ความเสี่ยงโรคมะเร็งกับการติดเชื้อ HIV มะเร็งที่พบบ่อยและการป้องกัน

0
2154
โรคมะเร็งกับการติดเชื้อ HIV มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเอชไอวี จะมีภาวะร่างกายที่ภูมิคุ้มกัน บกพร่องสามารถเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆรวมถึงโรคมะเร็งด้วย

ผู้ที่ติดเชื้อ HIV (Human Immunodeficiency Virus) มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าประชากรทั่วไปหลายเท่า สาเหตุหลักมาจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคหรือควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์มีโอกาสกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกว่า HIV มีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งอย่างไร มีมะเร็งชนิดใดที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV และแนวทางการรักษาและการป้องกันมีอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจอย่างครบถ้วนและสามารถนำไปใช้ดูแลตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดได้อย่างถูกต้อง

HIV คืออะไร? และทำไมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

HIV เป็นไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อจำนวน CD4 ลดลง ร่างกายจะอ่อนแอลงและไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติได้ ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือ AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome)

ความเชื่อมโยงกับมะเร็ง เกิดขึ้นเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอทำให้:

  • ไม่สามารถทำลายเซลล์ผิดปกติได้
  • มีไวรัสก่อมะเร็ง (Oncoviruses) เช่น HPV, EBV, HHV-8 เข้ามาซ้ำเติม
  • เพิ่มโอกาสการกลายพันธุ์ของเซลล์ในระยะยาว

มะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV

มะเร็งที่พบในผู้ติดเชื้อ HIV สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

1. มะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ (AIDS-defining Cancers)

เป็นมะเร็งที่ถือว่าเป็นเกณฑ์วินิจฉัยผู้ติดเชื้อ HIV ว่าเข้าสู่ระยะเอดส์ ได้แก่:

  • Kaposi’s Sarcoma (KS): มะเร็งของเยื่อบุเส้นเลือดที่เกิดจากไวรัส HHV-8
  • มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma): โดยเฉพาะชนิด Non-Hodgkin’s lymphoma และ Primary CNS Lymphoma
  • มะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม (Invasive Cervical Cancer): พบได้ในผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV ร่วมกับ HIV

2. มะเร็งที่ไม่ได้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยเอดส์ (Non-AIDS-defining Cancers)

แต่มีอุบัติการณ์สูงในผู้ติดเชื้อ HIV เช่น:

  • มะเร็งทวารหนัก (Anal cancer)
  • มะเร็งตับ (จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี/ซี)
  • มะเร็งปอด
  • มะเร็งศีรษะและลำคอ
  • มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่

ปัจจัยเสี่ยงที่ซ้ำเติมความเสี่ยงมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV

การติดเชื้อ HIV เพียงอย่างเดียวอาจไม่ทำให้เกิดมะเร็งทันที แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่น ๆ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่:

  • การสูบบุหรี่
  • การดื่มแอลกอฮอล์
  • การติดเชื้อ HPV หรือไวรัสตับอักเสบ
  • ไม่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง
  • CD4 ต่ำกว่า 200 cells/mm³
  • ระยะเวลาการติดเชื้อ HIV นานโดยไม่รักษา

การวินิจฉัยมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV

การวินิจฉัยใช้หลักการเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป ได้แก่:

  • ตรวจร่างกายและซักประวัติ
  • ตรวจเลือด รวมถึง CD4 และ Viral Load
  • การตรวจเฉพาะทาง เช่น Pap smear, ตรวจคัดกรอง HPV, ตรวจอัลตราซาวด์ หรือ CT scan
  • การตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อยืนยันเซลล์มะเร็ง

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV

ผู้ป่วย HIV ที่เป็นมะเร็งสามารถรักษาได้เช่นเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป โดยคำนึงถึง:

1. การผ่าตัด

ใช้ในกรณีที่มะเร็งยังไม่ลุกลามมาก เป็นการรักษาระยะเริ่มต้น

2. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)

จำเป็นต้องพิจารณา CD4 และ Viral Load ก่อนการรักษาอย่างรอบคอบ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสสูง

3. การฉายรังสี (Radiotherapy)

ใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในบางชนิด เช่น มะเร็งปากมดลูก หรือศีรษะลำคอ

4. การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART)

เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยให้ผู้ป่วยทนต่อการรักษามะเร็งได้ดีขึ้น

แนวทางการป้องกันมะเร็งในผู้ติดเชื้อ HIV

การป้องกันยังเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง โดยเฉพาะในผู้ติดเชื้อ HIV โดยสามารถทำได้ดังนี้:

  • รับประทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี และตรวจคัดกรองมะเร็ง (เช่น Pap smear, HPV test)
  • ฉีดวัคซีน HPV และวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  • รักษาสุขอนามัยและพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ

การดูแลตนเองเมื่อเป็นผู้ติดเชื้อ HIV เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง

  • ควรเข้าพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  • ควบคุมความเครียด และดูแลสุขภาพจิตใจ
  • หากพบความผิดปกติใด ๆ เช่น ก้อนที่โตผิดปกติ เสียงแหบ น้ำหนักลดเร็ว ควรรีบพบแพทย์
  • หมั่นตรวจระดับ CD4 และ Viral Load เพื่อประเมินความเสี่ยง

สรุป

ความเชื่อมโยงระหว่าง HIV กับโรคมะเร็ง เป็นเรื่องที่สำคัญและควรให้ความใส่ใจอย่างยิ่ง การที่ภูมิคุ้มกันต่ำจากการติดเชื้อ HIV ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยรับประทานยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพและป้องกันความเสี่ยงเพิ่มเติม ก็สามารถลดโอกาสเกิดมะเร็งได้มาก และมีชีวิตที่ยืนยาวใกล้เคียงกับคนปกติ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ HIV และมะเร็ง

Q: ผู้ติดเชื้อ HIV ต้องกลัวมะเร็งมากแค่ไหน?
A: ผู้ติดเชื้อ HIV มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดมะเร็ง แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการรักษาอย่างถูกต้องและตรวจร่างกายสม่ำเสมอ

Q: มะเร็งชนิดไหนพบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อ HIV?
A: Kaposi’s sarcoma, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งทวารหนัก

Q: การรักษามะเร็งในผู้ป่วย HIV แตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่?
A: ไม่ต่างในหลักการ แต่ต้องระวังผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนจากภูมิคุ้มกันต่ำ

Q: การรับวัคซีน HPV และไวรัสตับอักเสบช่วยได้ไหม?
A: ช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้ดี โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งตับ

Q: HIV รักษาหายไหม?
A: HIV ยังไม่มียารักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมได้จนระดับไวรัสต่ำมากจนไม่แพร่เชื้อ และมีชีวิตได้ปกติหากรักษาต่อเนื่อง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.

Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.

[/vc_column][/vc_row]