เรื่องราวข่าวสารและความรู้

ความรู้เรื่องมะเร็ง

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

เชื้อพยาธิเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้

0
  เชื้อพยาธิ เชื้อพยาธิ ( Parasite ) คือ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ คอยแย่งอาหาร หรือดูดเลือด และมักจะ ทำให้เกิดอันตรายต่อคนหรือสัตว์ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่มันอาศัยอยู่ พยาธิมีมากมายหลายชนิดแตกต่างกัน นอกจากนี้เราสามารถพบระยะต่าง ๆ ของพยาธิปะปนอยู่ในธรรมชาติที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของมัน เช่น ในดิน พื้นหญ้า ในน้ำ ในเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ พืชผักต่าง ๆ น้ำดื่ม และในแมลงพาหนะนำโรคหลายชนิด>> พยาธิใบไม้ตับมีอาการอย่างไร และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร มาดูกันค่ะ >> อาการของมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นอย่างไร และการป้องกันได้อย่างไร มาดูกันค่ะ พยาธิสามารถเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร พยาธิสามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้หลายทางที่สำคัญคือ ทางปาก เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า พยาธิตัวตืดชนิดต่าง ๆ พยาธิใบไม้ตับ และพยาธิใบไม้ลำไส้บางชนิด พยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ปอด และพยาธิหอยโขง ทางผิวหนัง เช่น พยาธิปากขอ พยาธิเส้นด้าย ทางสายรกในครรภ์ เช่น พยาธิตัวจี๊ด พยาธิที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก 1. Toxoplasma gondii ( T. gondii ) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อปรสิต พบในสัตว์ เช่น นก หนู แกะ และมนุษย์ เกิดจากกินอาหารปนเปื้อนอุจจาระแมว การกินเนื้อไม่สุกหรือเนื้อดิบ ดื่มน้ำหรือของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อ กินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโดยตรงหรือที่ติดมากับเครื่องครัวต่างๆ ไม่ล้างมือหลังสัมผัสเนื้อที่ปนเปื้อน กินผักผลไม้ที่เปื้อนดินหรือน้ำที่ปนเปื้อน อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ จากการศึกษาผู้ป่วยรายหนึ่งไม่ได้เลี้ยงแมว และไม่มีประวัติครอบครัวของมะเร็งใดๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการกินอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด มีงานวิจัยพบว่าพยาธิ T. Gondii สามารถกำจัดได้ด้วยสารสกัดจากใบพลู ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่ 2 ได้ลองใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพรต่าง ๆ คาดว่ามีใบพลูสกัดอยู่ด้วย ปรากฏว่าค่า PSA ลดลงเหลือเพียง 0.06 ng/ml ( จากเดิมมีค่าสูงเกือบ 20 ng/ml ) 2. Trichomonas vaginalis ( T. vaginalis ) หรือ พยาธิในช่องคลอด เป็นภาวะติดเชื้อปรสิตจากทางเพศสัมพันธ์ ขนาดเล็กยาวประมาณ 7 – 32 ไมโครเมตร และกว้างประมาณ 5 – 12 ไมโครเมตร อาศัยอยู่ในช่องคลอดและท่อปัสสาวะของผู้หญิง ส่วนในผู้ชายพบในต่อมลูกหมาก ในท่อเก็บอสุจิและท่อปัสสาวะ จากการศึกษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากรายหนึ่ง ซึ่งมีประวัติครอบครัวของโรคมะเร็ง (มารดาเป็นมะเร็งปอด และยายเป็นมะเร็งลำไส้) คาดว่าสาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อ ร่วมกับพันธุกรรม ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่ 1 รายนี้รักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรกำจัดพยาธิ อาหารเสริม โปรไบโอติก และรวมทั้งเคมีบำบัดและการผ่าตัด 3. Echinococcus granulosus ( E. granulosus ) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อปรสิตที่เกิดจากพยาธิตัวตืด อาศัยในลำไส้ของหมู ตัวเต็มวัยมีลำตัวแบนคล้ายริบบิ้น มีสีขาว ยาว 2 ถึง 3 เมตรหรือมากกว่า พยาธิดำเนินชีวิตครบวงจรในคนซึ่งเป็นโฮสต์จำเพาะ ( definitive host ) และหมูเป็นโฮสต์ตัวกลาง ( intermediate host...
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

อาหารเสริมทางการแพทย์ ที่เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็ง

0
อาหารเสริมทางการแพทย์ คือ อาหารเสริมทางการแพทย์ ( Medical Supplements ) คืออะไร? เมื่อร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วย ร่างกายต้องการสารอาหารมากกว่าคนปกติ เพื่อที่จะได้นำสารอาหารเข้าไปซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบภายในร่างกายให้กลับมามีสภาพที่แข็งแรงดังเดิม โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องการสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โรคมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นผู้ป่วยที่มีความกังวลใจในหลายด้าน ทั้งด้านการรักษาการดูแลตนเองและการเลือกรับประทานอาหาร  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ทำให้เราได้รับข่าวสารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่ส่งผลให้เกิดมะเร็งหรือส่งผลให้มะเร็งเกิดการลุกลามมากขึ้น ดังนั้นเมื่อตนเองเป็นโรคมะเร็งเกิดขึ้นจึงมีความกังวลใจเกี่ยวกับการรับประทานอาหารว่าอาหารบางชนิดอาจจะส่งผลให้มะเร็งที่เป็นอยู่เกิดการแพร่กระจายลุกลามมากขึ้นกว่าเดิม จึงเลือกที่จะไม่รับประทานอาหารหรือรับประทานอาหารบางชนิดเพียงอย่างเดียวตลอดเวลา เช่น ผัก ผลไม้ และไม่ยอมรับประทานอาหารประเภทอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ เลยแม้แต่น้อย ด้วยความเชื่อที่ว่าการรับประทานผักและผลไม้จะสามารถช่วยให้หายจากโรคมะเร็งได้ ซึ่งการรับประทานแต่เฉพาะผักและผลไม้เพียงอย่างเดียวจะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหารที่จะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยอ่อนแอไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อมะเร็ง บางครั้งอาจจะส่งผลให้ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งอ่อนแอมากขึ้น หรือเกิดภาวะที่ขาดสารอาหารจนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ ดังนั้นการเลือกอาหารและการรับประทานอาหารให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนการรักษาโรคมะเร็งเลยทีเดียว และหากจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็งก็จะสามารถทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ อาหารเสริมทางการแพทย์ ควรทานคู่กับอาหารปกติเพราะการได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้น นอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูและหายจากอาหารป่วยได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในขณะที่เข้ารับการรักษาในแต่ละขั้นตอนได้อีกด้วย โรคมะเร็งเกิดขึ้นจากการที่เซลล์ภายในร่างกายมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ สาเหตุของเซลล์มะเร็งเกิดจากการกลายพันธ์ของดีเอ็นเอ ( DNA ) ที่อยู่ภายในเซลล์ ซึ่งเซลล์มะเร็งจะสามารถทำลายเซลล์เนื้อเยื่อที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง และยังสามารถแพร่กระจายไปทำลายเซลล์ที่อวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลได้อีกด้วย >> กินอาหารอย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง >> การกินอาหารที่ถูกต้องสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษา การรักษามะเร็งที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี คือ 1. การรักษาด้วยการผ่าตัด คือ การผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อหรือก้อเซลล์มะเร็งออกมาจากร่างกาย เพื่อลดความเจ็บปวดและลดความเสี่ยงที่เซลล์มะเร็งจะเข้าไปสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในร่างกายได้ ซึ่งการรักษาด้วยการผ่าตัดจะทำในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจะในระยะที่ 1 หรือระยะ 2 ที่ยังมีการลุกลามไม่มากเท่านั้น การผ่าตัดไม่สามารถรักษามะเร็งให้หายขาดได้ ต้องทำการรักษาด้วยการฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัดร่วมด้วยเท่านั้น 2. การรักษาด้วยการฉายรังสี ( Radiotherapy ) คือ การฉายรังสีที่มีพลังงานสูง เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมม่า อนุภาคอิเลคตรอน อนุภาคโปรตอน อนุภาคนิวตรอน เป็นต้น โดยจะทำการฉายรังสีเข้าไปยังตำแหน่งที่มีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น รังสีที่ฉายเข้าสู่เซลล์มะเร็งจะเข้าไปทำลายสารพันธุกรรมที่อยู่ภายในของเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้สารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งเกิดความเสียหายจนเซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตและตายลงในที่สุด 3. การรักษาด้วยเคมีบำบัด ( Chemotherapy ) หรือการทำคีโม คือ การให้ยาเคมีเพื่อทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถทำการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้และตาย การให้ยาเคมีบำบัดจึงสามารถควบคุมและลดขนาดของก้อนมะเร็งให้มีขนาดคงที่หรือเล็กลงได้ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นของร่างกาย และยังสามารถช่วยบรรเทาปวดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ด้วย แต่สำหรับการรักษามะเร็งเต้านมยังมีการรักษาด้วย การบำบัดด้วยฮอร์โมน ( Endocrine Therapy ) เป็นการรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย เพราะว่ามะเร็งเต้านมจะสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายมีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ดังนั้นการลดปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนจึงสามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งไม่ให้มีการลุกลามมากขึ้น ซึ่งบางครั้งการรักษาโรคมะเร็งไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีการเดียวแล้วจะรักษาให้หายขาดได้ แต่ต้องใช้การรักษาร่วมกันมากกว่า 1 วิธี จึงจะสามารถทำการมะเร็งให้หายขาดและไม่กลับมาเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งในขณะที่ทำการรักษาแต่ละขั้นตอนผู้ป่วยก็จะมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นมากน้อยต่างกันไป ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการสารอาหารมากกว่าปกติเป็นอย่างมาก อาหารเสริมทางการแพทย์ เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ร่างกายทำการผลิตสารโพรอินเฟรมมาทอรี่ไซโตไคน์ ( Proinflamatory Cytokines ) ที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งการอักเสบนี้จะเข้าไปเพิ่มให้มีเผาผลาญพลังงานเกิดมากขึ้นจนกลายเป็นภาวะไฮเพอร์เมแทบอลิก ( Hypermetabolic ) ที่มีอัตราเร็วของกระบวนการเมแทบอลิซึม ( Metabolism ) ที่สูงกว่าปกติจึงทำให้มีการสลายโปรตีน ไขมันที่มีในร่างกายมากขึ้น จนร่างกายต้องเกิดการสูญเสียไขมันและโปรตีนมากผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเกิดความเครียดของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีความกังวลและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการรักษาโรคมะเร็ง ความเครียดที่เกิดขึ้นจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างการผลิตฮอร์โมนแห่งความเครียด ( Stress hormones ) เช่น แอดรีนาลิน ( Adrenalin ) และ คอร์ติซอล ( Cortisol ) ส่งผลให้ร่างกายมีอัตราการเมตาบิลิซึมสูงเช่นเดียวกับการเพิ่มของสารโพรอินเฟรมมาทอรี่ไซโตไคน์ ( Proinflamatory Cytokines ) เมื่อร่างกายมีอัตราการเมตาบอลิซึมที่มากกว่าปกติ ร่างกายจำเป็นต้องใช้สารอาหารที่มากขึ้นเพื่อนำเข้ามาใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึมที่เกิดขึ้น แต่ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสารอาหารเท่าเดิมหรือน้อยกว่าปกติ หรือรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมกับต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ร่างกายก็จะเกิดภาวะขาดสมดุลของโภชนการหรือเกิดภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก เพราะผู้ป่วยจะมีอาการทรุดลงเนื่องจากการขาดสารอาหารนี้ อาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง คือ อาหารเสริมทางการแพทย์ ( Medical...

ความรู้เรื่องเบาหวาน

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

โรคแทรกซ้อนทางตาจากเบาหวานที่ควรรู้

0
โรคแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มักทราบระยะเวลาการเริ่มเป็นเบาหวานได้อย่างชัดเจน โดยในช่วง 5 ปีแรกมักไม่พบภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา อย่างไรก็ตาม หลังจากเป็นเบาหวานมาแล้ว 15 ปี มีโอกาสพบเบาหวานขึ้นจอประสาทตาระยะรุนแรงหรือการเกิดหลอดเลือดฝอยใหม่เพิ่มมากขึ้น ระยะของโรคแทรกซ้อนทางตา 1. เบาหวานขึ้นตาระยะต้น หรือระยะที่ยังไม่มีหลอดเลือดฝอยงอกใหม่ ( Non-proliferative diabetic retinopathy : NPDR ) 2. เบาหวานขึ้นจอตาระยะรุนแรง หรือระยะที่มีหลอดเลือดฝอยงอกใหม่ ( Proliferative diavetic retinopathy : PDR )>> ภาวะวุ้นตาเสื่อม เป็นอย่างไร ? อยากรู้มาดูกันค่ะ >> อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน เป็นอย่างไรมาดูกันค่ะ สาเหตุโรคแทรกซ้อนทางตา เกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้หลอดเลือดแดงของจอตาเกิดความผิดปกติ พบความอ่อนแอของผนังหลอดเลือดของจอตาจนเกิดหลอดเลือดฝอยโป่งพอง เรียกว่า ไมโครอะนูริซึม มีจุดเลือดออกเล็กๆกระจายทั่วไป มักมีรูรั่วทำให้มีน้ำและไขมันรั่วออกมา ทำให้จอตาบวมน้ำและมีจุดไขมันสีเหลืองบริเวณจุดภาพชัดทำให้มีอาการตามัว อาการโรคแทรกซ้อนทางตา ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เป็นในระยะแรกๆ จะไม่มีอาการ แต่ถ้าเป็นมากขึ้นมักพบอาการตามัวเป็นเงาดำคล้ายหยากไย่ลอยไปมา บางรายเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีม่านมาบัง ผู้ป่วยบางรายก็อาจไม่มีอาการเลย แม้จะมีเบาหวานขึ้นจอตาอย่างรุนแรง การวินิจฉัย แพทย์จะเริ่มเก็บข้อมูลจากการซักประวัติของผู้ป่วย ประวัติเบาหวานของคนในครอบครัว ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน อาการที่พบ ประวัติการควบคุมเบาหวาน โรคประจำตัวอื่นๆ ทดสอบการมองเห็น การรักษาโรคแทรกซ้อนทางตา แพทย์จะประเมินการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของเบาหวานขึ้นจอตา การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การควบคุมระดับความดันเลือด การควบคุมระดับไขมัน ในเลือด การยิงแสงเลเซอร์ การฉีดยาเข้าวุ้นตา การผ่าตัดจอตาและวุ้นตา โรคแทรกซ้อนทางตาในผู้ป่วยเบาหวานสามารถรักษาได้ ถ้าตรวจพบและเข้ารักการรักษาแต่เนิ่นๆ ร่วมตอบคำถามกับเรา บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่ง ประเทศไทย, กรมการแพทย์, สำนักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับเบาหวาน 2554. 1st ed. กรุงเทพ: บริษัท ศรีเมืองการพิมพ์จำกัด;2554.
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

โภชนาการเสริมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์คุณภาพทางการแพทย์

0
อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ส่งผลต่อโภชนาการและการทำงานของตับ ระบบดูดซึมน้ำตาลในเลือดจึงผิดปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำพลังงานไปใช้ได้อย่างเหมาะสม เมื่อปล่อยให้เป็นเรื้อรัง อาจเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไต โรคระบบประสาท และปัญหาการมองเห็นถึงขั้นตาบอดได้ การเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสมจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ อาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน จำเป็นกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus: DM, Diabetes ) คือ โรคที่เกิดจากภาวะของตับอ่อนมีการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน  ( Insulin ) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอหรือการที่ร่างกายมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้อินซูลินไม่สามารถทำการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย ดังนั้นเมื่อปริมาณฮอร์โมนอินซูลินน้อยหรือฮอร์โมนอินซูลินสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายได้ ส่งผลให้น้ำตาลที่คงเหลืออยู่ในกระแสเลือดมีปริมาณสูงขึ้น>> เบาหวานมีกี่ชนิดและมีวิธีป้องกันการเป็นเบาหวานได้อย่างไร อยากรู้มาดูบทความนี้กันค่ะ >> ลักษณะอาการของผู้ป่วยเบาหวานเป็นอย่างไร มาเช็คตัวเองกันค่ะ โรคเบาหวานที่พบได้แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. เบาหวานชนิดที่ 1 ( Type 1 Diabetes ) คือ โรคเบาหวานที่เกิดจากการขาดอินซูลิน เพราะเบต้าเซลล์ (Beta cells) ที่อยู่ในตับอ่อนไม่สามารถทำการผลิตออร์โมนอินซูลินออกมาได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดความผิดปกติจึงเข้าไปยับยั้งหรือไปทำลายเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถทำการสร้างฮอร์โมนอินซูลินออกมาได้ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้จะมีอายุประมาณ 5-24 ปี 2. เบาหวานชนิดที่ 2 ( Type 2 Diabetes ) คือ เบาหวานที่เกิดขึ้นเนื่องจากความเสื่อมของเซลล์ในตับอ่อนที่มีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนอินซูลินหรือเกิดเนื่องจากการที่ร่างกายมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยหรือที่เรียกว่า “ภาวะดื้ออินซูลิน ( Insulin Resistance )” ภาวะดื้ออินซูลินนี้อาจเป็นสาเหตุของความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับตับซึ่งเป็นที่มาของโรคเบาหวาน นอกจากความเสื่อมที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น ซึ่งเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมหรือพฤติกรรมการดำรงชีวิต เช่น การไม่ออกกำลังกาย ความอ้วนหรือโรคอ้วน การรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงตลอดเวลา ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคเบาที่พบส่วนใหญ่ประมาณ 90 % ของผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้ 3. เบาหวานชนิดที่ 3 ( Type 3 Diabetes ) หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ( Gestational Diabetes Mellitus ) คือ เบาหวานชนิดนี้จะเกิดขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงมีการตั้งครรภ์ แม้ว่าจะไม่เคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากช่วงที่ตั้งครรภ์บางคนร่างกายจะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินน้อยลง ดังนั้นถ้าร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถทำการผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดภาวะโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ขึ้น แต่เมื่อคลอดลูกแล้วอาการของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นก็จะหายไปเอง แต่ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานในขณะที่ตั้งครรภ์นั้นจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้ นอกจากเบาหวานทั้ง 3 ชนิดแล้ว ยังมีเบาหวานชนิดพิเศษอื่น ๆ ที่มีสาเหตุแบบเฉพาะเจาะจง เช่น การเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ผลจากการผ่าตัด การเสพยาเสพติด การเกิดภาวะขาดสารอาหาร โรคตับอ่อน การได้รับยากลุ่มสเตีบรอยด์ เป็นต้น ซึ่งเบาหวานชนิดพิเศษพบได้น้อยมากประมาณ 1 % ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด โรคเบาหวานสามารถตรวจเช็คได้ด้วยการตรวจวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด โรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus: DM, Diabetes ) คือ โรคที่เกิดจากภาวะของตับอ่อนมีการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ( Insulin ) อาการผู้ป่วยโรคเบาหวาน 1. บาดแผลหายช้า แผลเบาหวาน ( Diabetic Ulcer ) เป็นอาการที่พบได้มากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมากผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่อเป็นแผลจะหายช้ากว่าคนทั่วไป เนื่องจากหลอดเลือดที่นำพาเลือดไปเลี้ยงส่วนที่เป็นแผลมีการตีบ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลหมุนเวียนไปหล่อเลี้ยงที่บริเวณบาดแผลได้ ส่งผลให้แผลหายช้าและมักเนื้อที่บริเวณบาดแผลจะมีโอกาสตายมากขึ้นจนกลายเป็นแผลลุกลาม 2. กินบ่อยแต่น้ำหนักลด ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีอาการหิวบ่อยเนื่องจากไม่สามารถดึงน้ำตาลที่มีอยู่ในกระแสเลือดเข้าไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ทำให้ร่างกายรู้สึกหิวตลอดเวลา แต่ถึงแม้จะกินบ่อยขึ้นแต่พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานกลับมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างชัดเจน เนื่องร่างกายไม่สามารถดึงน้ำตาลในเลือดมาใช้ได้ จึงทำการดึงไขมันและโปรตีนที่อยู่ในร่างกายมาใช้แทน...

ความรู้เรื่องไขมันในหลอดเลือดและความดันโลหิต

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ความดันต่ำเกิดจากอะไร ป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไร

0
ความดันโลหิตต่ำ ความดันโลหิตต่ำคือ ( Low Blood Pressure / Hypotension ) เป็น ภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ โดยแพทย์จะกำหนดความดันโลหิตต่ำเป็น 90 มากกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท>> ความดันโลหิตเกิดจากสาเหตุใด และมีอาการสังเกตุอย่างไร บทความนี้มีคำตอบค่ะ >> ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์อันตรายมากหรือไม่ มาดูคำตอบกันค่ะ ความดันต่ำมีอาการอย่างไร ผู้ที่มีความดันต่ำอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อวัดค่าความดันโลหิตได้ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท อาการของความดันต่ำที่พบบ่อย และมีอาการต่างๆดังนี้ เวียนหัว มึนงง หน้ามืด ตาพร่ามัว หายใจเร็ว หน้าซีด มือ เท้าเย็น กระหายน้ำ ร่างกายอ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก เป็นลมหมดสติ สาเหตุความดันต่ำเกิดจากอะไร ความดันโลหิตต่ำด้มีสาเหตุหลายประการสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ 1) ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า นั่ง นอน หรือลุกขึ้นยืนทันที 2) ภาวะความดันโลหิตต่ำภายหลังรับประทานอาหาร 3) ภาวะความดันโลหิตต่ำจากระบบประสาทอัตโนมัติ 4) ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการบาดเจ็บอย่างรุนแรงหรือภาวะช็อก 5) ความดันต่ำจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคพาร์กินสัน ปัจจัยเสี่ยงของความดันต่ำ 1. อายุ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมักเกิดขึ้น เช่น เจอเหตุการณ์น่ากลัว ยืนเป็นเวลานาน การอยู่ในที่แออัด อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกะทันหัน 2. ยาที่รับประทาน เช่น ยาในกลุ่ม Alpha blockers ยาในกลุ่ม Beta-blockers ยาไนโตรกลีเซอริน (Nitroglycerin) ยาขับปัสสาวะ ยาโรคซึมเศร้า 3. สารอาหาร เช่น ขาดวิตามินทั้ง B-12 โฟเลต ธาตุเหล็ก 4. โรค เช่น โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน โรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคที่เกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การดูแลตัวเองสำหรับคนเป็นความดันต่ำ ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 2 ถึง 3 ลิตรทุกวัน ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากที่นั่ง หรือนอนราบ ไม่เปลี่ยนท่านั่ง นอนลงไป หรือยืนทันที นอนยกหัวขึ้นประมาณ 15 เซ็นติเมตร รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง ควรนอนราบหรือนั่งนิ่ง ๆ สักพักหลังจากรับประทานอาหาร ทำจิตใจให้สบายลดความเครียด การรับประทานเกลือ ผัก ผลไม้ที่มีโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสมหรือ 1 ช้อนชา สามารถช่วยเพิ่มระดับความดันโลหิต การออกกำลังกายเบา ๆ อย่างน้อย 30 นาที ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตได้ ควรสวมถุงน่องช่วยการบีบรัด ซึ่งช่วยให้เลือดไหลกลับขึ้นจากขาและเท้าได้อย่างดี การป้องกันความดันต่ำทำได้อย่างไร การรับประทานอาหารมื้อเล็กวันละหลาย ๆ ครั้ง ช่วยป้องกันความดันต่ำได้ หลีกเลี่ยงการนั่ง หรือยืนเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนตอนกลางคืน การรักษาความดันต่ำเบื้องต้น 1. อาการไม่รุนแรง หรือระดับปานกลาง ให้คอยติดตามอาการ จดบันทึกอาการที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งเพื่อประโยชน์ต่อการวินิจฉัยและรักษา 2. หากความดันต่ำที่เกิดจากการรับประทานยา แพทย์อาจเปลี่ยนตัวยาหรือปรับลดขนาดยาลง แต่สำหรับภาวะความดันต่ำที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้การรักษาจึงไม่เฉพาะเจาะจง แพทย์จะพิจารณาการใช้ 3. สวมถุงน่อง หรือถุงน่องที่ใช้ในทางการแพทย์ ช่วยเพิ่มความดันโลหิตและการไหลเวียนของเลือด 4. เพิ่มปริมาณเกลือในอาหาร แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม 5. ดื่มน้ำมากขึ้น จะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดในร่างกาย ทำให้เลือดไม่ข้นหนืดและไหลเวียนดีขึ้น อาหารแก้ความดันต่ำมีอะไรบ้าง 1. ธัญพืชต่างๆ เช่น เมล็ดงา ข้าวโอ๊ต ถั่วขาว ถั่วแระ นมถั่วเหลือง อัลมอนด์ 2. ผลไม้ที่มีวิตามินซี วิตามินอี...
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) เกิดได้อย่างไรกัน

0
โรคตับแข็ง คือ โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) คือ โรคตับเรื้อรังระยะสุดท้ายที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวรใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ย 15 ถึง 20 ปี ทำให้เนื้อเยื้อมีลักษณะเป็นปุ่มและกลายเป็นพังผืดที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ ผู้ป่วยโรคตับแข็งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากกว่าคนสุขภาพแข็งแรง เนื่องจากความสามารถในการกำจัดเชื้อลดลง>> โรคไขมันพอกตับ เกิดขึ้นได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> โรคพิษสุราเรื้อรัง สามารถรักษาได้อย่างไร มาดูกันค่ะ สาเหตุของตับแข็ง 1. ไขมันพอกตับจากการดื่มสุรา 2. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง 3. โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน 4. ความผิดปกติของเมตาบอริซึม เช่น ภาวะเหล็กเกิน โรควิลสัน 5. ยาและสารพิษ 6. โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจด้านขวาล้มเหลวเรื้อรัง 7. โรคตับอักเสบเหตุไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา 8. โรคพิษสุราเรื้อรัง เกิดจากการดื่มแอลกฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาการของตับแข็ง โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยโรคตับแข็งอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อยมาก อาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนและระยะของโรค ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยได้แก่ มีไข้ต่ำๆ อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผอมลงน้ำหนักลด ภาวะบวมทั่วร่างกาย ผู้หญิงประจำเดือนมาไม่ปกติ ดีซ่าน ( Jaundice ) เช่น อาการตาเหลือง ตัวเหลือง ท้องมาน ( ascites ) ท้องโตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ร่างกายส่วนอื่นผอมลง มีอาการแน่นใต้ชายโครงขวา หรือคลำก้อนได้ใต้ชายโครงขวา หรือม้ามโต ภาวะเลือดออกผิดปกติ อาการทางสมอง ผู้ป่วยมีอาการสับสน ไม่ค่อยรู้ตัว การวินิจฉัยตับแข็งโดยแพทย์ 1.การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย เช่น มีประวัติการดื่มสุราเป็นเวลานาน 2.การตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ 3.ตรวจภาพตับด้วยอัลตราซาวด์ 4. เจาะชิ้นเนื้อจากตับ ตรวจทางพยาธิวิทยา ระยะของตับแข็ง ระยะที่ 1 ผู้ป่วยระยะ compensated ที่ตรวจไม่พบภาวะท้องมาน และไม่พบหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพอง ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 1 ต่อปี ระยะที่ 2 ผู้ป่วยระยะ compensated ที่ตรวจพบหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพอง โดยที่ไม่มีภาวะท้องมานและไมมีเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 3 - 4 ต่อปี หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้นอัตราการเสียชีวิตต่อปีก็จะมากขึ้น ระยะที่ 3 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่ตรวจพบภาวะท้องมาน โดยมีหลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพองร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้แต่ต้องไม่เคยมีเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง ผู้ป่วย ในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 20 ต่อปี ระยะที่ 4 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่มีภาวะเลือดออกจากหลอดเลือดดำโป่งพอง โดยที่อาจพบภาวะท้องมานร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ในกลุ่มนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดคือร้อยละ 57 ต่อปีโดยผู้ป่วยครึ่งหนึ่งอาจเสียชีวิตภายใน 6 สัปดาห์ หลังการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร ระยะที่ 5 ผู้ป่วยในระยะ decompensated ที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือด ระยะนี้เป็นระยะที่เพิ่งถูกกำหนดขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าผู้ป่วยในระยะ decompensated อาจมีการติดเชื้อได้ง่ายจาก ภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ลดลง โดยจะเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตสูงสุดถึงมากกว่าร้อยละ 60 การรักษาและการป้องกัน การรักษาภาวะตับแข็งมีวัตถุประสงค์ เพื่อหยุดการพัฒนาของเนื้อเยื่อแผลเป็นในตับและเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ดังต่อไปนี้ งดการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสารที่เป็นอันตรายต่อตับ หากมีอาการบวมที่ข้อเท้าและท้อง ควรจำกัดเกลือและอาหารรสเค็ม เข้ารับการฉีดวัคซีนสำหรับโรคไวรัสตับอักเสบ AและB ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม เนื่องจากผู้ป่วยโรคตับแข็งมีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่าคนปกติ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาวะไขมันพอกตับขึ้นจนนำไปสู่โรคได้ หลีกเลี่ยงหรืองดการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคตับ พบแพทย์เพื่อติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามการเกิดพังผืดในตับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดโรคตับแข็ง ซึ่งเมื่อโรคมีการดำเนินเข้าสู่ระยะแรกผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ส่งผลให้มีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้นได้ บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง Cirrhosis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org .

ความรู้เรื่องภาวะโรคอ้วน

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) คืออะไร

0
โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) โยโย่เอฟเฟค คือ อาการที่อดอาหารแล้วกลับมากินอาหารมากกว่าเดิม การลดน้ำหนักไม่ว่าจะรูปแบบใด หากไม่ศึกษาให้ดีพอ จะเกิดโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) ได้ รูปร่างที่สมส่วนนำมาซึ่งสุขภาพที่ดี แต่ถ้าคนเรามีน้ำหนักมากเกินไปย่อมนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ น้ำหนักที่เพิ่มสูงขึ้นจากการรับประทานอาหารที่มากเกินไปหรือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ ทำให้ร่างกายมีการสะสมของไขมันส่วนเกินส่งผลให้เกิดเป็นโรคอ้วน ซึ่งเราสามารถตรวจดูได้ว่าเราเป็นโรคอ้วนหรืออยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนหรือไม่ด้วยการหาค่าดัชนีมวลกาย ( Body Mass Index : BMI ) ของตัวเอง ว่ามีค่าอยู่ในระดับที่เป็นโรคอ้วนเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ซึ่งค่าที่ BMI นี้สามารถคำนวณได้จาก>> การหาค่าดัชนีมวลกาย ( BMI ) ทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> ปัญหาที่มักพบคู่กับการลดน้ำหนักคืออะไร มาดูกันค่ะ BMI = น้ำหนัก ( กิโลกรัม ) / ส่วนสูง ( เมตร )2   ซึ่งค่า BMI นี้สามารถบ่งบอกสภาวะของร่างกายได้ดังนี้ Body Mass Index : BMI สภาวะของน้ำหนัก Body Mass Index : BMI สภาวะของน้ำหนัก น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ 18.5-22.9 สมส่วน 23.0-24.9 น้ำหนักเกิน ร่างกายมีภาวะท้วม เริ่มเป็นโรคอ้วนระดับที่ 1 25.0-29.9 น้ำหนักเกิน ร่างกายมีภาวะอ้วนอย่างชัดเจน เริ่มมีภาวะเสี่ยงในการเกิดจากความอ้วน มากกว่า 30.0 น้ำหนักเกิน ร่างกายอ้วนมาก โรคอ้วนระดับสูง ภาวะเสี่ยงในการเกิดโรคสูงมาก   ดังนั้นเมื่ออยู่ในภาวะอ้วนเราจึงจำเป็นต้องลดน้ำหนักลงเพื่อสร้างสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) ซึ่งวิธีการลดน้ำหนักก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป บางวิธีก็เห็นผลช้าแต่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว บางวิธีเห็นผลเร็วสามารถลดน้ำหนักได้ทันใจ แต่ทว่าหลังจากที่ลดน้ำหนักไปแล้วสิ่งหนึ่งที่หลายคนต้องเผชิญ ก็คือ การเกิดโยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) ที่ส่งผลให้เรากลับมาอ้วนมากกว่าก่อนที่จะทำการลดน้ำหนักเสียอีก โยโย่เอฟเฟค ( YOYO Effect ) คืออะไร? โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดที่ต้องการเอาชีวิตรอด เกิดจากการที่เราทำการลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายด้วยการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน หรือออกกำลังอย่างหนักหน่วงจนทำให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายเข้าใจผิดคิดว่าร่างกายกำลังจะตาย เมื่อร่างกายรู้สึกว่าจะต้องตาย ร่างกายก็จะทำการส่งสัญญาณไปยังทุกระบบของร่างกายให้ลดการใช้พลังงานอย่างเร่งด่วน เพื่อที่ร่างกายจะได้มีพลังงานเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้นจะได้มีชีวิตรอดยาวนานขึ้นนั่นเอง เมื่อร่างกายมีสัญญาณดังกล่าวออกมาจะทำให้ระบบการเผาผลาญและระบบการสลายไขมันเกิดน้อยลงตามไปด้วย ส่งผลให้น้ำหนักตัวที่เคยลดลงอย่างรวดเร็วหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อน้ำหนักไม่ลดตามที่ต้องการก็จะก่อให้ความเครียด ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในร่างกายจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเกรลิน ( Grelin Hormone ) ที่เป็นฮอร์โมนแห่งความหิวออกมามากขึ้น และถ้าร่างกายมีฮอร์โมนเกรลินมาก ๆ จะทำให้เราหิวจนตาลาย ส่งผลให้เรากินมากกว่าปกติโดยที่เราไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้เราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไป แบบนี้เราจึงอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง นี่คือกระบวนการที่ทำให้เกิด “ โยโย่เอฟเฟค ” ที่หลายคนรู้จักกัน เรารู้จักกับการเกิดโยโย่เอฟเฟคกันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการโยโย่เอฟเฟค ( yoyo effect ) โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละประมาณ 2,000 Kcal ส่วนผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าผู้ชายโดยผู้หญิงจะมีการเผาผลาญพลังงานวันละ 1,800 Kcal ถ้าเราได้รับพลังงานมากกว่าที่เราใช้ไปต่อวัน พลังงานส่วนที่เหลือก็จะเข้าไปสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันถ้าเราได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ไปในแต่ละวัน ร่างกายก็จะทำการดึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายมาใช้ โดยการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานกับร่างกายทำให้น้ำหนักตัวของเราลดลง เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเราสามารถลดพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกายได้ 7,000 Kcal เราจะสามารถลดไขมันไปได้ถึง 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นหมายถึงว่าน้ำหนักของเราก็จะลดลง 1 กิโลกรัม แสดงว่าถ้าในผู้หญิงได้รับพลังงานเข้าไปวันละ 800 Kcal เราก็จะต้องดึงพลังงานจากไขมันภายในร่างกายมาใช้ 1,000...
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

เทคนิคควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ด้วยวิธีง่าย ๆ

0
การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยากหรือซับซ้อน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายสามารถทำได้โดยการตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง และทำตามขั้นตอนที่ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการเลือกอาหารที่มีประโยชน์และลดการบริโภคอาหารที่มีแคลอรีสูง เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ดและขนมหวาน นอกจากนี้ การเพิ่มการออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินหรือทำกิจกรรมที่ชอบ จะช่วยให้การควบคุมน้ำหนักเป็นเรื่องที่สนุกและง่ายดายขึ้น >> การหาค่าดัชนีมวลกาย ( BMI ) ทำได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> อาหารลดน้ำหนักแบบไหนที่เหมาะกับสุขภาพของ สำหรับการดูว่ารูปร่างของตัวเองอยู่ในระดับที่พอดีแล้วหรือยัง ก็สามารถดูได้จากดัชนีมวลกาย ( BMI ) โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้ BMI = น้ำหนัก ( กิโลกรัม ) หารด้วยส่วนสูง ( เมตร )2 เมื่อได้ผลลัพธ์จากการคำนวณตามสูตรแล้ว ก็ให้เอามาแปลผล ดังนี้ ถ้า BMI ต่ำกว่า 19 หมายความว่า รูปร่างผอม ถ้า BMI 20-24.9 หมายความว่า รูปร่างพอดี สมส่วน ถ้า BMI 25-29.9 หมายความว่า อ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน ถ้า BMI 30 ขึ้นไป แสดงว่าอ้วนถึงขนาดที่เรียกว่า โรคอ้วน เมื่อพบว่ามีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรือเข้าข่ายที่เรียกว่าอ้วน ควรรีบทำการลดน้ำหนักในทันที โดยให้ลดแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมานั่นเอง วิธีการลดน้ำหนักที่เหมาะสม 1.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานโดยลดพลังงานจากอาหาร ความอ้วน เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องลดความอ้วนด้วยการลดพลังงานจากอาหารในแต่ละวันให้น้อยลง โดยสามารถทำได้ด้วยการจำกัดอาหารพลังงานสูง จำกัดอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต ลดปริมาณน้ำตาลให้น้อยลงหรืออาจใช้น้ำตาลเทียมแทนก็ได้ นอกจากนี้ควรเน้นเพิ่มผักผลไม้และอาหารที่มีประโยชน์ให้มากขึ้นด้วย 2.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายก็จะช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะเป็นการเพิ่มการใช้พลังงานให้มากขึ้นนั่นเอง โดยแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเดินหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 20-30 นาที เป็นประจำทุกวัน 3.การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้มีการซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ และยังช่วยลดความรู้สึกหิวได้ดีอีกด้วย โดยทั้งนี้ควรนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เท่านี้การลดน้ำหนักก็จะไม่ยากจนเกินไปแล้ว 4.ทานยาอาหารเสริมลดน้ำหนัก สามารถใช้ยาอาหารเสริมลดน้ำหนักเป็นตัวช่วยได้แต่จะต้องเลือกอาหารเสริมที่เป็นสมุนไพรเท่านั้น และทานในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งอาหารเสริมที่จะช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี ก็คือ บุก สารสกัดจากผลส้มแขก โครเมียม สารสกัดจากพริก สารสกัดจากชาเขียวและสารสกัดจากเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น และที่สำคัญก่อนซื้อก็ควรดูด้วยว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดังกล่าวมีเครื่องหมาย อย. หรือไม่ นั่นก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณนั่นเอง 5.รู้จักยับยั้งชั่งใจ และที่สำคัญเลย ก็คือการรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ให้ตัวเองเผลอทานอาหารมากเกินความจำเป็น ซึ่งหากทำได้ก็จะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็อาจต้องใช้ความพยายามพอสมควร โดยเฉพาะคนที่ตามใจปากจนติดเป็นนิสัย โรคร้ายที่อาจจะมาพร้อมกับความอ้วน ก็ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคข้อเข่าเสื่อม โรคความดันโลหิตสูง มะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคนิ่วในถุงน้ำดีนั่นเอง วิธีการดูแลและควบคุมน้ำหนักตัว 1. ควบคุมสัดส่วนและปริมาณอาหารแต่ละกลุ่มให้พอเหมาะแต่ละวัน 2. กินอาหารเช้าทุกวัน 3. กินอาหารพออิ่มในแต่ละมื้อ 4. กินอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป 5. กินผักและผลไม้ที่มีรสไม่หวานมาก 6. กินอาหารมื้อเย็นห่างจากเวลานอนไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง 7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารมันจัด 8. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 9. ประเมินและวิเคราะห์น้ำหนักตัวเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ ผลเสียของการมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ โดยเหตุผลที่เราควรลดน้ำหนักทันทีเมื่อพบว่าน้ำหนักเกิน หรือต้องรักษาน้ำหนักตัวให้พอดีอยู่เสมอนั้น ก็เป็นเพราะการมีน้ำหนักตัวเกินจะนำมาซึ่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมากมายนั่นเอง โดยโรคร้ายที่มักจะพบบ่อยจากการเป็นโรคอ้วนก็ได้แก่ 1. โรคไขมันในเลือดสูง เกิดจากการที่ร่างกายมีไขมันมากเกินไป ซึ่งก็อาจทำให้ไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและเสี่ยงต่อการเป็นไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ในที่สุด 2. โรคหัวใจ อีกหนึ่งโรคที่มีความอันตรายเป็นอย่างมาก โดยในคนที่มีน้ำหนักตัวเกินก็จะเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคนี้ได้มากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ 3. โรคเบาหวาน แน่นอนว่าเมื่อเป็นโรคอ้วน ก็มักจะเป็นเบาหวานตามมาด้วยเสมอ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการทานน้ำตาลหรือของหวานมากเกินไป และผลจากความอ้วนที่ทำให้อินซูลินมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง จึงทำให้เป็นเบาหวานได้นั่นเอง ทั้งนี้โรคเบาหวานเมื่อเป็นแล้วก็จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และยังมีความอันตรายเป็นอย่างมากอีกด้วย 4. โรคข้อกระดูกเสื่อม เพราะร่างกายต้องรับน้ำหนักตัวที่มากเกินไปอยู่เสมอ จึงอาจทำให้ข้อกระดูกเกิดการเสื่อมสภาพได้ เปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันด้วยการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาที่จะควบคุมน้ำหนักของตนเองได้อย่างเต็มที่มากนัก ก็สามารถเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันให้กลายเป็นการลดน้ำหนักและรักษาน้ำหนักตัวให้พอดีได้ไม่ยาก โดยมีวิธีดังนี้ 1. ตื่นนอนเร็วกว่าเดิม การตื่นนอนเร็ว จะทำให้เรามีเวลาทำอะไรต่ออะไรมากขึ้น พร้อมทั้งได้เคลื่อนไหวร่างกายในหนึ่งวันมากกว่าเดิมจึงสามารถลดน้ำหนักได้ดี 2. เดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์ การเดินขึ้นลงบันไดสามารถช่วยลดน้ำหนักและควบคุมน้ำหนักตัวได้ดีอย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นมาเดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์กันดีกว่า 3. ทำอาหารกลางวันเอง ควรทำอาหารเพื่อห่อไปกินกลางวันด้วยตัวเองจะดีกว่า เพราะจะได้เลือกวัตถุดิบและควบคุมเครื่องปรุงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ แถมยังมั่นใจได้ถึงความสะอาด ปลอดภัยอีกด้วย 4. ทำงานบ้าน การทำงานบ้านก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะร่างกายได้เคลื่อนไหวอยู่เสมอ...

ความรู้เรื่องโรคไตและระบบทางเดินปัสสาวะ

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( Cystitis )

0
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ( Cystitis ) เป็นการอักเสบของเยื่อบุผิวกระเพาะปัสสาวะที่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และเชื้อโปรโตซัว หรือเรียกว่า " การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ " โดยมากพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ปัยจัยและพฤติกรรมที่กระตุ้นการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ได้แก่ การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน การรักษาความสะอาดไม่ถูกวิธี การอักเสบจากสารเคมี หรืออักเสบจากการฉายรังสี เป็นต้น  สาเหตุในการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ 1) มีการตกค้างของปัสสาวะในกระเพาะเป็นเวลานาน เช่น การกลั้นปัสสาวะนาน ดื่มน้ำมากทำให้ร่างกายขับปัสสาวะออกมามากขึ้น 2) การดูแลรักษาความสะอาดบริเวณจุดซ้อนเร้นในเพศหญิงไม่ถูกต้อง 3) ผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยที่รับยากดภูมิต้านทาน ผู้ป่วยมะเร็งที่ให้เคมีบำบัด เป็นต้น 4) จากการมีเพศสัมพันธ์ 5) การคุมกำเนิด โดยใช้ถุงยางอนามัยที่มีสารเคลือบบางชนิด 6) การใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน>> อาการปัสสาวะเป็นเลือดเกิดจากอะไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีอาการอย่างไร ดูได้จากบทความนี้ค่ะ อาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปวดท้องน้อย มีไข้ ปัสสาวะบ่อยครั้ง ครั้งละไม่มาก ปวดแสบในขณะเบ่งปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ปัสสาวะมีสีขุ่น หากรุนแรงอาจเป็นหนองได้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยสำหรับผู้ป่วยบางคน เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะได้ 3 ทาง ดังนี้ 1) การติดเชื้อย้อนกลับขึ้นไปจากท่อปัสสาวะ 2) เชื้อโรคแพร่กระจายมาทางกระแสเลือด 3) เชื้อโรคแพร่กระจายมาทางกระแสน้ำเหลือง การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบของแพทย์ แพทย์จะประเมินอาการอย่างละเอียด และเลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นกรณีไป เช่น การเก็บปัสสาวะจากการเจาะดูดผ่านหน้าท้อง การสวนผ่านท่อปัสสาวะ และหรือการเก็บปัสสาวะช่วงกลางของการปัสสาวะ เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายและมีความรุนแรงน้อยที่สุด ข้อควรปฏิบัติ และป้องกันการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเมื่อปวดเป็นเวลานาน ปัสสาวะก่อนเข้านอนกลางคืนทุกครั้ง ควรปัสสาวะก่อนการเดินทางช่วงการจราจรติดขัด หรือเดินทางไกล ไม่ควรดื่มน้ำมาก หากต้องทำงานหรือทำกิจกรรมในสถานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปัสสาวะ ดูแลความสะอาดหลังการทำธุระในห้องน้ำทุกครั้ง สังเกตความผิดปกติของตนเอง เช่น ปัสสาวะติดขัด มีอาการปวดแสบ หรือปัสสาวะปนสีเลือด รีบไปพบแพทย์ทันที บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิง ภัทร์ ศักดิ์ศิริสัมพันธ์ (2561).กระเพาะปัสสาวะอักเสบและการป้องกันการเกิดซ้ำฯ (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://tci-thaijo.org . Mayo Clinic (2018).Cystitis (ออนไลน์).สืบค้นจาก : https://www.mayoclinic.org .
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ไตวาย ไม่ตายไว

0
ไตวาย ก่อนที่จะไปกล่าวถึงโรคไตวาย ลองมาดูความสำคัญและหน้าที่ของไตกันก่อนว่า ไต คืออะไร และมีหน้าที่สำคัญอย่างไรต่อร่างกายของมนุษย์เรา ไต หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า Kidney คือ อวัยวะอย่างหนึ่งที่อยู่ภายในร่างกายของมนุษย์มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดงอยู่บริเวณส่วนล่างของช่องท้อง ไตมีสองข้าง คือซ้ายและขวา ไตขวาอยู่ในช่องท้องด้านขวาด้านใต้อยู่ติดกับตับ ส่วนไตซ้ายอยู่ใต้กะบังลมติดกับม้าม มีต่อมหมวกไต ( Adrenal Gland ) อยู่ด้านบนของไตทั้งสองข้าง โดยจะมีชั้นไขมันสองชั้นห่อหุ้มอยู่ ภายในไตนั้นจะมี 2 ชั้น คือ ชั้นนอก เรียกว่า คอร์เทกซ์ ( Cortex ) ส่วนนี้มีสีแดง ขณะที่ชั้นใน จะเรียกว่า เมดูลลา ( Medulla ) ส่วนนี้มีสีขาว  โรคไตวาย ในทุกๆวันนี้ มีโรคภัยไข้เจ็บมากมายที่เกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้างเรา รวมกระทั้งที่เกิดกับตัวเราเองด้วย มีตั้งแต่โรคที่มีความรุนแรงของโรคน้อยจนไปถึงโรคที่มีความรุนแรงของโรคมาก  ซึ่งหากมาลองวิเคราะห์กันดูถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่เกิดขึ้นก็จะพบว่า สาเหตุของหลายๆโรค มักมาจากการใช้ชีวิตพฤติกรรมที่ผิดๆ การทานอาหารที่ผิดหลักโภชนาการ เป็นส่วนใหญ่ โรค ไตวาย ก็เป็นโรคอีกชนิดหนึ่งที่มักมีสาเหตุมาจากการใช้ชีวิตหรือการกินหาอาหารที่ไม่ถูกต้อง เป็น โรคที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน  หากเกิดโรคไตวายขึ้นกับร่างกายจะทำให้ไตที่เป็นอวัยวะสำคัญของมนุษย์ไม่สามารถทำงานได้ปกติเหมือนเดิม จึงทำให้ระบบกลไกในร่างกายมีความผิดปกติตามไปด้วย โรคไตวายมีรายละเอียดอย่างไร จะอธิบายดังต่อไปนี้ หน้าที่หลักของไต คือ เป็นอวัยวะที่เกี่ยวกับกับระบบปัสสาวะ ทำหน้าที่ กรองของเสีย น้ำ และเกลือแร่ ส่วนเกินในร่างกายออกจากเลือด แล้วจึงทำการขับออกมาพร้อมกับน้ำในรูปของปัสสาวะ >> ไตวายมีสาเหตุและอาการอย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยไตวายเป็นอย่างไร บทความนี้มีคำตอบค่ะ ภาวะไตวาย คืออะไร? ภาวะไตวาย ( Renal failure ) หรือ ไตล้มเหลว หรือ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ไตล้ม คือ ภาวะที่ไตทั้งสองข้างสูญเสียการทำงาน จนทำงานได้น้อยกว่าปกติหรืออาจทำงานไม่ได้เลย ทำให้ไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะได้ ทำให้มีของเสียเกิดการสะสมจนเป็นพิษต่อร่างกาย อาการนี้ส่งผลกระทบต่อดุลของอิเล็กโทรไลต์ และความเป็นกรดด่างในเลือด และถ้าเป็นไตวายชนิดเรื้อรัง ฮอร์โมนบางชนิดที่ไตเป็นสร้างขึ้นมา ก็จะลดน้อยลงไปด้วย ทำให้อวัยวะแทบทุกส่วนในร่างกายมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น  ประเภทของภาวะไตวาย เราสามารถแบ่งประเภทของโรคภาวะไตวายออกได้เป็น 2 ชนิด คือ 1. ภาวะไตวายชนิดเฉียบพัน ( Acute Kidney Failure หรือ Acute Renal Failure ) ไตวายเฉียบพลัน คือ การที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน มีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยที่ผู้ป่วยไม่เคยมีโรคของไตมาก่อน เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น การได้รับสารซึ่งเป็นอันตรายต่อไต  การกินยารักษาโรคในปริมาณที่มากติดต่อกัน เป็นเวลานาน เกิดการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น อาการไตวายเฉียบพลัน โดยทั่วไปสามารถรักษาให้หายกลับมาได้เป็นปกติ โดยใช้วิธีล้างไต เพื่อนำของเสียและสารพิษต่างๆออก เพื่อให้ไตกลับมาทำงานได้เป็นปกติ ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เคยเป็นไตวายเฉียบพันแล้วก็มีความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นไตวายซ้ำได้อีก หรือในบางราย ไตจะค่อย ๆ เสื่อมลงกลายเป็นไตวายเรื้อรังได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค หรือการได้รับการรักษาที่ล่าช้า จนไตเริ่มเสื่อมแล้ว 2. ภาวะไตวายชนิดเรื้อรัง ( Chronic Kidney Failure หรือ Chronic Renal Failure )  ไตวายเรื้อรัง เกิดจากภาวะการที่เนื้อไตถูกทำลายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย อาจจะใช้ระยะเวลานานเป็นเดือน หรือเป็นปี โรคนี้จัดเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ ที่มีอายุมาก นอกจากภาวะนี้ไตวายเรื้อรัง ยังเป็นผลแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆด้วย  เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและอื่นๆ โดยโรคเหล่านี้จะไปทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อไต และยังรวมถึงการใช้ยาที่มีพิษต่อไตเป็นจำนวนมากอีกด้วย สาเหตุของการเกิดโรคไตวายชนิดต่างๆ สาเหตุในการเกิดโรค ของภาวะไตวายชนิดต่างๆ ...

ความรู้เรื่องโรคสมองเสื่อม

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้ป่วยสมองเสื่อม

0
โรคสมองเสื่อม โรคสมองเสื่อม เป็นโรคที่มีความซับซ้อนค่อนข้างมาก ตั้งแต่การค้นหาสาเหตุไปจนถึงลำดับการรักษา เพราะใจความสำคัญของโรคสมองเสื่อมมีเพียงแค่อย่างเดียว นั่นคือมีความเสียหายเกิดขึ้นที่สมองส่วนใดส่วนหนึ่ง จึงส่งผลกระทบทำให้ระบบการทำงานของสมองและร่างกายบกพร่องไป ในการรักษาผู้ป่วยแต่ละรายก็ต้องมีการตรวจวินิจฉัยกันอย่างละเอียดก่อนว่าความเสียหายของสมองนั้นคือบริเวณไหน และระดับความเสียหายมากเท่าไร ด้วยความที่ตำแหน่งของต้นเหตุและความรุนแรงของอาการที่ต่างกัน จะทำให้ต้องเลือกวิธีแก้ไขที่ต่างกันนั่นเอง การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมจึงเป็นการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 ฝ่ายคือ ตัวผู้ป่วยเอง ทีมแพทย์และญาติหรือผู้ดูแลใกล้ชิดของผู้ป่วย นอกจากเรื่องของการใช้นวัตกรรมการทางแพทย์รักษาในส่วนของโรค พร้อมกับการปรับตัวของผู้ป่วยและญาติที่ต้องเปลี่ยนแปลงกันยกใหญ่แล้ว ยังมีข้อกำหนดทางกฎหมายอีกเรื่องที่ต้องคำนึงถึงด้วยเหมือนกัน เพราะอย่างไรเสียผู้ป่วยก็อาจยังต้องทำกิจกรรมอื่นใดทางกฎหมายอยู่ และเพื่อไม่ให้การกระทำนั้นกลายเป็นโมฆะในภายหลังซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายบางประการ ก็ต้องทำความเข้าใจหลักการทำนิติกรรมของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเอาไว้ด้วย โดยหลักทั่วไปบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะทำกิจกรรมใดๆ ก็ได้อย่างเท่าเทียมกัน รวมไปถึงการทำสัญญาหรือนิติกรรมต่างๆ ด้วยแต่ในทางกฎหมายก็ได้มีข้อยกเว้นเอาไว้ในบุคคล 3 กลุ่มได้แก่ ผู้เยาว์ บุคคลไร้ความสามารถ และบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ เหตุผลก็คือคนกลุ่มนี้อาจมีสติสัมปชัญญะไม่เพียงพอขณะทำนิติกรรม หรือมีสุขภาพ ความประพฤติ ตลอดจนความนึกคิดต่างๆ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำนิติกรรม จึงต้องมีผู้ดูแลช่วยจัดการให้แทน เพื่อคุ้มครองสิทธิและป้องกันความเสียหายอันจะเกิดกับคนทั้ง 3 กลุ่มและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นก่อนอื่นมาดูก่อนว่าบุคคลแบบไหนที่จะเข้าข่าย 3 กลุ่มที่จะหย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมกันบ้าง >> สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการโรคสมองเสื่อมคืออะไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> วัคซีนที่ใช้รักษาโรคสมองเสื่อมเป็นอย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ บุคคล 3 กลุ่มที่หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรม 1. ผู้เยาว์ หมายถึง บุคคลที่อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ถือว่ายังมีวุฒิภาวะน้อยและอาจจะยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก การทำนิติกรรมสัญญาต่างๆ จึงต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นบิดามารดานั่นเอง และผู้เยาว์จะเริ่มทำนิติกรรมด้วยตัวเองเพียงลำพังได้ก็ต่อเมื่อบรรลุนิติภาวะที่อายุ 20 ปีบริบูรณ์ หรือมีการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วเท่านั้น 2. บุคคลไร้ความสามารถ หมายถึง บุคคลที่มีจิตไม่ปกติหรือมีความพิการทางสมอง ซึ่งศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว มีอาการควบคุมสติตัวเองไม่ได้และไม่สามารถเข้าใจถึงความผิดชอบชั่วดีได้อย่างคนปกติทั่วไป ทำกิจวัตรส่วนตัวไม่ได้ต้องมีคนคอยดูแลใกล้ชิดอยู่เสมอ กลุ่มนี้จะต้องมีผู้ทำนิติกรรมแทนทั้งหมดและบางอย่างก็ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนด้วย เราสามารถแยกคนกลุ่มนี้ให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นโดยแบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้ 2.1 คนวิกลจริต : เน้นไปที่ความผิดปกติทางด้านจิตใจเป็นหลัก อาจเรียกง่ายๆ ว่ากลุ่มคนสติวิปลาสหรือคนบ้า และต้องมีลักษณะ 2 ประการประกอบกันคือ ต้องเป็นอย่างมาก คือ มีระดับความผิดปกติทางจิตใจที่รุนแรง ไม่รู้สิ่งใดผิดหรือถูก สติฟั่นเฟือน หลงๆ ลืมๆ จนก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นได้ ต้องเป็นประจำ คือ ความผิดปกติทางจิตใจที่เป็นอยู่นั้นต้องเป็นอยู่เรื่อยๆ อาจดีบ้าง สลับกับวิกลจริตบ้าง ไม่เกี่ยวกับว่าแต่ละครั้งที่จิตผิดปกติจะกินเวลานานเท่าไร แต่ต้องมีอาการมานานมากพอให้ระบุได้ว่าบุคคลนี้มีความวิกลจริต 2.2 คนไร้ความสามารถ : บุคคลที่หย่อนความสามารถเนื่องจากอาการทางจิต และถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว โดยที่ศาลจะต้องถูกร้องขอจากคนที่มีความสัมพันธ์กับบุคคลนั้น จึงจะออกคำสั่งได้ บุคคลที่มีสิทธิในการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ใครคนใดคนหนึ่งหลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ ได้แก่ คู่สมรส โดยต้องเป็นลักษณะของการสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย หากเป็นเพียงคู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันธรรมดาหรือจัดพิธีแต่งงานเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจยื่นคำร้องได้ บุพการี หมายรวมทั้งบิดามารดา และเครือญาติสายเลือดเดียวกันที่ดูแลใกล้ชิดมาตลอด ผู้สืบสันดาน ได้แก่ ลูกหลาน ผู้ปกครอง ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลแทนกรณีไม่มีบิดามารดาหรือญาติพี่น้องอื่นๆ ผู้พิทักษ์ คือผู้ควบคุมดูแลคนเสมือนไร้ความสามารถ เขายื่นคำร้องต่อศาลเมื่อผู้ที่อยู่ในความดูแลเกิดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากคนเสมือนไร้ความสามารถกลายเป็นคนวิกลจริตหรือไร้ความสามารถขึ้นมา พนักงานอัยการ 3. บุคคลเสมือนไร้ความสามารถ หมายถึง บุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เพราะเล็งเห็นว่ามีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ตัดสินใจไปในทางที่ไม่ชอบได้ ได้แก่ 3.1 บุคคลที่พิการทางกาย : จะเป็นมาแต่กำเนิดหรือเกิดจากอุบัติเหตุในภายหลังก็ได้ 3.2 บุคคลที่มีจิตไม่สมประกอบ : มีอาการจิตเภทหรือสมองพิการ แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นวิกลจริต 3.3 มีความประพฤติที่สุรุ่ยสุร่าย : ใช้จ่ายเกินฐานะอยู่ตลอดเวลาจนสูญเสียทรัพย์สินไปเป็นอันมาก 3.4 ติดสุราหรือสารเสพติด : ต้องถึงขั้นที่ไม่สามารถดูแลงานที่เป็นหน้าที่ของตัวเองได้ จะเห็นว่าเมื่อแจกแจงรายละเอียดออกมาจนหมดแล้ว ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมก็มีโอกาสที่จะเข้าข่ายผู้หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมตามกฎหมายได้ถึง 2 กลุ่มด้วยกัน นั่นคือ กลุ่มบุคคลไร้ความสามารถและกลุ่มบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ ผลของการไร้ความสามารถในการทำนิติกรรม เมื่อเข้าข่ายของผู้ที่หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมแล้ว ก็ต้องปรับตัวไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดทางกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดให้มีผู้แทนโดยชอบธรรมรับหน้าที่ดูแลนิติกรรมทั้งหมดของผู้ไร้ความสามารถในการทำนิติกรรม จะเป็นบิดามารดา สามีภรรยา หรือคนอื่นที่ใกล้ชิดกันก็ได้ตามแต่ความประสงค์ของผู้ไร้ความสามารถและผู้ดูแล ตลอดจนได้รับความเห็นชอบจากศาลด้วย หากผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมีระดับอาการที่ไม่รุนแรงมากและบังเอิญเข้าข่ายกลุ่มคนเสมือนไร้ความสามารถ ก็จะสามารถทำนิติกรรมบางอย่างได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใดเลย ยกเว้นนิติกรรมที่เห็นชัดเจนว่าเมื่อทำแล้วเกิดความเสียหายต่อผู้ใดแม้แต่คนเดียว หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินก็จะต้องได้รับความยินยอมเสียก่อน...
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

4 พฤติกรรมและอาการประสาทจิตเวชที่เกิดจากสมองเสื่อม

0
สมองเสื่อม ภาวะสมองเสื่อมเป็นคำเรียกโดยรวมของโรคที่เกิดจากความเสียหายของสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วส่งผลกระทบต่อการกระทำ การแสดงออก ความคิดและการตัดสินใจของผู้ป่วย เมื่อเราลงรายละเอียดเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมกันอีกนิด ก็จะพบว่าภาวะสมองเสื่อมนี้ยังแตกแขนงไปได้อีกหลายประเภท ซึ่งนั่นหมายความว่าอาการของโรคก็จะแตกต่างกันไปด้วย บางกลุ่มของโรคแทบไม่แสดงอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนเลยในระยะแรกถึงระยะกลาง กว่าผู้ป่วยจะถูกพาตัวมารักษาก็เกือบจะเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว ในขณะที่บางกลุ่มของโรคก็แสดงอาการชัดเจนเลยตั้งแต่เริ่มต้นจึงทำการรักษาได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตามผลลัพธ์สุดท้ายของภาวะสมองเสื่อมก็คือทำให้เกิดการถดถอยของสมรรถภาพของสมองทำให้เกิดอาการทางจิตนั่นเอง พฤติกรรมและประสาทจิตเวชอันเนื่องมาจากภาวะสมองเสื่อม หรือบีพีเอส ( Behavioral and Psychiatric Symptoms:BPS ) เป็นอีกหนึ่งอาการของภาวะสมองเสื่อมที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างโรคสมองเสื่อมกับโรคอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง เพราะสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออกนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกัน ทั้งในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และผู้ป่วยจิตเวชที่ไม่ได้มีภาวะสมองเสื่อม แต่เมื่อวินิจฉัยได้แน่นอนแล้วว่าเป็นอาการจิตประสาทที่เกิดจากความถดถอยทางสมรรถภาพของสมอง บีพีเอสจะกลายกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แพทย์ตีกรอบเพื่อระบุภาวะสมองเสื่อมได้แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นผลดีอย่างมากต่อการรักษาผู้ป่วยต่อไป พฤติกรรมและประสาทจิตเวชอันเนื่องมาจากภาวะสมองเสื่อม หรือบีพีเอส ( Behavioral and Psychiatric Symptoms:BPS ) สามารถแบ่งลักษณะอาการเด่นๆ ได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอาการโรคจิต กลุ่มอาการผิดปกติทางอารมณ์ กลุ่มพฤติกรรมอันเนื่องมาจากสมองกลีบหน้าทำงานบกพร่อง และกลุ่มที่เกี่ยวกับปัญหาการนอนหลับ โดยที่ในแต่ละกลุ่มไม่ได้มีเปอร์เซ็นต์ที่แน่ชัดว่ากลุ่มใดจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นได้มากกว่า ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งวัย ระดับความรุนแรงของความเสียหายในสมอง และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ แต่ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการอยู่ในกลุ่มไหนก็ล้วนสร้างปัญหาให้ผู้ดูแลทั้งสิ้น หลายรายเมื่อต้องรับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยไปนานๆ ก็จะรู้สึกเป็นภาระและเกิดโรคซึมเศร้าขึ้น แม้แต่ตัวผู้ป่วยเองอาการ BPS ก็กระตุ้นให้ความเสื่อมทางสมองทรุดหนักลงอีกหากไม่มีการจัดการทางความคิดหรือพฤติกรรมการแสดงออกที่ดีพอ>> สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการโรคสมองเสื่อมคืออะไร อยากรู้มาดูกันค่ะ >> สมองเสื่อมมีผลต่อการทำกิจวัตรประจำวันมากน้อยอย่างไร มาดูกันค่ะ  กลุ่มเสี่ยงที่เป็นอาการประสาทจิตเวช 1. กลุ่มอาการโรคจิต ( Psychotic Symptoms ) เป็นกลุ่มของอาการทางจิตประสาทของผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึ่งอาจจะคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคจิตหรือผู้ป่วยจิตเภท ( Schizophrenia ) แต่จะไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านการวินิจฉัยโรคและวิธีดำเนินการรักษา จุดที่ใช้สังเกตเพื่อแยกแยะผู้ป่วยโรคจิตเภทออกจากผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมก็คือ ในผู้ป่วยจิตเภทพบเจอลักษณะอาการที่อยู่ในกลุ่มอาการโรคจิตหลากหลายกว่า และพบได้ในผู้ป่วยจิตเภทตั้งแต่ช่วงระยะต้นๆ ในขณะที่เมื่อพูดถึงกลุ่มอาการโรคจิตในผู้ป่วยสมองเสื่อม ประเด็นที่เรามักจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษมีเพียง 2 ประเด็นเท่านั้น ก็คือ อาการหลงผิด ( Delusion ) และประสาทหลอน ( Hallucination ) ทั้งสองอย่างนี้พบได้น้อยมากในผู้ป่วยสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น แต่กลับพบได้บ่อยมากในผู้ป่วยสมองเสื่อมระยะรุนแรง ลักษณะของอาการเป็นแบบขึ้นๆ ลงๆ ไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ว่าจะเกิดเมื่อไร อย่างไร 1.1 อาการหลงผิด ( Delusion ) เป็นความผิดปกติของระบบความคิด จุดเด่นของอาการกลุ่มนี้คือการมีความเชื่อที่ไม่เป็นจริง และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย นั่นจึงเป็นต้นเหตุของปัญหาและความเครียดที่จะตามมาในส่วนของตัวผู้ป่วยเองและญาติที่ดูแลใกล้ชิด อาการหลงผิดยังสามารถแยกย่อยเป็นประเด็นต่างๆ ได้อีกดังนี้ อาการหลงผิดชนิดไม่วิตถาร ( Non-bizarre delusion ) : หมายถึงอาการหลงผิดแบบที่ยังพอเข้าใจได้ว่าผู้ป่วยกำลังคิดหรือวิตกกังวลเรื่องอะไร ได้แก่ มีความเชื่อว่ามีคนปองร้ายอยู่ตลอดเวลา ( persecutory delusion ) จึงระแวงและหวาดกลัวจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ บ้างมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นไม่ยอมก้าวออกจากบ้านอีกเลย เชื่อว่ามีคนปลอมตัวมาเป็นญาติหรือเพื่อนของตนของตน ( Capgras delusion ) ส่งผลให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดูแล เพราะผู้ป่วยจะไม่ไว้วางใจคนใกล้ชิดและไม่ยอมให้เข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวเลย เชื่อว่ามีคนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน ( phantom boarder syndrome ) เชื่อว่าสมบัติถูกขโมย ( delusion of theft ) และเชื่อว่าคู่ชีวิตหรือคู่สมรสนอกใจ ( jealousy delusion ) อาการหลงผิดกรณีต่างๆ มีปัจจัยหนึ่งทางจิตวิทยาที่มีแนวโน้มในการเกิดระบุเอาไว้ด้วย นั่นคือเรื่องของความผูกพันธ์กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากๆ เช่น ผู้ป่วยที่รักคู่ชีวิตของตัวเองมากๆ ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดอาการที่เชื่อว่าคู่ชีวิตหรือคู่สมรสนอกใจ ( jealousy delusion...

ความรู้เรื่องตรวจเลือดและตรวจเช็คสุขภาพ

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis )

0
ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) ภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ( Leukocytosis ) คือ ภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวในโลหิตสูงกว่าปกติ โดยภาวะนี้อาจเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม หรือเป็นกลไกที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ ทำให้มีเม็ดเลือดขาวในร่างกายมากกว่า 11,000 เซลล์/ไมโครลิตร ซึ่งโดยปกติแล้วจำนวนเม็ดเลือดขาวจะอยู่ระหว่าง 4,000 – 11,000 เซลล์/ไมโครลิตร >> 6 พืชผักสมุนไพรกับการช่วยดูแลสุขภาพมีอะไรบ้าง อยากรู้ตามมาดูกันค่ะ >> โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เกิดขึ้นได้อย่างไร อยากรู้มาดูกันค่ะ  ชนิดของเม็ดเลือดขาว โดยปกติแล้วในร่างกายจะมีสัดส่วนของเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด คือ นิวโทรฟิล 40-80%, ลิมโฟไซต์ 20-40%, โมโนไซต์ 2-10%, อีโอซิโนฟิล 1-6% และ เบโซฟิล 0-2% 1. เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล ( Neutrophil ) เป็นชนิดของเม็ดเลือดขาวที่มีมากที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการป้องกันการติดเชื้อ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา พิษจากสารต่าง ๆ หรือแม้แต่ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ซึ่งถ้านิวโตรฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย 2. เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ( Lymphocyte ) เป็นเม็ดเลือดขาวที่ผลิตจากไขกระดูก เม็ดเลือดขาวชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย ๆ คือ บีเซลล์ ( B-Cell ) และทีเซลล์ ( T-Cell ) เมื่อเม็ดเลือดขาวถูกผลิตออกมาแล้ว 25% ที่เป็นบีเซลล์จะยังอยู่ในไขกระดูก ส่วนเม็ดเลือดขาว 75% จะเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองและเลือด จากนั้นก็จะพัฒนาเป็นทีเซลล์ต่อไป โดยเม็ดเลือดขาวชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการต่อสู้กับการติดเชื้อ และป้องกันการติดเชื้อในครั้งต่อไป ซึ่งถ้าลิมโฟไซต์มีค่าสูงจะแสดงถึงสัญญาณของการติดเชื้อไวรัส หรือการก่อตัวของเชื้อมะเร็ง 3. เม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิล ( Eosinophil ) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้และป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ปรสิต และทำหน้าที่ควบคุมอาการอักเสบที่ทำให้เกิดอาการแพ้และโรคหอบหืด ซึ่งถ้าอีโอซิโนฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงสัญญาณของภูมิแพ้หรือติดเชื้อปรสิตในร่างกาย เช่น พยาธิ อะมีบา เป็นต้น 4. เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ ( Monocyte ) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่ทำหน้าที่กำจัดจุลินทรีย์ สิ่งแปลกปลอม และเซลล์ที่ตายแล้วซึ่งถ้าโมโนไซต์มีค่าสูงจะแสดงถึงการติดเชื้อไวรัสที่ไม่มีอาการรุนแรงมากนัก และสามารรถรักษาให้หายได้ 5. เม็ดเลือดขาวชนิดบาโซฟิล ( Basophil ) เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่ช่วยป้องกันและรักษาการติดเชื้อจากจากบาดแผล บรรจุสารที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการแพ้และช่วยควบคุมการแข็งตัวของเลือด ซึ่งถ้าบาโซฟิลมีค่าสูงจะแสดงถึงอาการแพ้ https://www.youtube.com/watch?v=2rrC1XZOgv0 สาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดขาวสูง 1. มีการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวจำนวนมากเพื่อมาต่อสู้กับเชื้อโรค เช่น ติดเชื้อแบคทีเรีย ติดเชื้อไวรัส ติดเชื้อปรสิต 2. ร่างกายมีการอักเสบ เนื่องจากการอักเสบเป็นหนึ่งในกลไกตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน และเกี่ยวข้องกับการทำงานของเม็ดเลือดขาวโดยตรงด้วย 3. ไขกระดูกมีความผิดปกติ เซลล์เม็ดเลือดขาวนั้นถูกสร้างในไขกระดูก ดังนั้น หากไขกระดูกเกิดความผิดปกติก็อาจส่งผลให้การสร้างเม็ดเลือดขาวมากหรือน้อยกว่าปกติได้ 4. ภูมิคุ้มกันมีความผิดปกติ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน หรือเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง อาจมีการสร้างเม็ดเลือดขาวในร่างกายมากกว่าปกติได้เช่นกัน    5. เกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาที่กระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน และยาสเตียรอยด์ 6. อาการแพ้ เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารกระตุ้นอาการแพ้ จะตอบสนองโดยการสร้างเม็ดเลือดขาวมากขึ้น โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวชนิดเบโซฟิล 7. เครียด ความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ อาจส่งผลให้พบเม็ดเลือดขาวสูงได้เช่นกัน 8. เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว การพบเม็ดเลือดขาวสูงมาก อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง 9. การสูบบุหรี่ อาการของภาวะเม็ดเลือดขาวสูง หากเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย มักไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ แต่หากเม็ดเลือดขาวสูงมาก ก็อาจเกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันมากกว่าปกติ จนทำให้มีอาการได้ เช่น 1.มีไข้ 2.อ่อนแรง...
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ฮีโมโกลบินคืออะไร

0
ฮีโมโกลบินคืออะไร ? ฮีโมโกลบินหรือเฮโมโกลบิน ( Hemoglobin ) คือ ส่วนหนึ่งของระบบไหลเวียนเลือด มีโมเลกุลโปรตีนภายในเซลล์เม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบิน หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ฮีม ( Heme ) ฮีมนี้ทำหน้าที่ดักจับและขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและจับธาตุกับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ฮีมมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบเกิดจากโมเลกุลโปรตีน 4 ตัวที่เชื่อมต่อกันเรียกว่าสายโกลบูลิน ( Globulin Chains ) โดยปกติโครงสร้างของฮีโมโกลบินในผู้ใหญ่จะประกอบไปด้วยสายโกลบูลินชนิดอัลฟา 2 ตัว และสายโกลบูลินชนิดเบต้า 2 ตัว ส่วนในทารกพบเพียงสายโกลบูลินชนิดอัลฟา 2 ตัว และสายโกลบูลินชนิดแกมมา 2 ตัว ไม่พบสายโกลบูลินชนิดเบต้า แต่เมื่อทารกเริ่มโตขึ้น สายโกลบูลินชนิดแกมมาจะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสายโกลบูลินชนิดเบต้า และกลายเป็นโครงสร้างของฮีโมโกลบินแบบผู้ใหญ่ต่อไป >> การตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือด สามารถบอกอะไรได้ อยากรู้มาดูกันค่ะ >> การตรวจนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง สามารถบอกอะไรบ้างมาดูกันค่ะ  ฮีโมโกลบิน เป็นโครงสร้างแบบใด ฮีโมโกลบิน (hemoglobin หรือคําย่อคือ Hb) มีโครงสร้างโมเลกุลทีประกอบด้วยสายโปลีเป็ปไทด์ (polypeptide) ซึงเป็นหน่วยย่อยของโปรตีน เรียกว่าสายโกลบิน (globin chain) กับหมู่ฮีม (heme group) ซึงฮีม มีโครงสร้างทางเคมีเป็นพอร์ไฟริน (porphyrin) ทีมีโมเลกุลของเหล็ก (iron หรือ Fe) อยู่ตรงกลาง เพือ ทําหน้าทีจับและปล่อยออกซิเจน วัตถุประสงค์ในการตรวจฮีโมโกลบิน เพื่อตรวจวัดปริมาณโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่มีว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ ฮีโมโกลบินในเลือดประกอบด้วยอะไรบ้าง ฮีโมโกลบินประกอบไปด้วยโมเลกุลของโปรตีน globin 4 โมเลกุล คือ2 alfa-globulin chains และ 2 beta-globulin chain s และธาตุเหล็ก ฮีโมโกลบินที่พบได้ทั่วไปมี 3 ชนิดคือ ฮีโมโกลบิน เอ ( Hemoglobin A ) พบมากที่สุดในคนวัยผู้ใหญ่ แต่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคธาลัสซีเมียขั้นรุนแรง อาจมีระดับฮีโมโกลบินชนิดนี้ลดลงได้ ฮีโมโกลบิน เอฟ ( Hemoglobin F ) พบในทารกที่อยู่ในครรภ์และเด็กแรกเกิด ซึ่งฮีโมโกลบินชนิดนี้จะถูกแทนที่ด้วยฮีโมโกลบิน เอ ภายในไม่นานหลังจากเกิด หลังจากนั้นร่างกายจะผลิตฮีโมโกลบินเอฟออกมาในปริมาณน้อยมาก แต่หากป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย โรคเลือดจางจากเม็ดเลือดแดงรูปเคียว โรคเลือดจางจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว อาจพบฮีโมโกลบินชนิดนี้ในปริมาณสูงได้ ฮีโมโกลบิน เอ2 ( Hemoglobin A2 ) เป็นฮีโมโกลบินที่พบในผู้ใหญ่ พบปริมาณเพียงเล็กน้อย ฮีโมโกลบินทำหน้าที่อะไร หน้าที่ของฮีโมโกลบินคือการลำเลียงออกซิเจนจากปอดออกไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเนื้อเยื่อกลับมายังฟอกที่ปอด ช่วยรักษารูปร่างของเม็ดเลือดแดงให้เป็นปกติ คือมีลักษณะเป็นวงกลมและตรงกลางเว้าคล้ายโดนัท แต่ไม่เป็นรู หากโครงสร้างของฮีโมโกลบินผิดปกติจะส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างแตกต่างไปจากเดิม และมีภาวะโรคเลือดได้เช่น โรคเลือดจาง โรคเลือดหนืด เป็นต้น เราจะทราบความผิดปกติของฮีโมโกลบินได้อย่างไร ? จะทราบได้โดยการตรวจวัดความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ( Complete Blood Count CBC ) เพราะช่วยระบุได้ว่าผู้ป่วยมีระดับฮีโมโกลบินสูงหรือต่ำกว่าปกติ ซึ่งระดับฮีโมโกลบินที่ผิดปกติ อาจบ่งบอกถึงโรคบางชนิดได้ เช่น โรคติดต่อทางพันธุกรรม โรคเลือดจาง เป็นต้น ค่าปกติของฮีโมโกลบินในเลือดควรมีปริมาณเท่าไร ? ระดับฮีโมโกลบิน ( Hb ) โดยทั่วไปควรมีค่าดังนี้ ...

ความรู้เรื่องคุณค่าสารอาหาร

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ลูกเดือย ธัญพืชสมุนไพรใช้เป็นยาอายุวัฒนะ

0
ลูกเดือย ลูกเดือย (Adlay, Adlay millet, Job’s tears) เป็นธัญพืชที่ถูกจัดให้อยู่ในตระกูลเดียวกับข้าว เป็นพืชพื้นเมืองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทยถือเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง เพาะปลูกกันมากแถวภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพืชที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีเส้นใยอาหารที่สูง ซึ่งธัญพืชชนิดนี้มีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ Coix lacryma-jobi L. จัดอยู่ในวงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อย PANICOIDEAE มีลักษณะของต้นคล้ายต้นข้าวโพด ลักษณะของเม็ดจะเป็นสีขาว รูปร่างออกกลม ๆ รี ๆ รสชาติออกมันเล็กน้อย มีแบบทั้งที่รับประทานได้และรับประทานไม่ได้ ชนิดที่ทานได้นั้นจะมีเปลือกผลอ่อนซึ่งเรียกว่า เดือยกิน ปลูกไว้สำหรับใช้ทำอาหารและยา สรรพคุณของลูกเดือย 1. เป็นอาหารบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เหมาะกับผู้ป่วยในช่วงพักฟื้น เด็ก และผู้สูงวัย 2. ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ 3. มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง 4. ใช้ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ 5. สามารถช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้าได้ 6. มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอก 7. มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย 8. มีคุณสมบัติช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน 9. ใช้ช่วยแก้ร้อนใน 10. มีส่วนช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน 11. ใช้ช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด 12. มีฤทธิ์ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน 13. มีส่วนช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งได้ 14. ใช้ช่วยบำรุงเลือดลมให้สตรีหลังคลอดบุตร 15. สามารถช่วยลดการเกิดกระบนใบหน้าได้ 16. ใช้ช่วยบำรุงปอด และม้าม 17. มีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและบำรุงกระเพาะอาหาร 18. มีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ 19. มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาหูด 20. มีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์ 21. รากนำมาทำเป็นยาชงรับประทาน และช่วยขับพยาธิในเด็ก 22. สามารถแก้อาการท้องร่วง ท้องเสียได้ 23. ใช้ช่วยในการขับปัสสาวะ 24. ใช้ช่วยบำรุงมดลูก 25. ช่วยเหนี่ยวนำให้มีการตกไข่ 26. ช่วยแก้อาการสตรีตกขาวมากกว่าปกติได้ 27. ใช้ช่วยบำรุงไต 28. สามารถป้องกันโรคเหน็บชาได้ 29. มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์ 30. ใช้แก้อาการปวดข้อ ประโยชน์ของลูกเดือย 1. ใช้ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส 2. มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา 3. ใช้ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีการเจริญเติบโตได้ดีขึ้น 4. สามารถนำไปแปรรูป เช่น อบกรอบ เปียก เต้าทึง และน้ำ 5. มีคุณสมบัติเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ผิวหนังให้ดียิ่งขึ้น 6. สามารถนำมาใช้ทำอาหารได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน โดยเฉพาะอาหารประเภทที่มีแป้งและน้ำเป็นส่วนผสม ลู ก เ ดื อ ย ถูกจัดว่าเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารที่สูง เพราะว่าอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อสำหรับร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส และโดยเฉพาะวิตามินบี 1 ที่มีปริมาณที่สูงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนหลายชนิดที่ปริมาณสูงกว่าความต้องการของร่างกายตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ได้แก่ กรดกลูตามิก ลิวซีน อะลานีน โปรลีน วาลีน ฟินิลอะลานีน ไอโซลิวซีน อาร์จีนีน เป็นต้น และยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัว อย่างเช่น กรดลิโนเลอิก กรดโอเลอิก และกรดไขมันชนิดอิ่มตัว อย่างเช่น ปาลมิติกและสเตียริก อีกด้วย สั่งซื้ออาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth แหล่งอ้างอิง En.wikipedia.org/wiki/Job’s_Tears อ้างอิงรูปจาก 1.https://healthydoses.wordpress.com/ 2.https://www.healthbenefitstimes.com/
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

มะม่วงหิมพานต์ ผลไม้เนื้อนิ่มหวานฉ่ำราชาแห่งเมล็ดพืช

0
มะม่วงหิมพานต์ มะม่วงหิมพานต์ (Cashew, Cashew nut) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Anacardium occidentale L. จัดอยู่ในวงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะม่วงกุลา มะม่วงลังกา มะม่วงหยอด มะม่วงสินหน (ภาคเหนือ), มะม่วงสิโห (เชียงใหม่), มะโห (แม่ฮ่องสอน), มะม่วงกาสอ (อุตรดิตถ์), มะม่วงเล็ดล่อ มะม่วงยางหุบ (ระนอง), กายี (ตรัง), ส้มม่วงทูนหน่วย มะม่วงทูนหน่วย (สุราษฎร์ธานี), กะแตแก (นราธิวาส), นายอ (ยะละ), ยาโงย ยาร่วง (ปัตตานี), มะม่วงหิมพานต์ มะม่วงไม่รู้หาว (ภาคกลาง), กาหยู กาหยี ม่วงเม็ดล่อ ม่วงเล็ดล่อ หัวครก ท้ายล่อ ตำหนาว ส้มม่วงชูหน่วย (ภาคใต้) เป็นต้น ลักษณะของมะม่วงหิมพานต์ ต้น เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีความสูงโดยเฉลี่ย 6 เมตร (สามารถสูงได้ถึง 12 เมตร) ลำต้นมีเนื้อไม้ที่แข็ง มีกิ่งแขนงแตกออกไปเป็นพุ่มแน่นทรงกลมถึงแบบกระจาย มีเปลือกหนา และผิวเรียบเป็นสีน้ำตาลเทา ในบ้านเราสามารถพบได้ทั่วไปในภาคใต้ ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนกัน ใบมีลักษณะหนาผิวเกลี้ยงเหมือนกับแผ่นหนัง ใบคล้ายรูปไข่กลับหัวถึงรูปรีกว้าง ปลายใบกลม โคนใบนั้นแหลม เนื้อใบมีกลิ่นหอม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-20 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อกระจาย ดอกเป็นสีขาวถึงสีเหลืองนวล และจะเปลี่ยนสีไปเป็นสีชมพู ช่อดอกแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยเป็นจำนวนมาก และมีกลีบเลี้ยงสีเขียวขนาดเล็ก โคนดอกเชื่อมติดกัน ดอกหนึ่งมีปลายแยกเป็นกลีบอยู่ 5 กลีบ ปลายดอกแหลมเรียว ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 8-10 อัน หลังจากที่ดอกร่วงแล้วจะติดผล ผล มีลักษณะคล้ายผลชมพู่หรือลูกแพร์ ผลเป็นพวงห้อยลงมา ขนาดผลยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร เนื้อผลมีความฉ่ำน้ำและมีกลิ่นหอม ผลเมื่ออ่อนจะเป็นสีเขียวหรือเหลืองอมชมพู แต่เมื่อผลสุกแล้วนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีส้มแดง ที่ปลายผลนั้นมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด ลักษณะคล้ายรูปไต เปลือกนอกมีผิวที่แข็ง และมีขนาดยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีสีเป็นสีน้ำตาลอมเทา เม็ดผลมีเปลือกแข็ง มีเมล็ดเดียวลักษณะคล้ายกับรูปไต หรือคล้ายคลึงกับนวมของนักมวย มีสีเป็นสีน้ำตาลปนเทา ข้างในผลมีเมล็ดคล้ายรูปไต สรรพคุณของมะม่วงหิมพานต์ 1. แพทย์ในประเทศอินเดียใช้เมล็ดเลี้ยงเด็กทารกที่อายุเกิน 6 ขวบ เพื่อช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้รวดเร็วและแข็งแรง 2. เม็ดอุดมไปด้วยธาตุทองแดง จึงมีฤทธิ์ช่วยบำรุงเส้นผมและผิวหนังได้เป็นอย่างดี 3. เม็ด ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดได้ 4. การวิจัยในประเทศบราซิลและอินเดียพบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นและสารสกัดจากส่วนเหนือดินของต้นนั้น สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 5. เมล็ดนั้นมีกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับทรวงอกได้ 6. แมกนีเซียมในเม็ด ช่วยลดความดันโลหิตได้ 7. เม็ด มีฤทธิ์ป้องกันโรคมะเร็ง และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 8. เม็ด มีธาตุแมกนีเซียมในปริมาณที่สูง จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ ช่วยบำรุงสุขภาพเหงือก สุขภาพฟัน และกระดูกให้แข็งแรงได้ 9. การรับประทานเม็ด เป็นประจำนั้นจะช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ 10. เมล็ดมีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่มาก จึงมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคไขมันตับ และแถมยังไม่ให้มีการสะสมในร่างกายมากจนเกินไป จึงไม่ทำให้อ้วน 11....

ความรู้เรื่องโภชนาการสำคัญที่ควรรู้

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

อินนูลิน คืออะไร มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารอย่างไร

0
อินนูลิน อินนูลิน (Inulin) คือ พรีไบโอติก ( prebiotic ) ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ พบได้ตามธรรมชาติในหัวหรือรากของพืช ผัก ผลไม้ และสมุนไพรบางชนิด โดยมีคุณสมบัติพิเศษในการละลายน้ำ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น การเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีในลำไส้ และช่วยลดแบคทีเรียที่ไม่ดีที่อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือลดการดูดซึมสารอาหาร>> อาหารที่มีพรีไบโอติกเป็นอย่างไร อยากรู้ตามมาดูกันค่ะ >> โปรไบโอติกมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร อยากรู้ตามมาดูค่ะ ประโยชน์ของอินนูลิน inulin เป็นอาหารที่มีประโยชน์ และช่วยเพิ่มอาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกายทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดไขมันในตับ ช่วยรักษาอาการท้องผูก ช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยรักษาลำไส้ให้แข็งแรง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบ ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลจากอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ ช่วยยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียก่อโรคท้องร่วง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยป้องกันเชื้อโรคที่ไม่พึงประสงค์ ( แบคทีเรียที่ไม่ดี ) ช่วยรักษาสมดุลระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และแมกนีเซียม ทำให้มวลกระดูกหนาแน่นยิ่งขึ้น ลดความอยากอาหารทำให้ช่วยควบคุมน้ำหนัก Inulin กับการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร 1. เพิ่มปริมาณใยอาหารของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ขนมปัง โยเกิร์ต 2. ใช้ทดแทนไขมันในมาการีน นม lowfat cake 3. ปรับปรุงเนื้อสัมผัสในอาหาร เพิ่มความกรอบ เช่น cracker cookies แป้งชุดทอด ซีเรียลบาร์ 4. ช่วยปกปิดรสขม ฝาด ในเครื่องดื่ม เช่น น้ำผัก น้ำชา หรือกลิ่นที่ไม่ต้องการในอาหาร เช่น กลิ่นถั่วในเต้าหู้ 5. เพิ่มรสอร่อย และลดปริมาณโซเดียมในอาหาร เช่น เครื่องปรุง ซอส ซุป 6. ช่วยลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหาร เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง snack 7. ในอาหารสัตว์เป็นพรีไบโอติกช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ทำให้สัตว์แข็งแรง ปริมาณอินูลินในพืชชนิดต่าง ๆ งานวิจัยพบว่า inulin ที่พบในพืชประมาณ 36,000 ชนิด ในปริมาณ 100 กรัมของพืชต่อไปนี้ - ชิโครี (ราก) พบปริมาณ 35.7–47.6 กรัม ของน้ำหนักสด - อาร์ติโชค พบปริมาณอินูลิน 16–20 กรัม ของน้ำหนักสด - กระเทียม พบปริมาณ 9-16 กรัม ของน้ำหนักสด - หน่อไม้ฝรั่ง พบปริมาณ 2-3 กรัม ของน้ำหนักสด - หัวหอม พบปริมาณ 1–8 กรัม ของน้ำหนักสด - ข้าวสาลี พบปริมาณ 1-4 กรัม ของน้ำหนักสด - ข้าวบาร์เลย์ พบปริมาณ 0.5–1.5 กรัม ของน้ำหนักสด อันตราย และมีผลข้างเคียง การรับประทานอาหารเสริมอินนูลินในปริมาณมากเกินไปจนเกิดการสะสมอยู่ในลำไส้ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหารได้ เช่น ท้องอืด เกิดแก๊สในลำไส้ ปวดท้อง จุกเสียด รู้สึกอึดอัด เรอ หรือผายลมบ่อย เป็นต้น ดังนั้น การรับประทานที่เหมาะสม ควรรับประทาน 8 - 12 กรัมต่อวัน เป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และช่วยให้ลำไส้แข็งแรง บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

อาหาร 5 หมู่ มีอะไรบ้าง และแหล่งอาหารของแต่ละหมู่

0
อาหาร 5 หมู่ อาหาร 5 หมู่ เป็นแนวทางการบริโภคอาหารที่สำคัญซึ่งเน้นการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายและเพียงพอ เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตและการทำงานที่เหมาะสมของร่างกาย โดยอาหารที่แบ่งออกเป็น 5 หมู่ ได้แก่ ข้าวและแป้ง, เนื้อสัตว์, ผัก, ผลไม้, และนม ซึ่งแต่ละหมู่มีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกันไป การบริโภคอาหารจากทุกหมู่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและช่วยป้องกันการขาดสารอาหารที่อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว สารอาหารมีกี่ประเภท สารอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตด้วยการกิน ซึ่งช่วยสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างการ รวมทั้งระบบการย่อย โดยสารอาหารจะถูกแบ่งออกเป็นอาหารหลักดังนี้ อาหารหลักหมู่ที่ 1 ประกอบด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง อาหารหลักหมู่ที่ 2 ประกอบด้วยมันเทศ ควินัว ข้าวกล้อง ข้าว แป้ง เผือกมัน น้ำตาล อาหารหลักหมู่ที่ 3 ประกอบด้วยฟักทอง มันเทศสีเหลือง ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ตำลึง แครอท คะน้า อาหารหลักหมู่ที่ 4 ประกอบด้วยผัก ผลไม้ ส้มโอ ลูกพีช องุ่น เสาวรส มะละกอ กล้วย แอปเปิ้ล อาหารหลักหมู่ที่ 5 ประกอบด้วยครีม เนย ชีส น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันปาล์ม >> อาหารที่กินแล้วช่วยลดความเครียดได้ดีเป็นอย่างไร อยากรู้ บทความนี้มีคำตอบ >> อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด เป็นอย่างไรมาดูกันค่ะ โภชนาการอาหาร 5 หมู่ ที่เหมาะสมต่อวัน โปรตีน สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวัน คือ ระหว่าง 46 - 63 กรัม และสำหรับหญิงตั้งครรภ์ให้นมบุตรต้องการโปรตีนมากถึง 65 กรัมต่อวัน คาร์โบไฮเดรต สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวัน คือ ระหว่าง 45 - 65 กรัม เกลือแร่หรือแร่ธาตุ สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวัน คือ ระหว่าง 920 - 2300 มิลลิกรัม วิตามิน สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวัน คือ ระหว่าง 60 มิลลิกรัม และสำหรับหญิงตั้งครรภ์ให้นมบุตรต้องการวิตามินประมาณ 70 - 96 มิลลิกรัม ไขมัน สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำต่อวันประมาณ 70 กรัม แหล่งอาหาร 5 หมู่ ที่สำคัญได้แก่ หมู่ 1 โปรตีน ( เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ) อาหารหลักหมู่ที่ 1 คือ อาหารประเภทโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง...

นิตยสารเพื่อสุขภาพ

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ปัญหาโลกร้อนทำให้เกิดโรคร้าย “น้ำยาแอร์ปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

0
ปัญหาโลกร้อน ปัญหาสุขภาพจากโลกร้อนที่เกิดจากการใช้แอร์ ปัจจุบันเครื่องปรับอากาศกลายเป็นสิ่งจำเป็นมีแทบทุกบ้าน เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพหลายประการ แม้แอร์บ้านจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการใช้ชีวิตของเรา แต่น้ำยาแอร์บางชนิด หรือสารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนที่หลายคนอาจยังไม่รู้ นั่นเป็นเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนหนึ่งมากจากเครื่องปรับอากาศปล่อยออกมารวมกับก๊าซพิษจากเหล่าอื่นๆ มากกว่า 100 ล้านตันต่อปีทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกส่งผลกระทบกับภาวะโลกร้อน ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน 1. การเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศ ภาวะโลกร้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอากาศทั้งในด้านของอุณหภูมิและลักษณะการเกิดฝนตก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพเกิดจากคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้อากาศยิ่งร้อนมากขึ้นตามไปด้วย อาจทำให้เกิดโรคตะคริวแดด โรคเพลียแดด และโรคลมแดด หรือฮีทสโตรกเป็นต้น 2. การแพร่กระจายของโรคติดต่อ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอาจทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของโรคที่แพร่กระจายโดยแมลงหรือสัตว์ โรคเหล่านี้รวมถึงโรคมาลาเรียและโรคไข้เหลือง ซึ่งการแพร่กระจายของแมลงพาหะเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ 3. คุณภาพอากาศที่แย่ลง การปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งมลพิษทางอากาศที่เกี่ยวข้องส่งผลให้คุณภาพอากาศเสียหายอย่างหนัก ซึ่งส่งผลต่อโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ หอบหืด และโรคปอดอื่นๆ 4. ความเครียดจากสภาพแวดล้อม ภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิดผลกระทบด้านความกังวล ด้านจิตใจ และอารมณ์ เป็นผลกระทบที่ตามมา วิธีช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการใช้แอร์บ้านได้อย่างไร 1. ควรเลือกใช้สารทำความเย็น หรือน้ำยาแอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ น้ำยาแอร์ที่มีใบรับรองมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย และด้านคุณภาพสินค้า เช่น DBB น้ำยาแอร์บ้านR22 น้ำยาแอร์R32 FORANEน้ำยาแอร์R410A เป็นต้น และสามารถเลือกสั่งซื้อได้ที่ www.fillkool.com 2.ควรล้างแอร์เป็นประจำ เป็นการลดการใช้พลังงานทำให้แอร์บ้านของคุณลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกนั่นเอง 3.ควรตรวจเช็คการรั่วไหลของน้ำยาแอร์เป็นประจำ หรือมีการซ้อมบำรุงอยู่เสมอ ดังนั้น สำหรับการใช้งานแอร์บ้านควบคู่กับน้ำยาแอร์บ้านที่ต้องคำนึงถึงทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ น้ำยาแอร์R22 น้ำยาแอร์R32 จึงเป็นทางเลือกที่ดีและถูกใช้งานกันอย่างกว้างขวางในเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ๆ ที่ออกแบบมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

โรคในห้องแอร์ และการปฏิบัติตัว

0
โรคในห้องแอร์ ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้หลาย ๆ บ้านต้องติดตั้งแอร์เพื่อให้บ้านเย็น แต่รู้หรือไม่ว่ายิ่งอยู่ในห้องแอร์นานแล้วแอร์ไม่สะอาด หรือไม่เคยล้างเป็นเวลานาน ๆ ก็สามารถก่อโรคร้ายให้กับตัวคุณได้ โรคที่เกิดจากการอยู่ในห้องแอร์เป็นประจำ 1. โรคทางเดินหายใจ: เช่น โรคปอดจากเครื่องปรับอากาศ (Air-conditioner Lung), ภาวะระคายเคืองที่เกิดจากอากาศแห้ง, โรคไซนัส, และการติดเชื้อทางเดินหายใจ 2. ปัญหาผิวหนัง: ผิวแห้งและแตก การระคายเคือง หรือผิวหนังอักเสบ เนื่องจากการสูญเสียความชื้นในอากาศ 3. อาการภูมิแพ้: การระคายเคืองที่เกิดจากฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในตัวกรองเครื่องปรับอากาศที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ 4. อาการเหน็บชาและกล้ามเนื้อตึง: จากการที่ร่างกายต้องปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน 5. ปัญหาการนอนหลับ: อุณหภูมิที่เย็นเกินไปอาจทำให้การนอนหลับถูกรบกวน และมีผลต่อคุณภาพการนอนหลับ 6. ภาวะโรคเลือดออกในจมูก: อากาศที่แห้งมากอาจทำให้เยื่อบุจมูกแห้งและเกิดการเลือดออกได้ง่ายขึ้น 7. โรคจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา: เมื่อเปิดแอร์จะต้องปิดหน้าต่างและประตู ทำให้อากาศไม่ถ่ายเทและมีเชื้อโรคสะสมอยู่เป็นจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดโรค เช่น วัณโรค อีสุกอีใส หืดหอบ ปอดบวม หรือหัดเยอรมัน ซึ่งต่างก็เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากอากาศที่ผ่านช่องแอร์ การป้องกันโรคในห้องแอร์เหล่านี้สามารถทำได้โดยการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศให้สะอาด, การตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม, การใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อเพิ่มความชื้นในห้อง, และการป้องกันร่างกายไม่ให้ถูกลมเย็นโดยตรง ข้อควรปฏิบัติในการนอนในห้องแอร์ 1. การตั้งอุณหภูมิ: ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม ไม่เย็นจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต้องปรับตัวหนักเกินไป และเพื่อส่งเสริมการนอนหลับที่ดี 2. การบำรุงรักษา: ทำความสะอาดและบำรุงรักษาแอร์บ้านอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแอลเลอร์เจน 3. การกรองอากาศ: ใช้ตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศภายในห้อง. 4. การใช้เครื่องทำความชื้น: อาจพิจารณาใช้เครื่องทำความชื้นในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อรักษาความชื้นในอากาศที่เหมาะสมและป้องกันการแห้งของเยื่อเมือก 5. การระบายอากาศ: ให้อากาศภายในห้องถูกระบายสลับกับอากาศภายนอกอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเข้มข้นของสารก่อภูมิแพ้และเชื้อโรคภายในห้อง 6. การหยุดพักเครื่องปรับอากาศ: หากใช้เครื่องปรับอากาศตลอดทั้งคืน ควรมีการตั้งเวลาให้เครื่องหยุดพักบ้าง เพื่อไม่ให้อากาศหนาวเย็นตลอดเวลา 7. การป้องกันร่างกาย: หมั่นใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเย็นจนเกินไปขณะนอนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ 8. การตรวจสอบสุขภาพ: หากมีอาการผิดปกติเช่นไอ หายใจไม่สะดวก หรือมีอาการทางผิวหนัง ควรหยุดใช้เครื่องปรับอากาศและปรึกษาแพทย์ 9. ควรปิดแอร์ในช่วงกลางคืน หรือตั้งเวลาปิดหลังเที่ยงคืน: จะช่วยให้นอนหลับได้โดยไม่เย็นเกินไป และช่วยให้หลับสบายไม่มีเสียงรบกวนการหลับ อย่างไรก็ตามการปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การนอนในห้องแอร์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งห้องแอร์ควรทำความสะอาดโดยการล้างแอร์บ้านอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และควรเลือกใช้น้ำยาแอร์บ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำยาแอร์ R22 R32 R410a หากเลือกซื้อน้ำยาแอร์คุณภาพดี ปลอดภัยต่อผู้ใช้ และน้ำยาแอร์ราคาถูกเราขอแนะนำสามารถสั่งซื้อได้ที่ www.fillkool.com หรือแอดไลน์ : @520gemhc

เรื่องเล่าของฉัน

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ร่วมกับพวกเรา ทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็ง

0
ร่วมกับพวกเรา ทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็ง “ อโรคยา ปรมาลาภา ” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คุณรู้ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้แล้วหรือยัง ดิฉันได้รับรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ก็เมื่อวันที่รู้ว่าตัวเองเป็น มะเร็ง เชื่อมั้ยค่ะ!ว่าตอนเด็กดิฉันเคยอยากเป็นคนขี้โรคนะ เพราะว่าตอนเด็กนั้นดิฉันเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงมากไม่เคยป่วยเลย และดิฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเขาเป็นคนที่ขี้โรคมากมีโรคประจำตัวต้องไปหาหมอเป็นประจำ ด้วยความเป็นเด็กก็คิดว่าอยากป่วยอย่างเพื่อนคนนั้นบ้างจัง เพราะเพื่อนคนนี้มีแต่คนดูแลเอาใจใส่ประคบประหงมอยู่ตลอดเวลา พอมาถึงวันนี้วันที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็งต้องมีคนคอย ดูแลเหมือนกัน ถึงได้รู้ว่าการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงตามที่ประพุทธเจ้าท่านได้เคยบอกไว้ เพราะการป่วยหรือการมีโรคนั้นนำแต่ความทุกข์ ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ยิ่งป่วยเป็นมะเร็งนี่ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์จากมะเร็งกันแล้วนะคะ เพราะเรามีเพื่อนที่แสนดีที่คอยสนับสนุนและชี้ทางให้เราห่างไกลโรคมะเร็ง เพื่อนที่คอยชี้แนะทุกอย่างที่ทำแล้วช่วยให้เราออกห่างจากมะเร็งอย่างได้ผล เพื่อนที่สร้างทางให้คุณก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีโรคมะเร็งเข้ามาทำร้ายคุณได้ เมื่อคุณเดินเข้ามาทางนี้แล้วคุณจะรู้ว่าการไม่เป็นมะเร็งนั้นง่ายมากบนเส้นทางของคน ไม่เป็นมะเร็ง >> การป้องกันโรคมะเร็ง >> ไม่อยากเป็นมะเร็ง ต้องทำอย่างไร คนเราถ้ายังไม่เสียชีวิตเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป และเราทุกคนย่อมมีทางให้เลือกเดินเสมออยู่เพียงแต่ว่าเราจะเลือกเดินทางไหนเท่านั้นเอง เหมือนกับชีวิตของดิฉันที่เคยเลือกเดินทางผิดจนชีวิตต้องมาเจอกับโรคร้ายอย่างมะเร็งอย่างคาดไม่ถึงแต่วันนี้ดิฉันได้เลือกทางเดินใหม่ทางเดินที่ไม่มีโรคมะเร็งและดิฉันยังมีเพื่อนเดินทางไปกับดิฉันอีกด้วย เพื่อนที่ว่านี้ก็คือ AmProHealth เป็นทางเดินที่เปิดรับคนที่ไม่อยากเป็น มะเร็ง ทางเดินที่นี่เปิดรอทุกคนให้ก้าวเข้ามาอยู่แล้ว ทางเดินที่สร้างขึ้นมาให้กับทุกคน ทางเดินที่เปิดสอนเทคนิคและวิธีการป้องกันมะเร็ง ทางเดินที่พวกเราสามารถเข้าร่วมเดินได้ด้วยตัวเองโดยไม่เสียเงินสักบาทเดียว ทางเดินที่พาเราไปสู่สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทางเดินที่พาเราไปสู่การ ไม่เป็นมะเร็ง เพียงแค่คุณดูแลตัวเองตามที่เราบอก คุณก็จะอยู่ห่างไกลจากมะเร็งแน่นอน ดิฉันรู้สึกยินดีมากที่ได้เข้าร่วมเดินทางสายนี้ในวันนี้ ดิฉันมีความเชื่อเหลือเกินว่าทางสายนี้จะนำพาดิฉันไปสู่อนาคตที่ปราศจากโรคมะเร็ง นำพาไปสู่ชีวิตที่มีความสุขสดใสกับการได้อยู่กับคนที่รักยาวนานตามอายุขัยที่คนเราควรมี ชีวิตที่ไม่มีการพลัดพรากเราไปจากคนที่รักก่อนเวลาอันควร ตอนนี้ดิฉันได้เดินเข้าสู่เส้นทางที่ปราศจากมะเร็งแล้ว เจ้ามะเร็งจะไม่กลับมาทำร้ายดิฉันได้อีก ดิฉันจะอยู่กับลูกจนพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานทำและมีครอบครัวที่น่ารักต่อไป คิดได้แค่นี้ดิฉันก็มีความสุขมากเหลือเกินแล้วค่ะ ชีวิตนี้ดิฉันได้เลือกทางเดินที่นำความสุขมาให้กับตัวดิฉันและครอบครัวอีกครั้ง ดิฉันจะไม่เดินทางไปยังความหายนะที่มีโรคมะเร็งรออยู่ข้างหน้า แต่ดิฉันเลือกทางเดินที่ไม่มีโรคมะเร็งเข้ามาก่อกวนอีก ช่างเป็นทางเดินที่แสนวิเศษที่ดิฉันอย่างให้ทุกคนร่วมเดินเข้ามาเส้นทางนี้กับดิฉัน ต้องขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันสร้างทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็งนี้ขึ้นมา ทำให้ดิฉันมีความหวังที่จะอยู่ต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรงต่อโรคมะเร็งร้ายอีกต่อไป วันนี้มีทางเดินที่ปราศจากโรคมะเร็งมาอยู่ตรงหน้าแล้ว คุณพร้อมที่จะก้าวเดินไปกับเราบนทางเดินของคน ไม่เป็นมะเร็ง แล้วหรือยัง ก้าวไปกับเราแล้วคุณจะพบกับความสุขจากการไม่เป็นโรค เมื่อคุณก้าวเข้ามาในเส้นทางนี้คุณจะพบกับกัลยาณมิตรที่พร้อมจะบอกคุณถึงการใช้ชีวิตอย่างไรให้ไม่เป็น มะเร็ง ดิฉันเชื่อว่าชีวิตที่ไม่เป็นมะเร็งย่อมเป็นชีวิตที่หลายคนใฝ่ฝันหา และเส้นทางที่จะพาคุณไปยังชีวิตในฝันของคุณได้อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว คุณพร้อมที่จะก้าวมาร่วมกับทางกับ AmProHealth ก้าวเข้ามาสู่ทางเดินของคนไม่เป็นมะเร็งแล้วหรือยัง ? Content by Amprohealth อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน

0
จะไม่เป็นมะเร็ง ต้องอยู่กับเพื่อนที่ไหวตัวทัน ชีวิตประจำวันของคุณเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็ง หรือเปล่าคะ ? คุณลองมองไปรอบตัวของคุณดูสิว่ามีอะไรบ้างไหมที่เป็นคุณคิดว่าทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ดิฉันเชื่อว่าเวลาที่เรามองไปรอบตัวเราจะเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เราเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งอยู่หลายอย่างมาก ทั้งอาหารที่เราต้องกิน ทั้งมลพิษจากควันรถ ทั้งความเครียดจากการทำงาน ทุกสิ่งล้วนแต่สร้างความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทั้งสิ้น เราทุกคนล้วนเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งแต่ความเสี่ยงของแต่ละคนนั้นจะมีเพิ่มขึ้นหรือน้อยลงย่อมขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมของแต่ละคน การเตรียมความพร้อมนั้นเป็นสิ่งที่ทำง่ายกว่าการรักษามากนัก เพราะว่าการเตรียมตัวเราก็แค่เลือกกิน เลือกใช้ชีวิตให้มีคุณภาพไม่ต้องทนกับการเจ็บปวดเหมือนกับการรักษา คุณมีการเตรียมตัวที่จะป้องกันมะเร็งมากน้อยแค่ไหน >> คนยุคใหม่ ทำอย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง >> การป้องกันโรคมะเร็ง คนบางคนอยากรู้เกี่ยวกับ มะเร็ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะความรู้ได้ที่ไหน คนบางคนไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับมะเร็งแม้แต่น้อยเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว คนบางคนรู้เกี่ยวถึงความร้ายแรงของมะเร็งและไม่อยากเป็นมะเร็งแต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีถึงชีวิตจะไม่มีมะเร็งเข้ามา สำหรับดิฉันคิดว่าการป้องกันเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับมะเร็งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะว่าการป้องกันนั้นจะทำให้เราไม่ต้องป่วยเป็นมะเร็งในอนาคต ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่รู้จักมะเร็งย่อมไม่อยากเป็นมะเร็งกันทั้งนั้น สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง ดิฉันคิดว่าการที่เรารู้เท่าทันและป้องกันมะเร็งนี่เป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยนะคะ การป่วยเป็นมะเร็งไม่เคยสร้างความสุขให้กับใครหรอกค่ะ การป่วยเป็นมะเร็งมีแต่สร้างความทุกข์ระทมให้กับตัวเองและคนรอบข้าง อย่างตอนที่ดิฉันป่วยเป็นมะเร็งนั้น นอกจากดิฉันที่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดจากรักษามะเร็งและการรักษา มะเร็ง แล้ว ยังต้องทนกับความเหงา ความคิดถึงอย่างหนัก บางคืนคิดถึงลูกจนนอนน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ คนเดียวก็เคยมาแล้ว คนในครอบครัวของดิฉันก็ไม่ต่างกัน ทุกคนต้องทุกข์ด้วยความเป็นห่วงและความคิดถึงเช่นเดียวกัน ยามที่ดิฉันต้องไปนอนอยู่โรงพยาบาลเพื่อให้คีโม พ่อ แม่และสามีก็เป็นห่วงเป็นใยคอยสอบถามอาการของดิฉันอยู่ตลอด พวกเขาจะถามดิฉันทุกวันทั้งวันที่อยู่ด้วยกันที่บ้านและวันที่ดิฉันต้องมานอนอยู่โรงพยาบาลเพื่อให้คีโมว่า คุณ...เป็นยังไงบ้าง คุณ...เจ็บมากไหม คุณ...เวียนหัวอยู่หรือป่าว คุณ...วันนี้ดีขึ้นหรือยัง ส่วนลูกๆ ยามที่แม่ต้องนอนโรงพยาบาล พอตกกลางคืนก็ร้องไห้หาแม่ด้วยความคิดถึง พวกเขายังเล็กนักไม่เข้าใจว่าแม่ต้องไปนอนที่อื่น ทำไมแม่ไม่อยู่บ้านนอนกับเค้า พ่อต้องคอยปลอบว่าเดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้ว แม่ไปรักษาตัวให้หายก่อน แม่รักษาตัวหายแล้วแม่จะได้กลับมาอยู่กับหนูนานๆ ไงคะ แม่รักษาตัวแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว ได้ยินเสียงลูกเรียกแม่จ๋า แม่อยู่ไหน หนูคิดถึงแม่ ดิฉันต้องฝืนไม่ให้ร้องไห้พร้อมพูดและยิ้มกับลูกว่าเดี๋ยวแม่ก็กลับบ้านแล้ว หนูต้องเป็นเด็กดีกับคุณพ่อนะคะ คิดถึงช่วงเวลานั้นทีไร น้ำตาก็พาลจะไหลออกมาทุกที ดิฉันเชื่อว่าการไม่เป็น มะเร็ง นั้นดีที่สุดในชีวิตของทุกคนเพราะการเป็นมะเร็งช่างเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด การที่คุณจะไม่เป็นมะเร็งได้นั้น นอกจากตัวคุณที่ต้องรู้จักป้องกันตัวเองจากมะเร็งแล้ว การที่คุณมีเพื่อนที่ไหวตัวทันต่อมะเร็งเป็นเพื่อนที่คอยเตือนคุณอยู่ตลอดว่าสิ่งนี้ไม่ดีนะ สิ่งนั้นไม่ดีนะ สิ่งที่ทำอยู่ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งนะ รวมถึงคอยแนะนำถึงวิธีการป้องกันมะเร็งอย่างถูกต้องให้กับคุณแล้วย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตของคุณมาก เพราะเพื่อนแบบนี้จะนำชีวิตที่ปราศจากความทุกข์จากมะเร็งมาให้คุณ ปัจจุบันนี้ดิฉันเชื่อว่ามีคนที่รักสุขภาพเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดิฉันเชื่อว่าคนรักสุขภาพทุกคนเตรียมพร้อมป้องกัน มะเร็ง กันเป็นอย่างดี การเตรียมความพร้อมที่มีให้กับตัวเองและคนอื่นๆ อย่างไม่หวังผลตอบแทน การที่ทุกคนทำเช่นนั้นก็หวังเพียงว่าคนที่ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจะได้หมดไปจากโลกนี้เสียที วันนี้คุณมีเพื่อนที่ไหวตัวทันต่อมะเร็งหรือยังค่ะ เพื่อนที่พาเราไปสู่อนาคตที่ไม่มีโรคมะเร็งเข้ามาในชีวิต Content by Amprohealth อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ความรู้เรื่องศัลยกรรมความงาม

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ตาสองชั้น ศัลยกรรมเพิ่มความสวยของรูปตา

0
ตาสองชั้น นอกจากจะช่วยให้ดวงตาดูสวยและอ่อนโยนขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปัญหาหนังตาได้ด้วย การทำตาสองชั้นมีเทคนิคหลายวิธีให้เลือก โดยจะต้องคำนึงถึงลักษณะของดวงตา
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

รวมเรื่องต้องรู้ก่อนปลูกผม เตรียมบอกลาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน

0
อยากจบปัญหา ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน "การปลูกผม" ช่วยได้ โดยแต่ละเทคนิคก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันออกไป บทความนี้จึงมีข้อควรรู้ดี ๆ มาฝากก่อนตัดสินใจทำ

ความรู้เรื่องความงามและผิวพรรณ

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

โปรแกรมSculptra สารกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

0
Sculptra คือ การนำสาร PLLA สังเคราะห์จากพืชฉีดเข้าผิวหนังชั้นกลางเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ร่องรอยจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีระยะเห็นผลอยู่ที่ 2 ปี
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ฟิลเลอร์ปาก เพิ่มความมั่นใจให้ริมฝีปากสวย เป็นธรรมชาติ ก่อนฉีดต้องรู้อะไรบ้าง?

0
สำหรับใครที่ใฝ่ฝันอยากมีริมฝีปากสวย อวบอิ่ม และดูสุขภาพดี ฟิลเลอร์ปากคือหัตถการยอดนิยมที่เป็นตัวช่วยเพื่อให้คุณสามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องปากบาง ริมฝีปากไม่เท่ากัน หรือร่องลึกที่ขอบปาก แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำ Filler ปาก ยังมีสิ่งสำคัญที่ควรรู้อีกมากมาย บทความนี้จะพาทุกคนไปไขข้อสงสัย เตรียมความพร้อมก่อนก้าวสู่โลกแห่งการฉีดฟิลเลอร์ปาก เผยทุกเคล็ดลับ เพื่อริมฝีปากสวยดั่งใจ ปลอดภัย ไร้กังวล ฟิลเลอร์ปากคืออะไร ให้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง? ฟิลเลอร์ปากเป็นการปรับรูปร่างของปากเป็นทรงเกาหลีหรือทรงปากสายฝอต่าง ๆ ด้วยการฉีดสารที่มีคุณสมบัติคล้ายกรดไฮยาลูโรนิค ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ โดยสารนี้จะมีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม คล้ายกับเนื้อเยื่อของริมฝีปาก เมื่อฉีดเข้าไปจึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ  ปัจจุบันมีแบรนด์ฟิลเลอร์ชั้นนำจากต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากมาย ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีคุณสมบัติและความเหมาะสมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความอวบอิ่ม การปรับรูปทรงฉีดปาก หรือการฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปากให้ดูเด้งและมีมิติมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ปากเกาหลีและรูปทรงต่าง ๆ เหล่านี้จึงเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจและเพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้า ฟิลเลอร์ปากมีข้อดีอะไรบ้าง? ปัจจุบันฟิลเลอร์ปากสายฝอและทรงต่าง ๆ เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม ซึ่งก็มีข้อดีหลายประการ ดังนี้ เห็นผลลัพธ์ทันที : หลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในทันที ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม เป็นรูปทรงตามที่ต้องการ และมีมิติมากขึ้น ดูเป็นธรรมชาติ : เนื้อสัมผัสของฟิลเลอร์มีความใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อของริมฝีปาก ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ปลอมหรือแข็งทื่อจนเกินไป ไม่ต้องพักฟื้น : หลังจากฉีดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เพียงแต่การฉีดฟิลเลอร์ปากอาจบวมเล็กน้อยในช่วงแรก  คงทนนาน : รีวิวฉีดฟิลเลอร์ปากจากหลายคนให้ความเห็นว่าผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานกว่า 4-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดและการดูแลรักษา เปรียบเทียบระหว่าง ฉีดฟิลเลอร์ปาก และ ผ่าตัดปาก เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการฉีดฟิลเลอร์ปากและการผ่าตัดปาก จะเห็นได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์มีข้อได้เปรียบหลายอย่าง แม้ว่าการผ่าตัดปากจะให้ผลลัพธ์ที่ถาวร แต่ก็มีข้อจำกัดในการปรับเปลี่ยนรูปทรงภายหลัง รวมถึงต้องใช้เวลาพักฟื้นนานและอาจมีรอยแผลเป็น  ในทางกลับกัน ฟิลเลอร์ปากนั้นสามารถปรับขนาดและรูปทรงได้ตามต้องการ ด้วยเทคนิคการฉีดที่หลากหลาย โดยเฉพาะปากกระจับสายฝอและฟิลเลอร์ปากเกาหลีที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ยังมีความปลอดภัยเพราะเป็นสารที่สลายได้เองตามธรรมชาติและให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานโดยไม่ต้องพักฟื้นและไม่มีแผลเป็นอีกด้วย ฟิลเลอร์ปากมีกี่ทรง ทรงไหนนิยมที่สุด? ปัจจุบันเทรนด์ของทรงฟิลเลอร์ปากมีหลากหลาย ซึ่งการเลือกรูปทรงที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้หลายคนจะนิยมนำภาพของฝรั่งที่มีริมฝีปากอวบอิ่มมาเป็นตัวอย่าง แต่ควรคำนึงว่าโครงหน้าของฝรั่งมีลักษณะเด่นชัดกว่าคนไทย ซึ่งเข้ากันได้ดีกับริมฝีปากที่หนาและเต็มอิ่ม  ขณะที่โครงหน้าคนไทยส่วนใหญ่อาจไม่เหมาะกับริมฝีปากลักษณะดังกล่าว ดังนั้น การเลือกรูปแบบจึงควรใช้ตัวอย่างจากคนเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นหรือเกาหลี ที่มีโครงหน้าใกล้เคียงกับคนไทยมากกว่า เพื่อให้ได้ทรงปากฟิลเลอร์ที่ดูเป็นธรรมชาติและกลมกลืนกับใบหน้ามากที่สุด ฉีดฟิลเลอร์ปากอันตรายไหม? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง การฉีดฟิลเลอร์ปากโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย ถ้าทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง อย่างไรก็ตาม อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้นั้นมักมาจากฟิลเลอร์ปลอมหรือฉีดปากกับหมอเถื่อน ซึ่งฟิลเลอร์ปลอมที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีส่วนผสมที่เป็นอันตราย ก่อให้เกิดอาการแพ้ การติดเชื้อ หรือผลข้างเคียงร้ายแรงอื่น ๆ ได้ ขณะที่การฉีดฟิลเลอร์โดยผู้ที่ไม่มีความรู้ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่นกัน ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก บวม ช้ำ หรือรอยแดง : หลังฉีดฟิลเลอร์อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรอยแดงบริเวณที่ฉีดในช่วงแรก ซึ่งมักหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ แพ้หรือระคายเคือง : แม้ฟิลเลอร์มีความปลอดภัยสูง แต่ในบางรายอาจเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ทำให้เกิดผื่นแดงหรือคันได้ มีก้อนเนื้อ : ในกรณีที่ฉีดไม่ถูกวิธีหรือฉีดปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดก้อนเนื้อใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจต้องรักษาโดยการฉีดสลายฟิลเลอร์ปาก ฉีดฟิลเลอร์ให้ปลอดภัย ต้องดูอะไรบ้าง? เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นไปอย่างปลอดภัย สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือการเลือกแพทย์ผู้ทำการฉีดและผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ใช้ โดยควรมั่นใจว่าแพทย์มีใบอนุญาตและมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่าคลินิกนั้นได้รับการรับรองตามมาตรฐาน มีสภาพแวดล้อมที่สะอาด  และในส่วนของผลิตภัณฑ์ ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ในต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของส่วนประกอบ Infiniz Clinic คลินิกฉีดฟิลเลอร์ปาก ถ้าหากคุณอยู่ระหว่างการตัดสินใจหรือมองหาคลินิกที่เชื่อถือได้เพื่อฉีดฟิลเลอร์ปาก ‘Infiniz Clinic’ พร้อมให้คำปรึกษาและบริการด้วยทีมแพทย์ ซึ่งนำโดย คุณหมออู๋ ณัฐพล ลาภเจริญกิจ แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์มานานกว่า 15 ปี และเป็นหนึ่งในอาจารย์แพทย์ผู้สอนการฉีดฟิลเลอร์ระดับแนวหน้าของเมืองไทย  โดยที่ Infiniz Clinic ใช้เฉพาะฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งการันตีคุณภาพและความสำเร็จจากรางวัลต่าง ๆ มาแล้วมากมาย โดยถ้าต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ช่องทางดังนี้ Facebook : Infiniz Clinic :: Skin & Facial Design Expert  Line ID: @Infinizclinic โทร : 098-828-5444    

ความรู้เรื่องสมุนไพร

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

หงอนไก่ไทย รากมีสรรพคุณรักษาลมอัมพฤกษ์

0
หงอนไก่ไทย หงอนไก่ไทย เป็นพืชปลูกในประเทศในเขตอบอุ่น ส่วนประเทศไทยพบตามชายป่า และริมถนน ชื่อสามัญ คือ Common cockscomb, Wild Cockcomb, Crested celosin, Cockcomb ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Celosia cristata L., Celosia argentea var. cristata (L.) Kuntze อยู่วงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE) มีชื่อในท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น โกยกวงฮวย (จีนแต้จิ๋ว), ซองพุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), หงอนไก่ไทย (ภาคกลาง), หงอนไก่ฝรั่ง (ภาคกลาง), หงอนไก่ดอกกลม (ภาคกลาง), สร้อยไก่ (ภาคเหนือ), ดอกด้าย (ภาคเหนือ), จีกวนฮวา (จีนกลาง), แชเสี่ยง (จีนแต้จิ๋ว), หงอนไก่ดง (นครสวรรค์), กระลารอน (เขมร-ปราจีนบุรี), ชองพุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), พอคอที (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หงอนไก่เทศ (ภาคกลาง), หงอนไก่ฟ้า (ภาคกลาง), หงอนไก่ (ภาคเหนือ), ด้ายสร้อย (ภาคเหนือ) ,, ลักษณะของหงอนไก่ไทย ต้น เป็นไม้พุ่มที่มีขนาดเล็ก ต้นสูงประมาณ 20 นิ้ว ไม่มีแก่น ต้นหงอนไก่เป็นพรรณไม้ที่สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย ทำให้บางต้นมักไม่เป็นสีเขียว อาจเป็นสีแดง สีเขียวอ่อน สีขาว เป็นต้น แล้วแต่พันธุ์ของต้น ขยายพันธุ์โดยวิธีการเพาะเมล็ด เติบโตได้ดีในที่ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี เป็นไม้กลางแจ้ง ต้นหงอนไก่จะชอบแสงแดดจัด เติบโตง่าย งอกงามเร็ว ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบจะออกเป็นกลุ่มที่ตามข้อลำต้น ใบเป็นรูปหอก รูปทรงมนรี รูปรี ที่โคนใบจะสอบ ส่วนที่ปลายใบจะแหลม ขอบใบเรียบไม่มีหยัก แผ่นใบมีลักษณะเป็นสีเขียว ใบกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร สามารถยาวได้ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ที่ผิวใบด้านบนจะเป็นสีเขียว หรือสีม่วงแดง จะย่นนิดหน่อย เส้นกลางใบจะเป็นสีชมพู,, ดอก มีขนาดเล็กเป็นละออง ออกติดแน่นเป็นช่อเดียวกันคล้ายหงอนไก่ ขนาดประมาณ 2-4 นิ้ว ช่อดอกบิดจีบม้วนไปมาในช่อดูคล้ายกับหงอนไก่ แต่ละดอกมีกลีบเลี้ยงอยู่ 3 กลีบ และมีกลีบดอก 5 กลีบ มีลักษณะเป็นรูปปลายแหลม มีขนาดยาวประมาณ 5-8 มิลลิเมตร ดอกจะมีเกสรเพศผู้ 5 อัน และมีเกสรเพศเมีย 1 อัน ที่ปลายจะมีรอยแยก 2 รอยตื้น สีดอกแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ อย่างเช่น สีเหลือง สีแดง สีขาว สีชมพู สีผสม เมื่อช่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 8-15 เซนติเมตร,, ผล เป็นผลแห้ง ผลเป็นรูปทรงกลม มีเมล็ดอยู่ในผล เมล็ดเป็นรูปกลมแบน ที่เปลือกนอกเมล็ดจะมีลักษณะเป็นสีดำแข็ง เป็นมัน, ข้อห้ามในการใช้หงอนไก่ ห้ามให้ผู้ที่เป็นโรคตาบอดใสทานสมุนไพรหงอนไก่ ...
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ต้นติ้วขน สรรพคุณยังยั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว

0
ติ้วขน ติ้วขน มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชียภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่าพบได้ในจีนตอนใต้อีกด้วย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมักพบขึ้นตามป่าผลัดใบและป่าเบญจพรรณ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 200-1,000 เมตร ชื่อวิทยาศาสตร์ Cratoxylum formosum subsp. pruniflorum (Kurz) Gogelein, วงศ์ติ้ว (HYPERICACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ติ้ว(กาญจนบุรี), แต้ว(จันทบุรี), ติ้วเหลือง(ภาคกลาง), ติ้วยาง ติ้วเลือด(ภาคเหนือ), ติ้วหนาม เป็นต้น,, หมายเหตุ สายพันธุ์นี้ไม่สามารถใช้รับประทานได้ และเป็นพืชคนละชนิดกับต้นติ้วขาว หรือผักติ้ว ลักษณะของติ้วขน ต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ จะมีความสูงอยู่ที่ 8-15 เมตร เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลม แตกกิ่งก้านโปร่ง มีขนขึ้นอย่างแน่นหนาบริเวณยอดและกิ่งอ่อน เปลือกนอกของลำต้นมีสีน้ำตาลผสมกับดำ ตามแนวยาวแตกเป็นสะเก็ด เปลือกภายในเป็นสีน้ำตาลผสมเหลือง และมียางเหนียวสีเหลียงปนแดงอยู่ด้วย กิ่งของลำต้นขนาดเล็ก และจะถูกเปลี่ยนเป็นหนามแข็ง ,, ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่เรียงตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับไปถึงรูปขอบขนาน โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ มีขนขึ้นทั้งสองฝั่งของแผ่นใบ โดยหลังใบจะเป็นขนสาก ส่วนท้องใบจะเป็นขนนุ่มอยู่รวมกันอย่างแน่นหนา ใบมีความกว้างอยู่ที่ 3-5 เซนติเมตร ส่วนความยาวจะอยู่ประมาณ 3-13 เซนติเมตร ใบอ่อนมีสีแดงหรือชมพู และใบแก่จะเป็นสีแดงในช่วงก่อนผลัดใบ , ดอก เป็นดอกช่อกระจุก ออกบริเวณกิ่งด้านบนของรอยแผลใบ ดอกมีสีชมพูอ่อนถึงแดง ดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกมีขนสีขาวขึ้นที่บริเวณขอบกลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงจะมีขนขึ้นอยู่บริเวณด้านนอกประปราย มีเกสรเพศผู้มากแบ่งออกมา 3 กลุ่ม ส่วนรังไข่จะมีลักษณะเกลี้ยงเป็นรูปทรงรี, ผล เป็นผลแห้ง ลักษณะเป็นรูปรี ปลายผลแหลม มีความกว้างอยู่ที่ 0.4-0.6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวผลมีลักษณะแข็ง ตามผิวจะมีคราบสีนวล ๆ อยู่ มีกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่เกินครึ่งของผล เมื่อผลแห้ง ผลจะแตกออกเป็นพู 3 พู มีสีน้ำตาล และมีเมล็ดจำนวนมากอยู่ภายใน เมล็ดมีลักษณะเป็นขอบขนาน ดอกจะออกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม,, ประโยชน์ติ้วขน เนื้อไม้มีคุณสมบัติ ไม่มีกลิ่น มีขี้เถ้าน้อย และให้ความร้อนได้ดี จึงมีการนำมาทำเป็นฟืน สามารถใช้เปลือกต้นมาสกัดเพื่อทำสีย้อมผ้าได้ ซึ่งจะให้เป็นสีน้ำตาลเข้ม นำมาใช้ในการก่อสร้าง ทำโครงบ้าน รั้ว เสาเข็ม ฯลฯ ได้ เนื่องจากเนื้อไม้มีความทนทานมาก และเนื้อไม้มีน้ำยางอยู่ทำให้ปลวกไม่กิน, ข้อมูลทางเภสัชวิทยา ค่าความเป็นพิษต่อเซลล์ม้ามของสารสกัด คือ IC50 93.31 มก./มล. ซึ่งไม่มีผลต่อการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกันโดยตรง แต่จะไปทำการลดอัตราการเพิ่มจำนวนของทีเซลล์และบีเซลล์ พืชชนิดนี้มีสารในกลุ่มเป็นแทนนิน คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ อัลคาลอยด์ และฟลาโวนอยด์ เป็นองค์ประกอบ อีกทั้งยังสามารถช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อไวรัสโรคเริม Herpes simplex virus type 1 ต้านเชื้อแบคทีเรีย V. cholerae และ S. aureus ไม่มีฤทธิ์กลายพันธุ์ในภาวะที่ไม่มีหรือมีเอนไซม์ แต่จะให้ฤทธิ์ต่อต้านการกลายพันธุ์ในภาวะที่มีเอนไซม์ทำงานร่วมอยู่ (ข้อมูลจากการศึกษาสารสกัดจากลำต้นด้วย 50% แอลกอฮอล์) สรรพคุณติ้วขน 1. ช่วยในการรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ โดยนำเปลือกและใบมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็น(เปลือกและใบ) 2....

ความรู้เรื่องผักและผลไม้

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

พริกขี้หนู ช่วยลดระดับไขมันในเลือด

0
พริกขี้หนู พริกขี้หนู ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกาเขตร้อน มักขึ้นร่วมกับวัชพืชชนิดอื่น สามารถพบได้ในทุกภาคของประเทศไทย ชื่อสามัญ Bird pepper, Chili pepper, Cayenne Pepper, Tabasco pepper, ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Capsicum annuum L. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ คือ Capsicum frutescens L., Capsicum frutescens var. frutescens, Capsicum minimum Mill.) จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ คือ พริกแด้ พริกแต้ พริกนก พริกแจว พริกน้ำเมี่ยง (ภาคเหนือ), หมักเพ็ด (ภาคอีสาน), พริก พริกชี้ฟ้า (ภาคกลาง), ดีปลีขี้นก พริกขี้นก (ภาคใต้), พริกมะต่อม (เชียงใหม่), ปะแกว (นครราชสีมา), มะระตี้ (สุรินทร์), ดีปลี (ปัตตานี), ครี (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร), ลัวเจียะ (จีนแต้จิ๋ว), ล่าเจียว (จีนกลาง), มือซาซีซู, มือส่าโพ, ลักษณะของพริกขี้หนู,,, ต้น - เป็นไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่มขนาดเล็ก - ต้นมีความสูงประมาณ 30-90 เซนติเมตร - มีอายุได้ถึง 1-3 ปี - แตกกิ่งก้านสาขามาก - กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว - กิ่งแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล - สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด - เติบโตได้ดีในดินร่วนปนเหนียว ดินร่วนระบายน้ำดี - ไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง ใบ - ใบเป็นใบเดี่ยว - ออกใบเรียงสลับตรงข้ามกัน - ใบมีรูปร่างเป็นรูปไข่ รูปกลมรี หรือรูปวงรี - ปลายใบแหลม โคนใบเฉียงหรือสอบ และขอบใบจะเรียบ - ใบมีความกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 3-8 เซนติเมตร - แผ่นใบเรียบ มีสีเขียวมันวาว - ก้านใบยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร ดอก - ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ - ในแต่ละช่อจะมีประมาณ 2-3 ดอก - มีกลีบดอกประมาณ 5-7 กลีบ - กลีบดอกเป็นสีขาว สีเหลืองอ่อนอมเขียว หรือสีเขียวอ่อน - เกสรเพศผู้จะมีอยู่ประมาณ 5 อัน จะขึ้นสลับกับกลีบดอก - เกสรเพศเมียจะมีอยู่เพียง 1 อัน - มีรังไข่ประมาณ 2-3 ห้อง ผล - ผลมีรูปร่างยาวรี - ปลายผลแหลม - ผลมีความกว้างประมาณ 3-5 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร - ผลสดจะเป็นสีเขียว - ผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงหรือเป็นสีแดงปนสีน้ำตาล - ผลมีผิวที่ค่อนข้างลื่น - ภายในผลจะกลวงและมีแกนกลาง - รอบ ๆ แกนจะมีเมล็ดเป็นสีเหลืองเกาะอยู่มาก - เมล็ดมีรูปร่างแบนเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนและมีรสเผ็ด - เมล็ดมีขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร ข้อมูลทางเภสัชวิทยา สารสำคัญที่พบได้แก่ - acetic acid - alanine,phenyl - ascorbic acid - butyric acid -...
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

ตามไปพบกับสรรพคุณและประโยชน์ของ ตะขบไทย !

0
ตะขบไทย ตะขบบ้าน มีชื่อสามัญ คือ Coffee plum, Indian cherry, Indian plum, East Indian plum, Rukam, Runeala plum และชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Flacourtia jangomas (Lour.) Raeusch. (ทั้งยังมีชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Flacourtia cataphracta Roxb. ex Willd.) และปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์สนุ่น (SALICACEAE) นอกจากนี้ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ อีก ว่า ครบ (ปัตตานี), มะเกว๋นควาย (ภาคเหนือ), ตะขบควาย (ภาคกลาง), กือคุ (มลายู ปัตตานี) เป็นต้น ลักษณะของตะขบไทย ต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาที่เรือนยอดของต้น เรือนยอดเป็นรูปไข่ทึบ ตรงโคนต้นเป็นพูพอน เปลือกต้นมีสีน้ำตาลอ่อน เป็นแผ่นบาง ๆ จะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด พบได้ตามป่าราบ ป่าโปร่ง ป่าดิบแล้ง และตามป่าผลัดใบ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ประมาณ 300-800 เมตร,, ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มีใบที่กลมคล้ายกับใบพุทรา มีลักษณะเป็นรูปวงรี รูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม ตรงโคนใบมน ส่วนขอบใบจะตื้น ใบมีขนาดกว้างอยู่ประมาณ 3.5-5 เซนติเมตร และมีความยาวประมาณ 8-13 เซนติเมตร ใบบางเป็นสีเขียว ผิวใบด้านบนมีสีเขียวเป็นมัน,, ผล ผลสดมีเนื้อสีขาว ลักษณะเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเท่าลูกพุทรา มีขนาดประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร ผลสุกเป็นสีแดงหรือสีม่วง เมื่อแก่เป็นสีดำ มีรสหวานฝาดเล็กน้อย ภายในมีหลายเมล็ด ออกผลในช่วงประมาณเดือนเมษายน,, สรรพคุณของตะขบไทย รากจะมีรสฝาดอยู่เล็กน้อย สามารถใช้ปรุงเป็นยาขับเหงื่อได้ (ราก) ทั้งยังมีสรรพคุณเป็นยากล่อมเสมหะและอาจมอีกด้วย (ราก) ส่วนเนื้อไม้มีรสฝาด ๆ สามารถใช้ทำเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้บิด และมูกเลือด (เนื้อไม้) สุดท้ายเปลือก แก่น และใบ สามารถเป็นยารักษาอาการปวดเมื่อยตามตัว แก้โรคเหน็บชา ทั้งรักษาอาการปวดข้อ และแก้เส้นเอ็นพิการ (เปลือก, แก่น, ใบ) ประโยชน์ของตะขบไทย 1. สามารถนำใบมาใช้เพื่อการย้อมสีได้ โดยใช้อัตราส่วนของใบสดต่อน้ำ 1:2 และนำไปสกัดใช้ใบสด 15 กรัม จะสามารถย้อมเส้นไหมได้ถึง 1 กิโลกรัม สีที่ได้จะขึ้นอยู่กับการสกัดสีและการใช้สาร สกัดสีโดยใช้ใบสดนำมาต้มกับน้ำนานประมาณ 1 ชั่วโมง กรองเอาแต่น้ำ และนำมาย้อมเส้นไหมด้วยวิธีการย้อมร้อนประมาณ 1 ชั่วโมง และนำมาแช่ในสารละลายช่วยในการจุนสีหลังย้อมเสร็จจะได้เส้นไหมสีน้ำตาลเขียว ส่วนในการใช้จุนสีขณะย้อมก็จะได้สีน้ำตาลเขียวเหมือนกัน แต่ถ้านำมาสกัดน้ำด้วยวิธีการคั้นเอาน้ำ และกรองเอาแต่น้ำ แล้วมาย้อมเส้นไหมด้วยวิธีการย้อมร้อน และนำมาแช่สารละลายช่วยจุนสีหลังย้อมจะกลายเป็นสีเขียวขี้ม้า 2. ผลสุกจะมีรสหวานฝาด สามารถรับประทานได้, 3. นำไปใช้ปลูกได้ทั่วไป สามารถปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาทั้งในสวนผลไม้หรือจะเป็นตามสวนป่าเพื่อเป็นอาหารของนกก็ได้เช่นกัน สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth เอกสารอ้างอิง 1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ตะขบไทย”. หน้า...

ความรู้เรื่องอาหารและขนม

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

สูตรขนมฝอยทอง ขนมไทยมงคล

0
สูตรขนมฝอยทอง ขนมไทยมงคล ฝอยทอง (Golden thread) คือ ขนมโปรตุเกส ลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก โดยมีกำเนิดจากเมืองอาไวรู เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส >> สูตรขนมหม้อแกงโบราณ >> สูตรทำขนมฝอยเงิน ฉบับต้นตำหรับ ความเป็นมาของขนมฝอยทอง ขนมฝอยทอง เป็นขนมมงคลของไทยจากหลักฐานมีการริเริ่มในสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบการถ่ายทอดโดยท้าวทองกีบม้ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น ฝอยทองลักษณะเป็นเส้นเล็กฝอย ๆ สีเหลืองทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ดแล้วนำเคี่ยวในน้ำเชื่อมจะมีกลิ่นหอมของใบเตย และน้ำลอยดอกมะลิ ฝอยทองมีการเผยแพร่ ความรู้ให้กับคนไทยในประเทศไทยพร้อมกับขนมทองหยิบและขนมทองหยอด มีรูปลักษณ์โดดเด่นรวมถึงรสชาติที่อร่อย หอมกลิ่นดอกไม้จากธรรมชาติ กลิ่นอบควันเทียน มักนำมาใช้ประกอบในพิธีมงคลต่าง ๆ หรือมอบเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญแทนคำอวยพรให้ร่ำรวยมีเงินมีทอง อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทอง ไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต กระทะทองเหลือง ถาดรองน้ำเชื่อม กรวยโลหะ ดอกมะลิสด ตะแกรง ใบเตยสด ส่วนผสมขนมฝอยทอง 1. ไข่เป็ด 5 ฟอง (เฉพาะไข่แดง) 2. ไข่ไก่ 5 ฟอง (เฉพาะไข่แดง) 3. น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง 4. น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง 5. ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ (ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านบน) 6. น้ำมันพืช 1 ช้อนชา 7. เทียนอบ 1 ชิ้น 8. ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ) 9. กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ) 10. ใบเตย 3-5 ใบ (มัดรวมกัน) วิธีทำขนมฝอยทอง 1. ทำน้ำเชื่อม โดยการนำน้ำลอยดอกมะลิ เทน้ำตาลในกระทะทองเหลือง แล้วยกตั้งไฟโดยใช้ไฟปานกลาง รอจนเดือด 2. ใช้ไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออกตีไข่แดงให้เข้ากัน 3. ผสมไข่แดง ไข่น้ำค้าง และน้ำมันพืช คนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน 4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวย และนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลือง ประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลมสอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการวางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำเชื่อม 5. จัดใส่จาน เสิร์ฟเป็นของว่างทานเล่นในวันสบายๆ เคล็ดลับ : ถ้าต้องการฝอยทองเส้นเล็กให้ยกกรวยสูงจากน้ำเชื่อม แต่ถ้าต้องการฝอยทองเส้นใหญ่ ก็ให้ถือกรวยต่ำ ๆ บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

สูตรขนมฝอยเงิน ขนมไทยมงคลเสริมความร่ำรวย

0
ขนมฝอยเงิน ขนมฝอยเงิน (Silver thread) หรือ ไข่ในรัง คือ ขนมไทยที่หาทานได้ยากเนื่องจากไข่น้ำค้างที่เป็นส่วนประกอบหลักมีน้อยมาก (ไข่ขาวส่วนนอกที่มีลักษณะค่อนข้างเหลว และใสกว่าไข่ขาวชั้นใน) มักทานคู่กันกับขนมฝอยทองเชื่อกันว่ากินแล้วจะเสริมโชคลาภและความร่ำรวย ในปัจจุบันขนมฝอยเงินทำจากไข่ขาวซึ่งหาได้ง่าย ความอร่อยอยู่ที่ไข่ขาวจะต้องไม่มีกลิ่นคาว โดยแบ่งน้ำเชื่อมออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ใช้สำหรับโรยไข่ขาวลงไปในน้ำเชื่อม ส่วนที่ 2 นำน้ำเชื่อมมาเจือจางแล้วใส่ขิงทุบห่อด้วยผ้าขาวบางใส่ลงไปในน้ำเชื่อมเพื่อดับกินคาว จะได้กลิ่นดอกมะลิในน้ำเชื่อมเป็นการเพิ่มความอร่อย หอม หวานให้กับขนมฝอยเงินตามสูตรโบราณ >> สูตรเค้กไข่โบราณ >> สูตรทำขนมฝอยทอง อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทอง ไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต กระทะทองเหลือง ถาดรองน้ำเชื่อม กรวยโลหะ ดอกมะลิสด ตะแกรง ขิงแก่สด ส่วนผสมขนมฝอยทอง 1.ไข่เป็ด 5 ฟอง (เฉพาะไข่ขาว) 2.ไข่ไก่ 5 ฟอง (เฉพาะไข่ขาว) 3.น้ำตาลทราย 2 ½ ถ้วยตวง 4.น้ำเปล่า 500 กรัม 5.ขิงแก่หั่นแว่น 3-5 ชิ้น 6.น้ำลอยดอกมะลิ 400 กรัม วิธีทำขนมฝอยทอง 1. ตอกไข่ขาวลงในถ้วยแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง 2. นำกะทะตั้งไฟเทน้ำเปล่าแล้วน้ำตาลทราย ขิงหั่นลงไป (เพื่อทำน้ำเชื่อมอ่อน) คนจนน้ำตาลละลายจนหมดยกลง (พักไว้) 3. นำกะทะตั้งไฟเทน้ำลอยดอกมะลิแล้วน้ำตาลทรายลงไป (เพื่อทำน้ำเชื่อมเข้มขน) ตั้งไฟต้มจนน้ำเชื่อมเดือด 4. ใส่ไข่ขาวลงไปในกรวยแล้วนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่ขาวสุกลอยขึ้นมาจึงใช้ไม้แหลมตักเส้นฝอยเงินขึ้นมา นำเส้นฝอยเงินที่ได้ใส่ลงในน้ำเชื่อมแบบอ่อนที่เตรียมไว้ 5. หลังจากนั้นใช้ไม้แหลมตักขึ้นแล้วม่วนให้มีลักษณะคล้ายรังไหมกลมยาว 6. จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ ฝอยเงินเป็นเมนูขนมไทยมงคลที่นิยมเสิร์ฟคู่กับฝอยทอง เชื่อว่าเมื่อกินแล้วจะเสริมโชคลาภและความร่ำรวย บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ข่าวสุขภาพ

- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

คู่มือเลเซอร์ขนรักแร้ครั้งแรก เตรียมตัวอย่างไร ? เลือกทำที่ไหนดี ?

0
ในปัจจุบันมีวิธีกำจัดขนรักแร้หลายรูปแบบ ทั้งวิธีที่ทำได้ด้วยตัวเอง และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เลเซอร์ขนรักแร้เป็นตัวเลือกหนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจครับ เพราะช่วยกำจัดขนได้ลึกถึงราก แก้ปัญหาขนเส้นใหญ่และหนา ลดกลิ่นตัวจากความอับชื้น และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้าอีกด้วย
- นิตยสารเพื่อสุขภาพออนไลน์ การดูแลสุขภาพ โรค NCDs

Coolsculpting นวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น ที่ไม่ต้องดูดหรือผ่าตัดให้เจ็บตัว

0
การลดไขมันส่วนเกิน ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือดูดไขมันออกอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็นที่ไม่ต้องเจ็บตัว อย่าง "coolsculpting" ที่ใช้ความเย็นแบบติดลบ เข้าไปฆ่าเซลล์ไขมันให้ตายลงไปอย่างถาวร โดยไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก และที่สำคัญทำเสร็จแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น เพราะไม่มีแผล ไม่มีการเสียเลือด ในบทความนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ CoolSculpting เครื่องสลายไขมันด้วยความเย็น ว่าคืออะไร ? ดีอย่างไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? ปลอดภัยแค่ไหน ? และข้อควรรู้อื่น ๆ ที่ทำให้คุณรู้ได้ว่าทำไมถึงควรเลือกทำ coolsculpting ในการสลายไขมันส่วนเกิน  CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร ? CoolSculpting คือ นวัตกรรมสลายไขมันส่วนเกินด้วยความเย็นแบบติดลบ สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นขา และแขน ได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดหรือดูดไขมัน เป็นวิธีการที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยา (FDA) ทั้งของสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย  Coolsculpting  สลายไขมันด้วยความเย็น ทำงานอย่างไร ? หลักการสำคัญของ Coolsculpting คือ การใช้ความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง ส่งเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง ลึก ถึงชั้นไขมัน จึงทำให้ไขมันตายและถูกขับออกมาจากร่างกายตามธรรมชาติ บริเวณที่ทำมีปริมาณไขมันลดลง ช่วยให้รูปร่างกระชับ และได้สัดส่วนมากขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ รอบข้าง จากภาพข้างบนจะเห็นว่า  ปริมาณไขมันส่วนเกินจำนวนมากที่กำจัดได้ยาก แม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย แต่สามารถกำจัดออกได้ด้วย เครื่อง CoolSculpting โดยใช้หัวดูดพิเศษจับกระชับผิวหนังบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน จากนั้นจะลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วจนถึงประมาณ -11 องศาเซลเซียส แช่แข็งเซลล์ไขมัน เมื่ออุณหภูมิลดลงต่ำกว่าจุดแข็งตัวของไขมัน เซลล์ไขมันจะเริ่มแข็งตัวและเกิดการแช่แข็ง ในขณะที่เนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบจากความเย็น ทำลายเซลล์ไขมันด้วยความเย็น เมื่อเซลล์ไขมันถูกแช่แข็งเป็นเวลานานประมาณ 35 นาที จะทำให้เซลล์ไขมันเสียหายและตายในที่สุด จากนั้นร่างกายจะขับเซลล์ไขมันที่ตายออกจากร่างกาย ผ่านระบบน้ำเหลืองและระบบขับถ่าย ซึ่งจะค่อย ๆ เห็นผลภายใน 1-3 เดือน ผลลัพธ์จากการสลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting จะทำให้ขนาดหรือปริมาตรของไขมันในบริเวณนั้นลดลง โดยสามารถลดลงได้ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง และสามารถกลับมาทำซ้ำในจุดเดิมได้ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์มากขึ้น ข้อดีของ CoolSculpting เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการลดไขมันแบบอื่น ✔ เป็นวิธีการไม่ผ่าตัด (Non-Invasive) ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที ✔ ปลอดภัย เนื่องจากใช้หลักการความเย็นเป็นตัวทำลายเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่น ๆ ✔ ผลลัพธ์ค่อนข้างถาวร เซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมาสร้างใหม่ ✔ เห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลดน้ำหนักแบบอื่น สามารถลดไขมันจุดเฉพาะได้ดี ✔ ไม่เจ็บ เพียงแค่รู้สึกเย็นและมีความรู้สึกคล้ายถูกกด ไม่ต้องใช้ยาชา ✔ ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง อาจมีอาการบวมนิดหน่อยเป็นระยะสั้น ๆ ✔ เหมาะกับผู้ที่มีรูปร่างค่อนข้างดี แต่มีไขมันส่วนเกินบางจุด CoolSculpting เหมาะกับใคร ? ผู้ที่มีน้ำหนักปกติหรือน้ำหนักเกินเล็กน้อย  ผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด ที่ยากต่อการลดด้วยการออกกำลังกาย ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 35  ผู้ที่่ต้องการปรับรูปร่างให้กระชับเฉพาะจุด ไม่ใช่ลดน้ำหนักทั้งตัว ผู้ที่ไม่ต้องการจะผ่าตัดหรือดูดไขมัน เพื่อกำจัดไขมัน  ผู้ที่ไม่อยากมีแผล ไม่อยากพักฟื้นนาน  ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่เป็นข้อห้าม เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น CoolSculpting ทำบริเวณไหนได้บ้าง ? CoolSculpting สามารถใช้สลายไขมันส่วนเกินได้หลายบริเวณเนื่องจากมีหัวดูดไขมันหรือหัวแอปพลิเคเตอร์หลายขนาด จึงสามารถกำจัดไขมันได้ทั้งบริเวณหน้าท้อง, เอว, ปีกหลัง, ขาใน, ใต้ก้น, หน้าอก (ผู้ชาย), ต้นแขน, สะโพก, ต้นขาด้านนอก, หัวเข่า หรือเหนียง หัวแอปพลิเคเตอร์ CoolSculpting หัวดูดไขมันหรือหัวแอปพลิเคเตอร์ CoolSculpting จะทำงานโดยการดูดผิวหนังและไขมันส่วนเกินเข้าไปในเครื่อง จากนั้นจะทำความเย็นในระดับที่ควบคุมได้ เพื่อแช่แข็งและทำลายเซลล์ไขมัน โดยไม่ทำลายผิวชั้นนอก หัวดูดไขมัน CoolSculpting...