พุทธรักษา ไม้มงคลวันพ่อ ดอกสีสันสวยงาม ดีต่อระบบเลือดในร่างกาย

0
พุทธรักษา ไม้มงคลวันพ่อ ดอกสีสันสวยงาม ดีต่อระบบเลือดในร่างกาย
พุทธรักษา เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน เหง้าสามารถรับประทานได้ ดอกมีหลากสี ผลเปลือกนอกเป็นสีเขียวและมีขนหรือหนามอ่อนคล้ายกับลูกละหุ่งหรือลูกเร่ว
พุทธรักษา ไม้มงคลวันพ่อ ดอกสีสันสวยงาม ดีต่อระบบเลือดในร่างกาย
พุทธรักษา เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน เหง้าสามารถรับประทานได้ ดอกมีหลากสี ผลเปลือกนอกเป็นสีเขียวและมีขนหรือหนามอ่อนคล้ายกับลูกละหุ่งหรือลูกเร่ว

พุทธรักษา

พุทธรักษา (Indian shot) เป็นต้นที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงพอสมควรเพราะเป็นดอกไม้มงคลที่มักจะนำมาใช้ในวันพิเศษของไทย มีจุดเด่นอยู่ที่ดอกหลากสีสัน ทั้งสีแดง สีแดงอมเหลือง สีส้ม สีเหลือง สีชมพูและสีขาว มีเหง้าที่สามารถนำมารับประทานได้หลายรูปแบบเช่นเดียวกับเผือกและมัน เป็นส่วนประกอบในอาหารที่นิยมของชาวมาเลเซียและชาวอินเดีย นอกจากนั้นยังเป็นต้นที่สามารถเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม วัตถุดิบทางการเกษตร และเป็นไม้ปลูกประดับทั่วไปได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของพุทธรักษา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Canna indica L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Indian shot” “India short plant” “India shoot” “Butsarana” “Cannas” “Canna lily”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “สาคูหัวข่า สาคูมอญ” ภาคเหนือเรียกว่า “พุทธสร” จังหวัดลำปางเรียกว่า “บัวละวงศ์” จังหวัดลพบุรีเรียกว่า “บัวละวง” พายัพเรียกว่า “พุทธศร” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ปล้ะย่ะ” คนจีนเรียกว่า “กวงอิมเกีย เซียวปาเจีย มุยหยิ่งเจีย” จีนกลางเรียกว่า “เหม่ยเหยินเจียว เสี่ยวปาเจียว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ CANNACEAE

ลักษณะของพุทธรักษา

พุทธรักษา เป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อนอายุหลายปีที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย แอฟริกา และอเมริกา มีการกระจายพันธุ์อยู่ในป่าเมืองไทยหลายชนิด มักจะพบขึ้นตามป่าดงดิบ ป่าดงดิบแล้งในที่ลุ่ม หรือตามลำห้วย
ต้น : มักจะขึ้นรวมกันเป็นกอและเป็นต้นเดี่ยวไม่แตกกิ่งก้านสาขา จะมีข้อแต่ค่อนข้างห่างกัน ลำต้นมีความเหนียวและอุ้มน้ำ มีเหง้าหัวสีขาวแตกแขนงอยู่ใต้ดิน ลำต้นเทียมบนดินจะเกิดจากใบเรียงซ้อนเป็นลำตรงกลม ทั้งต้นไม่มีขนปกคลุม
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนาน รูปวงรีแกมขอบขนานกว้าง หรือวงรียาว ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบเป็นสีเขียว สีแดง สีเขียวขลิบแดงหรือสีม่วงเข้ม ภายในเป็นสีอมม่วงแดง แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม เส้นใบคล้ายขนนก กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัด มีก้านใบยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน
ดอก : ดอกมีหลายสี เช่น สีแดง สีแดงอมเหลือง สีส้ม สีเหลือง สีชมพู สีขาว สามารถออกดอกได้ตลอดปี โดยจะออกเป็นช่อบริเวณปลายยอดของลำต้น ก้านช่อดอกยาว มีดอกย่อยประมาณ 8 – 10 ดอก ช่อดอกมีรูปคล้ายทรงกระบอก เมื่อดอกบานจะแตกออกเป็น 3 กลีบ ปลายกลีบแหลม มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ เป็นสีเขียวอ่อนและมีขนาดเล็กหุ้มอยู่บริเวณโคนดอก เป็นรูปไข่กลมวงรี ดอกมีผงเทียนไขปกคลุม มีเกสรเพศผู้เป็นหมัน กลีบดอกเป็นสีส้มแดง
ผล : เป็นผลแห้ง ลักษณะเป็นรูปทรงกลม เป็นพู 3 พู เปลือกนอกเป็นสีเขียวและมีขนหรือหนามอ่อนคล้ายกับลูกละหุ่งหรือลูกเร่ว
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดสีขาวหลายเมล็ด พอแก่จะเป็นสีน้ำตาลมัน

สรรพคุณของพุทธรักษา

  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – แก้อาการปวดศีรษะ โดยชาวชวานำเมล็ดมาบดให้เป็นผงใช้พอกบริเวณขมับ
  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาช่วยสงบจิต ทำให้หัวใจสดชื่น เป็นยาขับพิษร้อน ขับน้ำชื้นในร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิต
    – ห้ามเลือด รักษาบาดแผลสด รักษาบาดแผลมีหนอง แก้ฝีหนอง ด้วยการนำดอกสดมาตำให้ละเอียดใช้พอกแผล
    – ห้ามเลือดบาดแผลภายนอก ด้วยการนำดอกแห้ง 10 – 15 กรัม มาต้มกับน้ำกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากเหง้า แก้วัณโรค แก้อาการไอ เป็นยาบำรุงปอด ช่วยแก้โรคบิด แก้บิดเรื้อรัง ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ เป็นยาตำพอกรักษาแผลอักเสบบวม ช่วยสมานแผล แก้ฝีหนองปวดบวม แก้ฟกช้ำ
    – ขับเหงื่อปัสสาวะในอาการไข้และอาการบวมน้ำ โดยชาวอินเดียนำเหง้ามาเป็นยา
    – แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้กระอักเลือด แก้ไอมีเลือด ด้วยการนำเหง้ามาต้มกินเป็นยา
    – ช่วยแก้อาการปวดฟัน ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี ด้วยการนำเหง้าแห้งผสมกับข้าวเหนียว แล้วนำมาตุ๋นกับไก่กิน
    – แก้อาการท้องร่วง โดยชาวชวานำเหง้ามาคั้นเอาน้ำเป็นยา
    – แก้ประจำเดือนมาไม่หยุดของสตรี ด้วยการนำเหง้ากับดอกเข็มมาตุ๋นร่วมกับไก่กิน หรือนำเหง้าแห้งผสมกับข้าวเหนียวตุ๋นกับไก่กินเป็นยา
    – แก้โรคตับอักเสบ แก้ตับอักเสบติดเชื้อ แก้ตับอักเสบอย่างเฉียบพลันแบบดีซ่าน แก้อาการตัวเหลือง ด้วยการนำเหง้าสดมาต้มกับน้ำ แบ่งกินวันละ 2 เวลา เช้าและเย็น ติดต่อกัน 20 วัน ในระหว่างการรักษาห้ามกินกุ้ง ปลา ของเผ็ด จิงฉ่าย และน้ำมันพืช
    – แก้คุดทะราด ทำความสะอาดบาดแผล โดยชาวกัมพูชานำเหง้ามาต้มและคั้นเอาแต่น้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้อาเจียน ช่วยแก้อาการจุกเสียด แก้ท้องเสีย

ประโยชน์ของพุทธรักษา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เหง้านำมาใช้ประกอบอาหารได้เช่นเดียวกับเผือกและมัน ชาวมาเลเซียนำเหง้าปรุงเป็นอาหาร ลำต้นใต้ดินหรือเหง้านำมาใช้ทำแป้งที่เรียกว่า Canna starch ได้
2. ใช้ในการเกษตร ชาวอินเดียนำก้านใบผสมกับข้าว พริกไทยและน้ำมาต้มให้เดือดเป็นยาแก้พิษเนื่องจากไปกินหญ้ามีพิษของวัว ใบและกาบใบนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยหมัก
3. เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรม ใยจากก้านใบนำมาใช้แทนปอกระเจาได้ในอุตสาหกรรมทำเชือกและถุงเท้า ใบนำมาใช้ในการมุงหลังคา ทำกระทง และทำเชือก เมล็ดนำมาใช้ทำเป็นสร้อยและร้อยเป็นสายประคำ ชาวสเปนนำเมล็ดมาทำลูกปัด ชาวซิมบับเวนำมาใช้ทำเครื่องดนตรีที่ชื่อว่าฮอชฮา (Hosha) ใบใช้ทำเป็นกระดาษสา ใช้ห่อของ และให้สีจากธรรมชาติได้ การสกัดสีจากใบพุทธรักษานั้นมีการนำมาใช้แต่งงานศิลปะ วาดภาพ และพิมพ์ภาพ กาบใบนำมาตากแดดให้แห้งใช้ประดิษฐ์เป็นของใช้หรือของเล่น ดอกนำมาสกัดสีทำเป็นสีสำหรับย้อมผ้าได้ ส่วนมากนิยมใช้ตัดดอกปักแจกัน
4. ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป ปลูกตามริมสวนน้ำ ริมคูน้ำที่โล่งแจ้ง ตามร่องระบายน้ำ ริมถนนทางเดิน หรือปลูกลงในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน
5. เป็นไม้มงคล ดอกพุทธรักษาสีเหลืองเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อ และเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดชุมพรด้วย
6. เป็นความเชื่อ คนไทยโบราณเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้เป็นไม้ประจำบ้าน จะช่วยปกป้องคุ้มครองไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายใด ๆ

พุทธรักษา เป็นไม้มงคลที่มีดอกหลายสีสวยงาม เหมาะสำหรับปลูกประดับเป็นอย่างมาก นอกจากความงามแล้วนั้นยังเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในอุตสาหกรรมได้มากมาย พุทธรักษามีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเหง้า มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ปวดหัว ลดความดันเลือด บำรุงปอด ช่วยแก้โรคบิด แก้โรคตับอักเสบ แก้ตับอักเสบติดเชื้อ แก้ประจำเดือนและอาการตกขาวของผู้หญิงได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถือว่าพุทธรักษาเป็นต้นที่ดีต่อระบบเลือดในร่างกายเป็นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “พุทธรักษา (Phut Ta Raksa)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 198.
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “พุทธรักษา”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 567-568.
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “พุทธรักษา”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 396.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ที่ใช้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “พุทธรักษา” [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [07 พ.ค. 2014].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 10 คอลัมน์: สมุนไพรน่ารู้. “พุทธรักษา”. (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [07 พ.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนอุดมศึกษา. “การศึกษาดอกพุทธรักษา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.udomsuksa.ac.th/Latphrao/Knowledge/Botanical/botanic01.asp. [07 พ.ค. 2014].
มหาวิทยาลัยขอนแก่น. “บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: home.kku.ac.th/pgorpa/fran.htm. [07 พ.ค. 2014].
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “เรื่องพุทธรักษา”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [07 พ.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “พุทธรักษา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb.htm. [07 พ.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : Medthai

โลควอท ผลไม้ช่วยลดความดันโลหิตและควบคุมน้ำหนัก

0
โลควอท ผลไม้ช่วยลดความดันโลหิตและควบคุมน้ำหนัก
โลควอท ผลไม้ลดความดันโลหิต ป้องกันโรคเบาหวานและลดน้ำหนักได้
โลควอท หรือปี่แป๋ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกมีกลิ่นหอม ผลกลมมน ผลดิบสีเขียวสุกแล้วเป็นสีเหลืองหรือสีส้มเหลือง เนื้อหวานฉ่ำโลควอท

โลควอท

โลควอท (Loquat) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ปี่แป๋ เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดจากภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนและตอนใต้ของญี่ปุ่น ลักษณะของผลโลควอทคล้ายการผสมผสานระหว่างมะม่วงและลูกพีช ทั้งในด้านรูปร่างและรสชาติ ใบและผลของโลควอทอุดมไปด้วยสารไฟโตเคมิคอลที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น แคโรทีนอยด์ ฟีนอลิกส์ ฟลาโวนอยด์ วิตามินซี และเทอร์พีนอยด์ รวมถึงแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินเอในปริมาณสูง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโลควอท

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eriobotrya japonica
ชื่อสามัญ : Loquat
ชื่อวงศ์ : Rosaceae loquats

ลักษณะของโลควอท

ลักษณะของโลควอทโลควอท หรือปี่แป๋ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงประมาณ 5-10 เมตร ใบเขียวชอุ่มตลอดปีเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย โตเร็ว ชอบอากาศร้อน
ลำต้น : โลควอทมีลำต้นสั้น
ใบ : ใบโลควอทมีขนาดใบกว้าง 3-4 นิ้ว ยาว 5-12 นิ้ว สีเขียวเข้ม ผิวใบด้านบนมันวาว ผิวใต้ใบมีสีขาวมีขนแข็ง ใบจะเรียงสลับกันตามกิ่งก้าน
ดอก : ดอกโลควอทมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ดอกสีขาว มีห้ากลีบ และออกเป็นช่อแข็ง3-10 ดอก ดอกไม้มีกลิ่นหอม สามารถได้กลิ่นจากระยะไกล
ผล : ผลกลมมน หรือวงรีออกเป็นพวงประมาณ 10-20 ผล ผลจะมีสีเขียวแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีส้มเหลือง ยาว 4-5 เซนติเมตร เนื้อหวานฉ่ำโลควอท
เมล็ด : เมล็ดมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลอ่อน มีประมาณ 3-5 เมล็ด ด้านหนึ่งปลายเมล็ดมนและอีกด้านมุมเหลี่ยม

สรรพคุณของโลควอท

สรรพคุณของโลควอทตำรายาพื้นบ้านชาวจีนนิยมนำผล เมล็ด และใบของโลควอทใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อาทิเช่น
1.ผลสดโลควอทมีโพแทสเซียมจำนวนมาก ช่วยขยายหลอดเลือดในระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงลดความเครียดที่เกิดขึ้นกับหลอดเลือดและหลอดเลือดแดงได้
2.ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
3.ช่วยขับเสมหะ ลดอาการไอ
4.ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย
5.ช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว
6.ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย
7.ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้การขับถ่ายง่ายขึ้น ลดน้ำหนักได้ และกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
8.ช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
9.ช่วยเสริมสร้างกระดูก
10.ใบชาโลควอท สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยควบคุมระดับอินซูลินและกลูโคส ป้องกันโรคเบาหวาน
11.การดื่มชาโลควอทช่วยลดระดับ LDL หรือคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้เหมาะสม
12.ช่วยเร่งการเผาผลาญของร่างกาย
13.ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
14.ผลไม้โลควอทช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อม
15.ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาอักเสบจากตาแห้ง ต้อกระจกและต้อหิน
16.ช่วยลดความดันโลหิตและช่วยปกป้องหัวใจ

คุณค่าทางโภชนาการของโลควอท 100 กรัม (ผลดิบ)

โลควอท 100 กรัมให้พลังงาน 47 แคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
น้ำ 86.73 กรัม
ใยอาหาร 1.7 กรัม
เถ้า 0.5 กรัม
โปรตีน 0.43 กรัม
ไขมันทั้งหมด 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 12.41 กรัม
แคลเซียม 16 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.28 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 13 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 266 มิลลิกรัม

อย่างที่ทราบกันดีว่า ชาใบโลควอท (Biwa Cha) เป็นชาสมุนไพรแบบดั้งเดิม มีรสหวานอ่อนๆ มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ เทคนิคการชงชาใบโลควอทให้อร่อยง่ายๆ เทน้ำร้อน 1 แก้ว แล้วนำใบชาใส่ประมาณ 2 ช้อน รอประมาณ 3 นาที สังเกตสีของน้ำชาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงอ่อน กลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม ดื่มทุกเช้าดีต่อสุขภาพใบโลควอทมีสารที่เรียกว่า Amygdalin และเป็นที่ทราบกันดีว่าช่วยป้องกันความผิดปกติของตับ รวมถึงสามารถขับสารพิษภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

กะทกรก ยาดีต่อคนเป็นซึมเศร้า ช่วยระงับความเครียด ดีต่อความจำ

0
กะทกรก ยาดีต่อคนเป็นซึมเศร้า ช่วยระงับความเครียด ดีต่อความจำ
กะทกรก หรือกะทกรกป่า เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีกลิ่นเหม็นเขียว ดอกสีขาว มีเส้นฝอยโคนม่วง ต้นสดมีรสเบื่อเมา ผลสุกที่ส้ม รสหวาน
กะทกรก ยาดีต่อคนเป็นซึมเศร้า ช่วยระงับความเครียด ดีต่อความจำ
กะทกรก หรือกะทกรกป่า เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีกลิ่นเหม็นเขียว ดอกสีขาว มีเส้นฝอยโคนม่วง ต้นสดมีรสเบื่อเมา ผลสุกที่ส้ม รสหวาน

กะทกรก

กะทกรก (Fetid passionflower) หรือกะทกรกป่า เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีกลิ่นเหม็นเขียว ดอกเป็นสีขาวและมีเส้นฝอยโคนม่วงทำให้ดูสวยงาม สามารถนำมาทานเป็นผักต้มหรือลวก และนำมาใช้ในการเกษตรเพราะมีฤทธิ์ป้องกันแมลงศัตรูพืช รวมถึงเป็นพืชคลุมดินได้ ทว่าทั้งต้นสดมีรสเบื่อเมาและเป็นพิษ หากนำมากินอาจทำให้เสียชีวิตได้ จึงต้องนำมาต้มก่อน กะทกรกเป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาได้จากทุกส่วน แพทย์ชาวเวียดนามนิยมนำมาใช้ในการระงับความเครียดได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกะทกรก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Passiflora foetida L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Fetid passionflower” “Scarletfruit passionflower” “Stinking passion flower”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “รก” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักแคบฝรั่ง” ภาคใต้เรียกว่า “กระโปรงทอง” จังหวัดเลยเรียกว่า “ผักขี้หิด” จังหวัดเพชรบูรณ์เรียกว่า “รุ้งนก” จังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “เงาะป่า” จังหวัดชัยนาทเรียกว่า “เถาเงาะ เถาสิงโต” จังหวัดอุบลราชธานีเรียกว่า “ยันฮ้าง” จังหวัดอุดรธานีเรียกว่า “เยี่ยววัว” จังหวัดสกลนครเรียกว่า “ผักบ่วง” จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์เรียกว่า “หญ้าถลกบาต” จังหวัดศรีสะเกษเรียกว่า “เครือขนตาช้าง” จังหวัดชลบุรีเรียกว่า “ตำลึงฝรั่ง ตำลึงทอง ผักขี้ริ้วห่อทอง” จังหวัดระนองเรียกว่า “รกช้าง” จังหวัดพังงาเรียกว่า “หญ้ารกช้าง” ชาวมลายูนราธิวาสและจังหวัดปัตตานีเรียกว่า “ละพุบาบี” ชาวขมุเรียกว่า “ผักแคบฝรั่ง” ชาวม้งเรียกว่า “มั้งเปล้า” กะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “หล่อคุ่ยเหมาะ” คนจีนเรียกว่า “เล่งจูก้วย เล้งทุงจู” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “รังนก กะทกรกป่า”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กะทกรก (PASSIFLORACEAE)

ลักษณะของกะทกรก

กะทกรก เป็นไม้เถาเลื้อยอายุประมาณ 2 – 5 ปี
ลำต้น : มีมือสำหรับใช้ยึดเกาะ มีขนขึ้นปกคลุมอยู่ทุกส่วน ทุกส่วนของลำต้นเมื่อนำมาขยี้จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเขียว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปหัว ปลายใบแหลม โคนใบเว้า ขอบใบเว้าเป็น 3 แฉก แผ่นใบมีขนสีน้ำตาลขนาดเล็กขึ้นทั้งสองด้าน ที่ขนมีน้ำยางเหนียว
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ มีกลีบดอก 10 กลีบ กลีบดอกด้านนอกเป็นสีเขียวอ่อน ด้านในเป็นสีขาว มีกระบังรอบเป็นเส้นฝอยสีขาวโคนม่วง กลีบเลี้ยงของดอกเป็นเส้นฝอย ดอกมีก้านชูเกสรร่วม
ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม เมื่ออ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมสีส้ม มีใบประดับเส้นฝอยคลุมอยู่ ภายในผลมีเนื้อหุ้มเมล็ดใสและฉ่ำน้ำ มีรสหวานแบบปะแล่ม ๆ มักจะออกผลในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน

สรรพคุณของกะทกรก

  • สรรพคุณจากกะทกรก ช่วยลดอาการซึมเศร้า ลดความจำบกพร่อง
    – ช่วยแก้อาการเหน็บชา ด้วยการนำมาสับตากแดด แล้วต้มกิน
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาชูกำลัง ช่วยทำให้แผลเน่าเปื่อยแห้ง
    – ช่วยแก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการนำเปลือกมาตำเคี่ยวกับน้ำมะพร้าว
  • สรรพคุณจากเนื้อไม้ เป็นยาคุมธาตุในร่างกาย ช่วยถอนพิษเบื่อเมาทุกชนิด ช่วยรักษาบาดแผล
  • สรรพคุณจากเถา เป็นยาธาตุ เป็นยาพอกรักษาแผล
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้ความดันโลหิตสูง ช่วยแก้กามโรค
    – ช่วยทำให้สดชื่น ด้วยการนำรากสดหรือรากตากแห้งมาชงกับน้ำดื่มเป็นชา
    – แก้ไข้ แก้ไข้จับสั่น แก้ปัสสาวะขุ่นข้น ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากผล ช่วยบำรุงปอด ช่วยรักษาบาดแผล ช่วยแก้อาการปวด
  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยแก้อาการไอ ช่วยขับเสมหะ เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการบวม แก้อาการบวมที่ไม่รู้สาเหตุ
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้อาการไอ ช่วยขับเสมหะ เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยรักษาบาดแผล ฆ่าเชื้อบาดแผล ช่วยแก้อาการบวม
    – ช่วยระงับความเครียดและความวิตกกังวล โดยแพทย์ชาวเวียดนามนำใบแห้งประมาณ 10 – 15 กรัม ต่อวัน มาต้มกับน้ำกิน
    – ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ช่วยแก้อาการหวัด แก้คัดจมูก ด้วยการนำใบมาตำใช้พอกหรือประคบที่ศีรษะ
    – เป็นยาเบื่อและยาขับพยาธิ ด้วยการนำใบมาตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำดื่มเป็นยา
    – รักษาโรคผิวหนัง แก้อาการคัน แก้หิด แก้หืด ด้วยการนำใบสดมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำพอสมควร แล้วทาวันละ 3 – 4 ครั้ง
    – รักษาสิว ด้วยการนำใบมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำใช้พอก
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้อาการไอ เป็นยาขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – แก้เด็กที่มีอาการท้องอืดเฟ้อ ช่วยทำให้ผายลม ด้วยการนำเมล็ดมาตำให้ละเอียด ใช้ผสมกับน้ำส้มและรมควันให้อุ่น เอาไปทาท้องเด็ก

ประโยชน์ของกะทกรก

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ผลอ่อน ผลสุก และผลแก่นำมาใช้ทานเป็นผักสด ต้มหรือลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริกและแกงเลียง ส่วนผลนำมาปั่นเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มได้
2. ใช้ในด้านทางการเกษตร มีสารพิษชื่อว่า Cyanpgenetic glycosides ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นยาฆ่าและป้องกันแมลงศัตรูพืชได้โดยเฉพาะตัวด้วงถั่วเขียว ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดินและทำปุ๋ยหมักได้
3. เป็นส่วนประกอบในเม็ดยา เป็นยาสมุนไพรที่เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุได้

ข้อควรระวังของกะทกรก

1. ทั้งต้นสดมีรสเบื่อเมาและเป็นพิษ หากนำมากินอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นก่อนนำมาทานควรต้มให้สุกก่อน
2. ผลอ่อนมีพิษ เนื่องจากมีสารไซยาโนจีนิก ไกลโคไซด์ (Cyanogenetic glucoside) ซึ่งมีความเป็นพิษ ที่เปลือกผล เมล็ดและใบมีสารที่ไม่คงตัวอยู่ เมื่อสารดังกล่าวสลายตัวจะทำให้ Acetone และ Hydrocyanic acid ซึ่งเป็นกรดมีพิษ จะมีผลทำให้เม็ดเลือดแดงขาดออกซิเจน และทำให้เกิดอาการอาเจียนได้

กะทกรก ทั้งต้นเป็นยาและก็เป็นพิษด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนนำมาใช้ทานไม่ว่าจะในรูปแบบของอาหารหรือยาสมุนไพร ควรนำมาต้มหรือลวกให้สุกเสียก่อน ซึ่งความเป็นพิษเหล่านี้กลับเป็นประโยชน์ต่อการเกษตรในการไล่แมลงศัตรูพืชได้ กะทกรกมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบและทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยลดอาการซึมเศร้า ลดความเครียด ลดความจำบกพร่อง แก้ไข้ บำรุงปอด แก้ความดันเลือดสูง บำรุงหัวใจและรักษาบาดแผลได้ เหมาะอย่างมากในการนำมาเป็นยาให้กับผู้สูงอายุหรือคนที่มีอาการซึมเศร้า ทั้งนี้ไม่รับประกันว่าจะได้ผลแน่นอนนัก ทว่ากะทกรกก็เป็นหนทางหนึ่งในการช่วยลดความเครียดและโรคซึมเศร้า ซึ่งถือเป็นโรคที่คนในยุคปัจจุบันมักจะเป็นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “กะทกรก Ka Thok Rok“. หน้าที่ 42.
ข้อมูลพรรณไม้ สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กะทกรก“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [8 ม.ค. 2014].
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กะทกรก“. (ไพร มัทธวรัตน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: clgc.rdi.ku.ac.th. [8 ม.ค. 2014].
ศูนย์วิจัยสมุนไพรภาคเหนือ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. “กะทกรก“. (รศ.ดร.ภญ.พาณี ศิริสะอาด). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.cmu.ac.th. [8 ม.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “กะทกรกป่า“. (อนงค์นาฏ ศรีบุญแก้ว). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [8 ม.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “กะทกรก“. อ้างอิงใน: หนังสือผักพื้นบ้านภาคใต้ (สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [8 ม.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “กะทกรก“. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [8 ม.ค. 2014].
มหาวิทยาลัยนเรศวร. “สมุนไพรไทยกะทกรก“. (วชิราภรณ์ ทัพผา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: student.nu.ac.th. [8 ม.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “กะทกรก“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [8 ม.ค. 2014].
โครงการฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในโรงเรียน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “กะทกรก ตำลึงทอง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: copper.msu.ac.th. [8 ม.ค. 2014].
สวนพฤกษศาสตร์ โรงเรียนทุ่งโพวิทยา. “กระทกรก“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: botany.hostzi.com. [8 ม.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : Medthai

โสน ไม้ประดิษฐ์ของคนโบราณ ดอกมากสรรพคุณ ช่วยบำรุงกระดูกและสมอง

0
โสน ไม้ประดิษฐ์ของคนโบราณ ดอกมากสรรพคุณ ช่วยบำรุงกระดูกและสมอง
โสน มีดอกสีเหลืองช่อกระจุก รสหวานเล็กน้อย อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุมากมาย ฝักอ่อนกลมยาวขนาดเล็กสีเขียว
โสน ไม้ประดิษฐ์ของคนโบราณ ดอกมากสรรพคุณ ช่วยบำรุงกระดูกและสมอง
โสน มีดอกสีเหลืองช่อกระจุก รสหวานเล็กน้อย อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุมากมาย ฝักอ่อนกลมยาวขนาดเล็กสีเขียว

โสน

โสน (Sesbania) เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่มีดอกสีเหลืองสวยอร่ามอยู่บนต้น ดอกมีรสหวานเล็กน้อยจึงนิยมนำมาทำอาหารคาว ชุบแป้งทอด หรือทำเป็นขนมหวานก็ได้เช่นกัน แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุมากมาย ในปัจจุบันเรามักจะพบโสนในรูปแบบของชา ซึ่งจะนำใบและดอกโสนมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพใช้ดื่ม นอกจากนั้นส่วนต่าง ๆ ของต้นยังใช้ภายนอกในการรักษาและใช้ภายในเป็นยาสมุนไพรได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโสน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesbania javanica Miq.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Sesbania” “Sesbanea pea” “Sesbania flowers”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “โสนกินดอก โสนหิน โสนดอกเหลือง” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักฮองแฮง” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “สี่ปรีหลา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของต้นโสน

โสน เป็นไม้พุ่มหรือไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุ 1 ปี ที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชียจากอินเดียไปทางตะวันออกจนถึงประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มักจะพบตามพื้นที่ที่มีน้ำขัง แถบลุ่มน้ำ ริมทาง ริมหนองน้ำ คลองบึง หรือลำประดง
ลำต้น : เปลือกลำต้นเรียบ เป็นเหลี่ยมหรือมีร่องละเอียดตามความยาวของลำต้น เนื้อไม้อ่อนและกลวง
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกันบนลำต้น แต่ละช่อใบจะมีใบย่อยประมาณ 10 – 30 คู่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปกลมหรือรูปวงรีแกมขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียว หลังใบและท้องใบเรียบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อเชิงลดหรือช่อกระจุก โดยจะออกตามซอกใบ ซอกกิ่ง และปลายกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ บางครั้งกลีบด้านนอกมีจุดเป็นกระสีน้ำตาลหรือสีม่วงแดงกระจาย กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว มักจะออกดอกมากในช่วงปลายฤดูฝน ประมาณช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม
ผล : ผลมีลักษณะเป็นฝักกลมยาวขนาดเล็ก ฝักอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะกลายเป็นสีม่วงและสีน้ำตาล พอฝักแก่จะแตกออกเองตามขวางของฝัก
เมล็ด : ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กหลายเมล็ดเรียงอยู่ เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม เป็นมันเงาสีน้ำตาล เมื่อออกดอกและติดเมล็ด ต้นจะค่อย ๆ เหี่ยวแห้งและตาย

สรรพคุณของโสน

  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาแก้พิษร้อน ถอนพิษไข้ เป็นยาสมานลำไส้ แก้อาการปวดมวนท้อง เป็นยาถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยหยุดยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยระงับการอักเสบ ช่วยบำรุงกระดูกและสมอง ช่วยบำรุงโลหิต
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ
  • สรรพคุณจากต้น
    – เป็นยาขับปัสสาวะ โดยแพทย์แผนโบราณนำต้นมาเผาให้เกรียม แล้วนำมาแช่น้ำให้เป็นด่าง ใช้ดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบ
    – เป็นยาพอกแผล ด้วยการนำใบมาตำเป็นยาพอก
    – แก้ปวดฝี ช่วยถอนพิษ ด้วยการนำใบมาตำผสมกับดินประสิวและดินสอพอง ใช้เป็นยาพอก

ประโยชน์ของต้นโสน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นิยมนำดอกมาทานเป็นผักหรือนำมาใช้ประกอบทำอาหารคาว เช่น ดอกโสนผัดน้ำมันหอย ดอกโสนผัดไข่ ดอกโสนลวกจิ้มกับน้ำพริกกะปิ ดอกโสนชุบแป้งทอดกรอบ แกงส้มดอกโสนกับปลาช่อน ดอกโสนแกงใส่ไข่มดแดง เป็นต้น นอกจากนั้นยังนำมาประกอบอาหารหวานได้ เช่น ข้าวเหนียวมูนดอกโสน ขนมดอกโสน ขนมขี้หนู ขนมบัวลอย เป็นต้น สามารถนำดอกมาแต่งสีอาหารโดยจะให้สีเหลือง
2. เป็นส่วนประกอบของอุตสาหกรรม เนื้อไม้ของต้นนำมาใช้ทำเป็นของเล่นเด็กมาตั้งแต่โบราณ เยื่อไม้ที่มีลักษณะเบาและเหนียวนำมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ ซึ่งถือเป็นการประดิษฐ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต ในปัจจุบันชาวอยุธยายังใช้เนื้อไม้จากต้นโสนมาประดิษฐ์เป็นดอกไม้หลายรูปแบบ
3. เป็นเชื้อเพลิง ไม้โสนนำมาใช้เป็นทุ่นหรือเชื้อติดไฟได้ดี
4. เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ มีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ 2 ชนิด คือ ชาดอกโสน และชาจากยอดใบโสน เป็นชาที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ

คุณค่าทางโภชนาการของดอกโสน

คุณค่าทางโภชนาการของดอกโสน ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 38 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ไขมัน  0.5 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.9 กรัม
โปรตีน 2.5 กรัม
ใยอาหาร 2.2 กรัม
ความชื้น 87.7 กรัม
วิตามินเอ 3,338 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.13 มิลลิกรัม 
วิตามินบี2 0.26 มิลลิกรัม
วิตามินซี 51 มิลลิกรัม
แคลเซียม 62 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 2.1 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 62 มิลลิกรัม

โสน เป็นต้นที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหาร เป็นส่วนประกอบในการประดิษฐ์ดอกไม้ และเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในรูปแบบของชา ส่วนของดอกมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะสำหรับนำมาทานในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก โสนมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ แก้ปวดมวนท้อง ช่วยระงับการอักเสบ ช่วยบำรุงกระดูกและสมอง และช่วยบำรุงเลือดได้ คู่ควรอย่างมากในการนำมาทานเพราะดอกมีรสหวานเล็กน้อย นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้วยังมีรสชาติดีอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “โสนกินดอก (Sano Kin Dok)”. หน้า 311.
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 369 คอลัมน์ : บทความพิเศษ. (รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ). “ดอกโสนบ้านนา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [05 ต.ค. 2014].
สถาบันการแพทย์แผนไทย. “โสน : ผักพื้นบ้าน อาหารแบบไทย ๆ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : ittm-old.dtam.moph.go.th. [05 ต.ค. 2014].
รายการสาระความรู้ทางการเกษตร ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “โสน”. บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจำวันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2547 [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : natres.psu.ac.th. [05 ต.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : Medthai

งิ้ว บำรุงเลือด แก้บิด บำรุงกำลัง แก้โรคมะเร็ง แก้ไข้และแก้อัมพาต

0
งิ้ว บำรุงเลือด แก้บิด บำรุงกำลัง แก้โรคมะเร็ง แก้ไข้และแก้อัมพาต
งิ้ว เป็นไม้ยืนต้น ดอกมีขนาดใหญ่สีชมพูแกมเลือดหมู สีแดง สีแสด และสีทอง มีกลิ่นหอม
งิ้ว บำรุงเลือด แก้บิด บำรุงกำลัง แก้โรคมะเร็ง แก้ไข้และแก้อัมพาต
งิ้ว เป็นไม้ยืนต้น ดอกมีขนาดใหญ่สีชมพูแกมเลือดหมู สีแดง สีแสด และสีทอง มีกลิ่นหอม

งิ้ว

งิ้ว (Red cotton tree) เป็นไม้ต้นที่มีหลายสายพันธุ์ ทั้งงิ้วป่า ง้าว และงิ้วป่าดอกแดง ในที่นี้จะพูดถึงงิ้วโดยเฉพาะ ทว่าต้นงิ้วเป็นต้นที่หาได้ยากมากในปัจจุบัน จะมีการปลูกเฉพาะถิ่นทางภาคเหนือเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น มีลักษณะของต้นสูงชะลูดและมีหนามอยู่ทั่วลำต้น จึงเป็นที่มาของคำว่า “ปีนต้นงิ้ว” สำหรับคนที่คบชู้จะต้องตกนรกไปปีนต้นงิ้วที่มีหนามแหลม นอกจากจะเป็นประโยคเด็ดในวรรณคดีแล้ว งิ้วยังเป็นต้นที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเป็นวัตถุดิบทางอาหาร หรือปลูกเป็นไม้ประดับได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของงิ้ว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bombax ceiba L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Cotton tree” “Kapok tree” “Red cotton tree” “Silk cotton” “Shving brush”
ชื่อท้องถิ่น : คนทั่วไปเรียกว่า “งิ้วบ้าน” จังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “งิ้วแดง” ชาวชองจันทบุรีเรียกว่า “งิ้วปง งิ้วปกแดง สะเน้มระกา” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “งิ้วป่า งิ้วปงแดง งิ้วหนาม นุ่นนาง ตอเหมาะ” ชาวม้งเรียกว่า “ปั้งพัวะ” คนจีนเรียกว่า “บักมี้”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชบา (MALVACEAE)
ชื่อพ้อง : Bombax malabaricum DC., Gossampinus malabarica Merr.

ลักษณะของต้นงิ้ว

ต้นงิ้ว เป็นไม้ยืนต้นขนาดกว้างถึงขนาดใหญ่ มักจะพบตามที่ราบและป่าเบญจพรรณ ตามเชิงเขาและไหล่เขา
ต้น : ลักษณะของต้นเป็นทรงพุ่มรูปไข่ ลำต้นมีลักษณะเปลาตรงและมีหนามอยู่ทั่วลำต้นและกิ่ง เห็นข้อปล้องไม่ชัดเจน ต้นอ่อนจะเป็นสีเขียวอ่อน เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวเข้ม
ใบ : เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อยประมาณ 3 – 7 ใบเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปวงรีถึงรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบเรียว ขอบใบเรียบ มีสีเขียว ไม่มีขน แผ่นใบค่อนข้างหนาและเกลี้ยง ก้านช่อใบยาว โคนก้านบวมเล็กน้อย
ดอก : เป็นดอกเดี่ยว ออกตามปลายกิ่งหรือตามปลายยอด ดอกมีขนาดใหญ่สีชมพูแกมเลือดหมู สีแดง สีแสด และสีทองแต่หาได้ยาก ดอกมีกลิ่นหอม ออกดอกเป็นกระจุกหรือเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 3 – 5 ดอก ฐานรองดอกเป็นรูปถ้วยแข็ง ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบขนาดเล็ก เป็นสีเขียวอ่อน กลีบดอกมีขนาดใหญ่และหนา มี 5 กลีบเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลีบจะแผ่ออกและม้วนกลับมาทางขั้วของดอก ดอกหลุดร่วงได้ง่าย มีเกสรตัวผู้เป็นเส้นยาวจำนวนมาก เรียงกระจายเป็นวงรอบสีขาวปนสีชมพู เกสรตัวเมียมี 1 ก้าน เป็นสีชมพู บริเวณปลายเป็นจุดสีเข้มและเหนียว มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ จะทิ้งใบก่อนมีดอก มักจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
ผล : ผลมีลักษณะยาววงรีคล้ายฝักรูปทรงกระบอก ที่ปลายทั้งสองข้างของผลจะแหลม เปลือกของผลแข็ง เมื่ออ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลแตกอ้าออกตามรอยประสาน ในผลมีเส้นหรือปุยสีขาวและมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก ลักษณะเป็นรูปทรงกลมสีดำ และถูกห่อหุ้มด้วยปุยฝ้ายสีขาว ซึ่งสามารถปลิวไปตามลมได้ไกล

สรรพคุณของต้นงิ้ว

  • สรรพคุณจากราก เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยรักษากระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง ช่วยแก้อาการท้องเสีย แก้ลงท้อง ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยแก้ตัวพยาธิ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการตกโลหิต ช่วยห้ามเลือด สมานแผล ช่วยแก้ฝีเปื่อยพัง ช่วยแก้พิษงูทุกชนิด
    – ทำให้อาเจียนถอนพิษ ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – บรรเทาอาการฟกช้ำบวมจากการกระแทก ด้วยการนำรากสดมาแช่เหล้า ใช้ถูทาหรือตำพอก
  • สรรพคุณจากยาง เป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยแก้บิด ช่วยแก้ระดูตกหนักหรือออกมากเกินไป ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย ช่วยห้ามเลือด ช่วยฝากสมาน
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยแก้โรคมะเร็ง รักษาโรคหนองในเรื้อรัง ช่วยห้ามเลือดภายใน ช่วยรักษาโรคผิวหนัง เป็นยากระตุ้นความต้องการทางเพศ
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น ช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษากระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง ช่วยแก้อาการท้องเสีย แก้ลงท้อง บรรเทาอาการท้องเดิน ช่วยแก้บิด ช่วยแก้ตัวพยาธิ ช่วยแก้อาการตกโลหิต สมานแผล ช่วยแก้ฝีเปื่อยพัง ช่วยแก้อัมพาต แก้เอ็นอักเสบ แก้คนที่เป็นอัมพาตครึ่งตัว
    – ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการนำเปลือกต้น 1 กิโลกรัม มาล้างให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็ก นำไปใส่ในหม้อต้มยาสมุนไพร เติมน้ำสะอาดลงไป 5 ลิตรและต้มจนเดือด เอาแต่น้ำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2 ครั้งทุกเช้าและเย็น
    – ช่วยแก้ไตพิการ แก้ไตชำรุด แก้ไตอักเสบ ด้วยการนำเปลือกต้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ตากแดดให้แห้ง แล้วต้มกินต่างน้ำทุกวัน
    – รักษาแผลมีหนอง ด้วยการนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำแล้วใช้ทำความสะอาดแผล
  • สรรพคุณจากดอก ดอกแห้งเป็นยาแก้พิษไข้ ช่วยระงับประสาท ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยแก้อาการท้องเสีย แก้ลงท้อง บรรเทาอาการท้องเดิน ช่วยแก้บิด ช่วยแก้ตัวพยาธิ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการตกโลหิต ช่วยห้ามเลือด ช่วยแก้ฝีเปื่อยพัง ช่วยรักษาแผล แก้ฝีหนอง ช่วยแก้อาการคัน ดอกแห้งเป็นยาระงับอาการปวด แก้น้ำร้อนลวก
    – แก้บิดเลือด ด้วยการนำดอกแดงมาต้มเป็นน้ำชาผสมกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มตอนท้องว่างวันละ 3 ครั้ง
    – แก้บิดมูกเลือด ด้วยการนำดอกเหลืองหรือส้มที่เป็นดอกแห้ง มาต้มเป็นน้ำชาดื่ม
    – ช่วยแก้อาการท้องร่วง ด้วยการนำดอกตากแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากหนาม แก้ไข้ ลดความร้อน ดับพิษร้อน ช่วยแก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ ช่วยแก้ฝีประคำร้อย ช่วยดับพิษฝี
  • สรรพคุณจากใบ รักษาต่อมทอนซิลอักเสบ รักษาต่อมในคออักเสบ ช่วยแก้ต่อมน้ำลายอักเสบ รักษาฝี ช่วยแก้หัวลำมะลอก แก้หัวดาวหัวเดือน ช่วยแก้พิษงูทุกชนิด
    – แก้อาการฟกช้ำ แก้บวม แก้อาการอักเสบ ด้วยการนำใบแห้งหรือใบสดมาตำใช้ทา
    – รักษาอาการปวดเมื่อย โดยชาวโอรังอัสลีในรัฐเประของประเทศมาเลเซียนำใบสดมาแช่กับน้ำแล้วต้มใช้อาบ
  • สรรพคุณจากผล ช่วยแก้อาการท้องเสีย แก้ลงท้อง ช่วยแก้ตัวพยาธิ ช่วยแก้อาการตกโลหิต ช่วยแก้ฝีเปื่อยพัง ช่วยแก้พิษงูทุกชนิด
  • สรรพคุณจากผลอ่อน รักษาแผลเรื้อรังในไต

ประโยชน์ของงิ้ว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เกสรตัวผู้จากดอกเมื่อนำไปตากแห้งนำมาใช้โรยในขนมจีนน้ำเงี้ยว หรือใช้ปรุงเป็นแกงแค เกสรตัวผู้แห้งนำมาใช้แต่งสีของแกงส้มหรือแกงกะหรี่ ดอกสดใช้ลวกจิ้มรับประทานกับน้ำพริกและแกงส้ม ดอกใช้ผสมกับข้าวโพดทำเป็นขนมแผ่นรับประทานได้ รากอ่อนใช้ทานเมื่อยามขาดแคลน น้ำมันจากเมล็ดใช้ปรุงอาหาร
2. ใช้ในการเกษตร ใบและยอดอ่อนเป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง
3. ปลูกเป็นไม้ประดับในสนามทั่วไป ให้ความร่มเงา
4. เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม เป็นไม้เนื้ออ่อนสีขาวหรือเหลืองอ่อน นิยมนำมาใช้ทำหีบและลังสำหรับใส่ของ ใช้ทำไม้อัด ไม้จิ้มฟัน ก้านไม้ขีด ทำของเล่นเด็ก ใช้ทำเยื่อกระดาษ ชาวกะเหรี่ยงแดงนำไม้มาสร้างบ้าน หรือนำมาแปรรูปทำไม้แบบหรือไม้ต่อโลงศพ เส้นใยจากเปลือกต้นใช้ทำเชือกได้ ปุยนุ่นของฝักหรือผลแก่นำมาใช้ทำเครื่องนุ่งห่มด้วยการนำมาใช้ยัดเบาะ และใช้ทำชนวนตู้เย็น น้ำมันจากเมล็ดใช้ทำสบู่ได้ ชาวเหนือนำเปลือกมาทำสี โดยจะให้สีน้ำเงินสำหรับย้อมสีจำพวกผ้าฝ้ายได้

งิ้ว เป็นต้นที่หาได้ยากและพบทางภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ มีดอกสดใสสวยงามและต้นให้ความร่มเงาจึงนำมาปลูกประดับ ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหาร เป็นวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม และเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร มีคุณค่าทางอาหารที่เหมาะสมต่อการนำมารับประทาน งิ้วมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเปลือกต้นและดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาโรคความดันเลือดสูง บำรุงเลือด แก้บิด บำรุงกำลัง รักษากระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง แก้โรคมะเร็ง แก้ไข้และแก้อัมพาตได้ ถือเป็นต้นที่มีสรรพคุณมากมายจนน่าทึ่ง สามารถแก้โรคและป้องกันโรคอันตรายได้หลายอย่าง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. “งิ้ว“. อ้างอิงใน: หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 1. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [7 ม.ค. 2014].
การดำเนินงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนดาราพิทยาคม. “งิ้ว, งิ้วบ้าน, งิ้วหนาม“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.drpk.ac.th. [7 ม.ค. 2014].
ไทยรัฐออนไลน์. “งิ้ว เป็นอาหารมีสรรพคุณและประโยชน์“. (นายเกษตร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thairath.co.th. [7 ม.ค. 2014].
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. “ต้นงิ้ว วัดห้วยหลาด อำเภอรัตภูมิ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.m-culture.in.th. [7 ม.ค. 2014].
Samuel, A.J.S.J., Kalusalingam, A., Chellappan, D.K., Gopinath, R., Radhamani, S., Husain, H. A., Muruganandham, V., Promwichit, P. 2010. Ethnomedical survey of plants used by the orang asli in kampong bawong, Perak, West Malaysia. Joutnal of Ethnobiology and Ethnomedicine. 6:5
ลานธรรมจักร. “ต้นงิ้ว วิมานฉิมพลีของนางกากี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dhammajak.net. [7 ม.ค. 2014].
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้. “ดอกงิ้ว สมุนไพรไทย แคลเซียมสูง รักษาสารพัดโรค“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.fio.co.th/p/magazine_fio/files/5503.pdf‎. [7 ม.ค. 2014].
ภูมิปัญญาอภิวัฒน์. “สมุนไพรเปลือกงิ้วต้มกินแก้ไตพิการ“. (สมหวัง วิทยาปัญญานนท์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.budmgt.com. [7 ม.ค. 2014].
รักบ้านเกิด. “การใช้งิ้วแดงรักษาโรคความดันโลหิตสูง“. (บรรทม จิตรชม). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rakbankerd.com. [7 ม.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “Kapok tree“. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:eherb.hrdi.or.th. [7 ม.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “งิ้วแดง“. (ฉันท์ฐิตา ธีระวรรณ). อ้างอิงใน: thrai.sci.ku.ac.th/node/1694. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [7 ม.ค. 2014].
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).
สมุนไพรดอตคอม. “งิ้วแดง“. (manji). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.samunpri.com. [7 ม.ค. 2014].
คณะนิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ. “มารู้จัก… ต้นงิ้ว กันเถอะ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: forensic.rpca.ac.th/pdf/bombax.pdf. [7 ม.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

กระโดน วัตถุดิบทางอุตสาหกรรม ไม้ประดับสถานที่ เป็นยาสมุนไพรชั้นดี

0
กระโดน วัตถุดิบทางอุตสาหกรรม ไม้ประดับสถานที่ เป็นยาสมุนไพรชั้นดี
กระโดน หรือกระโดนบก เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ผลรสจืด เมล็ดและใบมีรสฝาด ดอกมีขนาดใหญ่ บานในเวลากลางคืน
กระโดน วัตถุดิบทางอุตสาหกรรม ไม้ประดับสถานที่ เป็นยาสมุนไพรชั้นดี
กระโดน หรือกระโดนบก เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ผลรสจืด เมล็ดและใบมีรสฝาด ดอกมีขนาดใหญ่ บานในเวลากลางคืน

กระโดน

กระโดน (Patana oak) หรือกระโดนบก เป็นไม้ต้นในวงศ์จิกที่มีผลรสจืดเย็น เมล็ดและใบมีรสฝาดทำให้มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรได้ นิยมนำใบอ่อน ยอดอ่อน และดอกอ่อนมาทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก แต่ว่าไม่ควรทานในปริมาณที่มากจนเกินไปเนื่องจากใบและยอดอ่อนมีกรดออกซาลิกค่อนข้างสูง ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดนิ่วในไตได้ นอกจากนั้นยังนำกระโดนมาใช้ในอุตสาหกรรมและปลูกตามสวนสาธารณะทั่วไปอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกระโดน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Careya arborea Roxb.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Tummy – wood” “Patana oak”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ต้นจิก” ภาคเหนือเรียกว่า “ปุยขาว ผักฮาด ผ้าฮาด” ภาคเหนือและภาคใต้เรียกว่า “กระโดนโคก กระโดนบก ปุย” ภาคใต้เรียกว่า “ปุยกระโดน” จังหวัดจันทบุรีเรียกว่า “หูกวาง” ชาวกะเหรี่ยงกาญจนบุรีเรียกว่า “ขุย” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “แซงจิแหน่ เส่เจ๊ออะบะ” ชาวละว้าเชียงใหม่เรียกว่า “พุย” คนเมืองเรียกว่า “เก๊าปุย” ชาวขมุเรียกว่า “ละหมุด” ชาวเขมรเรียกว่า “กะนอน” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “กระโดนโป้”
ชื่อวงศ์ : วงศ์จิก (LECYTHIDACEAE หรือ BARRINGTONIACEAE)
ชื่อพ้อง : Careya sphaerica Roxb.

ลักษณะของกระโดน

กระโดน เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มักจะพบตามป่าเบญจพรรณชื้น ป่าหญ้าและป่าแดง
ต้น : มีลักษณะของเรือนยอดเป็นพุ่มกลมแน่นทึบ เปลือกต้นหนาเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลดำ และแตกล่อนเป็นแผ่น ต้นมีกิ่งก้านสาขามาก เนื้อไม้เป็นสีแดงเข้มจนถึงสีน้ำตาลแกมแดง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับเวียนเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับ ปลายใบมนและมีติ่งแหลม โคนใบสอบเรียว ขอบใบเป็นหยักเล็กน้อยตลอดทั้งขอบใบ ผิวใบเกลี้ยง เนื้อใบหนาและค่อนข้างนิ่ม มีเส้นแขนงใบอยู่ข้างละ 8 – 15 เส้น เส้นใบย่อยเป็นแบบร่างแห สามารถเห็นได้ชัดเจนทางด้านล่าง ก้านใบอวบ ในหน้าแล้งใบแก่จะมีส่วนของท้องใบเป็นสีแดง และจะทิ้งใบเมื่อออกใบอ่อน ยอดอ่อนของใบเป็นสีน้ำตาลแดง ก่อนที่ใบร่วงโรยจะเป็นสีแดง
ดอก : ดอกมีขนาดใหญ่ ออกดอกเป็นช่อแบบกระจะตามปลายกิ่งที่ไม่มีใบ แต่ละช่อมีดอกประมาณ 2 – 6 ดอก ลักษณะของดอกคล้ายเป็นดอกเดี่ยว มีกลีบดอก 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ขอบกลีบและปลายกลีบเป็นสีเขียวอ่อน โคนกลีบเป็นสีชมพูเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง ดอกร่วงได้ง่าย โดยดอกจะบานในเวลากลางคืน และมักจะร่วงในช่วงเช้า มีเกสรเพศผู้สีขาวจำนวนมาก ก้านเกสรยาวเรียงตัวกันแน่นเป็นพู่ โคนก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นวงสีแดงอ่อน ๆ เกสรเพศเมียมีรังไข่ใต้วงกลีบ ลักษณะเป็นรูปกระสวย มี 4 ช่อง ในแต่ละช่องจะมีออวุลจำนวนมาก มักจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน
ผล : ผลมีลักษณะกลมหรือเป็นรูปไข่ อวบน้ำ มีเนื้อสีเขียว และค่อนข้างแข็ง ผิวผลเรียบ เปลือกหนา ที่ปลายผลจะมีกลีบเลี้ยงที่ติดทนอยู่ มีก้านเกสรเพศเมียติดอยู่ที่ปลายผล ผลสดเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล มักจะออกผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมากและมีเยื่อหุ้ม เมล็ดเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่และแบน

สรรพคุณของกระโดน

  • สรรพคุณจากดอก ช่วยบำรุงร่างกาย เป็นยาบำรุงกำลัง
    – บำรุงร่างกายหลังการคลอดบุตรของสตรี ช่วยแก้อาการหวัด ช่วยแก้อาการไอ ช่วยทำให้ชุ่มคอ ด้วยการนำดอกมาผสมกับน้ำผึ้งเป็นยา
  • สรรพคุณจากผล ช่วยบำรุงหลังการคลอดบุตรของสตรี ช่วยในการย่อยอาหาร
  • สรรพคุณจากน้ำจากเปลือกสด
    – บำรุงร่างกายหลังการคลอดบุตรของสตรี ช่วยแก้อาการหวัด ช่วยแก้อาการไอ ช่วยทำให้ชุ่มคอ ด้วยการนำน้ำจากเปลือกสดมาผสมกับน้ำผึ้งเป็นยา
  • สรรพคุณจากเปลือกต้น ช่วยแก้โรคกระเพาะอาหาร เป็นยาสมานแผลภายใน ช่วยแก้อาการอักเสบจากการถูกงูไม่มีพิษกัด ช่วยแก้น้ำกัดเท้า ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย แก้เคล็ดเมื่อย แก้เคล็ดขัดยอก
    – แก้อาการปวดท้อง แก้ท้องเสีย ด้วยการนำเปลือกต้นมาแช่กับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากแก่น
    – บำรุงสำหรับสตรีที่อยู่ไฟ ด้วยการนำแก่นมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากต้น
    – แก้แผลมีพิษและปิดหัวฝี ด้วยการนำต้นมาผสมกับเถายาน่องและดินประสิว แล้วเคี่ยวให้งวดและตากให้แห้ง ใช้สำหรับปิดแผล
  • สรรพคุณจากใบ
    – รักษาแผลสด ด้วยการนำใบมานึ่งให้สุกแล้วใช้ปิดแผล
    – เป็นยาสมานแผล ด้วยการนำใบมาปรุงกับน้ำมัน
  • สรรพคุณจากเมล็ด เป็นยาแก้พิษต่าง ๆ

ประโยชน์ของกระโดน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อน ยอดอ่อน และดอกอ่อนทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริก แจ่ว ลาบ ก้อย ส้มตำ ตำมะม่วง หรือผักประกอบเมี่ยงมดแดง ชาวขมุนำใบอ่อนมาต้มใช้ห่อเกลือกินแบบเมี่ยงได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรม เปลือกต้นใช้ต้มทำสีย้อมผ้า โดยจะให้สีน้ำตาลแดง หรือจะต้มรวมกับฝ้ายใช้ย้อมผ้าจะให้สีเหลืองอ่อน เส้นใยจากเปลือกต้นนำมาใช้ทำเชือกและทำกระดาษสีน้ำตาลได้ เปลือกต้นนำมาทุบใช้ทำเป็นเบาะปูรองนั่งหลังช้างหรือใช้รองของไว้บนหลังช้าง คนอีสานนิยมลอกออกมาทุบให้นิ่มใช้ทำเป็นที่นอน เนื้อไม้ใช้สำหรับงานก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ทำเครื่องเรือน เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ และทำเป็นหมอนรองรางรถไฟได้ดี
3. ใช้เป็นเชื้อเพลิง เปลือกต้นนำมาใช้ทำคบไฟ หรือนำมาจุดไฟใช้ควันไล่แมลง ไร ริ้น หรือยุงได้
4. เป็นยาเบื่อ เมล็ด ราก และใบมีพิษ จึงใช้เป็นยาเบื่อปลาได้
5. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกตามสวนสาธารณะ แต่ไม่ควรนำมาปลูกใกล้ลานจอดรถเนื่องจากมีผลขนาดใหญ่
6. เป็นส่วนประกอบของยา อยู่ในตำรับยาแก้โรคริดสีดวงทวาร ของบ้านเชียงเหียน ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม

คุณค่าทางโภชนาการของดอกอ่อนและยอดอ่อนกระโดน

คุณค่าทางโภชนาการของดอกอ่อนและยอดอ่อนกระโดน ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 83 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
เส้นใยอาหาร 1.9 กรัม
วิตามินเอ 3,958 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.10 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.88 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.8 มิลลิกรัม
วิตามินซี 126 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.7 มิลลิกรัม

 

ข้อควรระวังของกระโดน

1. ใบและยอดอ่อนมีกรดออกซาลิก (Oxalic acid) ค่อนข้างสูง ไม่ควรทานในปริมาณที่มากเกินควร เพราะอาจเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้
2. เมล็ด ราก และใบมีพิษ

กระโดน เป็นต้นที่มีพิษ ส่วนของใบและยอดอ่อนที่ชาวบ้านนิยมนำมารับประทานนั้นมีกรดออกซาลิกสูง จึงไม่ควรทานผักชนิดนี้ในปริมาณที่มากจนเกินไป ทว่ากระโดนก็เป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยามากมาย และยังเป็นส่วนประกอบของตำรับยาแก้โรคริดสีดวงทวารอีกด้วย กระโดนมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของเปลือกต้นและดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงร่างกาย แก้หวัด แก้โรคกระเพาะอาหารและเป็นยาสมานแผลได้ดี เราสามารถพบต้นกระโดนได้ตามที่สาธารณะทั่วไปในประเทศไทย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “กระโดน (Kradon)”. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 24.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “กระโดน”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 84.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “กระโดน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [31 ม.ค. 2014].
ไม้ป่ายืนต้นของไทย ศูนย์ความรู้ด้านการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “กระโดน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: agkc.lib.ku.ac.th. [31 ม.ค. 2014].
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. “กระโดน”. (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “กระโดน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bedo.or.th. [31 ม.ค. 2014].
มูลนิธิสุขภาพไทย. “กระโดนโคก เป็นยาและอาหาร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [31 ม.ค. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “กระโดนบก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [31 ม.ค. 2014].
อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “กระโดน”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [31 ม.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ลิ้นกวาง ดอกสีแดงสวยงาม ผลสีน้ำตาลใช้ย้อมสี มีสรรพคุณแก้บิด แก้ไข้ป่า แก้ไตพิการ

0
ลิ้นกวาง ดอกสีแดงสวยงาม ผลสีน้ำตาลใช้ย้อมสี มีสรรพคุณแก้บิด แก้ไข้ป่า แก้ไตพิการ
ลิ้นกวาง เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ยอดอ่อนเป็นสีแดงหรือสีเขียวอมขาวอ่อน กลีบดอกเป็นสีขาวอมแดงถึงสีแดงคล้ำ
ลิ้นกวาง ดอกสีแดงสวยงาม ผลสีน้ำตาลใช้ย้อมสี มีสรรพคุณแก้บิด แก้ไข้ป่า แก้ไตพิการ
ลิ้นกวาง เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ยอดอ่อนเป็นสีแดงหรือสีเขียวอมขาวอ่อน กลีบดอกเป็นสีขาวอมแดงถึงสีแดงคล้ำ

ลิ้นกวาง

ลิ้นกวาง (Ancistrocladus tectorius) เป็นต้นที่มีชื่อเรียกอื่น ๆ ตามแต่ละจังหวัดมากมายจนน่าสับสน ดอกของต้นมีสีแดงเข้มและเป็นกลีบลักษณะคล้ายกับลิ้นกวาง ทำให้ดูโดดเด่นและแยกต้นลิ้นกวางได้ง่ายขึ้น มักจะนำใบอ่อนซึ่งมีรสฝาดมันมาทานเป็นผักสด ลิ้นกวางนั้นมักจะพบในป่าดิบที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เป็นส่วนใหญ่ สามารถนำต้นมาปรุงเป็นยาสมุนไพรเพื่อแก้อาการและรักษาได้ ในช่วงหลังต้นลิ้นกวางค่อนข้างโด่งดังและเป็นที่นิยมในการนำผลที่ให้สีน้ำตาลมาย้อมผ้า ย้อมอวนและแห เป็นต้นที่มีประโยชน์หลากหลายและยังให้ความสวยงามอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของลิ้นกวาง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ancistrocladus tectorius (Lour.) Merr.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ค้อนหมาขาว” จังหวัดลำปางเรียกว่า “ลิ้นควาย” จังหวัดนครพนมเรียกว่า “หางกวาง” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ค้อนหมาแดง” จังหวัดปราจีนบุรีและตราดเรียกว่า “หูกลวง” จังหวัดสุพรรณบุรีเรียกว่า “โคนมะเด็น” จังหวัดชลบุรีเรียกว่า “คันทรง ทองคันทรง” จังหวัดยะลาเรียกว่า “ค้อนตีหมา” จังหวัดนราธิวาสเรียกว่า “พันทรง” ภาคใต้มลายูเรียกว่า “ยูลง ลิดาซาปี” เขมรสระบุรีเรียกว่า “กระม้า” เขมรสุรินทร์เรียกว่า “ขุนม้า ขุนมา” กะเหรี่ยงลำปางเรียกว่า “ซินตะโกพลี” เขมรเรียกว่า “กะม้า ขุนนา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ลิ้นกวาง (ANCISTROCLADACEAE)

ลักษณะของลิ้นกวาง

ลิ้นกวาง เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ที่มักจะพบตามป่าดงดิบ ป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้น
ลำต้น : ลำต้นขึ้นใหม่เป็นพุ่ม มักจะเลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้อื่น กิ่งก้านเล็ก ๆ จะมีตะเป็นมือ มีลักษณะเป็นข้อแข็ง ๆ สำหรับเป็นที่ยึดเกาะพันไม้อื่น
เถา : เถาแก่เป็นสีน้ำตาล เถาจะแตกเป็นรอยตื้นตามยาว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงเวียนสลับกันเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ลักษณะใบเป็นรูปหอกกลับ รูปวงรีหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบเรียวแหลมและค่อย ๆ สอบเข้าหาก้านใบ ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น แผ่นใบแข็งกระด้าง มีเส้นใบเชื่อมกันก่อนถึงขอบใบ ยอดอ่อนเป็นสีแดงหรือสีเขียวอมขาวอ่อน ๆ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด แต่ละดอกจะมีขนาดเล็ก ฐานดอกเป็นสีเขียว กลีบดอกเป็นสีขาวอมแดงถึงสีแดงคล้ำ โคนดอกเป็นท่อสั้น ๆ แยกออกเป็น 5 กลีบ มักจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม
ผล : ผลมีปีก 5 ปีก ซึ่งมีความยาวไม่เท่ากัน มีปีกเล็ก 2 ปีก และปีกใหญ่ 3 ปีก เมื่อแก่จะแห้งเป็นสีน้ำตาล ออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน

สรรพคุณของลิ้นกวาง

  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – แก้โรคกระษัยหรือโรคของความเสื่อมโทรมทางร่างกายโดยไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แก้ไตพิการและไข้ป่า ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มเพื่อดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากราก
    – รักษาโรคไข้จับสั่น รักษาโรคบิด ด้วยการนำรากมาต้มแล้วดื่ม
    – แก้ปวดเมื่อย ด้วยการนำรากมาผสมกับรากช้างน้าว จากนั้นนำมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากใบอ่อน
    – รักษาอาการบวมตามตัวและเม็ดผื่นคันตามผิวหนัง ด้วยการนำใบอ่อนมาต้มแล้วอาบแก้อาการ
  • สรรพคุณจากเถาและใบ
    – ขับพยาธิ ด้วยการนำเถาและใบมาต้มเพื่อเคี่ยวให้น้ำข้น ทำการรับประทานก่อนอาหารครั้งละครึ่งแก้ว

ประโยชน์ของลิ้นกวาง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบอ่อนหรือยอดอ่อนซึ่งมีรสฝาดมันนำมาทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริกได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรม ทำเครื่องจักสานและเครื่องใช้สอย ผลที่ให้สีน้ำตาลนำมาย้อมผ้า ย้อมอวนและแหได้

ลิ้นกวาง เป็นต้นที่มีดอกสีแดงเป็นกลีบคล้ายกับลิ้นกวางจึงเป็นที่มาของชื่อ เป็นไม้เลื้อยที่มีผลสีน้ำตาลซึ่งเป็นส่วนที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมย้อมสีได้ ในส่วนของการนำมาทานเป็นผักจะนำใบอ่อนและยอดอ่อนของต้นมาจิ้มกับน้ำพริก ลิ้นกวางมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้บิด แก้ไตพิการ แก้ปวดเมื่อย แก้ไข้จับสั่นและไข้ป่า เป็นต้นที่ดอกสวยและยังมีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมรวมถึงเป็นยาได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ค้อนหมาแดง, ค้อนตีหมา”. หน้า 180.
ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ลิ้นกวาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [21 ม.ค. 2015].
การสำรวจทรัพยากรป่าไม้เพื่อประเมินสถานภาพและศักยภาพ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี). “ค้อนตีหมา / ลิ้นกวาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : inven.dnp9.com/inven/. [21 ม.ค. 2015].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Ancistrocladus tectorius (Lour.) Merr.”. อ้างอิงใน : หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 4 กกยาอีสาน หน้า 27. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [21 ม.ค. 2015].

งิ้วป่า ต้นเป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง แก้บิด แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ

0
งิ้วป่า ทั้งต้นเป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง แก้บิด แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ
งิ้วป่า หรืองิ้วป่าดอกขาว เป็นไม้ยืนต้นดอกเป็นสีขาวครีมแกมสีม่วง ผลเป็นรูปทรงกระบอกยาวหรือรูปทรงกระสวย โค้งงอเล็กน้อย ต้นมีรสฝาดเย็น ใบมีรสเย็น รากมีรสจืดเย็น
งิ้วป่า ทั้งต้นเป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง แก้บิด แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ
งิ้วป่า หรืองิ้วป่าดอกขาว เป็นไม้ยืนต้นดอกเป็นสีขาวครีมแกมสีม่วง ผลเป็นรูปทรงกระบอกยาวโค้งงอเล็กน้อย ต้นมีรสฝาดเย็น ใบมีรสเย็น รากมีรสจืดเย็น

งิ้วป่า

งิ้วป่า (Bombax anceps Pierre) หรืองิ้วป่าดอกขาว เป็นไม้ยืนต้นที่สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมได้ ส่วนของรากและเปลือกจากต้นมีรสฝาดเย็น ใบมีรสเย็น รากมีรสจืดเย็น เป็นยาเย็นที่ช่วยดับร้อนในร่างกายได้ นิยมนำดอกมาทานในรูปแบบของผัก และเกสรตัวผู้นำมาตากแห้งใช้สำหรับใส่แกงหรือน้ำเงี้ยว งิ้วป่าเป็นงิ้วชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ชบา ซึ่งมีสรรพคุณทางยาไม่แพ้งิ้วทั่วไป

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของงิ้วป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bombax anceps Pierre. (Bombax anceps Pierre var. anceps)
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bombax” “Cotton tree” “Ngiu”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ง้าวป่า นุ่นป่า” ภาคเหนือเรียกว่า “งิ้วป่าดอกขาว งิ้วดอกขาว งิ้วผา ไกร” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และภาคใต้เรียกว่า “งิ้วป่า” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ไกร่” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “งิ้วขาว งิ้วผา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชบา (MALVACEAE)

ลักษณะของงิ้วป่า

งิ้วป่า เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มักจะพบตามป่าเบญจพรรณที่มีหินปูน ป่าเบญจพรรณตามเชิงเขาและไหล่เขา
ลำต้น : ลำต้นเปลาตรง เมื่อต้นยังเล็กจะมีลักษณะของเรือนยอดเป็นชั้น เมื่อต้นโตเต็มที่จะเป็นทรงเรือนยอด ด้านบนจะแบน เปลือกต้นเป็นสีเทา มีหนามแข็งอยู่ทั่วลำต้น โดยเฉพาะต้นอ่อนและกิ่งก้าน หนามจะลดลงเมื่อต้นโตขึ้น แต่กิ่งก้านยังคงมีหนามเช่นเดิม
ใบ : เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ มีการเรียงสลับเวียนเป็นกลุ่มที่ปลายกิ่ง มีใบย่อยประมาณ 5 – 7 ใบ แผ่นใบมีลักษณะเป็นรูปใบหอกหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ
ดอก : เป็นดอกเดี่ยว ดอกเป็นสีขาวครีมแกมสีม่วง ออกดอกเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2 – 4 ดอก ออกดอกกระจายอยู่ทั่วเรือนยอดที่กำลังผลัดใบ กลีบเลี้ยงที่โคนเชื่อมติดกันมีลักษณะเป็นรูประฆัง มี 2 – 4 พู เป็นสีเขียวสด เชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยบนฐานดอกที่แข็ง กลีบดอกมี 5 กลีบ ดอกจะโค้งงอไปด้านหลัง กลีบดอกเป็นสีขาว ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ด้านล่างจะห่อหุ้มไปด้วยก้านเกสรตัวเมีย โดยเกสรตัวเมียจะเป็นสีชมพูอมม่วงและมีก้านเดียว มักจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมีนาคม
ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกยาวหรือรูปทรงกระสวย โค้งงอเล็กน้อยและมีสันตื้น 5 สัน เมื่อผลแห้งแล้วจะแตกตามรอยประสาน ภายในผลมีปุยสีขาวห่อหุ้มเมล็ดอยู่ เมล็ดมีลักษณะกลมสีดำและมีขนาดเล็กคล้ายกับเมล็ดฝ้าย มักจะออกผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน

สรรพคุณของงิ้วป่า

  • สรรพคุณจากยาง เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยแก้บิด ช่วยแก้ระดูของสตรีมามากกว่าปกติ ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย ช่วยห้ามเลือดที่ตกภายใน ช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศ
  • สรรพคุณจากราก เป็นยากระตุ้น ยาบำรุงกำลัง ทำให้อาเจียน
    – แก้ท้องเสีย แก้โรคบิด ช่วยขับปัสสาวะ ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากดอกแห้ง ช่วยแก้พิษไข้ ช่วยแก้อาการคัน ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ รักษาแผลน้ำร้อนลวก ช่วยแก้พิษงู ช่วยแก้อาการปวด
  • สรรพคุณจากเปลือก ทำให้อาเจียน ช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยแก้บิด ช่วยรักษาแผลอักเสบ
    – แก้อาการร้อนใน ด้วยการนำเปลือกมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – ช่วยแก้อาการเป็นพิษ แก้โรคบิด ด้วยการนำเปลือกต้นผสมกับเปลือกต้นนุ่น แล้วต้มกับน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากใบ แก้อาการฟกช้ำ
    – แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ด้วยการนำใบมาบดผสมน้ำทา
  • สรรพคุณจากแก่น รักษาแผลน้ำร้อนลวก ช่วยแก้อาการปวด
  • สรรพคุณจากผล ช่วยแก้พิษงู
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยรักษาโรคผิวหนัง

ประโยชน์ของต้นงิ้วป่า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกใช้ลวกทานเป็นผัก เกสรตัวผู้นำมาตากแห้งใช้สำหรับใส่แกงหรือน้ำเงี้ยว น้ำมันจากเมล็ดสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้
2. เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม ผลให้เส้นใยที่นำมาใช้ทำหมอนและที่นอนได้ น้ำมันจากเมล็ดนำมาใช้ทำสบู่ เส้นใยจากเปลือกต้นใช้ทำเชือก เนื้อไม้สีขาวใช้ทำเรือขุด ทำหีบและลังสำหรับใส่ของ ใช้ทำไม้จิ้มฟัน ก้าน กลักไม้ขีด และทำเยื่อกระดาษได้

งิ้วป่า เป็นงิ้วชนิดหนึ่งที่ต้นมีหนามและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ไม่แพ้งิ้วชนิดอื่น ทั้งต้นเป็นยาเย็นที่ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย นอกจากนั้นเรามักจะพบในรูปแบบของส่วนผสมในแกงหรือน้ำเงี้ยว สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมได้ งิ้วป่ามีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของยางและดอกแห้ง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงกำลัง แก้บิด แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้แผลน้ำร้อนลวกและขับน้ำเหลืองเสียได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “งิ้วป่า“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [7 ม.ค. 2014].
ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “งิ้ว“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [7 ม.ค. 2014]
สวนพฤกษศาสตร์คลองไผ่ สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “งิ้วป่า“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [7 ม.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “Bombax, Ngiu, Cotton tree“. อ้างอิงใน: หนังสือพืชอาหารและสมุนไพรท้องถิ่นบนพื้นที่สูง (อัปสรและคณะ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [7 ม.ค. 2014].
โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ ปีที่ 50 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “งิ้วป่า“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.goldenjubilee-king50.com. [7 ม.ค. 2014].
โครงการจัดทำฐานข้อมูลพืชสมุนไพรที่สำรวจและวิจัยภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น. “งิ้วป่า“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: orip.kku.ac.th/thaiherbs. [7 ม.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

กระพังโหม ใบและเถาเหม็นเขียว แต่มากสรรพคุณ

0
กระพังโหม ใบและเถาเหม็นเขียว แต่มากสรรพคุณ
กระพังโหม ไม้เลื้อยที่มีดอกสีขาวม่วงแดง เถาสดมีกลิ่นเหม็น ผลลักษณะกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล
กระพังโหม ใบและเถาเหม็นเขียว แต่มากสรรพคุณ
กระพังโหม ไม้เลื้อยที่มีดอกสีขาวม่วงแดง เถาสดมีกลิ่นเหม็น ผลลักษณะกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล

กระพังโหม

กระพังโหม (Skunk vine) เป็นไม้เลื้อยที่มีดอกสีขาวม่วงแดงขนาดเล็กดูน่ารัก ส่วนของใบและเถาสดมีกลิ่นเหม็นแต่มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ นิยมนำส่วนของยอดอ่อนและใบอ่อนมาเป็นผักสดรับประทานร่วมกับน้ำพริก ส่วนชาวอีสานใช้รับประทานร่วมกับลาบก้อย ชาวใต้จะนำไปซอยให้ละเอียดเป็นผักที่ใช้ผสมปรุงเป็นข้าวยำ ส่วนอินเดียจะนำมาปรุงในซุปเพื่อช่วยบำรุงกำลังให้คนชราที่ฟื้นไข้ได้ กระพังโหมเป็นต้นมากประโยชน์ชนิดหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกระพังโหม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paederia foetida L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Skunk – vine”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กระพังโหม ตดหมูตดหมา” ภาคเหนือเรียกว่า “ตดหมูตดหมา ผักไหม” ภาคอีสานเรียกว่า “กระเจียวเผือ เครือไส้ปลาไหล ตะมูกปาไหล” ภาคใต้เรียกว่า “ย่านพาโหม” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ผักไหม” จังหวัดอุดรธานีเรียกว่า “ตะมูกปาไหล” จังหวัดสกลนครเรียกว่า “กระเจียวเผือ” จังหวัดมหาสารคามเรียกว่า “เครือไส้ปลาไหล” มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “พังโหม”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เข็ม (RUBIACEAE)

ลักษณะของกระพังโหม

กระพังโหม เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยประเภทล้มลุก เลื้อยพาดพันไปตามพื้นดินหรือเลื้อยพันต้นไม้อื่น มักจะพบขึ้นทั่วไปในป่าธรรมชาติ ป่าผสมผลัดใบ ป่าเต็งรัง บริเวณในสวน หรือที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป
ลำต้น : ลำต้นมีขนาดเล็ก ลำต้นและใบมียางสี เมื่อขยี้ดมจะมีกลิ่นเหม็น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน แผ่นใบเป็นสีเขียว เนื้อใบบาง เส้นใบโค้งจรดกันใกล้ขอบใบ ก้านใบสั้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อขนาดเล็ก โดยจะออกตามซอกใบหรือโคนก้านใบ มีช่อละประมาณ 2 – 3 ดอก กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ ขนาดเล็ก ตรงปลายกลีบแยกกัน กลีบด้านนอกเป็นสีขาว ส่วนด้านในเป็นสีม่วงแดงหรือสีชมพูประด้วยสีม่วงจุดสีน้ำตาล ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน และเกสรเพศเมีย 1 อัน อยู่ตรงกลาง
ผล : ผลมีลักษณะกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล

สรรพคุณของกระพังโหม

  • สรรพคุณจากกระพังโหม เป็นยารักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด เป็นยาถอนพิษสุรายาสูบ ถอนพิษจากอาหาร ชาวอินเดียนำมาปรุงในซุปเพื่อช่วยบำรุงกำลังให้คนชราที่ฟื้นไข้กิน
  • สรรพคุณจากใบและเถา เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ธาตุพิการ แก้ตานซาง แก้ดีรั่ว ช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้ แก้ตัวร้อน เป็นยาแก้ท้องเสีย เป็นยาขับลม เป็นยาระบายอ่อน ๆ เป็นยาขับพยาธิไส้เดือนในเด็ก รักษาบาดแผล
    – แก้ไข้ ด้วยการนำเถาหรือใบมาต้ม แล้วนำน้ำมาเช็ดตัวหรือนำผ้าสะอาดชุบน้ำต้มมาวางไว้บนศีรษะ
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย
    – แก้ปวดฟัน แก้รำมะนาด ด้วยการนำใบใช้ตำพอกอุดรูฟัน
    – ช่วยแก้ปัสสาวะขัด โดยหมอยาพื้นบ้านในประเทศฟิลิปปินส์นำใบมาต้มและนำมาตำให้แหลก จากนั้นโปะลงบนท้อง
    – ช่วยขับนิ่วออกจากกระเพาะปัสสาวะ ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
    – เป็นยาถอนพิษงูกัด แก้ปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนัง ด้วยการนำใบรวมรากแบบสดบดให้ละเอียดใช้เป็นยาทาหรือตำพอกบาดแผลที่ถูกงูกัด ก่อนนำผู้ถูกงูกัดไปพบแพทย์
    – รักษาโรคไขข้อ โดยหมอยาพื้นบ้านในประเทศฟิลิปปินส์นำใบมาต้มกับน้ำอาบเป็นยา
  • สรรพคุณจากผล ช่วยแก้ปวดฟัน ทาฟันเป็นสีดำ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น รักษาอาการอักเสบบริเวณปากและคอ เป็นยาขับน้ำนม เป็นยาแก้ท้องเสีย เป็นยาแก้บิด รักษาบาดแผล
    – แก้ไข้รากสาด แก้พิษไข้ เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยถอนพิษต่าง ๆ ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มแล้วดื่มเป็นยา
    – เป็นยาถอนพิษงูกัด แก้ปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนัง ด้วยการนำทั้งต้นรวมรากแบบสดบดให้ละเอียดใช้เป็นยาทาหรือตำพอกบาดแผลที่ถูกงูกัด ก่อนนำผู้ถูกงูกัดไปพบแพทย์
  • สรรพคุณจากราก แก้โรคดีซ่าน
    – แก้พิษ แก้ตาฟาง แก้ตาแฉะ แก้ตามัว ด้วยการนำรากสดมาฝนกับน้ำใช้หยอดตา
    – เป็นยาขับลม ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากเปลือกและราก
    – ช่วยทำให้อาเจียน ด้วยการนำรากหรือเปลือกมาต้มกับน้ำดื่ม

ประโยชน์ของกระพังโหม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อน ใบอ่อนและดอกนำมารับประทานเป็นผักได้ ทางภาคเหนือ นิยมนำยอดอ่อนและใบอ่อนเป็นผักสดทานร่วมกับน้ำพริก ชาวอีสานใช้ทานร่วมกับลาบก้อย ชาวใต้จะนำไปซอยให้ละเอียดเป็นผักที่ใช้ผสมปรุงเป็นข้าวยำ ดอกสามารถทานเป็นผักสดได้แต่ไม่นิยม น้ำคั้นจากเถาและใบมาผสมปรุงเป็นขนมขี้หนูทำให้ขนมมีสีเขียว
2. ปลูกในบ้าน ชาวบ้านนิยมปลูกไว้ใกล้บริเวณบ้านเพื่อเก็บมารับประทานได้สะดวก
3. ใช้ในการเกษตร เป็นยาลดไข้ของหมู ด้วยการเอาเถามาทุบให้พอแหลกหรือให้มีน้ำออกมา แล้วเอาเถานั้นมาลูบไปตามตัวหมูที่เป็นไข้ เป็นยาถ่ายพยาธิในสัตว์เลี้ยง
4. เป็นส่วนประกอบของยา ประเทศอินเดียมีการพัฒนาการผลิตน้ำมันจากสมุนไพรชนิดนี้มาใช้เป็นยาทาแก้ปวดข้อและปวดหลัง

กระพังโหม นิยมนำมาใช้เป็นยา เป็นส่วนประกอบในอาหาร นิยมปลูกไว้ในบ้านเพื่อใช้ประโยชน์ สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาใช้ได้ทั้งนั้น เป็นยาของหมอยาพื้นบ้านในประเทศฟิลิปปินส์และชาวอินเดีย รวมถึงชาวบ้านในประเทศไทยด้วย กระพังโหมมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบ ทั้งต้นและเถา มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ เป็นยาอายุวัฒนะ ขับลม แก้ปัสสาวะขัด แก้ตาฟาง แก้ตาแฉะ แก้ตามัวและแก้ปวดฟันได้ เป็นต้นที่ดีต่อการรักษาโรคทางตาและทางระบบขับถ่ายปัสสาวะ อีกทั้งยังเป็นยาบำรุงชั้นดีที่คนอินเดียนำมาให้คนชราทานอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
คลินิกการแพทย์แผ่นไทยพฤกษเวช. “กระพังโหม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.prueksaveda.com. [27 มิ.ย. 2015].
นิทรรศการงานวิจัย 60 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาคน พัฒนาชาติ ศาสตร์แห่งแผ่นดิน. “มหัศจรรย์สมุนไพรไทย Amazing Thai Medicinal Plants”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rdi.ku.ac.th/Ku-research60/. [27 มิ.ย. 2015].
ไทยรัฐออนไลน์. “กระพังโหม เหม็นอร่อยมีสรรพคุณ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thairath.co.th. [27 มิ.ย. 2015].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ตดหมูตดหมา เป็นยาบำรุง แก้ไข้ ขับลม บรรเทาอาการปวด

0
ตดหมูตดหมา เป็นยาบำรุง แก้ไข้ ขับลม บรรเทาอาการปวด
ตดหมูตดหมา เป็นไม้เถาที่มีกลิ่นเหม็นเขียว มียางสีขาว ผลเป็นรูปไข่หรือกลมแบนมีขนสั้นปกคลุม รสขม
ตดหมูตดหมา เป็นยาบำรุง แก้ไข้ ขับลม บรรเทาอาการปวด
ตดหมูตดหมา เป็นไม้เถาที่มีกลิ่นเหม็นเขียว มียางสีขาว ผลเป็นรูปไข่หรือกลมแบนมีขนสั้นปกคลุม

ตดหมูตดหมา

ตดหมูตดหมา (Fever vine) เป็นไม้เถาที่มีกลิ่นเหม็นเขียวเฉพาะและมียาวสีขาวทั้งต้น เป็นชื่อที่แปลกประหลาดแต่มีประโยชน์ได้หลายด้าน ทั้งต้นมีรสขมจึงสามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรแก้อาการได้ นอกจากนั้นยังมีดอกสีม่วงขนาดเล็กดูน่ารักทำให้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ ส่วนของรากนั้นสามารถนำมาใช้ทำขนมข้าวเกรียบว่าวได้อีกด้วย ตดหมูตดหมาเป็นไม้เถาที่พบได้ตามที่รกร้างหรือตามป่าธรรมชาติทั่วไป

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตดหมูตดหมา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paederia linearis Hook.f.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Fever vine”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “พังโหม” ภาคเหนือเรียกว่า “หญ้าตดหมา” ภาคใต้เรียกว่า “ย่านพาโหม” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ตำยานตัวผู้ เครือตดหมา” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ตดหมูตดหมา หญ้าตดหมูตดหมา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เข็ม (RUBIACEAE)

ลักษณะของตดหมูตดหมา

ตดหมูตดหมา เป็นไม้เถาขนาดเล็กที่มีกลิ่นเหม็นเขียวเฉพาะและมียางสีขาวทั้งต้น มักจะพบขึ้นทั่วไปในที่รกร้าง ในป่าธรรมชาติ โดยเฉพาะตามป่าผสมผลัดใบ ป่าเต็งรังและป่าที่กำลังคืนสภาพ
ลำต้น : ลำต้นเป็นสีเขียว ก้านใบ กิ่งอ่อน ก้านช่อดอกและผลมีขนสั้นปกคลุมอยู่หนาแน่น
ใบ : ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอก ปลายใบแหลมหรือเรียวยาว โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ ใบเป็นสีเขียวจนถึงเขียวค่อนข้างเข้ม หน้าใบและหลังใบไม่มีขน แต่จะมีขนสั้นละเอียดที่มุมเส้นใบตัดกับเส้นกลางใบ เส้นแขนงใบออกตรงข้ามกันและเยื้องกันบ้าง มีเส้นแขนงใบข้างละ 4 – 7 เส้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อบริเวณยอดและตามซอกใบ ดอกย่อยมีจำนวนมากอยู่ชิดติดกันเป็นกระจุก กลีบดอกด้านนอกเป็นสีเขียว ด้านในเป็นสีม่วงเข้ม ดอกมีลักษณะเป็นรูปกรวยปลายแยกเป็น 5 แฉกและหยักตื้น มักจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปไข่หรือกลมแบน ผลจะแก่ในช่วงเมษายนถึงพฤษภาคม

สรรพคุณของตดหมูตดหมา

  • สรรพคุณจากตดหมูตดหมา แก้ไข้สัมประชวร แก้เสมหะ แก้ฟกช้ำบวมในท้อง ช่วยบำรุงธาตุไฟ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยแก้ตัวร้อน ถอนพิษเหล้า ถอนพิษยาสูบ ถอนพิษจากอาหาร ช่วยขับลม แก้ท้องเสีย ช่วยขับพยาธิไส้เดือน
    – ขับปัสสาวะ ด้วยการนำทั้งต้นต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากใบ เป็นอาหารบำรุงกำลังคนฟื้นไข้หรือคนชรา แก้เริม แก้ปวดแสบปวดร้อน ช่วยแก้พิษงู เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ธาตุพิการ แก้ตานซาง แก้ตัวร้อน แก้ไข้จับสั่น แก้รำมะนาด เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับพยาธิไส้เดือน แก้ดีรั่ว แก้อาการคัน
    – บรรเทาอาการปวดศีรษะ ด้วยการนำใบมาตำพอก
  • สรรพคุณจากราก แก้ริดสีดวงทวาร แก้โรคตานขโมย รักษาดีซ่าน แก้ท้องเสีย แก้ลำไส้พิการ แก้อาการจุกเสียด ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย
    – แก้ตาฟางและตาแฉะ ด้วยการนำรากมาฝนหยอดตา
    – แก้ตาฟาง แก้ตาแฉะ แก้ตามัว ช่วยทำให้อาเจียน ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากเถา แก้ธาตุพิการ เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ซาง แก้ตานขโมย แก้ไข้ตัวร้อน รักษารำมะนาด แก้ท้องเสีย ช่วยขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับพยาธิ แก้ดีรั่ว ใช้ทาแผลที่ถูกงูกัด ช่วยถอนพิษงู
  • สรรพคุณจากดอก แก้ไข้จับสั่น ช่วยขับน้ำนม
  • สรรพคุณจากผล ช่วยแก้ไข้จับสั่น แก้หืดไอ แก้มองคร่อ แก้ท้องมาน แก้ริดสีดวง
  • สรรพคุณจากผลและใบ แก้อาการปวดฟัน
  • สรรพคุณจากยอดอ่อน แก้อาการอักเสบที่คอและปาก เป็นยาระบายอ่อน ๆ เป็นยาขับน้ำนมของสตรี
  • สรรพคุณจากยอดและเถา แก้ท้องอืด เป็นยาขับลมในลำไส้ บำรุงธาตุ แก้เจ็บท้อง แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้นิ่ว

ประโยชน์ของตดหมูตดหมา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนและใบอ่อนนำมากินเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก แกล้มกับลาบ ตำมะม่วง หรือนำมาต้มหรือลวกทาน ต้นนำมาต้มทำเป็นอาหารได้ รากนำมาปอกเปลือกแช่น้ำแล้วตำกับข้าวเหนียวนึ่งเพื่อทำข้าวเกรียบว่าว
2. ใช้ในการเกษตร เป็นอาหารของสัตว์เลี้ยงอย่างโคกระบือ
3. ใช้ทาฟัน ผลใช้ทาฟันทำให้ฟันมีสีดำ
4. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกให้เลื้อยทอดยาว

ตดหมูตดหมา เป็นไม้เถาที่มีทั้งต้นหรือส่วนต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ได้ ทว่าต้นจะมีกลิ่นเหม็นเขียวเฉพาะและมียาวสีขาวทั้งต้นชวนให้ไม่น่านำมาใช้มากนัก ซึ่งก่อนนำมาทานหรือใช้ทำอะไรก็ควรนำมาต้มให้กลิ่นเหม็นระเหยออกไปก่อน ตดหมูตดหมามีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบและราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาบำรุง แก้ไข้ ขับลมและแก้อาการปวดได้ดี เป็นต้นที่ช่วยบรรเทาอาการเล็กน้อยต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้ยาสมัยใหม่มากนัก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์. “ตดหมูตดหมา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: nutrition.dld.go.th. [11 ก.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ตดหมูตดหมา”. อ้างอิงใน: หนังสือพืชอาหารและสมุนไพรท้องถิ่นบนพื้นที่สูง (อัปสร และคณะ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [11 ก.ค. 2014].
หนังสือพืชกินได้ในป่าสะแกราช. (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)). “ตดหมูตดหมา”. หน้า 113-114.
เว็บไซต์ท่องไทยแลนด์ดอมคอม. “ตดหมูตดหมา”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thongthailand.com. [12 ก.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/