การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง: ขั้นตอน ประเมินอาการ และแนวทางตรวจพบโรคระยะเริ่มต้น

0
4490
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง
เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและดูว่าเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ระยะใด และหาแนวทางรักษาต่อไป

โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลก การตรวจวินิจฉัยอย่างรวดเร็วและแม่นยำจึงมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาด การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การหาว่ามีโรคอยู่หรือไม่เท่านั้น แต่รวมถึงการวิเคราะห์ความรุนแรง ระยะของโรค การประเมินผลสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และการวางแผนการรักษาอย่างครอบคลุม

การตรวจวินิจฉัยคืออะไร?

“การวินิจฉัย” หมายถึงกระบวนการทางการแพทย์ที่ทำเพื่อให้ทราบว่า ผู้ป่วยกำลังป่วยด้วยโรคอะไร ซึ่งในกรณีของโรคมะเร็ง หมายถึงการยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ ถ้าเป็น จะต้องประเมินชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค ภาวะแทรกซ้อน และผลกระทบทางสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

เป้าหมายของการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง

  1. ตรวจสอบว่ามีโรคมะเร็งหรือไม่

  2. ระบุชนิดของมะเร็ง

  3. ประเมินระยะของโรค

  4. ประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

  5. ใช้เป็นแนวทางเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม

  6. ใช้ติดตามผลลัพธ์ของการรักษา

  7. ค้นหาความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ

ขั้นตอนการวินิจฉัย: ตั้งแต่ซักประวัติถึงการติดตามผล

1. ซักประวัติและอาการเบื้องต้น

  • อาการหลักที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ เช่น ปวดท้อง คลำพบก้อนเนื้อ

  • อาการรอง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

  • ประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคมะเร็ง

  • พฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

2. การตรวจร่างกาย

แพทย์จะตรวจดูอวัยวะภายนอกที่ผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโต ผิวหนังเปลี่ยนสี

3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • ตรวจเลือดทั่วไป (CBC, Chemistry)

  • ตรวจหา Tumor Marker เช่น AFP, CEA, CA 19-9, PSA

4. การตรวจภาพรังสี

  • X-ray

  • CT Scan

  • MRI

  • PET Scan

5. การส่องกล้องและเก็บตัวอย่าง

  • ส่องกล้องทางเดินอาหาร

  • ส่องกล้องมดลูก

  • การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy)

อาการสำคัญที่ควรสังเกต

อาการ โรคที่อาจเกี่ยวข้อง
ก้อนเนื้อโตเร็วผิดปกติ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับอ่อน
เสียงแหบเรื้อรัง มะเร็งกล่องเสียง
ไฝเปลี่ยนสี เปลี่ยนรูป มะเร็งผิวหนัง
อุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งลำไส้

วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งแต่ละประเภท

มะเร็งปอด

  • ตรวจภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray)

  • CT Scan ปอด

  • ตรวจเสมหะ

  • ส่องกล้องทางเดินหายใจ (Bronchoscopy)

มะเร็งตับ

  • ตรวจเลือดหา AFP

  • อัลตราซาวด์ช่องท้อง

  • MRI ตับ

  • เจาะชิ้นเนื้อจากตับ

มะเร็งเต้านม

  • คลำก้อนเต้านม

  • แมมโมแกรม (Mammogram)

  • Ultrasound เต้านม

  • เจาะชิ้นเนื้อ

มะเร็งลำไส้ใหญ่

  • ส่องกล้องลำไส้ (Colonoscopy)

  • ตรวจอุจจาระ

  • ตรวจ CEA, CA 19-9

  • CT abdomen

มะเร็งปากมดลูก

  • ตรวจ Pap smear

  • ตรวจ HPV DNA

  • ส่องกล้องปากมดลูก (Colposcopy)

  • เจาะเนื้อเยื่อปากมดลูก

การแปลผลและจัดกลุ่มระยะของโรค

การวินิจฉัยโรคมะเร็งไม่ได้จบเพียงแค่ทราบว่าเป็นหรือไม่ แต่ยังต้องประเมินว่าอยู่ใน “ระยะ” ใด ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระยะหลัก ได้แก่

ระยะ รายละเอียด
ระยะที่ 0 มะเร็งยังอยู่เฉพาะที่
ระยะที่ 1 มะเร็งเริ่มลุกลามเล็กน้อย
ระยะที่ 2-3 มะเร็งลุกลามถึงเนื้อเยื่อใกล้เคียง
ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว

การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย

  • Next-Generation Sequencing (NGS): ตรวจ DNA เพื่อดูการกลายพันธุ์ของยีน

  • PET/CT Scan: ตรวจการเผาผลาญของเนื้อเยื่อมะเร็งในร่างกาย

  • Liquid Biopsy: ตรวจ DNA มะเร็งจากเลือด

  • AI Diagnostic Imaging: ใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์ภาพทางรังสี

การติดตามผลหลังการรักษา

หลังการรักษาแล้ว ผู้ป่วยยังคงต้องติดตามผลเป็นระยะ เช่น

  • ตรวจเลือดซ้ำเพื่อดูค่า Tumor Marker

  • ตรวจภาพรังสีซ้ำทุก 3-6 เดือน

  • สังเกตอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ว่าโรคกลับมา

การติดตามผลที่ดีช่วยให้การตรวจพบการกลับมาเป็นซ้ำได้เร็ว และสามารถวางแผนการรักษาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

สรุป: ความหวังจากการวินิจฉัยที่แม่นยำ

การวินิจฉัยโรคมะเร็งที่ถูกต้องและทันท่วงทีเป็นกุญแจสำคัญในการยืดอายุผู้ป่วย และลดความรุนแรงของโรค กระบวนการวินิจฉัยไม่ใช่เพียงการยืนยันโรคเท่านั้น แต่รวมถึงการประเมินสุขภาพอย่างครอบคลุม การเลือกวิธีการรักษา และการติดตามผลในระยะยาว หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ โอกาสหายขาดจากโรคมะเร็งก็มีสูงมากขึ้นอย่างชัดเจน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งจำเป็นสำหรับใคร?

ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น น้ำหนักลด คลำเจอก้อนเนื้อ เสียงแหบเรื้อรัง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรเข้ารับการวินิจฉัยเพื่อให้ทราบสาเหตุและวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง

2. การตรวจเลือดสามารถระบุโรคมะเร็งได้แม่นยำแค่ไหน?

การตรวจเลือดหา Tumor Marker ช่วยคัดกรองและติดตามผลมะเร็งบางชนิดได้ดี แต่ยังไม่แม่นยำ 100% จึงควรใช้ร่วมกับการตรวจอื่นๆ เช่น ส่องกล้อง หรือ CT scan

3. การตรวจมะเร็งลำไส้ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

ต้องงดอาหารบางประเภทก่อนตรวจ และล้างลำไส้ด้วยน้ำยาหรือยาถ่ายตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ผลการส่องกล้องชัดเจนที่สุด

4. การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy) มีความเสี่ยงหรือไม่?

โดยทั่วไปปลอดภัย แต่อาจเกิดเลือดออกหรือการติดเชื้อได้บ้าง แพทย์จะประเมินความเหมาะสมก่อนดำเนินการ

5. ตรวจวินิจฉัยพบมะเร็งเร็ว มีโอกาสหายไหม?

มีโอกาสหายสูง โดยเฉพาะหากตรวจพบในระยะที่ 0–1 ซึ่งยังไม่แพร่กระจาย โอกาสรักษาหายได้มากกว่า 70–90% ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งและสุขภาพผู้ป่วย

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

WHO (October 2009). “Cancer”. World Health Organization.

Cancer by tumour type. Journal of Internal Medicine. 

[/vc_column][/vc_row]