เป็นยาระบาย เป็นยาขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้ริดสีดวงทวารหนัก เป็นยาแก้ฝีซ้อนและตาขาว
  • สรรพคุณจากใบ
    – รักษาฝี โดยตำรายาพื้นบ้านทางภาคอีสานนำใบมาตำแล้วพอก
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ช่วยแก้ดีพิการ ช่วยแก้ฟกช้ำบวมในท้อง
  • สรรพคุณจากต้น ราก ใบและดอก ช่วยขับเสมหะ แก้เสมหะ
  • สรรพคุณจากต้น ราก ใบและทั้งต้น เป็นยาแก้ลม ขับลม ทำให้เรอ

ประโยชน์ของผักขมหิน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบทานเป็นผักสดลวกจิ้มกับน้ำพริกได้ นิยมเฉพาะคนที่มีฐานะยากจนในหลายประเทศ
2. ใช้ในการเกษตร ในประเทศออสเตรเลียถือว่าเป็นวัชพืชชั้นดีที่ใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงวัวและแกะ

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของผักขมหิน

สารที่พบในผักขมหิน พบสาร alanine, arachidic acid, aspartic acid, behenic acid, boeravinone A, B, C, D, E, borhavine, flavone, glutamic acid, histidine, leucine, methionine, oleic acid, oxalic acid, palmitic acid, proline, punarnavine, serine, theonine, tyrosine, ursolic acid, valine, xylose

การทดลองของผักขมหิน

  • จากการทดลองโดยใช้สารสกัดทั้งต้นด้วยน้ำและเอทานอลมาฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่า สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • เมื่อปี ค.ศ. 1996 ณ ประเทศอินเดีย ได้ทำการทดลองในกระต่ายที่เป็นเบาหวาน จากการกระตุ้นด้วยสาร alloxan โดยทำการเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบัน (tolbutamide, glibenclamide) พบว่าภายในเวลา 8 ชั่วโมง สามารถให้ผลลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เทียบเท่ากับยา tolbutamide
  • จากการศึกษาฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์และฤทธิ์ต้านเอสโตรเจนของผักขมหินในเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด MCF – 7 โดยทดสอบกับสารสกัดเมทานอลของผักขมหิน (BME) ความเข้มข้นตั้งแต่ 20 – 320 ไมโครกรัม/ลิตร สรุปได้ว่าผักขมหินน่าจะมีฤทธิ์ต้านมะเร็งเต้านมที่เกี่ยวข้องกับผลของเอสโตรเจน
  • การทดสอบความเป็นพิษ ทำการสกัดทั้งต้นด้วยน้ำและเอทานอล พบว่า ในขนาดสูงสุดที่สัตว์ทดลองทนได้คือ 1 กรัมต่อกิโลกรัม ถ้าใช้สารสกัดจากรากด้วยน้ำ พบว่า ขนาดที่ทำให้หนูถีบจักรตายครึ่งหนึ่ง (LD50) คือ 298 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ข้อควรระวังของผักขมหิน

สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน เพราะอาจจะทำให้แท้งบุตรได้

ผักขมหิน หรือเรียกอีกอย่างว่า “ผักโขมหิน” เป็นวัชพืชบนพื้นดินที่มีความสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ คาดว่าคนทั่วไปคงไม่คาดคิดว่าเจ้าต้นเล็กนี้ที่ขึ้นบนถนนหรือที่รกร้างจะสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ไม่เพียงแค่นั้นยังมีประโยชน์ได้อีกมากมาย ผักขมหินมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของดอกและต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาระบาย ช่วยบำรุงเลือดและบำรุงหัวใจ ถือเป็นต้นที่ดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ผักโขมหิน”. หน้า 107-108.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผักขมหิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [20 พ.ย. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “ผักขมหิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.saiyathai.com. [20 พ.ย. 2014].
โรงเรียนละหานทรายรัชดาภิเษก. “ผักขมหิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.lrp.ac.th. [20 พ.ย. 2014].
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “ฤทธิ์ต้านมะเร็งของผักโขมหิน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th. [20 พ.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/