เรื่องราวข่าวสารและความรู้

ความรู้เรื่องมะเร็ง

พยาธิ

เชื้อพยาธิเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้

  เชื้อพยาธิ เชื้อพยาธิ ( Parasite ) คือ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ คอยแย่งอาหาร หรือดูดเลือด และมักจะ ทำให้เกิดอันตรายต่อคนหรือสัตว์ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่มันอาศัยอยู่ พยาธิมีมากมายหลายชนิดแตกต่างกัน นอกจากนี้เราสามารถพบระยะต่าง ๆ ของพยาธิปะปนอยู่ในธรรมชาติที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของมัน เช่น ในดิน พื้นหญ้า ในน้ำ ในเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ พืชผักต่าง ๆ น้ำดื่ม และในแมลงพาหนะนำโรคหลายชนิด>> พยาธิใบไม้ตับมีอาการอย่างไร และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร มาดูกันค่ะ >> อาการของมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นอย่างไร และการป้องกันได้อย่างไร มาดูกันค่ะ พยาธิสามารถเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร พยาธิสามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้หลายทางที่สำคัญคือ ทางปาก เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า พยาธิตัวตืดชนิดต่าง ๆ พยาธิใบไม้ตับ และพยาธิใบไม้ลำไส้บางชนิด พยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ปอด และพยาธิหอยโขง ทางผิวหนัง เช่น พยาธิปากขอ พยาธิเส้นด้าย ทางสายรกในครรภ์ เช่น พยาธิตัวจี๊ด พยาธิที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก 1. Toxoplasma gondii ( T. gondii ) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อปรสิต พบในสัตว์ เช่น นก หนู แกะ และมนุษย์ เกิดจากกินอาหารปนเปื้อนอุจจาระแมว การกินเนื้อไม่สุกหรือเนื้อดิบ ดื่มน้ำหรือของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อ กินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโดยตรงหรือที่ติดมากับเครื่องครัวต่างๆ ไม่ล้างมือหลังสัมผัสเนื้อที่ปนเปื้อน กินผักผลไม้ที่เปื้อนดินหรือน้ำที่ปนเปื้อน อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ จากการศึกษาผู้ป่วยรายหนึ่งไม่ได้เลี้ยงแมว และไม่มีประวัติครอบครัวของมะเร็งใดๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการกินอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด มีงานวิจัยพบว่าพยาธิ T. Gondii สามารถกำจัดได้ด้วยสารสกัดจากใบพลู ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่ 2 ได้ลองใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพรต่าง ๆ คาดว่ามีใบพลูสกัดอยู่ด้วย ปรากฏว่าค่า PSA ลดลงเหลือเพียง 0.06 ng/ml ( จากเดิมมีค่าสูงเกือบ 20 ng/ml ) 2. Trichomonas vaginalis ( T. vaginalis ) หรือ พยาธิในช่องคลอด เป็นภาวะติดเชื้อปรสิตจากทางเพศสัมพันธ์ ขนาดเล็กยาวประมาณ 7 – 32 ไมโครเมตร และกว้างประมาณ 5 – 12 ไมโครเมตร อาศัยอยู่ในช่องคลอดและท่อปัสสาวะของผู้หญิง ส่วนในผู้ชายพบในต่อมลูกหมาก ในท่อเก็บอสุจิและท่อปัสสาวะ จากการศึกษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากรายหนึ่ง ซึ่งมีประวัติครอบครัวของโรคมะเร็ง (มารดาเป็นมะเร็งปอด และยายเป็นมะเร็งลำไส้) คาดว่าสาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อ ร่วมกับพันธุกรรม ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่ 1 รายนี้รักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรกำจัดพยาธิ อาหารเสริม โปรไบโอติก และรวมทั้งเคมีบำบัดและการผ่าตัด 3. Echinococcus granulosus ( E. granulosus ) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อปรสิตที่เกิดจากพยาธิตัวตืด อาศัยในลำไส้ของหมู ตัวเต็มวัยมีลำตัวแบนคล้ายริบบิ้น มีสีขาว ยาว 2 ถึง 3 เมตรหรือมากกว่า พยาธิดำเนินชีวิตครบวงจรในคนซึ่งเป็นโฮสต์จำเพาะ ( definitive host ) และหมูเป็นโฮสต์ตัวกลาง ( intermediate host...
อาหารเสริมทางการแพทย์

อาหารเสริมทางการแพทย์ ที่เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง

อาหารเสริมทางการแพทย์ คือ อาหารเสริมทางการแพทย์ ( Medical Supplements ) คืออะไร? เมื่อร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วย ร่างกายต้องการสารอาหารมากกว่าคนปกติ เพื่อที่จะได้นำสารอาหารเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบภายในร่างกายให้กลับมามีสภาพที่แข็งแรงดังเดิม โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องการสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โรคมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นผู้ป่วยที่มีความกังวลใจในหลายด้าน ทั้งด้านการรักษาการดูแลตนเองและการเลือกรับประทานอาหาร  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ทำให้เราได้รับข่าวสารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่ส่งผลให้เกิดมะเร็งหรือส่งผลให้มะเร็งเกิดการลุกลามมากขึ้น ดังนั้นเมื่อตนเองเป็นโรคมะเร็งเกิดขึ้นจึงมีความกังวลใจเกี่ยวกับการรับประทานอาหารว่าอาหารบางชนิดอาจจะส่งผลให้มะเร็งที่เป็นอยู่เกิดการแพร่กระจายลุกลามมากขึ้นกว่าเดิม จึงเลือกที่จะไม่รับประทานอาหารหรือรับประทานอาหารบางชนิดเพียงอย่างเดียวตลอดเวลา เช่น ผัก ผลไม้ และไม่ยอมรับประทานอาหารประเภทอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ เลยแม้แต่น้อย ด้วยความเชื่อที่ว่าการรับประทานผักและผลไม้จะสามารถช่วยให้หายจากโรคมะเร็งได้ ซึ่งการรับประทานแต่เฉพาะผักและผลไม้เพียงอย่างเดียวจะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหารที่จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยอ่อนแอไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อมะเร็ง บางครั้งอาจจะส่งผลให้ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งอ่อนแอมากขึ้น หรือเกิดภาวะที่ขาดสารอาหารจนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ ดังนั้นการเลือกอาหารและการรับประทานอาหารให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนการรักษาโรคมะเร็งเลยทีเดียว และหากจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็งก็จะสามารถทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ อาหารเสริมทางการแพทย์ ควรทานคู่กับอาหารปกติเพราะการได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้น นอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูและหายจากอาหารป่วยได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในขณะที่เข้ารับการรักษาในแต่ละขั้นตอนได้อีกด้วย โรคมะเร็งเกิดขึ้นจากการที่เซลล์ภายในร่างกายมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ สาเหตุของเซลล์มะเร็งเกิดจากการกลายพันธ์ของดีเอ็นเอ ( DNA ) ที่อยู่ภายในเซลล์ ซึ่งเซลล์มะเร็งจะสามารถทำลายเซลล์เนื้อเยื่อที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และยังสามารถแพร่กระจายไปทำลายเซลล์ที่อวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลได้อีกด้วย >> กินอาหารอย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง >> การกินอาหารที่ถูกต้องสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษา การรักษามะเร็งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี คือ 1. การรักษาด้วยการผ่าตัด คือ การผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อหรือก้อเซลล์มะเร็งออกมาจากร่างกาย เพื่อลดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงที่เซลล์มะเร็งจะเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในร่างกายได้ ซึ่งการรักษาด้วยการผ่าตัดจะทำในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจะในระยะที่ 1 หรือระยะ 2 ที่ยังมีการลุกลามไม่มากเท่านั้น การผ่าตัดไม่สามารถรักษามะเร็งให้หายขาดได้ ต้องทำการรักษาด้วยการฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วยเท่านั้น 2. การรักษาด้วยการฉายรังสี ( Radiotherapy ) คือ การฉายรังสีที่มีพลังงานสูง เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมม่า อนุภาคอิเลคตรอน อนุภาคโปรตอน อนุภาคนิวตรอน เป็นต้น โดยจะทำการฉายรังสีเข้าไปยังตำแหน่งที่มีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น รังสีที่ฉายเข้าสู่เซลล์มะเร็งจะเข้าไปทำลายสารพันธุกรรมที่อยู่ภายในของเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้สารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งเกิดความเสียหายจนเซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตและตายลงในที่สุด 3. การรักษาด้วยเคมีบำบัด ( Chemotherapy ) หรือการทำคีโม คือ การให้ยาเคมีเพื่อทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถทำการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้และตาย การให้ยาเคมีบำบัดจึงสามารถควบคุมและลดขนาดของก้อนมะเร็งให้มีขนาดคงที่หรือเล็กลงได้ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นของร่างกาย และยังสามารถช่วยบรรเทาปวดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ด้วย แต่สำหรับการรักษามะเร็งเต้านมยังมีการรักษาด้วย การบำบัดด้วยฮอร์โมน ( Endocrine Therapy ) เป็นการรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย เพราะว่ามะเร็งเต้านมจะสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ดังนั้นการลดปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งไม่ให้มีการลุกลามมากขึ้น ซึ่งบางครั้งการรักษาโรคมะเร็งไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีการเดียวแล้วจะรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องใช้การรักษาร่วมกันมากกว่า 1 วิธี จึงจะสามารถทำการมะเร็งให้หายขาดและไม่กลับมาเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งในขณะที่ทำการรักษาแต่ละขั้นตอนผู้ป่วยก็จะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นมากน้อยต่างกันไป ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการสารอาหารมากกว่าปกติเป็นอย่างมาก อาหารเสริมทางการแพทย์ เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ร่างกายทำการผลิตสารโพรอินเฟรมมาทอรี่ไซโตไคน์ ( Proinflamatory Cytokines ) ที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งการอักเสบนี้จะเข้าไปเพิ่มให้มีเผาผลาญพลังงานเกิดมากขึ้นจนกลายเป็นภาวะไฮเพอร์เมแทบอลิก ( Hypermetabolic ) ที่มีอัตราเร็วของกระบวนการเมแทบอลิซึม ( Metabolism ) ที่สูงกว่าปกติจึงทำให้มีการสลายโปรตีน ไขมันที่มีในร่างกายมากขึ้น จนร่างกายต้องเกิดการสูญเสียไขมันและโปรตีนมากผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเกิดความเครียดของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีความกังวลและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการรักษาโรคมะเร็ง ความเครียดที่เกิดขึ้นจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างการผลิตฮอร์โมนแห่งความเครียด ( Stress hormones ) เช่น แอดรีนาลิน ( Adrenalin ) และ คอร์ติซอล ( Cortisol ) ส่งผลให้ร่างกายมีอัตราการเมตาบิลิซึมสูงเช่นเดียวกับการเพิ่มของสารโพรอินเฟรมมาทอรี่ไซโตไคน์ ( Proinflamatory Cytokines ) เมื่อร่างกายมีอัตราการเมตาบอลิซึมที่มากกว่าปกติ ร่างกายจำเป็นต้องใช้สารอาหารที่มากขึ้นเพื่อนำเข้ามาใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึมที่เกิดขึ้น แต่ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสารอาหารเท่าเดิมหรือน้อยกว่าปกติ หรือรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมกับต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ร่างกายก็จะเกิดภาวะขาดสมดุลของโภชนการหรือเกิดภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก เพราะผู้ป่วยจะมีอาการทรุดลงเนื่องจากการขาดสารอาหารนี้ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง คือ อาหารเสริมทางการแพทย์ ( Medical...

ความรู้เรื่องเบาหวาน

โรคแทรกซ้อนทางตาจากเบาหวานที่ควรรู้

โรคแทรกซ้อนทางตาจากเบาหวานที่ควรรู้

โรคแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มักทราบระยะเวลาการเริ่มเป็นเบาหวานได้อย่างชัดเจน โดยในช่วง 5 ปีแรกมักไม่พบภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา อย่างไรก็ตาม หลังจากเป็นเบาหวานมาแล้ว 15 ปี มีโอกาสพบเบาหวานขึ้นจอประสาทตาระยะรุนแรงหรือการเกิดหลอดเลือดฝอยใหม่เพิ่มมากขึ้น ระยะของโรคแทรกซ้อนทางตา 1. เบาหวานขึ้นตาระยะต้น หรือระยะที่ยังไม่มีหลอดเลือดฝอยงอกใหม่ ( Non-proliferative diabetic retinopathy : NPDR ) 2. เบาหวานขึ้นจอตาระยะรุนแรง หรือระยะที่มีหลอดเลือดฝอยงอกใหม่ ( Proliferative diavetic retinopathy : PDR )>> ภาวะวุ้นตาเสื่อม เป็นอย่างไร ? อยากรู้มาดูกันค่ะ >> อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน เป็นอย่างไรมาดูกันค่ะ สาเหตุโรคแทรกซ้อนทางตา เกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้หลอดเลือดแดงของจอตาเกิดความผิดปกติ พบความอ่อนแอของผนังหลอดเลือดของจอตาจนเกิดหลอดเลือดฝอยโป่งพอง เรียกว่า ไมโครอะนูริซึม มีจุดเลือดออกเล็กๆกระจายทั่วไป มักมีรูรั่วทำให้มีน้ำและไขมันรั่วออกมา ทำให้จอตาบวมน้ำและมีจุดไขมันสีเหลืองบริเวณจุดภาพชัดทำให้มีอาการตามัว อาการโรคแทรกซ้อนทางตา ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เป็นในระยะแรกๆ จะไม่มีอาการ แต่ถ้าเป็นมากขึ้นมักพบอาการตามัวเป็นเงาดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา บางรายเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีม่านมาบัง ผู้ป่วยบางรายก็อาจไม่มีอาการเลย แม้จะมีเบาหวานขึ้นจอตาอย่างรุนแรง การวินิจฉัย แพทย์จะเริ่มเก็บข้อมูลจากการซักประวัติของผู้ป่วย ประวัติเบาหวานของคนในครอบครัว ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน อาการที่พบ ประวัติการควบคุมเบาหวาน โรคประจำตัวอื่นๆ ทดสอบการมองเห็น การรักษาโรคแทรกซ้อนทางตา แพทย์จะประเมินการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของเบาหวานขึ้นจอตา การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การควบคุมระดับความดันเลือด การควบคุมระดับไขมัน ในเลือด การยิงแสงเลเซอร์ การฉีดยาเข้าวุ้นตา การผ่าตัดจอตาและวุ้นตา โรคแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวานสามารถรักษาได้ ถ้าตรวจพบและเข้ารักการรักษาแต่เนิ่นๆ ร่วมตอบคำถามกับเรา บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่ง ประเทศไทย, กรมการแพทย์, สำนักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับเบาหวาน 2554. 1st ed. กรุงเทพ: บริษัท ศรีเมืองการพิมพ์จำกัด;2554.
a box of toothbrushesโภชนาการเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์คุณภาพทางการแพทย์

โภชนาการเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์คุณภาพทางการแพทย์

อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ส่งผลต่อโภชนาการและการทำงานของตับ ระบบดูดซึมน้ำตาลในเลือดจึงผิดปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำพลังงานไปใช้ได้อย่างเหมาะสม เมื่อปล่อยให้เป็นเรื้อรัง อาจเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไต โรคระบบประสาท และปัญหาการมองเห็นถึงขั้นตาบอดได้ การเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสมจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน จำเป็นกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus: DM, Diabetes ) คือ โรคที่เกิดจากภาวะของตับอ่อนมีการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน  ( Insulin ) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอหรือการที่ร่างกายมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้อินซูลินไม่สามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย ดังนั้นเมื่อปริมาณฮอร์โมนอินซูลินน้อยหรือฮอร์โมนอินซูลินสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายได้ ส่งผลให้น้ำตาลที่คงเหลืออยู่ในกระแสเลือดมีปริมาณสูงขึ้น>> เบาหวานมีกี่ชนิดและมีวิธีป้องกันการเป็นเบาหวานได้อย่างไร อยากรู้มาดูบทความนี้กันค่ะ >> ลักษณะอาการของผู้ป่วยเบาหวานเป็นอย่างไร มาเช็คตัวเองกันค่ะ โรคเบาหวานที่พบได้แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. เบาหวานชนิดที่ 1 ( Type 1 Diabetes ) คือ โรคเบาหวานที่เกิดจากการขาดอินซูลิน เพราะเบต้าเซลล์ (Beta cells) ที่อยู่ในตับอ่อนไม่สามารถทำการผลิตออร์โมนอินซูลินออกมาได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดความผิดปกติจึงเข้าไปยับยั้งหรือไปทำลายเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถทำการสร้างฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้จะมีอายุประมาณ 5-24 ปี 2. เบาหวานชนิดที่ 2 ( Type 2 Diabetes ) คือ เบาหวานที่เกิดขึ้นเนื่องจากความเสื่อมของเซลล์ในตับอ่อนที่มีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนอินซูลินหรือเกิดเนื่องจากการที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยหรือที่เรียกว่า “ภาวะดื้ออินซูลิน ( Insulin Resistance )” ภาวะดื้ออินซูลินนี้อาจเป็นสาเหตุของความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับตับซึ่งเป็นที่มาของโรคเบาหวาน นอกจากความเสื่อมที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น ซึ่งเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมหรือพฤติกรรมการดำรงชีวิต เช่น การไม่ออกกำลังกาย ความอ้วนหรือโรคอ้วน การรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงตลอดเวลา ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคเบาที่พบส่วนใหญ่ประมาณ 90 % ของผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้ 3. เบาหวานชนิดที่ 3 ( Type 3 Diabetes ) หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ( Gestational Diabetes Mellitus ) คือ เบาหวานชนิดนี้จะเกิดขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงมีการตั้งครรภ์ แม้ว่าจะไม่เคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากช่วงที่ตั้งครรภ์บางคนร่างกายจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินน้อยลง ดังนั้นถ้าร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถทำการผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดภาวะโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ขึ้น แต่เมื่อคลอดลูกแล้วอาการของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นก็จะหายไปเอง แต่ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานในขณะที่ตั้งครรภ์นั้นจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้ นอกจากเบาหวานทั้ง 3 ชนิดแล้ว ยังมีเบาหวานชนิดพิเศษอื่น ๆ ที่มีสาเหตุแบบเฉพาะเจาะจง เช่น การเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ผลจากการผ่าตัด การเสพยาเสพติด การเกิดภาวะขาดสารอาหาร โรคตับอ่อน การได้รับยากลุ่มสเตีบรอยด์ เป็นต้น ซึ่งเบาหวานชนิดพิเศษพบได้น้อยมากประมาณ 1 % ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด โรคเบาหวานสามารถตรวจเช็คได้ด้วยการตรวจวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด โรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus: DM, Diabetes ) คือ โรคที่เกิดจากภาวะของตับอ่อนมีการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin ) อาการผู้ป่วยโรคเบาหวาน 1. บาดแผลหายช้า แผลเบาหวาน ( Diabetic Ulcer ) เป็นอาการที่พบได้มากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมากผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่อเป็นแผลจะหายช้ากว่าคนทั่วไป เนื่องจากหลอดเลือดที่นำพาเลือดไปเลี้ยงส่วนที่เป็นแผลมีการตีบ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลหมุนเวียนไปหล่อเลี้ยงที่บริเวณบาดแผลได้ ส่งผลให้แผลหายช้าและมักเนื้อที่บริเวณบาดแผลจะมีโอกาสตายมากขึ้นจนกลายเป็นแผลลุกลาม 2. กินบ่อยแต่น้ำหนักลด ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการหิวบ่อยเนื่องจากไม่สามารถดึงน้ำตาลที่มีอยู่ในกระแสเลือดเข้าไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ทำให้ร่างกายรู้สึกหิวตลอดเวลา แต่ถึงแม้จะกินบ่อยขึ้นแต่พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานกลับมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างชัดเจน เนื่องร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลในเลือดมาใช้ได้ จึงทำการดึงไขมันและโปรตีนที่อยู่ในร่างกายมาใช้แทน...

ความรู้เรื่องไขมันในหลอดเลือดและความดันโลหิต

ความดันต่ำเกิดจากอะไร ป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไร

ความดันต่ำเกิดจากอะไร ป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไร

ความดันโลหิตต่ำ ความดันโลหิตต่ำคือ ( Low Blood Pressure / Hypotension ) เป็น ภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ โดยแพทย์จะกำหนดความดันโลหิตต่ำเป็น 90 มากกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท>> ความดันโลหิตเกิดจากสาเหตุใด และมีอาการสังเกตุอย่างไร บทความนี้มีคำตอบค่ะ >> ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์อันตรายมากหรือไม่ มาดูคำตอบกันค่ะ ความดันต่ำมีอาการอย่างไร ผู้ที่มีความดันต่ำอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อวัดค่าความดันโลหิตได้ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท อาการของความดันต่ำที่พบบ่อย และมีอาการต่างๆดังนี้ เวียนหัว มึนงง หน้ามืด ตาพร่ามัว หายใจเร็ว หน้าซีด มือ เท้าเย็น กระหายน้ำ ร่างกายอ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก เป็นลมหมดสติ สาเหตุความดันต่ำเกิดจากอะไร ความดันโลหิตต่ำด้มีสาเหตุหลายประการสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ 1) ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า นั่ง นอน หรือลุกขึ้นยืนทันที 2) ภาวะความดันโลหิตต่ำภายหลังรับประทานอาหาร 3) ภาวะความดันโลหิตต่ำจากระบบประสาทอัตโนมัติ 4) ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการบาดเจ็บอย่างรุนแรงหรือภาวะช็อก 5) ความดันต่ำจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคพาร์กินสัน ปัจจัยเสี่ยงของความดันต่ำ 1. อายุ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมักเกิดขึ้น เช่น เจอเหตุการณ์น่ากลัว ยืนเป็นเวลานาน การอยู่ในที่แออัด อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกะทันหัน 2. ยาที่รับประทาน เช่น ยาในกลุ่ม Alpha blockers ยาในกลุ่ม Beta-blockers ยาไนโตรกลีเซอริน (Nitroglycerin) ยาขับปัสสาวะ ยาโรคซึมเศร้า 3. สารอาหาร เช่น ขาดวิตามินทั้ง B-12 โฟเลต ธาตุเหล็ก 4. โรค เช่น โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน โรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคที่เกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การดูแลตัวเองสำหรับคนเป็นความดันต่ำ ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 2 ถึง 3 ลิตรทุกวัน ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากที่นั่ง หรือนอนราบ ไม่เปลี่ยนท่านั่ง นอนลงไป หรือยืนทันที นอนยกหัวขึ้นประมาณ 15 เซ็นติเมตร รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง ควรนอนราบหรือนั่งนิ่ง ๆ สักพักหลังจากรับประทานอาหาร ทำจิตใจให้สบายลดความเครียด การรับประทานเกลือ ผัก ผลไม้ที่มีโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสมหรือ 1 ช้อนชา สามารถช่วยเพิ่มระดับความดันโลหิต การออกกำลังกายเบา ๆ อย่างน้อย 30 นาที ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตได้ ควรสวมถุงน่องช่วยการบีบรัด ซึ่งช่วยให้เลือดไหลกลับขึ้นจากขาและเท้าได้อย่างดี การป้องกันความดันต่ำทำได้อย่างไร การรับประทานอาหารมื้อเล็กวันละหลาย ๆ ครั้ง ช่วยป้องกันความดันต่ำได้ หลีกเลี่ยงการนั่ง หรือยืนเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนตอนกลางคืน การรักษาความดันต่ำเบื้องต้น 1. อาการไม่รุนแรง หรือระดับปานกลาง ให้คอยติดตามอาการ จดบันทึกอาการที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งเพื่อประโยชน์ต่อการวินิจฉัยและรักษา 2. หากความดันต่ำที่เกิดจากการรับประทานยา แพทย์อาจเปลี่ยนตัวยาหรือปรับลดขนาดยาลง แต่สำหรับภาวะความดันต่ำที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้การรักษาจึงไม่เฉพาะเจาะจง แพทย์จะพิจารณาการใช้ 3. สวมถุงน่อง หรือถุงน่องที่ใช้ในทางการแพทย์ ช่วยเพิ่มความดันโลหิตและการไหลเวียนของเลือด 4. เพิ่มปริมาณเกลือในอาหาร แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม 5. ดื่มน้ำมากขึ้น จะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดในร่างกาย ทำให้เลือดไม่ข้นหนืดและไหลเวียนดีขึ้น อาหารแก้ความดันต่ำมีอะไรบ้าง 1. ธัญพืชต่างๆ เช่น เมล็ดงา ข้าวโอ๊ต ถั่วขาว ถั่วแระ นมถั่วเหลือง อัลมอนด์ 2. ผลไม้ที่มีวิตามินซี วิตามินอี...
โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) เกิดได้อย่างไรกัน

โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) เกิดได้อย่างไรกัน

โรคตับแข็ง คือ โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) คือ โรคตับเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวรใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ย 15 ถึง 20 ปี ทำให้เนื้อเยื้อมีลักษณะเป็นปุ่มและกลายเป็นพังผืดที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ ผู้ป่วยโรคตับแข็งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากกว่าคนสุขภาพแข็งแรง เนื่องจากความสามารถในการกำจัดเชื้อลดลง>> โรคไขมันพอกตับ เกิดขึ้นได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> โรคพิษสุราเรื้อรัง สามารถรักษาได้อย่างไร มาดูกันค่ะ สาเหตุของตับแข็ง 1. ไขมันพอกตับจากการดื่มสุรา 2. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง 3. โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน 4. ความผิดปกติของเมตาบอริซึม เช่น ภาวะเหล็กเกิน โรควิลสัน 5. ยาและสารพิษ 6. โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจด้านขวาล้มเหลวเรื้อรัง 7. โรคตับอักเสบเหตุไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา 8. โรคพิษสุราเรื้อรัง เกิดจากการดื่มแอลกฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาการของตับแข็ง โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคตับแข็งอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อยมาก อาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนและระยะของโรค ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยได้แก่ มีไข้ต่ำๆ อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผอมลงน้ำหนักลด ภาวะบวมทั่วร่างกาย ผู้หญิงประจำเดือนมาไม่ปกติ ดีซ่าน ( Jaundice ) เช่น อาการตาเหลือง ตัวเหลือง ท้องมาน ( ascites ) ท้องโตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ร่างกายส่วนอื่นผอมลง มีอาการแน่นใต้ชายโครงขวา หรือคลำก้อนได้ใต้ชายโครงขวา หรือม้ามโต ภาวะเลือดออกผิดปกติ อาการทางสมอง ผู้ป่วยมีอาการสับสน ไม่ค่อยรู้ตัว การวินิจฉัยตับแข็งโดยแพทย์ 1.การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย เช่น มีประวัติการดื่มสุราเป็นเวลานาน 2.การตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ 3.ตรวจภาพตับด้วยอัลตราซาวด์ 4. เจาะชิ้นเนื้อจากตับ ตรวจทางพยาธิวิทยา ระยะของตับแข็ง ระยะที่ 1 ผู้ป่วยระยะ compensated ที่ตรวจไม่พบภาวะท้องมาน และไม่พบหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพอง ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 1 ต่อปี ระยะที่ 2 ผู้ป่วยระยะ compensated ที่ตรวจพบหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพอง โดยที่ไม่มีภาวะท้องมานและไมมีเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 3 - 4 ต่อปี หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้นอัตราการเสียชีวิตต่อปีก็จะมากขึ้น ระยะที่ 3 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่ตรวจพบภาวะท้องมาน โดยมีหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพองร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้แต่ต้องไม่เคยมีเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง ผู้ป่วย ในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 20 ต่อปี ระยะที่ 4 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่มีภาวะเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง โดยที่อาจพบภาวะท้องมานร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดคือร้อยละ 57 ต่อปีโดยผู้ป่วยครึ่งหนึ่งอาจเสียชีวิตภายใน 6 สัปดาห์ หลังการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร ระยะที่ 5 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือด ระยะนี้เป็นระยะที่เพิ่งถูกกำหนดขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าผู้ป่วยในระยะ decompensated อาจมีการติดเชื้อได้ง่ายจาก ภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ลดลง โดยจะเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตสูงสุดถึงมากกว่าร้อยละ 60 การรักษาและการป้องกัน การรักษาภาวะตับแข็งมีวัตถุประสงค์ เพื่อหยุดการพัฒนาของเนื้อเยื่อแผลเป็นในตับและเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ดังต่อไปนี้ งดการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสารที่เป็นอันตรายต่อตับ หากมีอาการบวมที่ข้อเท้าและท้อง ควรจำกัดเกลือและอาหารรสเค็ม เข้ารับการฉีดวัคซีนสำหรับโรคไวรัสตับอักเสบ AและB ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม เนื่องจากผู้ป่วยโรคตับแข็งมีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่าคนปกติ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาวะไขมันพอกตับขึ้นจนนำไปสู่โรคได้ หลีกเลี่ยงหรืองดการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคตับ พบแพทย์เพื่อติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามการเกิดพังผืดในตับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดโรคตับแข็ง ซึ่งเมื่อโรคมีการดำเนินเข้าสู่ระยะแรกผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ส่งผลให้มีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้นได้ บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง Cirrhosis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org .

ความรู้เรื่องภาวะโรคอ้วน

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) คืออะไร

โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) โยโย่เอฟเฟค คือ อาการที่อดอาหารแล้วกลับมากินอาหารมากกว่าเดิม การลดน้ำหนักไม่ว่าจะรูปแบบใด หากไม่ศึกษาให้ดีพอ จะเกิดโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) ได้ รูปร่างที่สมส่วนนำมาซึ่งสุขภาพที่ดี แต่ถ้าคนเรามีน้ำหนักมากเกินไปย่อมนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ น้ำหนักที่เพิ่มสูงขึ้นจากการรับประทานอาหารที่มากเกินไปหรือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ ทำให้ร่างกายมีการสะสมของไขมันส่วนเกินส่งผลให้เกิดเป็นโรคอ้วน ซึ่งเราสามารถตรวจดูได้ว่าเราเป็นโรคอ้วนหรืออยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนหรือไม่ด้วยการหาค่าดัชนีมวลกาย ( Body Mass Index : BMI ) ของตัวเอง ว่ามีค่าอยู่ในระดับที่เป็นโรคอ้วนเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ซึ่งค่าที่ BMI นี้สามารถคำนวณได้จาก>> การหาค่าดัชนีมวลกาย ( BMI ) ทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> ปัญหาที่มักพบคู่กับการลดน้ำหนักคืออะไร มาดูกันค่ะ BMI = น้ำหนัก ( กิโลกรัม ) / ส่วนสูง ( เมตร )2   ซึ่งค่า BMI นี้สามารถบ่งบอกสภาวะของร่างกายได้ดังนี้ Body Mass Index : BMI สภาวะของน้ำหนัก Body Mass Index : BMI สภาวะของน้ำหนัก น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ 18.5-22.9 สมส่วน 23.0-24.9 น้ำหนักเกิน ร่างกายมีภาวะท้วม เริ่มเป็นโรคอ้วนระดับที่ 1 25.0-29.9 น้ำหนักเกิน ร่างกายมีภาวะอ้วนอย่างชัดเจน เริ่มมีภาวะเสี่ยงในการเกิดจากความอ้วน มากกว่า 30.0 น้ำหนักเกิน ร่างกายอ้วนมาก โรคอ้วนระดับสูง ภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคสูงมาก   ดังนั้นเมื่ออยู่ในภาวะอ้วนเราจึงจำเป็นต้องลดน้ำหนักลงเพื่อสร้างสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) ซึ่งวิธีการลดน้ำหนักก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป บางวิธีก็เห็นผลช้าแต่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว บางวิธีเห็นผลเร็วสามารถลดน้ำหนักได้ทันใจ แต่ทว่าหลังจากที่ลดน้ำหนักไปแล้วสิ่งหนึ่งที่หลายคนต้องเผชิญ ก็คือ การเกิดโยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) ที่ส่งผลให้เรากลับมาอ้วนมากกว่าก่อนที่จะทำการลดน้ำหนักเสียอีก โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) คืออะไร? โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน หรือออกกำลังอย่างหนักหน่วงจนทำให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่าร่างกายกำลังจะตาย เมื่อร่างกายรู้สึกว่าจะต้องตาย ร่างกายก็จะทำการส่งสัญญาณไปยังทุกระบบของร่างกายให้ลดการใช้พลังงานอย่างเร่งด่วน เพื่อที่ร่างกายจะได้มีพลังงานเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้นจะได้มีชีวิตรอดยาวนานขึ้นนั่นเอง เมื่อร่างกายมีสัญญาณดังกล่าวออกมาจะทำให้ระบบการเผาผลาญและระบบการสลายไขมันเกิดน้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้น้ำหนักตัวที่เคยลดลงอย่างรวดเร็วหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อน้ำหนักไม่ลดตามที่ต้องการก็จะก่อให้ความเครียด ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเกรลิน ( Grelin Hormone ) ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความหิวออกมามากขึ้น และถ้าร่างกายมีฮอร์โมนเกรลินมาก ๆ จะทำให้เราหิวจนตาลาย ส่งผลให้เรากินมากกว่าปกติโดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้เราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไป แบบนี้เราจึงอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง นี่คือกระบวนการที่ทำให้เกิด “ โยโย่เอฟเฟค ” ที่หลายคนรู้จักกัน เรารู้จักกับการเกิดโยโย่เอฟเฟคกันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละประมาณ 2,000 Kcal ส่วนผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าผู้ชายโดยผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละ 1,800 Kcal ถ้าเราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไปต่อวัน พลังงานส่วนที่เหลือก็จะเข้าไปสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันถ้าเราได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ไปในแต่ละวัน ร่างกายก็จะทำการดึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายมาใช้ โดยการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานกับร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลง เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเราสามารถลดพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกายได้ 7,000 Kcal เราจะสามารถลดไขมันไปได้ถึง 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่าน้ำหนักของเราก็จะลดลง 1 กิโลกรัม แสดงว่าถ้าในผู้หญิงได้รับพลังงานเข้าไปวันละ 800 Kcal เราก็จะต้องดึงพลังงานจากไขมันภายในร่างกายมาใช้ 1,000...
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

เทคนิคควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ด้วยวิธีง่าย ๆ

การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยากหรือซับซ้อน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายสามารถทำได้โดยการตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง และทำตามขั้นตอนที่ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการเลือกอาหารที่มีประโยชน์และลดการบริโภคอาหารที่มีแคลอรีสูง เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ดและขนมหวาน นอกจากนี้ การเพิ่มการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินหรือทำกิจกรรมที่ชอบ จะช่วยให้การควบคุมน้ำหนักเป็นเรื่องที่สนุกและง่ายดายขึ้น >> การหาค่าดัชนีมวลกาย ( BMI ) ทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> อาหารลดน้ำหนักแบบไหนที่เหมาะกับสุขภาพของ สำหรับการดูว่ารูปร่างของตัวเองอยู่ในระดับที่พอดีแล้วหรือยัง ก็สามารถดูได้จากดัชนีมวลกาย ( BMI ) โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ BMI = น้ำหนัก ( กิโลกรัม ) หารด้วยส่วนสูง ( เมตร )2 เมื่อได้ผลลัพธ์จากการคำนวณตามสูตรแล้ว ก็ให้เอามาแปลผล ดังนี้ ถ้า BMI ต่ำกว่า 19 หมายความว่า รูปร่างผอม ถ้า BMI 20-24.9 หมายความว่า รูปร่างพอดี สมส่วน ถ้า BMI 25-29.9 หมายความว่า อ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน ถ้า BMI 30 ขึ้นไป แสดงว่าอ้วนถึงขนาดที่เรียกว่า โรคอ้วน เมื่อพบว่ามีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรือเข้าข่ายที่เรียกว่าอ้วน ควรรีบทำการลดน้ำหนักในทันที โดยให้ลดแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมานั่นเอง วิธีการลดน้ำหนักที่เหมาะสม 1.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานโดยลดพลังงานจากอาหาร ความอ้วน เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องลดความอ้วนด้วยการลดพลังงานจากอาหารในแต่ละวันให้น้อยลง โดยสามารถทำได้ด้วยการจำกัดอาหารพลังงานสูง จำกัดอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต ลดปริมาณน้ำตาลให้น้อยลงหรืออาจใช้น้ำตาลเทียมแทนก็ได้ นอกจากนี้ควรเน้นเพิ่มผักผลไม้และอาหารที่มีประโยชน์ให้มากขึ้นด้วย 2.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายก็จะช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะเป็นการเพิ่มการใช้พลังงานให้มากขึ้นนั่นเอง โดยแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเดินหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 20-30 นาที เป็นประจำทุกวัน 3.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้มีการซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ และยังช่วยลดความรู้สึกหิวได้ดีอีกด้วย โดยทั้งนี้ควรนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เท่านี้การลดน้ำหนักก็จะไม่ยากจนเกินไปแล้ว 4.ทานยาอาหารเสริมลดน้ำหนัก สามารถใช้ยาอาหารเสริมลดน้ำหนักเป็นตัวช่วยได้แต่จะต้องเลือกอาหารเสริมที่เป็นสมุนไพรเท่านั้น และทานในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งอาหารเสริมที่จะช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี ก็คือ บุก สารสกัดจากผลส้มแขก โครเมียม สารสกัดจากพริก สารสกัดจากชาเขียวและสารสกัดจากเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น และที่สำคัญก่อนซื้อก็ควรดูด้วยว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดังกล่าวมีเครื่องหมาย อย. หรือไม่ นั่นก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณนั่นเอง 5.รู้จักยับยั้งชั่งใจ และที่สำคัญเลย ก็คือการรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ให้ตัวเองเผลอทานอาหารมากเกินความจำเป็น ซึ่งหากทำได้ก็จะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็อาจต้องใช้ความพยายามพอสมควร โดยเฉพาะคนที่ตามใจปากจนติดเป็นนิสัย โรคร้ายที่อาจจะมาพร้อมกับความอ้วน ก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคข้อเข่าเสื่อม โรคความดันโลหิตสูง มะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคนิ่วในถุงน้ำดีนั่นเอง วิธีการดูแลและควบคุมน้ำหนักตัว 1. ควบคุมสัดส่วนและปริมาณอาหารแต่ละกลุ่มให้พอเหมาะแต่ละวัน 2. กินอาหารเช้าทุกวัน 3. กินอาหารพออิ่มในแต่ละมื้อ 4. กินอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป 5. กินผักและผลไม้ที่มีรสไม่หวานมาก 6. กินอาหารมื้อเย็นห่างจากเวลานอนไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง 7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารมันจัด 8. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 9. ประเมินและวิเคราะห์น้ำหนักตัวเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ ผลเสียของการมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ โดยเหตุผลที่เราควรลดน้ำหนักทันทีเมื่อพบว่าน้ำหนักเกิน หรือต้องรักษาน้ำหนักตัวให้พอดีอยู่เสมอนั้น ก็เป็นเพราะการมีน้ำหนักตัวเกินจะนำมาซึ่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมากมายนั่นเอง โดยโรคร้ายที่มักจะพบบ่อยจากการเป็นโรคอ้วนก็ได้แก่ 1. โรคไขมันในเลือดสูง เกิดจากการที่ร่างกายมีไขมันมากเกินไป ซึ่งก็อาจทำให้ไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการเป็นไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ในที่สุด 2. โรคหัวใจ อีกหนึ่งโรคที่มีความอันตรายเป็นอย่างมาก โดยในคนที่มีน้ำหนักตัวเกินก็จะเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคนี้ได้มากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ 3. โรคเบาหวาน แน่นอนว่าเมื่อเป็นโรคอ้วน ก็มักจะเป็นเบาหวานตามมาด้วยเสมอ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการทานน้ำตาลหรือของหวานมากเกินไป และผลจากความอ้วนที่ทำให้อินซูลินมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง จึงทำให้เป็นเบาหวานได้นั่นเอง ทั้งนี้โรคเบาหวานเมื่อเป็นแล้วก็จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และยังมีความอันตรายเป็นอย่างมากอีกด้วย 4. โรคข้อกระดูกเสื่อม เพราะร่างกายต้องรับน้ำหนักตัวที่มากเกินไปอยู่เสมอ จึงอาจทำให้ข้อกระดูกเกิดการเสื่อมสภาพได้ เปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันด้วยการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาที่จะควบคุมน้ำหนักของตนเองได้อย่างเต็มที่มากนัก ก็สามารถเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันให้กลายเป็นการลดน้ำหนักและรักษาน้ำหนักตัวให้พอดีได้ไม่ยาก โดยมีวิธีดังนี้ 1. ตื่นนอนเร็วกว่าเดิม การตื่นนอนเร็ว จะทำให้เรามีเวลาทำอะไรต่ออะไรมากขึ้น พร้อมทั้งได้เคลื่อนไหวร่างกายในหนึ่งวันมากกว่าเดิมจึงสามารถลดน้ำหนักได้ดี 2. เดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์ การเดินขึ้นลงบันไดสามารถช่วยลดน้ำหนักและควบคุมน้ำหนักตัวได้ดีอย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นมาเดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์กันดีกว่า 3. ทำอาหารกลางวันเอง ควรทำอาหารเพื่อห่อไปกินกลางวันด้วยตัวเองจะดีกว่า เพราะจะได้เลือกวัตถุดิบและควบคุมเครื่องปรุงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ แถมยังมั่นใจได้ถึงความสะอาด ปลอดภัยอีกด้วย 4. ทำงานบ้าน การทำงานบ้านก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะร่างกายได้เคลื่อนไหวอยู่เสมอ...

ความรู้เรื่องโรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( Cystitis )

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( Cystitis )

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( Cystitis ) เป็นการอักเสบของเยื่อบุผิวกระเพาะปัสสาวะที่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และเชื้อโปรโตซัว หรือเรียกว่า " การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ " โดยมากพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ปัยจัยและพฤติกรรมที่กระตุ้นการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ได้แก่ การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน การรักษาความสะอาดไม่ถูกวิธี การอักเสบจากสารเคมี หรืออักเสบจากการฉายรังสี เป็นต้น  สาเหตุในการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ 1) มีการตกค้างของปัสสาวะในกระเพาะเป็นเวลานาน เช่น การกลั้นปัสสาวะนาน ดื่มน้ำมากทำให้ร่างกายขับปัสสาวะออกมามากขึ้น 2) การดูแลรักษาความสะอาดบริเวณจุดซ้อนเร้นในเพศหญิงไม่ถูกต้อง 3) ผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยที่รับยากดภูมิต้านทาน ผู้ป่วยมะเร็งที่ให้เคมีบำบัด เป็นต้น 4) จากการมีเพศสัมพันธ์ 5) การคุมกำเนิด โดยใช้ถุงยางอนามัยที่มีสารเคลือบบางชนิด 6) การใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน>> อาการปัสสาวะเป็นเลือดเกิดจากอะไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอาการอย่างไร ดูได้จากบทความนี้ค่ะ อาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปวดท้องน้อย มีไข้ ปัสสาวะบ่อยครั้ง ครั้งละไม่มาก ปวดแสบในขณะเบ่งปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ปัสสาวะมีสีขุ่น หากรุนแรงอาจเป็นหนองได้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยสำหรับผู้ป่วยบางคน เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะได้ 3 ทาง ดังนี้ 1) การติดเชื้อย้อนกลับขึ้นไปจากท่อปัสสาวะ 2) เชื้อโรคแพร่กระจายมาทางกระแสเลือด 3) เชื้อโรคแพร่กระจายมาทางกระแสน้ำเหลือง การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบของแพทย์ แพทย์จะประเมินอาการอย่างละเอียด และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นกรณีไป เช่น การเก็บปัสสาวะจากการเจาะดูดผ่านหน้าท้อง การสวนผ่านท่อปัสสาวะ และหรือการเก็บปัสสาวะช่วงกลางของการปัสสาวะ เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายและมีความรุนแรงน้อยที่สุด ข้อควรปฏิบัติ และป้องกันการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเมื่อปวดเป็นเวลานาน ปัสสาวะก่อนเข้านอนกลางคืนทุกครั้ง ควรปัสสาวะก่อนการเดินทางช่วงการจราจรติดขัด หรือเดินทางไกล ไม่ควรดื่มน้ำมาก หากต้องทำงานหรือทำกิจกรรมในสถานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปัสสาวะ ดูแลความสะอาดหลังการทำธุระในห้องน้ำทุกครั้ง สังเกตความผิดปกติของตนเอง เช่น ปัสสาวะติดขัด มีอาการปวดแสบ หรือปัสสาวะปนสีเลือด รีบไปพบแพทย์ทันที บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง ภัทร์ ศักดิ์ศิริสัมพันธ์ (2561).กระเพาะปัสสาวะอักเสบและการป้องกันการเกิดซ้ำฯ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://tci-thaijo.org . Mayo Clinic (2018).Cystitis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org .
ไตวาย ไม่ตายไว

ไตวาย ไม่ตายไว

ไตวาย ก่อนที่จะไปกล่าวถึงโรคไตวาย ลองมาดูความสำคัญและหน้าที่ของไตกันก่อนว่า ไต คืออะไร และมีหน้าที่สำคัญอย่างไรต่อร่างกายของมนุษย์เรา ไต หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า Kidney คือ อวัยวะอย่างหนึ่งที่อยู่ภายในร่างกายของมนุษย์มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดงอยู่บริเวณส่วนล่างของช่องท้อง ไตมีสองข้าง คือซ้ายและขวา ไตขวาอยู่ในช่องท้องด้านขวาด้านใต้อยู่ติดกับตับ ส่วนไตซ้ายอยู่ใต้กะบังลมติดกับม้าม มีต่อมหมวกไต ( Adrenal Gland ) อยู่ด้านบนของไตทั้งสองข้าง โดยจะมีชั้นไขมันสองชั้นห่อหุ้มอยู่ ภายในไตนั้นจะมี 2 ชั้น คือ ชั้นนอก เรียกว่า คอร์เทกซ์ ( Cortex ) ส่วนนี้มีสีแดง ขณะที่ชั้นใน จะเรียกว่า เมดูลลา ( Medulla ) ส่วนนี้มีสีขาว  โรคไตวาย ในทุกๆวันนี้ มีโรคภัยไข้เจ็บมากมายที่เกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้างเรา รวมกระทั้งที่เกิดกับตัวเราเองด้วย มีตั้งแต่โรคที่มีความรุนแรงของโรคน้อยจนไปถึงโรคที่มีความรุนแรงของโรคมาก  ซึ่งหากมาลองวิเคราะห์กันดูถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่เกิดขึ้นก็จะพบว่า สาเหตุของหลายๆโรค มักมาจากการใช้ชีวิตพฤติกรรมที่ผิดๆ การทานอาหารที่ผิดหลักโภชนาการ เป็นส่วนใหญ่ โรค ไตวาย ก็เป็นโรคอีกชนิดหนึ่งที่มักมีสาเหตุมาจากการใช้ชีวิตหรือการกินหาอาหารที่ไม่ถูกต้อง เป็น โรคที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน  หากเกิดโรคไตวายขึ้นกับร่างกายจะทำให้ไตที่เป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ไม่สามารถทำงานได้ปกติเหมือนเดิม จึงทำให้ระบบกลไกในร่างกายมีความผิดปกติตามไปด้วย โรคไตวายมีรายละเอียดอย่างไร จะอธิบายดังต่อไปนี้ หน้าที่หลักของไต คือ เป็นอวัยวะที่เกี่ยวกับกับระบบปัสสาวะ ทำหน้าที่ กรองของเสีย น้ำ และเกลือแร่ ส่วนเกินในร่างกายออกจากเลือด แล้วจึงทำการขับออกมาพร้อมกับน้ำในรูปของปัสสาวะ >> ไตวายมีสาเหตุและอาการอย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยไตวายเป็นอย่างไร บทความนี้มีคำตอบค่ะ ภาวะไตวาย คืออะไร? ภาวะไตวาย ( Renal failure ) หรือ ไตล้มเหลว หรือ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ไตล้ม คือ ภาวะที่ไตทั้งสองข้างสูญเสียการทำงาน จนทำงานได้น้อยกว่าปกติหรืออาจทำงานไม่ได้เลย ทำให้ไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะได้ ทำให้มีของเสียเกิดการสะสมจนเป็นพิษต่อร่างกาย อาการนี้ส่งผลกระทบต่อดุลของอิเล็กโทรไลต์ และความเป็นกรดด่างในเลือด และถ้าเป็นไตวายชนิดเรื้อรัง ฮอร์โมนบางชนิดที่ไตเป็นสร้างขึ้นมา ก็จะลดน้อยลงไปด้วย ทำให้อวัยวะแทบทุกส่วนในร่างกายมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น  ประเภทของภาวะไตวาย เราสามารถแบ่งประเภทของโรคภาวะไตวายออกได้เป็น 2 ชนิด คือ 1. ภาวะไตวายชนิดเฉียบพัน ( Acute Kidney Failure หรือ Acute Renal Failure ) ไตวายเฉียบพลัน คือ การที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน มีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยที่ผู้ป่วยไม่เคยมีโรคของไตมาก่อน เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น การได้รับสารซึ่งเป็นอันตรายต่อไต  การกินยารักษาโรคในปริมาณที่มากติดต่อกัน เป็นเวลานาน เกิดการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น อาการไตวายเฉียบพลัน โดยทั่วไปสามารถรักษาให้หายกลับมาได้เป็นปกติ โดยใช้วิธีล้างไต เพื่อนำของเสียและสารพิษต่างๆออก เพื่อให้ไตกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เคยเป็นไตวายเฉียบพันแล้วก็มีความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นไตวายซ้ำได้อีก หรือในบางราย ไตจะค่อย ๆ เสื่อมลงกลายเป็นไตวายเรื้อรังได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค หรือการได้รับการรักษาที่ล่าช้า จนไตเริ่มเสื่อมแล้ว 2. ภาวะไตวายชนิดเรื้อรัง ( Chronic Kidney Failure หรือ Chronic Renal Failure )  ไตวายเรื้อรัง เกิดจากภาวะการที่เนื้อไตถูกทำลายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย อาจจะใช้ระยะเวลานานเป็นเดือน หรือเป็นปี โรคนี้จัดเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ ที่มีอายุมาก นอกจากภาวะนี้ไตวายเรื้อรัง ยังเป็นผลแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆด้วย  เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและอื่นๆ โดยโรคเหล่านี้จะไปทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อไต และยังรวมถึงการใช้ยาที่มีพิษต่อไตเป็นจำนวนมากอีกด้วย สาเหตุของการเกิดโรคไตวายชนิดต่างๆ สาเหตุในการเกิดโรค ของภาวะไตวายชนิดต่างๆ ...

ความรู้เรื่องโรคสมองเสื่อม

ตาสองชั้น

ตาสองชั้น ศัลยกรรมเพิ่มความสวยของรูปตา

ตาสองชั้น นอกจากจะช่วยให้ดวงตาดูสวยและอ่อนโยนขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปัญหาหนังตาได้ด้วย การทำตาสองชั้นมีเทคนิคหลายวิธีให้เลือก โดยจะต้องคำนึงถึงลักษณะของดวงตา
Sculptra

โปรแกรมSculptra สารกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

Sculptra คือ การนำสาร PLLA สังเคราะห์จากพืชฉีดเข้าผิวหนังชั้นกลางเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ร่องรอยจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีระยะเห็นผลอยู่ที่ 2 ปี

ความรู้เรื่องตรวจเลือดและตรวจเช็คสุขภาพ

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง (Leukocytosis): สาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษา

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงคืออะไร? ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง หรือ Leukocytosis คือภาวะที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาวในร่างกายสูงกว่าปกติ โดยทั่วไปหมายถึงการมีเม็ดเลือดขาวมากกว่า 11,000 เซลล์ต่อไมโครลิตร ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเกิดจากอะไร? ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการติดเชื้อ โรคบางชนิด หรือปัจจัยอื่นๆ ดังนี้ อะไรเป็นสาเหตุหลักของภาวะเม็ดเลือดขาวสูง? สาเหตุหลักของภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ได้แก่: การติดเชื้อ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา โรคอักเสบเรื้อรัง โรคเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว การได้รับบาดเจ็บหรือการผ่าตัด ความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ ปัจจัยใดที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวสูง? ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ได้แก่: อายุที่มากขึ้น การสูบบุหรี่ โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การใช้ยาบางประเภท เช่น สเตียรอยด์ ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเกี่ยวข้องกับการติดเชื้ออย่างไร? เมื่อร่างกายติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันจะผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้ระดับเม็ดเลือดขาวในเลือดสูงขึ้น อาการของภาวะเม็ดเลือดขาวสูงมีอะไรบ้าง? อาการของภาวะเม็ดเลือดขาวสูงมักไม่เฉพาะเจาะจง และอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงส่งผลต่อร่างกายอย่างไร? ผลกระทบต่อร่างกายอาจรวมถึง: อ่อนเพลีย มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีอาการใดที่บ่งบอกว่าควรพบแพทย์? ควรพบแพทย์หากมีอาการต่อไปนี้: มีไข้สูงเกิน 38°C นานกว่า 3 วัน อ่อนเพลียมากผิดปกติ มีอาการติดเชื้อรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หรือปวดท้องรุนแรง ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงวินิจฉัยได้อย่างไร? การวินิจฉัยภาวะเม็ดเลือดขาวสูงทำได้โดยการตรวจเลือด และอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ การตรวจเลือดแสดงค่าภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอย่างไร? การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) จะแสดงจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดและชนิดต่างๆ ของเม็ดเลือดขาว ค่าเม็ดเลือดขาวสูงแค่ไหนถึงเข้าข่ายภาวะเม็ดเลือดขาวสูง? โดยทั่วไป ค่าเม็ดเลือดขาวมากกว่า 11,000 เซลล์ต่อไมโครลิตรถือว่าสูงกว่าปกติ มีการตรวจเพิ่มเติมอะไรบ้างที่ช่วยวินิจฉัยภาวะนี้? การตรวจเพิ่มเติมอาจรวมถึง: การตรวจไขกระดูก การตรวจหาการติดเชื้อ การตรวจภาพถ่ายรังสี ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอันตรายหรือไม่? ความอันตรายของภาวะเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของภาวะ มีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร? ผลกระทบระยะสั้นอาจรวมถึงอาการอ่อนเพลียและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ส่วนผลระยะยาวขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอะไรได้บ้าง? ภาวะแทรกซ้อนอาจรวมถึง: การติดเชื้อรุนแรง ภาวะเลือดหนืด ปัญหาการไหลเวียนของเลือด วิธีรักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูงคืออะไร? การรักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ มียารักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูงหรือไม่? การรักษาด้วยยาขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อ หรือยาเคมีบำบัดสำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาว การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและโภชนาการช่วยลดภาวะนี้ได้หรือไม่? การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และลดความเครียดอาจช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของภาวะนี้ การรักษาภาวะเม็ดเลือดขาวสูงแตกต่างกันอย่างไรขึ้นอยู่กับสาเหตุ? การรักษาจะแตกต่างกันไป เช่น: การติดเชื้อ: ใช้ยาปฏิชีวนะ โรคอักเสบ: ใช้ยาต้านการอักเสบ มะเร็งเม็ดเลือดขาว: ใช้ยาเคมีบำบัดหรือการปลูกถ่ายไขกระดูก ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงสามารถป้องกันได้หรือไม่? การป้องกันภาวะเม็ดเลือดขาวสูงทำได้โดยการดูแลสุขภาพทั่วไปและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง วิธีลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวสูงมีอะไรบ้าง? วิธีลดความเสี่ยง ได้แก่: รักษาสุขอนามัยที่ดี หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษ ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี ลดความเครียด ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์มีผลต่อภาวะเม็ดเลือดขาวสูงหรือไม่? ใช่ ไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับเพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้ได้ ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเกี่ยวข้องกับโรคอื่นหรือไม่? ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอาจเกี่ยวข้องกับโรคหลายชนิด ทั้งโรคติดเชื้อและโรคเรื้อรัง ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือไม่? ใช่ ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงอาจเป็นอาการหนึ่งของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีภาวะนี้จะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคอักเสบเรื้อรังส่งผลต่อระดับเม็ดเลือดขาวอย่างไร? โรคอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการอักเสบ ส่งผลให้ระดับเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น เมื่อไรควรไปพบแพทย์หากสงสัยว่ามีภาวะเม็ดเลือดขาวสูง? ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีภาวะเม็ดเลือดขาวสูง อาการแบบไหนที่ไม่ควรละเลย? อาการที่ไม่ควรละเลย ได้แก่: ไข้สูงเกิน 38°C นานกว่า 3 วัน อ่อนเพลียมากผิดปกติ มีอาการติดเชื้อรุนแรง มีจ้ำเลือดหรือเลือดออกง่ายผิดปกติ คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ผู้ที่ตรวจพบภาวะเม็ดเลือดขาวสูงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจรวมถึง: ทำการตรวจเพิ่มเติมตามที่แพทย์สั่งเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้อาการแย่ลง เช่น การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ สังเกตอาการผิดปกติและรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการรุนแรงขึ้น ภาวะเม็ดเลือดขาวสูงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ การอักเสบ หรือโรคอื่นๆ การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายได้ หากมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล ร่วมตอบคำถามกับเรา อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง เม็ดเลือดขาวสูง (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.pobpad.com . เม็ดเลือดขาวสูง บ่งบอกความผิดปกติอะไรบ้าง? (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.honestdocs.co . leukocytosis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://en.wikipedia.org .
ฮีโมโกลบินคืออะไร และเกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างไร

ฮีโมโกลบินคืออะไร? หน้าที่ของฮีโมโกลบินและผลกระทบต่อสุขภาพ

ฮีโมโกลบินคืออะไร? ฮีโมโกลบินเป็นโปรตีนที่พบในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่สำคัญในการลำเลียงออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย ระดับฮีโมโกลบินที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวม ฮีโมโกลบินมีบทบาทอย่างไรในร่างกาย? ฮีโมโกลบินมีบทบาทสำคัญในการขนส่งออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบไหลเวียนโลหิต โดยมีรายละเอียดดังนี้ ฮีโมโกลบินทำหน้าที่อะไรในระบบไหลเวียนโลหิต? ฮีโมโกลบินทำหน้าที่จับกับออกซิเจนในปอดและนำไปส่งยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ฮีโมโกลบินเกี่ยวข้องกับการลำเลียงออกซิเจนอย่างไร? ฮีโมโกลบินจับกับออกซิเจนในปอดและปล่อยออกซิเจนให้กับเนื้อเยื่อที่ต้องการ ระดับฮีโมโกลบินที่เหมาะสมคือเท่าใด? ระดับฮีโมโกลบินปกติในผู้ชายคือ 13.5-17.5 g/dL และในผู้หญิงคือ 12.0-15.5 g/dL อะไรเป็นสาเหตุของระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติ? ระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคและปัจจัยภายนอก ดังนี้ อะไรเป็นสาเหตุของภาวะฮีโมโกลบินต่ำ? สาเหตุของฮีโมโกลบินต่ำ ได้แก่ การขาดธาตุเหล็ก โรคโลหิตจาง และการเสียเลือด อะไรเป็นสาเหตุของภาวะฮีโมโกลบินสูง? สาเหตุของฮีโมโกลบินสูง ได้แก่ โรคทางพันธุกรรม ภาวะขาดออกซิเจนเรื้อรัง และการสูบบุหรี่ ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อระดับฮีโมโกลบินในร่างกาย? ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับฮีโมโกลบิน ได้แก่ อาหาร การออกกำลังกาย ความสูงจากระดับน้ำทะเล และโรคบางชนิด ฮีโมโกลบินมีความเกี่ยวข้องกับโรคอะไรบ้าง? ฮีโมโกลบินมีความเกี่ยวข้องกับโรคหลายชนิด โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับเลือดและระบบไหลเวียน ดังนี้ ฮีโมโกลบินต่ำเกี่ยวข้องกับโรคโลหิตจางอย่างไร? ฮีโมโกลบินต่ำเป็นลักษณะสำคัญของโรคโลหิตจาง ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ภาวะฮีโมโกลบินสูงมีความเกี่ยวข้องกับโรคอะไร? ฮีโมโกลบินสูงอาจเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ โรคปอด และโรคเลือดบางชนิด โรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับฮีโมโกลบินมีอะไรบ้าง? โรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับฮีโมโกลบิน ได้แก่ โรคธาลัสซีเมีย และโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว การตรวจระดับฮีโมโกลบินทำได้อย่างไร? การตรวจระดับฮีโมโกลบินเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพทั่วไป โดยมีวิธีการดังนี้ วิธีการตรวจระดับฮีโมโกลบินมีอะไรบ้าง? วิธีตรวจระดับฮีโมโกลบินที่พบบ่อย ได้แก่ การตรวจนับเม็ดเลือดสมบูรณ์ (CBC) และการตรวจฮีโมโกลบินโดยตรง ค่าผลตรวจเลือดบอกอะไรเกี่ยวกับระดับฮีโมโกลบิน? ค่าผลตรวจเลือดจะแสดงปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการลำเลียงออกซิเจน การตรวจระดับฮีโมโกลบินช่วยวินิจฉัยโรคอะไรได้บ้าง? การตรวจระดับฮีโมโกลบินช่วยวินิจฉัยโรคโลหิตจาง โรคเลือด และภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง วิธีรักษาภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติมีอะไรบ้าง? การรักษาภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของปัญหา โดยมีวิธีการดังนี้ การรักษาภาวะฮีโมโกลบินต่ำทำได้อย่างไร? การรักษาฮีโมโกลบินต่ำอาจทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง หรือการให้ธาตุเหล็กเสริม วิธีลดระดับฮีโมโกลบินที่สูงเกินไปมีอะไรบ้าง? วิธีลดระดับฮีโมโกลบินที่สูงเกินไป ได้แก่ การเจาะเลือดออก และการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ อาหารและโภชนาการส่งผลต่อระดับฮีโมโกลบินอย่างไร? อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงและวิตามินบี 12 ช่วยเพิ่มระดับฮีโมโกลบิน ในขณะที่การดื่มชาและกาแฟอาจลดการดูดซึมธาตุเหล็ก ฮีโมโกลบินมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร? ระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้ ฮีโมโกลบินต่ำส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร? ฮีโมโกลบินต่ำทำให้เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และมีปัญหาในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภาวะฮีโมโกลบินสูงมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร? ฮีโมโกลบินสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด และโรคหัวใจและหลอดเลือด ฮีโมโกลบินมีบทบาทในระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่? ฮีโมโกลบินมีบทบาทในการต่อต้านเชื้อโรคและการอักเสบในร่างกาย วิธีป้องกันภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติคืออะไร? การป้องกันภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติทำได้โดยการดูแลสุขภาพทั่วไปและการรับประทานอาหารที่เหมาะสม ดังนี้ วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับฮีโมโกลบินอยู่ในเกณฑ์ปกติคืออะไร? วิธีดูแลสุขภาพให้ระดับฮีโมโกลบินปกติ ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาหารและไลฟ์สไตล์มีผลต่อฮีโมโกลบินอย่างไร? อาหารที่มีธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ช่วยรักษาระดับฮีโมโกลบิน ส่วนการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ปัจจัยใดช่วยลดความเสี่ยงของภาวะฮีโมโกลบินผิดปกติ? ปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยง ได้แก่ การไม่สูบบุหรี่ การจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ และการรักษาโรคเรื้อรังให้อยู่ในการควบคุม เมื่อใดควรพบแพทย์เกี่ยวกับระดับฮีโมโกลบิน? ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระดับฮีโมโกลบิน ดังนี้ อาการแบบไหนบ่งบอกว่าควรตรวจระดับฮีโมโกลบิน? อาการที่ควรตรวจระดับฮีโมโกลบิน ได้แก่ อ่อนเพลียผิดปกติ เวียนศีรษะ หายใจลำบาก และซีด คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีระดับฮีโมโกลบินผิดปกติคืออะไร? ผู้ที่มีระดับฮีโมโกลบินผิดปกติควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รับประทานอาหารที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ ฮีโมโกลบินเป็นโปรตีนสำคัญที่มีบทบาทหลักในการลำเลียงออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย การรักษาระดับฮีโมโกลบินให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าระดับฮีโมโกลบินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพ การพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจร่างกาย การตรวจเลือด และการตรวจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้นในการประเมินสุขภาพโดยรวม การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ และการตรวจสุขภาพประจำปี ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาระดับฮีโมโกลบินให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และการเฝ้าระวังอาการผิดปกติจะช่วยให้สามารถตรวจพบและรักษาปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ร่วมตอบคำถามกับเรา บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง A standard biochemistry text defines heme as the "iron-porphyrin prosthetic group of heme proteins"(Nelson, D. L.; Cox, M. M. "Lehninger, Principles of Biochemistry" 3rd Ed. Paoli, M. (2002). "Structure-function relationships in heme-proteins". DNA Cell Biol. 21 (4): 271–280.

ความรู้เรื่องคุณค่าสารอาหาร

ลูกเดือย

ลูกเดือย ธัญพืชสมุนไพรใช้เป็นยาอายุวัฒนะ

ลูกเดือย ลูกเดือย (Adlay, Adlay millet, Job’s tears) เป็นธัญพืชที่ถูกจัดให้อยู่ในตระกูลเดียวกับข้าว เป็นพืชพื้นเมืองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทยถือเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง เพาะปลูกกันมากแถวภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพืชที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีเส้นใยอาหารที่สูง ซึ่งธัญพืชชนิดนี้มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ Coix lacryma-jobi L. จัดอยู่ในวงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย PANICOIDEAE มีลักษณะของต้นคล้ายต้นข้าวโพด ลักษณะของเม็ดจะเป็นสีขาว รูปร่างออกกลม ๆ รี ๆ รสชาติออกมันเล็กน้อย มีแบบทั้งที่รับประทานได้และรับประทานไม่ได้ ชนิดที่ทานได้นั้นจะมีเปลือกผลอ่อนซึ่งเรียกว่า เดือยกิน ปลูกไว้สำหรับใช้ทำอาหารและยา สรรพคุณของลูกเดือย 1. เป็นอาหารบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เหมาะกับผู้ป่วยในช่วงพักฟื้น เด็ก และผู้สูงวัย 2. ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ 3. มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง 4. ใช้ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ 5. สามารถช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้าได้ 6. มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอก 7. มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย 8. มีคุณสมบัติช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน 9. ใช้ช่วยแก้ร้อนใน 10. มีส่วนช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน 11. ใช้ช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด 12. มีฤทธิ์ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน 13. มีส่วนช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งได้ 14. ใช้ช่วยบำรุงเลือดลมให้สตรีหลังคลอดบุตร 15. สามารถช่วยลดการเกิดกระบนใบหน้าได้ 16. ใช้ช่วยบำรุงปอด และม้าม 17. มีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและบำรุงกระเพาะอาหาร 18. มีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ 19. มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาหูด 20. มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ 21. รากนำมาทำเป็นยาชงรับประทาน และช่วยขับพยาธิในเด็ก 22. สามารถแก้อาการท้องร่วง ท้องเสียได้ 23. ใช้ช่วยในการขับปัสสาวะ 24. ใช้ช่วยบำรุงมดลูก 25. ช่วยเหนี่ยวนำให้มีการตกไข่ 26. ช่วยแก้อาการสตรีตกขาวมากกว่าปกติได้ 27. ใช้ช่วยบำรุงไต 28. สามารถป้องกันโรคเหน็บชาได้ 29. มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์ 30. ใช้แก้อาการปวดข้อ ประโยชน์ของลูกเดือย 1. ใช้ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส 2. มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา 3. ใช้ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีการเจริญเติบโตได้ดีขึ้น 4. สามารถนำไปแปรรูป เช่น อบกรอบ เปียก เต้าทึง และน้ำ 5. มีคุณสมบัติเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ผิวหนังให้ดียิ่งขึ้น 6. สามารถนำมาใช้ทำอาหารได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน โดยเฉพาะอาหารประเภทที่มีแป้งและน้ำเป็นส่วนผสม ลู ก เ ดื อ ย ถูกจัดว่าเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารที่สูง เพราะว่าอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อสำหรับร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส และโดยเฉพาะวิตามินบี 1 ที่มีปริมาณที่สูงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่ปริมาณสูงกว่าความต้องการของร่างกายตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ได้แก่ กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth แหล่งอ้างอิง En.wikipedia.org/wiki/Job’s_Tears อ้างอิงรูปจาก 1.https://healthydoses.wordpress.com/ 2.https://www.healthbenefitstimes.com/
มะม่วงหิมพานต์

มะม่วงหิมพานต์ ผลไม้เนื้อนิ่มหวานฉ่ำราชาแห่งเมล็ดพืช

มะม่วงหิมพานต์ มะม่วงหิมพานต์ (Cashew, Cashew nut) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Anacardium occidentale L. จัดอยู่ในวงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะม่วงกุลา มะม่วงลังกา มะม่วงหยอด มะม่วงสินหน (ภาคเหนือ), มะม่วงสิโห (เชียงใหม่), มะโห (แม่ฮ่องสอน), มะม่วงกาสอ (อุตรดิตถ์), มะม่วงเล็ดล่อ มะม่วงยางหุบ (ระนอง), กายี (ตรัง), ส้มม่วงทูนหน่วย มะม่วงทูนหน่วย (สุราษฎร์ธานี), กะแตแก (นราธิวาส), นายอ (ยะละ), ยาโงย ยาร่วง (ปัตตานี), มะม่วงหิมพานต์ มะม่วงไม่รู้หาว (ภาคกลาง), กาหยู กาหยี ม่วงเม็ดล่อ ม่วงเล็ดล่อ หัวครก ท้ายล่อ ตำหนาว ส้มม่วงชูหน่วย (ภาคใต้) เป็นต้น ลักษณะของมะม่วงหิมพานต์ ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีความสูงโดยเฉลี่ย 6 เมตร (สามารถสูงได้ถึง 12 เมตร) ลำต้นมีเนื้อไม้ที่แข็ง มีกิ่งแขนงแตกออกไปเป็นพุ่มแน่นทรงกลมถึงแบบกระจาย มีเปลือกหนา และผิวเรียบเป็นสีน้ำตาลเทา ในบ้านเราสามารถพบได้ทั่วไปในภาคใต้ ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนกัน ใบมีลักษณะหนาผิวเกลี้ยงเหมือนกับแผ่นหนัง ใบคล้ายรูปไข่กลับหัวถึงรูปรีกว้าง ปลายใบกลม โคนใบนั้นแหลม เนื้อใบมีกลิ่นหอม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อกระจาย ดอกเป็นสีขาวถึงสีเหลืองนวล และจะเปลี่ยนสีไปเป็นสีชมพู ช่อดอกแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยเป็นจำนวนมาก และมีกลีบเลี้ยงสีเขียวขนาดเล็ก โคนดอกเชื่อมติดกัน ดอกหนึ่งมีปลายแยกเป็นกลีบอยู่ 5 กลีบ ปลายดอกแหลมเรียว ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 8-10 อัน หลังจากที่ดอกร่วงแล้วจะติดผล ผล มีลักษณะคล้ายผลชมพู่หรือลูกแพร์ ผลเป็นพวงห้อยลงมา ขนาดผลยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร เนื้อผลมีความฉ่ำน้ำและมีกลิ่นหอม ผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียวหรือเหลืองอมชมพู แต่เมื่อผลสุกแล้วนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีส้มแดง ที่ปลายผลนั้นมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด ลักษณะคล้ายรูปไต เปลือกนอกมีผิวที่แข็ง และมีขนาดยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีสีเป็นสีน้ำตาลอมเทา เม็ดผลมีเปลือกแข็ง มีเมล็ดเดียวลักษณะคล้ายกับรูปไต หรือคล้ายคลึงกับนวมของนักมวย มีสีเป็นสีน้ำตาลปนเทา ข้างในผลมีเมล็ดคล้ายรูปไต สรรพคุณของมะม่วงหิมพานต์ 1. แพทย์ในประเทศอินเดียใช้เมล็ดเลี้ยงเด็กทารกที่อายุเกิน 6 ขวบ เพื่อช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้รวดเร็วและแข็งแรง 2. เม็ดอุดมไปด้วยธาตุทองแดง จึงมีฤทธิ์ช่วยบำรุงเส้นผมและผิวหนังได้เป็นอย่างดี 3. เม็ด ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดได้ 4. การวิจัยในประเทศบราซิลและอินเดียพบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นและสารสกัดจากส่วนเหนือดินของต้นนั้น สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 5. เมล็ดนั้นมีกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับทรวงอกได้ 6. แมกนีเซียมในเม็ด ช่วยลดความดันโลหิตได้ 7. เม็ด มีฤทธิ์ป้องกันโรคมะเร็ง และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 8. เม็ด มีธาตุแมกนีเซียมในปริมาณที่สูง จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงสุขภาพเหงือก สุขภาพฟัน และกระดูกให้แข็งแรงได้ 9. การรับประทานเม็ด เป็นประจำนั้นจะช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ 10. เมล็ดมีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่มาก จึงมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคไขมันตับ และแถมยังไม่ให้มีการสะสมในร่างกายมากจนเกินไป จึงไม่ทำให้อ้วน 11....

ความรู้เรื่องโภชนาการสำคัญที่ควรรู้

นมโปรตีนสูง

นมโปรตีนสูง อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มียี่ห้อไหนบ้าง? อัปเดตฉบับปี 2024 

นมโปรตีนสูง เครื่องดื่มเสริมโปรตีนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างกล้ามเนื้อ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงในรูปแบบทานง่าย ได้โปรตีนเต็มทุกวัน
อินนูลิน คืออะไร มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารอย่างไร

อินนูลิน คืออะไร มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารอย่างไร

อินนูลิน อินนูลิน (Inulin) คือ พรีไบโอติก ( prebiotic ) ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ พบได้ตามธรรมชาติในหัวหรือรากของพืช ผัก ผลไม้ และสมุนไพรบางชนิด โดยมีคุณสมบัติพิเศษในการละลายน้ำ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น การเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีในลำไส้ และช่วยลดแบคทีเรียที่ไม่ดีที่อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือลดการดูดซึมสารอาหาร>> อาหารที่มีพรีไบโอติกเป็นอย่างไร อยากรู้ตามมาดูกันค่ะ >> โปรไบโอติกมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร อยากรู้ตามมาดูค่ะ ประโยชน์ของอินนูลิน inulin เป็นอาหารที่มีประโยชน์ และช่วยเพิ่มอาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกายทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดไขมันในตับ ช่วยรักษาอาการท้องผูก ช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยรักษาลำไส้ให้แข็งแรง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบ ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ ช่วยยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียก่อโรคท้องร่วง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยป้องกันเชื้อโรคที่ไม่พึงประสงค์ ( แบคทีเรียที่ไม่ดี ) ช่วยรักษาสมดุลระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และแมกนีเซียม ทำให้มวลกระดูกหนาแน่นยิ่งขึ้น ลดความอยากอาหารทำให้ช่วยควบคุมน้ำหนัก Inulin กับการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร 1. เพิ่มปริมาณใยอาหารของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ขนมปัง โยเกิร์ต 2. ใช้ทดแทนไขมันในมาการีน นม lowfat cake 3. ปรับปรุงเนื้อสัมผัสในอาหาร เพิ่มความกรอบ เช่น cracker cookies แป้งชุดทอด ซีเรียลบาร์ 4. ช่วยปกปิดรสขม ฝาด ในเครื่องดื่ม เช่น น้ำผัก น้ำชา หรือกลิ่นที่ไม่ต้องการในอาหาร เช่น กลิ่นถั่วในเต้าหู้ 5. เพิ่มรสอร่อย และลดปริมาณโซเดียมในอาหาร เช่น เครื่องปรุง ซอส ซุป 6. ช่วยลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหาร เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง snack 7. ในอาหารสัตว์เป็นพรีไบโอติกช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ทำให้สัตว์แข็งแรง ปริมาณอินูลินในพืชชนิดต่าง ๆ งานวิจัยพบว่า inulin ที่พบในพืชประมาณ 36,000 ชนิด ในปริมาณ 100 กรัมของพืชต่อไปนี้ - ชิโครี (ราก) พบปริมาณ 35.7–47.6 กรัม ของน้ำหนักสด - อาร์ติโชค พบปริมาณอินูลิน 16–20 กรัม ของน้ำหนักสด - กระเทียม พบปริมาณ 9-16 กรัม ของน้ำหนักสด - หน่อไม้ฝรั่ง พบปริมาณ 2-3 กรัม ของน้ำหนักสด - หัวหอม พบปริมาณ 1–8 กรัม ของน้ำหนักสด - ข้าวสาลี พบปริมาณ 1-4 กรัม ของน้ำหนักสด - ข้าวบาร์เลย์ พบปริมาณ 0.5–1.5 กรัม ของน้ำหนักสด อันตราย และมีผลข้างเคียง การรับประทานอาหารเสริมอินนูลินในปริมาณมากเกินไปจนเกิดการสะสมอยู่ในลำไส้ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหารได้ เช่น ท้องอืด เกิดแก๊สในลำไส้ ปวดท้อง จุกเสียด รู้สึกอึดอัด เรอ หรือผายลมบ่อย เป็นต้น ดังนั้น การรับประทานที่เหมาะสม ควรรับประทาน 8 - 12 กรัมต่อวัน เป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และช่วยให้ลำไส้แข็งแรง บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

นิตยสารเพื่อสุขภาพ

ปลูกผม

รวมเรื่องต้องรู้ก่อนปลูกผม เตรียมบอกลาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน

อยากจบปัญหา ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน "การปลูกผม" ช่วยได้ โดยแต่ละเทคนิคก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันออกไป บทความนี้จึงมีข้อควรรู้ดี ๆ มาฝากก่อนตัดสินใจทำ
นมผึ้ง

นมผึ้ง สารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อผิว ช่วยให้ผิวสุขภาพดี

นมผึ้งถือเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งยังดีต่อสุขภาพผิวพรรณ ใครที่กำลังสนใจครีมและสกินแคร์นมผึ้งห้ามพลาดบทความนี้เด็ดขาด

เรื่องเล่าของฉัน

ร่วมกับพวกเรา ทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็ง

ร่วมกับพวกเรา ทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็ง

ร่วมกับพวกเรา ทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็ง “ อโรคยา ปรมาลาภา ” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คุณรู้ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้แล้วหรือยัง ดิฉันได้รับรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ก็เมื่อวันที่รู้ว่าตัวเองเป็น มะเร็ง เชื่อมั้ยค่ะ!ว่าตอนเด็กดิฉันเคยอยากเป็นคนขี้โรคนะ เพราะว่าตอนเด็กนั้นดิฉันเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงมากไม่เคยป่วยเลย และดิฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเขาเป็นคนที่ขี้โรคมากมีโรคประจำตัวต้องไปหาหมอเป็นประจำ ด้วยความเป็นเด็กก็คิดว่าอยากป่วยอย่างเพื่อนคนนั้นบ้างจัง เพราะเพื่อนคนนี้มีแต่คนดูแลเอาใจใส่ประคบประหงมอยู่ตลอดเวลา พอมาถึงวันนี้วันที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งต้องมีคนคอย ดูแลเหมือนกัน ถึงได้รู้ว่าการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงตามที่ประพุทธเจ้าท่านได้เคยบอกไว้ เพราะการป่วยหรือการมีโรคนั้นนำแต่ความทุกข์ ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ยิ่งป่วยเป็นมะเร็งนี่ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์จากมะเร็งกันแล้วนะคะ เพราะเรามีเพื่อนที่แสนดีที่คอยสนับสนุนและชี้ทางให้เราห่างไกลโรคมะเร็ง เพื่อนที่คอยชี้แนะทุกอย่างที่ทำแล้วช่วยให้เราออกห่างจากมะเร็งอย่างได้ผล เพื่อนที่สร้างทางให้คุณก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีโรคมะเร็งเข้ามาทำร้ายคุณได้ เมื่อคุณเดินเข้ามาทางนี้แล้วคุณจะรู้ว่าการไม่เป็นมะเร็งนั้นง่ายมากบนเส้นทางของคน ไม่เป็นมะเร็ง >> การป้องกันโรคมะเร็ง >> ไม่อยากเป็นมะเร็ง ต้องทำอย่างไร คนเราถ้ายังไม่เสียชีวิตเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป และเราทุกคนย่อมมีทางให้เลือกเดินเสมออยู่เพียงแต่ว่าเราจะเลือกเดินทางไหนเท่านั้นเอง เหมือนกับชีวิตของดิฉันที่เคยเลือกเดินทางผิดจนชีวิตต้องมาเจอกับโรคร้ายอย่างมะเร็งอย่างคาดไม่ถึงแต่วันนี้ดิฉันได้เลือกทางเดินใหม่ทางเดินที่ไม่มีโรคมะเร็งและดิฉันยังมีเพื่อนเดินทางไปกับดิฉันอีกด้วย เพื่อนที่ว่านี้ก็คือ AmProHealth เป็นทางเดินที่เปิดรับคนที่ไม่อยากเป็น มะเร็ง ทางเดินที่นี่เปิดรอทุกคนให้ก้าวเข้ามาอยู่แล้ว ทางเดินที่สร้างขึ้นมาให้กับทุกคน ทางเดินที่เปิดสอนเทคนิคและวิธีการป้องกันมะเร็ง ทางเดินที่พวกเราสามารถเข้าร่วมเดินได้ด้วยตัวเองโดยไม่เสียเงินสักบาทเดียว ทางเดินที่พาเราไปสู่สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทางเดินที่พาเราไปสู่การ ไม่เป็นมะเร็ง เพียงแค่คุณดูแลตัวเองตามที่เราบอก คุณก็จะอยู่ห่างไกลจากมะเร็งแน่นอน ดิฉันรู้สึกยินดีมากที่ได้เข้าร่วมเดินทางสายนี้ในวันนี้ ดิฉันมีความเชื่อเหลือเกินว่าทางสายนี้จะนำพาดิฉันไปสู่อนาคตที่ปราศจากโรคมะเร็ง นำพาไปสู่ชีวิตที่มีความสุขสดใสกับการได้อยู่กับคนที่รักยาวนานตามอายุขัยที่คนเราควรมี ชีวิตที่ไม่มีการพลัดพรากเราไปจากคนที่รักก่อนเวลาอันควร ตอนนี้ดิฉันได้เดินเข้าสู่เส้นทางที่ปราศจากมะเร็งแล้ว เจ้ามะเร็งจะไม่กลับมาทำร้ายดิฉันได้อีก ดิฉันจะอยู่กับลูกจนพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานทำและมีครอบครัวที่น่ารักต่อไป คิดได้แค่นี้ดิฉันก็มีความสุขมากเหลือเกินแล้วค่ะ ชีวิตนี้ดิฉันได้เลือกทางเดินที่นำความสุขมาให้กับตัวดิฉันและครอบครัวอีกครั้ง ดิฉันจะไม่เดินทางไปยังความหายนะที่มีโรคมะเร็งรออยู่ข้างหน้า แต่ดิฉันเลือกทางเดินที่ไม่มีโรคมะเร็งเข้ามาก่อกวนอีก ช่างเป็นทางเดินที่แสนวิเศษที่ดิฉันอย่างให้ทุกคนร่วมเดินเข้ามาเส้นทางนี้กับดิฉัน ต้องขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันสร้างทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็งนี้ขึ้นมา ทำให้ดิฉันมีความหวังที่จะอยู่ต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรงต่อโรคมะเร็งร้ายอีกต่อไป วันนี้มีทางเดินที่ปราศจากโรคมะเร็งมาอยู่ตรงหน้าแล้ว คุณพร้อมที่จะก้าวเดินไปกับเราบนทางเดินของคน ไม่เป็นมะเร็ง แล้วหรือยัง ก้าวไปกับเราแล้วคุณจะพบกับความสุขจากการไม่เป็นโรค เมื่อคุณก้าวเข้ามาในเส้นทางนี้คุณจะพบกับกัลยาณมิตรที่พร้อมจะบอกคุณถึงการใช้ชีวิตอย่างไรให้ไม่เป็น มะเร็ง ดิฉันเชื่อว่าชีวิตที่ไม่เป็นมะเร็งย่อมเป็นชีวิตที่หลายคนใฝ่ฝันหา และเส้นทางที่จะพาคุณไปยังชีวิตในฝันของคุณได้อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว คุณพร้อมที่จะก้าวมาร่วมกับทางกับ AmProHealth ก้าวเข้ามาสู่ทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็งแล้วหรือยัง ? Content by Amprohealth อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน

จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน

จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน ชีวิตประจำวันของคุณเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็ง หรือเปล่าคะ ? คุณลองมองไปรอบตัวของคุณดูสิว่ามีอะไรบ้างไหมที่เป็นคุณคิดว่าทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ดิฉันเชื่อว่าเวลาที่เรามองไปรอบตัวเราจะเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เราเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งอยู่หลายอย่างมาก ทั้งอาหารที่เราต้องกิน ทั้งมลพิษจากควันรถ ทั้งความเครียดจากการทำงาน ทุกสิ่งล้วนแต่สร้างความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทั้งสิ้น เราทุกคนล้วนเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งแต่ความเสี่ยงของแต่ละคนนั้นจะมีเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงย่อมขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมของแต่ละคน การเตรียมความพร้อมนั้นเป็นสิ่งที่ทำง่ายกว่าการรักษามากนัก เพราะว่าการเตรียมตัวเราก็แค่เลือกกิน เลือกใช้ชีวิตให้มีคุณภาพไม่ต้องทนกับการเจ็บปวดเหมือนกับการรักษา คุณมีการเตรียมตัวที่จะป้องกันมะเร็งมากน้อยแค่ไหน >> คนยุคใหม่ ทำอย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง >> การป้องกันโรคมะเร็ง คนบางคนอยากรู้เกี่ยวกับ มะเร็ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะความรู้ได้ที่ไหน คนบางคนไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับมะเร็งแม้แต่น้อยเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว คนบางคนรู้เกี่ยวถึงความร้ายแรงของมะเร็งและไม่อยากเป็นมะเร็งแต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีถึงชีวิตจะไม่มีมะเร็งเข้ามา สำหรับดิฉันคิดว่าการป้องกันเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับมะเร็งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะว่าการป้องกันนั้นจะทำให้เราไม่ต้องป่วยเป็นมะเร็งในอนาคต ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่รู้จักมะเร็งย่อมไม่อยากเป็นมะเร็งกันทั้งนั้น สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง ดิฉันคิดว่าการที่เรารู้เท่าทันและป้องกันมะเร็งนี่เป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยนะคะ การป่วยเป็นมะเร็งไม่เคยสร้างความสุขให้กับใครหรอกค่ะ การป่วยเป็นมะเร็งมีแต่สร้างความทุกข์ระทมให้กับตัวเองและคนรอบข้าง อย่างตอนที่ดิฉันป่วยเป็นมะเร็งนั้น นอกจากดิฉันที่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดจากรักษามะเร็งและการรักษา มะเร็ง แล้ว ยังต้องทนกับความเหงา ความคิดถึงอย่างหนัก บางคืนคิดถึงลูกจนนอนน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ คนเดียวก็เคยมาแล้ว คนในครอบครัวของดิฉันก็ไม่ต่างกัน ทุกคนต้องทุกข์ด้วยความเป็นห่วงและความคิดถึงเช่นเดียวกัน ยามที่ดิฉันต้องไปนอนอยู่โรงพยาบาลเพื่อให้คีโม พ่อ แม่และสามีก็เป็นห่วงเป็นใยคอยสอบถามอาการของดิฉันอยู่ตลอด พวกเขาจะถามดิฉันทุกวันทั้งวันที่อยู่ด้วยกันที่บ้านและวันที่ดิฉันต้องมานอนอยู่โรงพยาบาลเพื่อให้คีโมว่า คุณ...เป็นยังไงบ้าง คุณ...เจ็บมากไหม คุณ...เวียนหัวอยู่หรือป่าว คุณ...วันนี้ดีขึ้นหรือยัง ส่วนลูกๆ ยามที่แม่ต้องนอนโรงพยาบาล พอตกกลางคืนก็ร้องไห้หาแม่ด้วยความคิดถึง พวกเขายังเล็กนักไม่เข้าใจว่าแม่ต้องไปนอนที่อื่น ทำไมแม่ไม่อยู่บ้านนอนกับเค้า พ่อต้องคอยปลอบว่าเดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้ว แม่ไปรักษาตัวให้หายก่อน แม่รักษาตัวหายแล้วแม่จะได้กลับมาอยู่กับหนูนานๆ ไงคะ แม่รักษาตัวแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว ได้ยินเสียงลูกเรียกแม่จ๋า แม่อยู่ไหน หนูคิดถึงแม่ ดิฉันต้องฝืนไม่ให้ร้องไห้พร้อมพูดและยิ้มกับลูกว่าเดี๋ยวแม่ก็กลับบ้านแล้ว หนูต้องเป็นเด็กดีกับคุณพ่อนะคะ คิดถึงช่วงเวลานั้นทีไร น้ำตาก็พาลจะไหลออกมาทุกที ดิฉันเชื่อว่าการไม่เป็น มะเร็ง นั้นดีที่สุดในชีวิตของทุกคนเพราะการเป็นมะเร็งช่างเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด การที่คุณจะไม่เป็นมะเร็งได้นั้น นอกจากตัวคุณที่ต้องรู้จักป้องกันตัวเองจากมะเร็งแล้ว การที่คุณมีเพื่อนที่ไหวตัวทันต่อมะเร็งเป็นเพื่อนที่คอยเตือนคุณอยู่ตลอดว่าสิ่งนี้ไม่ดีนะ สิ่งนั้นไม่ดีนะ สิ่งที่ทำอยู่ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งนะ รวมถึงคอยแนะนำถึงวิธีการป้องกันมะเร็งอย่างถูกต้องให้กับคุณแล้วย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตของคุณมาก เพราะเพื่อนแบบนี้จะนำชีวิตที่ปราศจากความทุกข์จากมะเร็งมาให้คุณ ปัจจุบันนี้ดิฉันเชื่อว่ามีคนที่รักสุขภาพเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดิฉันเชื่อว่าคนรักสุขภาพทุกคนเตรียมพร้อมป้องกัน มะเร็ง กันเป็นอย่างดี การเตรียมความพร้อมที่มีให้กับตัวเองและคนอื่นๆ อย่างไม่หวังผลตอบแทน การที่ทุกคนทำเช่นนั้นก็หวังเพียงว่าคนที่ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจะได้หมดไปจากโลกนี้เสียที วันนี้คุณมีเพื่อนที่ไหวตัวทันต่อมะเร็งหรือยังค่ะ เพื่อนที่พาเราไปสู่อนาคตที่ไม่มีโรคมะเร็งเข้ามาในชีวิต Content by Amprohealth อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ความรู้เรื่องศัลยกรรมความงาม

ตาสองชั้น

ตาสองชั้น ศัลยกรรมเพิ่มความสวยของรูปตา

ตาสองชั้น นอกจากจะช่วยให้ดวงตาดูสวยและอ่อนโยนขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปัญหาหนังตาได้ด้วย การทำตาสองชั้นมีเทคนิคหลายวิธีให้เลือก โดยจะต้องคำนึงถึงลักษณะของดวงตา
Sculptra

โปรแกรมSculptra สารกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

Sculptra คือ การนำสาร PLLA สังเคราะห์จากพืชฉีดเข้าผิวหนังชั้นกลางเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ร่องรอยจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีระยะเห็นผลอยู่ที่ 2 ปี

ความรู้เรื่องความงามและผิวพรรณ

ตาสองชั้น

ตาสองชั้น ศัลยกรรมเพิ่มความสวยของรูปตา

ตาสองชั้น นอกจากจะช่วยให้ดวงตาดูสวยและอ่อนโยนขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปัญหาหนังตาได้ด้วย การทำตาสองชั้นมีเทคนิคหลายวิธีให้เลือก โดยจะต้องคำนึงถึงลักษณะของดวงตา
Sculptra

โปรแกรมSculptra สารกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

Sculptra คือ การนำสาร PLLA สังเคราะห์จากพืชฉีดเข้าผิวหนังชั้นกลางเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ร่องรอยจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีระยะเห็นผลอยู่ที่ 2 ปี

ความรู้เรื่องสมุนไพร

หงอนไก่ไทย

หงอนไก่ไทย รากมีสรรพคุณรักษาลมอัมพฤกษ์

หงอนไก่ไทย หงอนไก่ไทย เป็นพืชปลูกในประเทศในเขตอบอุ่น ส่วนประเทศไทยพบตามชายป่า และริมถนน ชื่อสามัญ คือ Common cockscomb, Wild Cockcomb, Crested celosin, Cockcomb ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Celosia cristata L., Celosia argentea var. cristata (L.) Kuntze อยู่วงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE) มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น โกยกวงฮวย (จีนแต้จิ๋ว), ซองพุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), หงอนไก่ไทย (ภาคกลาง), หงอนไก่ฝรั่ง (ภาคกลาง), หงอนไก่ดอกกลม (ภาคกลาง), สร้อยไก่ (ภาคเหนือ), ดอกด้าย (ภาคเหนือ), จีกวนฮวา (จีนกลาง), แชเสี่ยง (จีนแต้จิ๋ว), หงอนไก่ดง (นครสวรรค์), กระลารอน (เขมร-ปราจีนบุรี), ชองพุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), พอคอที (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หงอนไก่เทศ (ภาคกลาง), หงอนไก่ฟ้า (ภาคกลาง), หงอนไก่ (ภาคเหนือ), ด้ายสร้อย (ภาคเหนือ) ,, ลักษณะของหงอนไก่ไทย ต้น เป็นไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 20 นิ้ว ไม่มีแก่น ต้นหงอนไก่เป็นพรรณไม้ที่สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย ทำให้บางต้นมักไม่เป็นสีเขียว อาจเป็นสีแดง สีเขียวอ่อน สีขาว เป็นต้น แล้วแต่พันธุ์ของต้น ขยายพันธุ์โดยวิธีการเพาะเมล็ด เติบโตได้ดีในที่ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี เป็นไม้กลางแจ้ง ต้นหงอนไก่จะชอบแสงแดดจัด เติบโตง่าย งอกงามเร็ว ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเป็นกลุ่มที่ตามข้อลำต้น ใบเป็นรูปหอก รูปทรงมนรี รูปรี ที่โคนใบจะสอบ ส่วนที่ปลายใบจะแหลม ขอบใบเรียบไม่มีหยัก แผ่นใบมีลักษณะเป็นสีเขียว ใบกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร สามารถยาวได้ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ที่ผิวใบด้านบนจะเป็นสีเขียว หรือสีม่วงแดง จะย่นนิดหน่อย เส้นกลางใบจะเป็นสีชมพู,, ดอก มีขนาดเล็กเป็นละออง ออกติดแน่นเป็นช่อเดียวกันคล้ายหงอนไก่ ขนาดประมาณ 2-4 นิ้ว ช่อดอกบิดจีบม้วนไปมาในช่อดูคล้ายกับหงอนไก่ แต่ละดอกมีกลีบเลี้ยงอยู่ 3 กลีบ และมีกลีบดอก 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปปลายแหลม มีขนาดยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ดอกจะมีเกสรเพศผู้ 5 อัน และมีเกสรเพศเมีย 1 อัน ที่ปลายจะมีรอยแยก 2 รอยตื้น สีดอกแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างเช่น สีเหลือง สีแดง สีขาว สีชมพู สีผสม เมื่อช่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 8-15 เซนติเมตร,, ผล เป็นผลแห้ง ผลเป็นรูปทรงกลม มีเมล็ดอยู่ในผล เมล็ดเป็นรูปกลมแบน ที่เปลือกนอกเมล็ดจะมีลักษณะเป็นสีดำแข็ง เป็นมัน, ข้อห้ามในการใช้หงอนไก่ ห้ามให้ผู้ที่เป็นโรคตาบอดใสทานสมุนไพรหงอนไก่ ...
ติ้วขน

ต้นติ้วขน สรรพคุณยังยั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว

ติ้วขน ติ้วขน มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชียภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่าพบได้ในจีนตอนใต้อีกด้วย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมักพบขึ้นตามป่าผลัดใบและป่าเบญจพรรณ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 200-1,000 เมตร ชื่อวิทยาศาสตร์ Cratoxylum formosum subsp. pruniflorum (Kurz) Gogelein, วงศ์ติ้ว (HYPERICACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ติ้ว(กาญจนบุรี), แต้ว(จันทบุรี), ติ้วเหลือง(ภาคกลาง), ติ้วยาง ติ้วเลือด(ภาคเหนือ), ติ้วหนาม เป็นต้น,, หมายเหตุ สายพันธุ์นี้ไม่สามารถใช้รับประทานได้ และเป็นพืชคนละชนิดกับต้นติ้วขาว หรือผักติ้ว ลักษณะของติ้วขน ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ จะมีความสูงอยู่ที่ 8-15 เมตร เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลม แตกกิ่งก้านโปร่ง มีขนขึ้นอย่างแน่นหนาบริเวณยอดและกิ่งอ่อน เปลือกนอกของลำต้นมีสีน้ำตาลผสมกับดำ ตามแนวยาวแตกเป็นสะเก็ด เปลือกภายในเป็นสีน้ำตาลผสมเหลือง และมียางเหนียวสีเหลียงปนแดงอยู่ด้วย กิ่งของลำต้นขนาดเล็ก และจะถูกเปลี่ยนเป็นหนามแข็ง ,, ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่เรียงตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับไปถึงรูปขอบขนาน โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ มีขนขึ้นทั้งสองฝั่งของแผ่นใบ โดยหลังใบจะเป็นขนสาก ส่วนท้องใบจะเป็นขนนุ่มอยู่รวมกันอย่างแน่นหนา ใบมีความกว้างอยู่ที่ 3-5 เซนติเมตร ส่วนความยาวจะอยู่ประมาณ 3-13 เซนติเมตร ใบอ่อนมีสีแดงหรือชมพู และใบแก่จะเป็นสีแดงในช่วงก่อนผลัดใบ , ดอก เป็นดอกช่อกระจุก ออกบริเวณกิ่งด้านบนของรอยแผลใบ ดอกมีสีชมพูอ่อนถึงแดง ดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกมีขนสีขาวขึ้นที่บริเวณขอบกลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงจะมีขนขึ้นอยู่บริเวณด้านนอกประปราย มีเกสรเพศผู้มากแบ่งออกมา 3 กลุ่ม ส่วนรังไข่จะมีลักษณะเกลี้ยงเป็นรูปทรงรี, ผล เป็นผลแห้ง ลักษณะเป็นรูปรี ปลายผลแหลม มีความกว้างอยู่ที่ 0.4-0.6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวผลมีลักษณะแข็ง ตามผิวจะมีคราบสีนวล ๆ อยู่ มีกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่เกินครึ่งของผล เมื่อผลแห้ง ผลจะแตกออกเป็นพู 3 พู มีสีน้ำตาล และมีเมล็ดจำนวนมากอยู่ภายใน เมล็ดมีลักษณะเป็นขอบขนาน ดอกจะออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม,, ประโยชน์ติ้วขน เนื้อไม้มีคุณสมบัติ ไม่มีกลิ่น มีขี้เถ้าน้อย และให้ความร้อนได้ดี จึงมีการนำมาทำเป็นฟืน สามารถใช้เปลือกต้นมาสกัดเพื่อทำสีย้อมผ้าได้ ซึ่งจะให้เป็นสีน้ำตาลเข้ม นำมาใช้ในการก่อสร้าง ทำโครงบ้าน รั้ว เสาเข็ม ฯลฯ ได้ เนื่องจากเนื้อไม้มีความทนทานมาก และเนื้อไม้มีน้ำยางอยู่ทำให้ปลวกไม่กิน, ข้อมูลทางเภสัชวิทยา ค่าความเป็นพิษต่อเซลล์ม้ามของสารสกัด คือ IC50 93.31 มก./มล. ซึ่งไม่มีผลต่อการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกันโดยตรง แต่จะไปทำการลดอัตราการเพิ่มจำนวนของทีเซลล์และบีเซลล์ พืชชนิดนี้มีสารในกลุ่มเป็นแทนนิน คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ อัลคาลอยด์ และฟลาโวนอยด์ เป็นองค์ประกอบ อีกทั้งยังสามารถช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อไวรัสโรคเริม Herpes simplex virus type 1 ต้านเชื้อแบคทีเรีย V. cholerae และ S. aureus ไม่มีฤทธิ์กลายพันธุ์ในภาวะที่ไม่มีหรือมีเอนไซม์ แต่จะให้ฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ในภาวะที่มีเอนไซม์ทำงานร่วมอยู่ (ข้อมูลจากการศึกษาสารสกัดจากลำต้นด้วย 50% แอลกอฮอล์) สรรพคุณติ้วขน 1. ช่วยในการรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ โดยนำเปลือกและใบมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็น(เปลือกและใบ) 2....

ความรู้เรื่องผักและผลไม้

ตาสองชั้น

ตาสองชั้น ศัลยกรรมเพิ่มความสวยของรูปตา

ตาสองชั้น นอกจากจะช่วยให้ดวงตาดูสวยและอ่อนโยนขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปัญหาหนังตาได้ด้วย การทำตาสองชั้นมีเทคนิคหลายวิธีให้เลือก โดยจะต้องคำนึงถึงลักษณะของดวงตา
Sculptra

โปรแกรมSculptra สารกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

Sculptra คือ การนำสาร PLLA สังเคราะห์จากพืชฉีดเข้าผิวหนังชั้นกลางเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ร่องรอยจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีระยะเห็นผลอยู่ที่ 2 ปี

ความรู้เรื่องอาหารและขนม

สูตรสโคน ( ชาเชียวสตรอเบอรี่ และบลูเบอร์รี่ )

สูตรสโคน ( ชาเชียวสตรอเบอรี่ และบลูเบอร์รี่ )

สโคน สโคน ( Scone ) คือ เค้กทรงกลมแบน หรือรูปสามเหลี่ยมที่ทำจากแป้งสีขาวเนื้อละเอียดคล้ายบิสกิต สโคนเริ่มต้นจากการเป็นขนมปังจานด่วนแบบสก๊อตแลนด์เดิมทีทำด้วยข้าวโอ๊ตวางบนแผ่นเหล็กแล้วนำอบ สำหรับที่มาของคำว่า “ Skone” บางคนบอกว่ามันมาจากคำภาษาดัตช์ว่า 'schoonbrot' ซึ่งหมายถึงขนมปังที่สวยงามในขณะที่บางคนอ้างว่ามาจาก Stone of Destiny ซึ่งกษัตริย์แห่งสกอตแลนด์ได้รับการสวมมงกุฎ ตามพจนานุกรมของเว็บสเตอร์สโคนมีต้นกำเนิดในสกอตแลนด์ในช่วงต้นทศวรรษ 1500 สามารถเป็นได้ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน มักรับประทานเป็นอาหารเช้าเสิร์ฟพร้อมชา กาแฟ สโคนกลายเป็นที่นิยมและเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรมอันทันสมัยในการดื่มชาของชาวผู้ดีอังกฤษ สโคนถูกเสิร์ฟพร้อมกับน้ำชาในช่วงบ่ายกลายเป็นประเพณีของอังกฤษ คือ“ Afternoon Tea Time” ช่วงเวลา 16:00 นาที พวกเขายังคงเสิร์ฟทุกวันด้วยท็อปปิ้งครีมแบบดั้งเดิมในสหราชอาณาจักร >> สูตรมาการองชาเขียวทำง่าย ๆ ด้วยตัวเอง >> รู้หรือไม่สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาอีกด้วย อุปกรณ์การทำสโคนชาเชียวสตรอเบอรี่ พิมพ์กดคุกกี้ขนาดเส้นผ่านศูนย์ 5 เซนติเมตร กระดาษไขสำหรับรองนวดแป้ง กระดาษไข สำหรับปูถาด ไม้นวดแป้ง ส่วนผสมสโคนบลูเบอร์รี่ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม ผงฟู 10 กรัม เกลือป่น ⅛ ช้อนชา เนยชนิดจืด 40 กรัม น้ำตาลทรายขาว 45 กรัม ไข่ไก่เบอร์ 2 (1 ฟอง) นมสดรสจืด 100 กรัม บลูเบอร์รี่สด 150 กรัม ส่วนผสมสโคนชาเชียวสตรอเบอรี่ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม ผงชาเขียว 15 กรัม ผงฟู 10 กรัม เกลือป่น ⅛ ช้อนชา เนยสดชนิดจืด 40 กรัม น้ำตาลทรายขาว 45 กรัม ไข่ไก่เบอร์ 2 (1 ฟอง) นมสดรสจืด 100 กรัม สตรอเบอรี่อบแห้ง 150 กรัม แยมสตรอเบอรี่ ตามชอบ วิธีทำสโคนชาเชียวสตรอเบอรี่ 1. ร่อนแป้ง ผงชาเขียว เกลือ และผงฟูเข้าด้วยกันในโถผสม พักไว้ 2. ใช้หัวตีรูปใบไม้ตีเนยกับน้ำตาลด้วยความเร็งสูงนาน 2 นาที ใส่ไข่และนมลงไปตีให้เข้ากัน 3. ลดความเร็วลงต่ำ ค่อยๆใส่แป้งลงตีให้ส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นใส่สตรอเบอรี่อบแห้งลงไป ตีพอให้แป้งจับตัวเป็นก้อน (อย่าตีนาน) แล้วปิดเครื่องตี 4. นำแป้งมานวดต่อจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้ไม้รีดแป้งเป็นแผ่นหนาประมาณ 1 นิ้ว กดด้วยพิมพ์คุกกี้วางเรียงในถาดอบรองด้วยกระดาษไข โดยให้มีระยะห่างประมาณ 4 เซนติเมตร 5. นำเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส อบต่อประมาณ 20 นาที สังเกตจากแป้งสโคนเริ่มขึ้นฟูและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล 6. ยกออกจากเตา วางบนตะแกรงพักขนมไว้ให้พออุ่นๆ 7. จัดจานเสิร์ฟพร้อมแยมสตรอเบอรี่ บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

สูตรแคร็กเกอร์น่าลอง ทำกินเองได้ไม่ต้องพึ่งร้าน

เปลี่ยนช่วงเวลาว่างให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความอร่อยด้วย วิธีทำแครกเกอร์ โฮมเมดแสนง่ายจาก สูตรแครกเกอร์ ที่เราคัดสรรมาให้! ไม่ต้องเสียเวลาไปที่ร้าน เพราะคุณสามารถรังสรรค์แครกเกอร์กรอบหอมหลากรสชาติได้เองที่บ้าน เพียงเตรียม ส่วนผสมแครกเกอร์ ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็น แครกเกอร์ ส่วนผสม ที่หาง่ายหรือรสชาติที่คุณชื่นชอบ จากนั้นลงมือทำตาม วิธีทําแครกเกอร์ ที่เราแนะนำ แล้วคุณจะได้ลิ้มรสแครกเกอร์อร่อยถูกใจ จะทานเล่นหรือเสิร์ฟเป็นของว่างยามบ่ายก็เหมาะสุด ๆ ลองทำดู แล้วคุณจะเพลิดเพลินกับขนมโฮมเมดแสนอร่อยได้อย่างง่ายดาย แคร็กเกอร์ แครกเกอร์ ( Crackers ) เป็น หนึ่งในขนมปังอบมีความกรุบกรอบ แตกง่าย มีรูปทรงสามเหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยม หรือวงกลง รสชาติเค็มเล็กน้อย มีประวัติความเป็นมายาวนานมีส่วนประกอบหลักแป้ง เกลือ ปรุงรสด้วยเมล็ดธัญพืช สมุนไพร เครื่องเทศ ชีส เกลือ ออกมาเป็นขนมขบเคี้ยวที่เราเรียกว่า แครกเกอร์ ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1792 โดย John Pearson ซึ่งอาศัยอยู่ในเมือง Newburyport ในแมสซาชูเซตส์ และชื่อแคร็กเกอร์เกิดขึ้นในปี 1801 ขนมแครกเกอร์ ได้รับความนิยมไปทั่วโลกรวมทั้งร้านเบเกอรี่ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเหมาะเป็นขนมหรืออาหารว่าง อาหารทานเล่นในงานปาร์ตี้ ซึ่งในปัจจุบันจะมีร้านเบเกอรี่ที่ทำให้แครกเกอร์เป็นแบบดั้งเดิมนำมาพัฒนาสูตรใหม่ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า โดยการเพิ่มส่วนผสมบางอย่างให้ดูน่ากิน เพิ่มไส้แยมเข้าไปทำให้รสชาติเกิดความหลากหลายไม่น่าเบื่อสำหรับลูกค้าที่ชอบทานเป็นประจำ >> สูตรมาการองชาเขียวทำง่าย ๆ ด้วยตัวเอง >> สูตรทำสโคนทานเองยามว่างวันหยุด  ส่วนผสมแป้งแครกเกอร์ 1. แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย 2. เกลือป่น ½ ช้อนชา 3. ชีสแบบเส้น ตามชอบ 4. เนยแข็ง 4 ช้อนโต๊ะ 5. ครีม ⅓ ถ้วย 6. พริกไทย ½ ช้อนชา 7. งาดำ 10 กรัม 8. ไข่ไก่ 1 ฟอง วิธีทำแป้งแครกเกอร์ 1. ร่อนแป้ง เกลือด้วยใส่ในเครื่องผสมแป้ง แล้วใส่ชีส เนยลงไป แล้วปั่นพอหยาบ ตามด้วยใส่ครีมลงไปปั่นต่อจนเป็นเนื้อเดียวกัน 2. นำแป้งที่ได้เทใส่ถาดแบน รีดให้แป้งเป็นแผ่นบางๆ ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่าๆกัน เจาะรูตรงกลางแป้งทุกชิ้น พักไว้ 3. นำแผ่นแป้งที่เตรียมไว้ย้ายมาวางในถาดอีกอัน (อย่าวางติดกันเกินไป) 4. ทาไข่ลงบนหน้าแป้งแครกเกอร์ทุกชิ้น โรยหน้าด้วยเกลือ พริกไทย และงาดำ 5. นำไปอบ 20 นาที เสร็จแล้วนำออกมารอให้เย็น พร้อมเสิร์ฟเป็นอาหารว่างได้ ขนมแครกเกอร์เป็นขนมที่หาทานได้ง่ายได้รับความนิยมเป็นเวลานาน ราคาไม่แพง และที่สำคัญสามารถทำเองได้ง่าย ๆ ด้วยนะคะ บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ข่าวสุขภาพ

ตาสองชั้น

ตาสองชั้น ศัลยกรรมเพิ่มความสวยของรูปตา

ตาสองชั้น นอกจากจะช่วยให้ดวงตาดูสวยและอ่อนโยนขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปัญหาหนังตาได้ด้วย การทำตาสองชั้นมีเทคนิคหลายวิธีให้เลือก โดยจะต้องคำนึงถึงลักษณะของดวงตา
Sculptra

โปรแกรมSculptra สารกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

Sculptra คือ การนำสาร PLLA สังเคราะห์จากพืชฉีดเข้าผิวหนังชั้นกลางเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ร่องรอยจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีระยะเห็นผลอยู่ที่ 2 ปี