มะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary Gland Cancer) คือโรคมะเร็งที่พบได้น้อย แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะในด้านการพูด เคี้ยว และกลืนอาหารอย่างปกติ บทความนี้จะอธิบายตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย ระยะของโรค แนวทางการรักษา ตลอดจนผลข้างเคียงจากการฉายรังสีที่ควรรู้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจโรคได้ครบถ้วนและนำไปสู่การตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
โครงสร้างของต่อมน้ำลายและหน้าที่
ต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ (Major Salivary Glands)
มีทั้งหมด 3 คู่ได้แก่:
- ต่อมน้ำลายหน้าหู (Parotid gland): ขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ด้านหน้าของหู
- ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร (Submandibular gland): อยู่ใต้กรามล่าง
- ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (Sublingual gland): อยู่ใต้พื้นปาก
ต่อมน้ำลายขนาดเล็ก (Minor Salivary Glands)
- กระจายอยู่ทั่วเยื่อบุช่องปาก คอหอย และกล่องเสียง
- ไม่มีท่อนำส่งน้ำลายโดยตรง แต่จะหลั่งออกมาแบบกระจาย
หน้าที่หลัก คือการผลิตน้ำลายเพื่อช่วยย่อยอาหาร หล่อเลี้ยงเยื่อบุช่องปาก และควบคุมสมดุลของแบคทีเรียในช่องปาก
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งต่อมน้ำลาย
แม้สาเหตุที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด แต่นักวิจัยพบว่าปัจจัยเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยง:
- พันธุกรรมที่ผิดปกติ ซึ่งไม่ได้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
- การได้รับรังสี โดยเฉพาะจากการรักษาโรคอื่นมาก่อน
- ขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน A และ C
- การสัมผัสสารก่อมะเร็งบางชนิด เช่น สารเคมีจากการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม
- อายุ มักพบในผู้ที่มีอายุ 50–70 ปี
- การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง
อาการของมะเร็งต่อมน้ำลาย
อาการของโรคไม่เฉพาะเจาะจงมาก แต่สามารถสังเกตความผิดปกติได้ดังนี้:
- คลำเจอก้อนบริเวณใบหน้า ใต้ขากรรไกร หรือใต้ลิ้น
- ปวดบริเวณต่อมน้ำลายหรือก้อนที่พบ
- หน้าเบี้ยว หรือชา บ่งชี้ว่าเนื้อร้ายอาจลุกลามสู่เส้นประสาท
- กลืนลำบาก น้ำลายเหนียว พูดไม่ชัด
- ต่อมน้ำเหลืองที่ลำคอโตอย่างผิดปกติ
หากมีอาการข้างต้นควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำ
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำลาย
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยแพทย์หูคอจมูก
- อัลตราซาวด์/CT Scan/MRI เพื่อประเมินขนาดและตำแหน่งของก้อน
- การเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy) หรือการผ่าตัดต่อมน้ำลายออกไปตรวจทางพยาธิวิทยา
- PET Scan ในกรณีต้องประเมินการแพร่กระจาย
ระยะของโรคมะเร็งต่อมน้ำลาย (Cancer Staging)
ระยะ |
ลักษณะอาการ |
ระยะที่ 1 |
ก้อนเนื้อขนาด ≤ 2 ซม. ยังไม่ลุกลาม |
ระยะที่ 2 |
ก้อนเนื้อขนาด 2–4 ซม. ยังไม่ลุกลามต่อมน้ำเหลือง |
ระยะที่ 3 |
ขนาด > 4 ซม. หรือแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง ≤ 3 ซม. |
ระยะที่ 4 |
ลุกลามไปยังกระดูก เส้นประสาท ผิวหนัง หรือต่อมน้ำเหลืองขนาด > 3 ซม. |
แนวทางการรักษามะเร็งต่อมน้ำลาย
1. การผ่าตัด (Surgery)
- วิธีการหลักที่ใช้มากที่สุด
- พิจารณาผ่าตัดเฉพาะก้อน หรือรวมถึงการตัดต่อมน้ำเหลือง
2. การฉายรังสี (Radiotherapy)
- ใช้หลังการผ่าตัด หรือในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
- ผลข้างเคียง: ปากแห้ง กลืนลำบาก ลิ้นชา
3. การทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)
- ใช้ในผู้ป่วยที่โรคลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำ
- มักใช้ร่วมกับการฉายรังสี
4. การรักษาแบบตรงเป้า (Targeted Therapy)
- อยู่ระหว่างการวิจัย อาจใช้ในมะเร็งบางชนิดที่มีตัวรับพิเศษ
ผลข้างเคียงจากการฉายแสงที่ต่อมน้ำลาย
อาการสำคัญ:
- น้ำลายแห้ง (Xerostomia)
- ปวดในช่องปาก
- เสี่ยงฟันผุสูง
- พูด กลืน และรับรสลำบาก
วิธีลดผลข้างเคียง:
- ใช้เทคนิค IMRT (Intensity-Modulated Radiation Therapy)
- กระตุ้นต่อมน้ำลายด้วยยาหรือวิธีธรรมชาติ
- ใช้น้ำลายเทียมหรือหมากฝรั่งกระตุ้นน้ำลาย
การพยากรณ์โรค (Prognosis)
- หากพบในระยะต้น โอกาสรอดชีวิต 5 ปี > 70%
- มะเร็งชนิด low-grade รักษาง่ายกว่า high-grade
- การรักษาอย่างต่อเนื่องช่วยควบคุมโรคได้นาน
การดูแลตัวเองและการติดตามผลหลังการรักษา
- หมั่นตรวจติดตามทุก 3–6 เดือนในช่วง 2 ปีแรก
- ตรวจร่างกาย CT/MRI ซ้ำตามคำแนะนำแพทย์
- บำรุงสุขภาพช่องปากอย่างเคร่งครัด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
แนวทางป้องกันโรคมะเร็งต่อมน้ำลาย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสรังสีโดยไม่จำเป็น
- สวมหน้ากากและอุปกรณ์ป้องกันหากทำงานเกี่ยวกับสารเคมี
- รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะหากพบก้อนผิดปกติในบริเวณใบหน้าและลำคอ
สรุป
มะเร็งต่อมน้ำลาย แม้จะพบได้น้อย แต่ก็มีความรุนแรงโดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม การรู้เท่าทันสัญญาณเตือนเบื้องต้น และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก สามารถเพิ่มโอกาสหายขาดได้อย่างมาก การผ่าตัดร่วมกับการฉายรังสีเป็นวิธีรักษาหลัก และหากมีเทคนิคใหม่ๆ เช่น การรักษาแบบตรงเป้าเข้ามาเสริม ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้มากขึ้นในอนาคต
FAQ คำถามที่พบบ่อย
Q1: มะเร็งต่อมน้ำลายพบได้บ่อยแค่ไหน?
A: มะเร็งต่อมน้ำลายจัดว่าเป็นโรคมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อย คิดเป็น <5% ของมะเร็งศีรษะและลำคอทั้งหมด
Q2: มีกลุ่มเสี่ยงใดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ?
A: ผู้มีอายุ >50 ปี ผู้เคยได้รับการฉายรังสีบริเวณศีรษะและคอ ผู้ที่ทำงานกับสารเคมี หรือมีประวัติเกี่ยวกับมะเร็งต่อมน้ำลายในครอบครัว
Q3: ถ้าฉายแสงแล้วน้ำลายแห้ง ควรทำอย่างไร?
A: ดื่มน้ำบ่อยๆ ใช้น้ำลายเทียม เคี้ยวหมากฝรั่งไม่ผสมน้ำตาล และหลีกเลี่ยงอาหารเค็มหรือแห้งจนเกินไป
Q4: มะเร็งต่อมน้ำลายสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่?
A: ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่รักษาไม่ครบวงจร หรือมีมะเร็งชนิด high-grade จำเป็นต้องตรวจติดตามสม่ำเสมอ
Q5: ป้องกันมะเร็งต่อมน้ำลายได้อย่างไร?
A: ยังไม่มีวิธีป้องกัน 100% แต่การเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น รังสี สารเคมี การสูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพประจำปีสามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้
ร่วมตอบคำถามกับเรา
[/vc_column_text]
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
WHO (October 2010). Cancer. World Health Organization. Retrieved 5 January 2011.
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์. รู้ก่อนเข้าใจการตรวจรักษามะเร็ง.กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557.