มะเฟือง ช่วยลดความอ้วน ป้องกันมะเร็งตับ แต่เสี่ยงเป็นโรคไต

0
มะเฟือง ช่วยลดความอ้วน ป้องกันมะเร็งตับ แต่เสี่ยงเป็นโรคไต
มะเฟือง ผลไม้ทรงกระสวย เมื่อหั่นขวางจะเป็นรูปดาวห้าแฉก มีทั้งรสเปรี้ยว และหวาน
มะเฟือง ช่วยลดความอ้วน ป้องกันมะเร็งตับ แต่เสี่ยงเป็นโรคไต
มะเฟือง ช่วยลดความอ้วน ป้องกันมะเร็งตับ แต่เสี่ยงเป็นโรคไต

มะเฟือง

มะเฟือง (Star fruit) เป็นผลไม้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในประเทศไทย มักจะมีรสเปรี้ยวหรือหวานตามแต่ละสายพันธุ์ แต่คนไทยมักจะนิยมรับประทานในรูปแบบของผลไม้ จึงไม่ค่อยเห็นมะเฟืองในเมนูอาหารสักเท่าไหร่ คนเมืองอาจจะไม่ค่อยรู้จักและไม่ได้รับประทานบ่อย ๆ นัก แต่มะเฟืองถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย อาจจะกินยากเล็กน้อยแต่ช่วยชะลอวัยได้ด้วย ทั้งนี้ถือเป็นผลไม้ที่มีโทษร้ายแรงเช่นกันหากรับประทานไม่ถูกวิธี

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเฟือง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa carambola L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Star fruit”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “เฟือง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กระทืบยอด (OXALIDACEAE)
ชื่อพ้อง : Averrhoa acutangula Stokes, Sarcotheca philippica (Villar) Hallier f.

ลักษณะของมะเฟือง

มะเฟือง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เป็นไม้พื้นเมืองในแถบอินโดนีเซีย อินเดียและศรีลังกา นิยมปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางส่วนของเอเชียตะวันออก
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมัน ใบอ่อนมีสีเขียวอมแดง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง มีดอกสีชมพูอ่อนไปจนเกือบแดง
ผล : ผลของมะเฟืองเป็นผลไม้ทรงกระสวย เมื่อหั่นแนวขวางจะเป็นรูปดาวห้าแฉก ผลขณะอ่อนจะมีสีเขียวอ่อนและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง เมื่อสุกเต็มที่จะมีสีเหลือง เนื้อผลด้านในฉ่ำด้วยน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย บางพันธุ์มีรสเปรี้ยวมาก

การนำไปใช้ประโยชน์ของมะเฟือง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้แต่งรสเปรี้ยวในอาหาร เป็นเครื่องแนมกับน้ำพริกหรือเป็นส่วนประกอบในเมนูแหนมเนือง และนำมาคั้นเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพได้
2. เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ส่วนผสมในครีมบำรุงผิวที่ช่วยในการรักษาสิว ฝ้า บำรุงผิวพรรณ

ประโยชน์ของมะเฟือง

  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เสริมสร้างความแข็งแรงของฟัน ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณด้านกระดูก ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
  • สรรพคุณด้านหัวใจ ควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นไปอย่างปกติสม่ำเสมอ
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ
    – ขับพิษและพยาธิในร่างกาย ด้วยการนำดอกมะเฟืองมาต้มเป็นน้ำดื่ม
  • สรรพคุณด้านการผ่อนคลาย ช่วยผ่อนคลายความเครียด บรรเทาอาการฟุ้งซ่าน ช่วยกล่อมประสาทให้นอนหลับได้สบายขึ้น ช่วยดับกระหาย ลดความร้อนในร่างกาย
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ ยาแก้ร้อนใน บรรเทาอาการไข้ เป็นยาขับเสมหะ
    – รักษาอาการตุ่มคันตามลำตัว ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วใช้อาบ
    – รักษาตุ่มอีสุกอีใสตามร่างกาย แก้ผดผื่นคัน รักษากลาก เกลื้อน ลดอาการอักเสบและช้ำบวม ด้วยการนำใบสดของมะเฟืองมาตำแล้วนำมาพอก
    – บรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดข้อต่าง ๆ ด้วยการนำส่วนรากมะเฟืองมาต้มเป็นน้ำดื่ม
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    – ช่วยขับประจำเดือน ด้วยการนำใบมะเฟืองมาต้มผสมกับน้ำ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันมะเร็งตับ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย
    – รักษาอาการท้องร่วงและอาการปวดแสบในกระเพาะอาหาร ด้วยการนำรากมะเฟืองมาต้มเป็นน้ำดื่ม
    – ช่วยขับปัสสาวะ ด้วยการนำใบมะเฟืองมาต้มผสมกับน้ำ
  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยลดความอ้วน น้ำคั้นจากมะเฟืองช่วยขจัดรังแคบนหนังศีรษะ รักษาสิว ฝ้าและบำรุงผิวพรรณ
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ น้ำคั้นจากผลมะเฟืองสามารถช่วยลบรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าและของใช้ต่าง ๆ

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะเฟืองสด

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะเฟืองสด ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 31 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 6.73 กรัม
น้ำตาล 3.98 กรัม
เส้นใย 2.8 กรัม
ไขมัน 0.33 กรัม
โปรตีน 1.04 กรัม
ลูทีนและซีแซนทีน 66 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.014 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี2 0.016 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี3 0.367 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี5 0.391 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินบี6 0.017 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี9 12 ไมโครกรัม (3%)
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินซี 34.4 มิลลิกรัม (41%)
วิตามินอี 0.15 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุแคลเซียม 3 มิลลิกรัม (0%)
ธาตุเหล็ก 0.08 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุแมงกานีส 0.037 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุฟอสฟอรัส 12 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุโพแทสเซียม 133 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม (0%)
ธาตุสังกะสี 0.12 มิลลิกรัม (1%)

ข้อควรระวัง

1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตหรือกำลังจะฟอกไต ไม่ควรรับประทานมะเฟืองเพราะมะเฟืองมีกรดออกซาลิกสูงซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงหรือทำให้อาการทรุดหนักมากขึ้น
2. ผู้ที่รับประทานยาลดไขมันและยาคลายเครียด ไม่ควรรับประทานเนื่องจากมะเฟืองมีฤทธิ์ไปต่อต้านการทำงานของตัวยา
3. ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป เพราะมะเฟืองมีกรดออกซาลิกในปริมาณที่สูงโดยเฉพาะมะเฟืองที่มีรสเปรี้ยว หากได้รับปริมาณมากอาจเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ เนื่องจากกรดออกซาลิกจะไปจับตัวกับแคลเซียมและตกเป็นผลึกนิ่วในไต เมื่อผลึกมีจำนวนมากจะเกิดการตกตะกอนขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันในเนื้อไตและท่อไตจนเกิดอาการไตวายเฉียบพลันได้
4. ไม่ควรดื่มน้ำมะเฟืองหลังจากทำงานหนักและสูญเสียเหงื่อในปริมาณมาก

มะเฟือง เป็นผลไม้สีเหลืองที่ไม่ค่อยนิยมในคนเมืองหรือคนรุ่นใหม่สักเท่าไหร่ แต่เป็นที่รู้จักและมีลักษณะโดดเด่น ผู้คนส่วนมากไม่ค่อยรู้ว่ามะเฟืองสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายกว่าที่คิด สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงผิวพรรณ ลดความร้อนในร่างกาย และป้องกันมะเร็งตับ แต่การรับประทานมะเฟืองไม่ว่าจะในรูปแบบไหนควรที่จะระมัดระวังเพราะโทษของมะเฟืองนั้นร้ายแรงเช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะไฟ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แก้ไขมาลาเรีย บรรเทาอาการไอ

0
มะไฟ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แก้ไขมาลาเรีย บรรเทาอาการไอ
มะไฟ ผลที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน มีผลเป็นพวง เหลืองอมครีม เนื้อฟูนุ่มฉ่ำน้ำ มีสีขาวขุ่นหรือขาวใสอมชมพู
มะไฟ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แก้ไขมาลาเรีย บรรเทาอาการไอ
มะไฟ ผลที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน มีผลเป็นพวง เหลืองอมครีม เนื้อฟูนุ่มฉ่ำน้ำ มีสีขาวขุ่นหรือขาวใสอมชมพู

มะไฟ

มะไฟ (Burmese grape) เป็นผลที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน มีหลากหลายสายพันธุ์และมักจะนิยมทานในรูปแบบของผลไม้และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากกว่าที่จะนำไปเป็นส่วนประกอบของอาหาร ถือเป็นผลไม้ที่คนทั่วไปรู้จักแต่ไม่ค่อยนิยมรับประทานกันนักสำหรับผู้คนในเมือง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะไฟ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Baccaurea ramiflora Lour.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Burmese grape”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “ส้มไฟ” จังหวัดเพชรบูรณ์เรียกว่า “หัมกัง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE)

ลักษณะของมะไฟ

มะไฟ เป็นไม้ยืนต้นที่เป็นพืชพื้นเมืองของอินโดนีเซีย ในประเทศไทยมักจะปลูกกันมากในภาคใต้และภาคตะวันออก โดยเฉพาะสายพันธุ์มะไฟไทยและมะไฟจีน
ลำต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีทรงพุ่มโปร่ง ลำต้นมีลักษณะกลม เนื้อไม้แข็งและมีสีเทา
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน มีลักษณะเป็นรูปหอก ปลายเรียวแหลม ใบด้านบนมีสีเขียว พื้นผิวเป็นมัน ส่วนใบด้านล่างมีสีอ่อนกว่า
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุก ดอกมีสีชมพูอ่อนหรืออมเหลืองขนาดเล็กฝอย ๆ กลีบเลี้ยงมีสีเขียวปนเหลือง มีกลิ่นหอม ก้านช่อดอกยาว ดอกออกตามลำต้นและซอกใบหรือตามปลายกิ่ง
ผล : ออกเป็นพวง มีลักษณะทรงกลมเล็ก ผิวเปลือกบาง ผลอ่อนมีขนคล้ายกำมะหยี่ เมื่อผลสุกผิวจะเกลี้ยงไม่มีขน มีสีเหลืองอมครีม ภายในผลจะมีเนื้อฟูนุ่มฉ่ำน้ำ มีสีขาวขุ่นหรือขาวใสอมชมพู แล้วแต่สายพันธุ์ที่ปลูก มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานและมีกลิ่นหอม
เมล็ด : มีลักษณะรูปไข่อยู่ข้างในเนื้อ เมล็ดมีผิวเรียบลื่นเป็นมันและมีสีน้ำตาล

สรรพคุณของมะไฟ

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ใบช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ
    – ใบ ช่วยบรรเทาอาการไอและช่วยให้ชุ่มคอ ช่วยละลายและขับเสมหะ แก้หวัดและไข้มาลาเรีย ช่วยรักษากลาก เกลื้อนและโรคเรื้อน แก้พิษฝี
    – รากสดหรือรากแห้ง ช่วยดับพิษร้อน แก้ฝีภายในและแก้อาการผิวหนังอักเสบชนิดที่เป็นถุงน้ำและลอกออกมา บรรเทาอาการไข้ที่มีลักษณะอาการปวดข้อ ปวดเข่าและมีผื่นคล้ายลมพิษหรือไข้ประดง แก้วัณโรคและพิษตานซาง
    – เมล็ด ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ แก้อาการท้องร่วง ใบช่วยถ่ายพยาธิและขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค เปลือกมะไฟต้มใช้แก้โรคผิวหนัง รากสดหรือรากแห้งรักษาโรคเริม
  • สรรพคุณด้านความงาม วิตามินซีจากผลช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและเปล่งปลั่ง

ประโยชน์ของมะไฟ

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลอ่อนเป็นส่วนประกอบในแกงได้ ใช้รับประทานเป็นผลไม้สดและนำมาทำน้ำผลไม้ ผลใช้ในการปรุงอาหารอย่างสตู นำมาดองหรือนำไปหมักทำไวน์ ชาวกะเหรี่ยงจะนำยอดอ่อนไปใส่แกงปลา

มะไฟคุณค่าและประโยชน์ทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของมะไฟ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 48 kcal

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 10.5 กรัม
น้ำตาล 0 กรัม
เส้นใย  0.9 กรัม
ไขมัน 0.15 กรัม
โปรตีน 0.7 กรัม
วิตามินเอ 2 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.09 มิลลิกรัม
วิตามินซี 8.1 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม
55 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก
0 มิลลิกรัม
ธาตุแมกนีเซียม
0 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส
20 มิลลิกรัม

วิธีทำน้ำมะไฟ

1. นำมะไฟ 500 กรัม มาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปปอกเปลือก เอาส่วนเนื้อที่ได้ใส่น้ำแล้วต้มให้เดือดประมาณ 10 นาที รอจนเนื้อเละแล้วกรองเอาแต่น้ำ
2. ใส่น้ำเชื่อมครึ่งถ้วย เกลือป่นครึ่งช้อนชา ลงไปแล้วคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วเทใส่ขวด
3. นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น หากต้องการความเย็นสดชื่นสามารถใส่น้ำแข็งลงไปด้วยได้

มะไฟ เป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์อยู่หลายชนิด สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาใช้ประโยชน์ได้ ส่วนมากมักจะรับประทานในรูปแบบของน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือกระตุ้นคอลลาเจน แก้ไข้ บรรเทาอาการไอ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีรสชาติเปรี้ยวหวานและรับประทานง่าย และมีความเชื่อกันว่าการปลูกมะไฟให้ดอกผลดก จะทำให้ผู้ปลูกได้รับความเจริญงอกงามและอายุยืนยาวอีกด้วย

ข่า สมุนไพรรสเผ็ดร้อนที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ช่วยระงับกลิ่นปากและแก้หวัดได้

0
ข่า สมุนไพรรสเผ็ดร้อนที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ช่วยระงับกลิ่นปากและแก้หวัดได้
พืชสมุนไพรรสจัดจ้าน ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่าง ๆ และใช้ในการปรุงรสอาหารที่เป็นเมนูเผ็ด
ข่า สมุนไพรรสเผ็ดร้อนที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ช่วยระงับกลิ่นปากและแก้หวัดได้
พืชสมุนไพรรสจัดจ้าน ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่าง ๆ และใช้ในการปรุงรสอาหารที่เป็นเมนูเผ็ด

ข่า

ข่า ( Galangal ) เป็น พืชสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี และเป็นที่โด่งดังในเรื่องของความจัดจ้านของรส ส่วนมากมักจะนำข่ามาเป็นส่วนประกอบของอาหารและใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อช่วยแต่งกลิ่น ความแรงของข่าช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่าง ๆ และใช้ในการปรุงรสอาหารที่เป็นเมนูเผ็ด อย่างเช่น ต้มข่า ต้มยำ เครื่องพริกแกง เป็นต้น

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของข่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Alpinia galanga (L.) Willd.
ชื่อสามัญ : ข่ามีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Greater Galangal” และอีกชื่อคือ “Galangal”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กฎุกกโรหินี” ภาคเหนือเรียกว่า “ข่าหยวกหรือข่าหลวง” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ข่าหลวง” และจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “สะเอเชยหรือเสะเออเคย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ชื่อพ้อง : Languas galanga (Linn.) Sw.

ลักษณะของข่า

ข่า เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า “เหง้า” เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน เนื้อในมีสีเหลืองและมีกลิ่นหอม
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ขอบใบเรียบและบางช่วงเป็นคลื่น ปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน มีก้านใบสั้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ดอกมีสีขาวขนาดเล็ก
ผล : มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกหรือกลมรีขนาดเท่าเม็ดบัว ผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีแดงอมส้ม และภายในมีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำ มีรสขมและเผ็ด

การนำไปใช้ประโยชน์ของข่า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกและลำต้นอ่อนสามารถใช้รับประทานเป็นผักสดได้ นำมาใช้ประกอบอาหารพวกเครื่องแกง น้ำพริกข่า นำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มหรือชา
2. เป็นสารแต่งกลิ่นหรือน้ำมันหอมระเหย มีการนำข่ามาใช้เป็นสเปรย์ดับกลิ่น ใช้ระงับกลิ่นปากและใช้ดับกลิ่นกาย

ประโยชน์ของข่า

  1. สรรพคุณจากเหง้า ช่วยแก้เสมหะ ช่วยบำรุงร่างกาย มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งด้วยสาร 1 – acetoxychavicol acetate (ACA) ในข่า แก้อาการอาหารเป็นพิษ ช่วยขับน้ำดี เป็นยาระบายและยับยั้งแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการอักเสบ รักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ ช่วยแก้ตะคริวและเหน็บชา
  • แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้องและขับลมในลำไส้ แก้อาการบิด ปวดมวนท้องและลมป่วง ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สดประมาณ 1 นิ้วฟุต นำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้เป็นยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา
  • ขับเลือด ขับน้ำคาวปลาและขับรก ด้วยการใช้เหง้านำมาตำกับมะขามเปียกและเกลือให้ผู้หญิงรับประทานหลังคลอด
  • รักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้เหง้าแก่เท่าหัวแม่มือมาตำจนละเอียดผสมกับเหล้าขาว แล้วทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน
  • เป็นยาแก้ลมพิษ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่ ๆ ที่สด 1 แง่ง นำมาตำจนละเอียดแล้วเติมเหล้าขาวพอแฉะ และใช้ทั้งน้ำและเนื้อนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ
  • แก้โรคน้ำกัด ด้วยการใช้เหง้าแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ นำมาตำให้ละเอียดแล้วเติมเหล้าขาวพอท่วม ทิ้งไว้ 2 วัน แล้วใช้สำลีชุบแล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 รอบ
  • แก้ฟกช้ำ ข้อเท้าแพลงและเคล็ด ด้วยการใช้เหง้าแก่ตำละเอียดนำมาพอกบริเวณที่มีอาการหรือตำให้ละเอียดแล้วนำไปแช่กับเหล้าขาวหรือน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 วัน กรองเอาแต่น้ำมาใช้ทาบริเวณที่ฟกช้ำ
  • ช่วยไล่แมลง ด้วยการใช้เหง้านำมาตำให้ละเอียดเพื่อเอาน้ำมันหอมระเหยแล้วนำไปวางในบริเวณที่มีแมลง
    สรรพคุณสารสกัดจากเหง้า มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคหลอดลมอักเสบ น้ำมันหอมระเหยจากข่าช่วยแก้อาการหวัด ไอและเจ็บคอ ช่วยทำลายสารพิษที่ตกค้างในลำไส้และลดการบีบตัวของลำไส้ เป็นยารักษาแผลสด มีฤทธิ์ช่วยต้านอาการแพ้ต่าง ๆ ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยและฆ่าแมลงวันได้ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา น้ำมันหอมระเหยใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา
  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและอาการปวดบวมตามข้อ ด้วยการใช้ต้นข่าแก่นำมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วทาแก้อาการ

2. สรรพคุณจากเหง้าแก่ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ แก้ไข้ในระยะอยู่ไฟที่เกิดจากการติดเชื้อเมื่อเวลาคลอด ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการอาหารไม่ย่อย

3.สรรพคุณจากเหง้าของข่าลิง ช่วยแก้กามโรค ช่วยทำให้สุรามีกลิ่นฉุนแรงมากขึ้น ด้วยการเอามาต้มน้ำแล้วนำน้ำมาผสมกับสุรา

4. สรรพคุณจากดอกของข่าลิง ช่วยแก้ฝีดาษ

5. สรรพคุณจากข่าหลวง ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยแก้ดีพิการซึ่งเกี่ยวกับน้ำดี

6. สรรพคุณจากหน่อ ช่วยบำรุงธาตุไฟและช่วยแก้ลมแน่นหน้าอก

7. สรรพคุณจากราก ช่วยขับเลือดลมและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มการเผาผลาญของร่างกายให้ดีขึ้น ช่วยแก้เสมหะ

8. สรรพคุณจากผลข่า ช่วยรักษาโรคท้องร่วง ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการอาหารไม่ย่อย ใช้รักษาอาการปวดฟัน ด้วยการนำผลไปบดแล้วนำมาทาบริเวณที่ปวด

9. สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้อาการท้องเสีย

10. สรรพคุณจากใบ ช่วยฆ่าพยาธิ รักษากลากเกลื้อน แก้ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและอาการปวดบวมตามข้อ

11. สรรพคุณด้านอื่น ๆ ช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ

ข่า เป็นสมุนไพรรสจัดที่ไม่สามารถรับประทานสดได้ง่าย จึงนิยมนำมาประกอบอาหารพวกรสเผ็ดทั้งหลาย ข่าถือเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักในด้านประโยชน์ต่อร่างกาย สรรพคุณที่โดดเด่นของข่าเลยก็คือช่วยระงับกลิ่นตัวและกลิ่นปาก แก้อาการหวัดและใช้กำจัดแมลง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ถือเป็นสมุนไพรที่โด่งดังและพบได้มากในเมนูอาหารไทยทั่วไป

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ลูกหว้า ผลไม้สรรพคุณเกินคาด ต้านโรคร้ายอย่างเบาหวาน มะเร็ง หัวใจ

0
ลูกหว้า-ผลไม้สรรพคุณเกินคาด-ต้านโรคร้ายอย่างเบาหวาน-มะเร็ง-หัวใจ
ลูกหว้า (Jambolan plum) เป็นผลไม้มีรสฝาด ผลสุกมีสีม่วงดำ ผิวมัน
ลูกหว้า-ผลไม้สรรพคุณเกินคาด-ต้านโรคร้ายอย่างเบาหวาน-มะเร็ง-หัวใจ
ลูกหว้า (Jambolan plum) เป็นผลไม้มีรสฝาด ผลสุกมีสีม่วงดำ ผิวมัน

ลูกหว้า

ลูกหว้า (Jambolan plum) เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ คนที่รู้จักส่วนมากมักจะเป็นคนที่อยู่กับสวนหรือคนที่สนใจเรื่องผลไม้ ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ชื่อที่แปลกจนไม่เคยได้ยิน เป็นผลไม้ที่ค่อนข้างมีรสฝาดแต่ต้นหว้านั้นสามารถนำมาทำเป็นยาได้ทั้งต้น ถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมากต่อมนุษย์ มีการวิจัยได้บอกอีกด้วยว่าลูกหว้ามีสรรพคุณในการยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย ซึ่งโรคมะเร็งถือเป็นโรคที่คนไทยเป็นกันมาก ดังนั้นการรับประทานลูกหว้าก็เป็นหนทางหนึ่งในการป้องกันโรคมะเร็งที่มักจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ต้นหว้ายังได้รับเลือกให้เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดเพชรบุรีด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของลูกหว้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Syzygium cumini (L.) Skeels
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Jambolan plum” “Java plum” และ “Jambul”
ชื่อท้องถิ่น : ในประเทศไทยมีชื่อเรียกว่า “หว้า หว้าป่า หว้าขาว หว้าขี้นก” ในจังหวัดเชียงรายเรียกว่า “ห้าขี้แพะ” ส่วนชาวฮินดูจะเรียกกันว่า “จามานหรือจามูน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชมพู่ (MYRTACEAE)
ชื่อพ้อง : Caryophyllus jambos Stokes, Eugenia cumini (L.) Druce

ลักษณะของต้นหว้า

ต้นหว้า เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียเขตร้อนจากอินเดียไปจนถึงมาเลเซีย ต้นหว้าชอบดินชื้นที่อุดมสมบูรณ์ มักจะขึ้นตามป่าดิบและป่าผลัดใบทั่วไป
เปลือกต้น : ค่อนข้างเรียบและมีสีน้ำตาล
ใบ : เป็นใบเดี่ยวลักษณะรูปไข่หรือรูปรี มีจุดน้ำมันที่บริเวณขอบใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ออกที่ซอกใบหรือปลายยอด มีฐานรองดอกเป็นรูปกรวย
ผล : ผลสดลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปไข่ ฉ่ำน้ำ มีสีม่วงดำ ผิวเรียบมัน
เมล็ด : มีเมล็ดเพียง 1 เมล็ด และมีลักษณะเป็นรูปไข่

การนำไปใช้ประโยชน์ของลูกหว้า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนของหว้าสามารถนำมารับประทานเป็นผักสดได้ ผลสุกนิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้และใช้ทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือไวน์ได้
2. เป็นส่วนประกอบในการทำเฟอร์นิเจอร์ เนื้อไม้ของต้นหว้าสามารถนำมาใช้ทำสิ่งปลูกสร้างบ้านเรือนได้

ประโยชน์ของลูกหว้า

  • ประโยชน์จากผล ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ช่วยชะลอความแก่และความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย บรรเทาอาการของวัณโรคและโรคปอดด้วยการนำผลหว้าไปตากแห้งแล้วนำมาบดให้ละเอียดแล้วรับประทานเป็นประจำจะช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น
  • ประโยชน์จากผลดิบ ช่วยแก้อาการท้องเสีย บำรุงกระดูกและฟัน
  • ประโยชน์จากผลสุก แก้อาการท้องร่วงและอาการบิด
  • ประโยชน์จากผลสด รักษาโรคหอบหืดที่เกิดจากการแพ้อากาศด้วยการนำผลหว้าสดมาต้มกับน้ำแล้วดื่มเพื่อบรรเทาอาการ
  • ประโยชน์จากใบ รักษาอาการบิด มูกเลือดและท้องเสีย ช่วยรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้ใบมาต้มหรือบดให้ละเอียดแล้วนำมารับประทานเพื่อรักษาอาการของโรคเบาหวาน รักษาโรคผิวหนังด้วยการนำใบมาตำให้แหลกแล้วใช้ทา ช่วยล้างแผลเน่าเปื่อยด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำตาลแล้วนำน้ำที่ได้มาล้างแผล
  • ประโยชน์จากเมล็ดหว้า รักษาอาการบิด มูกเลือดและท้องเสีย รักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้เมล็ดหว้ามาต้มหรือบดให้ละเอียดแล้วนำมารับประทานเพื่อรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ รักษาโรคผิวหนังด้วยการนำเมล็ดมาตำให้แหลกแล้วใช้ทา ช่วยล้างแผลเน่าเปื่อยด้วยการนำเมล็ดหว้าต้มกับน้ำตาลแล้วนำน้ำที่ได้มาล้างแผล
  • ประโยชน์จากเปลือก นำมาใช้ทำเป็นยาอม ยากวาดคอ แก้ปากเปื่อย แก้คอเปื่อย อาการเป็นเม็ดตามลิ้นและคอ แก้อาการน้ำลายเหนียวข้น แก้บิดด้วยการต้มน้ำแล้วดื่ม
  • ประโยชน์จากน้ำมันหอมระเหย ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยย่อยอาหารด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อยต่าง ๆ ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดการจับตัวของลิ่มเลือด มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งเชื้ออีโคไล (Escherichia coli) ในช่องทางเดินอาหารซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องเสียบ่อย ๆ หรืออุจจาระเหลวเป็นน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการของลูกหว้า

โภชนาการของลูกหว้าดิบต่อ 100 กรัมให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม
เส้นใย 0.6 กรัม
ไขมัน 0.23 กรัม
โปรตีน 0.995 กรัม
วิตามินบี1 0.019 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี2 0.009 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี3 0.245 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี6 0.038 มิลลิกรัม (3%) 
วิตามินซี 11.85 มิลลิกรัม (14%)
แคลเซียม 11.65 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุเหล็ก 1.41 มิลลิกรัม (11%)
แมกนีเซียม 35 มิลลิกรัม (10%)
ฟอสฟอรัส 15.6 มิลลิกรัม (2%)
โพแทสเซียม 55 มิลลิกรัม (1%)
โซเดียม 26.2 มิลลิกรัม (2%)

ลูกหว้า เป็นพืชที่สามารถนำมาแปรรูปและทำประโยชน์ได้ทั้งต้นไม่ว่าจะเป็นเปลือก ลำต้น ใบ เมล็ดหรือผลก็ตาม แต่ละส่วนก็จะมีสรรพคุณที่แตกต่างกันไป ในประเทศไทยมักจะพบลูกหว้าในรูปของเครื่องดื่มมากที่สุด สรรพคุณที่โดดเด่นของลูกหว้าเลยก็คือต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง รักษาเบาหวานและช่วยย่อยอาหารในร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แตงไทย ช่วยบำรุงผิว กำจัดสิวและริ้วรอย เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากสวยใส

0
แตงไทย ช่วยบำรุงผิว กำจัดสิวและริ้วรอย เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากสวยใส
แตงไทย ผักผลไม้พื้นบ้านที่ทานได้ทั้งผลอ่อนและสุก ผลสุกมีรสหวาน หอม เนื้อนุ่มฉ่ำ
แตงไทย ช่วยบำรุงผิว กำจัดสิวและริ้วรอย เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากสวยใส
แตงไทย ผักผลไม้พื้นบ้านที่ทานได้ทั้งผลอ่อนและสุก ผลสุกสีเหลือง มีรสหวาน หอม เนื้อนุ่มฉ่ำ ทานแล้วรู้สึกเย็นชื่นใจ

แตงไทย

แตงไทย (Muskmelon) เป็น ผลไม้ที่มีขายตามท้องตลาด เป็นผลไม้ที่มักจะรับประทานจิ้มกับน้ำพริกหรือนำไปดอง เป็นส่วนประกอบของของหวานและนำมาคั้นเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพได้ด้วย ในประเทศไทยถือว่าเป็นผลไม้ที่นิยมอย่างมากเพราะมีน้ำเยอะและให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย ซึ่งแตงไทยนั้นบางคนอาจจะไม่คุ้นเพราะคนไทยมักจะเรียกกันว่า “เมลอน” มากกว่า ทั้งนี้พันธุ์ที่นิยมในไทยเลยก็คือ “แคนตาลูป” ถือเป็นผลไม้ที่เหมาะจะดื่มอย่างมากในประเทศร้อนอบอ้าวแบบประเทศไทยเรา

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแตงไทย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cucumis melo
ชื่อสามัญ : Muskmelon
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “แตงไทย” ภาคเหนือเรียกว่า “แตงลาย” ภาคอีสานเรียกว่า “แตงจิง แตงกิง” ประเทศเขมรเรียกว่า “ซกเซรา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)

ลักษณะของแตงไทย

แตงไทย เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียแถวเชิงเขาหิมาลัยไปจนถึงไปถึงแหลมโคโมริน เป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเป็นเถาเลื้อย
ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ มีขอบใบหยักและก้านใบยาว
ดอก : ดอกสีเหลือง
ผล : ผลมีขนาดค่อนข้างใหญ่และรูปร่างกลมยาว ผลอ่อนสีเขียวและมีลายสีขาวพาดยาว เมื่อผลแก่เปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและผิวเรียบเป็นมัน
เมล็ด : เมล็ดรูปแบนรีและมีสีครีมจำนวนมาก

การนำไปใช้ประโยชน์ของแตงไทย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลอ่อนนำมารับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ผลสุกนำมารับประทานในรูปแบบผลไม้หรือนำมาประกอบในของหวาน เช่น น้ำกะทิแตงไทย แยมแตงไทย แตงไทยนมสด เป็นต้น นำมาคั้นสดเป็นน้ำปั่นแตงไทยก็ย่อมได้เช่นกัน

ประโยชน์ของแตงไทย

  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสและช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า ลดความหยาบกร้านของผิวและรอยด่างดำต่าง ๆ ชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย
    – กำจัดสิว ด้วยการนำแตงไทยสุกครึ่งถ้วย นมสดครึ่งถ้วยและไข่ไก่ 1 ฟอง มาผสมรวมกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนเข้านอนแล้วล้างออก
  • สรรพคุณด้านอุณหภูมิในร่างกาย มีฤทธิ์เย็น ช่วยในการดับกระหาย คลายร้อนและขับเหงื่อ
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงรักษาสายตา ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
    – รักษาแผลในจมูก ด้วยการนำมาบดเป็นผงแล้วนำมาฉีดพ่น
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย แก้อาการเลือดกำเดาไหล
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย บรรเทาอาการท้องผูกและท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการย่อยอาหาร รักษาอาการปัสสาวะอักเสบ รากของแตงไทยเมื่อนำมาต้มดื่มจะช่วยระบายท้อง เมล็ดของแตงไทยช่วยในการขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค แก้โรคดีซ่าน
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการไอ บรรเทาอาการอาเจียนไม่ออก
    – บรรเทาอาการผิวอักเสบ ด้วยการใช้แตงไทยสุกบดละเอียดครึ่งถ้วย นมสดครึ่งถ้วยแล้วผสมเข้าด้วยกันจนได้เนื้อที่เข้มข้น จากนั้นนำมาพอกบริเวณผิวที่อักเสบ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก
  • สรรพคุณด้านบำรุงอวัยวะ มีส่วนช่วยในการบำรุงหัวใจ บำรุงระบบประสาทและสมอง บำรุงธาตุ
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ ช่วยในการขับน้ำนมของมารดาให้นมบุตร

แตงไทยคุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของแตงไทย 100 กรัม ให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 0.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
แคลเซียม 20 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 41 มิลลิกรัม
 เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม
วิตามินซี 31 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.03 มิลลิกรัม

น้ำกะทิแตงไทย

วิธีการทำน้ำกะทิแตงไทยด้วยตัวเองสามารถทำได้ ดังนี้
1. นำแตงไทยมาล้างน้ำเปล่าให้สะอาด ปอกเปลือกแตงไทยแล้วคว้านเอาไส้ออกให้หมด จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามที่ต้องการ หั่นเสร็จให้นำไปแช่ตู้เย็น
2. ทำน้ำกะทิ ด้วยการละลายน้ำตาลปี๊บกับน้ำกะทิ เมื่อผสมเสร็จนำไปตั้งไฟโดยใช้ไฟระดับปานกลาง เติมเกลือป่นลงไปแล้วคนเรื่อย ๆ รอจนเดือดแล้วปิดเตา พักไว้ให้เย็น
3. นำแตงไทยที่แช่เย็นไว้มาใส่ถ้วยแล้วเติมกะทิลงไปก็เป็นอันเสร็จสิ้น

แตงไทย เป็นผลไม้ที่เหมาะสมสำหรับสาว ๆ หรือผู้ที่ต้องการบำรุงผิว และยังเป็นผลไม้ที่เหมาะสมในประเทศที่ร้อนอบอ้าวอย่างประเทศไทย เนื่องจากมีฤทธิ์ช่วยดับกระหายและลดอุณหภูมิในร่างกาย ทั้งนี้ในการเกษตรนั้นแตงไทยถือเป็นผลไม้ที่ปลูกได้ง่ายและแข็งแรง ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีของคนรักสุขภาพ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานชื่นใจและยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สะตอ กลิ่นแรงแต่เป็นยาระบายชั้นดี แถมป้องกันเบาหวานได้ด้วย!

0
สะตอ กลิ่นแรงแต่เป็นยาระบายชั้นดี แถมป้องกันเบาหวานได้ด้วย!
สะตอ ผักยืนต้นที่มีลักษณะฝักแบนยาว เมล็ดรีเกือบกลมสีเขียว มีกลิ่นฉุน
สะตอ กลิ่นแรงแต่เป็นยาระบายชั้นดี แถมป้องกันเบาหวานได้ด้วย!
สะตอ ผักยืนต้นที่มีลักษณะฝักแบนยาว เมล็ดรีเกือบกลมสีเขียว มีกลิ่นฉุน

สะตอ

สะตอ ( Bitter bean ) เป็นผักสมุนไพรที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย แต่สะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวอย่างรุนแรง คนไทยบางคนชอบทานสะตอกันเป็นอย่างมาก และเป็นที่รู้กันว่าผักชนิดนี้จะช่วยให้การขับถ่ายคล่องมากขึ้นในวันถัดมา แต่ก็จะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมาด้วย แต่สรรพคุณของสะตอนั้นมีมากกว่าเรื่องของการขับถ่าย ใครที่ชอบรับประทานเป็นทุนเดิมก็อาจจะรักสะตอมากขึ้นเมื่อได้รู้ถึงประโยชน์ที่ลึกลงไป

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของสะตอ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Parkia speciosa Hassk.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Bitter bean” “Twisted cluster bean” และ “Stink bean”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กะตอ สะตอ ตอดาน ตอข้าว” ภาคใต้และจังหวัดระนองเรียกว่า “ตอหรือลูกตอ” จังหวัดปัตตานี ยะลาและมลายูเรียกว่า “ปะตา ปัตเต๊าะ” จังหวัดสตูลและมลายูเรียกว่า “ปาไต”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (Fabaceae)
ชื่อพ้อง : Parkia macropoda Miq.

ลักษณะของสะตอ

ต้นสะตอ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ พบทั่วไปในภาคใต้และภาคตะวันออก มักจะขึ้นตามเชิงเขาที่มีสภาพป่าสมบูรณ์
ใบ : ใบประกอบเป็นรูปคล้ายขนนก
ดอก : ดอกมักจะออกเป็นช่อรวมกัน เป็นกระจุกคล้ายดอกกระถินขนาดเล็กจำนวนมากติดเป็นช่อกลม ช่อดอกห้อย แต่ละดอกมีก้านดอกและมีใบประดับรองดอก
ผล : เป็นฝักที่บิดเป็นเกลียวห่าง ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่สีดำ
เมล็ด : เป็นรูปรีเกือบกลมเรียงตามขวางกับฝัก

สรรพคุณของสะตอ

  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดอุดตันและลดความดันโลหิต เพิ่มประสิทธิภาพการเกาะตัวของเม็ดเลือดแดง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ช่วยบำรุงสายตา
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยทำให้เจริญอาหาร มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และขับลมในลำไส้ ช่วยในการขับปัสสาวะและการขับถ่าย แก้ปัสสาวะผิดปกติ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ ช่วยแก้ไตพิการหรือแก้ไตผิดปกติ
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
  • สรรพคุณต่อเซลล์ในร่างกาย มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
  • สรรพคุณด้านการคลายเครียด บรรเทาอาการซึมเศร้า

สะตอคุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ 100 กรัม ให้พลังงาน 124 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 16.9 กรัม
โปรตีน 10 กรัม
ไขมัน 1.8 กรัม
ไฟเบอร์ 1 กรัม 
ธาตุเหล็ก 3.4 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 376 มิลลิกรัม
แคลเซียม 126 มิลลิกรัม
โซเดียม 11 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 3 มิลลิกรัม
วิตามินซี 32.7 มิลลิกรัม
วิตามินบี1  0.15 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.5 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของสะตอ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้และในประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า และสิงคโปร์ เป็นต้น ใช้ประกอบอาหารจำพวกสะตอผัดกุ้ง ผัดสะตอ หรือนำมาแปรรูปเป็นสะตอดอง
2. เป็นปุ๋ยบำรุงดิน ใบของสะตอสามารถบำรุงดินได้
3. เป็นส่วนประกอบในการทำเฟอร์นิเจอร์ ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านได้

ข้อควรระวังในการกินสะตอ

1. ผู้ที่เป็นโรคเกาต์หรือผู้ที่มีกรดยูริกในร่างกายสูงเกินค่ามาตรฐานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสะตอ
2. ไม่ควรรับประทานสะตอในปริมาณมากเพราะอาจทำให้กรดยูริกในร่างกายสูง และเสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ่ว โรคไตอักเสบ รวมถึงมีอาการหูอื้ออีกด้วย
3. ผู้ที่มีความดันเลือดค่อนข้างต่ำไม่ควรรับประทานสะตอ อาจทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะได้ เนื่องจากสะตอมีฤทธิ์ช่วยลดความดันเลือด

สะตอ เป็นอาหารของชาวปักษ์ใต้ที่มีกลิ่นแรง มักจะรับประทานในเมนูอาหารเผ็ดทั้งหลาย คนไทยส่วนมากรู้จักสะตอไม่ว่าจะในรูปแบบผักหรือในการเล่นคำที่มักจะใช้เป็นคำคำสแลงในการแซะคน ทั้งนี้สะตอมีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือเป็นยาระบายชั้นดี รับประทานแล้วคลายเครียดเหมือนได้ปลดปล่อย ป้องกันเลือดอุดตันและลดความดันโลหิต แถมยังป้องกันโรคเบาหวานได้ด้วย เป็นผักที่นำมาประกอบอาหารแล้วอร่อยเลิศแถมยังเป็นผลดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะเพราะสะตอมีฤทธิ์แรงต่อเลือดในร่างกาย บางคนมักจะมีอาการเวียนหัวเมื่อรับประทานเข้าไป แต่สิ่งที่สำคัญคือรสชาติของสะตอนั้นเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วรู้สึกสะใจจริง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ตะไคร้ สมุนไพรกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกายและไล่ยุงได้

0
ตะไคร้ สมุนไพรกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกายและไล่ยุงได้
ตะไคร้ เป็นสมุนไพรที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทย มีลักษณะเป็นกอ กาบนอกสีเขียวและกาบในสีขาว ปลายใบแหลมสีเขียว มีกลิ่นหอมละมุน
ตะไคร้ สมุนไพรกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกายและไล่ยุงได้
ตะไคร้ เป็นสมุนไพรที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทย มีลักษณะเป็นกอ กาบนอกสีเขียวและกาบในสีขาว ปลายใบแหลมสีเขียว มีกลิ่นหอมละมุน

ตะไคร้

ตะไคร้ (Lemon-grass) เป็น สมุนไพรที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทย มีการนำตะไคร้มาใช้ประโยชน์มาตั้งแต่โบราณ เป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยามากมาย มีกลิ่นหอมละมุน จึงนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ไล่ยุง และนำมาทำเป็นน้ำตะไคร้เพื่อสุขภาพ เป็นพืชสมุนไพรที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีประโยชน์มากมายต่อร่างกายและช่วยแก้พิษต่าง ๆ ได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตะไคร้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Lemongrass” และ “Lapine”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “จะไคร้” ภาคใต้เรียกว่า “ไคร” กลุ่มกบฏเงี้ยวและจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “คาหอม” ชาวกะเหรี่ยงและจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ห่อวอตะไป่” ประเทศเขมรและจังหวัดปราจีนบุรีเรียกว่า “หัวสิงโต” คนทั่วไปเรียกว่า “ตะไคร้แกง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)

ลักษณะของตะไคร้

ตะไคร้ เป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้าที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินโดนีเซีย ศรีลังกา พม่า อินเดีย ไทย ในทวีปอเมริกาใต้ และคองโก ตะไคร้แบ่งออกเป็น 6 ชนิด ดังนี้

  • ตะไคร้กอ : ขึ้นเป็นกอ มีกาบใบที่เรียงอัดซ้อนกัน กาบนอกสีเขียวและกาบในสีขาว ปลายใบแหลมสีเขียว ดอกขนาดเล็กสีน้ำตาลแต่ออกดอกยากมาก
  • ตะไคร้ต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบเป็นใบเลี้ยงคู่ หลังใบสีเขียวและท้องใบมีสีขาวนวล เมื่อออกดอกใบจะกลายเป็นสีเหลืองและจะหลุดร่วงไป ดอกมีลักษณะเป็นช่อสั้น ๆ รวมกันเป็นกระจุกที่ซอกใบ มีสีขาวนวลหรือสีครีมและมีกลิ่นหอม ผลมีลักษณะกลมสีเขียว เมื่อแก่จัดเป็นสีม่วงเข้ม ผลมีกลิ่นหอมแรง รากเป็นระบบรากแก้ว
  • ตะไคร้หางนาค : เป็นไม้พุ่ม ใบเดี่ยวเรียวสลับกัน ออกดอกเป็นช่อขนาดเล็กใต้เส้นกลางใบ ผลเป็นรูปแคปซูลลักษณะกลม มีเมล็ด 3 เมล็ด
  • ตะไคร้น้ำ : เป็นไม้ยืนต้นหรือลำต้นแตกออกมาเป็นกอ ต้นมีลักษณะกลม รากเป็นฝอยรวมกันเป็นกระจุกใหญ่ ใบแคบและยาวสีเขียว
  • ตะไคร้หางสิงห์ : เป็นไม้พุ่ม ใบเดี่ยวเรียงสลับกันรูปขอบขนาน ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ มีสีขาวนวล ผลเป็นรูปทรงกลม
  • ตะไคร้หอม : เป็นพืชล้มลุกที่มีกลิ่นหอม มีทรงพุ่มเป็นกอ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบหยักถี่ ใบแข็งและมีผิวใบสาก ปลายใบยาวมีลักษณะโน้มลง ใบมีสีเขียวแกมเหลือง กาบใบเป็นส่วนหุ้มที่มองเป็นลำต้นเทียม มีสีเขียวแกมแดงหรือสีม่วง ออกดอกเป็นช่อยาวขนาดใหญ่

สรรพคุณของตะไคร้

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้นตะไคร้บำรุงธาตุไฟ ขับเหงื่อ เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยดับร้อนและแก้กระหาย
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยขับน้ำดีในการย่อยอาหาร ช่วยในการขับปัสสาวะ รักษาอหิวาตกโรค ต้นช่วยให้เจริญอาหาร สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ รากแก้อาการปวดท้องและอาการท้องเสีย หัวตะไคร้รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการขัดเบา แก้อาการปัสสาวะพิการและรักษาโรคนิ่ว น้ำมันหอมระเหยลดการบีบตัวของลำไส้
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการหวัดและอาการไอ บรรเทาอาการปวดท้อง แก้อาการปวดศีรษะ ใบสดรักษาอาการไข้ รากเป็นยาแก้ไข้เหนือและแก้อาการเสียดจุกหรือแน่นแสบบริเวณหน้าอก น้ำมันหอมระเหยบรรเทาอาการปวดและต้านเชื้อราบนผิวหนัง หัวตะไคร้แก้อาเจียนเมื่อนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น เป็นยารักษาเกลื้อน แก้อาการกษัยเส้นและแก้ลมใบ ต้นรักษาอาการหอบหืดและแก้ขับลม
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ใบสดรักษาความดันโลหิตสูง
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค หัวตะไคร้แก้โรคลมอัมพาต แก้โรคหนองในหากนำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • สรรพคุณด้านสมองและการคลายเครียด บำรุงสมองและเพิ่มสมาธิ ช่วยในการนอนหลับ บำรุงระบบประสาท
  • สรรพคุณด้านความงาม ต้นแก้ปัญหาผมแตกปลาย บำรุงผิว

ประโยชน์ของตะไคร้

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารอย่างต้มยำและอาหารไทยอื่น ๆ แปรรูปเป็นน้ำตะไคร้ ทำเป็นเครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย
2. เป็นส่วนประกอบของยา ทำเป็นยานวดได้
3. ประโยชน์ของกลิ่นตะไคร้ สารระงับกลิ่น ช่วยป้องกันแมลง ไล่ยุงและกำจัดยุง ต้นช่วยดับกลิ่นคาวหรือกลิ่นคาวของปลา เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จำพวกยากันยุงชนิดต่าง ๆ

วิธีทำน้ำตะไคร้หอม

1. นำตะไคร้ 1 ต้น มาล้างให้สะอาด แล้วนำมาหั่นเป็นท่อน ๆ จากนั้นทุบให้แตก
2. ต้มน้ำเปล่า 240 กรัม ให้เดือด แล้วใส่ตะไคร้ลงไป รอจนกระทั่งน้ำออกมาเป็นสีเขียว
3. ปิดเตาแล้วยกลง จากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเติมน้ำเชื่อม 15 กรัม ทำการคนแล้วดื่มได้ทันที

วิธีทำน้ำตะไคร้ใบเตย

1. นำตะไคร้ 2 ต้น มาทุบให้แหลกพอประมาณ แล้วใช้ใบเตย 3 ใบ มัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
2. ใส่ตะไคร้และใบเตยลงไปในหม้อแล้วเติมน้ำ 1 – 2 ลิตร ต้มให้เดือดสักประมาณ 5 นาที
3. ใส่น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา หรือไม่ใส่ก็ได้ สามารถเติมน้ำต้มใหม่ได้ 2 – 3 รอบ

คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้ขนาด 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้ขนาด 100 กรัม ให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 1.2 กรัม
ไขมัน 2.1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
เส้นใย 4.2 กรัม
แคลเซียม 35 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม 
ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม
ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
เถ้า 1.4 กรัม

ตะไคร้ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่สำคัญต่อคนไทยมานาน ในสมัยก่อนมักจะนำตะไคร้มาทุบใช้ไล่ยุงและนำมาปรุงรสอาหาร สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ บรรเทาอาการปวดต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหารและไล่ยุง ในปัจจุบันมีการนำตะไคร้มาใช้ในรูปแบบของน้ำดื่มสุขภาพมากกว่ารูปแบบอื่น ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

รู้หรือไม่ เพกาเป็นยาสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น

0
รู้หรือไม่ เพกาเป็นยาสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น
รู้หรือไม่ เพกามีสรรพคุณเป็นยาที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น
ต้นเพกา เป็นไม้ยืนต้น รูปร่างเป็นฝักแบนยาว ปลายฝักเรียวแหลมคล้ายรูปดาบ มีรสขม สรรพคุณเป็นยา

เพกา

เพกา (Broken Bones Tree) เป็นสมุนไพรที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่สรรพคุณของเพกานั้นน่าทึ่งไม่น้อย โดยเฉพาะในประเทศไทยที่นิยมใช้เพกาในรูปแบบของผัก แต่จริงๆ แล้วเพกามีคุณค่ามากกว่าที่คิด เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งจากราก เปลือกต้น ฝัก ใบ และเมล็ด จึงได้รับการขนานนามว่า “เพกาทั้ง 5” สมุนไพรชนิดนี้มีการใช้ประโยชน์และความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาโรคที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ เป็นสมุนไพรที่น่าสนใจและควรศึกษาเพื่อการนำไปใช้งานในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเพกา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oroxylum indicum (L.) Kurz
ชื่อสามัญ : เพกามีชื่อสามัญอยู่ 3 ชื่อ คือ “Broken bones tree” ชื่อที่สองคือ “Damocles tree” และอีกชื่อเรียกว่า “Indian trumpet flower”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคอีสานหรือในจังหวัดเลยเรียกว่า “ลิ้นฟ้า” ในจังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “กาโด้โด้ง” จังหวัดแม่ฮ่องสอนหรือกะเหรี่ยงเรียกว่า “ดุแก ดอก๊ะ ด๊อกก๊ะ” จังหวัดนราธิวาสหรือประเทศมาเลเซียเรียกว่า “เบโด” ทางภาคเหนือเรียกว่า “มะลิ้นไม้ มะลิดไม้ ลิดไม้” และในประเทศจีนเรียกว่า “โชยเตียจั้ว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)
ชื่อพ้อง : Arthrophyllum ceylanicum Miq. Arthrophyllum reticulatum Blume ex Miq. Bignonia indica L. Bignonia lugubris Salisb. Bignonia pentandra Lour. Bignonia quadripinnata Blanco Bignonia tripinnata Noronha Bignonia tuberculata Roxb. ex DC. Calosanthes indica (L.) Blume Hippoxylon indica (L.) Raf. Oroxylum flavum Rehder Spathodea indica 

ลักษณะของต้นเพกา

ลักษณะของต้นเพกาต้นเพกา เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมักจะพบขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในป่าเบญจพรรณและป่าชื้นทั่วไป
ใบ : ใบมีสีเขียวรูปทรงโค้งมน ปลายใบเรียวแหลม มีก้านใบสีเขียวค่อนข้างยาว มีใบประกอบเป็นแบบขนนก 3 ชั้น เส้นใบเป็นแบบตาข่าย โดยสีของผิวใบด้านบนเข้มกว่าผิวใบด้านล่าง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบกระจะ มีดอกย่อยประมาณ 20 – 35 ดอก กลีบดอกมีสีนวลแกมเขียว ที่โคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดงหรือม่วงด้านนอก มีลักษณะเป็นรูปแตร กลีบดอกหนาและขอบย่น ไม่มีพูหรือมีพูไม่เท่ากัน ด้านในของดอกมีขนหนาแน่น ดอกมักจะบานตอนกลางคืนและร่วงตอนเช้า มีกลิ่นสาบฉุน มักจะมีดอกและผลในกิ่งเดียวกัน
ผล : ผลมีรูปร่างเป็นฝักแบนยาว ปลายฝักเรียวแหลมจึงทำให้ผลมีลักษณะคล้ายรูปดาบ มักจะห้อยระย้าอยู่เหนือเรือนยอด เมื่อแก่ปลายฝักจะแตกออก ภายในฝักบรรจุไปด้วยเมล็ดสีขาวจำนวนมาก
เมล็ด : เมล็ดภายในฝักมีสีขาวเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่แท้จริงแล้วเมล็ดมีสีน้ำตาลอ่อนรูปทรงแบน เพียงแต่ถูกห่อหุ้มด้วยเยื่อบาง ๆ สีขาวเอาไว้ เป็นส่วนที่ช่วยให้เมล็ดปลิวล่องลอยไปตามลมได้ในระยะไกลจนสามารถแพร่พันธุ์ไปได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

การนำไปใช้ประโยชน์ของสมุนไพรเพกา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร
– นำฝักอ่อนหรือยอดอ่อนของเพกามารับประทานเป็นผัก ด้วยการนำฝักอ่อนเผาไฟแรง ๆ จนเปลือกพองไหม้ จากนั้นขูดลอกเอาส่วนดำที่ผิวออกให้หมด แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นตามขวางก็สามารถนำมาจิ้มกับน้ำพริกได้ หรือนำมาเป็นเครื่องเคียงลาบก้อย นำมาใส่แกง คั่ว ยำ ผัดกับหมู หรือทำแกงอ่อมปลาดุกใส่ฝักเพกาแทนใบยอก็ย่อมได้เช่นกัน
– ชาวกะเหรี่ยงนำเปลือกต้นเพกามาสับให้ละเอียดแล้วนำไปเป็นส่วนประกอบของอาหารประเภทลาบ ทำให้ลาบมีรสขม
– ยอดและดอกอ่อนของเพกานิยมนำมาต้มหรือลวกแล้วรับประทานร่วมกับน้ำพริก ลาบ ก้อย ยำ หรือนำมาผัดใส่กุ้งยิ่งให้รสชาติเลิศเลอขึ้น หากนำมายำใส่กระเทียมเจียวก็มีรสชาติเยี่ยมยอดเช่นกัน
-เมล็ดเพกาผสมกับน้ำจับเลี้ยงทำให้มีรสชาติที่กลมกล่อมและช่วยให้ชุ่มคอ รู้สึกสดชื่น
2. เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูป ได้มีการพัฒนานำต้นเพกามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปของยาสมุนไพรสำเร็จรูปหรือที่เรียกว่า “แคปซูลเพกา”
3. อุตสาหกรรมต่าง ๆ นำเปลือกต้นเพกาไปใช้เนื่องจากเนื้อไม้ของเพกามีสีขาวละเอียด มีความเหนียว จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้ทำงานแกะสลักต่าง ๆ และนำเปลือกของลำต้นเพกาที่ให้สีเขียวอ่อนมาใช้ทำสีย้อมผ้าอีกด้วย 

สรรพคุณของเพกา

1. สรรพคุณจากฝัก ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ป้องกันไข้หวัดหรืออาการเจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยทำให้มีเรี่ยวแรงและช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ

  • สรรพคุณจากฝักอ่อน ต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายหรือช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและช่วยชะลอวัย ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ เป็นยาบำรุงธาตุ มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ช่วยในการขับผายลม
  • สรรพคุณจากฝักแก่ มีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนในและกระหายน้ำได้

2. สรรพคุณจากเมล็ด บรรเทาอาการแน่นหน้าอก มีส่วนช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ตับและปอด เป็นยาขับถ่ายและช่วยระบายท้อง

  • ช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ด้วยการนำเมล็ดแก่เพกา 1.5 – 3 กรัม ลงในหม้อต้มน้ำ 300 มิลลิลิตร จนเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว ในเวลา เช้า กลางวัน เย็น จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    สรรพคุณจากราก เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยเรียกน้ำย่อยและช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยแก้ไข้โรคสันนิบาตหรือที่เรียกกันว่า “โรคพาร์กินสัน” ช่วยแก้โรคบิดและรักษาอาการท้องร่วง
  • ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ ปวดบวมและอาการอักเสบ ด้วยการนำรากเพกาผสมกับน้ำปูนใสแล้วทาลดบริเวณที่มีอาการ

3. สรรพคุณจากใบ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับลมในลำไส้

  • บรรเทาอาการปวดไข้และอาการปวดท้องด้วยการใช้ใบเพกาต้มน้ำแล้วดื่ม
    สรรพคุณจากเปลือก
  • ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยนและรากหญ้าคารวมกัน 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละประมาณ 30 กรัม แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • เป็นยาแก้ปวดหลังของม้า ด้วยการนำผงเปลือกมาผสมกับขมิ้นชัน

4. สรรพคุณจากเปลือกต้น ช่วยขับเลือดและดับพิษในโลหิต ช่วยบำรุงโลหิตและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต แก้อาการจุกเสียกแน่นท้อง แก้โรคบิดและรักษาอาการท้องร่วง ขับลมในลำไส้ ช่วยขับน้ำเหลืองเสียแล้วทำให้น้ำเหลืองกลับมาเป็นปกติ ลดการอักเสบและอาการแพ้ต่าง ๆ เป็นยาฝาดสมานหรือช่วยสมานแผล เปลือกต้นของเพกามีสารสกัดฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหนูทดลอง ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น

  • แก้ละอองไข้หรือโรคเยื่อเมือกในช่องจมูกอักเสบ ด้วยการนำเปลือกต้นมาตำผสมกับสุรา
  • ช่วยแก้อาการอาเจียนไม่หยุด ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกาตำผสมกับน้ำส้มที่ได้จากรังมดแดงหรือเกลือสินเธาว์
  • บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ ปวดบวมและอาการอักเสบ รากเพกาผสมกับน้ำปูนใสแล้วทาลดบริเวณที่มีอาการ
  • ช่วยรักษาฝีและลดอาการปวดฝี ด้วยการใช้เปลือกต้นนำมาฝนแล้วทารอบ ๆ บริเวณที่เป็นฝี
  • แก้อาการคัน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • เป็นยาแก้พิษสุนัขบ้ากัด ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกานำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ถูกกัด
  • แก้โรคงูสวัด ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา เปลือกคูณหรือรากต้นหมูหนุนมาฝนแล้วใส่น้ำ ทาบริเวณที่เป็นอาการ
  • ช่วยแก้พิษซางได้ ด้วยการนำเปลือกต้นมาผสมกับสุรา
  • แก้โรคไส้เลื่อนหรือลูกอัณฑะเลื่อนลง ให้ใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตายและหญ้าตีนนก มาตำรวมกันให้ละเอียดแล้วนำไปละลายกับน้ำข้าวเช็ด จากนั้นใช้ขนไก่ชุบพาดแล้วนำมาทาลูกอัณฑะ เวลาทาควรทาขึ้นอย่าทาลง
  • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บที่องคชาตและลูกอัณฑะ ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • แก้โรคมานน้ำหรือภาวะที่มีน้ำขังอยู่ในช่องท้องจำนวนมาก ด้วยการนำเปลือกต้นมาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • ทำให้ผิวหนังชาของหญิงคลอดบุตรที่ทนอาการอยู่ไฟไม่ได้และแก้ละอองขึ้นในปาก คอ และลิ้น หรืออาการฝ้าขาวที่ขึ้นในปาก ด้วยการนำเปลือกต้นตำผสมกับสุรา
  • ช่วยแก้เผ็ดและแก้เปรี้ยวได้ ด้วยการใส่เปลือกต้นผสมลงในอาหาร

5. สรรพคุณจากเพกาทั้ง 5 เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยแก้ไข้การไหลเวียนของลมและเลือด รักษาท้องร่วง ช่วยในการขับน้ำเหลืองเสียแล้วทำให้น้ำเหลืองเป็นปกติ เป็นยาฝาดสมานหรือช่วยสมานแผล

  • ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ ปวดบวมและอาการอักเสบ ด้วยการนำรากเพกาผสมกับน้ำปูนใสแล้วทาลดบริเวณที่มีอาการ

เพกา ลิ้นฟ้า คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของยอดอ่อนเพกา 100 กรัม ให้พลังงาน 101 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 6.4 กรัม
ไขมัน 2.6 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 13 กรัม
วิตามินบี1 0.18 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 2.4 มิลลิกรัม
เถ้าและน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการของฝักอ่อนเพกา 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
วิตามินซี 484 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 8.3 กรัม
ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม
โปรตีน 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
เส้นใย 4 กรัม

ข้อควรระวัง

1. หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานเพราะมีฤทธิ์ร้อน อาจทำให้แท้งบุตรได้
2. เมล็ดแก่ห้ามกินดิบเด็ดขาดเพราะมีพิษ
3. ควรระวังในการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน (aspirin) วาฟาริน (warfarin) สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
4. เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้

เพกา เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้าน เนื่องจากฝักเพกามีวิตามินซีสูงมาก จึงทำให้เพกามีชื่อเสียงในด้านการป้องกันโรค ถือเป็นสมุนไพรประเภทยาเย็นที่สามารถนำส่วนประกอบของต้นมาทำเป็นยาได้ทุกส่วน ในประเทศไทยเรานิยมนำเพกามาจิ้มกับน้ำพริก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกของคนไทยเพียงแต่ว่าประเทศเราเป็นเพียงที่เดียวในโลกที่นำเพกามารับประทานในรูปแบบของผัก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พริก เครื่องเทศที่ทุกคนต้องรู้จัก รสจัดจ้านเผ็ดร้อนแต่สรรพคุณเยี่ยมยอด

0
พริก เครื่องเทศที่ทุกคนต้องรู้จัก รสจัดจ้านเผ็ดร้อนแต่สรรพคุณเยี่ยมยอด
พริก เครื่องเทศที่ทุกคนต้องรู้จัก รสจัดจ้านเผ็ดร้อนแต่สรรพคุณเยี่ยมยอด
พริก เครื่องเทศที่ทุกคนต้องรู้จัก รสจัดจ้านเผ็ดร้อนแต่สรรพคุณเยี่ยมยอด

พริก มีทั้งสีแดงและสีเขียว ซึ่งให้ความเผ็ดแต่ละชนิดต่างกัน ซึ่งคนไทยที่รับประทานพริกเป็นส่วนประกอบของอาหารเป็นประจำ

พริก

พริก (Chili ) เป็น พืชที่ทุกคนบนโลกต้องรู้จัก โดยเฉพาะคนไทยที่รับประทานพริกเป็นส่วนประกอบของอาหารเป็นประจำ ถือเป็นเครื่องเทศที่สำคัญอย่างมากต่อรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจะในยุคอดีตหรือปัจจุบันก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อคนบนโลก พริกเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันว่ามีรสเผ็ด ซึ่งความเผ็ดนั้นมาจากสารที่ชื่อว่า “แคปไซซิน” (Capsaicin) เป็นสารที่ทนทานต่อความร้อนและความเย็นอย่างมาก ไม่ว่าจะต้มหรือแช่เย็นความเผ็ดของพริกก็ยังคงอยู่ พริกที่โด่งดังในประเทศไทยนั้น ได้แก่ พริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้า

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของพริก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capsicum frutescens L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 7 ชื่อ คือ “Chili” “Pepper” “Sweet pepper” “Hot pepper” “Bird pepper” “Capsicum” และ “Paprika”
ชื่อวงศ์ : วงศ์โซลานาซีอี (SOLANACEAE)

ลักษณะของต้นพริก

พริก เป็นได้ทั้งพืชล้มลุก ไม้พุ่มและไม้ยืนต้นขนาดเล็กซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปของโลก
ราก : เป็นรากแก้วหยั่งลึกลงในดิน
ใบ : เป็นใบเลี้ยงคู่และใบเดี่ยว ใบแบนเรียบเป็นมัน มีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปสามเหลี่ยมคล้ายหอกซึ่งแตกต่างกันตามสายพันธุ์
ดอก : ดอกมักจะมีสีขาว เป็นดอกเดี่ยวมีรูปทรงวงล้อและรูประฆังซึ่งแตกต่างกันตามสายพันธุ์
เมล็ด : มีเมล็ดเกาะเรียงตัวอยู่แกนกลางของผลหรือรก มีรูปร่างกลมแบน

ความเผ็ดของพริก

ความเผ็ดของพริกมาจากสารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งพบมากที่สุดในแกนกลางของพริกไม่ใช่ส่วนเมล็ดหรือเปลือก มีฤทธิ์ทำให้เนื้อเยื่อเผาไหม้จึงเกิดความรู้สึก “เผ็ด” เวลารับประทาน หน่วยวัดความเผ็ดของสารแคปไซซินคือ Scoville Heat Units (SHU) พริกที่เผ็ดที่สุดในโลกมีชื่อว่า “พริกฮาบาเนโร”

การนำไปใช้ประโยชน์ของพริก

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ในการประกอบอาหารและปรุงแต่งอาหาร นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น พริกแห้ง พริกป่น พริกดอง ซอสพริก น้ำพริกต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค เป็นต้น
2. เป็นส่วนประกอบของยา ครีมและเจล แพทย์แผนจีนนำสารแคปไซซินในพริกมาใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงพลังหยาง มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริกออกมาในรูปแบบครีมหรือเจลเพื่อใช้ทาบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด เป็นต้น มีสกัดสารแคปไซซินมาทำเป็นเจลเพื่อใช้นวดลดเซลลูไลต์หรือสลายไขมัน
3. เป็นอาวุธป้องกันตัวจากภัยสังคม นำมาใช้เป็นสเปรย์พริกไทยในการป้องกันตัวได้

สรรพคุณของพริก

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอวัย เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น มีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับร่างกาย
  • สรรพคุณด้านการคลายเครียด ช่วยให้อารมณ์ดีและสร้างสารแห่งความสุข (Endorphin) ทำให้ร่างกายตื่นตัว
    สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา รักษาเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ในบริเวณจมูก ลำคอ ปอดและเยื่อบุผนังช่องปาก อาการปวดฟันและเจ็บคอ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยกระตุ้นการเจริญอาหาร ช่วยในการดีท็อกซ์ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและนำธาตุอาหารไปใช้อย่างเป็นประโยชน์ ขับแก๊สในกระเพาะและช่วยให้อาหารย่อย มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูกและลดเสมหะ บรรเทาอาการไอ บรรเทาอาการหายใจติดขัดจากไข้หวัด ไซนัสหรือโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ บรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดเส้นเอ็น บรรเทาอาการอักเสบของผิวหนังและข้อต่ออักเสบ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค รักษาโรคลักปิดลักเปิด ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งและความเผ็ดของพริกมีส่วนช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว บรรเทาอาการของโรคเกาต์
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกายทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดลดลง ลดอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน ช่วยสลายลิ่มเลือด ช่วยลดความดันโลหิตและเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น เสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงและเพิ่มการยึดตัวของผนังหลอดเลือด ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ ป้องกันเมือกเสียจับตัวกันในร่างกาย

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของพริกขี้หนูและพริกชี้ฟ้าที่นิยมในประเทศไทย 100 กรัม ให้พลังงาน 103 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
ไขมัน 2.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 19.9 กรัม
ใยอาหาร 6.5 กรัม
โปรตีน 4.7 กรัม
แคลเซียม 45 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 85 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 2.5 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 11,050 I.U.
วิตามินบี1 (ไธอะมีน) 0.24 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 (ไรโบเฟลวิน) 0.29 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 (ไนอะซีน) 2.10 มิลลิกรัม
วิตามินซี 70 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง

1. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารไม่ควรรับประทานพริกหรืออาหารรสจัด เพราะพริกจะไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร
2. ผู้ที่มีอาการสำลักง่ายอย่างเด็กหรือผู้สูงอายุไม่ควรรับประทานพริก
3. ผู้บริโภคควรรับประทานพริกป่นที่สะอาด ไม่มีเชื้อรา และหลีกเลี่ยงพริกป่นตามร้านอาหารหรือพริกซองที่อาจจะมีสารอะฟลาทอกซินปนอยู่ ซึ่งเป็นสารที่ก่อเชื้อราได้ดี หากรับประทานในปริมาณมากจะเกิดมะเร็งตับได้

พริก เป็นเครื่องเทศที่มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีความเผ็ดไม่เท่ากัน พริกที่คนไทยคุ้นเคยที่สุดคงจะเป็นพริกขี้หนู บางคนรับประทานพริกมาทั้งชีวิตแต่ไม่รู้สรรพคุณของความเผ็ดร้อน พริกถือเป็นตัวยาที่มีวิตามินเอและวิตามินซีสูง แต่ก็ต้องพึงระวังเพราะรสจัดของพริกอาจจะทำให้ระบบอาหารแปรปรวนได้หากรับประทานในปริมาณมาก สรรพคุณที่โดดเด่นของพริกเลยก็คือช่วยการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยในการขับถ่ายคล่อง และช่วยในการกระตุ้นความอยากอาหารได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แมงลัก สมุนไพรสำหรับคนลดน้ำหนัก แถมช่วยเรื่องการขับถ่ายคล่องอีกด้วย!

0
แมงลัก สมุนไพรสำหรับคนลดน้ำหนัก แถมช่วยเรื่องการขับถ่ายคล่องอีกด้วย!
ต้นแมงลักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโหระพา มีกลิ่นหอมใช้ประโยชน์ได้ทั้งเมล็ดและใบ
แมงลัก สมุนไพรสำหรับคนลดน้ำหนัก แถมช่วยเรื่องการขับถ่ายคล่องอีกด้วย!
ต้นแมงลักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโหระพา ใบเขียวอ่อนมีกลิ่นหอมใช้ประโยชน์ได้ทั้งเมล็ดและใบ

แมงลัก

แมงลัก (Sweet basil) คือพืชที่มีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของแมงลักที่นำมารับประทาน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งเมล็ดและใบ ต้นแมงลักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโหระพา แต่ใบแมงลักจะมีขนาดเล็กกว่า ในประเทศไทยมีแมงลักสายพันธุ์หลักเพียงหนึ่งเดียวคือ “ศรแดง” นอกนั้นจะเป็นพันธุ์ทางและพันธุ์ผสม สมุนไพรแมงลักเหมาะสมสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือผู้ที่มีปัญหาในเรื่องการขับถ่าย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแมงลัก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum × africanum
ชื่อสามัญ : แมงลักมีชื่อสามัญหลัก ๆ ทั้งหมด 4 ชื่อ โดยชื่อแรกที่ถูกตั้งคือ “Hoary basil” ซึ่งคำว่า “hoary” แปลว่าผมหงอก โดยตั้งตามต้นแมงลักที่มีลักษณะขนอ่อน ๆ สีขาวที่บริเวณก้านใบและยอดอ่อน มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Hairy basil” ในภายหลังได้เปลี่ยนชื่อสามัญเป็น “Lemon basil” ซึ่งตั้งตามลักษณะกลิ่นหอมของใบแมงลักที่มีกลิ่นคล้ายคลึงกับเลมอน ในประเทศไทยมีชื่อเรียกตามแมงลักศรแดงของไทยว่า “Thai lemon basil”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “แมงลักหรือมังลัก” ภาคเหนือเรียกว่า “ก้อมก้อข้าว” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “อีตู่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กะเพราและโหระพา (LABIATAE or LAMIACEAE)
ชื่อพ้อง : Ocimum canum Sims

ลักษณะของแมงลัก

แมงลัก เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเฉลี่ย 1 – 2 ปี มีลักษณะคล้ายคลึงกับต้นกะเพรา แต่ต่างกันตรงที่กลิ่นและใบ แมงลักมีกลิ่นหอมอยู่ทุกส่วนของต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ใบเรียงตรงข้ามเป็นคู่ ๆ ตัวใบมีลักษณะกลมรี ปลายใบแหลม ขนที่ใบนิ่ม และใบมีสีเขียวอ่อน
ดอก : ดอกออกเป็นช่อตามบริเวณปลายกิ่งหรือยอด ช่อดอกอาจเป็นช่อเดี่ยวหรือแตกออกเป็นช่อย่อย ๆ ดอกจะบานจากข้างล่างขึ้นข้างบน ดอกย่อยจะออกรอบก้านช่อเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีดอกย่อย 6 ดอก แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 3 ดอก โดยดอกที่อยู่ตรงกลางและช่อดอกย่อยที่อยู่ชั้นล่างสุดของก้านช่อดอกจะบานก่อน กลีบดอกมีสีขาวแบ่งเป็น 2 ปาก กลีบร่วงง่าย เกสรตัวผู้มีความยาวกว่ากลีบดอก ดอกของแมงลักจะคงทนและอยู่ได้นาน
ผล : ผลมีสีน้ำตาลเข้มและขนาดเล็ก ภายในผลมีเมล็ด 4 เม็ด เรียกว่า “เมล็ดแมงลัก” มีลักษณะกลมรีและมีสีดำ

การนำไปใช้ประโยชน์ของสมุนไพรแมงลัก

แมงลัก สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งใบและเมล็ด
ใบแมงลัก : ใบมักจะมีกลิ่นฉุน นำมาใช้ประกอบอาหารในเครื่องแกงต่าง ๆ หรือนำมารับประทานกับขนมจีน นอกจากนั้นยังนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมสบู่และเครื่องสำอาง หรือใช้ในการแต่งกลิ่นอาหาร
เมล็ดแมงลัก : เมล็ดมักจะนำมาใช้ทำเป็นขนมหรือนำไปผสมกับเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำขิง น้ำใบเตย นอกจากนั้นยังเป็นยาระบายและอาหารเสริมลดความอ้วนได้อีกด้วย     

ประโยชน์ของใบและเม็ดแมงลัก

ประโยชน์ในการลดน้ำหนัก

1. เม็ดแมงลัก ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล สามารถเปลี่ยนคอเลสเตอรอลส่วนเกิน (LDL) ในร่างกายไปเป็นกรดน้ำดี แล้วขับกรดน้ำดีออกจากร่างกายได้ ในส่วนคอเลสเตอรอลที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ได้ถูกเปลี่ยนใด ๆ (HDL)
2. เม็ดแมงลักไม่ทำให้เกิดพลังงานในร่างกายจึงสามารถควบคุมปริมาณอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ โดยทานก่อนรับประทานอาหารหรือทานเป็นอาหารก็ย่อมได้เช่นกัน มีวิธีการชงด้วยการนำเม็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชาแล้วแช่ในน้ำ 1 แก้วใหญ่ จากนั้นทิ้งไว้จนพองตัวเต็มที่ ซึ่งเม็ดแมงลักสามารถพองตัวได้มากถึง 45 เท่า สามารถรับประทานด้วยการผสมกับน้ำร้อนหรือผสมกับน้ำผึ้งก็ได้เช่นกัน

ประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายและระบบทางเดินอาหาร

1. ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก เป็นยาระบาย กระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการทานเม็ดแมงลักก่อนนอน เมื่อตื่นมาตอนเช้าจะทำให้การขับถ่ายมีประสิทธิภาพและตรงเวลา
2. เม็ดแมงลัก ช่วยล้างลำไส้และช่วยเรื่องอุจจาระตกค้าง
3. ใบแมงลักสด ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ มีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้

ประโยชน์ในการรักษาโรค

1. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจหากรับประทานอย่างสม่ำเสมอ
2. ช่วยดูดซึมน้ำตาลในร่างกายให้ลดลง เหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน
3. ใบแมงลักต้ม ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือทางเดินอาหาร
4. ช่วยรักษาโรคกลากเกลื้อนหรือโรคเกลื้อนน้ำนม โดยใช้ใบแมงลักสดประมาณ 10 ใบ นำมาตำแล้วผสมน้ำเล็กน้อย จากนั้นทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 1 ครั้ง ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
5. ช่วยรักษาโรคประจำเดือนมาผิดปกติให้กลับมาปกติ
6. ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ ลดอาการเกร็งของหลอดลม

ประโยชน์ในการบรรเทาอาการต่าง ๆ

1. ใบแมงลักช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะหรืออาเจียนได้
2. ใบแมงลักมีสรรพคุณในการช่วยขับเหงื่อ
3. ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้
4. บรรเทาอาการปวดฟัน
5. ใบแมงลักบดผสมน้ำแล้วหยอดหู แก้อาการปวดหู หูตึง
6. แก้หวัด แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ไอเรื้อรัง

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ดแมงลักขนาด 100 กรัม ให้พลังงาน 420 กิโลแคลอรี

  • คาร์โบไฮเดรต 54 กรัม
  • โปรตีน 15 กรัม
  • ไขมัน 16 กรัม
  • กากใยอาหาร 54 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของใบแมงลักขนาด 100 กรัม ให้พลังงาน 32 แคลอรี

  • แคลเซียม 350 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 4.9 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 10,666 มิลลิกรัม
  • ไทอามีน 0.3 มิลลิกรัม
  • ไรโบเฟลวิน 0.14 มิลลิกรัม
  • ไนอะซิน 1 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 78 มิลลิกรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 11.1 กรัม
  • โปรตีน 2.9 กรัม
  • ไขมัน 0.8 กรัม
  • กากใยอาหาร 2.6 กรัม

โทษของใบและเม็ดแมงลัก

1. ไม่ควรทานแทนอาหารทุกมื้อเพราะจะทำให้เกิดโรคขาดสารอาหาร ดังนั้นผู้ที่อยากลดน้ำหนักควรที่จะควบคุมอาหารการกินและควบคุมการรับประทานเม็ดแมงลักด้วย
2. หากรับประทานเกินปริมาณที่ควรจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
3. ไม่ควรทานพร้อมกับการกินยา เพราะเม็ดแมงลักจะไปยับยั้งการดูดซึมของร่างกายต่อยาชนิดนั้น ทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้ไม่ดีและน้อยลง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือไปแย่งซีนยานั่นเอง
4. ไม่ควรทานในขณะที่เม็ดแมงลักยังพองตัวไม่เต็มที่ มิฉะนั้นจะทำให้เม็ดแมงลักจับตัวกันเป็นก้อนและอุดตันในลำไส้จนเกิดอาการท้องผูกตามมาได้
5. เม็ดแมงลักไม่มีคุณภาพหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจก่อให้เกิดเชื้อราได้ เมื่อมีเชื้อราก็จะผลิตสารพิษอย่างอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง

เม็ดแมงลัก เหมาะสำหรับคนลดน้ำหนักหรือคนที่ไม่ชอบกินผัก ในต่างประเทศได้มีวิจัยว่า ใบแมงลักมีสารจำพวกสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ดังนั้นแมงลักเหมาะสมอย่างมากสำหรับสาว ๆ ที่อยากหุ่นดี อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายหากทานอย่างถูกวิธี ควรรับประทานหลังอาหารเย็นประมาณ 3 ชั่วโมง ทั้งนี้ผลตอบรับอาจจะต้องใช้เวลาไประยะหนึ่ง เนื่องจากร่างกายจะมีการปรับตัวต่อสมุนไพรธรรมชาติ ไม่เหมือนกับการกินยาลดความอ้วนที่ให้ผลทันทีแต่มีผลเสียตามมามากมาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม