ตะลิงปลิง ผลไม้รสเปรี้ยวจากถิ่นใต้ ช่วยดับพิษร้อนของไข้และบำรุงกระเพาะอาหาร

0
ตะลิงปลิง ผลไม้รสเปรี้ยวจากถิ่นใต้ ช่วยดับพิษร้อนของไข้และบำรุงกระเพาะอาหาร
ตะลิงปลิง กลมยาวปลายมน ออกผลเป็นช่อ ผลเรียบสีเขียว มีรสเปรี้ยวมาก
ตะลิงปลิง ผลไม้รสเปรี้ยวจากถิ่นใต้ ช่วยดับพิษร้อนของไข้และบำรุงกระเพาะอาหาร
ตะลิงปลิง กลมยาวปลายมน ออกผลเป็นช่อ ผลเรียบสีเขียว มีรสเปรี้ยวมาก

ตะลิงปลิง

ตะลิงปลิง (Averrhoa bilimbi) เป็น ไม้เขตร้อนที่มีลักษณะคล้ายกับมะเฟือง เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นิยมทางภาคใต้ คนไทยส่วนมากไม่ค่อยได้ยินชื่อสักเท่าไหร่ ผลของตะลิงปลิงนั้นมีรสเปรี้ยวมาก สามารถนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ได้ ดื่มแล้วรู้สึกสะใจและสดชื่น นอกจากทำน้ำดื่มแล้วยังสามารถนำไปประกอบในอาหารได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตะลิงปลิง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bilimbi” “Bilimbing” “Cucumber tree” “Tree sorrel”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “มะเฟืองตรน หลิงปลิง” จังหวัดนราธิวาสเรียกว่า “บลีมิง” จังหวัดระนองเรียกว่า “กะลิงปริง ลิงปลิง ลิงปลิง ปลีมิง” เกาะสมุยเรียกว่า “มูงมัง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กระทืบยอด (OXALIDACEAE)

ลักษณะของตะลิงปลิง

ตะลิงปลิง เป็นไม้ยืนต้นเขตร้อนที่คาดว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากหมู่เกาะมาลูกู ในประเทศอินโดนีเซีย
เปลือกต้น : เปลือกต้นมีสีชมพู ผิวเรียบมีขนนุ่มปกคลุมอยู่ตามกิ่ง มีการแตกกิ่งก้านสาขามาก
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบมีสีเขียวอ่อนและมีขุยนุ่มปกคลุม ใบคล้ายรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบมน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อหลายช่อตามกิ่งและลำต้น ดอกสีแดงเข้ม มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เป็นสีเขียวอมชมพู มีเกสรกลางดอกเป็นสีขาว
ผล : มีลักษณะกลมยาวปลายมน ออกผลเป็นช่อห้อย ผิวของผลมีลักษณะเรียบสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีเหลือง เนื้อข้างในเป็นเนื้อเหลว มีรสเปรี้ยว
เมล็ด : ลักษณะของเมล็ดตะลิงปลิงจะแบนยาวและมีสีขาว

สรรพคุณของตะลิงปลิง

  • สรรพคุณจากผล ทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ฟอกโลหิต รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาลดไข้ ช่วยละลายเสมหะและแก้เสมหะเหนียวข้น บำรุงกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร เป็นยาบำรุงแก้อาการปวดมดลูก ช่วยฝาดสมาน
    – งานวิจัยในประเทศฟิลิปปินส์พบว่าน้ำคั้นจากผลตะลิงปลิงมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด โดยเชื่อว่าสเตอรอยด์ไกลโคไซด์และกรดออกซาลิกในน้ำคั้นมีส่วนในการออกฤทธิ์คุมกำเนิด
  • สรรพคุณจากราก แก้พิษร้อนใน แก้กระหายน้ำ ประเทศฟิลิปปินส์ใช้รากพอกรักษาคางทูม ดับพิษร้อนของไข้ บำรุงกระเพาะอาหาร แก้อาการเลือดออกตามกระเพาะอาหารและลำไส้ รักษาอาการอักเสบของลำไส้ รักษาซิฟิลิส (Syphilis) บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร บรรเทาอาการของโรคเกาต์ แก้ไขข้ออักเสบ ช่วยฝาดสมาน พอกแก้อาการคัน ลดอาการบวมแดง
  • สรรพคุณจากใบ ประเทศฟิลิปปินส์ใช้ใบพอกรักษาคางทูม ใบต้มช่วยรักษาอาการอักเสบของลำไส้และรักษาซิฟิลิส (Syphilis) รักษาโรครูมาตอยด์ แก้ไขข้ออักเสบ รักษาอาการอักเสบ พอกแก้อาการคัน ลดอาการบวมแดง
    – งานวิจัยที่ประเทศสิงคโปร์พบว่าสารสกัดเอทานอลในใบตะลิงปลิง สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดของสัตว์ทดลองได้
  • สรรพคุณจากดอก ชงเป็นชาดื่มช่วยแก้อาการไอ

ประโยชน์ของตะลิงปลิง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสามารถนำมารับประทานร่วมกับพริกเกลือหรือนำไปใส่แกง และทำเป็นเมนูน้ำพริกตะลิงปลิง ปลาทูต้มตะลิงปลิง ยำตะลิงปลิง เป็นต้น อีกทั้งยังนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้ด้วย
2. เป็นยาเสริมความงาม ใบและรากสามารถนำมาพอกใช้รักษาสิวได้

คุณค่าทางโภชนาการของตะลิงปลิง (เฉพาะส่วนที่กินได้)

คุณค่าทางโภชนาการของตะลิงปลิง (เฉพาะส่วนที่กินได้) ต่อ 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 0.61 กรัม
แคโรทีน 0.035 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.010 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.026 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.302 มิลลิกรัม
วิตามินซี 15.5 มิลลิกรัม
แคลเซียม 3.4 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.01 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 11.1 มิลลิกรัม

วิธีทำน้ำตะลิงปลิง

1. ทำน้ำเชื่อมด้วยการต้มน้ำ 3 ถ้วยครึ่ง แล้วเติมน้ำตาล 2 ถ้วย จนเดือดรวมกันเป็นเนื้อเดียว แล้วปิดเตาทิ้งไว้ให้เย็น
2. นำตะลิงปลิงครึ่งกิโลกรัมมาล้างให้สะอาด เอาขั้วและเมล็ดออก จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ
3. นำตะลิงปลิงที่หั่นใส่เครื่องปั่น 1 ส่วน เติมน้ำเชื่อมลงไปครึ่งหนึ่ง แล้วเติมเกลือครึ่งช้อนโต๊ะแล้วปั่นให้ละเอียด
4. เทลงในตะแกรงแล้วกรองเอากากออก
5. ทำการปรุงตามต้องการด้วยการเติมเกลือหรือใส่กับน้ำแข็งเกล็ดก็จะช่วยเพิ่มความอร่อย

ตะลิงปลิง เป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่เริ่มจะสูญพันธุ์ไปเรื่อย ๆ เพราะไม่ค่อยนิยมมากนัก ในปัจจุบันมักจะพบในรูปแบบเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ด้วยรสเปรี้ยวนั้นทำให้ร่างกายตื่นตัวและสดชื่นขึ้น ตะลิงปลิงมีประโยชน์แต่ก็ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปเพราะจะทำให้เลือดตกตะกอนได้ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาคางทูม รักษาอาการอักเสบของลำไส้ ดับพิษร้อนของไข้และบำรุงกระเพาะอาหาร

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ถั่วฝักยาว มีสรรพคุณมากกว่าที่คิด ช่วยแก้ตกขาว บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

0
ถั่วฝักยาว มีสรรพคุณมากกว่าที่คิด ช่วยแก้ตกขาว บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ถั่วฝักยาว ฝักมีลักษณะกลม ฝักยาว มีรสชาติกรอบนอก
ถั่วฝักยาว มีสรรพคุณมากกว่าที่คิด ช่วยแก้ตกขาว บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ถั่วฝักยาว ฝักมีลักษณะกลม ฝักยาว มีรสชาติกรอบนอก

ถั่วฝักยาว

ถั่วฝักยาว (Yard long bean) เป็น ผักที่นิยมอย่างมากในเอเชียรวมถึงในประเทศไทย เป็นส่วนประกอบของอาหารหลายอย่างโดยเฉพาะอาหารขึ้นชื่อของเราเลยก็คือ “ส้มตำ” เป็นผักประเภทถั่วที่มีรสชาติกรอบนอก เป็นหนึ่งในผักที่ค่อนข้างมีรสชาติถูกปาก เป็นผักที่คนทั่วไปรู้จัก มีลักษณะกลมยาวสีเขียวที่ดูเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้ว่าคือถั่วฝักยาว แน่นอนว่ามีสรรพคุณต่อร่างกายมากมาย แต่มีประโยชน์ในด้านไหนบ้างคาดว่าคนทั่วไปยังไม่รู้มากนัก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของถั่วฝักยาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vigna unguiculata (L.) Walp. และ Vigna unguiculata subsp. sesquipedalis (L.) Verdc.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Yard long bean”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ถั่วนา ถั่วขาวหรือถั่วฝักยาว” ภาคเหนือเรียกว่า “ถั่วหลา ถั่วปีหรือถั่วดอก”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Vigna sinensis (L.) Savi ex Hausskn., Vigna sinensis (L.) Savi ex Hassk., Vigna unguiculata subsp. Unguiculata

ลักษณะของถั่วฝักยาว

ถั่วฝักยาว เป็นไม้เลื้อยสีเขียวอ่อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและอินเดีย
ใบ : เป็นใบประกอบแบบฝ่ามือ ลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกเป็นสีขาวหรือน้ำเงินอ่อน
ฝัก : ฝักมีลักษณะกลม
เมล็ด : มีเมล็ดจำนวนมาก

การนำไปใช้ประโยชน์ของถั่วฝักยาว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนหนึ่งในอาหารพวก ส้มตำ ผัดผัก แกงส้มถั่วฝักยาว เป็นต้น
2. เป็นวัตถุดิบในด้านอุตสาหกรรมแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง

ประโยชน์ของถั่วฝักยาว

  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงฟัน ป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณด้านกระดูก บำรุงกระดูกและป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
  • สรรพคุณด้านความงาม ลดความอ้วนเนื่องจากมีสรรพคุณเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการเกิดโรคหวัด
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ
    – แก้อาเจียน ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดนำมาคั้นหรือต้มกินกับน้ำ
    – รักษาฝีเนื้อร้าย ด้วยการใช้รากสดไปเผาแล้วบดละเอียดผสมกับน้ำแล้วทาบริเวณที่มีอาการ
    – รักษาอาการปวดบวม ปวดตามเอวและรักษาแผลที่เต้านม ด้วยการใช้เปลือกฝักประมาณ 100 – 150 กรัม มาต้มกินหรือนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ปวด
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย
    – แก้อาการเบื่ออาหารของเด็กจากกระเพาะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้รากสดมาผสมกับรากเถาตดหมาตดหมู แล้วนำมาตุ๋นกินกับเนื้อวัว
    – แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นท้อง เรอเปรี้ยว ด้วยการเคี้ยวฝักสดกิน
    – รักษาอาการปัสสาวะเป็นหนอง ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 60 – 100 กรัม มาต้มกับน้ำ
    – แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดมาคั้นสดหรือต้มกินกับน้ำ
    – แก้ตกขาว ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดผสมกับผักบุ้งแล้วนำมาตุ๋นกับเนื้อไก่พร้อมรับประทาน
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค
    – รักษาโรคหนองใน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 60 – 100 กรัม มาต้มกับน้ำ หากโรคหนองในไหลให้ใช้รากสดไปเผาแล้วบดจนละเอียด ผสมกับน้ำแล้วใช้ทา
  • สรรพคุณช่วยบำรุงอวัยวะ
    – บำรุงม้ามและไต ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดนำมาคั้นหรือต้มกินกับน้ำ หรือจะใช้รากนำมาตุ๋นกินเนื้อก็ได้ บำรุงไตอีกวิธีคือ ใช้ถั่วสดหรือเมล็ดนำมาต้มกับน้ำผสมกับเกลือ
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ ช่วยทำให้เนื้อเยื่อเจริญเร็วขึ้น
    – แก้กระหายและชุ่มชื่น ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดนำมาคั้นสดหรือต้มกินกับน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการของถั่วฝักยาว

คุณค่าทางโภชนาการของถั่วฝักยาวต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 47 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 8.35 กรัม
ไขมัน 0.4 กรัม
โปรตีน 2.8 กรัม
วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม (5%) 
วิตามินบี1 0.107 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี2 0.11 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี3 0.41 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี5 0.55 มิลลิกรัม (11%)
วิตามินบี6 0.024 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี9 62 ไมโครกรัม (16%)
วิตามินซี 18.8 มิลลิกรัม (23%)
แคลเซียม 50 มิลลิกรัม (5%)
เหล็ก 0.47 มิลลิกรัม (4%)
แมกนีเซียม 44 มิลลิกรัม (12%)
แมงกานีส 0.205 มิลลิกรัม (10%)
ฟอสฟอรัส 59 มิลลิกรัม (8%)
โพแทสเซียม 240 มิลลิกรัม (5%)
สังกะสี 0.37 มิลลิกรัม (4%)

ข้อควรระวัง

1. ระมัดระวังในการเลือกซื้อและการทำความสะอาดถั่วฝักยาว เนื่องจากตรวจพบว่ามีสารไซเพอร์เมทริน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ปวดท้องหากรับประทานเข้าไปและเมโทมิลซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชั้นดี สารพวกนี้เป็นสารที่อยู่ในกลุ่มคาร์บาเมตและไพรีทรอยด์ เป็นสารพวกยาฆ่าแมลงที่เป็นพิษมากมายโดยเฉพาะมะเร็ง
2. ผู้ที่มีอาการท้องผูก ไม่ควรรับประทานเมล็ดของถั่วฝักยาว

ถั่วฝักยาว เป็นถั่วที่มีลักษณะโดดเด่น ใคร ๆ ก็รู้จักเพราะหาได้ง่าย มีรสชาติที่ไม่ฝาดขมเหมือนผักอื่น ๆ มักจะพบในอาหารพวกส้มตำและผัดเผ็ด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบขับถ่าย และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นผักที่รับประทานได้เรื่อย ๆ หรือจะนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็มีรสชาติดีเหมือนกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ทุเรียนเทศ ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ช่วยต้านมะเร็งได้

0
ทุเรียนเทศ ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ช่วยต้านมะเร็งได้
ทุเรียนเทศ ผลสีเขียว เปลือกผลมีหนาม ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว มีเนื้อสีขาวและฉ่ำน้ำ
ทุเรียนเทศ ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ช่วยต้านมะเร็งได้
ทุเรียนเทศ ผลสีเขียว เปลือกผลมีหนาม ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว มีเนื้อสีขาวและฉ่ำน้ำ

ทุเรียนเทศ

ทุเรียนเทศ หรือเรียกกันว่า “ทุเรียนน้ำ” (Soursop) เป็น ผลที่มีลักษณะคล้ายทุเรียน เชื่อว่าคนไทยทุกคนต้องรู้จักทุเรียนแต่ยังไม่รู้จักทุเรียนเทศ เป็นผลที่มีฤทธิ์ทางยาและนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร มีการเพาะปลูกมากในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นผลชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์และให้สารที่จำเป็นต่อร่างกายสูง สามารถนำส่วนประกอบของต้นทุเรียนเทศมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของทุเรียนเทศ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Annona muricata L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Soursop” และ “Prickly custard apple”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ทุเรียนแขก” ภาคเหนือเรียกว่า “มะทุเรียน” ภาคใต้เรียกว่า “ทุเรียนน้ำ” ภาคอีสานเรียกว่า “หมากเขียบหลด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)

ลักษณะของทุเรียนเทศ

ทุเรียนเทศ มีการเพาะปลูกมากในแถบอเมริกากลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพืชที่ชอบพื้นที่ที่มีความชื้นสูง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้ม ตัวใบมีความมันเงา
ดอก : ออกดอกตามกิ่งก้านและลำต้นตลอดทั้งปี มีกลีบดอกแข็ง
ผล : ผลสีเขียว เปลือกผลมีหนาม หากผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว มีเนื้อสีขาวและฉ่ำน้ำ
เมล็ด : เมล็ดแก่สีดำ

การนำไปใช้ประโยชน์ของทุเรียนเทศ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประกอบอาหารอย่างแกงส้ม นำมารับประทานเป็นผลไม้สด ทำเป็นน้ำผลไม้ แปรรูปเป็นผลไม้กวนต่าง ๆ ไอศกรีม เยลลี่ ซอส รวมไปถึงผลไม้กระป๋อง
2. ใช้ในการเกษตร เมล็ดนำมาใช้ทำยาเบื่อและทำเป็นยาฆ่าแมลงศัตรูพืช
3. ใช้เป็นยาสมุนไพร ผลดิบนำมาตำแล้วพอกเป็นยาฝาดสมาน

ประโยชน์ของทุเรียนเทศ

  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค
    – มีฤทธิ์ในการต่อต้านไวรัสและเซลล์มะเร็ง จากงานวิจัยในอเมริกาบอกว่าให้นำส่วนของใบ เมล็ด และลำต้นของทุเรียนเทศมาสารสกัด
    – รักษาโรคผิวหนัง ด้วยการนำใบมาขยี้ผสมกับปูนแล้วนำมาทา
  • สรรพคุณด้านการผ่อนคลาย ใบเป็นยาระงับประสาท
    – ทำให้นอนหลับสบาย ด้วยการนำใบมาชงดื่ม หรือนำใบมาใส่ไว้ในหมอนหนุน
    – แก้เครียด ด้วยการนำรากและเปลือกมาชงชาแล้วดื่ม
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ ต้านการอักเสบ น้ำสกัดจากเนื้อช่วยขับพยาธิ
    – ลดอาการเจ็บปวดและลดการเกร็ง ด้วยการนำรากและเปลือกมาชงชาแล้วดื่ม
    – แก้อาการเมา ด้วยการใช้ใบขยี้ลงในน้ำผสมกับน้ำมะนาว 2 ลูก แล้วนำมาจิบเล็กน้อย จากนั้นเอาน้ำที่เหลือลูบหัว
    – บรรเทาอาการไข้ ด้วยการนำใบมาใช้ปูให้ผู้ป่วยที่เป็นไข้นอน เมื่อตื่นมาจะมีอาการดีขึ้น
    – แก้อาการไอ อาการปวดตามข้อ ด้วยการนำใบมาขยี้ผสมกับปูนแล้วนำมาทา
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผลสุกช่วยรักษาเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ผลดิบช่วยรักษาโรคบิด
    – แก้อาการท้องอืด ด้วยการนำใบมาขยี้ผสมกับปูนแล้วนำมาทาบริเวณท้อง
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย เมล็ดช่วยสมานแผลและห้ามเลือด
  • สรรพคุณด้านน้ำนมแม่ ช่วยเพิ่มน้ำนมกับหญิงให้นมบุตร

ข้อมูลทางโภชนาการของผลทุเรียนเทศดิบ

ข้อมูลทางโภชนาการของผลทุเรียนเทศดิบต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 66 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 16.84 กรัม
น้ำตาล 13.54 กรัม
เส้นใย 3.3 กรัม
ไขมัน 0.30 กรัม
โปรตีน 1.00 กรัม
วิตามินบี1 0.070 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี2 0.050 มิลลิกรัม (4%)
วิตามินบี3 0.900 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี6 0.059 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี9 14 ไมโครกรัม (4%) 
วิตามินซี 20.6 มิลลิกรัม (25%)
แคลเซียม 14 มิลลิกรัม (1%)
เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม (5%)
แมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม (6%)
ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม (4%)
โพแทสเซียม 278 มิลลิกรัม (6%)
สังกะสี 0.1 มิลลิกรัม (1%)

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะทุเรียนเทศมีสาร “แอนโนนาซิน” (Annonacin) ที่มีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์สมอง จนเกิดโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ได้
2. ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะเมล็ดและเปลือกของทุเรียนเทศมีสารอัลคาลอยด์อยู่หลายชนิดที่เป็นพิษต่อร่างกาย

ทุเรียนเทศ เป็นผลไม้ที่นิยมในทางภาคใต้แต่ยังไม่ได้มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจมากเพียงพอ เป็นผลไม้ที่ค่อนข้างหายากในตลาดทั่วไปโดยเฉพาะในเมือง ส่วนมากที่พบมักจะอยู่ในรูปของผลไม้กวนหรือผลไม้กระป๋อง สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาระงับประสาท ช่วยแก้เครียดและทำให้นอนหลับง่าย ช่วยแก้ไข้และต้านโรคมะเร็ง ถือเป็นผลไม้ที่ควรได้รับความสนใจจากคนไทยมากขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

กระเทียม เครื่องเทศรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นฉุน แต่บำรุงร่างกายได้เยี่ยม!

0
กระเทียม เครื่องเทศรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นฉุน แต่บำรุงร่างกายได้เยี่ยม!
กระเทียม เครื่องเทศที่เป็นส่วนประกอบและเป็นเครื่องปรุงในอาหารไทย มีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุน มีลักษณะเป็นกลีบจะมีเปลือกขาว
กระเทียม เครื่องเทศรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นฉุน แต่บำรุงร่างกายได้เยี่ยม!
กระเทียม เครื่องเทศที่เป็นส่วนประกอบและเป็นเครื่องปรุงในอาหารไทย มีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุน มีลักษณะเป็นกลีบจะมีเปลือกขาว

กระเทียม

กระเทียม (Garlic) เป็น เครื่องเทศที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทยเพราะเป็นส่วนประกอบและเป็นเครื่องปรุงในอาหารไทยหลากหลายเมนู มีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุน แต่มีกลิ่นหอมเมื่อนำไปปรุงกับส่วนประกอบอื่น ๆ ช่วยทำให้อาหารมีรสกลมกล่อมและยังมีสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมต่อร่างกาย เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่าการรับประทานกระเทียมนั้นยอดเยี่ยมและช่วยแก้ไข้หวัดได้ แต่กระเทียมยังมีสรรพคุณต้านโรคต่าง ๆ ได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกระเทียม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium sativum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Garlic” และ “Common Garlic”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กระเทียม กระเทียมจีน” ภาคเหนือเรียกว่า “หอมเทียม” ภาคใต้เรียกว่า “เทียม หัวเทียม” ชาวกะเหรี่ยงและจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ปะเซ้วา” จังหวัดอุดรธานีเรียกว่า “กระเทียมขาว หอมขาว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE)

ลักษณะของกระเทียม

กระเทียม เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ในประเทศไทยนั้นจังหวัดศรีสะเกษถือเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องกระเทียมมีคุณภาพดีและกลิ่นแรง พันธุ์ของกระเทียมที่แต่ละหัวมีเพียงกลีบเดียวเรียกว่า “กระเทียมโทน”
หัว : หัวอยู่ใต้ดินเป็นลักษณะกลมแป้น แต่ละหัวประกอบด้วยกลีบหลายกลีบเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ แต่ละกลีบจะมีเปลือกหรือกาบสีขาวหรือม่วงอมชมพูหุ้มอยู่
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบเป็นรูปขอบขนาน แบนและแคบยาว ปลายใบแหลม โคนของใบแผ่เป็นแผ่นและเชื่อมติดกัน ขอบใบเรียบ ท้องใบมีรอยพับเป็นสันตลอดความยาว ใบมีสีเขียวแก่
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ มีลักษณะกลม ประกอบไปด้วยดอกหลายดอก มีกาบหุ้มเป็นจะงอยยาว รูปร่างยาวแหลม มีสีขาวแต้มสีม่วงหรือขาวอมชมพู
ผล : ขนาดเล็กเป็นกระเปาะสั้น ๆ รูปไข่และค่อนข้างกลม
เมล็ด : เมล็ดเล็กสีดำ

สรรพคุณของกระเทียม

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ปรับสมดุลในร่างกาย เพิ่มพละกำลังให้ร่างกาย ขับพิษ ฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ กำจัดพิษจากสารตะกั่ว ช่วยสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกาย
  • สรรพคุณด้านความงาม บำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง ลดความอ้วน ฆ่าเชื้อราตามหนังศีรษะและบริเวณเล็บ
  • สรรพคุณด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ เสริมสร้างการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย เพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อและกระดูก ต้านอาการไขข้ออักเสบ ต้านโรคข้อรูมาติสซั่ม
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ต้านเนื้องอก รักษาโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ รักษาโรคหลอดลม รักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรง ป้องกันโรคไต
  • สรรพคุณด้านไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล
  • สรรพคุณด้านเลือด ลดน้ำตาลในเลือด รักษาความดันโลหิต ป้องกันและรักษาโรคโลหิตจาง ขับพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว สารสกัดน้ำมันกระเทียมช่วยในการละลายลิ่มเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ป้องกันเม็ดเลือดแดงแตก
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้อาการมึนงง แก้ปวดศีรษะ แก้อาการหูอื้อ แก้ปัญหาผมบางและยาวช้า บรรเทาอาการไอและน้ำมูกไหล ช่วยขับเหงื่อ ขับเสมหะ ป้องกันหวัด รักษาอาการไอกรน แก้อาการหอบหืด ยับยั้งเชื้อที่ก่อให้เกิดฝีหนอง ยับยั้งเชื้อปอดบวมและวัณโรค รักษากลากเกลื้อน บรรเทาอาการปวดข้อและปวดเมื่อย แก้อาการเคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง
  • สรรพคุณด้านระบบสืบพันธุ์ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบสืบพันธุ์เพราะมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งหญิงและชาย ทำให้มดลูกบีบตัว
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย เพิ่มประสิทธิภาพของระบบทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคกระเพาะและยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ ช่วยขับลม รักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง รักษาท้องอืดหรือท้องเฟ้อ ป้องกันโรคท้องผูก รักษาอาการบิด ช่วยขับพยาธิอย่างพยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุดและพยาธิไส้เดือน กระตุ้นน้ำย่อยและเพิ่มความอยากอาหาร
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 รักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบและไซนัส ระงับกลิ่นปาก ยับยั้งเชื้อที่ก่อให้เกิดคออักเสบ

ประโยชน์ของกระเทียม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ช่วยปรุงรสชาติของอาหารหลากหลายเมนู
2. แปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร กระเทียมเสริมอาหาร กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง
3. ช่วยไล่ยุงและแมลง

คุณค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ

คุณค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 149 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม 
เส้นใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี1 0.2 มิลลิกรัม (17%)
วิตามินบี2 0.11 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี3 0.7 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี5 0.596 มิลลิกรัม (12%)
วิตามินบี6 1.235 มิลลิกรัม (95%)
วิตามินบี9 3 ไมโครกรัม (1%)
วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม (38%) 
แคลเซียม 181 มิลลิกรัม (18%)
เหล็ก 1.7 มิลลิกรัม (13%)
แมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม (7%)
แมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม (80%)
ฟอสฟอรัส 153 มิลลิกรัม (22%) 
โพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม (9%)
สังกะสี 1.16 มิลลิกรัม (12%)
ซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้กระเทียม

คำแนะนำในการใช้กระเทียม

1. เมื่อกระเทียมโดนความร้อนหรือหมักดอง ทำให้วิตามินและสารอัลลิซินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นสลายตัวไป
2. ควรปลูกกระเทียมในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพราะส่งผลต่อปริมาณของวิตามินและแร่ธาตุในกระเทียม
3. กระเทียมยังไม่มีการรับรองว่ารักษาโรคได้จริง เป็นเพียงยาสมุนไพรเสริมเท่านั้น ไม่ควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลในการรักษาอาการหรือโรคต่าง ๆ

ข้อควรระวังในการใช้กระเทียม

1. ไม่ควรสัมผัสกระเทียมเป็นประจำและเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและมีตุ่มน้ำได้
2. หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ มีระดับความดันโลหิตผิดปกติ ผู้ที่มีอาการของเลือดหยุดไหลช้า รวมไปถึงผู้ที่ใช้ยาอื่น ๆ เป็นประจำ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต้านไวรัส ไม่ควรรับประทานกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์กระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เป็นโทษต่อร่างกายได้
3. ไม่ควรสูดดมกลิ่นของกระเทียมมากจนเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และมีอาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติ แต่อาการจะค่อย ๆ หายไปเองภายในเวลา 3 – 4 ชั่วโมง

กระเทียม เป็นเครื่องปรุงที่มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นแรง แต่กระเทียมถือเป็นยาที่ช่วยแก้อาการต่าง ๆ ได้ดี แต่ความร้อนของกระเทียมอาจก่อให้เกิดปัญหาได้สำหรับบางคนที่รับประทานในปริมาณมาก ดังนั้นควรรับประทานอย่างระมัดระวัง สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ลดน้ำตาลในเลือด ละลายลิ่มเลือด ขับสารพิษ แก้ไข้และมีส่วนช่วยการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ถือเป็นเครื่องปรุงที่พบได้บ่อยมาก แทบจะทุกวันในชีวิตเลยก็ได้ การรับประทานกระเทียมถือเป็นหนึ่งสิ่งที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักกระเฉด แคลเซียมสูง บำรุงร่างกายและเสริมสร้างกระดูก

0
ผักกระเฉด มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงร่างกายและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ผักกระเฉด เป็นพืชที่เกิดตามผิวน้ำ ลำต้นเป็นเถากลม เนื้อนิ่ม ระหว่างข้อมีปล้องเป็นฟองสีขาวไว้หุ้มลำต้น
ผักกระเฉด มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงร่างกายและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ผักกระเฉด เป็นพืชที่เกิดตามผิวน้ำ ลำต้นเป็นเถากลม เนื้อนิ่ม ระหว่างข้อมีปล้องเป็นฟองสีขาวไว้หุ้มลำต้น

ผักกระเฉด

ผักกระเฉด (Water mimosa) เป็น ผักที่มีรสชาติอร่อยเมื่อนำมาปรุงและผัดน้ำมันหอยหรือเมนูยอดฮิตที่ชื่อว่า “ผัดผักกระเฉดไฟแดง” เป็นผักที่ใช้ปรุงในเมนูอาหารไทยได้หลากหลายชนิด ขึ้นชื่อว่าผักที่เป็นพืชสีเขียวแล้วย่อมอุดมไปด้วยสารอาหารและประโยชน์มากมาย ผักกระเฉดเองก็มีสรรพคุณทางยาได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกระเฉด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Neptunia oleracea Lour.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Water mimosa”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักกระเฉด ผักรู้นอน” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักหนอง” ภาคใต้เรียกว่า “ผักฉีด” ภาคอีสาน จังหวัดยโสธรและอุดรธานีเรียกว่า “ผักกระเสดน้ำ” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ผักหละหนอง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของผักกระเฉด

ผักกระเฉด เป็นพืชที่เกิดตามผิวน้ำ ลำต้นเป็นเถากลม เนื้อนิ่ม
ใบ : เป็นใบประกอบคล้ายใบกระถิน ตัวใบจะหุบลงในเวลากลางคืน จึงเรียกว่า “ผักรู้นอน” ระหว่างข้อมีปล้องเป็นฟองสีขาวไว้หุ้มลำต้น เรียกว่า “นมผักกระเฉด” เป็นตัวช่วยพยุงให้ผักกระเฉดลอยน้ำได้และช่วยดึงไนโตรเจนจากอากาศไปเลี้ยงยอด
ราก : รากงอกออกมาตามข้อ เรียกว่า “หนวด”
ดอก : ดอกจะเป็นช่อเล็ก ๆ สีเหลือง
ผล : ผลมีลักษณะเป็นฝักโค้งงอเล็กน้อยและแบน
เมล็ด : มีเมล็ดประมาณ 4 – 10 เมล็ด

สรรพคุณของผักกระเฉด

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย บำรุงร่างกายและดับพิษร้อน เสริมสร้างกระบวนการเผาผลาญสารอาหารให้นำมาสร้างเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้ สำหรับคนธาตุไฟและธาตุดินจะช่วยทำให้ร่างกายเกิดความสมดุลและไม่เจ็บป่วย
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการปวดศีรษะ แก้พิษไข้ ขับเสมหะ แก้อาการปวดแสบปวดร้อน ถอนพิษยาเบื่อยาเมา
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา เสริมสร้างฟันให้แข็งแรง
    – บรรเทาอาการปวดฟัน ด้วยการนำผักกระเฉดมาตำผสมกับเหล้า แล้วหยอดในบริเวณที่มีอาการปวด
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ขับลมในกระเพาะ ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค รักษากามโรค ป้องกันการเกิดโรคตับอักเสบ
  • สรรพคุณด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเป็นปกติ
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

ประโยชน์ของผักกระเฉด

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประกอบในเมนู เช่น ยำวุ้นเส้นผักกระเฉด ผัดหมี่กระเฉด ผัดผักกระเฉดไฟแดง ผักกระเฉดผัดน้ำมันหอย หรือจะใช้รับประทานสดร่วมกับน้ำพริก หรือถ้าจะให้ดีเมื่อลวกเสร็จแล้วให้ตักผักใส่น้ำเย็นจัดทันที จะทำให้ผักกระเฉดกรอบอร่อยและน่ารับประทานมากขึ้น หรือจะใช้น้ำแข็งมาโปะก็ได้เช่นกัน

เคล็ดลับ

– การเลือกซื้อผักกระเฉดควรเลือกซื้อผักที่มียอดอ่อน เพราะจะมีความกรอบและอร่อยมากกว่าผักกระเฉดแก่
– เคล็ดลับในการลวกผักง่าย ๆ ตั้งน้ำให้เดือดแล้วใส่เกลือด้วยเล็กน้อย อย่าลวกนานเพราะจะทำให้ผักกระเฉดเหนียว

คุณค่าทางโภชนาการของผักกระเฉด

คุณค่าทางโภชนาการของผักกระเฉด 100 กรัม ให้พลังงาน 29 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 6.4 กรัม
ไขมัน 0.4 กรัม
แคลเซียม 387 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 7.0 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 5.3 มิลลิกรัม 
เบตาแคโรทีน 3,710 ไมโครกรัม
ไทอะมีน 0.12 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.14 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.12 มิลลิกรัม 
วิตามินบี2 0.14 มิลลิกรัม
ไนอะซีน 3.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 22 มิลลิกรัม
กากใยอาหาร 1.8 กรัม

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานดิบ เพราะมีความเสี่ยงต่อพยาธิตัวอ่อนที่อาจปะปนเข้ามา รวมไปถึง “ไข่ปลิง” ที่ทนความร้อนได้สูงมาก ควรรับประทานสุกที่ต้มด้วยความร้อนสูงก่อนนำมารับประทาน
2. คนที่รับประทานยารักษาอยู่ไม่ควรรับประทาน เพราะฤทธิ์ของผักกระเฉดอาจจะไปทำให้ยารักษาโรคเสื่อมฤทธิ์ได้

ผักกระเฉด เป็นยาสมุนไพรที่บรรพบุรุษใช้รักษาบำรุงร่างกายมาแต่เนิ่นนาน จัดเป็นประเภทยาเย็นที่มีความสามารถในการดับความร้อนในร่างกายได้ มีรสชาติอร่อยเมื่อนำมาปรุงกับอาหารต่าง ๆ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เสริมสร้างกระดูกเพราะมีแคลเซียมสูง แก้ไข้ แก้อาการปวดแสบร้อน บำรุงร่างกายให้แข็งแรง เป็นผักที่รับประทานง่ายและพบได้ทั่วไปในเมนูอาหารไทยต่าง ๆ

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักบุ้ง ผักยอดฮิตคนไทย บำรุงสายตา รักษาตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแห้ง

0
ผักบุ้ง ผักยอดฮิตของคนไทย ช่วยบำรุงสายตา รักษาตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแห้ง
ผักบุ้ง ผักยอดฮิตชนิดหนึ่งสำหรับคนไทย มีลำต้นเลื้อยทอดไปตามน้ำหรือที่ลุ่มที่มีความชื้น มีทั้งผักบุ้งแก้ว ผักบุ้งจีน ผักบุ้งนา
ผักบุ้ง ผักยอดฮิตของคนไทย ช่วยบำรุงสายตา รักษาตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแห้ง
ผักยอดฮิตชนิดหนึ่งสำหรับคนไทย มีลำต้นเลื้อยทอดไปตามน้ำหรือที่ลุ่มที่มีความชื้น มีทั้งผักบุ้งแก้ว ผักบุ้งจีน ผักบุ้งนา

ผักบุ้ง

ผักบุ้ง (Water Morning Glory) เป็น ผักยอดฮิตชนิดหนึ่งสำหรับคนไทย โดยเฉพาะเมนู “ผัดผักบุ้งไฟแดง” ซึ่งเป็นเมนูพื้นฐานของร้านอาหารทั่วไป เป็นผักที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการบำรุงสายตาเพราะมีวิตามินเอสูง สามารถนำมาปรุงได้หลากหลายและมีรสชาติอร่อย ทานง่าย จะนำมาต้มแบบร้าน MK หรือจะนำมาผัดไฟแดงก็อร่อยได้เช่นกัน แต่ผักบุ้งนั้นมีประโยชน์และสรรพคุณมากกว่าการบำรุงสายตาแบบที่คนทั่วไปรู้กัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักบุ้ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ipomoea aquatica Forssk.
ชื่อสามัญ : ผักบุ้งมีชื่อสามัญ 6 ชื่อ คือ “Swamp morning glory” “Thai water convolvulus” “Morning glory” “Water spinach” “Water morning glory” และ “Swamp cabbage”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักบุ้งนา” “ผักทอดยอด” มลายูเรียกว่า “โหนเดาะ กากง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE)
ชื่อพ้อง : Ipomoea reptans Poir.

ลักษณะของผักบุ้ง

ผักบุ้ง เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นเลื้อยทอดไปตามน้ำหรือที่ลุ่มที่มีความชื้น ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ๆ คือ
ผักบุ้งไทย : เป็นผักบุ้งสายพันธุ์ธรรมชาติที่ขึ้นเองตามแม่น้ำลำคลอง นิยมใช้ทำแกงส้ม แกงเทโพ ผัดกะปิ เป็นต้น
ผักบุ้งจีน : เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศแต่สามารถเพาะปลูกในไทยได้ เป็นผักที่นิยมใช้ในเมนูสำคัญอย่างผัดผักบุ้งไฟแดง ใส่ในแจ่วฮ้อน สุกี้หรือกินกับหมูกระทะ
ผักบุ้งนา : ลำต้นมีสีแดง ยอดเรียวเล็ก รสฝาด กินกับลาบ น้ำตกและอาหารอีสานอื่น ๆ

สรรพคุณของผักบุ้ง

  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส มีน้ำมีนวล ชะลอวัย
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงธาตุ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันโรคมะเร็ง ยอดผักบุ้งช่วยแก้โรคประสาท ป้องกันโรคเบาหวาน รากแก้โรคหืด บำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดหรือผู้ที่ได้รับสารพิษอย่างเกษตรกร
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงสายตา รักษาอาการตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง และสายตาสั้น รักษาอาการคันตาบ่อย ๆ ต้นสดของผักบุ้งไทยช่วยบำรุงฟัน แก้อาการเหงือกบวม
    – รักษาแผลร้อนในข้างในปาก ด้วยการนำผักบุ้งสดมาผสมเกลือ แล้วอมไว้ในปากประมาณ 2 นาที วันละ 2 ครั้ง
    – รักษาฟันเป็นรูปวด ด้วยการใช้รากสด 120 กรัม ผสมกับน้ำส้มสายชู คั้นเอาน้ำมาบ้วนปาก
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ ต้นสดแก้อาการร้อนใน รากแก้อาการเหงื่อออกมากและแก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการปวดศีรษะและอ่อนเพลีย ยอดมีส่วนช่วยแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพ ผักบุ้งรสเย็นช่วยถอนพิษเบื่อเมา รากผักบุ้งรสจืดเฝื่อนช่วยถอนพิษสำแดง ผักบุ้งไทยต้นขาวแก้อาการฟกช้ำและถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ดอกของผักบุ้งไทยต้นขาวเป็นยาแก้กลากเกลื้อน ต้นสดของผักบุ้งไทยต้นขาวใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกและช่วยลดการอักเสบ อาการปวดบวมต่าง ๆ
    – แก้หนองใน ด้วยการใช้ลำต้นมาคั้น นำน้ำที่คั้นมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วดื่ม
    – แก้แผลมีหนองช้ำ ด้วยการใช้ต้นสดต้มน้ำให้เดือดนาน ๆ ทิ้งไว้พออุ่นแล้วเอาน้ำล้างแผลวันละครั้ง
    – แก้พิษตะขาบกัด ด้วยการใช้ต้นสดเติมเกลือ นำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ถูกกัด
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ต้นสดช่วยบำรุงโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต
    – แก้เลือดกำเดาไหลมากผิดปกติ ด้วยการใช้ต้นสดมาตำผสมน้ำตาลทราย นำมาชงร้อนแล้วดื่ม
  • สรรพคุณช่วยเสริมสร้างสมอง เสริมสร้างศักยภาพในด้านความจำและการเรียนรู้ให้ดีขึ้น
  • สรรพคุณด้านกระดูก ต้นสดของผักบุ้งไทยช่วยบำรุงกระดูก
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ผักบุ้งขาวหรือผักบุ้งจีนช่วยให้เจริญอาหาร ป้องกันการเกิดโรคกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารจากผลของยาแอสไพริน ป้องกันโรคท้องผูก ทำความสะอาดของเสียที่ตกค้างในลำไส้ ผักบุ้งจีนมีฤทธิ์ช่วยในการขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะเหลือง รากแก้อาการตกขาวมากของสตรี
    – แก้อาการปัสสาวะเป็นเลือดและถ่ายเป็นเลือด ด้วยการใช้ลำต้นมาคั้น นำน้ำที่คั้นมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วดื่ม
    – แก้ริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นสด 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร นำมาต้มให้เละ เอากากทิ้งแล้วใส่น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม จากนั้นเคี่ยวจนข้นหนืด นำมารับประทานครั้งละ 90 กรัม วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

ประโยชน์ของผักบุ้ง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประกอบอาหารอย่างพวกผัดผัก แกงต่าง ๆ ของดอง และนำมาต้มพร้อมรับประทาน
2. ใช้ในการเกษตร เป็นอาหารสัตว์ของหมู เป็ด ไก่ และปลา
3. ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างผักบุ้งแคปซูล ผงผักบุ้ง เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของผักบุ้ง

คุณค่าทางโภชนาการของผักบุ้งต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 3.14 กรัม
เส้นใย 2.1 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โปรตีน 2.6 กรัม
วิตามินเอ 315 ไมโครกรัม (39%)
วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี2 0.1 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินบี3 0.9 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี5 0.141 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี6 0.096 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินบี9 57 ไมโครกรัม (14%)
วิตามินซี 55 มิลลิกรัม (66%)
แคลเซียม 77 มิลลิกรัม (8%) 
เหล็ก 1.67 มิลลิกรัม (13%)
แมกนีเซียม 71 มิลลิกรัม (20%)
แมงกานีส 0.16 มิลลิกรัม (8%)
ฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม (6%) 
โพแทสเซียม 312 มิลลิกรัม (7%)
โซเดียม 113 มิลลิกรัม (8%) 
สังกะสี 0.18 มิลลิกรัม (2%)

*** สารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายจะให้ประสิทธิภาพ 100% หากรับประทานสดมากกว่านำมาปรุงร้อน

ข้อควรระวัง

ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักบุ้ง เพราะผักบุ้งมีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต จะทำให้ความดันยิ่งต่ำ อาจจะก่อให้เกิดอาการเป็นตะคริวได้ง่ายและบ่อยขึ้น อีกทั้งยังทำให้ร่างกายอ่อนแอด้วย

ผักบุ้ง ในประเทศไทยนิยมรับประทานผักบุ้งจีนมากกว่าผักบุ้งชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นผัดผักบุ้งหรือผักสดตามร้านอาหารชาบูและหมูกระทะ ล้วนเป็นผักบุ้งจีนทั้งนั้นเพราะมียางน้อยกว่าผักบุ้งไทย จึงได้รับความนิยมในการรับประทานมากกว่า สรรพคุณที่โดดเด่นของผักบุ้งคือ บำรุงสายตา บำรุงฟัน ต้านมะเร็ง ป้องกันเบาหวานและป้องกันโรคกระเพาะอาหาร เป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย เหมาะแก่การรับประทานเป็นประจำ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ชะพลู เมนูเด็ดทานกับหมูย่าง ขับลม ขับเสมหะ รักษาเบาหวานได้ด้วย

0
ชะพลู เมนูเด็ดเมื่อทานกับหมูย่าง ช่วยขับลม ขับเสมหะ รักษาเบาหวานได้ด้วย
ชะพลู พืชที่หาได้ง่าย เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ผิวใบเรียบมีสีเขียวเข้ม รูปหัวใจ
ชะพลู เมนูเด็ดเมื่อทานกับหมูย่าง ช่วยขับลม ขับเสมหะ รักษาเบาหวานได้ด้วย
ชะพลู พืชที่หาได้ง่าย เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ผิวใบเรียบมีสีเขียวเข้ม รูปหัวใจ

ชะพลู

ชะพลู (Chaplu) เป็น พืชที่หาได้ง่าย มักจะนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารมากมายหลายเมนูโดยเฉพาะ “หมูย่างใบชะพลู” ซึ่งเป็นเมนูที่โด่งดังอย่างมาก อย่างไรก็ตามพืชสีเขียวบนโลกนี้มีมากมายจนนับไม่ถ้วน บางคนอาจจะรู้จักชื่อแต่ไม่รู้ว่าชะพลูมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านไหน ชะพลูถือเป็นพืชที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเป็นอย่างมากเพราะมีฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนซ์สูง ทั้งนี้บุคคลทั่วไปก็จะได้รับคุณประโยชน์จากชะพลูมากมายเช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของชะพลู

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper sarmentosum Roxb. หรือ Piper lolot C.DC.
ชื่อสามัญ : Wildbetal leafbush
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ช้าพลู” ภาคใต้เรียกว่า “นมวา” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักพลูนก พลูลิง ปูลิง ปูลิงนก ผักปูนา” ภาคอีสานเรียกว่า “ผักแค ผักอีเลิด ผักนางเลิด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พริกไทย (PIPERACEAE)

ลักษณะของชะพลู

ชะพลู เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน แผ่นใบบาง ที่ผิวใบเรียบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีขนาดเล็กสีขาวอัดแน่นอยู่บนแกนช่อดอก
ผล : เป็นผลสดลักษณะกลม อัดแน่นอยู่บนแกน

การนำไปใช้ประโยชน์ของชะพลู

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนประกอบในเมนูต่าง ๆ เช่น หมูห่อใบชะพลู แกงคั่วไก่ใบชะพลู ยำตะไคร้ใบชะพลู เป็นต้น
2. เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร รากชะพลูเป็นส่วนผสมของตำรับสมุนไพรพิกัดยาตรีสาร

ประโยชน์ของใบชะพลู

1. สรรพคุณจากใบ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น ช่วยบำรุงและรักษาสายตาและช่วยในการมองเห็น ป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน และแก้โรคตาฟาง ยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ช่วยขับเสมหะบริเวณทรวงอกและลำคอ ช่วยในการขับถ่าย
2. สรรพคุณจากราก ช่วยบำรุงธาตุและแก้ธาตุพิการ (ระบบน้ำเหลืองหรือระบบโลหิตเสีย) ช่วยทำให้เสมหะงวดและแห้ง ขับเสมหะบริเวณทรวงอกและลำคอ ช่วยในการขับอุจจาระ

  •  แก้อาการบิด ด้วยการใช้รากประมาณครึ่งกำมือ ใช้ผลประมาณ 3 หยิบมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1/4 ของถ้วยแก้ว
  • แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและจุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3/4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1/4 ของถ้วยแก้ว
  • ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3/4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1/4 ของถ้วยแก้ว
    สรรพคุณจากทั้งต้น
  • ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ชะพลูสดทั้งต้นประมาณ 7 ต้น นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำพอท่วมแล้วต้มให้เดือดสักพักแล้วนำมาดื่มเป็นชา
  • แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและจุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3/4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1/4 ของถ้วยแก้ว

ชะพลู คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของใบชะพลู 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 101 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
เส้นใยหรือไฟเบอร์ 4.6 กรัม
แคลเซียม 601 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
เหล็ก 7.6 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 21255 iu
วิตามินบี1 0.13 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.11 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานใบชะพลูเป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ เพราะแคลเซียมที่สูงมากในใบชะพลูจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมออกซาเลต (Oxalate) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตไม่ควรรับประทานมากเกินควรเพราะจะไปสะสมที่ไตและทำให้ไตทำงานหนักขึ้น
2. แคลเซียมออกซาเลต (Oxalate) ทำให้เวียนศีรษะ

ชะพลู เป็นพืชที่นิยมรับประทานทั้งในอาหารเวียดนามและในอาหารไทย เป็นพืชที่มีลักษณะของใบเด่นเหมือนรูปหัวใจ ตัวใบมีธาตุแคลเซียมสูงมาก ถือเป็นประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็เป็นโทษเช่นกัน หากรับประทานมากเกินควร สรรพคุณที่โดดเด่นของชะพลูเลยก็คือช่วยรักษาโรคเบาหวาน ขับลมและแก้อาหารท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งและช่วยในการขับเสมหะ ใบชะพลูเหมาะอย่างมากที่จะนำมาประกอบอาหารทานในบ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักจะเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งถือเป็นโรคนิยมของคนไทยในปัจจุบัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักกาดขาว ผักยอดนิยมทั่วไป มีกากใยสูง ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการท้องผูก

0
ผักกาดขาว ผักยอดนิยมทั่วไป มีกากใยสูง ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการท้องผูก
ผักกาดขาว ผักยอดนิยมของคนทั่วโลก เป็นใบเลี้ยงเดี่ยวแตกออกเรียงสลับกัน มีก้านใบใหญ่เป็นกาบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีขาวนวลและมีรสชาติหวานกรอบ
ผักกาดขาว ผักยอดนิยมทั่วไป มีกากใยสูง ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการท้องผูก
ผักกาดขาว ผักยอดนิยมของคนทั่วโลก เป็นใบเลี้ยงเดี่ยวแตกออกเรียงสลับกัน มีก้านใบใหญ่เป็นกาบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีขาวนวลและมีรสชาติหวานกรอบ

ผักกาดขาว

ผักกาดขาว (Chinese Cabbage) เป็น ผักยอดนิยมสำหรับคนทั่วโลก มีเส้นใยสูงและมีรสชาติดีเมื่อนำมาปรุง เป็นผักที่พบได้ทั่วไปและรับประทานง่าย สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งนี้ผักกาดนั้นเป็นผักที่นิยมในตลาดจึงทำให้การเกษตรมักจะมีการฉีดยาฆ่าแมลง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในผักที่ขึ้นชื่อเรื่องสารพิษจากยาฆ่าแมลงปนเปื้อนอยู่เยอะ แต่ผักกาดขาวที่เรารับประทานกันบ่อย ๆ นั้นมีสรรพคุณที่ช่วยบำรุงร่างกายของเราได้หลายอย่าง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกาดขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brassica rapa subsp. pekinensis
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Chinese Cabbage”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อท้องถิ่นที่เรียกกันว่า “ผักกาดขาวปลี” “แปะฉ่าย” “แปะฉ่ายลุ้ย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักกาด (BRASSICACEAE หรือ CRUCIFERAE)
ชื่อพ้อง : Brassica chinensis var. pekinensis (Lour.) V.G. Sun

ลักษณะของผักกาดขาว

ผักกาดขาว เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่นิยมปลูกกันในประเทศไทย 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์เข้าปลียาว มีลักษณะสูงเป็นรูปไข่ พันธุ์เข้าปลีกลมแน่น มีลักษณะสั้นและอ้วนกลม พันธุ์เข้าปลีหลวมหรือไม่ห่อปลี
ลำต้น : ลำต้นเดี่ยวตั้งตรง
ใบ : เป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ใบแตกออกเรียงสลับกัน ใบด้านนอกใหญ่กว่าใบด้านใน มีลักษณะทรงกลมวงรี โคนใบกว้างและใหญ่ ผิวใบบางเป็นมัน สามารถมองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ขอบใบหยัก ใบมีสีเขียวอ่อน เขียวปนเหลืองหรือสีเขียวแก่ มีก้านใบใหญ่เป็นกาบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีขาวนวลและมีรสชาติหวานกรอบ
ราก : เป็นระบบรากแก้ว มีลักษณะอวบกลมแทงลึกลงในดิน มีรากฝอยและรากแขนงเล็ก ๆ ออกรอบบริเวณลำต้น รากมีสีน้ำตาล
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ก้านช่อดอกใหญ่และยาว มีแขนงก้านย่อยจำนวนมาก มีดอกย่อยจากโคนไปที่ปลายยอด ดอกมีลักษณะเล็ก กลีบดอกมีสีเหลืองและกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน
ผล : มีผลเป็นฝักลักษณะทรงกลมเรียวยาว มีปลายเป็นจะงอยยาว ฝักดิบมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาล เมื่อฝักแก่มากจะแตกออก
เมล็ด : มีเมล็ดสีน้ำตาลจำนวนมากเรียงอยู่ในฝัก มีลักษณะแบนยาวรูปวงรีขนาดเล็ก และมีเปลือกหุ้มเมล็ด

สรรพคุณของผักกาดขาว

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงกำลังและร่างกาย กำจัดสารพิษ ของเสีย และโลหะหนักออกจากร่างกาย
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันการเกิดโรคตาบอดตอนกลางคืน รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
    – รักษาแผลในปาก ด้วยการคั้นน้ำจากหัวผักกาดขาวแล้วนำมาใช้บ้วนปากเป็นประจำ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยให้เจริญอาหารและย่อยอาหาร ป้องกันโรคมะเร็งในลำไส้ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ หัวผักกาดช่วยแก้ท้องเสีย บรรเทาอาการท้องผูก ขับปัสสาวะ รักษานิ่วในทางเดินปัสสาวะ
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการกระหาย เมล็ดช่วยแก้หืด แก้อาเจียนเป็นเลือด ใบแก้อาการเจ็บคอ แก้พิษสุรา แก้อาการบวมน้ำ แก้อาการอักเสบ
    – แก้อาการหวัด ด้วยการต้มหัวผักกาดแล้วดื่ม
    – แก้อาการไอและเสมหะ ด้วยการใช้หัวผักกาดมาใส่ขิงและน้ำผึ้งเล็กน้อย ต้มแล้วดื่ม
    – แก้อาการเสียงแห้ง ไม่มีเสียง ด้วยการคั้นน้ำหัวผักกาดขาว เติมน้ำขิงเล็กน้อยแล้วนำมาดื่ม
    – แก้อาการเรอเปรี้ยว ด้วยการนำหัวผักกาดขาวดิบมาหั่นประมาณ 3 – 4 แว่น แล้วนำมาเคี้ยวกิน
    – รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือแผลโดนสะเก็ดไฟ ด้วยการใช้หัวผักกาดหรือเมล็ดมาตำให้แหลกแล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นแผล
    – แก้อาการฟกช้ำดำเขียว ด้วยการใช้หัวผักกาดหรือใบมาตำให้ละเอียดแล้วพอกบริเวณที่ฟกช้ำ
  • สรรพคุณด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ลดความดันโลหิตสูง เสริมสร้างความแข็งแรงให้ผนังหลอดเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง แก้เลือดกำเดาไหล
  • สรรพคุณสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ใบช่วยขับน้ำนม ช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ช่วง 3 เดือนแรก
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันมะเร็ง รักษาโรคเหน็บชา

เมนูจากผักกาดขาวที่แนะนำ

  • ผัดผักกาดขาว
  • แกงจืดผักกาดขาว
  • ต้มจืดผักกาดขาวยัดไส้
  • สุกี้ผักกาดขาว
  • ผักกาดขาวห่อหมูสับ
  • แกงส้มผักกาดขาว
  • กิมจิผักกาดขาว

คำแนะนำในการรับประทานผักกาดขาว

1. ควรล้างน้ำให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อล้างสารปนเปื้อนหรือยาฆ่าแมลงออกก่อน
2. ควรรับประทานหัวผักกาดดิบเพราะมีสารอาหารมากกว่าผ่านการปรุงหรือผ่านความร้อนมา เนื่องจากวิตามินซีและเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) ในหัวผักกาดขาวจะถูกทำลายที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส
3. ผู้ที่มีอาการม้ามพร่องหรือมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นท้องเป็นประจำ อาหารไม่ค่อยย่อย มีแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ ไม่ควรรับประทานผักกาดขาวในปริมาณมากเกินไป
4. ผู้ที่อาหารไม่ย่อยหรือรับประทานเนื้อมากจนเกินไป ควรทานเพราะหัวผักกาดขาวมีน้ำมันมัสตาร์ด (Mustard oil) เมื่อรวมกับเอนไซม์ในหัวผักกาดจะมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นกระเพาะอาหารและช่วยย่อยอาหารได้

คุณค่าทางโภชนาการของผักกาดขาว

คุณค่าทางโภชนาการของผักกาดขาว 100 กรัม 12 แคลอรี

สามรอาหาร ปริมาณสารอาหาร
น้ำ 91.7 กรัม
โปรตีน 0.6 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม
เส้นใย 0.8 กรัม
แคโรทีน 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินซี 30 มิลลิกรัม
แคลเซียม 49 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 34 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 196 มิลลิกรัม
ซิลิคอน 0.024 มิลลิกรัม
แมงกานีส 1.26 มิลลิกรัม
ทองแดง 0.21 มิลลิกรัม
สังกะสี 3.21 มิลลิกรัม
โมลิบดีนัม 0.125 มิลลิกรัม
โบรอน 2.07 มิลลิกรัม
กรดนิโคตินิค (Nicotinic acid) 0.5 มิลลิกรัม

สารออกฤทธิ์ในผักกาดขาว

มีสารอาหารที่ชื่อว่า ออร์กาโนซัลไฟด์และฟลาโวนอยด์อยู่ในผักกาดขาว ช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ

ผักกาดขาว เป็นผักทั่วไปที่คนไทยนิยมนำมารับประทาน เป็นผักที่ครัวในบ้านต้องมีไว้ สามารถนำมาทำเมนูได้หลากหลาย ผักกาดขาวนั้นก็ขึ้นชื่อในเรื่องของกากใยอาหารสูงอยู่แล้ว แต่ยังมีสรรพคุณแก้อาการต่าง ๆ ได้ด้วย สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยให้เจริญอาหารและย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก ทำให้เม็ดเลือดแข็งแรงและช่วยขับน้ำนม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะตูม ยาดีสำหรับการขับถ่ายติดขัด ช่วยแก้หวัดและบำรุงร่างกาย

0
มะตูม ยาดีสำหรับการขับถ่ายติดขัด ช่วยแก้หวัดและบำรุงร่างกาย
มะตูม ยาดีสำหรับการขับถ่ายติดขัด ช่วยแก้หวัดและบำรุงร่างกาย
มะตูม ยาดีสำหรับการขับถ่ายติดขัด ช่วยแก้หวัดและบำรุงร่างกาย
มะตูม พืชผลไม้ที่มีเปลือกแข็งเรียบ เนื้อผลเหนียวข้นและมีกลิ่นหอม นิยมสกัดเป็นน้ำดื่ม

มะตูม

มะตูม (Aegle marmelos) เป็น พืชผลไม้ที่คนทั่วไปรู้จักหรือเคยได้ยินกันอย่างแน่นอน ส่วนมากมักจะพบมะตูมในรูปแบบของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สามารถหาซื้อได้ง่ายมาก คนไทยนิยมนำมะตูมมาสกัดเป็นน้ำดื่มกันอย่างแพร่หลาย เป็นที่รู้กันดีว่าน้ำมะตูมนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากรูปแบบของเครื่องดื่มแล้วต้นมะตูมยังถือว่าเป็นไม้มงคลของศาสนาฮินดู เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ ส่วนในประเทศไทยเชื่อกันว่าใบมะตูมใช้ป้องกันภูตผีปีศาจได้ และยังเป็นพันธุ์ไม้มงคลประจำจังหวัดชัยนาทอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะตูม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aegle marmelos
ชื่อสามัญ : Bael
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะปิน” ภาคใต้เรียกว่า “กะทันตาเถร ตูมและตุ่มตัง” ภาคอีสานเรียกว่า “บักตูม” ภาษาเขมรเรียกว่า “พะโนงค์” ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “มะปีส่า”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ส้ม (RUTACEAE)
ชื่อพ้อง : Belou marmelos (L.) Lyons, Bilacus marmelos (L.) Kuntze, Crateva marmelos L., Feronia pellucida

ลักษณะของมะตูม

มะตูม เป็นไม้ผลยืนต้นพื้นเมืองของอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เปลือก : มีสีเทาเรียบเป็นร่องตื้น เนื้อไม้แข็งและมีสีขาวแกมเหลือง มีกลิ่นหอม โคนต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม ยาวและแข็ง
ใบ : ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยรูปไข่หรือรูปหอก มีลักษณะคล้ายตรีศูลของพระศิวะ
ดอก : มีสีขาวหรือขาวอมเขียวและมีกลิ่นหอม
ผล : มีเปลือกแข็งเรียบ บางผลมีเปลือกแข็งมากจนต้องกะเทาะเปลือกออกโดยใช้ค้อนทุบ เนื้อผลเหนียวข้นและมีกลิ่นหอม
เมล็ด : มีจำนวนมากแทรกอยู่ในเนื้อผล โดยเมล็ดจะมีขนหนาปกคลุม

สรรพคุณของมะตูม

  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย ผลสุกใช้เป็นยาระบายได้ ช่วยรักษาอาการท้องร่วง ท้องเดินและโรคลำไส้ รักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง แก้ลมและมูกเลือด
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการหวัดด้วยการใช้ใบสดคั้น เปลือกรากและลำต้นจะบรรเทาอาการไข้จับสั่น ช่วยบรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เป็นยาบำรุงร่างกาย รักษาธาตุและบำรุงธาตุไฟ

ประโยชน์ของมะตูม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลมะตูมนำมารับประทานได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง
2. มะตูมสุกมีเนื้อเละสามารถนำมารับประทานเป็นผลไม้ได้
3.ใบอ่อนของมะตูมนำมารับประทานเป็นผักหรือใช้กินน้ำพริกและลาบ เป็นส่วนผสมของขนมหลายชนิด
4.แปรรูปเป็นเครื่องดื่มได้ด้วยการนำผลมะตูมไปผสมกับมะขามหรือนำน้ำมะตูมที่กรองมาใส่น้ำตาลจะให้รสชาติเหมือนกับมะนาว ผลแก่มะตูมนำมาฝานทำเป็นมะตูมเชื่อมได้

มะตูม เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีผลดีต่อร่างกาย สามารถหาซื้อได้ทั่วไปทั้งมะตูมตากแห้ง ผลมะตูม เครื่องดื่มมะตูมเพื่อสุขภาพ ถือว่าเป็นที่นิยมพอสมควรสำหรับคนไทยในการรับประทานน้ำมะตูม มีสรรพคุณที่โดดเด่นในเรื่องของการขับถ่าย บำรุงร่างกายและแก้หวัด แถมยังเป็นไม้มงคลตามความเชื่อของคนไทยอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะเขือพวง ต้านมะเร็ง ต้านไวรัส ลดไขมันและบำรุงไต

0
มะเขือพวง ต้านมะเร็ง ต้านไวรัส ลดไขมันและบำรุงไต
มะเขือพวง เป็นทรงพุ่มขนาดเล็ก ผลอยู่เป็นพวง สีเขียว เนื้อแน่นกรอบฉ่ำน้ำ มีรสชาติขมอ่อน ๆ
มะเขือพวง ต้านมะเร็ง ต้านไวรัส ลดไขมันและบำรุงไต
มะเขือพวง เป็นทรงพุ่มขนาดเล็ก ผลอยู่เป็นพวง สีเขียว เนื้อแน่นกรอบฉ่ำน้ำ มีรสชาติขมอ่อน ๆ

มะเขือพวง

มะเขือพวง (Turkey berry) เป็น พืชผักที่ใช้เป็นส่วนประกอบในน้ำพริกมากมายโดยเฉพาะในน้ำพริกกะปิ ซึ่งเป็นน้ำพริกที่คนไทยชื่นชอบ ถือเป็นมะเขือที่คนไทยคุ้นเคยกันมานานแต่สรรพคุณของมะเขือพวงนั้นยังไม่ค่อยมีใครรู้มากนัก อีกทั้งยังเป็นพืชที่มีสารอาหารที่สำคัญมากมาย ยังพบบันทึกว่ามะเขือพวงเป็นยาแผนโบราณในตำราอายุรเวทของประเทศจีนอีกด้วย มะเขือพวงมีมากมายหลายสายพันธุ์ ในบางสายพันธุ์ก็ใช้เป็นยาสมุนไพร เป็นต้นพืชที่สามารถหาได้ง่ายและมีผลผลิตตลอดทั้งปี

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเขือพวง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum torvum Sw.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 6 ชื่อ คือ “Turkey berry” “Devil’s fig” “Wild eggplant” “Pea eggplant” “Pea aubergine” “Shoo – shoo bush”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะแคว้งกุลา” ภาคอีสานเรียกว่า “หมากแข้ง” ภาคใต้เรียกว่า “เขือน้อย เขือพวง เขือเทศ ลูกแว้ง” จังหวัดสงขลาเรียกว่า “มะแว้งช้าง” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “มะเขือละคร”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)
ชื่อพ้อง : Solanum ficifolium Ortega, Solanum mayanum Lundell

ลักษณะของมะเขือพวง

มะเขือพวง เป็นทรงพุ่มขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในแถบรัฐฟลอริดา หมู่เกาะเวสต์ อินดีส์ เม็กซิโก ไปจนถึงอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้แถบประเทศบราซิล เป็นวัชพืชที่ขึ้นกระจัดกระจายเกือบทั่วเขตร้อน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน มีลักษณะทรงเรียวรี ใบใหญ่ยาว ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นรอยหยัก ใบมีสีเขียวและมีขนปกคลุมทั่วใบ
ราก : เป็นระบบรากแก้วแทงลึกลงในดิน มีลักษณะกลมสีน้ำตาล มีรากแขนงและรากย่อย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ เกาะกลุ่มอยู่เป็นพวง ดอกมีลักษณะเป็นรูปแตรขนาดเล็ก กลีบดอกมีสีม่วงหรือสีขาว
ผล : ผลอยู่เป็นพวง มีลักษณะทรงกลมเล็ก ๆ ผิวเปลือกหนาเรียบเป็นมัน ผลมีสีเขียว เนื้อแน่นกรอบฉ่ำน้ำ มีรสชาติขมอ่อน ๆ ผลสุกจะมีสีเหลืองหรือสีส้ม
เมล็ด : มีจำนวนมากอยู่ภายในผลแก่ เมล็ดมีลักษณะแบนกลมเล็ก ๆ และมีสีน้ำตาล

การนำไปใช้ประโยชน์ของมะเขือพวง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารอย่างแกงป่าทั้งหลาย น้ำพริกต่าง ๆ และผัดเผ็ด
2. เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร

สรรพคุณของมะเขือพวง

  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ต่อต้านโรคมะเร็ง ต้านเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 และยับยั้งไวรัส ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ใบสดช่วยรักษาโรคซิฟิลิสหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    – รักษาโรคตาปลา ด้วยการนำรากสดมาตำแล้วพอกบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ มีฤทธิ์ในการขับเสมหะ ลดอาการความเครียดออกซิเดชันในผู้ป่วยเบาหวาน บรรเทาอาการไอและเป็นเลือด บรรเทาอาการภูมิแพ้ รักษาอาการเป็นพิษต่อไตที่เกิดจากยาคีโมที่ใช้รักษามะเร็ง มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบและป้องกันการอักเสบเฉียบพลัน ใบสดเป็นยาระงับอาการประสาท ช่วยขับเหงื่อและแก้อาการชัก แก้อาการหืด น้ำคั้นใบสดช่วยลดไข้ ใช้แก้ปวดและปวดข้อ แก้อาการฟกช้ำ ใบสดใช้รักษาฝีบวมมีหนอง ช่วยพอกฝีหนองแตกเร็วขึ้นและช่วยทำให้ฝียุบ ใบสดรักษาโรคผิวหนัง ผลแห้งช่วยรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย ต้นรักษาโรคกลากเกลื้อนตามผิวหนัง
    – แก้พิษในร่างกาย ด้วยการนำน้ำมะขามแช่รากมะเขือพวงแล้วนำมาต้มดื่ม
    – แก้อาการปวดฟัน ด้วยการนำเมล็ดไปเผาให้เกิดควันแล้วสูดเอาควันรมแก้ปวด
    – แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ด้วยการใช้น้ำสกัดจากลำต้นมะเขือพวง
    – รักษาอาการรอยเท้าแตก ด้วยการนำรากสดมาตำแล้วพอกบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณด้านควบคุมไขมัน ช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ลดระดับคอเลสเตอรอล
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • สรรพคุณบำรุงอวัยวะ บำรุงตับ บำรุงธาตุและบำรุงร่างกาย บำรุงไต
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย รักษาความดันโลหิตสูง ทำให้เลือดในร่างกายหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ใบสดช่วยห้ามเลือด
  • สรรพคุณด้านการคลายเครียด ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและง่วงนอน
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผลแห้งช่วยบำรุงสายตา
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลำไส้และป้องกันสารพิษที่เข้ามายังระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจากสารเพกทินซึ่งมีหน้าที่ดึงน้ำไว้ได้มากเพื่อเพิ่มปริมาณของอุจจาระจึงช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและทำให้ถ่ายง่ายขึ้นมาก ป้องกันโรคท้องผูกและริดสีดวงทวาร ผลและใบช่วยในการขับปัสสาวะ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือพวงสด

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือพวงสดต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 24 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอหาร
คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม
น้ำตาล 2.35 กรัม
เส้นใย 3.4 กรัม
ไขมัน 0.19 กรัม 
โปรตีน 1.01 กรัม
วิตามินบี1 0.039 มิลลิกรัม 
วิตามินบี2 0.037 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.649 มิลลิกรัม
วิตามินบี5 0.281 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.84 มิลลิกรัม
วิตามินบี9 22 ไมโครกรัม
วิตามินซี 2.2 มิลลิกรัม
แคลเซียม 9 มิลลิกรัม 
ธาตุเหล็ก 0.24 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 14 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม 
โพแทสเซียม 230 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.16 มิลลิกรัม
แมงกานีส 0.25 มิลลิกรัม

สารออกฤทธิ์ในมะเขือพวง

มะเขือพวงมีสารอาหารที่สำคัญคือ

  • โซลาโซดีน (solasodine) เป็นสารที่มีสรรพคุณต้านโรคมะเร็ง
  • สารทอร์โวไซด์เอ, เอช ซึ่งเป็นสตีรอยด์ไกลไซด์มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 และยับยั้งไวรัสมากกว่ายาอะไซโคลเวียร์ 3 เท่า
  • สารเพกติน เป็นสารที่ละลายน้ำได้ ช่วยเคลือบผิวของลำไส้ ทำให้ลำไส้ดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่ย่อยแล้วได้ช้าลงจึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • สารทอร์โวนินบี (torvonin B) เป็นซาโพนินชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ขับเสมหะ
  • โซลานีน (solanine) เป็นอัลคาลอยด์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลของแคลเซียมในร่างกาย ผู้ป่วยโรคไขข้อควรหลีกเลี่ยง

มะเขือพวง เป็นมะเขือที่มีสารอาหารต้านโรคได้มากมายกว่าที่คิด ทั้งจากใบและผลของต้นมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร ส่วนมากคนไทยนิยมรับประทานในรูปแบบของแกงเผ็ดหรือน้ำพริกเพราะมะเขือพวงมีรสขมเล็กน้อยหากรับประทานสด สรรพคุณที่โดดเด่นของมะเขือพวงเลยก็คือต้านมะเร็ง ต้านไวรัส ลดไขมันและบำรุงไต แม้จะมีรสขมและไม่อร่อยสักเท่าไหร่แต่มะเขือพวงมีสรรพคุณทางยามากมายจนน่าตกใจ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม