กระเจี๊ยบแดง น้ำรสเปรี้ยวหวาน รักษาอวัยวะสำคัญของร่างกาย

0
กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดง เป็นพืชในวงศ์ชบา เป็นไม้พุ่ม ใช้ทานเป็นผัก ใช้ทำแกง เมนูน้ำ ช่วยป้องกันมะเร็งได้

กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดง เป็นพืชในวงศ์ชบาที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นต้นที่นำมาใช้ทำน้ำกระเจี๊ยบกัน เชื่อว่าเป็นเมนูเครื่องดื่มชื่นชอบของใครหลายคน เพราะมีรสเปรี้ยวหวานอร่อย กินแล้วสดชื่นจริง ๆ ทว่าบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าพืชนี้ก็มีสรรพคุณมากกว่าการคลายร้อน นอกจากนั้นยังเป็นพืชที่มีดอกสีสันสวยงามอีกด้วย ดังนั้นใครที่เจอเมนูน้ำกระเจี๊ยบแล้วละก็ ลองทานก็เป็นการดีเพื่อสุขภาพ เพราะอย่างน้อยก็มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกระเจี๊ยบแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus sabdariffa Linn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Rosella” “Jamaican sorel” “Roselle” “Rozelle” “Sorrel” “Red sorrel” “Kharkade” “Karkade” “Vinuela” “Cabitutu”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเปรี้ยว” ภาคเหนือเรียกว่า “กระเจี๊ยบ ส้มเก็ง ส้มพอเหมาะ” ภาคอีสานเรียกว่า “ส้มพอดี” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “แกงแคง” จังหวัดตากเรียกว่า “ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง ส้มตะเลงเครง” จังหวัดระนองเรียกว่า “ใบส้มม่า” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ส้มปู” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “แบลมีฉี่” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “แต่เพะฉ่าเหมาะ” ชาวปะหล่องเรียกว่า “ปร่างจำบู้” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ส้มพอ ส้มพอเหมาะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชบา (MALVACEAE)

ลักษณะของกระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดง เป็นไม้พุ่มที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศซูดาน อินเดีย มาเลเซีย และประเทศไทย มีอยู่หลายสายพันธุ์
ลำต้น : ลำต้นและกิ่งมีสีม่วงแดง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวคล้ายรูปฝ่ามือ 3 – 5 แฉก ใบเว้าลึกหรือเรียบเป็นรูปวงรีแหลม ขอบใบมีจักเป็นฟันเลื่อย
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวออกดอกตามซอกใบ กลีบดองสีชมพูหรือสีเหลือง กลางดอกมีสีเข้มเป็นสีม่วงแดง มีเกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด กลีบเลี้ยงแผ่ขยายติดกันหุ้มเมล็ดไว้ มีสีแดงเข้มและหักง่าย
ผล : ผลเป็นรูปวงรีปลายแหลม ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่แห้งแตกเป็น 5 แฉก กลีบเลี้ยงหนาสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มอยู่ จะเรียกส่วนนี้ว่ากลีบกระเจี๊ยบหรือกลีบรองดอก
เมล็ด : เมล็ดสีน้ำตาล คล้ายรูปไตจำนวนมาก มีประมาณ 30 – 35 เมล็ดต่อผล

สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง

  • สรรพคุณ ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยแก้เส้นเลือดตีบตัน ช่วยรักษาเส้นเลือดให้แข็งแรงและอ่อนนิ่มยืดหยุ่นได้ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย
  • สรรพคุณจากผล เมล็ด เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยลดน้ำหนัก
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยละลายไขมันในเส้นเลือด ช่วยแก้อาการไอ ช่วยรักษาไตพิการ
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยหล่อลื่นลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ ช่วยป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลาย ช่วยแก้ดีพิการ
  • สรรพคุณจากน้ำ ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง ช่วยรักษาโรคเส้นเลือดแข็งเปราะ ช่วยแก้อาการคอแห้ง แก้กระหายน้ำ แก้อาการร้อนใน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันหวัด ช่วยแก้อาการไอ ช่วยรักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยหล่อลื่นลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการขัดเบา ช่วยป้องกันโรคต่อมลูกหมากโต ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ ช่วยป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลาย ช่วยรักษาไตพิการ ต้านการเกิดพิษต่อตับ ช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายจากสารพิษ ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ แก้นิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ลดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ลดอาการปวดแสบ ด้วยการนำกระเจี๊ยบแห้งบดเป็นผง 3 กรัม ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย ใช้ดื่มวันละ 3 ครั้ง จนกว่าจะหาย
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – รักษาโรคหัวใจและโรคประสาท เป็นยาลดน้ำหนัก ช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้ โดยชาวอียิปต์นำทั้งต้นมาต้มกินเป็นยา
    สรรพคุณจากใบ เป็นยากัดเสมหะ ขับเมือกมันในลำคอให้ลงสู่ทวารหนัก ช่วยแก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ช่วยบำรุงสายตา
    – ล้างแผล ด้วยการนำใบใช้ตำพอกฝีหรือใช้ต้มน้ำ
  • สรรพคุณจากผล ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
    – ช่วยรักษาโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ ด้วยการนำผลแห้งมาบดเป็นผง ใช้ทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะแล้วดื่มน้ำตาม วันละ 3 – 4 ครั้ง
  • สรรพคุณจากกลีบดอก ช่วยลดอาการบวม ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งเชื้อราอะฟลาท็อกซิน ยับยั้งไวรัสเริม ยับยั้งเนื้องอก ช่วยขับกรดยูริก คลายกล้ามเนื้อเรียบ ลดความเจ็บปวด มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

ประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนของกระเจี๊ยบใช้ทานเป็นผัก ใช้ทำแกงส้มซึ่งให้รสเปรี้ยวกำลังดี
2. พืชทางเศรษฐกิจ เป็นพืชส่งออกโดยนำไปใช้เป็นส่วนผสมสำหรับ Herbal tea
3. ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นผลิตภัณฑ์ชาชง อบแห้ง แคปซูล เครื่องดื่มต่าง ๆ ทำแยม เยลลี่ เบเกอรี ไอศกรีม ไวน์ น้ำหวาน ซอส
4. ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ทำโลชัน ครีม เจลอาบน้ำ ครีมขัดผิว
5. ใช้ในการรักษา ในแอฟริกาใต้ใช้น้ำมันจากเมล็ดเป็นยารักษาแผลให้อูฐ
6. เป็นอุปกรณ์ ลำต้นทำเป็นเชือกปอได้

คุณค่าทางโภชนาการของกระเจี๊ยบแดง

คุณค่าทางโภชนาการ (กลีบดอก) ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 49 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 11.31 กรัม
ไขมัน 0.64 กรัม
โปรตีน 0.96 กรัม
วิตามินเอ 14 ไมโครกรัม (2%)
วิตามินบี1 0.011 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี2 0.028 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี3 0.31 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินซี 12 มิลลิกรัม (14%)
ธาตุแคลเซียม 215 มิลลิกรัม (22%)
ธาตุเหล็ก 1.48 มิลลิกรัม (11%)
ธาตุแมกนีเซียม 51 มิลลิกรัม (14%)
ธาตุฟอสฟอรัส 37 มิลลิกรัม (5%)
ธาตุโพแทสเซียม 208 มิลลิกรัม (4%)
ธาตุโซเดียม 6 มิลลิกรัม (0%)

กระเจี๊ยบแดง ถือเป็นต้นที่คนไทยคุ้นเคยกันมานาน แต่ไม่ค่อยรู้ถึงสรรพคุณอันยอดเยี่ยมมากนัก รู้กันเพียงว่าช่วยแก้กระหายเท่านั้น กลับกันน้ำจะมีรสชาติเปรี้ยวหวาน แถมยังกินง่าย ช่วยดับกระหายยังสามารถป้องกันโรคอันตรายได้หลากหลายแบบที่ไม่อยากเชื่อกันเลยทีเดียว มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ รักษาโรคหัวใจและโรคประสาท เป็นยาลดน้ำหนัก ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ รักษาไตพิการและต้านการเกิดพิษต่อตับ เรียกได้ว่าช่วยรักษาอวัยวะสำคัญของร่างกายได้เกือบหมด

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันการแพทย์แผนไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), ศูนย์วิจัยและการจัดการความรู้ทางพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ (HISO), มูลนิธิหมอชาวบ้าน (รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ), เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ฐานข้อมูลสมุนไพรแม่โจ้ (ชีวกโกมารภัจจ์) มหาวิทยาลัยแม่โจ้, รายการสาระความรู้ทางการเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com

มะกอกฝรั่ง ผลรสเปรี้ยวหวาน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด แก้บิด แก้ปวดหู

0
มะกอกฝรั่ง
มะกอกฝรั่ง ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานมันและกรอบอร่อย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

มะกอกฝรั่ง

มะกอกฝรั่ง

มะกอกฝรั่ง เป็นเป็นไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ที่มีผลรสเปรี้ยวอมหวานมันและกรอบอร่อย จึงนิยมนำมาทานเป็นผลไม้ หรือนำมาใช้ทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ในประเทศไทยนิยมนำมาทานจิ้มกับพริกเกลือ นอกจากนั้นใบอ่อนยังนำมาใช้ประกอบอาหารได้ เป็นต้นที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรได้ ปัจจุบันนิยมปลูกไว้ในสวนสำหรับชาวสวนทั่วไป เป็นต้นที่มีประโยชน์หลากหลายด้าน และในต่างประเทศยังนำมาใช้ทำเป็นแยมได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะกอกฝรั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Spondias dulcis Parkinson
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Jew’s plum” “Otatheite apple” “Golden apple” “Jew plum”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “มะกอก มะกอกหวาน” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “มะกอกดง มะกอกเทศ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE)
ชื่อพ้อง : Evia dulcis (Parkinson) Comm. ex Blume, Poupartia dulcis (Parkinson) Blume, Spondias cytherea Sonn.

ลักษณะของมะกอกฝรั่ง

เปลือกต้น : เปลือกต้นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลแดง
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนก มีก้านใบยาว ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่ค่อนข้างเรียวแหลม ปลายใบแหลม โคนใบแหลม และขอบใบหยักเล็กน้อย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบดอกแตกออกมาจากช่อดอกใหญ่อีกทีหนึ่ง มักจะออกตามปลายยอด เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ดอกย่อยเป็นสีขาว มีกลีบดอก 5 กลีบ ที่ฐานรองดอกเป็นสีเหลือง
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปไข่หรือรูปกระสวย มียางคล้ายไรไข่ปลา ผลอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนผลแก่เป็นสีเขียวอมเหลือง เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีส้ม เนื้อข้างในเป็นสีขาวอมเขียว มีรสเปรี้ยวอมหวานมันและกรอบอร่อย
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปทรงกลมวงรี เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งและมีขนอยู่ที่เปลือกหุ้ม

สรรพคุณของมะกอกฝรั่ง

  • สรรพคุณ มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด ลดความดันเลือด มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ลดการหดเกร็งของลำไส้ มีผลในการลดไขมันในตับ
  • สรรพคุณจากเนื้อผล เป็นยาช่วยบำบัดโรคธาตุพิการเพราะน้ำดีไม่ปกติ ช่วยแก้โรคบิด
  • สรรพคุณจากผล ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ ช่วยทำให้ชุ่มคอ เป็นยาระบาย
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาแก้ร้อนในอย่างแรง ช่วยดับพิษกาฬ แก้สะอึก ช่วยแก้ลงท้องปวดมวน
  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – แก้ร้อนใน แก้หอบ แก้สะอึก ด้วยการนำเมล็ดมาสุมไฟให้เป็นถ่าน แล้วนำมาแช่กับน้ำใช้ดื่มกิน
  • สรรพคุณจากใบ
    – แก้อาการปวดหู ด้วยการนำใบมาคั้นเอาน้ำใช้เป็นยาหยอดหู

ประโยชน์ของมะกอกฝรั่ง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลใช้ทานเป็นผลไม้โดยนิยมนำมาจิ้มกับพริกเกลือป่น ใช้ปรุงอาหาร หรือคั้นน้ำจากผลมาทำเครื่องดื่มสมุนไพร หรือแปรรูปทำน้ำผลไม้ ทางชาติตะวันตกนำใบอ่อนมาทำเป็น PEPES ส่วนในประเทศฟิจิใช้ทำแยม ซามัวและตองกาใช้ทำ otai ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียนำมาจิ้มกับกะปิ หรือเป็นส่วนประกอบในอาหารพื้นเมืองของประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ชาวจาเมกาจะรับประทานผลสดโดยนำไปคลุกกับเกลือหรือทำเป็นน้ำผลไม้เติมน้ำตาลและขิง นอกจากส่วนของผลแล้วใบอ่อนยังใช้รับประทานเป็นอาหารได้เช่นกัน
2. ใช้ในด้านการเกษตร ปัจจุบันนิยมปลูกไว้ในสวน เพราะมีการปรับปรุงสายพันธุ์ออกมาให้เป็นพันธุ์เตี้ยที่มีความสูงของต้นเพียง 1 เมตร และยังให้ผลดกได้อีกด้วย

ข้อมูลทางเภสัชวิทยา

สารที่พบ β – caryophyllne, hexadecanoic acid, 3 – hexenol, α – terpineol, α – selinene

มะกอกฝรั่ง เป็นต้นที่มีผลสุกรสเปรี้ยวอมหวาน เนื้อผลรสเปรี้ยวฝาด เปลือกมีรสเปรี้ยวเย็น จึงนิยมนำมาทานเป็นผลไม้โดยจิ้มกับพริกเกลือ นอกจากนั้นยังเป็นผลที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยให้วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นวิตามินแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของผล มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แก้บิด แก้อาการปวดหู รวมถึงช่วยบำบัดโรคธาตุพิการจากน้ำดีผิดปกติได้ เหมาะอย่างมากในการนำมาปลูกไว้ในสวนเพื่อนำผลมาใช้ประโยชน์

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “มะกอก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [15 พ.ค. 2014].
ไทยรัฐออนไลน์. “มะกอกฝรั่ง มีต้นขายผลสดอร่อย”. (นายเกษตร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th. [15 พ.ค. 2014].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “เรื่องมะกอก”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [15 พ.ค. 2014].
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. “มะกอกฝรั่ง”. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). หน้า 135-136.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com

แตงกวา ผักยอดนิยมในเมนูอาหาร ช่วยบำรุงผิว ผม เลือด กล้ามเนื้อ ระบบประสาท

0
แตงกวา
แตงกวา เป็นพืชผักล้มลุก มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ปลูกง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

แตงกวา

แตงกวา

แตงกวา เป็นพืชผักอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมนำมาประกอบอาหารและใช้ทานกันเป็นประจำ ถือว่าพบได้บ่อยมากในชีวิตประจำวันของเรา มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย ปลูกง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป ทว่าบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามีประโยชน์ในด้านใดบ้าง ซึ่งนอกจากจะเป็นสรรพคุณแล้วนั้น ยังเป็นพืชผลที่ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแตงกวา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cucumis sativus L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Cucumber”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ ว่า “แตงขี้ไก่ แตงขี้ควาย แตกช้าง แตงปี แตงร้าน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)

ลักษณะของแตงกวา

ราก : มีรากแก้วและรากแขนงจำนวนมาก
ลำต้น : ลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีหนวดบริเวณข้อช่วยเกาะยึดลำต้น
ใบ : มีมุมใบ 3 ถึง 5 มุม ปลายใบแหลม ทั้งลำต้นและใบมีขนหยาบ
ดอก : มีกลีบดอกสีเหลือง 5 กลีบ ดอกตัวเมียมีลูกขนาดเล็กติดมาด้วย ดอกตัวผู้สังเกตที่ด้านหน้าดอกมีเกสรยื่นออกเล็กน้อยและไม่มีลูกเล็ก ๆ ติดที่โคนดอก
ผล : ผลมีลักษณะกลมยาวทรงกระบอก ไส้ภายในผลประกอบด้วยเมล็ดมากมาย

สรรพคุณของแตงกวา

  • สรรพคุณจากผล ช่วยแก้กระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยกำจัดของเสียที่ตกค้างในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านมะเร็ง ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด รักษาระดับภูมิคุ้มกันให้อยู่ในสุขภาพดี ช่วยควบคุมระดับความดันเลือดและความสมดุลของสารอาหารในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท เสริมสร้างระบบกล้ามเนื้อ บำรุงระบบการหมุนเวียนเลือด ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยฆ่าเชื้ออ่อน ๆ ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย กระตุ้นลำไส้เล็กและมดลูกให้หดตัว กระตุ้นการสร้างแบคทีเรีย ยับยั้งไทรอยด์เป็นพิษ ต้านการเจริญเติบโตของเนื้องอก ช่วยฆ่าพยาธิ กระตุ้นการสร้าง interferon ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ลบรอยแผลเป็น เสริมสุขภาพผิว
  • สรรพคุณจากเมล็ดอ่อน ช่วยต่อต้านมะเร็ง ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ
  • สรรพคุณจากเถา ช่วยลดความดันโลหิต
  • สรรพคุณจากเส้นใย ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมน้ำหนัก
  • สรรพคุณจากน้ำช่วยแก้ไข้ ช่วยลดอาการนอนไม่หลับ ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารในร่างกาย ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดอาการบวมน้ำ ช่วยต้านการอักเสบ ลดอาการปวดข้อเข่าและช่วยต้านเชื้อวัณโรค ช่วยบำรุงเส้นผม บำรุงเล็บและผิวหนัง ช่วยชะลอวัยให้เส้นผม แก้ปัญหาผมบาง
    ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ด้วยการนำผลมาคั้นเอาน้ำกลั้วคออย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยในการขับถ่าย แก้อาการท้องผูก ช่วยแก้อาการท้องเสีย แก้บิด

ประโยชน์ของแตงกวา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนประกอบในอาหารหลากหลายเมนู เช่น ยำไข่ต้ม ต้มจืดยัดไส้ ตำแตง เป็นต้น นิยมนำมารับประทานเป็นผักเคียงกับน้ำพริกหรืออาหารจานเดียว จะช่วยผ่อนคลายความเผ็ด และช่วยแก้เลี่ยนในอาหารจานเดียวได้
2. เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นำไปผสมในเครื่องสำอางต่าง ๆ เช่น ครีมล้างหน้า เจลล้างหน้า สบู่ล้างหน้า ครีมบำรุงผิว ครีมลดริ้วรอย ครีมกันแดด โลชั่น เป็นต้น ทรีตเมนต์ ช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ลดสิว ลดจุดด่างดำ ช่วยบำรุงทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้น ไม่ทำให้หน้ามัน ทำให้ผิวขาวใส ช่วยบำรุงดวงตา แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ตาบวม บำรุงเส้นผม ป้องกันผมเสีย

คุณค่าทางโภชนาการของแตงกวา

คุณค่าทางโภชนาการพร้อมเปลือก ต่อ 100 กรัมโดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 16 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 3.63 กรัม
น้ำตาล 1.67 กรัม
เส้นใย 0.5 กรัม
ไขมัน 0.11 กรัม
โปรตีน 0.65 กรัม
น้ำ 95.23 กรัม
วิตามินบี1 0.027 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี2 0.033 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี3 0.098 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี5 0.259 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี6 0.04 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี9 7 ไมโครกรัม (2%)
วิตามินซี 2.8 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินเค 16.4 ไมโครกรัม
ธาตุแคลเซียม 16 มิลลิกรัม (2%) 
ธาตุเหล็ก 0.28 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุแมกนีเซียม 13 มิลลิกรัม (4%)
ธาตุแมงกานีส 0.079 มิลลิกรัม (4%)
ธาตุฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุโพแทสเซียม 147 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม (0%) 
ธาตุสังกะสี 0.2 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุฟลูออไรด์ 1.3 ไมโครกรัม (11%)

แตง-กวา เป็นผักที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย และดีต่อผิวพรรณเป็นอย่างมาก หากใครที่ต้องการบำรุงผิวและเส้นผม การรับประทานหรือการทรีตเมนต์ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก อีกทั้งยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการด้วย หากใครที่พบผักชนิดนี้ในจานก็ลองทานสักชิ้นสองชิ้นจะดีกว่าการเขี่ยออก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยต่อต้านมะเร็ง รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมระดับความดันเลือด ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท เสริมสร้างระบบกล้ามเนื้อ บำรุงระบบการหมุนเวียนเลือด และแก้อาการนอนไม่หลับ

สั้่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : รศ.ดร.สุธาทิพ ภมรประวัติ, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN), สถาบันการแพทย์แผนไทย, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com

มะระขี้นก ดีต่อผู้สูงวัย ชะลอความแก่ ลดความดันเลือด ป้องกันมะเร็ง ลดเบาหวาน

0
มะระขี้นก มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีรสชาติขม ผิวเปลือกขรุขระ ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลออกสีเหลืองอมแดง

มะระขี้นก

มะระขี้นก

มะระขี้นก เป็นผลมะระที่นกชอบมาจิกกินทั้งผลและเมล็ด แล้วถ่ายเมล็ดไว้ตามที่ต่าง ๆ จึงเป็นที่มาของชื่อนี้ เป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาได้หลากหลาย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ขึ้นชื่อว่ามะระจะมีรสชาติขม แถมยังขมกว่ามะระจีนอีกด้วย จึงเป็นที่นิยมสำหรับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ คำนิยามที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” เพราะเป็นพืชผลที่นำมาใช้เป็นยากันอย่างแพร่หลาย และมักจะนำมาประกอบในอาหารทาน แต่ว่าการทานมะระที่ขมมากจนเกินไป อาจจะทำให้ไตทำงานหนักได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะระขี้นก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Momordica charantia L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bitter gourd”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)

ลักษณะของมะระขี้นก

ไม้เถาล้มลุก เป็นไม้เนื้ออ่อน เถาเลื้อยหรือทอดเลื้อยตามพื้นดิน
ใบ : ใบเดี่ยวเรียงสลับแผ่นใบกว้าง มีขนนุ่มเล็กน้อย โคนใบเว้ารูปหัวใจ ใบหยักลึกรูปมือ 5-9 หยัก
ดอก : ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ สีเหลืองรูประฆังมี 5 แฉก ใบเดี่ยวเรียงสลับแผ่นใบกว้าง
เมล็ด : ลักษณะรูปกลม แบน สีขาวหรือน้ำตาลรูปคู่ขนาน มีเนื้อสีแดงหุ้ม
ผล : รูปร่างคล้ายกระสวย ผิวเปลือกขรุขระและมีปุ่มยื่นออกมา ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลออกสีเหลืองอมแดง ปลายแตกเป็น 3 แฉก

สรรพคุณของมะระขี้นก

สรรพคุณจากผล ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ช่วยต่อต้านและป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในตับ ช่วยลดความอ้วน ช่วยป้องกันการหนาตัวของผนังหลอดเลือดแดง ช่วยยับยั้งเชื้อเอดส์หรือ HIV ช่วยรักษาโรคหอบหืด ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาฟาง ช่วยในการถนอมสายตา ช่วยทำให้ดวงตาสว่างสดใสขึ้น แก้ตาบวมแดง ช่วยบำรุงระดู ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัส ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านยีสต์ ต้านโปรโตซัว ต้านเชื้อมาลาเรีย

  • ช่วยรักษาแผลบวมเป็นหนอง ด้วยการนำผลสดมาผิงไฟให้แห้ง บดเป็นผงแล้วนำน้ำมาพอก หรือนำผลสดมาตำแล้วพอก
  • ช่วยรักษาโรคหิด แก้อาการคันหรือโรคผิวหนังต่าง ๆ ด้วยการนำผลแห้งมาบดเป็นผง แล้วโรยบริเวณที่เป็นหิด

สรรพคุณจากผล รากและใบ

  • ช่วยให้เจริญอาหาร กระตุ้นน้ำย่อย เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้โรคม้าม รักษาโรคตับ ช่วยบำรุงน้ำดี เป็นยาฝาดสมาน
  • ช่วยแก้ไข้ที่เกิดจากการถูกความร้อน ด้วยการนำผลสดมาคว้านไส้ ใส่ใบชาแล้วประกบกันน้ำ นำไปตากในที่ร่มให้แห้ง ใช้ทานครั้งละ 6 – 10 กรัม จะต้มกับน้ำดื่มหรือชงดื่มเป็นชา

สรรพคุณจากผล เมล็ดและใบ

  • ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ เพิ่มพูนลมปราณ ด้วยการนำเมล็ดแห้ง 3 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม

สรรพคุณจากผลและใบ แก้ธาตุไม่ปกติ ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แก้อาการปากเปื่อยลอกเป็นขุย แก้อาการจุกเสียด แก้แน่นท้อง ช่วยขับลม แก้อาการฟกช้ำบวม
สรรพคุณจากใบ ช่วยในการฟอกเลือด ช่วยในการนอนหลับ ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ช่วยแก้อาการไอเรื้อรัง ช่วยขับระดู ช่วยดับพิษฝีร้อน ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยจากลมคั่งในข้อ

  • ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ด้วยการนำใบสด 30 กรัมต้มกับน้ำดื่ม หรือใบแห้งมาบดเป็นผง
  • รักษาแผลจากสุนัขกัด ด้วยการนำใบสดมาตำให้แหลก แล้วพอกบริเวณบาดแผล

สรรพคุณจากราก

  • ช่วยลดเสมหะ ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร แก้พิษน้ำดีพิการ

สรรพคุณจากรากและเถา

  • ช่วยแก้อาการปวดฟัน ด้วยการนำรากสด 30 กรัม หรือเถาแห้ง 3 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ช่วยรักษาอาการบิดถ่ายเป็นเลือดหรือมูกเลือด ด้วยการนำเถาสด 1 กำมือ มาต้มน้ำดื่ม หรือใส่เหล้าต้มดื่ม

สรรพคุณจากผล ราก ใบและเถา

  • ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษ ด้วยการนำผลสด หรือรากสด 30 กรัม หรือเถาแห้ง 3 กรัม มาต้มทาน
  • ช่วยรักษาแผลฝีบวมอักเสบ ด้วยการนำใบแห้งมาบดเป็นผงแล้วชงกับเหล้าดื่ม หรือนำใบสดมาตำให้แหลก คั้นเอาน้ำทาบริเวณฝี หรือนำรากแห้งบดเป็นผงแล้วผสมน้ำพอก

สรรพคุณจากผล ใบ ดอกและเถา

  • ช่วยรักษาอาการบิด แก้ถ่ายเป็นเลือด ด้วยการนำรากสด 120 กรัมต้มกับน้ำดื่ม
  • แก้ถ่ายเป็นเมือก ด้วยการนำรากสด 60 กรัม น้ำตาลกรวด 60 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม

สรรพคุณจากผล ใบ ราก

  • ช่วยขับพยาธิ ช่วยขับพยาธิตัวกลม ด้วยการนำใบสด 120 กรัมมาตำคั้นเอาน้ำดื่ม หรือนำเมล็ด 3 เมล็ดมาทาน
    สรรพคุณจากผลและราก ช่วยรักษาโรคลมเข้าข้อ แก้อาการเท้าบวม ช่วยแก้อาการปวดตามข้อนิ้วมือนิ้วเท้า

สรรพคุณจากเมล็ด

  • ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ด้วยการนำเมล็ดแห้ง 3 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม

ประโยชน์ของมะระขี้นก

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ทำแกงจืดมะระยัดไส้หมูสับได้แต่ต้องต้มนานหน่อย ทำเป็นอาหารเผ็ดอย่างพะแนงมะระยัดไส้ นำไปผัดกับไข่ แถวอีสานนิยมนำใบใส่ลงไปในแกงเห็ดเพื่อให้แกงมีรสขมยอดมะระนำมาลวกเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกหรือปลาป่น

มะระขี้นก เป็นมะระรสขมที่ต้องนำมาคลายความขมลง เพื่อไม่ให้ตับทำงานหนักจนเกินไป แต่สรรพคุณทางยานั้นคู่ควรแก่การนำมาทานเป็นอย่างมาก มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของผล มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยชะลอความแก่ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยลดความอ้วน ช่วยป้องกันการหนาตัวของผนังหลอดเลือดแดง ช่วยยับยั้งเชื้อเอดส์หรือ HIV ลดเบาหวาน ลดความดันเลือด บำรุงสายตา ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยในการนอนหลับ และแก้บาดแผลภายนอกได้ เป็นยาที่ช่วยบรรเทาโรคที่คนไทยมักจะเป็นกัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

สนใจสอบถาม/สั้่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.rspg.or.th สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ, www.gotoknow.org, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com

แครอท ช่วยบำรุงผิว ป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจ ลดไขมันในเลือด

0
แครอท
แครอท เป็นผักที่คนทั้งโลกนิยมนำมารับประทานและประกอบในอาหารอย่างแพร่หลาย มีประโยชน์ กินแล้วดีต่อร่างกาย อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ แถมมีรสชาติอร่อยและทานง่าย

แครอท

แครอท

แครอท เป็นผักที่คนทั้งโลกนิยมนำมารับประทานและประกอบในอาหารอย่างแพร่หลาย เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แม้กระทั่งเด็กน้อยก็ตาม เพราะถือเป็นผักสีสันสำหรับเด็กกันเลยทีเดียว และที่สำคัญก็เป็นพืชผลที่มีประโยชน์ กินแล้วดีต่อร่างกายแน่นอนหากไม่ได้ปนเปื้อนสารพิษมากนัก อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ แถมมีรสชาติอร่อยและทานง่ายกว่าผักชนิดอื่น จึงกลายเป็นผักยอดฮิตที่ใคร ๆ ก็ชอบ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแครอท

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Daucus carota L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Carrot”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)

ลักษณะของแครอท

เป็นพืชในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง มีหลายขนาด มีหลากหลายสี เช่น สีเหลือง สีม่วง แต่ที่นิยมรับประทานนั้นจะเป็นสีส้ม

สรรพคุณของแครอท

  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้สดใสเปล่งปลั่ง ช่วยป้องกันเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายได้ง่ายจากมลภาวะแสงแดด ช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนัง ช่วยบำรุงเส้นผม บำรุงเล็บ
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกาย
  • สรรพคุณด้านบำรุงกระดูก ช่วยบำรุงกระดูก
  • สรรพคุณด้านช่องปาก บำรุงฟัน บำรุงเหงือก
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง ป้องกันอัมพฤกษ์และอัมพาต ช่วยรักษาโรคถุงลมโป่งพองและไทรอยด์เป็นพิษ
  • สรรพคุณด้านไขมัน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
  • สรรพคุณด้านเลือด ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนของเลือด ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  • สรรพคุณด้านหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว
  • สรรพคุณด้านดวงตา ช่วยบำรุงและรักษาสายตา รักษาโรคตาฟาง แก้ต้อกระจก
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหาร ช่วยย่อยอาหาร
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย ช่วยบรรเทาท้องผูก เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน
  • สรรพคุณภายนอก ช่วยรักษาฝี รักษาแผลเน่าต่าง ๆ

ประโยชน์ของแครอท

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน ทำเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ
2. ใช้ในด้านความงาม นำน้ำแครอทผสมมะนาว ทาผิวหน้าบำรุงผิว เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด

คุณค่าทางโภชนาการของแครอท ต่อ 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของแครอท ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 41 กิโลแคลอรี

สารอาหารที่ได้รับ ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 9.6 กรัม
น้ำตาล 4.7 กรัม
เส้นใย 2.8 กรัม
ไขมัน 0.24 กรัม
โปรตีน 0.93 กรัม
วิตามินเอ 835 ไมโครกรัม (104%)
เบตาแคโรทีน 8,285 ไมโครกรัม (77%)
ลูทีนและซีแซนทีน 256 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.066 มิลลิกรัม (6%) 
วิตามินบี2 0.058 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี3 0.983 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินบี5 0.273 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี6 0.138 มิลลิกรัม (11%)
วิตามินบี9 19 ไมโครกรัม (5%) 
วิตามินซี 5.9 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินอี 0.66 มิลลิกรัม (4%)
ธาตุแคลเซียม 33 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุแมงกานีส 0.143 มิลลิกรัม (7%)
ธาตุฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม (5%)
ธาตุโพแทสเซียม 320 มิลลิกรัม (7%)
ธาตุโซเดียม 69 มิลลิกรัม (5%)
ธาตุสังกะสี 0.24 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุฟลูออไรด์ 3.2 ไมโครกรัม

แครอท เป็นผักที่มีสีสันสดใส จึงนิยมนำมาใช้ประกอบในอาหาร เพราะมีรสชาติทานง่ายในบรรดาผักด้วยกัน เป็นผักที่นิยมทานกันทั่วโลก และเป็นที่รู้กันว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงผิว บำรุงกระดูก ป้องกันมะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร บำรุงดวงตา ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจ และดีต่อระบบเลือดในร่างกาย

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, หนังสือชีวจิต
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ตังกุย ยาสมุนไพรชั้นยอด! ดีต่อระบบร่างกายทุกสัดส่วน คู่ควรแก่การทานประจำ

0
ตังกุย
ตังกุย เป็นพรรณไม้ล้มลุก มีเหง้าขนาดใหญ่ เนื้อในนิ่ม ดอกเป็นสีขาวหรือเป็นสีแดงอมม่วง แกนเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะตัว มีรสหวานอมขม และเผ็ดเล็กน้อย

ตังกุย

ตังกุย

ตังกุย (Dong quai) หรือเรียกกันว่า โกฐเชียง เป็นต้นที่มีเหง้าหรือรากขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน นิยมปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนามและในประเทศจีน โดยเฉพาะในป่าดิบตามภูเขาสูงของมณฑลเสฉวน ไต้หวัน ส่านซี กุ้ยโจว เหอเป่ย และมณฑลยูนนาน ถือเป็นพืชชั้นดีของผู้หญิงเลยทีเดียว ส่วนของเหง้าจะมีรสเผ็ดหวาน เป็นยาร้อนเล็กน้อย และถือเป็นยาสมุนไพรชั้นยอดที่อยู่ในตำรับยามากมาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ โกฐเชียง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Angelica sinensis (Oliv.) Diels
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Dong quai” “Chinese Angelica” “Female ginseng”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ ว่า “โสมตังกุย” “โกฐเชียง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)
ชื่อพ้อง : Angelica polymorpha var. sinensis Oliv., Angelica sinensis var. sinensis

ลักษณะโกฐเชียง

ต้นตังกุย เป็นพรรณไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีเขตการกระจายพันธุ์ทางภาคกลางของประเทศจีน มักจะพบตามป่าดิบเขา
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง มีร่องเล็กน้อย เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอมม่วง
เหง้า : เหง้าหรือรากที่อยู่ใต้ดินมีขนาดใหญ่ ลักษณะอวบหนาเป็นรูปทรงกระบอก แยกเป็นรากแขนงหลายราก ผิวเปลือกรากภายนอกเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อในนิ่ม
ใบ : เป็นใบเดี่ยวที่หยักลึกแบบขนนก 2 – 3 ชั้น ลักษณะเป็นรูปไข่ แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน แยกเป็นแฉกย่อย 2 – 3 แฉก ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยไม่สม่ำเสมอกัน ตรงโคนแผ่เป็นครีบแคบ ๆ เป็นสีเขียวอมม่วง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อบริเวณยอดของลำต้นหรือตามง่ามใบ ช่อดอกมีลักษณะเป็นช่อแบบซี่ร่มเชิงประกอบ ดอกเป็นสีขาวหรือเป็นสีแดงอมม่วง ในแต่ละก้านจะมีดอกย่อยประมาณ 13 – 15 ดอก กลีบดอกมี 5 กลีบ มักจะออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม
ผล : เป็นผลแห้งแยก สันด้านล่างหนาและแคบ ด้านข้างมีปีกบาง มีท่อน้ำมันตามร่อง มักจะติดผลในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน
ราก : รากสดมีลักษณะอวบเป็นรูปทรงกระบอก แยกเป็นรากแขนงหลายราก แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนราก และส่วนรากแขนง รากแห้งเป็นรูปแกมทรงกระบอก ผิวด้านนอกเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองจนถึงสีน้ำตาล รากมีรอยย่นเป็นแนวตามยาว มีรอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ และมีรอยควั่นเป็นวง มีรอยแผลเป็นของใบปรากฏอยู่ตอนบน ส่วนของรากแขนงเป็นสีน้ำตาลแกมเทาจาง ๆ มีลักษณะเป็นเส้นยาว มีรอยควั่นเป็นวง ตอนบนหนา ส่วนตอนล่างเรียวเล็ก ส่วนมากจะบิด เนื้อจะเหนียว รอยหักสั้นและนิ่ม มีต่อมน้ำยางสีน้ำตาลหรือสีเหลืองแกมแดงออกเป็นแนวรัศมีจากกลางเหง้า ส่วนที่เป็นเนื้อสีเหลืองจะมีรูพรุน แกนเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะตัว มีรสหวานอมขม และเผ็ดเล็กน้อย

สรรพคุณของโกฐเชียง

  • สรรพคุณจากต้นตังกุย
    1. สรรพคุณต่อสตรี เป็นยาแก้ปวดประจำเดือน ลดอาการปวดท้องประจำเดือนซึ่งเกิดจากการหดตัวของมดลูก รักษาอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ช่วยควบคุมรอบเดือนให้เป็นปกติ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ แก้ประจำเดือนมาช้า ช่วยให้ผู้หญิงมีรอบเดือนกลับเป็นปกติหลังจากหยุดรับประทานยาคุมกำเนิด รักษาภาวะเลือดพร่องและเลือดคั่ง รักษาประจำเดือนเป็นลิ่มเลือด รักษาความผิดปกติของประจำเดือน ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบในหญิงวัยทอง แก้อาการช่องคลอดแห้งและภาวะซึมเศร้า ช่วยเสริมฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศหญิงและฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ร่างกายใช้ฮอร์โมนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ช่วยในการขับน้ำคาวปลา ช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ได้ดีและเร็วขึ้น ช่วยแก้ซีสต์ในมดลูกหรือรังไข่ แก้สตรีตกเลือด แก้อาการอ่อนเพลีย
    – แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยคนจีนนำตังกุย หรือโกฐเชียงมา 10 กรัม ผสมกับเส็กตี่ 10 กรัม โกฐหัวบัว 7 กรัม แปะเจียก 7 กรัม แล้วต้มกับน้ำรับประทาน
    – แก้ปวดประจำเดือน ด้วยการนำโกฐเชียงมา 10 กรัม ผสมกับเส็กตี่ 10 กรัม โกฐหัวบัว 7 กรัม แปะเจียก 7 กรัม หัวแห้วหมู 7 กรัม และโกฐจุฬาลำพา 5 กรัม แล้วต้มกับน้ำรับประทาน
    2. สรรพคุณต่อระบบเลือด ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันการแข็งตัวของเลือด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ต้านการเกิดลิ่มในหลอดเลือด มีฤทธิ์ขยายเส้นเลือด ป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว
    3. บำรุงอวัยวะสำคัญ ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสมอง บำรุงตับ บำรุงต่อมน้ำเหลือง ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ กระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้หรือมดลูก มีฤทธิ์ปกป้องตับ ปกป้องสมองและไขสันหลัง กระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูก เป็นยากระตุ้นอวัยวะเพศหรือกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ
    4. ป้องกันโรค เป็นยารักษาตับอักเสบเรื้อรัง ต้านเนื้องอก ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ต้านความเป็นพิษต่อตับ ต้านการอักเสบ รักษาโรคหอบหืด ป้องกันการถูกทำลายโดยรังสี แก้โรคผิวหนัง ลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
    5. บรรเทาอาการและอื่น ๆ บรรเทาอาการปวดเมื่อย เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ แก้วิงเวียนศีรษะ แก้หูอื้อ แก้ใจสั่น แก้อาการนอนไม่หลับ แก้หลงลืมง่าย แก้มือเท้าเย็นและชา เป็นยาแก้ไข้ แก้หวัด แก้ไอ ช่วยแก้อาการสะอึก แก้หอบหืด แก้เสียดแทงสองราวข้าง เป็นยาขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลำไส้ ช่วยในการขับถ่าย เป็นยาแก้ท้องผูก แก้บิด แก้ถ่ายเป็นเลือด แก้ตกมูกเลือด รักษาอาการปวดท้อง แก้ปวดข้อ แก้อาการปวดหลังการผ่าตัด แก้อาการปวดท้องในภาวะเย็นพร่อง แก้ปวดท้องแบบชอบความร้อน แก้ขี้หนาว รักษาอาการบาดเจ็บจากการชกต่อยจนเกิดรอยฟกช้ำ แก้อาการปวดจากฝีหนอง แก้ขาเบาหวานเน่าเปื่อย ช่วยลดความกังวล แก้อาการคัน เป็นยาแก้ปวด แก้หอบหืด
  • สรรพคุณจากเหง้า ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ตับและม้าม เป็นยาบำรุงโลหิต ฟอกเลือด รักษาโรคโลหิตจาง แก้ปริมาณเลือดมีน้อย แก้สีเลือดจางอ่อน ช่วยรักษาภาวะเลือดพร่อง รักษาหน้าซีดขาวหรือซีดเหลือง แก้เล็บและริมฝีปากซีด สีลิ้นซีด ช่วยเพิ่มความเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ทำให้ผิวพรรณดี ช่วยกระจายโลหิต กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก ช่วยสลายเลือดคั่ง
  • สรรพคุณจากราก รากแก้วช่วยบำรุงเลือด รากฝอยช่วยสลายเลือดคั่ง รากส่วนบนช่วยบำรุงกำลัง
    – รากแขนงแก้โรคสตรี เช่น แก้ปวดเอว แก้ปวดประจำเดือน แก้ขับระดูของสตรี ปรับประจำเดือนให้เป็นปกติ แก้ประจำเดือนผิดปกติ แก้ภาวะขาดประจำเดือน แก้อาการร้อนวูบวาบ แก้อาการท้องผูกของสตรีมีครรภ์ แก้รกตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ ปรับการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงโลหิต รักษาอาการเลือดออกทุกชนิด แก้ภาวะขาดน้ำ แก้ความผิดปกติของเส้นประสาท

ประโยชน์ของโกฐเชียง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบและลำต้นนำมาผัดหรือทำเป็นต้มจืดได้
2. เป็นส่วนประกอบในตำรับยา อยู่ในตำรับยาหอมเทพจิตร ตำรับยาหอมนวโกฐ ตำรับยาธาตุบรรจบ ตำรับยาพิกัดโกฐ ตำรับยาทรงนัตถุ์

ข้อควรระวัง

สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องเสียบ่อย ร้อนใน หรือเคยอาเจียนเป็นเลือด สตรีมีประจำเดือนมามาก ไม่ควรทาน

ตังกุย เรียกได้ว่าไม่มีคำบรรยายมากมายสำหรับยาสมุนไพรชั้นยอดชนิดนี้ ไม่ต้องพูดถึงเจาะจงว่ามีสรรพคุณทางด้านใดเป็นพิเศษ เพราะถือเป็นยาที่ดีต่อระบบร่างกายแทบจะทุกส่วน โดยเฉพาะอวัยวะที่สำคัญภายใน และยังช่วยยับยั้งโรคต่าง ๆ ได้ดี เป็นยาร้อนที่คู่ควรอย่างมากในการมีติดบ้าน ไม่ว่าจะคนหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุก็ควรที่จะพิจารณาสมุนไพรชนิดนี้โดยเฉพาะผู้หญิงทุกคน ถือเป็นต้นที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และอุดมไปด้วยสรรพคุณมากมายจนนับไม่ถ้วน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “โกฐเชียง”. หน้า 106.
หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “โกฐเชียง Lovage”. หน้า 217.
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “โกฐเชียง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaicrudedrug.com. [10 มิ.ย. 2015].
คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ. (อาจารย์โสรัจ นิโรธสมาบัติ แพทย์แผนจีน). “ตังกุย สุดยอดสมุนไพรบำรุงเลือด”.
กรีนคลินิก. (พญ.สุภาณี ศุกระฤกษ์ อายุรแพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง). “ตังกุย (Dong quai)“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.greenclinic.in.th. [10 มิ.ย. 2015].
หนังสือวิตามินไบเบิล. (ดร.เอิร์ล มินเดลล์). “ตังกุย (Dong quai)”. หน้า 246.
ศูนย์เครือข่ายข้อมูลอาหารครบวงจร. “Dong quai / ตังกุย”. (ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นิธิยา รัตนาปนนท์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.foodnetworksolution.com. [10 มิ.ย. 2015].
บทที่ 3 ศักยภาพการปลูกพืชสมุนไพรจีนในประเทศไทย. (สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร). “โกฐเชียง”. หน้า 47-50.
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : Medthai

ถั่วงอก ดีต่อผิว ช่วยชะลอวัย ป้องกันมะเร็ง บำรุงประสาทและสมอง

0
ถั่วงอก เป็นถั่วที่มีรากงอกมาจากเมล็ดถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วลันเตา และถั่วเหลือง นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารในเมนูมากมาย จีนเป็นประเทศแรกที่เพาะถั่วงอก

ถั่วงอก

ถั่วงอก

ถั่วงอก (Bean sprouts) เป็นพืชผักที่คนไทยและคนทั่วโลกนิยมนำมาใช้ประกอบอาหารในเมนูมากมาย เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้าต้นนี้ เพราะถือเป็นผักที่เราเจอได้บ่อยมาก เป็นถั่วที่มีรากงอกมาจากเมล็ดถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วลันเตา และถั่วเหลือง ประเทศแรกของโลกที่มีการเพาะถั่วหัวโตนั่นก็คือประเทศจีน เป็นที่รู้กันว่าการกินผักนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ว่าบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเจ้าตนนี้นั้นมีสรรพคุณต่อร่างกายในด้านใดบ้าง ดังนั้นเราจึงมาดูกันว่า จะมีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการอะไรบ้าง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bean sprouts”

สรรพคุณ

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันหวัด ช่วยดับร้อนและปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยลดระดับเอสโตรเจนในร่างกาย ช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยลดและกำจัดของเสียหรือสิ่งตกค้างในร่างกายได้
  • สรรพคุณด้านความงาม ทำให้ผิวชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่ม ทำให้ผิวเปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล ช่วยในการชะลอวัย ต้านความแก่ คงความอ่อนเยาว์ ช่วยป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผม รักษาสิวและจุดด่างดำ
  • สรรพคุณด้านระบบประสาท ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยในการทำงานของสมอง
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ช่วยบำรุงฟัน ช่วยในการขับเสมหะ
  • สรรพคุณด้านกระดูก ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
  • สรรพคุณด้านเลือด ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ลดความเสี่ยงการเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันหรือ โรคลักปิดลักเปิด
  • สรรพคุณด้านการผ่อนคลาย ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย สร้างฮอร์โมนระงับความเครียด
  • สรรพคุณด้านระบบหายใจ ทำให้ปอดแข็งแรง
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย ทำให้ขับถ่ายได้สะดวก ช่วยในการขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณต่ออวัยวะของสตรี ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติของประจำเดือน

ประโยชน์

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำมาใช้ประกอบอาหาร อย่างพวกเมนูทั่วไป
2. เป็นอาหารของผู้ควบคุมน้ำหนักและผู้ป่วยเบาหวาน เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เนื่องจากมีน้ำตาลที่น้อยมาก มีธาตุซิลิกาในการช่วยดูดซับวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เรารับประทานเข้าไป

คุณค่าทางโภชนาการ ต่อ 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 30 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 5.94 กรัม
น้ำ 90.4 กรัม
น้ำตาล 4.13 กรัม
เส้นใย 1.8 กรัม
ไขมัน 0.18 กรัม
โปรตีน 3.04 กรัม
วิตามินบี1 0.084 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินบี2 0.124 มิลลิกรัม (10%)
วิตามินบี3 0.749 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี6 0.088 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินบี9 61 ไมโครกรัม (15%)
วิตามินซี 13.2 มิลลิกรัม (16%)
วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินเค 33 ไมโครกรัม (31%)
ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุเหล็ก 0.91 มิลลิกรัม (7%)
ธาตุแมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม (6%)
ธาตุแมงกานีส 0.188 มิลลิกรัม (9%)
ธาตุฟอสฟอรัส 54 มิลลิกรัม (8%) 
ธาตุโพแทสเซียม 149 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุสังกะสี 0.41 มิลลิกรัม (4%)

 

ข้อควรระวังของ

1. ควรระวังสารปนเปื้อน ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งอย่างมาก ส่งผลเสียไปถึงระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท ระบบหายใจอีกด้วย ซึ่งอาจจะร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็ได้
2. ควรเลือกซื้อถั่วที่รากไม่ยาว ปลูกโดยใช้ผ้ารองพื้น และไม่ใช่น้ำยาเคมี ควรดูที่เปลือกนอกถั่วมีปะปนอยู่บ้างหรือไม่ เพราะการแช่สารฟอกสีจะทำให้เปลือกหลุดหมด หากพบว่ามีสภาพที่พองตัวและขาวอวบ ให้คิดไว้ก่อนว่ามีสารฟอกสี เมื่อซื้อมาแล้วก่อนจะนำมาทานควรแช่น้ำทิ้งไว้สักประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง หรือทำให้สุกก่อน
3. ผู้ที่ปวดเข่าควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน เพราะแบบดิบมีกรดไฟติกมาก ทำให้ไปแย่งจับธาตุแคลเซียม

ถั่วงอก เป็นถั่วที่พบได้ทั่วไปจึงทำให้ในตลาดปะปนไปด้วยสารเคมีมากมาย ดังนั้นการรับประทานที่ได้ประโยชน์นั้นจะต้องคัดเลือกให้ดีในตอนซื้อ จึงจะได้สรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย ถือเป็นผักที่คนบางส่วนไม่ค่อยชอบทานแต่บางคนก็ชื่นชอบเจ้าผักชนิดนี้ และมีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยชะลอวัย ช่วยบำรุงประสาทและสมอง บำรุงกระดูก ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงการเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง เป็นผักที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ผักหวานป่า ราคาแพง มากสรรพคุณทางยา แก้ไข้และต้านอนุมูลอิสระ

0
ผักหวานป่า ราคาแพง แต่มากสรรพคุณทางยา ช่วยแก้ไข้และต้านอนุมูลอิสระ
ผักหวานป่า เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ปลายใบมนหรือแหลม ออกดอกเป็นช่อยาว ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่เป็นสีเหลืองส้มหรือสีแดง
ผักหวานป่า ราคาแพง แต่มากสรรพคุณทางยา ช่วยแก้ไข้และต้านอนุมูลอิสระ
ผักหวานป่า เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ปลายใบมนหรือแหลม ออกดอกเป็นช่อยาว ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่เป็นสีเหลืองส้มหรือสีแดง

ผักหวานป่า

ผักหวานป่า (Melientha suavis Pierre) เป็นพืชในวงศ์พิเศษที่ยังไม่มีผักหรือผลไม้ชนิดใดอยู่ในวงศ์นี้ เป็นผักพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นผักที่มีรสชาติหวานอร่อย แต่หารับประทานได้ค่อนข้างยากเพราะผักชนิดนี้จะให้ผลผลิตในบางช่วงฤดูกาลเท่านั้น ส่วนมากมักจะมีการเข้าไปเก็บในป่า แต่ว่าปัจจุบันได้มีการส่งเสริมให้หันมาปลูกเพื่อการค้ามากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดสระบุรีที่มีการเพาะปลูกมากเป็นพิเศษ และที่สำคัญเป็นผักยอดนิยมที่มีการนำมาแปรรูปและรับประทานกันอยู่เป็นประจำ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Melientha suavis Pierre
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดสุรินทร์เรียกว่า “ผักวาน” ประเทศลาวเรียกว่า “Hvaan” ประเทศกัมพูชาเรียกว่า “Daam prec” ประเทศเวียดนามเรียกว่า “Rau” ประเทศมาเลเซียเรียกว่า “Tangal” ประเทศฟิลิปปินส์เรียกว่า “Malatado”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ OPILIACEAE

ผักหวานป่ามีกี่ชนิด

ผักหวานป่า มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มักจะพบตามป่าเบญจพรรณในที่ราบหรือเชิงเขา ซึ่งปกติจะชอบขึ้นอยู่บนดินร่วนปนดินทราย เป็นผักที่แบ่งออกได้เป็น 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ยอดเหลืองและพันธุ์ยอดเขียว ซึ่งวิธีปลูกให้โตเร็ว แตกต่างกันตามเทคนิคของแต่ละพื้นที่
เปลือกต้น : เปลือกต้นเรียบ กิ่งอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเทาอมน้ำตาลอ่อน เนื้อไม้มีความแข็ง
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปวงรียาว ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบสอบเรียว ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่แล้วจะเป็นสีเขียวเข้ม
ดอก : ออกดอกเป็นช่อยาว โดยจะออกตามกิ่งหรือตามซอกใบ ใบประดับเป็นรูปไข่ปลายแหลม เป็นดอกแบบแยกเพศแต่อยู่บนก้านดอกเดียวกัน ดอกเพศผู้จะมีกลีบสีเขียวอ่อน และเกสรสีเหลือง ดอกเพศเมียจะมีกลีบดอกเป็นสีเขียวเข้ม และก้านดอกสั้นกว่าดอกเพศผู้ มักจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม
ผล : เป็นผลเดี่ยวอยู่บนช่อยาวที่เป็นช่อดอกเดิม ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มหรือสีแดง

สรรพคุณของผักหวานป่า

  • สรรพคุณจากผักหวาน ช่วยแก้อาการของธาตุ ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยในการยืดหดของกล้ามเนื้อให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยในการบำรุงสายตา ช่วยป้องกันเนื้อเยื่อหรือเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษทางอากาศ ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังจากรังสีแสงแดด ช่วยทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นหรือแก่ก่อนวัย ป้องกันโรคปากเปื่อยหรือโรคปากนกกระจอก ช่วยในการขับถ่าย เป็นยาระบายอ่อน ๆ
  • สรรพคุณจากใบและราก แก้อาการปวดศีรษะ ช่วยแก้อาการปวดท้อง รักษาแผล ช่วยแก้อาการปวดในข้อ
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้ไข้ ดับพิษไข้ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้กระสับกระส่าย แก้เชื่อมมัว (โรคที่ทำให้ใบหน้าหมองซึม นัยน์ตาปรือ ไม่กระปรี้กระเปร่า)
    – แก้พิษร้อนใน ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาเย็น
    – แก้อาการปวดมดลูกของสตรี แก้น้ำดีพิการ ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยา
  • สรรพคุณจากยอด เป็นยาเขียวลดไข้ ลดความร้อน ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ระบายความร้อน
  • สรรพคุณจากยาง
    – แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว ด้วยการนำยางมาใช้กวาดคอเด็ก
  • สรรพคุณจากแก่น
    – แก้อาการปวดตามข้อหรือปานดง ด้วยการนำแก่นมาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยา
  • สรรพคุณจากต้น
    – ช่วยเพิ่มน้ำนมแม่หลังการคลอดบุตร ด้วยการนำต้นผสมกับต้นนมสาวมาปรุงเป็นยา

ประโยชน์ของผักหวาน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นิยมนำยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน และผลอ่อนมารับประทานเป็นผัก ด้วยการลวกให้สุกแล้วใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ลาบ ใช้เป็นเครื่องเคียง หรืออาจนำไปผัดน้ำมัน หรือนำมาใช้ประกอบอาหารในเมนูแกงได้ เมล็ดมีรสหวานมัน ผลสุกนำมาต้มให้สุกและรับประทานแต่เนื้อข้างในได้
2. ใช้ในการเกษตร เป็นอาหารของนกและสัตว์ต่าง ๆ
3. เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป นำมาพัฒนาเป็นชาสำเร็จรูป ซึ่งเป็นเครื่องดื่มต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังนำมาแปรรูปเป็นน้ำผักหวาน ไวน์ คุกกี้ ขนมถ้วย ข้าวเกรียบ และทองม้วน เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของยอดและใบสดผักหวาน

คุณค่าทางโภชนาการของยอดและใบสดผักหวาน ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 300 กิโลจูล

สารอาหาร ปริมาณที่ได้รับ
น้ำ 76.6 กรัม
โปรตีน 8.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 10 กรัม 
ใยอาหาร 3.4 กรัม
เถ้า 1.8 กรัม
แคโรทีน 1.6 มิลลิกรัม
วิตามินซี 115 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของผักหวานป่า

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 39 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณที่ได้รับ
น้ำ 87.1%
โปรตีน 0.1 กรัม 
ไขมัน 0.6 กรัม
ใยอาหาร 2.1 กรัม
เถ้า 1.8 กรัม
วิตามินเอ 8,500 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.12 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 1.65 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 3.6 มิลลิกรัม
วิตามินซี 168 มิลลิกรัม
แคลเซียม 24 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 68 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.3 มิลลิกรัม

ข้อควรระวังในการรับประทานผักหวานป่า

1. ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินควร เพราะอาจทำให้เกิดอาการเบื่อเมา อาเจียน และเป็นไข้
2. ควรนำมาปรุงให้สุกก่อนรับประทาน
3. ควรระมัดระวังในการเก็บผักป่า เนื่องจากมีพรรณไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับผักหวาน เช่น ต้นเสน ต้นขี้หนอน ถ้าหากรับประทานผักเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการผิดสำแดงได้ ทำให้มีอาการคลื่นเหียนอาเจียน คอแห้ง อ่อนเพลีย มึนงง และหมดสติ หากร่างกายอ่อนแอก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

ผักหวานป่า ราคา ค่อนข้างแพงในตลาด เนื่องจากเป็นผักที่หาได้ยากและมักจะออกตามฤดูกาล ที่สำคัญมีรสชาติหวานทำให้นำมาปรุงในเมนูอาหารได้หลากหลาย เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง ผักหวานมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ต้านอนุมูลอิสระ แก้ไข้ บำรุงสายตา และเป็นยาระบาย เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุในการป้องกันโรคภัยอันตรายได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 243 คอลัมน์: พืช-ผัก-ผลไม้. “ผักหวานป่า : สุดยอดผักของไทยและเอเชียอาคเนย์”. (เดชา ศิริภัทร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [28 เม.ย. 2014].
นิตยสารเกษตรศาสตร์. “ผักหวานป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ku.ac.th/e-magazine/november46/. [28 เม.ย. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักหวานป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [28 เม.ย. 2014].
เดอะแดนดอทคอม. “ผักหวานป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.the-than.com. [29 เม.ย. 2014].
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “แกงผักหวานป่าสำเร็จรูป”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tistr.or.th. [29 เม.ย. 2014].
วารสารการบรรจุภัณฑ์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ปีที่ 15 ฉบับที่ 1 ตุลาคม-ธันวาคม 2549 หน้าที่ 40.
จำรัส เซ็นนิล. “ผักหวานป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.jamrat.net. [29 เม.ย. 2014].
กลุ่มงานวนวัฒนวิจัย สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้. “ผักหวานป่า”. (ณัฏฐากร เสมสันทัด, บัณฑิต โพธิ์น้อย). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:forprod.forest.go.th/forprod/ebook/ผักหวาน/ผักหวาน.pdf. [28 เม.ย. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : Medthai

ชะมวง ผลรสเปรี้ยวอมหวาน ดอกและใบคือยา ช่วยขับเสมหะ บำรุงเลือดและแก้บิด

0
ชะมวง ผลรสเปรี้ยวอมหวาน ดอกและใบคือยา ช่วยขับเสมหะ บำรุงเลือดและแก้บิด
ชะมวง ป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน ใบอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ดอกเป็นสีเหลืองนวลและมีกลิ่นหอม ผลสุกเป็นสีเหลืองจนถึงส้มหม่น
ชะมวง ผลรสเปรี้ยวอมหวาน ดอกและใบคือยา ช่วยขับเสมหะ บำรุงเลือดและแก้บิด
ชะมวง ป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน ใบอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ดอกเป็นสีเหลืองนวลและมีกลิ่นหอม ผลสุกเป็นสีเหลืองจนถึงส้มหม่น

ชะมวง

ชะมวง (Cowa) เป็นไม้ยืนต้นที่พบได้มากในทางภาคใต้ของประเทศไทย ผลมีรสเปรี้ยวอมหวานแต่ไม่นิยมทานผลไม้ ต้มใบชะมวง นอกจากนั้นยังเป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารจำพวกแกง และเป็นไม้ปลูกประดับทั่วไปที่ให้ความร่มเงาได้ดี สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาใช้ประกอบเป็นยาสมุนไพรได้ ส่วนของใบนั้นอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เป็นไม้ต้นชนิดหนึ่งที่คู่ควรแก่การนำมาใช้ประโยชน์เป็นอย่างมาก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของชะมวง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Garcinia cowa Roxb. ex Choisy
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Cowa”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “กะมวง มวง ส้มมวง” คนเมืองเรียกว่า “ส้มป้อง มะป่อง” จังหวัดอุดรธานีเรียกว่า “หมากโมก” ใบชะมวง ภาษาใต้ “มวงส้ม” ชาวมลายูนราธิวาสเรียกว่า “กานิ” ชาวเขมรเรียกว่า “ตระมูง” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ยอดมวง ส้มม่วง ส้มโมง ส้มป่อง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มังคุด (CLUSIACEAE หรือ GUTTIFERAE)

ลักษณะของชะมวง

ชะมวง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางรูปแบบไม่ผลัดใบ มักจะพบได้มากทางภาคใต้ของประเทศไทย ตามป่าชื้นระดับต่ำทั่วไป
ต้น : มีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มรูปกรวยคว่ำทรงสูง
ลำต้น : ลำต้นเกลี้ยงและแตกกิ่งใบตอนบนของลำต้น กิ่งย่อยมีผิวเรียบ เปลือกลำต้นเป็นสีดำน้ำตาลขรุขระ แตกเป็นสะเก็ด เปลือกด้านในเป็นสีชมพูถึงแดง มีน้ำยางสีเหลืองขุ่นไหลเยิ้มออกมาจากเปลือกต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปวงรีแกมใบหอกหรือแกมขอบขนาน โคนใบสอบแหลม ปลายใบป้านหรือแหลมเล็กน้อย ขอบใบเรียบ ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน หรือเขียวอมสีม่วงแดง ส่วนใบแก่จะเป็นสีเขียวเข้ม หรือน้ำเงินเข้ม ปลายกิ่งมีการแตกยอด 1 – 3 ยอด หลังใบเรียบและลื่นเป็นมัน ท้องใบเรียบ เนื้อใบมีลักษณะค่อนข้างหนาและเปราะ เส้นใบมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ด้านหลังใบจะเห็นเส้นกลาง ส่วนของก้านใบมีสีแดง
ดอก : ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่กันคนละต้น มักจะออกดอกตามซอกใบและตามกิ่ง ดอกเพศผู้จะออกตามกิ่งเป็นกระจุก มีดอกย่อยประมาณ 3 – 8 ดอก ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนมากเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม กลีบดอกเป็นสีเหลืองนวลและมีกลิ่นหอม มีกลีบดอกแข็งหนา 4 กลีบ และกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ลักษณะเป็นรูปวงรีแกมรูปขอบขนาน ปลายกลีบกลม ดอกเพศเมียจะออกเป็นดอกเดี่ยวตามปลายกิ่ง มีเกสรตัวผู้เทียมเรียงอยู่รอบรังไข่ และมีก้านเกสรติดกันเป็นกลุ่ม ที่ปลายก้านมีต่อม 1 ต่อม มักจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมแป้น ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจนถึงส้มหม่น และตามผลมีร่องตื้นประมาณ 5 – 8 ร่อง ด้านบนเป็นปลายบุ๋ม มีชั้นกลีบเลี้ยงประมาณ 4 – 8 แฉกติดอยู่ มีเนื้อหนาเป็นสีเหลือง ผลสุกมีรสเปรี้ยวใช้รับประทานได้ แต่มียางมากอาจทำให้ติดฟันได้
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดขนาดใหญ่ประมาณ 4 – 6 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปวงรีหนา เรียงตัวกันเป็นวงรอบผล มักจะติดผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน

สรรพคุณของชะมวง

  • สรรพคุณจากใบ ช่วยฟอกโลหิต แก้โลหิต ช่วยรักษาธาตุพิการ เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยแก้อาการไอ ช่วยแก้เสมหะ กัดเสมหะ กัดฟอกเสมหะ เป็นยาระบายท้อง เป็นยาขับเลือดเสีย ช่วยขับโลหิตระดูของสตรี ต้านมะเร็ง ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหาร
  • สรรพคุณจากผลอ่อน ช่วยฟอกโลหิต เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ช่วยแก้เสมหะ กัดเสมหะ กัดฟอกเสมหะ เป็นยาระบายท้อง
  • สรรพคุณจากผล ช่วยรักษาธาตุพิการ ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยแก้อาการไอ
    – ช่วยแก้บิด ด้วยการนำผลมาหั่นเป็นแว่นตากแห้ง แล้วใช้ดินเป็นยา
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยรักษาธาตุพิการ เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ช่วยแก้เสมหะ กัดเสมหะ กัดฟอกเสมหะ เป็นยาระบายท้อง ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยแก้ดีพิการ
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ช่วยถอนพิษไข้ ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยแก้เสมหะ กัดเสมหะ กัดฟอกเสมหะ แก้เสมหะเป็นพิษ ช่วยแก้บิด
    – เป็นยาระบาย โดยตำรายาพื้นบ้านอีสานนำรากชะมวงมาผสมกับรากกำแพงเจ็ดชั้น รากตูมกาขาว และรากปอด่อน แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากเนื้อไม้ ช่วยแก้อาการไอ ช่วยขับเสมหะ เป็นยาระบาย
  • สรรพคุณจากแก่น
    – ช่วยแก้อาการเหน็บชา ด้วยการนำแก่นมาฝนหรือแช่กับน้ำดื่มเป็นยา

ประโยชน์ของชะมวง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลชะมวงนำมาทานเป็นผลไม้ หรือนำมาหั่นเป็นแว่นตากแดดใส่ปลาร้าเพื่อเพิ่มรสชาติได้ นิยมนำใบอ่อนมารับประทานในรูปแบบของผักสดจิ้มกับน้ำพริก หรือนำมาปรุงในเมนูจำพวกต้นส้มต่าง ๆ
2. เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรม ผลและใบแก่สามารถนำมาหมักเพื่อใช้ฟอกหนังวัวหรือหนังควาย ลำต้นหรือเนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างได้ เปลือกต้นและยางใช้สกัดสีย้อมผ้า โดยจะให้ออกมาเป็นสีเหลือง
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ สามารถนำมาปลูกเพื่อให้ความร่มเงาได้ดี
4. ใช้ในด้านการเกษตร สามารถนำยอดอ่อนมาหมักกับจุลินทรีย์จนทำให้มีรสเปรี้ยว เพื่อใช้ทำเป็นยาปราบศัตรูพืชได้

คุณค่าทางโภชนาการของใบชะมวง

คุณค่าทางโภชนาการของใบ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 51 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 1.9 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 9.6 กรัม
เส้นใยอาหาร 3.2 กรัม
ไขมัน 0.6 กรัม
เถ้า 0.6 กรัม
น้ำ 84.1 กรัม
วิตามินเอ 7,333 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.7 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 29 มิลลิกรัม
แคลเซียม 27 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม

ชะมวง เป็นต้นที่คนไทยในยุคใหม่ไม่ค่อยรู้จักหรือนิยมนำมาใช้กันสักเท่าไหร่ ทว่าชะมวงกลับเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม และเป็นวัตถุดิบในอาหารได้หลายอย่าง อีกทั้งยังเป็นยาสมุนไพรชั้นดีและประกอบไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ชะมวงมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบและราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ ช่วยขับเสมหะ ดีต่อระบบเลือด แก้บิดและเป็นยาระบาย ถือเป็นต้นที่มีสรรพคุณที่ดีต่อลำคอเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นยังมีส่วนช่วยในการต้านโรคมะเร็งได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “ชะมวง (Cha Muang)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้าที่ 101.
การสำรวจความหลากหลายของพืชสมุนไพร จากตลาดพื้นเมืองทางภาคตะวันตกของประเทศไทย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pirun.kps.ku.ac.th/~b4816187/. [13 ม.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “ชะมวง”. อ้างอิงใน: หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [13 ม.ค. 2014].
สมุนไพรไทย-ภูมิปัญญาไทย มหาวิทยาลัยนเรศวร. “สมุนไพรไทยชะมวง”. (วชิราภรณ์ ทัพผา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th/46313433/Thaiherb/. [13 ม.ค. 2014].
พืชและสัตว์ท้องถิ่นภูพาน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. “ชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: pineapple-eyes.snru.ac.th/animal/pupan. [13 ม.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ชะมวง”. (อนงค์นาฏ ศรีบุญแก้ว). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [13 ม.ค. 2014].
บ้านทองเลี้ยงฟ้า จังหวัดอุดรธานี. “การปลูกชะมวงไร้สารพิษ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pkms9.com/TLP02.html. [13 ม.ค. 2014].
พรรณไม้สวนรุกขชาติห้างฉัตร. “ชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: lampang.dnp.go.th/Departments/Techical_Group/Hangchat_Arboretum/knowledge/plant/ชะมวง.pdf. [13 ม.ค. 2014].
โรงเรียนละหานทรายรัชดาภิเษก. “ชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.lrp.ac.th. [13 ม.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable. [13 ม.ค. 2014].
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [13 ม.ค. 2014].
งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนวารินชำราบ สพม. เขต 29. “ชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ict2.warin.ac.th/botany. [13 ม.ค. 2014].
อุตสาหกรรมรวมใจภักดิ์ ปลูกต้นไม้ฟื้นผืนดิน. “ต้นชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.treeforthai.com. [13 ม.ค. 2014].
ศูนย์ข้อมูลการแพทย์ทางเลือก. “องค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ลดไขมันของใบชะมวง”. (ดวงเพ็ญ ปัทมดิลก), สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: thaicamdb.info. [13 ม.ค. 2014].
กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 28 กุมภาพันธ์. “เภสัช ม.อ. ค้นพบใบชะมวงต้านมะเร็ง”. (รศ.ดร.ภก.ภาคภูมิ พาณิชยูปการนันท์ ผู้อำนวยการสถานวิจัยยาสมุนไพรและเทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.)). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bangkokbiznews.com. [13 ม.ค. 2014].
โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ ปีที่ 50 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “ชะมวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [7 ม.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : Medthai

กุ่มน้ำ เป็นยาระบาย บำรุงร่างกาย แก้ไข้ แก้นิ่ว แก้อัมพฤกษ์อัมพาต

0
กุ่มน้ำ เป็นยาระบาย บำรุงร่างกาย แก้ไข้ แก้นิ่ว แก้อัมพฤกษ์อัมพาต
กุ่มน้ำ เป็นไม้ยืนต้น ดอกมีสีขาวแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบค่อนข้างหนามีสีเขียวเป็นมัน
กุ่มน้ำ เป็นยาระบาย บำรุงร่างกาย แก้ไข้ แก้นิ่ว แก้อัมพฤกษ์อัมพาต
กุ่ม เป็นไม้ยืนต้น ดอกมีสีขาวแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบค่อนข้างหนามีสีเขียวเป็นมัน

กุ่มน้ำ

กุ่มน้ำ (Crataeva) เป็นไม้ยืนต้นที่มีใบและดอกสวยงามจึงเหมาะสำหรับการปลูกเป็นไม้ประดับ ยอดอ่อนนำมาปรุงเป็นอาหารได้ด้วยการดอง นอกจากนั้นยังเป็นต้นที่สามารถลดการกัดเซาะริมตลิ่ง และยังทนทานต่อน้ำท่วมขังได้ดีอีกด้วย ทว่าส่วนของกิ่งและใบมีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ก่อนนำมาใช้จึงต้องทำให้สุกเสียก่อน และส่วนต่าง ๆ สามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกุ่ม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Crateva religiosa G.Forst.
ชื่อสามัญ : กุ่ม น้ำ ชื่อ สามัญ “Crataeva”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กุ่มน้ำ” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ผักกุ่ม ก่าม ผักก่าม” จังหวัดสุพรรณบุรีและภาคตะวันตกเฉียงใต้เรียกว่า “อำเภอ” ชาวละว้าเชียงใหม่และภาคเหนือเรียกว่า “รอถะ” จังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “เหาะเถาะ” ชาวปะหล่องเรียกว่า “ด่อด้า”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กุ่ม (CAPPARACEAE หรือ CAPPARIDACEAE)
ชื่อพ้อง : Crataeva magna (Lour.) DC.

ลักษณะของต้นกุ่ม

ต้นกุ่ม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มักจะพบตามริมแม่น้ำ ข้างลำธาร หรือที่ชื้นแฉะในป่าเบญจพรรณ ตามริมน้ำลำธารในป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบ
เปลือกต้น : เปลือกต้นค่อนข้างเรียบ และมีสีเทา จะทำการผลัดใบร่วงหมดทั้งต้นเมื่อออกดอก
ใบ : เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ แผ่นใบค่อนข้างหนา มีสีเขียวเป็นมัน ด้านล่างใบมีสีอ่อนกว่าด้านบน มีใบย่อย 3 ใบ หูใบเล็ก และร่วงได้ง่าย ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปใบหอกหรือขอบขนาน ใบย่อยที่อยู่ด้านข้างโคนใบจะเบี้ยวเล็กน้อย ใบกุ่มมีเส้นแขนงของใบข้างละประมาณ 9 – 20 เส้น เส้นใบสามารถมองเห็นได้ชัดจากด้านล่าง เมื่อใบแห้งจะมีสีค่อนข้างแดง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบกระจะถี่ มักจะออกตามยอด ในหนึ่งช่อมีหลายดอก กลีบเลี้ยงมีลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายแหลม กลีบดอกมีสีขาวแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบมีลักษณะค่อนข้างกลมถึงวงรี ดอกมีรังไข่เป็นรูปวงรีหรือรูปทรงกระบอก มีอยู่ 1 ช่อง มักจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปกลมวงรี มีเปลือกหนา ผลหรือเปลือกมีสีนวลหรือสีเหลืองอมเทา เมื่อสุกจะเป็นสีเทา ผลแก่ผิวจะเรียบ ด้านในผลมีเมล็ดมาก
เมล็ด : มีลักษณะเป็นรูปเกือกม้า มีขนาดกว้างและยาวเท่ากัน เมล็ดมีสีน้ำตาลเข้ม

สรรพคุณของกุ่ม

  • สรรพคุณจากเปลือกต้น เป็นยาบำรุงร่างกาย เป็นยาบำรุงกำลังของสตรี ช่วยแก้กษัย แก้ในกองลม เป็นยาตัดลมในลำไส้ ช่วยแก้ไข้ ช่วยแก้อาเจียน ช่วยแก้ลมทำให้เรอ ช่วยขับเหงื่อ เป็นยาระบาย ช่วยขับพยาธิ ช่วยแก้ริดสีดวง ช่วยขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับน้ำดี ช่วยขับน้ำเหลืองเสียในร่างกาย เป็นยาช่วยระงับพิษที่ผิวหนัง ทำเป็นยาลูกกลอนช่วยแก้อัมพฤกษ์และอัมพาต
    – ช่วยแก้อาการสะอึก ช่วยขับผายลม เป็นยาขับลม ด้วยการนำเปลือกต้นผสมกับเปลือกกุ่มบก เปลือกทองหลางใบมน แล้วต้มเป็นน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากแก่น ช่วยแก้นิ่ว
    – ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย ด้วยการนำแก่นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาบำรุงกำลังของสตรี ช่วยแก้อาการปวดท้อง ช่วยขับหนอง
    – เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย ด้วยการนำรากมาแช่น้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยทำให้เจริญอาหาร เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย แก้ลมขึ้นเบื้องสูง ช่วยแก้ไข้ ช่วยขับเหงื่อ ช่วยแก้อาการสะอึก ช่วยขับผายลม เป็นยาขับลม เป็นยาระบาย ช่วยขับพยาธิ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ช่วยแก้อาการปวดเส้น แก้โรคไขข้ออักเสบ แก้อัมพาต เป็นยาทาภายนอก เป็นยาถูนวดให้เลือดมาเลี้ยงทั่วบริเวณที่นวด
  • สรรพคุณจากผล ช่วยแก้ไข้
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้อาการเจ็บในตา ช่วยแก้อาการเจ็บตา ช่วยแก้อาการเจ็บในลำคอ ช่วยแก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัว
  • สรรพคุณจากกระพี้ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร

ประโยชน์ของกุ่ม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนใช้ปรุงเป็นอาหารได้ด้วยการนำมาดองน้ำเกลือตากแดด นำดอกและใบอ่อนมาดองหรือต้มใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือนำมาทำแกงอ่อมได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ
3. ใช้ในการเกษตร สามารถช่วยลดการกัดเซาะริมตลิ่งได้ และทนทานต่อน้ำท่วมขังอีกด้วย
4. เป็นความเชื่อ เชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวมีฐานะ มีเงินเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนชื่อของต้นกุ่ม
5. เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม ไม้กุ่มเป็นไม้เนื้ออ่อนจึงนำมาใช้ในงานแกะสลักอย่างพวกเครื่องดนตรีไทย ลำต้นนำมาใช้ทำเป็นไหข้าวได้

คุณค่าทางโภชนาการของผักกุ่มดอง

คุณค่าทางโภชนาการของผักกุ่มดอง ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 88 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 15.7 กรัม 
โปรตีน 3.4 กรัม
เส้นใย 4.9 กรัม
ไขมัน 1.3 กรัม
น้ำ 73.4 กรัม
วิตามินเอ 6,083 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.08 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.25 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.5 มิลลิกรัม 
วิตามินซี 5 มิลลิกรัม
แคลเซียม 124 มิลลิกรัม
เหล็ก 5.3 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม

ข้อควรระวังของกุ่มน้ำ

1. กิ่งและใบมีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ซึ่งเป็นพิษ ไม่ควรใช้รับประทานสดแต่ควรทำให้สุกก่อน
2. ใบแก่มีพิษ ดังนั้นไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป ไม่งั้นใบจะมีฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนโลหิต ทำให้อาเจียน มึนงง ไม่รู้สึกตัว มีอาการหายใจลำบาก กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย กระตุก ชักก่อนจะหมดสติ

กุ่มน้ำ เป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาและเป็นพิษต่อร่างกาย เหมือนดาบสองคมแต่ถ้าใช้อย่างถูกต้องก็จะเป็นยาสมุนไพรที่ดีชนิดหนึ่ง นอกจากนั้นสามารถนำมาปลูกประดับได้เพราะมีดอกและใบสวยงาม และยังเป็นไม้ที่ช่วยในการกัดเซาะริมตลิ่งได้ เหมาะอย่างมากในการปลูกไว้ริมน้ำ กุ่มน้ำมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเปลือกต้นและใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงร่างกาย แก้ไข้ เป็นยาระบาย แก้นิ่วและแก้อัมพฤกษ์อัมพาตได้ ค่อนข้างเป็นต้นที่ดีต่อระบบขับถ่ายเป็นอย่างมาก

สนใจสั่งซื้ออาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยคลิ๊ก Line: @ amprohealth

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [6 ต.ค. 2013].
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [6 ต.ค. 2013].
๑๐๘ พรรณไม้ไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [6 ต.ค. 2013].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [6 ต.ค. 2013].
ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [6 ต.ค. 2013].
เกษตรอินทรีย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: kasetintree.com. [6 ต.ค. 2013].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [6 ต.ค. 2013].
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: smc.ssk.ac.th. [6 ต.ค. 2013].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : Medthai