

ต้นมังตาน
ต้นมังตาน เป็นพรรณไม้ยืนต้นดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ตรงกลางมีเกสรตัวผู้สีเหลืองบานสะพรั่งยาวนานตลอดทั้งปีที่นิยมปลูกเพื่อให้ล่มเงามีแหล่งกำเนิดในเขตร้อน เขตอบอุ่นรวมถึงแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 200-2500 เมตร ชื่อวิทยาศาสตร์ Schima wallichii (DC.) Korth. ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Gordonia wallichii DC., Schima brevipes W. G. Craib จัดอยู่ในวงศ์ วงศ์ชา (THEACEAE)[1],[2] ชื่ออื่น ๆ กรึ๊สะ เต่อครื่อยสะ ตื้อซือซะ (ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่), หมูพี (ชาวเงี้ยงเชียงใหม่), บุนนาค (จังหวัดนครราชสีมา, ตราด), กาโซ้ (จังหวัดยะลา, นครพนม), คายโซ่ จำปาดง พระราม (จังหวัดเลย, หนองคาย), ทะโล้ (คนเมือง), ไม้กาย (ชาวไทใหญ่), คาย ทะโล้ สารภีป่า สารภีดอย (ในภาคเหนือ), กรรโชก (ในภาคอีสาน), พังตาน พันตัน (ในภาคใต้), มือแดกาต๊ะ (ในภาคใต้ มาเลเซีย) เส่ยือสะ (ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ลำโคระ ลำพิโย๊วะ ลำคิโยะ (ชาวลั้วะ), ตุ๊ดตรุ (ชาวขมุ) เป็นต้น[1],[2],[3],[5]
ลักษณะของต้นมังตาน
- ต้น
– ลำต้นมีความสูงอยู่ที่ 15-26 เมตร ขนาดวัดรอบลำต้นอยู่ที่ 1.5 เมตร ลำต้นมีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
– ลำต้นเป็นพรรณไม้ที่ค่อนข้างหายาก เนื่องจากพื้นที่ป่าถูกรุกราน
– เป็นไม้ยืนต้นที่ไม่ผลัดใบ มีเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ
– ลำต้นมีลักษณะรูปร่างเปลาตรง เปลือกของลำต้นด้านนอกมีลักษณะที่ขรุขระและมักจะแตกเป็นร่องลึกตามยาว
– เปลือกด้านนอกของลำต้นมีสีเทาปนน้ำตาลอ่อน ส่วนเปลือกด้านในมีสีเป็นสีน้ำตาลอมแดง ลำต้นมีเสี้ยนละเอียดสีขาวซึ่งมีพิษต่อผิวหนัง
– ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ต้นชอบความชื้นและต้องการแสงแดดปานกลาง - ใบ
– เป็นใบเดี่ยว โดยใบจะออกเรียงสลับกันที่บริเวณปลายกิ่ง
– ลักษณะรูปร่างของใบจะเป็นรูปใบหอกขอบขนาน ปลายใบสอบแหลม บริเวณโคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบหรือบางใบอาจจะมีรอยหยักตื้น ๆ ตามขอบใบ
– ด้านหลังใบมีสีเขียวเข้ม ผิวเป็นมัน ส่วนท้องใบและเส้นกลางใบจะมีขนขึ้นปกคลุมอยู่ประปราย โดยสามารถเห็นเส้นใบเป็นรูปร่างแหได้อย่างชัดเจน ซึ่งเส้นแขนงใบจะมีข้างละประมาณ 10-15 เส้น ส่วนใบอ่อนจะมีสีเป็นสีแดง[1],[2],[5]
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-5.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4.5-13 เซนติเมตร - ดอก
– ดอกมังตานจะออกดอกเดี่ยวหรือออกดอกเป็นกลุ่มที่บริเวณปลายกิ่งและบริเวณตามซอกใบใกล้กับปลายกิ่ง
– ออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงช่วงเดือนมีนาคม โดยดอกมังตานจะค่อย ๆ ทยอยบานนาน 2 สัปดาห์ หลังจากนั้น 2 วัน ดอกที่บานก็จะเริ่มร่วงโรย
– ดอกบานออกจะส่งกลิ่นหอมออกมาตลอดทั้งวัน[1],[2],[5]
– ดอกมังตานจะมีสีขาวหรือสีขาวนวล มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว กลีบดอกและกลีบรองดอกมีอย่างละ 5 กลีบเท่า ๆ กัน
– ดอกมีกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียวอ่อนขนาดเล็ก ส่วนกลีบดอกมีลักษณะรูปร่างที่ค่อนข้างกลม กลีบดอกด้านล่างมักจะเล็กกว่ากลีบอื่น ๆ
– ดอกมีเกสรเพศผู้เป็นเส้น ๆ ขนาดเล็กสีเหลืองยื่นออกมาจากดอกเป็นจำนวนมาก ส่วนเกสรเพศเมียมีอันเดียวและมีขนาดสั้น
– ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างอยู่ที่ประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร - ผล
– ผลค่อนข้างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร ผลมีเปลือกแข็ง ผิวผลมีขนสีน้ำตาลเข้มคล้ายกับเส้นไหมขึ้นปกคลุม
– เมื่อผลแก่สีน้ำตาลเข้มและผลจะแตกออกมาตามรอยเป็น 4-5 เสี่ยง แต่ละส่วนที่แตกออกมาจะมีเมล็ดอยู่ภายในประมาณ 4-5 เมล็ด
– ติดผลในช่วงเดือนเมษายนถึงช่วงเดือนมิถุนายน[1],[5]
สรรพคุณของต้นมังตาน
1. ต้นและกิ่งนำมาต้มกับน้ำเป็นยาใช้ภายนอก โดยจะนำมาใช้หยอดหูสำหรับแก้อาการปวดในหู (ต้นและกิ่ง)[1],[4]
2. คนในสมัยก่อนจะนำต้นและกิ่งก้านอ่อนมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มในขณะที่กำลังอุ่น ๆ เป็นยาแก้อาการคลื่นไส้ (ต้นและกิ่ง)[1],[4]
3. ต้นและราก นำมาต้มกับน้ำใช้สำหรับดื่มรักษาโรคนิ่ว (ต้นและราก)[2]
4. รากและใบอ่อนนำมาใช้ทำเป็นยาลดไข้ (รากและใบอ่อน)[4]
5. ใบสดนำมาใช้ทำเป็นยาแก้โรคท้องร่วง (ใบสด)[4]
6. เปลือก ช่วยป้องกันการเน่าของบาดแผลได้ (เปลือก)[4]
7. เปลือกต้นนำมาใช้ทำเป็นยาถ่ายพยาธิ (เปลือก)[4]
8. ดอกแห้งนำมาแช่หรือชงให้กับสตรีหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ ใช้สำหรับดื่มต่างน้ำเป็นยาแก้ขัดเบา และแก้ลมชัก ลมบ้าหมู (ดอกแห้ง)[1],[4]
ประโยชน์ของต้นมังตาน
1. เนื้อไม้นำมาแปรรูป ใช้สำหรับทำโครงสร้างต่าง ๆ ของบ้านได้ เช่น ฝาบ้าน ไม้กระดาน หรือนำมาใช้ทำงานหัตถศิลป์ทั่วไป แต่ห้ามนำไม้มาทำพื้นปูนอนเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายผิวหนัง ทำให้ผิวหนังพุพองและเน่าเปื่อยได้[1],[2],[3]
2. ชาวลั้วะจะนำลำต้นมาทำเป็นไม้ฟืน ส่วนคนเมืองจะนำเนื้อไม้มาทำเป็นฟืนสำหรับใช้นึ่งเมี่ยง[2]
3. เปลือกต้นของต้นมังสานมีพิษที่ใช้เป็นยาเบื่อปลาได้ โดยการนำเปลือกต้นแบบสด ๆ นี้มาทุบให้พอแตก จากนั้นก็นำไปแช่ในน้ำบริเวณห้วย หนองน้ำ หรือคลองบึง[1]
4. ปลูกเป็นไม้ประดับได้ เนื่องจากดอกมีความสวยงามและมีกลิ่นหอม[5]
5. เปลือกต้นนำมาบดให้เป็นผง สามารถนำมาใช้แต่งกลิ่นธูปหอมได้[1] และขี้เทาจากเปลือกจะให้สีเทาใช้สำหรับเป็นสีผสมอาหารได้[3]
ข้อควรระวังของต้นมังตาน
- เปลือกและเนื้อไม้ หากสัมผัสโดนผิวหนังจะทำให้เกิดอาการคันได้[2]
สั่งซื้อ อาหารเสริม เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค สำหรับผู้ป่วย คลิ๊ก @amprohealth
เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). “มังตาน”. หน้า 126.
2. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “มังตาน, ทะโล้”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [31 ต.ค. 2014].
3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ทะโล้”. อ้างอิงใน : หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1, ไม้ต้นในสวน Tree in the Garden. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [31 ต.ค. 2014].
4. พืชสมุนไพรโตนงาช้าง. “มังตาน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : paro6.dnp.go.th/web_km/พืชสมุนไพรโตนงาช้าง/. [31 ต.ค. 2014].
5. ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “มังตาน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [31 ต.ค. 2014].
อ้างอิงรูปจาก
1.https://www.jungledragon.com/image/124262/flowers_-_schima_wallichii.html
2.https://www.quintadosouriques.com/store/seeds/trees/schima-needlewood/