ถั่วพู ผักยอดนิยมกินกับน้ำพริก อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุสูง ช่วยบำรุงร่างกาย

0
ถั่วพู
ถั่วพู เป็นผักที่ช่วยเสริมสร้างการดูดซึมของแคลเซียม มีเส้นใยอาหารสูง โปรตีนสูง แคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

ถั่วพู

ถั่วพู

ถั่วพู เป็นพืชในเขตร้อนที่มีลักษณะนูนออกมา เป็นผักที่มักจะพบในอาหารทานพร้อมกับน้ำพริกกะปิ หรือน้ำพริกทั่วไป ถือเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ ซี อี และยังเป็นผักที่มีโปรตีนสูงด้วย นอกจากนั้นยังมีเมล็ดที่มีน้ำมันอยู่ด้วย สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันพืชสำหรับใช้ปรุงอาหารได้ ประโยชน์ยังมีอีกมากมาย ทั้งเป็นยาสมุนไพร ส่วนประกอบในอาหาร วัตถุดิบทางการเกษตร และเป็นยาในการรักษาสิวและโรคผิวหนังบางชนิดได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของถั่วพู

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Psophocarpus tetragonolobus (L.) DC.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Winged bean” “Goa bean” “Asparagus pea” “Four – angled bean” “Winged pea”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ถั่วพูใหญ่ ถั่วพูตะขาบ ถั่วพูจีน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของต้นถั่วพู

ถั่วพู เป็นไม้เลื้อยที่ไม่มีเนื้อไม้แต่มีอายุหลายปี เป็นพืชที่ปลูกง่ายและเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ยกเว้นในดินที่มีน้ำขัง
ลำต้น : ลำต้นเลื้อยพัน มีลำต้นสีเขียวและเขียวปนม่วง
ราก : เป็นรากที่สะสมอาหารอยู่ใต้ดิน มีปมซึ่งเป็นที่อยู่ของเชื้อไรโซเบียมจำนวนมาก
ใบ : ใบเรียงสลับกัน เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมี 3 ใบ โคนใบกลมและเบี้ยว ปลายใบแหลม มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปไข่ และรูปใบหอก
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบแบบช่อกระจะ ในช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 3 – 12 ดอก กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันคล้ายรูประฆัง ปลายเป็น 5 กลีบ กลีบเป็นซี่สั้น กลีบดอกมีระหว่างสีขาวและสีม่วงแดง สีน้ำเงิน สีแดง มีเกสรตัวผู้อยู่ 10 ก้าน แบ่งเป็น 2 มัด มัดหนึ่งมี 9 ก้าน ส่วนอีกมัดมี 1 ก้าน
ฝัก : เป็นรูปขอบขนานจนถึงรูปแถบ มีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ละมุมของฝักจะมีปีกตามยาว ปีกมีลักษณะเป็นหยักแบบจักคล้ายฟันเลื่อย มีสีเขียว มีรูปร่างเป็นฝักสี่เหลี่ยม มีปีก 4 ปีก เมื่อตัดตามขวางจะแบ่งได้เป็น 4 แบบคือ rectangular, semi flat, flat on sides และ flat on suture ฝักมีทั้งสีเขียว สีม่วง และสีเหลือง ผิวจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบผิวเรียบและแบบผิวหยาบมาก ในฝักมีเมล็ดอยู่ประมาณ 8 – 20 เมล็ด
เมล็ด : ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปกึ่งทรงกลม มีตั้งแต่สีขาว สีเหลือง สีครีม สีน้ำตาล สีดำ และแบบที่เป็นลวดลายต่าง ๆ ส่วนใหญ่แล้วเมล็ดจะมีสีน้ำตาล และยังมีขนาดต่างกัน

สรรพคุณของถั่วพู

  • สรรพคุณ ช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม ส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  • สรรพคุณจากฝักอ่อน ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยแก้อาการตัวร้อน ลดไข้ในเด็กทารก ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – ช่วยบำรุงร่างกาย ด้วยการนำเมล็ดแก่ตากแห้งมาบดให้เป็นผง นำมาละลายกับน้ำครั้งละ 5 – 6 กรัม ทานก่อนอาหารวันละ 3 เวลา
    – ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง เพิ่มกำลังวังชา ด้วยการนำเมล็ดแก่มาต้มให้สุกแล้วทาน หรือจะนำเมล็ดที่ต้มสุกแล้วมาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำร้อน ใช้ดื่มก่อนอาหารวันละ 3 เวลา
  • สรรพคุณจากหัว ช่วยทำให้ดวงจิตชุ่มชื่น ช่วยแก้ไข้กาฬ ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้กระหายน้ำ
    – ช่วยบำรุงกำลัง ด้วยการนำหัวใต้ดินมาเผาหรือนึ่งกิน
    – ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ด้วยการนำหัวมาตากแห้งแล้วคั่วให้เหลือง ใช้ชงกับน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้อาการปวดมวนท้อง ช่วยแก้โรคลมพิษกำเริบ ทำให้คลั่งเพ้อ เป็นยาโรคเพื่อวาโยธาตุกำเริบ ใช้รักษาดีพลุ่งพล่าน ทำให้คลั่งเพ้อ แก้อาการปวดมวนท้อง แก้กระทำให้ตาแดง
    – เป็นยาชูกำลัง แก้โรคหัวใจ ด้วยการนำรากผสมกับสมุนไพรและน้ำดอกไม้ใช้เป็นยา
  • สรรพคุณจากฝัก ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยระบบขับถ่ายให้ทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้อาการอาเจียน
  • สรรพคุณจากน้ำมันในเมล็ด ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย

ประโยชน์ของถั่วพู

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน ฝักอ่อน นำมาใช้กินเป็นผักและหัวใต้ดินใช้กินเป็นอาหารแห้ง คนไทยนิยมใช้ฝักอ่อนเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก ชาวญี่ปุ่นนำฝักอ่อนมาทอดเป็นเทมปุระ ในอินเดียและศรีลังกานิยมนำฝักอ่อนมาดองไว้รับประทาน มีการนำหัวมาแปรรูปเป็นแป้งสำหรับใช้ประกอบอาหาร หรือนำไปเชื่อมเป็นขนมหวานได้ เป็นอาหารขบเคี้ยวที่มีโปรตีนสูงอีกด้วย
2. สกัดเป็นน้ำมัน เมล็ดแก่มีน้ำมันอยู่ร้อยละ 16 -18 สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันพืชสำหรับใช้ปรุงอาหารได้
3. ใช้ในการรักษาสิว ใช้ในการรักษาสิวและโรคผิวหนังบางชนิด
4. ใช้ในการเกษตร สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ เป็นพืชบำรุงดินได้ดี ช่วยเพิ่มไนโตรเจนให้แก่ดินและเมื่อไถกลบต้นถั่วหลังการเก็บเกี่ยวไปแล้วยังกลายเป็นปุ๋ยพืชที่ดินต้องการอีกด้วย

ถั่วพู เป็นพืชเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถนำมารับประทานได้แทบทุกส่วนของต้น ถือเป็นผักที่ช่วยเสริมสร้างการดูดซึมของแคลเซียม มีเส้นใยอาหารสูง โปรตีนสูง แคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ ซี อี คู่ควรอย่างมากในการนำมารับประทานเป็นประจำ แถมยังมีรสชาติอร่อยอีกด้วย มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของหัวและฝัก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ป้องกันมะเร็งเต้านม ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอลและแก้โรคหัวใจได้ด้วย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
สถาบันวิจัยและพัฒนา กำแพงแสน มหาวิทยาเกษตรศาสตร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rdi.kps.ku.ac.th. [17 ต.ค. 2013].
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: en.wikipedia.org/wiki/Winged_bean. [17 ต.ค. 2013].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 350. คอลัมน์: บทความพิเศษ. รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ., นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 219. “ถั่วพู ถั่วพื้นบ้านที่โลกกำลังจับตามอง“. คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [17 ต.ค. 2013].
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กรีนไฮเปอร์มาร์ท สารานุกรมผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากพืชในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉบับคอมพิวเตอร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sc.mahidol.ac.th. [17 ต.ค. 2013].
กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย. [ออนไลน์]. “สรรพคุณและประโยชน์ของถั่วพู“. เข้าถึงได้จาก: www.dol.go.th. [17 ต.ค. 2013].
สมุนไพรดอตคอม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.samunpri.com. [17 ต.ค. 2013].
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [17 ต.ค. 2013].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.jungledragon.com/image/53823/winged_beans_flowers.html

หญ้าฝรั่น พืชกลิ่นหอมราคาแพงอันดับ 1 ที่สุดในโลก ทำให้ผิวดี อายุยืน

0
หญ้าฝรั่น
หญ้าฝรั่น เป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมและกลิ่นติดทนนาน ส่วนของรสชาติจะมีรสขมอมหวาน

หญ้าฝรั่น

หญ้าฝรั่น

หญ้าฝรั่น เป็นพืชสมุนไพรล้มลุกของต่างประเทศที่มีราคาแพงมากที่สุดในโลก ในประเทศไทยยังไม่มีการเพาะปลูก เป็นพืชสมุนไพรที่มีการใช้มาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ โดยแหล่งผลิตที่มีคุณภาพสูงคือประเทศอิหร่าน มีลำต้นอยู่ใต้ดินลักษณะคล้ายหัวเผือกหรือหัวหอม มีดอกกลีบสีม่วงคล้ายดอกบัวดูสวยงามมาก ทว่าจุดเด่นของต้นคือ มีรสขมอมหวานและมีกลิ่นหอม จึงนำมาใช้แต่งกลิ่นอาหารและเป็นน้ำหอม ถือเป็นเครื่องเทศที่สำคัญในอาหารต่างประเทศ นอกจากนั้นยังเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและมีอายุยืนยาวได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหญ้าฝรั่น

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Crocus sativus L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Saffron” “True saffron” “Spanish saffron” “Crocus”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ว่านแม่ยับ (IRIDACEAE)

ลักษณะของหญ้าฝรั่น

ลำต้น : มีลำต้นอยู่ใต้ดินลักษณะคล้ายหัวเผือกหรือหัวหอม มีอายุหลายปี
หัว : ลักษณะคล้ายกับหัวหอม เป็นที่สะสมกักตุนแป้ง หัวเป็นเมล็ดกลมสีน้ำตาล ห่อหุ้มด้วยเส้นใยขนานกันหนา
ใบ : ลักษณะยาวเรียวแหลมแคบ มีสีเขียว
ดอก : ก้านดอกจะแทงออกมาจากหัวใต้ดิน ลักษณะของดอกมีรูปร่างคล้ายดอกบัว ดอกมีสีม่วง มีกลีบดอก 5 – 6 กลีบ กลีบดอกลักษณะเรียวยาวคล้ายรูปไข่ มีเกสรขนาดยาวโผล่พ้นเหนือดอก เกสรตัวเมียมีสีแดงเข้ม มักจะออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
เกสร : ยอดเกสรเพศเมียสีแดงสดยื่นยาวออกมาโผล่พ้นเหนือดอก มีลักษณะเป็น 3 ง่าม

สรรพคุณของหญ้าฝรั่น

  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค เป็นยาบำบัดรักษาโรคมะเร็ง ช่วยต่อต้านมะเร็ง ต้านสารก่อกลายพันธุ์ เป็นยายาบำบัดเพื่อรักษาโรค
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ป้องกันเซลล์ไม่ให้ตาย เป็นยาชูกำลัง ทำให้อายุยืนยาว
  • สรรพคุณด้านเลือด ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ช่วยบำรุงโลหิตในร่างกาย ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในพลาสมา
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหาร ช่วยทำให้เจริญอาหาร บรรเทาอาการปวดในกระเพาะอาหาร ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ช่วยถนอมสายตาไม่ให้มืดมนเมื่ออายุมาก ถนอมเซลล์อันซับซ้อนในดวงตาให้สามารถใช้งานนานและทนทานกับโรค ช่วยป้องกันดวงตาจากแสงแดด ช่วยป้องกันโรคจอตาเสื่อม ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม ช่วยลดความเครียดที่จอตานอกเหนือจากจุดรับภาพเสื่อม ช่วยป้องกันโรคตาบอดกลางคืน แก้ตาพร่ามัว
  • สรรพคุณด้านระบบประสาท เป็นยาคลายกล้ามเนื้อประสาท ช่วยผ่อนคลายความเครียดของระบบประสาท
  • สรรพคุณด้านการผ่อนคลาย ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า
  • สรรพคุณด้านบรรเทาอาการ ช่วยบรรเทาอาการของโรคหอบหืด ช่วยแก้อาการสวิงสวาย แก้อาการรู้สึกใจหวิว แก้อาการวิงเวียน แก้คลื่นไส้ แก้อาการคล้ายจะเป็นลม ช่วยแก้ซางในเด็ก เป็นยาขับเหงื่อ ดอกและรากช่วยแก้ไข้ ช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการปวดท้อง ช่วยระงับความเจ็บปวด
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย รากช่วยแก้อาการบิด
  • สรรพคุณต่ออวัยวะของสตรี ช่วยแก้อาการปวดท้องหลังการคลอดบุตรของสตรี ช่วยขับระดูของสตรี
  • สรรพคุณด้านกล้ามเนื้อ ช่วยแก้อาการเกร็ง แก้เส้นกระตุก ลดอาการกล้ามเนื้อกระตุก
  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

ประโยชน์ของหญ้าฝรั่น

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ส่วนมากจะนำมาใช้กับข้าวปรุงรสต้นตำรับหรืออาหารจากต่างประเทศ ใช้แต่งกลิ่นและสีของอาหาร โดยจะช่วยทำให้อาหารมีสีเหลืองส้มสว่าง เช่น ลูกกวาด ขนมหวาน เค้ก พุดดิง คัสตาร์ด รวมไปถึงเหล้าและเครื่องดื่ม มักจะนิยมนำมาใส่ในขั้นตอนสุดท้ายของการปรุงอาหาร
2. เป็นสารให้ความหอม มีกลิ่นหอมแบบโบราณ นำมาใช้ทำเป็นยาหอม ใช้แต่งกลิ่นเครื่องหอมและน้ำหอมหรือน้ำอบได้
3. ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า ใช้ในการย้อมสีผ้า โดยให้สีเหลือง
4. เป็นส่วนประกอบของยา ตำรายาสมุนไพร Farmakuya มีสรรพคุณในการนำมาใช้ทำเป็นทิงเจอร์ที่มีชื่อว่า Tinctura Opiicrocata มีการใช้สารสกัดที่ได้มีตัวยาที่ชื่อว่า Swedish bitters เพื่อใช้ในการเตรียมยาบำบัดเพื่อรักษาโรค มีศักยภาพในคุณสมบัติทางด้านการแพทย์

คุณค่าทางโภชนาการของหญ้าฝรั่น

คุณค่าทางโภชนาการ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 310 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 65.37 กรัม
เส้นใย 3.9 กรัม
ไขมัน 5.85 กรัม
ไขมันอิ่มตัว 1.586 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 0.429 กรัม
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 2.067 กรัม
โปรตีน 11.43 กรัม
น้ำ 11.9 กรัม
วิตามินเอ 530 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.115 มิลลิกรัม (10%)
วิตามินบี2 0.267 มิลลิกรัม (22%)
วิตามินบี3 1.46 มิลลิกรัม (10%)
วิตามินบี6 1.01 มิลลิกรัม 
วิตามินบี9 93 ไมโครกรัม
วิตามินซี 80.8 มิลลิกรัม (97%)
ธาตุแคลเซียม 111 มิลลิกรัม (11%)
ธาตุเหล็ก 11.1 มิลลิกรัม (85%)
ธาตุแมกนีเซียม 264 มิลลิกรัม (74%) 
ธาตุฟอสฟอรัส 252 มิลลิกรัม (36%)
ธาตุโพแทสเซียม 1,724 มิลลิกรัม (37%)
ธาตุโซเดียม 148 มิลลิกรัม (10%)
ธาตุสังกะสี 1.09 มิลลิกรัม (11%)
ธาตุซีลีเนียม 5.6 ไมโครกรัม

หญ้าฝรั่น เป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมและกลิ่นติดทนนาน ส่วนของรสชาติจะมีรสขมอมหวาน พืชชนิดนี้มักขึ้นในธรรมชาติตามที่ลาดเขาซึ่งมีอยู่ไม่กี่แห่งในโลก จึงเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงมาก มักนิยมใส่ในอาหารเนื่องในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เท่านั้น เป็นพืชที่มีค่ามากกว่าทองคำเมื่อนำมาเทียบน้ำหนักกัน มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาโรคมะเร็ง บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด ทำให้อายุยืน ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า ดีต่อระบบประสาทและดวงตาเป็นอย่างมาก

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [20 ต.ค. 2013].
โรงเรียนอุดมศึกษา. “เมนูอาหารพรรณไม้“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.udomsuksa.ac.th. [20 ต.ค. 2013].
หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.medplant.mahidol.ac.th. [20 ต.ค. 2013].
เครือข่ายความร่วมมือบริการเภสัชสนเทศ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. อ้างอิงใน: หนังสือสมุนไพรไทยเทศ เล่ม 1 (อรุณพร อิฐรัตน์), หนังสือสมุนไพรสารพัดประโยชน์ (วันดี กฤษณพันธ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: drug.pharmacy.psu.ac.th. [20 ต.ค. 2013].
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาน่าน เขต 2. อ้างอิงใน: หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nan2.go.th. [20 ต.ค. 2013].
วิชาการดอตคอม. “วิจัยเผยหญ้าฝรั่นกันตาบอด“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.vcharkarn.com. [20 ต.ค. 2013].
บ้านจอมยุทธ. “หญ้าฝรั่น (Safron)“. อ้างอิงใน: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเตหะราน มิถุนายน 2548. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.baanjomyut.com. [20 ต.ค. 2013].
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/หญ้าฝรั่น. [19 ต.ค. 2013].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.marthastewart.com/8199825/spring-fall-crocus-varieties-care-guide

หอมใหญ่ วิตามินซีสูง ช่วยต้านมะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน กระดูกพรุน

0
หอมใหญ่
หอมใหญ่ เครื่องเทศชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ในการปรุงอาหาร และใช้ดับกลิ่นอาหาร อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ

หอมใหญ่

หอมใหญ่

หอมใหญ่ เครื่องเทศชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ในการปรุงอาหารกันอย่างแพร่หลาย เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าพืชชนิดนี้ และเป็นที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณทางยาและดีต่อร่างกาย แต่บางคนก็ไม่สามารถทานได้เพราะกลิ่นที่แรงและเผ็ด เป็นส่วนผสมที่พบได้มากในชีวิตประจำวันของเรา หอมหัวใหญ่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากกว่า 300 ชนิด เมื่อรู้อย่างนี้แล้วหากเจอในอาหารก็จงกินมันเข้าไปเสียเถิด

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหอมใหญ่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium cepa L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Onion”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ ว่า “หัวหอม หอมหัวใหญ่ หัวหอมใหญ่ หอมฝรั่ง หอมหัว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE)

ลักษณะหอมหัวใหญ่

หอมหัวใหญ่ เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดและมีเขตการกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียกลาง หรือทวีปเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
หัวใต้ดิน : มีหัวอยู่ใต้ดินคล้ายหัวหอม ลักษณะกลมป้อม มีเปลือกนอกบางเป็นสีม่วงแดงหุ้มอยู่ แต่เมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ภายในจะมีกลีบสีขาวอวบหุ้มซ้อนกันอยู่เป็นชั้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเป็นกระจุก 3 – 4 ใบ ลักษณะเป็นรูปดาบ เส้นใบจีบตามยาวลักษณะคล้ายพัด
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากลำต้นใต้ดิน กลีบดอกมีสีขาว

สรรพคุณของหอมหัวใหญ่

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยให้พลังการไหลเวียนในอวัยวะภายในร่างกายคล่องตัว ช่วยแก้ธาตุในร่างกาย ช่วยกำจัดสารตะกั่วและโลหะหนักที่ปนเปื้อนมากับอาหารและสะสมในร่างกาย ช่วยเม็ดเลือดขาวในการทำลายและย่อยสลายไวรัส ช่วยฆ่าเชื้อโรค ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ช่วยป้องกันโรค ช่วยป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของอัมพาต ช่วยป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้หรือหอบหืด ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ ช่วยป้องกันมะเร็งตับ
  • สรรพคุณด้านการคลายเครียด ช่วยทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกง่วง ช่วยในการนอนหลับ
  • สรรพคุณด้านสมอง ช่วยทำให้มีความจำที่ดีขึ้น
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหาร ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  • สรรพคุณด้านเลือด ช่วยรักษาโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ลดปริมาณของไขมันในเส้นเลือด ช่วยในการขยายหลอดเลือด ช่วยทำให้เลือดไม่แข็งตัวไปแล้วไปอุดตันในหลอดเลือดได้ง่าย ช่วยในการสลายลิ่มเลือด ป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดอุดตัน ยับยั้งการรวมตัวกันของเกล็ดเลือด ปกป้องหลอดเลือดเลี้ยงสมองเกิดการอุดตัน ช่วยกระจายเลือดลม ทำให้หลอดเลือดสะอาด ลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ช่วยลดความดันโลหิต แก้ความดันโลหิตสูง ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันไขมันไม่ให้มาเกาะตามผนังหลอดเลือด ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
  • สรรพคุณด้านไขมัน ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยลดความอ้วน ช่วยลดการเป็นพิษต่อเซลล์ไขมันในเลือดชนิดเลว ช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL)
  • สรรพคุณจากกระดูก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • สรรพคุณแก้อาการ ช่วยรักษาไข้หวัด แก้หวัดคัดจมูก ช่วยลดน้ำมูก ช่วยขับเสมหะ ลดอาการปวดอักเสบ ช่วยแก้บวม แก้ปวด แก้อาการบวมจากพิษ แก้แผลช้ำบวม แก้ฝี ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อ
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย ช่วยขับพยาธิ ช่วยในการขับปัสสาวะ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยแก้ท้องร่วง
  • สรรพคุณด้านลม ช่วยแก้ลมพิษ
  • สรรพคุณด้านผิวหนัง ช่วยรักษาผิวหนังที่ถูกน้ำร้อนลวก

ประโยชน์ของหอมหัวใหญ่

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร หัวใช้รับประทานเป็นผักหรือนำมาใช้ปรุงอาหาร เป็นเครื่องเทศเพื่อช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร ทำให้กระดูกอ่อนนุ่มเมื่อนำมาใช้ต้มกับกระดูกสัตว์
2. เป็นผลิตภัณฑ์ความงาม น้ำมันหอมระเหยจากหัวนำมาใช้ทาสิวอักเสบเพื่อช่วยลดการอักเสบได้ ช่วยรักษาฝ้า สกัดทำเป็นเครื่องสำอาง เช่น ยาสระผม ยาบำรุงเส้นผม ช่วยขจัดรังแค

คุณค่าทางโภชนาการของหอมหัวใหญ่

คุณค่าทางโภชนาการของหอมหัวใหญ่ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 40 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต  9.34 กรัม
น้ำตาล 4.24 กรัม
เส้นใย 1.7 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 1.1 กรัม
น้ำ 89.11 กรัม
วิตามินบี1 0.046 มิลลิกรัม (4%)
วิตามินบี2 0.027 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี3 0.116 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี5 0.123 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี6 0.12 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี9 19 ไมโครกรัม (5%)
วิตามินซี 7.4 มิลลิกรัม (9%)
ธาตุแคลเซียม 23 มิลลิกรัม (2%) 
ธาตุเหล็ก 0.21 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม (3%) 
ธาตุแมงกานีส 0.129 มิลลิกรัม (6%)
ธาตุฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม (4%)
ธาตุโพแทสเซียม 146 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุสังกะสี  0.17 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุฟลูออไรด์ 1.1 ไมโครกรัม

หอมใหญ่ มีส่วนของหัวนำมาใช้ประโยชน์ในการเป็นเครื่องเทศ และใช้ดับกลิ่นอาหาร นอกจากนั้นยังนำมาใช้ลดสิวได้ด้วย มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรได้หลากหลายและช่วยป้องกันโรคอันตรายได้ดีมาก โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับเลือดหรือไขมันในเส้นเลือด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ต้านมะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของอัมพาต ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ป้องกันมะเร็งตับและป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ก็ไม่ควรทานมากจนเกินไปและไม่ควรทานตอนท้องว่างด้วย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [9 ต.ค. 2013].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ . “พืชเครื่องเทศ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [9 ต.ค. 2013].
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sc.mahidol.ac.th. [9 ต.ค. 2013].
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. “สมุนไพรพื้นบ้านหัวหอมใหญ่“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.m-culture.in.th. [9 ต.ค. 2013].
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th. [9 ต.ค. 2013].
ผู้จัดการออนไลน์. “หอมใหญ่ ยาครอบจักรวาลประจำบ้าน“. อ้างอิงใน: หนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 117. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th. [9 ต.ค. 2013].
สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (ACFS). “หอมใหญ่ดีป้องกันมะเร็งได้“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.acfs.go.th. [9 ต.ค. 2013].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน คอลัมน์: แพทย์แผนจีน เล่มที่ 321. “หอมหัวใหญ่“. (นพ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th [9 ต.ค. 2013].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com

รูปอ้างอิง
1.https://www.thespruce.com/growing-onions-1403447

ผักเสี้ยน เหมาะสำหรับบำรุงเลือดของสตรี แถมยังช่วยแก้ไข้และแก้อาการต่าง ๆ

0
ผักเสี้ยน
ผักเสี้ยน มีทั้งประโยชน์และโทษหากรับประทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสม สามารถนำมาดองได้

ผักเสี้ยน

ผักเสี้ยน

ผักเสี้ยน ปกติทั่วไปแล้วจะไม่ค่อยใช้เป็นยาสมุนไพรมากนักแต่จะนิยมนำมาดองกินมากกว่า เป็นผักที่มีหลายชนิด เป็นผักที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกิมจิแห่งแดนสยามเพราะนิยมนำมาดอง ทั้งนี้เป็นผักที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้จักมากนัก เป็นไม้ล้มลุกที่สามารถนำส่วนประกอบต่าง ๆ ของต้นมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักเสี้ยน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cleome gynandra L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Wild spider flower” “Spider weed” “Spider Flower”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักเสี้ยนขาว ผักเสี้ยนไทย ผักเสี้ยนบ้าน ผักเสี้ยนตัวผู้” ภาคเหนือเรียกว่า “ส้มเสี้ยน ผักส้มเสี้ยน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักเสี้ยน (CLEOMACEAE)
ชื่อพ้อง : Gynandropsis pentaphylla (L.) DC.

ลักษณะของผักเสี้ยน

ผักเสี้ยน เป็นไม้ล้มลุกที่มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา ในประเทศไทยมักจะพบขึ้นเป็นวัชพืชตามท้องไร่ปลายนา ที่รกร้างว่างเปล่าและริมลำธาร พบเห็นได้ทั่วไป 2 ชนิด ได้แก่ ผักเสี้ยนขาว (ผักเสี้ยนตัวผู้) และผักเสี้ยนผี (ผักเสี้ยนตัวเมีย)
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรง มีขนปกคลุมและมียางเหนียว
ราก : มีรากแขนงและรากแก้วจำนวนมาก
ใบ : ใบเป็นใบประกอบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่กลับหรือรูปใบหอกกลับ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นคลื่น โคนใบสอบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งจำนวนมาก มีสีเหลืองอ่อนหรือสีขาว
ผล : ผลเป็นฝักเรียวยาวคล้ายถั่วเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
เมล็ด : เมล็ดมีสีน้ำตาลแดงปนสีดำ มีลักษณะเป็นรูปไต ผิวเมล็ดมีรอยย่น มีเมล็ดจำนวนมากเรียงอยู่ในฝัก

สรรพคุณของผักเสี้ยน

  • สรรพคุณจากผักดอง บำรุงเลือดลม บำรุงร่างกายและให้พลังงาน ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อ บำรุงการขาดวิตามินเอหรือเป็นโรคโลหิตจาง แก้ปัญหาเรื่องระบบลำไส้หรือขจัดสิ่งตกค้างที่อยู่ในลำไส้
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้ไข้ตรีโทษ แก้อาการปวดท้องหรือลงท้อง เป็นยาแก้อาการเจ็บหลัง เป็นยาแก้อาการเมาเหล้า
    – ขับระดูของสตรีหรือขับประจำเดือน แก้ประจำเดือนเสีย ด้วยการนำมาต้มหรือดองรับประทาน
    – ช่วยให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังและช่วยแก้อาการปวดเมื่อย รักษาฝี แก้พิษฝี และบรรเทาอาการระคายเคือง ด้วยการนำมาตำแล้วพอก
    – แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย แมงป่องกัดหรืองูกัด ด้วยการนำมาตำแล้วพอก แต่มีข้อควรระวังคือ ห้ามพอกนานเพราะจะทำให้ผิวไหม้ได้
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้ไข้และรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันเมื่อนำมาต้ม แก้ลมอันเป็นพิษ
  • สรรพคุณจากใบ แก้อาการปวดหู ขับเสมหะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้โรคเริม แก้งูสวัด
    – ใช้พอกฝีให้แตกและไม่เป็นหนอง แก้อาการปวดเมื่อย แก้อาการอักเสบหรือช้ำบวม ด้วยการนำมาตำแล้วพอก
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยขับเสมหะ ช่วยขับพยาธิไส้เดือน
  • สรรพคุณจากดอก แก้หรือบำรุงเลือดของผู้หญิงหลังคลอด

ประโยชน์ของผักเสี้ยน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ทำเป็นผักดองไว้รับประทาน นำมาต้มหรือลวกให้สุกเพื่อช่วยลดความขมและกลิ่นเหม็น นำดองมาเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่ขาดสารอาหาร ในแอฟริกาใช้ยอดและใบอ่อนมาปรุงรสและแต่งกลิ่นซอส ประเทศอินโดนีเซียใช้เมล็ดเป็นอาหาร
2. ใช้ในการเกษตร ในประเทศอินเดียใช้เมล็ดมาสกัดทำเป็นยาฆ่าแมลง ประเทศอินโดนีเซียนำมาเป็นอาหารสัตว์

วิธีการทำผักเสี้ยนดอง

1. กำจัดกลิ่นเขียวด้วยการนำมาหั่นแล้วนำไปตากแดด
2. นำข้าวเย็นสุก 1 กำมือต่อผักเสี้ยน 5 ถ้วยแกง เอาข้าวเย็นมาขยำกับเกลือ จากนั้นให้นำผักเสี้ยนที่เตรียมไว้ใส่ลงไป แล้วเติมน้ำตาลโตนด 5 ช้อนแกง คลุกเคล้าจนเข้ากัน
3. ปิดฝาภาชนะตั้งทิ้งไว้ประมาณ 3 – 4 คืน ก็เป็นอันเสร็จสิ้น

คำแนะนำในการรับประทานผักเสี้ยน

1. ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไปโดยเฉพาะผู้หญิง เนื่องจากทำให้ระดูพิการ มีอาการตกขาวมากผิดปกติและมีกลิ่นเหม็นมาก ไม่เป็นผลดีต่อมดลูก แม่ลูกอ่อนควรระวังให้มากเพราะอาจจะเป็นลมได้
2. ผักเสี้ยนสดจะมีสารไฮโดรไซนาไนต์ (Hydrocyanide) ซึ่งมีพิษต่อประสาทส่วนกลาง สารนี้จะสลายไปก็ต่อเมื่อนำไปต้มหรือดองก่อนมารับประทาน

ผักเสี้ยน มีทั้งประโยชน์และโทษหากรับประทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสม เป็นวัชพืชที่ขึ้นตามท้องนาหรือพื้นที่ว่างเปล่า สามารถนำมาดองได้ง่ายด้วยตัวเอง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ต้านมะเร็ง ทำให้ประจำเดือนเป็นปกติ บำรุงเลือดของผู้หญิงหลังคลอดและเป็นยาแก้ไข้ เป็นผักที่เหมาะอย่างมากสำหรับคุณผู้หญิงแต่ก็มีโทษเช่นกัน

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: web3.dnp.go.th. [7 ต.ค. 2013].
รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [7 ต.ค. 2013].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน, นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 244. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [7 ต.ค. 2013].
คมชัดลึกออนไลน์. (ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.komchadluek.net. [7 ต.ค. 2013].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [7 ต.ค. 2013].

ผักเสี้ยนผี เป็นยากระตุ้นหัวใจ แก้พิษงูทุกชนิด รักษาโรคเบาหวาน

0
ผักเสี้ยนผี
ผักเสี้ยนผี เป็นผักพื้นบ้านที่นิยมนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรภายนอก ส่วนของเมล็ดมีน้ำมันและมีวิตามินที่สามารถนำมาทานได้ด้วย เป็นผักที่พบได้ทั่วไปตามริมทาง

ผักเสี้ยนผี

ผักเสี้ยนผี

ผักเสี้ยนผี ในประเทศไทยมักจะพบตามข้างถนนหรือที่รกร้าง และตามริมน้ำลำธาร เป็นไม้ล้มลุกที่มีดอกสีเหลือง มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรได้ มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ เป็นยาของชาวประเทศจีนและอินเดีย ส่วนของยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกอ่อนนำมาทานในรูปแบบของผักสดจิ้มกับน้ำพริก และที่สำคัญส่วนของเมล็ดมีน้ำมันและวิตามินเอฟหรือกรดไลโนเลอิก ซึ่งสามารถนำมาใช้ทานได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักเสี้ยนผี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cleome viscosa L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Asian spider flower” “Tickweed” “Polanisia vicosa” “Wild spider flower” “Stining cleome” “Wild caia tickweed”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักส้มผี ส้มเสี้ยนผี” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ผักเสี้ยนตัวเมีย ไปนิพพานไม่รู้กลับ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ CLEOMACEAE
ชื่อพ้อง : Arivela viscosa (L.) Raf.

ลักษณะผักเสี้ยนผี

ต้น : ต้นมีต่อมขนเหนียวสีเหลืองปกคลุม มีกลิ่นเหม็นเขียว
ใบ : เป็นใบประกอบ มี 3 – 5 ใบย่อย เป็นสีน้ำตาลแดง ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปวงรี ขอบขนาน หรือรูปไข่หัวกลับ ปลายแหลมหรือมน โคนใบเรียวสอบ ขอบใบเรียบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือซอกใบ มีดอกจำนวนมาก มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ เป็นรูปใบหอก กลีบดอกสีเหลือง 4 กลีบ แผ่นกลีบมีลักษณะเป็นรูปวงรี ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ก้านเกสรมีสีเหลืองอ่อนอมเขียว อับเรณูเป็นสีเทาอมเขียว รังไข่เป็นรูปทรงกระบอกสั้น
ผล : เป็นฝักคล้ายถั่วเขียวขนาดเล็กมาก ตรงปลายมีจะงอยแหลม
เมล็ด : ในผลมีเมล็ดจำนวนมาก มีลักษณะผิวขรุขระย่นเป็นแนว มีสีน้ำตาลแดง

สรรพคุณของผักเสี้ยนผี

  • สรรพคุณ ช่วยเสริมฤทธิ์การนอนหลับ แก้ทางขึ้นทรวงอก ช่วยรักษาโรคริดสีดวง แก้บานทะโรค ช่วยยับยั้งเชื้อเอดส์หรือ HIV ช่วยแก้อาการปวด ช่วยแก้อาการเหน็บชาตามแข้งขา ช่วยแก้อาการปวดขา แก้เส้นเลือดขอด แก้โรคเหน็บชา แก้ลุกนั่งเดินลำบาก รักษาโรคเบาหวาน
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ช่วยเจริญธาตุไฟในร่างกาย ช่วยแก้ลม ช่วยแก้ลมบ้าหมู ช่วยแก้อาการหูอักเสบ ช่วยแก้ไข้ แก้ไข้ตรีโทษ ช่วยแก้อาการปวดท้อง แก้ลงท้อง แก้ท้องเสีย ช่วยขับพยาธิในลำไส้ ช่วยแก้พิษงูทุกชนิด ช่วยแก้พิษฝีแก้ฝีในปอด แก้ฝีในลำไส้ แก้ฝีในตับ ช่วยขับหนองในร่างกาย ช่วยทำให้หนองแห้ง เป็นยาทาภายนอกช่วยแก้โรคผิวหนัง ช่วยรักษาโรคข้ออักเสบ เป็นยาแก้อาการปวดหัวเข่า
    – แก้อาการปวดศีรษะข้างเดียว ด้วยการนำทั้งต้น ใบขี้เหล็กอ่อน ดอกขี้เหล็กอ่อน และรากต้นผลใบ ดอกของแมงลัก มาต้มกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากราก เป็นยากระตุ้นหัวใจ ช่วยแก้วัณโรค เป็นยาแก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับพยาธิตัวกลม เป็นยาแก้อาการปวดหัวเข่า แก้อาการอัมพาต แก้มือตายเท้าตาย ช่วยแก้โรคผอมแห้งของสตรี
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยากระตุ้นหัวใจ เป็นยาแก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับพยาธิตัวกลม
    – ช่วยขับเสมหะ ช่วยขับพยาธิไส้เดือน ช่วยขับปัสสาวะ ด้วยการนำเมล็ดมาต้มหรือชงดื่ม
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้ปัสสาวะพิการหรืออาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย แก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้ปัสสาวะขุ่น แก้อาการปวดเวลาปัสสาวะ ช่วยแก้ทุราวสา 12 ประการ แก้อาการปวดศีรษะและปวดตามข้อ แก้อาการปวดหลัง ทำให้เลือดลมเดินสะดวก เป็นยาแก้ขัด แก้ยกไหล่ยกแขนไม่ขึ้น รักษาแผล
    – แก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการนำใบสดมาตำแล้วพอก
    – ช่วยแก้อาการลมขึ้นหูหรืออาการหูอื้อ ช่วยแก้อาการหูคัน ด้วยการนำใบ 3 – 4 ใบมาขยี้พอช้ำ ใช้อุดที่หู
  • สรรพคุณจากผล ช่วยฆ่าพยาธิ
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนังและพยาธิต่าง ๆ เป็นยาฆ่าเชื้อโรค รักษาแผล
  • สรรพคุณจากต้น ช่วยแก้โรคน้ำเหลืองเสีย เป็นยาแก้ขัด แก้ยกไหล่ยกแขนไม่ขึ้น

ประโยชน์ของผักเสี้ยนผี

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อนนำมานำมาดองเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ขนมจีน ปรุงเป็นอาหาร เมล็ดมีน้ำมันใช้ทานได้

ผักเสี้ยนผี เป็นผักพื้นบ้านที่นิยมนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรภายนอก ส่วนของเมล็ดมีน้ำมันและมีวิตามินที่สามารถนำมาทานได้ด้วย เป็นผักที่พบได้ทั่วไปตามริมทาง มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยากระตุ้นหัวใจ ช่วยแก้โรคน้ำเหลืองเสีย ช่วยแก้ปัสสาวะพิการ ช่วยแก้พิษงูทุกชนิด รักษาโรคข้ออักเสบและรักษาโรคเบาหวานได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง

สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: web3.dnp.go.th. [6 ต.ค. 2013].
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: area-based.lpru.ac.th. [6 ต.ค. 2013].
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th. [6 ต.ค. 2013].
GotoKnow. (คุณมะเดื่อ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.gotoknow.org. [6 ต.ค. 2013].
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.uru.ac.th. [6 ต.ค. 2013].
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.msu.ac.th. [6 ต.ค. 2013].
โรงเรียนโสภณศิริราษฎร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.sopon.ac.th. [6 ต.ค. 2013].
กองพยาบาลสาธารณสุข. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: phn.bangkok.go.th. [6 ต.ค. 2013].
เนคเทค ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.nectec.or.th. [6 ต.ค. 2013].
ไทยเฮิร์บคลับ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaiherbclub.com. [6 ต.ค. 2013].
ตามรอยพระพุทธบาท. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: tamroiphrabuddhabat.com. [6 ต.ค. 2013].
ภูมิปัญญาไทย สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล. [ออนไลน์]. [อ้างอิงใน: มติชน 1 ตุลาคม 2545]. เข้าถึงได้จาก: www.thaiwisdom.org. [6 ต.ค. 2013].
สมุนไพรพัทลุง เครือข่ายกาญจนาภิเษก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kanchanapisek.or.th. [6 ต.ค. 2013].
ไทยโพสต์, ภูมิปัญญาการกินและใช้ผักเสี้ยน [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaipost.net. [6 ต.ค. 2013].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://apps.lucidcentral.org/

แห้วหมู วัชพืชไร้ค่าที่เป็นยาชั้นยอด ดีต่อระบบเลือด

0
แห้วหมู
แห้วหมู เป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า อยู่ใต้ดินหัวกลมสั้น เป็นพืชที่อยู่ในตำรายาสมุนไพรมาเนิ่นนาน

แห้วหมู

แห้วหมู

แห้วหมู เป็นยาดีที่มีราคาถูก เพราะมักจะพบได้ง่าย เป็นพรรณไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า ถูกมองว่าเป็นวัชพืชที่ไร้ค่าและมักจะกำจัดถอนทิ้ง มักจะพบตามทุ่งนา ข้างทางหรือที่รกร้าง เนื่องจากจะไปแย่งสารอาหารในดิน แต่เป็นพืชที่อยู่ในตำรายาสมุนไพรมาเนิ่นนาน เป็นไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า อยู่ในตำราแพทย์กรีกโบราณ ตำรับยาอายุรเวทของอินเดีย สามารถนำทั้งต้นมาใช้ประโยชน์ได้ ค่อนข้างที่ต้านโรคได้เกือบทุกส่วนในร่างกาย ถือว่าเป็นยาที่ไม่ควรมองข้ามเลยแม้แต่น้อย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแห้วหมู

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cyperus rotundus L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Nut grass” “Coco grass”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “หญ้าแห้วหมูหรือหญ้าขนหมู” แต้จิ๋วเรียกว่า “ซาเช่า” จีนกลางเรียกว่า “ซัวฉ่าว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กก (CYPERACEAE)

ลักษณะของแห้วหมู

ลำต้น : อยู่ใต้ดินเป็นหัวกลมสั้น มีตาจำนวนมาก เป็นสีดำ ลำต้นเป็นดินขนาดเล็กเป็นเหลี่ยม มีสีเขียวแก่
ใบ : เกิดที่ลำต้น เป็นกาบใบหุ้มซ้อนม้วนทับกัน ใบมีขนาดเล็กแบนเรียวยาว ปลายแหลม กลางใบเป็นสันร่อง ผิวใบเกลี้ยงมีสีเขียวเข้ม
ดอก : ออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายยอด ก้านช่อเป็นรูปสามเหลี่ยมสีเขียวเข้ม ดอกมีขนาดเล็ก หนึ่งช่อดอกมีใบประดับ 2 – 4 ใบ ดอกย่อยไม่มีก้าน ดอกมีสีน้ำตาล
ผล : เป็นรูปขอบขนานปลายแหลม หน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสีน้ำตาลหรือสีดำ

สรรพคุณของแห้วหมู

  • สรรพคุณ ช่วยต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยระงับอาการหอบหืด ช่วยลดอาการปวดเกร็งในลำไส้
  • สรรพคุณจากหัว ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงกระชุ่มกระชวย ทำให้หูตาสว่างไสว เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยแก้ธาตุพิการ ช่วยปรับลมปราณให้สมดุล ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยลดไขมัน เป็นยาลดความอ้วน ทำให้น้ำหนักตัวลดลง ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยลดความดันโลหิต เป็นยาเจริญอาหาร ช่วยแก้อาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ แก้โรคผอมแห้งแรงน้อย แก้อาการปวดศีรษะ ช่วยลดไข้ แก้ไข้ ช่วยขับเหงื่อ ทำให้เกิดอาการอาเจียนขับพิษ ช่วยแก้อาการอาเจียน ช่วยทำให้ดวงตาแข็งแรง ป้องกันตามัว ตาไม่แก่เร็ว ทำให้ตาใสไม่ขุ่นมัว ช่วยทำให้ฟันแน่นแข็งแรง ช่วยแก้อาการแน่นหน้าอก แก้จุกอก แก้ลมสลักอก แก้รับประทานอาหารไม่ได้ รักษาความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร ช่วยรักษาโรคกระเพาะ แก้ท้องร่วง ช่วยแก้อาการปวดท้อง ช่วยแก้อาการปวดท้องอันเนื่องมาจากท้องอืด ช่วยแก้โรคบิด ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการไม่ย่อย ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยขับพยาธิไส้เดือน ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากไส้เลื่อน ช่วยทำให้ระบบเส้นลมปราณไหลเวียนดีขึ้น เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการปัสสาวะขัด ช่วยแก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยแก้อาการปวดท้องเพราะมากในกามกิจ ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนของสตรี ช่วยขับประจำเดือน ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ช่วยแก้ผดผื่นคัน แก้อาการคันอันเนื่องมาจากโรคผิวหนัง ช่วยดูดหนองจากฝีมีหัวหนอง แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยรักษาบาดทะยัก แก้อาการปวด แก้บวม ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย ช่วยลดการอักเสบ ช่วยลดความเจ็บ ช่วยผ่อนคลายอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ช่วยต้านเชื้อไวรัส ต้านเชื้อมาลาเรีย ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ช่วยฆ่าแมลง แก้ฝี แก้เจ็บคอ แก้อาการท้องเสีย บำรุงทารกในครรภ์
    – เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการนำหัวมาล้างให้สะอาดแล้วเคี่ยวกิน
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย เป็นยาแก้กษัย ช่วยลดไข้ แก้ไข้ เป็นยาขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากต้นและใบ ช่วยรักษาแผลสดและห้ามเลือด ช่วยรักษาแผลเรื้อรัง

ประโยชน์ของแห้วหมู

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร หัวมีรสขม ในทวีปแอฟริกาใช้หัวทาน
2. เป็นอาหารสัตว์ หัวนำมาใช้เป็นอาหารนกได้
3. ใช้ในอุตสาหกรรม นำมาใช้ผสมใยลูกหมากแห้งหรือแป้งเหล้าทำเป็นแอลกอฮอล์

แห้วหมู ส่วนของหัวมีรสขม มักจะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร ซึ่งมีราคาถูกแถมยังมีสรรพคุณหลากหลายอีกด้วย สามารถนำหัวมาใช้ทานได้ มีสรรพคุณทางยาได้จากส่วนของหัวเป็นส่วนใหญ่ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยต้านเชื้อไวรัส และรักษาความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : สถาบันการแพทย์แผนไทยไพร, สำนักงานข้อมูลสมุน มหาวิทยาลัยมหิดล, กองวิจัยการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, ไทยรัฐออนไลน์ (นายเกษตร), หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์, สารศิลปยาไทย (ฉบับที่ 23), เว็บไซต์สมุนไพรดอทคอม, www.gotoknow.org (by krutoiting, นพ. วีรพัฒน์ เงาธรรมทรรศน์)
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

แคขาว ดอกเป็นยา ต้านมะเร็ง ดีต่อระบบทางเดินหายใจ

0
แคขาว
แค เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่วที่มีดอกมีกลิ่นหอม เป็นวัตถุดิบในอาหารหลากหลายเมนู ใช้เป็นยาสมุนไพรได้ทั้งภายนอกและภายใน

แคขาว

แคขาว

แค เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่วที่มีดอกมีกลิ่นหอม เป็นมีสีขาวสวยงามมาก จึงนิยมปลูกไว้เป็นรั้วบ้าน แถมยังเป็นพืชที่ช่วยปรุงดินได้ด้วย ค่อนข้างเป็นประโยชน์ต่อการเกษตร และที่สำคัญเลยก็คือเป็นวัตถุดิบในอาหารหลากหลายเมนู เช่น แกงแค เป็นต้น ส่วนต่าง ๆ จากต้นสามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ทั้งภายนอกและภายใน ส่วนต่างประเทศจะนิยมนำดอกแคมาทานเป็นสลัดมากกว่าทำแกง ถือเป็นพืชที่คนทั่วไปรู้จักกันอย่างกว้างขวาง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแคดอกขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesbania grandiflora (L.) Pers.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Agasta” “Sesban” “Vegetable humming bird” “Humming bird tree” “Butterfly tree” “Agati”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “แค แคบ้าน ต้นแค แคบ้านดอกขาว ดอกแคบ้าน” ชาวกรุงเทพเชียงใหม่เรียกว่า “แคขาว แคดอกขาว ดอกแคขาว แคบ้านดอกขาว” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “แคแกง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของต้นแคดอกขาว

แค เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลางที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียหรือแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลำต้น : แตกกิ่งก้านสาขามาก เนื้อไม้อ่อน เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลปนเทา เปลือกหนา มีรอยขรุขระแตกเป็นสะเก็ด
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน ใบย่อยขนาดเล็กรูปขอบขนาน
ดอก : คล้ายดอกถั่ว ออกดอกเป็นช่อบริเวณซอกใบ 2 – 3 ดอก มีกลิ่นหอม เป็นมีสีขาว กลีบเลี้ยงเป็นรูประฆังหรือรูปถ้วย
ผล : เป็นฝักกลมยาว เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดอยู่ด้านใน ฝักมีสีเขียวอ่อน
เมล็ด : เหมือนลิ่ม เมล็ดกลมแป้นสีน้ำตาล มีหลายเมล็ด

สรรพคุณของแคดอกขาว

สรรพคุณจากยอดแค ต้านมะเร็ง ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยบำรุงและเสริมสร้างกระดูกและฟัน
สรรพคุณจากยอดอ่อน ต้านมะเร็ง แก้อาการปวดศีรษะข้างเดียว
สรรพคุณจากดอก ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันและรักษาอาการหวัด ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยบำรุงและเสริมสร้างกระดูกและฟัน ช่วยแก้ไข้ ลดอาการไข้ ถอนพิษไข้ในร่างกาย ช่วยแก้ไข้หัวลมหรือไข้เปลี่ยนอากาศ ช่วยแก้อาการปวดและหนักศีรษะ ช่วยรักษาหลอดลมอักเสบ รักษาไซนัสอักเสบ รักษาโรคริดสีดวงในจมูก ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยบำรุงและรักษาตับ
สรรพคุณจากใบ ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยแก้โรคตาบอดตอนกลางคืน ช่วยบรรเทาอาการของโรคลมบ้าหมู ช่วยแก้อาการปวดและหนักศีรษะ รักษาโรคริดสีดวงในจมูก ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยทำให้ระบาย ช่วยขับพยาธิ ช่วยบำรุงและรักษาตับ ช่วยบรรเทาอาการของโรคเกาต์ แก้อาการฟกช้ำ
สรรพคุณจากเปลือกต้น ช่วยคุมธาตุในร่างกาย เป็นยาล้างแผล ชะล้างบาดแผล ช่วยรักษาแผลมีหนอง
สรรพคุณจากฝัก ช่วยในเรื่องความจำ ป้องกันการเกิดเนื้องอก บรรเทาอาการไข้ แก้ปวด แก้โลหิตจาง ช่วยทำให้ระบาย
สรรพคุณจากราก เป็นยาขับเสมหะ ลดอาการไอ แก้ร้อนใน แก้ไข้ลมหัว ช่วยแก้อาการอักเสบ
สรรพคุณจากเปลือกแค ช่วยแก้อาการปวดฟัน แก้รำมะนาด ช่วยรักษาปากเป็นแผล แก้อาการร้อนในจนปากลิ้นเปื่อย ช่วยแก้อาการท้องร่วง แก้ท้องเดิน แก้โรคบิดมีตัว แก้มูกเลือด
สรรพคุณจากทั้งห้าส่วน ช่วยแก้ตานขโมย

ประโยชน์ของแคดอกขาว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ฝักอ่อน ยอดอ่อน และใบอ่อนรำมาปรุงเป็นเมนูดอกแค หรือนำมาลวกจิ้มกินกับน้ำพริก ชาวอีสานนิยมนำดอกแคและยอดอ่อนมานึ่งหรือย่างทานร่วมกับลาบ ก้อย แจ่ว ส่วนของดอกยังนำมาปรุงเป็นอาหารประเภทอ่อมได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ
3. ใช้ในการเกษตร เป็นพืชที่ช่วยปรับปรุงดิน ใบใช้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยงโคกระบือ ไม้ใช้ทำเป็นฟืนหรือเชื้อเพลิง ลำต้นนำมาใช้ในการเพาะเลี้ยงเห็ดหูหนูได้

แค เป็นดอกยอดนิยมในการนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย ส่วนของดอกคือจุดเด่นที่สำคัญ เป็นส่วนที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยาสมุนไพร นำมาใช้ใส่ในแกง และเป็นส่วนที่มีสีสวยงามใช้ปลูกประดับบ้านได้ แคมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ต้านมะเร็ง ช่วยบำรุงและรักษาสายตา แก้ไข้ แก้อาการปวด รักษาหลอดลมอักเสบและบำรุงตับ เป็นต้นที่ดีต่อโพรงจมูกและการหายใจในร่างกาย

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (นพพล เกตุประสาท), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (เธียพัฒน์ ศรชัย), เว็บไซต์มูลนิธิหมอชาวบ้าน
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com
รูปอ้างอิง
1.https://https://www.flickr.com

บุนนาค ดอกมีกลิ่นหอม เป็นไม้มงคล มีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือดและหัวใจ

0
บุนนาค
บุนนาค เป็นยาสมุนไพร ดอกมีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อน ดอกมีน้ำมันหอมระเหย ใช้แต่งกลิ่นต่าง ๆ

บุนนาค

บุนนาค

บุนนาค เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ศรีลังกา อินโดจีน พม่า ไทย คาบสมุทรมาเลเซีย และสิงคโปร์ มักจะพบได้มากในป่าดิบชื้น ตามลำธารหรือริมห้วย สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ เป็นดอกที่มีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อนสวยงาม แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย ในปัจจุบันจึงมีการนำมาเพาะปลูกเป็นไม้ประดับอาคารสถานที่กันอย่างแพร่หลาย นอกจากนั้นยังเป็นไม้มงคลที่เชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้ไว้เป็นไม้ประจำบ้าน จะช่วยทำให้เป็นผู้มีความประเสริฐและมีบุญ เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดพิจิตรด้วย ส่วนของดอกมีน้ำมันหอมระเหยที่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านการให้ความหอมและแต่งกลิ่นต่าง ๆ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบุนนาค

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mesua ferrea L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Iron wood” “Indian rose chestnut”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “นาคบุตร นากบุต รากบุค” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “สารภีดอย” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ก๊าก่อ ก้ำก่อ” จังหวัดปัตตานีเรียกว่า “ปะนาคอ ประนาคอ” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ต้นนาค”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ CALOPHYLLACEAE

ลักษณะของบุนนาค

ต้น : ลักษณะเป็นทรงยอดพุ่มทึบและแคบ มีทรงพุ่มใหญ่ลักษณะคล้ายเจดีย์ต่ำ มีพูพอนเล็กน้อยตามโคนต้น เป็นไม้ไม่ผลัดใบ เนื้อไม้แข็ง กิ่งก้านเรียวเล็กห้อยลง เปลือกต้นมีสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกและหลุดร่วงได้ง่าย ที่เปลือกชั้นในจะมีน้ำยางสีเหลืองอ่อนเล็กน้อย ส่วนในเนื้อไม้จะมีสีแดงคล้ำเป็นมันเลื่อม
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบคล้ายรูปหอกหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบเรียวแหลม คล้ายใบมะปราง โคนใบสอบ แผ่นใบหนา ผิวใบเรียบเกลี้ยง ท้องใบมีคราบขาวปกคลุมอยู่ ใบอ่อนมีสีชมพูออกแดง ส่วนใบแก่ด้านบนจะมีสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างมีนวลสีเทา มีเส้นใบข้างมากแต่เห็นไม่ชัด ใบห้อยลงเป็นพู่
ดอก : ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบดอกมีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อน กลีบดอกมี 5 กลีบซ้อนกัน ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่หัวกลับ ปลายบานและเว้า โคนสอบ ปลายกลีบย่นเล็กน้อย เมื่อดอกบานเต็มกลีบจะแผ่กว้างออก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกจะห้อยลง มีเกสรตัวผู้มากกว่า 50 อัน เป็นสีเหลืองส้มและเป็นฝอย ส่วนอับเรณูเป็นสีส้ม ก้านเกสรตัวเมียมีสีขาว มีรังไข่ 2 ช่อง กลีบเลี้ยง 4 กลีบ คล้ายรูปช้อน งอเป็นกระพุ้ง และแยกเป็น 2 วง ลักษณะกลม กลีบเลี้ยงจะแข็งหนาและอยู่คงทน ดอกมีกลิ่นหอมเย็น มักจะออกดอกในช่วงฤดูร้อนถึงฤดูฝน
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ ผลแข็งมาก ส่วนปลายโค้งแหลมและไม่แตก เปลือกผลมีรอยด่างสีน้ำตาล ผลมีสีส้มแก่หรือสีม่วงน้ำตาล มีเปลือกเป็นเส้นใยห่อหุ้มอยู่ และมีหยดยางเหนียว ที่ฐานมีกลีบเลี้ยงหนารองรับอยู่ 4 กลีบติดอยู่ และจะขยายโตขึ้นเป็นกาบหุ้มผล ภายในผลมีเมล็ด 1 – 4 เมล็ด ส่วนเมล็ดมีลักษณะแบนและแข็ง มีสีน้ำตาลเข้ม

สรรพคุณของบุนนาค

  • สรรพคุณจากดอก รากและแก่น ช่วยชูกำลัง รักษาอาการอ่อนเพลีย ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยแก้ไข้สำประชวร ช่วยแก้รัตตะปิตตะโรค แก้เลือดกำเดาไหล ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยแก้กลิ่นเหม็นสาบในร่างกาย
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้กระหาย แก้ร้อน แก้อาการกระสับกระส่าย ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ช่วยแก้ไข้ เป็นยารักษาไข้กาฬ ช่วยแก้เสมหะในลำคอ แก้ลมหาวเรอ แก้ลมที่ทำให้หูอื้อ แก้ตามัว ช่วยแก้ลมกองละเอียดที่ทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ แก้หน้ามืดตาลาย แก้ใจสั่น แก้ใจหวิว ช่วยแก้อาการร้อนในกระสับกระส่าย แก้อาเจียน ช่วยรักษาบาดแผลสด แก้แผลสด ใช้พอกบาดแผลสด เป็นยาฝาดสมาน ช่วยแก้พิษงู ช่วยบำรุงผิวกายให้สดชื่น ช่วยคุมกำเนิด แก้ร้อนในกระสับกระส่าย บำรุงครรภ์สตรี บำรุงโลหิต แก้ไอ เป็นยาพอกรักษาริดสีดวง
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้เสมหะในลำคอ ช่วยรักษาบาดแผลสด แก้แผลสด ใช้พอกบาดแผลสด ช่วยแก้พิษงู ช่วยคุมกำเนิด
    – แก้ไข้หวัดอย่างแรง ด้วยการนำใบมาตำผสมรวมกับน้ำนมและน้ำมันมะพร้าวใช้สุมหัวเป็นยาพอก
  • สรรพคุณจากผล ช่วยขับเหงื่อ เป็นยากระตุ้นการทำงานของร่างกาย ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ช่วยแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นยาฝาดสมาน
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น ช่วยฟอกน้ำเหลือง กระจายน้ำเหลือง ช่วยกระจายหนอง เป็นยาฝาดสมาน ช่วยแก้อาการฟกช้ำ ช่วยแก้พิษงู
    – ช่วยขับเหงื่อ ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มรวมกับขิงกิน
  • สรรพคุณจากแก่น ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณจากเนื้อไม้ ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณจากกระพี้ ช่วยแก้เสมหะในลำคอ แก้อาการสะอึก
  • สรรพคุณจากน้ำมันจากเมล็ด เป็นยาทาช่วยรักษาโรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน แก้คิด แก้แผลเล็กน้อย เป็นยานวดช่วยรักษาโรคปวดตามข้อ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
  • สรรพคุณจากน้ำมันจากดอก ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
  • สรรพคุณจากเมล็ด รักษาบาดแผล
  • สรรพคุณจากเกสร เป็นยาฝาดสมาน ช่วยบำรุงธาตุ ทำให้หัวใจชุ่มชื่น แก้ไข้ ช่วยขับลม บำรุงครรภ์

ประโยชน์ของบุนนาค

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนนำมาใช้เป็นผักสดแกล้มกับน้ำพริก หรือนำมายำหรือแกงได้
2. เป็นไม้ปลูกประดับ ปลูกประดับอาคารสถานที่กันอย่างแพร่หลาย
3. ใช้เป็นวัตถุดิบ นำมาทำฐานรองพานดอกไม้ไหว้พระ ถือเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวไทใหญ่ เป็นไม้เนื้อแข็งที่ใช้ทำหมอนรถไฟ สิ่งก่อสร้างบ้านเรือนได้
4. เป็นน้ำมันหอมระเหย ดอกนำมาใช้กลั่นเป็นน้ำมันหอมระเหยและใช้ในการอบเครื่องหอม ใช้ในการแต่งกลิ่นสบู่ เปลือกลำต้นนำมาบดเป็นผงใช้แต่งกลิ่นธูป เมล็ดมีน้ำมันที่กลั่นใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางต่าง ๆ และนำมาใช้จุดตะเกียงให้กลิ่นหอม
5. เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร เป็นยาไทยสูตร “พิกัดเกสร” ใช้เข้ายาหอม

ข้อควรระวังของบุนนาค

กรดในน้ำมันจากเมล็ดมีพิษต่อหัวใจ

บุนนาค เป็นชื่อมงคลที่มักจะมีในนามสกุลของผู้ดีในประเทศไทย เป็นต้นที่มีประโยชน์ได้หลากหลายด้าน ส่วนของดอกอุดมไปด้วยสรรพคุณ และยังมีน้ำมันหอมระเหยที่สามารถนำมาใช้ในด้านความหอมได้ มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยฟอกน้ำเหลือง ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยแก้กระหาย ช่วยบำรุงหัวใจ และแก้เสมหะในลำคอได้

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, พจนานุกรมสมุนไพรไทย ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, เว็บไซต์นิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร, ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.), ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน), เว็บไซต์มูลนิธิหมอชาวบ้าน
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://efloraofindia.com

กุยช่าย ใบเป็นยาสมุนไพร บำรุงกระดูก ป้องกันมะเร็ง ดีต่อระบบเลือด

0
กุยช่าย
ต้นกุยช่าย เป็นต้นที่นิยมนำมาใช้รับประทานเป็นอาหาร ผัดกับตับหมู มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

กุยช่าย

กุยช่าย

ต้นกุยช่าย เป็นไม้ล้มลุก ส่วนของดอกมีสีขาว และมีกลิ่นหอม เป็นต้นที่นิยมนำมาใช้รับประทานเป็นอาหาร ด้วยการเอาดอกมาผัดกับตับหมู หรือใช้ใบสดทานกับลาบหรือผัดไทย แถมส่วนของใบยังมีส่วนช่วยปรุงแต่งอาหารให้อร่อยมากขึ้นด้วย ที่สำคัญเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีฤทธิ์ร้อน จึงช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของต้นกุยช่าย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium tuberosum Rottler ex Spreng.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Garlic chives” “Leek” “Chinese chives” “Oriental garlic” “Chinese leek” “Kow choi”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักไม้กวาด” ภาคอีสานเรียกว่า “ผักแป้น” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “กูไฉ่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE)

ลักษณะของต้นกุยช่าย

เหง้า : เหง้าเล็กและแตกกอ
ใบ : เป็นรูปขอบขนาน และใบแบน ที่โคนเป็นกาบบางซ้อนสลับกัน
ดอก : ออกเป็นช่อซี่ร่ม ดอกมีสีขาว มีกลิ่นหอม เมื่อดอกเจริญจะแตกออกเป็นริ้วสีขาว กลีบดอกสีขาว 6 กลีบ กลางกลีบดอกด้านนอกมีสันหรือเส้นสีเขียวอ่อนจากโคนกลีบไปหาปลาย มีเกสรตัวผู้ 6 ก้านอยู่ตรงข้ามกับกลีบดอก เกสรตัวเมีย 1 ก้าน รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ
ผล : เป็นผลกลม ภายในมี 3 ช่องและมีผนังตื้น เมื่อแก่จะแตกตามตะเข็ม ในผลมีเมล็ดช่องละ 1 – 2 เมล็ด
เมล็ด : ขรุขระและมีสีน้ำตาลแบน

สรรพคุณของต้นกุยช่าย

  • สรรพคุณจากต้นช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงหรือเกล็ดเลือดต่ำ รักษาภาวะเม็ดเลือดแดงต่ำ แก้อาการอ่อนเพลีย
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยบำรุงกำหนัด กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ แก้ปัญหาการหลั่งเร็วในเพศชาย แก้ไร้สมรรถภาพทางเพศ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยลดระดับความดัน รักษาโรคความดันโลหิตสูง บรรเทาอาการโรคเบาหวานและวัณโรค ช่วยรักษาโรคหูน้ำหนวก เป็นยาแก้หวัด ช่วยแก้อาเจียน ช่วยรักษาอาการหวัด ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมในกระเพาะ ช่วยแก้อาการท้องผูก ช่วยแก้อาการท้องอืดในเด็ก ช่วยรักษาแผลริดสีดวงทวาร ช่วยทำให้ริดสีดวงหด ช่วยแก้โรคนิ่ว ช่วยแก้โรคหนองในได้ดี ช่วยบำรุงไต ช่วยแก้ลมพิษ ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยหรือแมงป่องกัด ช่วยแก้อาการห้อเลือดบริเวณท้อง ช่วยแก้อาการฟกช้ำดำเขียว แก้ห้อเลือด แก้ปวด ช่วยแก้อาการช้ำใน แก้กระจายเลือดไม่ให้คั่ง ช่วยรักษาแผลที่หนองเรื้อรัง ช่วยแก้แมลงหรือตัวเห็บ แก้ตัวหมัดเข้าหู ช่วยบำรุงน้ำนมและขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร ช่วยลดการอักเสบ แก้สตรีมีครรภ์ที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือเบื่ออาหาร แก้อาการวิงเวียน
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้เลือดกำเดาไหล ช่วยแก้อาเจียน ช่วยห้ามเหงื่อ ช่วยแก้อาการแน่นหน้าอก ช่วยแก้อาการปัสสาวะขัด
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยฆ่าแมลงกินฟัน ช่วยขับพยาธิเส้นด้ายหรือพยาธิแส้ม้า ช่วยแก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย เป็นยาขับโลหิตประจำเดือนที่เป็นลิ่มเป็นก้อน เป็นยาฆ่าสัตว์
  • สรรพคุณจากต้น ช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยแก้โรคนิ่ว ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี ช่วยแก้โรคหนองในได้ดี ช่วยบำรุงน้ำนมและขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร ช่วยลดการอักเสบ

ประโยชน์ของต้นกุยช่าย

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ส่วนของใบช่วยปรุงแต่งรสอาหารให้อร่อยมากขึ้น นิยมนำดอกมาผัดกับตับหมู หรือนำใบสดมาทานกับลาบหรือผัดไทย ใบยังนำมาทำเป็นไส้ของขนมได้

คุณค่าทางโภชนาการของดอก

คุณค่าทางโภชนาการของดอก ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 38 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 6.3 กรัม
เส้นใย 3.4 กรัม 
ไขมัน 0.2 กรัม
เบตาแคโรทีน 152.92 ไมโครกรัม 
วิตามินซี 13 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 31 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.6 มิลลิกรัม 
ธาตุฟอสฟอรัส 62 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของต้น

คุณค่าทางโภชนาการของต้น ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 28 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 4.1 กรัม
เส้นใย 3.9 กรัม
ไขมัน 0.3 กรัม
เบตาแคโรทีน 136.79 ไมโครกรีม
ธาตุแคลเซียม 98 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.5 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 46 มิลลิกรัม

ต้นกุยช่าย เป็นผักที่มีฤทธิ์ร้อน มีแคลเซียม ธาตุเหล็กและฟอสฟอรัสสูง จึงมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นผักที่พบได้ทั่วไปในเมนูอาหารไทย มักจะเรียกกันว่า “ผักไม้กวาด” มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง รักษาสายตา ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันมะเร็งและรักษาโรคความดันโลหิตสูง เป็นผักที่ดีต่อระบบเลือดในร่างกายเป็นอย่างมาก

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. การใช้สมุนไพรในการป้องกันและรักษาโรคในปลา. (พงศ์ศักดิ์ รัตนชัยกุลโสภณ และปาริชาติ พุ่มขจร.), ดร.อุรุวรรณ แย้มบริสุทธิ์ นักวิจัยทางด้านโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล, เว็บไซต์หมอชาวบ้าน (วิทิต วัณนาวิบูล), นิตยสารครัว ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2544 หน้า 34
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/
รูปอ้างอิง
1.https://www.hospitalitymagazine.com.au/all-about-garlic-chives/

รางจืด ราชาแห่งการถอนพิษ ต้านมะเร็ง คุมเบาหวานและความดัน

0
รางจืด
รางจืด เป็นไม้เลื้อยที่อยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอ เป็นยาสมุนไพร สามารถแก้โรคหรือถอนผิดได้

รางจืด

รางจืด

รางจืด เป็นไม้เลื้อยที่อยู่ในวงศ์เหงือกปลาหมอที่ได้ชื่อว่า “ราชาแห่งการถอนพิษ” สามารถพบได้ตามป่าดิบชื้นทั่วทุกภาคของประเทศไทย ส่วนของดอกมีสีม่วงอมฟ้า มีใบประดับสีเขียวประแดง ทำให้ดูสวยงามมาก นอกจากนั้นยังสามารถนำส่วนของยอดอ่อนมารับประทานในรูปแบบของผักได้ และที่สำคัญเลยก็คือการนำมาทานเป็นยาสมุนไพร ถือได้ว่าเป็นสรรพคุณชั้นยอดอีกชนิดหนึ่ง เพราะสามารถแก้โรคที่คนไทยเป็นกันได้อย่าง เบาหวาน เป็นต้น

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของรางจืด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thunbergia laurifolia Lindl.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Laurel clockvine” “Blue trumphet vine”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กำลังช้างเผือก ยาเขียว เครือเขาเขียว ขอบชะนาง” จังหวัดยะลาเรียกว่า “รางเย็นคาย” จังหวัดปัตตานีเรียกว่า “ดุเหว่า” จังหวัดเพชรบูรณ์เรียกว่า “ย่ำแย้ แอดแอ” จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียกว่า “ทิดพุด” จังหวัดสระบุรีเรียกว่า “น้ำนอง” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “จอลอดิเออ ซั้งกะ ปั้งกะล่ะ พอหน่อเตอ” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ว่านรางจืด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เหงือกปลาหมอ (ACANTHACEAE)

ลักษณะของรางจืด

เถา : เถามีเนื้อแข็ง ลำต้นหรือเถากลมเป็นปล้อง มีสีเขียวสดหรือสีเขียวเข้ม ลำต้นไม่มีขน ไม่มีมือจับ อาศัยการพันรัดขึ้นไป
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน คล้ายรูปหัวใจ รูปใบขอบขนานหรือรูปไข่ โคนใบมนเว้า ปลายใบเรียวแหลม มีเส้นอยู่ 3 เส้นออกจากโคนใบ
ดอก : ออกเป็นช่อห้อยลงมาตามซอกใบ ช่อละ 3 – 4 ดอก มีสีม่วงอมฟ้า ใบประดับสีเขียวประแดง กลีบเลี้ยงรูปจาน ดอกเป็นรูปแตรสั้น โคนกลีบดอกมีสีเหลืองอ่อน มีน้ำหวานบรรจุอยู่ภายในหลอด กลีบดอกมีปลายแยก 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 4 อัน
ผล : เป็นฝักกลม ปลายเป็นจะงอย เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีก

สรรพคุณของรางจืด

  • สรรพคุณจากรากและเถา เป็นยาแก้ร้อนใน ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ
  • สรรพคุณจากใบและราก เป็นยาถอนพิษไข้ได้ เป็นยาพอกบาดแผล ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ แก้แผลน้ำร้อนลวก ช่วยบรรเทาอาการผื่นแพ้ต่าง ๆ ช่วยทำลายพิษจากยาฆ่าแมลง แก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชที่เป็นพิษ ต้านพิษจากสารตะกั่วต่อสมอง ช่วยถอนพิษจากยาเบื่อชนิดต่าง ๆ ช่วยในการลดเลิกยาบ้า ช่วยแก้อาการเมาค้าง แก้พิษจากแอลกอฮอล์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมเบาหวานและความดัน ต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระสูง แก้อาการอักเสบต่าง ๆ

ประโยชน์ของรางจืด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำยอดอ่อน ดอกอ่อนมาลวกกิน แกงกินได้ นิยมกินน้ำหวานจากดอกด้วย ทำชาได้
2. แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เป็นแคปซูล
3. เป็นไม้ปลูกประดับ

รางจืด ได้คำนิยามว่า “ราชาแห่งการถอนพิษ” เมื่อได้รู้สรรพคุณแล้วก็อยากที่จะนำยาสมุนไพรตัวนี้เอาไว้ติดบ้าน เพราะมีสรรพคุณในการลดสารพิษได้ ซึ่งอาการป่วยโรคภัยส่วนมากก็มาจากสารพิษทั้งนั้น อาจใช้ป้องกันโรคได้ มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของรากและใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ควบคุมเบาหวานและความดัน ต้านมะเร็ง ถอนพิษ และแก้อาการอักเสบต่าง ๆ ได้ด้วย

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บไซต์หมอชาวบ้าน (ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร), สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com
รูปอ้างอิง
1.https://www.flickr.com/photos/31031835@N08/48580990781