บีทรูท ช่วยรักษาสิว ยับยั้งมะเร็ง บำรุงเลือดและป้องกันโรคหัวใจ

0
บีทรูท ช่วยรักษาสิว ยับยั้งมะเร็ง บำรุงเลือดและป้องกันโรคหัวใจ
บีทรูท หัวใต้ดิน ขนาดเล็ก ทรงกลมป้อม มีเนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง
บีทรูท ช่วยรักษาสิว ยับยั้งมะเร็ง บำรุงเลือดและป้องกันโรคหัวใจ
บีทรูท หัวใต้ดิน ขนาดเล็ก ทรงกลมป้อม มีเนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง

บีทรูท

บีทรูท (Beetroot) มักจะรู้จักกันในรูปแบบของเครื่องดื่มสมูทตี้ ที่เป็นผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพ ในประเทศไทยมักจะพบบีทรูทสีแดงสด มีรสชาติหวานและรับประทานง่าย เป็นผลไม้เมืองนอกที่ค่อนข้างนิยมอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในหมู่คนรักสุขภาพ ถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ช่วยต้านโรคต่าง ๆ ได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบีทรูท

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Beta vulgaris L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Garden beet” “Common beet”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อท้องถิ่นว่า “ผักกาดฝรั่ง” หรือ “ผักกาดแดง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE)

ลักษณะของบีทรูท

บีทรูท เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียนหรือแถบยุโรป ส่วนในประเทศไทยมักจะปลูกกันที่ภาคเหนือ เพราะเป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมหนาวเย็น
หัว : มีหัวใต้ดิน เป็นทรงกลมป้อม มีเนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน รูปหัวใจรี มีก้านยาว
ดอก : เป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อสีเขียวอ่อนและมีขนาดเล็ก
ผล : ผลมีขนาดเล็ก

ประโยชน์ของบีทรูท

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย เสริมสร้างพละกำลังและความแข็งแรง ลดอาการเหนื่อยล้าจากการออกกำลัง ทำให้ร่างกายอึดและทนทานมากขึ้นถึง 16%
    – ล้างสารพิษในร่างกาย ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนนอน
  • สรรพคุณด้านไขมัน ลดการสะสมไขมัน
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ลดการอุดตันในหลอดเลือด บำรุงหลอดเลือด ลดความดันเลือด รักษาโรคความดันโลหิตสูง แก้ปัญหาอาการประจำเดือนมาผิดปกติ
    – เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนอาหารเช้า
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย รักษาอาการท้องผูก
    – ทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น เป็นยาระบายและขับปัสสาวะ ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนอาหารเช้า
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ยับยั้งสารก่อมะเร็งและลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก ลดจำนวนสารก่อมะเร็งในร่างกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัมพาต
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ
    – แก้อาการไอและเจ็บคอ ขับเสมหะ ลดอาการบวมต่าง ๆ ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนนอน
  • สรรพคุณช่วยบำรุงอวัยวะ บำรุงหัวใจ
    – บำรุงไตและถุงน้ำดี ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนนอน
  • สรรพคุณด้านความงาม
    – รักษาสิวหัวหนองหรือสิวอักเสบ และน้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้หัวบีทรูท 1 หัว มาต้มกับน้ำในปริมาณที่ต้องการ

การนำไปใช้ประโยชน์ของบีทรูท

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ทำเป็นขนมหวานอย่างสาคูไส้บีทรูท สลัดน้ำบีทรูท ขนมบีทรูท ขนมเค้ก เยลลี่บีทรูท พุดดิ้งนมสดบีทรูท พาสต้าหรือไอศกรีม นำมาดองทำเป็นน้ำส้มสายชูได้ ทำเป็นไวน์หรือเครื่องดื่มแบบสมูทตี้ หัวบีทรูทใช้ในงานแกะสลักตกแต่งอาหาร ใช้เป็นสีจากธรรมชาติผสมอาหารได้

คำแนะนำในการรับประทานหรือการใช้บีทรูท

1. หลังจากดื่มน้ำบีทรูทแล้วขับถ่ายออกมามีสีแดงปนเปื้อนนั้นไม่ใช่เลือด แต่เป็นเพราะร่างกายขับสารสีแดงจากบีทรูทออกมา ซึ่งมาจากการรับประทานอาหารที่ทำมาจากบีทรูทมากเกินไป เรียกอาการนี้ว่า “บีทูเรีย”
2. ควรเลือกซื้อหัวบีทรูทที่มีขนาดเล็ก เพราะมีเนื้อละเอียดและให้รสหวานมากกว่าหัวบีทรูทขนาดใหญ่
3. ควรเลือกซื้อผลที่มีผิวไม่เหี่ยว เนื้อไม่นิ่ม แต่ถ้าใบติดอยู่ด้วยให้เลือกหัวที่ใบยังสดอยู่
4. การเก็บรักษาผลบีทรูท ควรล้างน้ำให้สะอาดแล้วเก็บใส่ในถุงตาข่าย จากนั้นวางไว้ในที่ร่มหรือจะนำมาแช่ในตู้เย็นตรงช่องเก็บผักก็ได้ สามารถเก็บได้นานถึง 2 อาทิตย์

คุณค่าทางโภชนาการของหัวบีทรูทดิบ

คุณค่าทางโภชนาการของหัวบีทรูทดิบต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 43 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 9.56 กรัม 
น้ำตาล 6.76 กรัม
เส้นใย 2.8 กรัม
ไขมัน 0.17 กรัม
โปรตีน 1.61 กรัม 
น้ำ 87.58 กรัม
วิตามินเอ 2 ไมโครกรัม (0%)
เบตาแคโรทีน 20 ไมโครกรัม (0%)
วิตามินบี1 0.031 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม (3%) 
วิตามินบี3 0.334 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี5 0.155 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี6 0.067 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี9 109 ไมโครกรัม (27%)
วิตามินซี 4.9 มิลลิกรัม (6%)
แคลเซียม 16 มิลลิกรัม (2%) 
เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม (6%)
แมกนีเซียม 23 มิลลิกรัม (6%)
แมงกานีส 0.329 มิลลิกรัม (16%)
ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม (6%)
โพแทสเซียม 325 มิลลิกรัม (7%)
โซเดียม 78 มิลลิกรัม (5%) 
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม (4%)

สารออกฤทธิ์สำคัญ

  • สารบีทานิน (Betanin) เป็นสารสีแดงที่อยู่ในหัวบีทรูท เป็นกรดอะมิโน ช่วยยับยั้งโรคมะเร็งและลดการเติบโตของเนื้องอกได้ ทำให้เลือดลมและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีมากขึ้น
  • สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นสารสีม่วง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดสารก่อมะเร็งและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและอัมพาต

การทำน้ำบีทรูท

1. นำบีทรูท 2 หัว มาปอกเปลือกแล้วล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในเครื่องปั่นแยกกากหรือหั่นเป็นฝอยแล้วลงในเครื่องปั่น จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อทำการแยกกากออก
2. นำน้ำที่ได้ใส่หม้อตั้งไฟ แล้วเติมน้ำตาลทรายครึ่งถ้วยและเกลือ 1 ส่วน 3 ช้อนชา พร้อมดื่ม

บีทรูท เป็นผลไม้สีแดงที่มีประโยชน์ในการต้านทานโรค มักจะพบเป็นน้ำดื่มสมูทตี้ซึ่งควรดื่มก่อนอาหารเช้าหรือดื่มก่อนนอนจะให้ผลดีต่อร่างกาย มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ยับยั้งโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัมพาต รักษาสิว บำรุงไตและถุงน้ำดี และเพิ่มประสิทธิภาพต่อระบบการไหลเวียนของเลือด เป็นผลไม้ที่คู่ควรต่อการดื่มเป็นประจำ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ชะอม บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ และช่วยให้ขับถ่ายคล่อง

0
ชะอม บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ และช่วยให้ขับถ่ายคล่อง
ชะอม ผักที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารหลากหลาย ใบคล้ายกระถิน มีกลิ่นฉุน ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม
ชะอม บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ และช่วยให้ขับถ่ายคล่อง
ชะอม ผักที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารหลากหลาย ใบคล้ายกระถิน มีกลิ่นฉุน ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม

ชะอม

ชะอม (Climbing wattle) เป็น ผักที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร โดยเฉพาะเมนู “ไข่ชะอมทอด” ที่มักจะรับประทานกับน้ำพริกกะปิ เป็นผักที่รสชาติอร่อยเมื่อนำมารวมกับส่วนผสมอื่น ๆ สามารถหาซื้อได้ง่ายมากและมีราคาไม่แพง อีกทั้งยังปลูกได้ด้วยตัวเอง ชะอมก็เป็นผักชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่แพ้ผักชนิดอื่น แต่ชะอมเป็นผักที่ต้องระมัดระวังในการรับประทานเข้าร่างกาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของชะอม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acacia pennata (L.) Willd.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Climbing wattle” “Acacia” และ “Cha – om”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักหละ” ภาคใต้เรียกว่า “อม” ภาคอีสานและจังหวัดอุดรธานีเรียกว่า “ผักขา” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “พูซูเด๊าะ” ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “โพซุยโดะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของชะอม

ชะอม เป็นไม้พุ่มที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมรับประทานในทุกภาคของไทย ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม
ใบ : ใบชะอมเป็นใบประกอบสีเขียวขนาดเล็ก มีก้านใบย่อยแตกออกจากแกนกลางใบ มีลักษณะคล้ายกับใบส้มป่อยหรือใบกระถิน ใบอ่อนจะมีกลิ่นฉุน ใบย่อยมีขนาดเล็กออกตรงข้ามกัน ลักษณะคล้ายรูปรี ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ใบย่อยจะหุบในเวลาเย็นและแผ่ออกเพื่อรับแสงในช่วงกลางวัน
ดอก : ดอกชะอมมีขนาดเล็ก ออกตามซอกใบและมีสีขาว

วิธีการปลูกชะอม สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การปักชำ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือการโน้มกิ่งลงดิน วิธียอดนิยมเลยก็คือ “การเพาะเมล็ด”

ขั้นตอนการเพาะเมล็ด

1. นำเมล็ดชะอมมาใส่ถุงพลาสติก แล้วรดน้ำวันละครั้ง
2. เมื่อเมล็ดงอกให้ทำการย้ายลงดิน โดยปลูกห่างกันประมาณ 1 เมตร
3. ทำการเก็บยอดชะอม แต่ให้เหลือยอดไว้ 3 – 4 ยอด เพื่อให้ต้นได้โตต่อไป

คำแนะนำในการปลูกด้วยวิธีเพาะเมล็ด

1. ใช้ปุ๋ยสดหรือมูลสัตว์ในการบำรุงต้น
2. ไม่ควรปลูกฤดูฝนเพราะเมล็ดชะอมมีโอกาสเน่าได้สูง หากปลูกในฤดูร้อนแล้วหมั่นรดน้ำจะเจริญเติบโตได้ดีกว่า
3. หากมีแมลงให้ใช้ปูนขาวโรยไว้รอบโคนต้น แต่ถ้ามีหนอนกินยอดชะอมก็ให้ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดทุก ๆ 8 วัน
4. การเก็บยอดชะอม ควรเก็บให้เหลือยอดไว้ 3 – 4 ยอด เพื่อให้ต้นได้โตต่อไป และเพื่อความปลอดภัยควรเก็บหลังจากการฉีดยาฆ่าแมลงแล้วไม่น้อยกว่า 7 วัน

สรรพคุณของชะอม

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ ลดความร้อนในร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก รากช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และช่วยขับลมในลำไส้
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง
  • สรรพคุณด้านกล้ามเนื้อ บำรุงเส้นเอ็น
  • สรรพคุณด้านความงาม
    – ช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสียและแตกปลาย ด้วยการนำใบชะอมประมาณ 1 กำมือ มาต้มกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย จนได้น้ำชะอมเข้มข้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เมื่อสระผมเสร็จให้นำผ้าขนหนูมาชุบน้ำชะอมที่เตรียมไว้ บิดพอหมาด นำมาเช็ดผมให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นให้ล้างออก

ประโยชน์ของชะอม

เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นเมนูอาหารได้หลากหลายเมนูอย่าง ไข่ชะอม ไข่ทอดชะอม ชะอมชุบไข่ แกงส้มชะอมกุ้ง หรือนำมาลวกนึ่งใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริกกะปิ สามารถนำมารับประทานร่วมกับส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ หรือจะนำไปปรุงเป็นแกงลาว แกงแค ก็ได้เช่นกัน

คุณค่าทางโภชนาการของยอดชะอม

คุณค่าทางโภชนาการของยอดชะอม 100 กรัม ให้พลังงาน 57 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
เส้นใยอาหาร 5.7 กรัม
แคลเซียม 58 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม
เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม 
วิตามินเอ 10066 IU
วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.25 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.5 มิลลิกรัม
วิตามินซี 58 มิลลิกรัม

โทษของชะอม

1. ควรรับประทานชะอมในหน้าร้อน เพราะชะอมจะมีรสชาติดีกว่าหน้าฝนที่มีรสเปรี้ยวและกลิ่นแรง ซึ่งอาจจะทำให้ปวดท้องได้
2. คุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่หลังคลอด อาจแพ้กลิ่นแรงของชะอม ทำให้มีอาการแพ้ท้องหรือรู้สึกพะอืดพะอม ไม่สบายได้มากขึ้น คุณแม่หลังคลอดไม่ควรรับประทานผักชะอมเพราะจะทำให้น้ำนมแม่แห้งได้
3. คนที่เป็นโรคเกาต์ควรงดการทานชะอมเพราะในชะอมมีพิวลีนสูง ซึ่งพิวลีนจะเปลี่ยนเป็นกรดยูริก เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้ออักเสบ ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคเกาต์มีอาการกำเริบมากยิ่งขึ้น
4. ควรล้างผักให้สะอาดหรือนำมาปรุงให้สุกก่อนรับประทาน เพราะชะอมอาจจะปนเปื้อนเชื้อก่อโรคอย่างซาลโมเนลลา (Salmonella) อาจก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำสีเขียว หรือถ่ายเป็นมูกเลือด และมีไข้ได้

ชะอม เป็นผักที่ค่อนข้างมีกลิ่นแรง สำหรับผู้ที่อ่อนไหวต่อกลิ่นหรือคนที่ไม่สามารถรับประทานอาหารกลิ่นแรงได้อาจจะไม่ชอบใจนัก แต่ชะอมเป็นผักที่มีวิตามินเอสูง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงเส้นเอ็น ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง และเป็นยาอายุวัฒนะได้ด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ ผลไม้Superfood ป้องกันนิ้วในไตและต้านมะเร็ง

0
มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ ผลไม้Superfood ป้องกันนิ้วในไตและต้านมะเร็ง
มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ มีผลขนาด 4-10 ซม. ผลดิบจะสีเขียวเข้ม เริ่มแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม และสุกเต็มที่จะเป็นสีแดงเข้ม
มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ ผลไม้Superfood ป้องกันนิ้วในไตและต้านมะเร็ง
มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ มีผลขนาด 4-10 ซม. ผลดิบจะสีเขียวเข้ม เริ่มแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม และสุกเต็มที่จะเป็นสีแดงเข้ม

ทามาริลโล่

มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ ( Tamarillo ) มีลักษณะภายนอกคล้ายมะเขือเทศราชินี มีรสหวานอมเปรี้ยว แต่จะมีรสเปรี้ยวมากกว่ามะเขือเทศ มีดอกมีกลิ่นหอม เปลือกนอกจะขมเล็กน้อย สามารถทานได้ทั้งแบบผลสดสามารถปล่อยให้สุกบนต้นก่อนรับประทาน หรือนำมาปรุงอาหาร เช่น นำมาทำซอส คั้นเป็นน้ำผลไม้ ทามาริลโล่อบแห้ง ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน A, B6, C, E, ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ

ชื่ออื่นๆของมะเขือเทศต้นทามาริลโล่

ชื่อสามัญ : Tamarillo
ชื่อวิทยาศาสตร์ : คือ Solanum betaceum ชื่อวงศ์
มะเขือเทศต้นไม้ที่รู้จัก : จัดอยู่ในสกุล Solanum วงศ์ Solanaceae
ชื่อที่รู้จักกันอื่นๆ : Red Tamarillo, Tamarillo Tree Tomato, Andean Tomato, Serrano Tomato และ มะเขือเทศต้นผลวงรีก้นแหลม มีทั้งสายพันธุ์สีแดงและสีเหลือง ผลจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน กลิ่นฉุนเล็กน้อย เนื้อแน่น เนื้อข้างในสีส้ม และมีเมล็ดสีดำขนาดเล็กนุ่มรับประทานได้

ลักษณะของมะเขือเทศต้นทามาริลโล่

มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ เป็นไม้พุ่มผลไม้พื้นเมืองในเขตร้อนเป็นพืชในตระกูลกับมะเขือเทศ
ลำต้นทามาริลโล่ : สีเทาอมเขียว สูงประมาณ 1 – 4 เมตร
ใบทามาริลโล่ : สีเขียวชอุ่มตลอดปี เรียงสลับกัน ก้านใบแข็ง ยาว 4-8 เซนติเมตร
ผลทามาริลโล่ : ผลดิบจะสีเขียวเข้ม เมื่อผ่านมาระยะหนึ่งผลจะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลเข้ม หากปล่อยให้ผลทามาริลโล่สุกเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ยาวประมาณ 4-10 เซนติเมตร สามารถออกผลได้หลังจาก 1.5 ถึง 2 ปี
เมล็ดพันธุ์ทามาริลโลแดง : เมล็ดมีขนาดเล็ก มีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ
ดอก : ดอกมีสีขาวอมชมพู เกสรสีเหลือง สามารถติดผลได้โดยไม่ต้องผสมเกสรข้าม มีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นพวง พวงล่ะ 10-30 ดอก
การขยายพันธุ์ : การขยายพันธุ์ทำได้โดยใช้เมล็ดมะเขือเทศต้นทามาริลโล่ หรือการตอนกิ่ง

ถิ่นกำเนิดของมะเขือเทศต้นทามาริลโล่

พบครั้งแรกในอเมริกาใต้และอเมริกากลางต่อมา มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ กลายเป็นผลไม้ยอดนิยมในอินเดีย เอเชีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเอเชีย ทามาริลโลสีแดงสีแดง หรือสีแดงอมเหลือง

ประโยชน์ของทามาริลโล่ที่น่าอัศจรรย์ดีต่อสุขภาพร่างกาย

ผลทามาริลโล่ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย รวมถึงยังเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้

1.ทามาริลโล่อุดมไปด้วยวิตามิน A , C, E และเป็นแหล่งวิตามิน B-complex ที่ดี เช่น ไนอาซิน ไทอามีน และไรโบฟลาวิน สารอาหารอื่นๆ ในทามาริลโลได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แคลเซียม โพแทสเซียม และโซเดียม นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุเช่น ฟอสฟอรัส แมงกานีส แมกนีเซียม ทองแดง สังกะสีและเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย

2.ผลสดทามาริลโล่อุดมไปด้วยไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ ซึ่งมีคุณสมบัติที่เป็นกรดของมันช่วยลดไขมัน ช่วยควบคุมน้ำหนัก เร่งการเผาผลาญ และเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดน้ำหนัก

3.ทามาริลโลมีวิตามิน A, C, E, แอนโทไซยานิน ฟีนอล และฟลาโวนอยด์ สามารถช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ต่อต้านริ้วรอย ช่วยให้ผิวสุขภาพดีเปล่งปลั่ง เช่นเดียวกับมะเขือเทศ

4.ทามาริลโล่อุดมไปด้วยไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยส่งเสริมความไวของอินซูลิน

5.ทามาริลโลมีแอนโทไซยานินและแคโรทีนอยด์สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

6.ทามาริลโล่ มีใยอาหารจำนวนมากและกลุ่มวิตามิน B-Complex ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ช่วยขับของเสียในลำไส้ ทำให้อุจจาระผ่านลำไส้ใหญ่ได้ง่าย
และขับถ่ายง่ายขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก ท้องอืด และรักษาแผลในทางเดินอาหารได้

7.ทามาริลโล่ พบสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี สามารถป้องกันเซลล์ในร่างกายหากเกิดความเสียหายจากการติดเชื้อและการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเซลล์มะเร็งในอนาคตได้ เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระยังต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น

8.กินผลทามาริลโล่ในปริมาณ 100 กรัม จะได้รับโพแทสเซียมประมาณ 321 มิลลิกรัม ซึ่งโพแทสเซียมสามารถช่วยรักษาอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตให้เป็นปกติ ดีสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ช่วยลดความเครียดจากหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลผ่านหลอดเลือดได้อย่างสะดวก

9.ทามาริลโลมีวิตามินซี ทองแดง และโฟเลตในปริมาณสูง ซึ่งดีต่อสมองช่วยพัฒนาและส่งเสริมการทำงานของเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรงขึ้น ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์

10.ทามาริลโลอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีนสูง จึงมีความสำคัญต่อการมองเห็น ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ดวงตา ลดความเสี่ยงของต้อกระจก บำรุงสายตา และป้องกันริ้วรอยรอบดวงตา

11.ผลทามาริลโล่มีวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีในปริมาณมาก ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรง ปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส เพิ่มความชุ่มชื้น และขาวกระจ่างใส

12.ทามาริลโลมีธาตุเหล็กช่วยลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนแรง และเวียนศีรษะได้ รวมถึงสามารถป้องกันไม่ให้เป็นโรคโลหิตจาง และสามารถช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ในระดับหนึ่ง ยังช่วยควบคุมการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง กระตุ้นการผลิตเลือดในร่างกาย

มะเขือเทศต้นทามาริลโล่แตกต่างจากมะเขือเทศทั่วไปอย่างไร

  • มะเขือเทศต้นทามาริลโล่จะมีขนาดสูงใหญ่ ลำต้นหนา กว่ามะเขือเทศทั่วไป
  • มะเขือเทศต้นทามาริลโล่เป็นไม่ยืนต้น มะเขือเทศทั่วไปเป็นไม้ล้มลุก
  • มะเขือเทศต้นทามาริลโล่เปลือกจะค่อนข้างขมต้องปอกเปลือกก่อนทาน

ทามาริลโล่ ปลูกอย่างไร

ทามาริลโล่ เป็นไม้พุ่ม ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี สามารถปลูกได้ในพื้นที่อากาศอบอุ่น แต่ชอบแดดจัด ออกผลในช่วงฤดูร้อน ควรตัดแต่งกิ่งปลายฤดูหนาว รดน้ำเมื่อผิวหน้าดินแห้ง ใส่ปุ๋ยอินทรีย์เป็นประจำเพื่อช่วยการเจริญเติบโตของราก ลำต้น และผลมะเขือเทศต้นทามาริลโล่จะออกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเทศต้นทามาริลโล่

คุณค่าทางโภชนาการของผลทามาริลโล่ 100 กรัม ให้พลังงาน 31 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ไขมันทั้งหมด 0.36 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.8 กรัม
โปรตีน 2 กรัม
ใยอาหาร 3.3 กรัม
โฟเลต 4 ไมโครกรัม
ไนอาซิน 0.271 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 189.17 ไมโครกรัม
วิตามินซี 29.8 มิลลิกรัม
วิตามินอี 2.09 มิลลิกรัม
โซเดียม 1.44 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 321 มิลลิกรัม
แคลเซียม 10.7 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 20.6 มิลลิกรัม
แมงกานีส 114 ไมโครกรัม
ฟอสฟอรัส 38.9 มิลลิกรัม
ไพริดอกซิ 0.198 มิลลิกรัม
ไทอามีน 0.043 มิลลิกรัม
ทองแดง 0.051 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.57 มิลลิกรัม
ซีลีเนียม 0.1 ไมโครกรัม
สังกะสี 0.15 มิลลิกรัม

แนะนำวิธีรับประทานมะเขือเทศต้นทามาริลโล่ และการแปรรูปทามาริลโล่

1.เมนูทามาริลโล่โรยพริกเกลือ
ใช้ผลทามาริลโล่สุก ควรปอกเปลือกออกลดความขมของเปลือก นำไปจิ้มพริกเกลือหรือโรยน้ำตาลเล็กเพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อย

2..ทามาริลโล่แปรรูปเป็นผลไม้อบแห้ง (Tamarillo processed into dried fruit)
– ทามาริลโล่ 1 กิโลกรัม
– น้ำตาลทราย 800 กรัม
– น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
– น้ำปูนใส 5 ถ้วย

3.แยมทามาริลโล่ (Tamarillo Jam)
– ทามาริลโล่ผลสุก 6 ผล (ปอกเปลือกออกก่อน)
– น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
– น้ำตาลทรายขาว 4 ถ้วยตวง

4.เมนูทามาริลโล่สมูทตี้ หรือทามาริลโล่ปั่น (Tamarillo Smoothie)
– ทามาริลโล่ผลสุก 1 ผล (ปอกเปลือกออกก่อน)
– นม 1 ถ้วยตวง หรือ 120 มิลลิลิตร
– น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ ( 15 กรัม)
– น้ำแข็ง 1 แก้วตวง

5.ซอสทามาริลโล่
– ทามาริลโล่ 1 กิโลกรัม
– น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
– เกลือ 1 ช้อนชา
– น้ำสะอาด นิดหน่อย
– น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

มะเขือเทศต้น ทามาริลโล่ เป็นผลไม้ที่หาทานค่อนข้างยาก เนื้อสัมผัสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมละมุน อุดมด้วยวิตามินหลากหลายชนิด ซึ่งจัดเป็นผลไม้Superfoodอีกชนิด และมะเขือเทศต้น ทามาริลโล่ สามารถดัดแปลงทำเมนูได้ทั้งคาว หวาน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ตำลึง ผักมากประโยชน์ ป้องกันมะเร็ง บำรุงผิว บำรุงสายตา บำรุงเลือด รักษาเบาหวาน

0
ตำลึง ผักมากประโยชน์ ป้องกันมะเร็ง บำรุงผิว บำรุงสายตา บำรุงเลือด รักษาเบาหวาน
ตำลึง เป็นไม้เลื้อย ลำต้นกลม เป็นใบเดี่ยว 3-5 แฉก ใบเป็นรูปหัวใจ ผิวใบมันเรียบ
ตำลึง ผักมากประโยชน์ ป้องกันมะเร็ง บำรุงผิว บำรุงสายตา บำรุงเลือด รักษาเบาหวาน
ตำลึง เป็นไม้เลื้อย ลำต้นกลม เป็นใบเดี่ยว 3-5 แฉก ใบเป็นรูปหัวใจ ผิวใบมันเรียบ

ตำลึง

ตำลึง (Ivy gourd) เป็น ผักอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมนำมารับประทานกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะเมนู “แกงจืดตำลึง” ที่มักจะพบได้ง่ายตามร้านทั่วไป นอกจากนั้นยังสามารถซื้อตำลึงมาทำเองได้ด้วย ตำลึงมีลักษณะโดดเด่นอยู่ที่ใบเป็นรูปหัวใจและที่สำคัญโด่งดังในเรื่องของสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดจึงทำให้รักษาเบาหวานได้ นอกจากนั้นยังนิยมนำมาใช้ทำทรีตเมนต์ให้ผิวหน้าผ่องใสได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตำลึง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Coccinia grandis (L.) Voigt
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Ivy gourd”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ตำลึง สี่บาท” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักแคบ” ภาคอีสานเรียกว่า “ผักตำนิน” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “แคเด๊าะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)
ชื่อพ้อง : Cephalandra indica (Wight & Arn.) Naudin

ลักษณะของตำลึง

ตำลึง เป็นไม้เลื้อยที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะกลม ต้นอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลอมเทาหรือสีเทาอมเขียว บริเวณข้อของต้นจะมีมือยึดเกาะ
มือเกาะ : มีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ คล้ายหนวดขนาดเล็ก แตกออกบริเวณข้อของลำต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยว 3 แฉก หรือ 5 แฉก มีรูปร่าง 5 เหลี่ยม โคนใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ผิวใบมันเรียบ แผ่นใบหยักเป็นแฉก ปลายใบเป็นติ่งแหลม ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ไม่มีขน
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวหรือคู่ ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกจะมีสีขาวถึงขาวนวล ก้านช่อดอกสั้น แตกกิ่งช่อดอกตรงปลาย ดอกมีลักษณะคล้ายรูประฆัง
ผล : ลักษณะของผลเป็นทรงยาววงรีคล้ายแตงกวาแต่มีขนาดเล็กกว่า ผลอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน ผลแก่จัดจะมีสีแดง
เมล็ด : เมล็ดอยู่ภายในผลจำนวนมาก เมล็ดมีลักษณะยาววงรี แบนและผิวเรียบ เมล็ดดิบจะมีสีเขียวอ่อน เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล

สรรพคุณของตำลึง

  • สรรพคุณจากตำลึง ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย บำรุงผิวพรรณ ช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันการเกิดอัมพาต บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง บำรุงและรักษาสายตา ป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดแข็งหรือตีบตันและแตก ป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตา
    – ลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มระดับอินซูลินจึงช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เถาแก่ 1 กำมือ มาต้มกับน้ำหรือจะใช้น้ำคั้นจากผลดิบมาดื่มวันละ 2 รอบ เวลาเช้าเย็น
  • สรรพคุณจากน้ำคั้นตำลึง ป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง
  • สรรพคุณจากใบ ป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง บำรุงเลือด ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด บำรุงน้ำนมแม่ ช่วยดับพิษร้อนและแก้ไข้ตัวร้อน แก้อาการตาแดงและเจ็บตา ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ช่วยขับสารพิษในลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก แก้ฝีแดง ดับพิษฝี บรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน ป้องกันการเป็นตะคริว
    – แก้ผดผื่นคัน ด้วยการนำใบมาตำแล้วทาบริเวณที่คัน
    – รักษาแผลอักเสบ ด้วยการนำใบสดมาตำแล้วพอกบริเวณแผล
    – ลดอาการคันและการอักเสบเนื่องจากพืชมีพิษหรือถูกแมลงสัตว์กัดต่อยอย่างหมามุ่ย ถูกตัวบุ้ง ยุงกัด ใบตำแย แพ้ละอองข้าว พิษคูน พิษกาฬ ด้วยการนำใบสด 1 กำ มาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำแล้วคั้นเอาน้ำมาทา
    – แก้งูสวัด เริม ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 2 กำมือ มาล้างให้สะอาดแล้วนำมาผสมกับพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน จากนั้นทำการพอกบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณจากราก ช่วยลดไข้ แก้อาเจียน แก้อาการตาฝ้า ช่วยดับพิษต่าง ๆ
    – รักษาแผลอักเสบ ด้วยการนำรากสดมาตำแล้วพอกบริเวณแผล
  • สรรพคุณจากเถา ช่วยดับพิษต่าง ๆ
    – แก้อาการวิงเวียนศีรษะ ด้วยการนำเถามาชงกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้อาการตาแดง ตาฟาง ตาช้ำ ตาแฉะและพิษอักเสบในตา ด้วยการนำเถามาต้มแล้วเอาน้ำจากเถามาหยอดตา
    – แก้อาการตาช้ำแดง ด้วยการตัดเถาเป็นท่อนยาว 2 นิ้ว แล้วนำมาคลึงพอช้ำแล้วเป่าจนเกิดฟองเพื่อใช้หยอดตา
    – แก้อาการผิดสำแดงเพราะกินของแสลง โดยใช้เถาตำลึงตัดเป็นท่อนยาว 1 คืบ จำนวน 3 – 4 ท่อน ใส่ในหม้อดินสุมไฟด้วยฟางจนไหม้เป็นขี้เถ้า นำมาบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำซาวข้าวเพื่อดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา
    – แก้อักเสบ ด้วยการใช้น้ำจากเถาทาบริเวณที่มีอาการ
    – เป็นยารักษาตาไก่ ให้พลิกเอาหนองขาวแข็งออกจากตาไก่ก่อน แล้วใช้เถาตำลึงแก่ขนาดเท่านิ้วก้อยมาตัดเป็นท่อนแล้วตัดข้อทิ้ง จากนั้นใช้ปากเป่าด้านหนึ่งจนเกิดฟอง เอามือเปิดเปลือกตาไก่ออกแล้วเอาฟองที่ได้หยอดตาไก่วันละครั้งจนกว่าจะหายดี
  • สรรพคุณจากเปลือกราก เป็นยาถ่ายหรือยาระบาย ช่วยระบายท้อง
  • สรรพคุณจากหัว เป็นยาถ่ายหรือยาระบาย ช่วยระบายท้อง
  • สรรพคุณจากดอก
    – แก้ผดผื่นคัน ด้วยการนำดอกมาตำแล้วทาบริเวณที่คัน
  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – แก้หิด ด้วยการใช้เมล็ดมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วนำมาทาบริเวณที่มีอาการ

ประโยชน์ของตำลึง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำยอดและใบมารับประทานเป็นผักสดด้วยการลวกหรือต้มจิ้มกับน้ำพริก นำมาใช้ในการประกอบอาหารอย่างแกงจืด ต้มเลือดหมู แกงเลียง ก๋วยเตี๋ยว ผัดไฟแดง ไข่เจียว ผลอ่อนนำมารับประทานกับน้ำพริกหรือจะนำมาดองก็ได้ ผลสุกนำมารับประทานได้เช่นกัน
2. ใช้ในด้านความงาม ช่วยกำจัดกลิ่นตัวและกลิ่นเต่าด้วยการใช้เถาและใบมาตำผสมกับปูนแดงแล้วทาบริเวณรักแร้ ช่วยทรีตเมนต์ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงด้วยการใช้ยอดตำลึงครึ่งถ้วยและน้ำผึ้งแท้ครึ่งถ้วยมาผสมกันแล้วปั่นในโถให้ละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก

คุณค่าทางโภชนาการใบและยอดอ่อนของตำลึง

ใบและยอดอ่อนของตำลึง 100 กรัม ให้พลังงาน 35 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ใยอาหาร 1 กรัม
วิตามินเอ 18,608 IU
วิตามินบี1 0.17 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.13 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 34 มิลลิกรัม
แคลเซียม 126 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 30 กรัม
เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม

ข้อควรระวังของตำลึง

1. ตำลึงมีฤทธิ์เป็นยาเย็น เมื่อทาน้ำตำลึงที่ผิวหนังแล้วไม่รู้สึกเย็นแปลว่าไม่ถูกโรค ดังนั้นให้หยุดใช้ทันที
2. การทาน้ำตำลึงไม่ควรถูแรงจนเกินไปในบริเวณที่เป็นผิวบอบบาง เพราะจะทำให้เกิดอาการอักเสบเพิ่มมากขึ้น

ตำลึง เป็นผักที่มีฤทธิ์เป็นยาเย็นซึ่งมีลักษณะใบเป็นรูปหัวใจ นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารโดยเฉพาะ “แกงจืดตำลึง” สามารถนำทั้งต้นมาใช้ประโยชน์ได้มากมายโดยเฉพาะด้านยาและช่วยบำรุงผิว เป็นผักที่มีวิตามินเอและแคลเซียมสูง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง บำรุงและรักษาสายตา บำรุงเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือดและรักษาเบาหวาน เป็นผักที่หาได้ง่ายและมีประโยชน์ต่ออวัยวะสำคัญในร่างกายเป็นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักชีลาว ยาดี แก้กรดไหลย้อน บำรุงสายตา ช่วยในการนอนหลับ

0
ผักชีลาว ยาดีสำหรับโรคประจำวัน แก้กรดไหลย้อน บำรุงสายตา ช่วยในการนอนหลับ
ผักชีลาว ยาดีสำหรับโรคประจำวัน แก้กรดไหลย้อน บำรุงสายตา ช่วยในการนอนหลับ

ผักชีลาว ยาดีสำหรับโรคประจำวัน แก้กรดไหลย้อน บำรุงสายตา ช่วยในการนอนหลับ

ผักชีลาว

ผักชีลาว (Dill) เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งในวงศ์ผักชีที่มีประโยชน์ไม่แพ้ผักชีไทย ส่วนมากมักจะอยู่ในส่วนประกอบของอาหาร ผักชีลาวนั้นมี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มาจากยุโรปและชนิดที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน สามารถปลูกได้ในประเทศไทยและนิยมปลูกเพื่อนำมารับประทานเป็นผัก สรรพคุณนั้นอาจจะยังไม่ค่อยมีใครรู้จักกันมากนัก และอาจจะสับสนกับผักชีไทยหรือผักชีฝรั่งได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Anethum graveolens L.
ชื่อสามัญ : Dill
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “เทียนข้าวเปลือกหรือเทียนตาตั๊กแตน” จังหวัดน่านเรียกว่า “ผักชีเมือง” จังหวัดพิจิตรเรียกว่า “ผักชีเทียนหรือผักชีตั๊กแตน” จังหวัดเลยและขอนแก่นเรียกว่า “ผักชี”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักชี (APIACEAE)

ลักษณะของผักชีลาว

ใบ : ใบประกอบแบบขนนก มีสีเขียวสดออกเรียงสลับกัน
ดอก : ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกมีลักษณะคล้ายกับซี่ร่ม
ผล : ผลแก่เป็นรูปไข่แบน มีสีน้ำตาลอมเหลือง

สรรพคุณของผักชีลาว

  • สรรพคุณ ต่อต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากและช่วยชะลอวัย บำรุงและรักษาสายตาและช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับตา บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ลดความดันโลหิตสูง ยับยั้งหรือช่วยชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ขยายหลอดเลือด รักษาโรคเบาหวาน กระตุ้นการหายใจ ลดกรดไหลย้อน
  • สรรพคุณจากผลแก่ เป็นยาบำรุงกำลังชั่วคราว
    – แก้อาการปวดท้อง แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับน้ำดื่มวันละ 4 แก้ว
  • สรรพคุณจากผล บำรุงปอด แก้หอบหืด บรรเทาอาการไอ แก้สะอึก แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนและเป็นลม ช่วยทำให้ง่วงนอน
  • สรรพคุณจากใบ เพิ่มปริมาณของน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร ลดอาการโคลิคหรืออาการ “เด็กร้องร้อยวัน” เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกระเพาะอาหาร
    – แก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้ใบสดมาต้มกินเป็นอาหาร
    – แก้อาการปัสสาวะขัด ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 50 กรัม มาต้มกับน้ำแล้วดื่มเป็นชา
    – รักษาฝีเนื้อร้าย ด้วยการนำใบสดมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นฝีวันละ 2 ครั้ง
  • สรรพคุณจากต้นสด
    – แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อของเด็ก ด้วยการใช้ต้นสดมาผสมกับนมให้เด็กอ่อนดื่มแก้อาการ
    – แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 50 กรัม นำมาเคี่ยวกับน้ำจนข้นแล้วรับประทาน
    – รักษาไส้ติ่งอักเสบ ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 60 กรัม แล้วนำมาต้มกับน้ำกิน
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ขับเหงื่อ แก้อาการบวมและเหน็บชา

ประโยชน์ของผักชีลาว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นิยมนำใบมาใส่ในแกง ห่อหมก น้ำพริกปลาร้า หรือรับประทานสด ๆ ในส่วนยอดของใบใช้รับประทานกับลาบและช่วยชูรสชาติอาหาร นำผลมาบดโรยบนมันฝรั่งบดหรือสลัดผัก ใบสดและแห้งนิยมนำมาโรยบนอาหารประเภทปลาเพื่อช่วยดับกลิ่นคาว น้ำมันนำมาใช้แต่งกลิ่นผักดอง สตู น้ำซอส ของหวาน และเครื่องดื่มรวมไปถึงเหล้าด้วย
2. เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นำผลหรือเมล็ดผักชีที่มีน้ำมันระเหยมาแปรรูปเป็นสบู่หรือโลชั่นบำรุงผิว

คุณค่าทางโภชนาการของผักชีลาวสด

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 43 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 7 กรัม
เส้นใย 2.1 กรัม
ไขมัน 1.1 กรัม
โปรตีน 3.5 กรัม
วิตามินเอ 7,717 ไมโครกรัม (154%)
วิตามินบี1 0.1 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี2 0.3 มิลลิกรัม (25%)
วิตามินบี3 1.6 มิลลิกรัม (11%)
วิตามินบี5 0.4 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินบี6 0.2 มิลลิกรัม (15%)
วิตามินบี9 150 ไมโครกรัม (38%)
วิตามินซี 85 มิลลิกรัม (102%)
แคลเซียม 208 มิลลิกรัม (21%)
เหล็ก 6.6 มิลลิกรัม (51%)
แมกนีเซียม 55 มิลลิกรัม (15%)
แมงกานีส 1.3 มิลลิกรัม (62%)
ฟอสฟอรัส 66 มิลลิกรัม (9%)
โพแทสเซียม 738 มิลลิกรัม (16%)
โซเดียม 61 มิลลิกรัม (4%)
สังกะสี 0.9 มิลลิกรัม (9%)
ทองแดง 0.14 มิลลิกรัม (7%)

ผักชีลาว เป็นผักที่มีวิตามินและแร่ธาตุค่อนข้างสูง โดยเฉพาะวิตามินเอที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และค่อนข้างพบได้มากในเมนูอาหารอีสาน เป็นพืชใบเล็กที่มีสรรพคุณมากมาย โดยสรรพคุณที่โดดเด่นคือ บำรุงและรักษาตา ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง บำรุงกระดูกและฟัน ลดกรดไหลย้อนและช่วยในการนอนหลับ เป็นผักที่มีสรรพคุณที่จำเป็นและต้องการในโลกที่ผู้คนมักจะจ้องหน้าจอคอมนาน ๆ จนสายตาเสียหรือกินอาหารไม่ตรงเวลาเกิดโรคกรดไหลย้อน เกิดความเครียดจนนอนไม่หลับ ดังนั้นถือเป็นยาที่ดีสำหรับคนไทยในปัจจุบัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักชีฝรั่ง มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งดับกลิ่นปากและต่อต้านมะเร็ง

0
ผักชีฝรั่ง มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งดับกลิ่นปากและต่อต้านมะเร็ง
ผักชีฝรั่ง ใบออกรอบโคนต้น เป็นใบรูปหอกยาวรี ขอบใบจักรแบบฟันเลื่อยและที่ปลายจักรมีหนามอ่อน ๆ
ผักชีฝรั่ง มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งดับกลิ่นปากและต่อต้านมะเร็ง
ผักชีฝรั่ง ใบออกรอบโคนต้น เป็นใบรูปหอกยาวรี ขอบใบจักรแบบฟันเลื่อยและที่ปลายจักรมีหนามอ่อน ๆ

ผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่ง (culantro) เป็น พืชที่อยู่ในวงศ์ผักชี เป็นผักที่มีการเพาะปลูกทั่วโลกและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ขึ้นชื่อว่าผักชีแล้วนั้นเป็นที่รู้ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายแน่นอน ทั้งนี้ผักชีฝรั่งถือว่าเป็นที่รู้จักพอสมควรแต่ก็ไม่ใช่ผักยอดนิยมเหมือนผักชีปกติทั่วไป แต่กลับมีสรรพคุณมากมายและสามารถนำมาใช้เป็นยาได้ทั้งราก ใบ และลำต้น นับว่ามีประโยชน์หลากหลายโดยเฉพาะสรรพคุณในการแก้หวัด ผักชีฝรั่งจะมีรสชาติที่ติดซ่า ๆ เย็น ๆ ต่างจากผักชีลาวหรือผักชีทั่วไป

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักชีฝรั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eryngium foetidum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Culantro” “Long coriander” และ “Sawtooth coriander”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ผักชีดอย ผักจีดอย ผักจีฝรั่ง หอมป้อมกุลา หอมป้อมกูลวา ห้อมป้อมเป้อ” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “มะและเด๊าะ” จังหวัดขอนแก่นและพิจิตรเรียกว่า “ผักชีใบเลื่อย” จังหวัดเลยและขอนแก่นเรียกว่า “ผักหอมเทศหรือผักหอมเป” จังหวัดชัยภูมิเรียกว่า “หอมป้อมหรือหอมเป” จังหวัดอุตรดิตถ์เรียกว่า “หอมน้อยฮ้อ” จังหวัดกำแพงเพชรเรียกว่า “หอมป้อมเปอะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักชี (APIACEAE)

ลักษณะของผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่ง เป็นไม้ล้มลุกเมืองร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและทวีปอเมริกาใต้ มีกลิ่นหอมทั้งต้นและใบ
ใบ : ใบออกรอบโคนต้น เป็นใบรูปหอกยาวรี โคนใบสอบลง มีลักษณะเด่นอยู่ที่ขอบใบจักรแบบฟันเลื่อยและที่ปลายจักรมีหนามอ่อน ๆ
ดอก : ดอกมีก้านชูสูง เป็นกระจุกกลมสีขาวอมเขียว ตรงโคนช่อดอกมีใบประดับรูปดาว

การนำไปใช้ประโยชน์ของผักชีฝรั่ง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นิยมนำใบมารับประทานเป็นผักสดหรือนำมาจิ้มกับน้ำพริก ลาบก้อย และยำต่าง ๆ ใช้เพิ่มรสชาติและดับกลิ่นคาวให้อาหาร

ประโยชน์ของผักชีฝรั่ง

  • สรรพคุณจากใบ ต่อต้านอนุมูลอิสระสูงและช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคมะเร็ง รักษาสมดุลในร่างกายด้วยการชงดื่มวันละ 3 ถ้วย มีฤทธิ์แก้ไข้หวัด ช่วยระบายท้องด้วยการนำใบไปต้มดื่ม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาแผลเรื้อรังและแก้บวมด้วยการใช้ใบมาตำแล้วพอก ทำให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น ช่วยทดแทนการเสียธาตุเหล็กสำหรับหญิงให้นมบุตร ดับกลิ่นปาก
  • สรรพคุณจากลำต้น ลดระดับความดันโลหิต ทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้อย่างเป็นปกติ บำรุงผิวพรรณ บำรุงเส้นผมและเล็บให้แข็งแรง แก้ไข้มาลาเรียและเป็นยาถ่ายด้วยการต้มกับน้ำแล้วดื่ม ขับลมในกระเพาะอาหาร ฆ่าเชื้อโรค แก้พิษงูด้วยการนำมาตำแล้วพอก แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายด้วยการตำผสมกับน้ำมันงาแล้วนำไปหมกไฟให้สุกแล้วค่อยมาประคบแก้อาการปวดเมื่อย
  • สรรพคุณจากน้ำต้มจากราก ขับเหงื่อและกระตุ้นร่างกาย ช่วยแก้ไข้ ช่วยขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น บรรเทาอาการปวดศีรษะ แก้อาการอาหารเป็นพิษ แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ส่วนของน้ำต้มทั้งต้นช่วยบำรุงกำหนัดและเสริมสร้างความต้องการทางเพศ

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของผักชีฝรั่ง 100 กรัม ให้พลังงาน 32 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
โปรตีน 24 กรัม 
ไขมัน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
แคลเซียม 21 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
เหล็ก 2.9 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.31 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.21 มิลลิกรัม
วิตามินซี 38 มิลลิกรัม
ไนอาซิน 0.7 มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน 876.12 RE

สารอาหารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและเป็นสารที่สำคัญในการต้านเซลล์มะเร็ง

ข้อควรระวัง

1. ผักชีฝรั่งมีกรดออกซาลิกสูงมากซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดนิ่วในไต ทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบและเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ปวดท้อง ปวดเอว ปัสสาวะติดขัด เป็นต้น
2. สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักชีฝรั่งเพราะอาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรได้

ผักชีฝรั่ง มักจะอยู่ในส่วนประกอบของอาหาร เป็นผักที่มีกลิ่นหอมเหมาะสำหรับนำมาดับกลิ่นต่าง ๆ ได้ดี เป็นผักที่มีลักษณะใบโดดเด่น เมื่อเห็นเพียงครั้งแรกก็สามารถรู้ได้ว่าคือผักชีฝรั่ง สรรพคุณที่โดดเด่นของผักชีฝรั่งเลยก็คือ ป้องกันมะเร็ง ดับกลิ่นปาก ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์และแก้อาการปวดต่าง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ฟักเขียว หรือฟักที่คนไทยนิยม ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่ายและระบบเลือด

0
ฟักเขียว หรือฟักที่คนไทยนิยม ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่ายและระบบเลือด
ฟักเขียว ผลเป็นรูปกลมยาวหรือเป็นรูปไข่ขอบขนานค่อนข้างยาว ผลอ่อนมีขน ผลแก่ผิวนอกมีนวลเป็นแป้งสีขาวเคลือบอยู่ เนื้อด้านในมีสีขาวปนเขียวอ่อนและฉ่ำน้ำ เนื้อแน่นหนา
ฟักเขียว หรือฟักที่คนไทยนิยม ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่ายและระบบเลือด
ฟักเขียว ผลกลมยาวรูปไข่ขอบขนานค่อนข้างยาว ผลอ่อนมีขน ผลแก่ผิวนอกมีนวลเป็นแป้งสีขาว เนื้อด้านในมีสีขาวปนเขียวอ่อนและฉ่ำน้ำ เนื้อแน่นหนา

ฟักเขียว

ฟักเขียว (Water melon) หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ฟัก” คนไทยนิยมนำมาใส่ในแกงจนกลายเป็นเมนู “แกงฟัก” อย่างที่ใครหลายคนรู้จักและชอบทาน เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าฟักเป็นพืชผักชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถหาซื้อและรับประทานได้ง่าย นอกจากผลฟักแล้วส่วนประกอบอื่น ๆ ของต้นยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์และมีสรรพคุณทางยาไม่แพ้ผล นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของฟักเขียว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Benincasa hispida (Thunb.) Cogn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Chinese Watermelon” “Wax gourd” “White gourd”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ฟัก ฟักขาว ฟักเขียว ฟักเหลือง ฟักจีน แฟง ฟักแฟง ฟักหอม ฟักขม” ภาคเหนือเรียกว่า “ฟักขี้หมู ฟักจิง มะฟักขม มะฟักหม่น มะฟักหม่นขม” ภาคอีสานเรียกว่า “บักฟัก” ภาคใต้เรียกว่า “ขี้พร้า” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “มะฟักหอม” ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “ดีหมือ ลุ่เค้ส่า” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “หลู่ซะ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “หลู่สะ” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “หลึกเส่” ชาวเมี่ยนเรียกว่า “สบแมง” คนเมืองล้านนาเรียกว่า “ฟักหม่น ผักข้าว” ประเทศจีนเรียกว่า “ตังกวย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)

ลักษณะของฟักเขียว

ฟักเขียว เป็นพืชล้มลุกจำพวกไม้เถาที่คาดว่ามีถิ่นกำเนิดระหว่างทวีปเอเชีย แอฟริกาและอเมริกา มีการเพาะปลูกกันมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้
ลำต้น : ลำต้นยาวสีเขียว มีขนหยาบขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วทั้งต้น เป็นพืชที่แตกกิ่งก้านสาขามาก
ใบ : ขอบใบหยักเป็นเหลี่ยมแบบซี่ฟัน แยกออกเป็น 5 – 11 แฉกคล้ายฝ่ามือ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจกว้าง ๆ ใบออกเรียงสลับกันตามข้อต้น ผิวใบหยาบ มีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ใบมีสีเขียวเข้ม
ดอก : ออกดอกตามง่าม เป็นดอกเดี่ยวสีเหลือง ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะอยู่ต้นเดียวกัน
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวหรือเป็นรูปไข่แกมขอบขนานหรือขอบขนานค่อนข้างยาว ผลอ่อนมีขน ผลแก่ผิวนอกมีนวลเป็นแป้งสีขาวเคลือบอยู่ เปลือกแข็งมีสีเขียว เนื้อด้านในมีสีขาวปนเขียวอ่อนและฉ่ำน้ำ เนื้อแน่นหนา เนื้อตรงกลางฟูหรือพรุนและมีเมล็ดสีขาวอยู่ภายในจำนวนมาก
เมล็ด : ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่ เมล็ดแบน มีผิวเรียบสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน

พันธุ์ของฟัก

1. ฟัก ฟักจะมีสีเขียวแก่
2. แฟงหรือฟักแฟง เป็นพันธุ์เล็กที่มีผิวสีเขียวอ่อน ๆ
3. ฟักหอม พันธุ์ที่มีผลค่อนข้างกลมสีเขียวแก่ ๆ
4. ฟักขม เป็นพันธุ์ที่มีรสขม

สรรพคุณของฟักเขียว

  • สรรพคุณจากผล ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยเพิ่มพลังทางเพศ ช่วยลดขนาดของเซลล์ไขมัน รักษาโรคเบาหวาน ช่วยเพิ่มกำลัง แก้ธาตุพิการ รักษาโรคเส้นประสาท ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและมะเร็ง รักษาโรคความดันโลหิตสูงและช่วยรักษาอาการอักเสบ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ แก้โลหิตเป็นพิษ แก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้ ช่วยรักษาโรคปอด ช่วยรักษาโรคหอบหืด แก้อาการไอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยแก้ท้องเสีย ช่วยแก้โรคบิด ช่วยแก้อาการอืดแน่นท้อง เป็นยาระบาย ช่วยขับปัสสาวะ แก้พิษจากเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลา ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ช่วยแก้อาการบวมและมีหนอง
    – รักษาอาการโรคชัก ด้วยการนำฟักเขียวปอกเปลือกออกแล้วเอาแต่เนื้อมาคั้นเอาน้ำสด ๆ เพื่อดื่มเป็นประจำ
    – รักษาอาการขัดเบา ด้วยการใช้ฟักเขียวไปตุ๋นกับปลาเพื่อใช้รับประทาน
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยเพิ่มกำลัง ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและมะเร็ง รักษาโรคความดันโลหิตสูงและช่วยรักษาอาการอักเสบ ช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ ช่วยสร้างหลอดเลือดชนิดที่ต้องการสร้างสารกระตุ้นการเจริญจากไฟโบรบลาสต์ซึ่งเป็นสารที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง รักษาวัณโรค ช่วยบำรุงปอด ช่วยลดไข้ แก้อาการไอ ช่วยละลายเสมหะ แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยรักษาลำไส้อักเสบ เป็นยาระบาย ช่วยขับพยาธิ ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยหล่อลื่นอวัยวะเมือก แก้ไตอักเสบ ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ช่วยลดอาการอักเสบ
    – ช่วยรักษาแผลมีหนองตกสะเก็ด ด้วยการใช้เมล็ดที่ตากแห้งและล้างสะอาดแล้วประมาณ 9 – 30 กรัม มาบดเป็นผงหรือต้มกับน้ำแล้วใช้ทาหรือชะล้าง
  • สรรพคุณจากเปลือก รักษาโรคความดันโลหิตสูงและช่วยรักษาอาการอักเสบ ช่วยแก้ท้องเสีย แก้อาการอักเสบและมีหนอง
    – ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยบำบัดอาการบวมน้ำ ช่วยแก้อาการบวม ด้วยการนำเปลือกชั้นนอกของผลฟักไปตากแดดให้แห้งแล้วนำมาผสมรวมกับเยื่อหุ้มถั่วแระ ดอกต้นกก (เต็งซัมฮวย) น้ำตาลกรวด แล้วนำมาล้างรอให้สะเด็ดน้ำจนแห้ง จากนั้นใส่ในหม้อดินแล้วเติมน้ำพอประมาณ ทำการต้มด้วยไฟแรงประมาณ 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วกรองเอาแต่น้ำมาแช่ในตู้เย็นเก็บไว้ดื่มเป็นยาแก้อาการ
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้ไข้ แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยในการถอนพิษ
    – รักษาโรคหนองใน ด้วยการนำรากมาต้ม
  • สรรพคุณจากเถาสด ช่วยรักษาหากมีอาการไข้สูง ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยแก้โรคบิด แก้อาการฟกช้ำ รักษาบาดแผล ช่วยแก้อาการบวม แก้อาการอักเสบและมีหนอง แก้พิษจากการถูกผึ้งต่อย
  • สรรพคุณจากไส้ในผล ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยแก้อาการบวม แก้อาการอักเสบและมีหนอง
    – ลบเลือนรอยด่างดำบนในหน้า ด้วยการนำไส้ในผลสด 30 – 60 กรัม มาต้มหรือคั้นเอาแต่น้ำ
  • สรรพคุณจากผลและเปลือก
    – ช่วยลดน้ำหนักและไขมันในเส้นเลือด ด้วยการใช้เนื้อในผลฟักและเปลือกมาต้มเป็นชาดื่มแทนน้ำเป็นประจำ
  • สรรพคุณจากเถ้าเปลือก ใช้ใส่แผล

ประโยชน์ของฟัก

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำผลมาทำเป็นอาหารคาวและหวานด้วยการนำมาต้ม ผัด แกงหรือทำเป็นขนมหวานในช่วงเทศกาล เช่น เมนูแกงฟัก ฟักเขียวผัดไข่ ฟักเชื่อม ฟักเขียวแช่อิ่มแห้ง ขนมฟักเขียว ขนมจันอับสำหรับไหว้ตรุษจีน เป็นต้น ยอดอ่อนนำมาลวกหรือต้มกับกะทิแล้วทานคู่กับน้ำพริก ใบอ่อนและตาดอกฟักเขียวนำไปนึ่งหรือใส่ในแกงจืดเพื่อเพิ่มรสชาติได้ เมล็ดนำมาทำให้สุกใช้รับประทานได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรม ขี้ผึ้งที่หุ้มผลสามารถนำมาใช้ทำเทียนได้

วิธีการเลือกซื้อและเก็บรักษาฟักเขียว

  • การเลือกซื้อฟักเขียว ควรเลือกฟักที่มีเนื้อแข็ง ภายในฟักต้องมีขอบของเยื่อเป็นสีเขียวเข้มแล้วค่อย ๆ จางเป็นสีขาวจนถึงตรงกลาง
  • การเก็บรักษาฟักเขียว ใช้การแว็กซ์หรือใช้ขี้ผึ้งเคลือบผิวภายนอกทำให้เก็บรักษาได้เป็นเดือน ๆ ส่วนผลที่ผ่าแล้วเหลือใช้ให้นำส่วนที่เหลือมาทาปูนแดงที่กินกับหมาก โดยทาตรงรอยผ่าฟักชิ้นนั้นจะทำให้เก็บรักษาได้นานหลายวัน

คุณค่าทางโภชนาการของฟักเขียวสด

คุณค่าทางโภชนาการของฟักเขียวสด ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 13 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม
เส้นใย 2.9 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โปรตีน 0.4 กรัม
วิตามินบี1 0.04 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี2 0.011 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี3 0.4 มิลลิกรัม (3%) 
วิตามินบี5 0.133 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี6 0.035 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินซี 13 มิลลิกรัม (16%)
แคลเซียม 19 มิลลิกรัม (2%)
เหล็ก 0.4 มิลลิกรัม (3%)
แมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม (3%)
แมงกานีส 0.058 มิลลิกรัม (3%)
ฟอสฟอรัส 19 มิลลิกรัม (3%)
โซเดียม 111 มิลลิกรัม (7%) 
สังกะสี 0.61 มิลลิกรัม (6%)

ฟักเขียวเป็นพืชอายุสั้น มีฤทธิ์เป็นยาเย็นจึงเหมาะที่จะรับประทานในช่วงอากาศร้อน เถาสดของฟักเขียวมีรสขมเย็น ถือเป็นผักที่นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารมากกว่าใช้ในด้านอื่น ๆ มีสารอาหารมากมายและสามารถนำทุกส่วนของต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นหลากหลายทั้งดีต่อระบบขับถ่ายและระบบเลือด ช่วยแก้ไข้และแก้อาการร้อนใน แก้พิษและแก้อาการอักเสบ และยังช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายอีกด้วย เป็นพืชที่มีสรรพคุณจนนับไม่ถ้วนและยังหาง่าย นำมาปรุงรสได้ง่ายอีกด้วย ฟักเขียวเป็นผักที่คู่ควรแก่การนำมารับประทานเป็นเมนูประจำอย่างยิ่ง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

หางนกยูงฝรั่ง ไม้ประดับสีแสดสะดุดตา มีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการบวม

0
หางนกยูงฝรั่ง ไม้ประดับสีแสดสะดุดตา มีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการบวม
หางนกยูงฝรั่ง ดอกมีสีแดงแสดหรือสีเหลือง ฝักแบนโค้งรูปดาบ ออกดอกช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
หางนกยูงฝรั่ง ไม้ประดับสีแสดสะดุดตา มีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการบวม
หางนกยูงฝรั่ง ดอกมีสีแดงแสดหรือสีเหลือง ฝักแบนโค้งรูปดาบ ออกดอกช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม

หางนกยูงฝรั่ง

หางนกยูงฝรั่ง (Flam boyant) เป็น ไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มักจะพบได้ทั่วไป ในเมืองกรุงนั้นสามารถพบได้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้นไม้ที่แผ่กว้างอย่างร่มเงา ดอกมีสีแสดที่มองไกล ๆ แล้วต้องสะดุดตา แต่ต้นหางนกยูงฝรั่งนั้นกลับมีสรรพคุณทางยาที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย แม้ว่าจะไม่มากเท่าผักผลไม้อื่น ๆ ก็ตาม

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหางนกยูงฝรั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Delonix regia (Hook.) Raf.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Flam – boyant” “The Flame tree” “Royal poinciana”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “นกยูงฝรั่ง อินทรี” ภาคเหนือเรียกว่า “นกยูง นกยูงฝรั่ง ชมพอหลวง ส้มพอหลวง” ภาคใต้เรียกว่า “หงอนยูง” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เรียกว่า “ยูงทอง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของหางนกยูงฝรั่ง

หางนกยูงฝรั่ง เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่เกาะมาดากัสการ์ในทวีปแอฟริกา ต้นแผ่กว้างเป็นทรงกลมคล้ายร่ม มักจะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดเป็นหลัก
เปลือก : เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อนอมขาวไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม
ราก : เมื่อต้นโตเต็มที่มักจะมีรากโผล่ขึ้นมาบนดินโดยรอบ
ใบ : เป็นใบประกอบขนนกสองชั้นเรียงเวียนสลับกัน แผ่นใบเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลมโคนเบี้ยว ผิวใบเกลี้ยง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่งและตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกมีสีแดงแสดหรือสีเหลือง ในประเทศไทยฤดูที่ออกดอกของต้นหางนกยูงฝรั่งก็คือช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
ผล : เป็นฝักแบนโค้งรูปดาบ
เมล็ด : ในผลมีเมล็ดเรียงตามขวาง มีลักษณะกลม เมล็ดอ่อนมีสีเขียวส่วนเมล็ดแก่เต็มที่จะเป็นสีเทาอมขาว

สรรพคุณหางนกยูงฝรั่ง

รากของต้น ใช้เป็นยาขับโลหิตสตรี ช่วยแก้อาการบวมต่าง ๆ
ลำต้น นำมาฝนใช้ทาแก้พิษ ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้

ประโยชน์ของหางนกยูงฝรั่ง

1. ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกไว้ประดับตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างสวนสาธารณะ มหาวิทยาลัย ตามขอบถนน เพราะเป็นต้นไม้ที่มีสีสวยงามสะดุดตา และทนทานต่อความร้อนและความแห้งแล้งในประเทศไทย
2. เป็นส่วนประกอบของอาหาร รากนำมาต้มหรือนำมาทอดรับประทานร่วมกับอาหารได้ นำเมล็ดมาทำเป็นขนมหวาน เมล็ดอ่อนสามารถนำมารับประทานสดได้ เมล็ดแก่ต้องนำมาทำให้สุกก่อนจึงจะสามารถรับประทานได้

หางนกยูงฝรั่ง เป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณทางยารักษา และยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม ช่วยทำให้ร่มเย็นและผ่อนคลาย ถือเป็นไม้ยืนต้นที่น่าสนใจในการนำมาปลูกประดับไว้ สรรพคุณที่โดดเด่นของหางนกยูงฝรั่งคือ เป็นยาขับโลหิตสตรี ช่วยแก้อาการบวมต่าง ๆ ช่วยถอนพิษ และยังนำมารับประทานได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พลองเหมือด ช่วยแก้ไข้ป่า บำรุงน้ำนมและรักษาโรคกระเพาะ

0
พลองเหมือด ช่วยแก้ไข้ป่า บำรุงน้ำนมและรักษาโรคกระเพาะ
พลองเหมือด ผลไม้ที่มีรสฝาดหวาน ผลเดี่ยวคล้ายลูกหว้า ใช้เป็นยาสมุนไพร
พลองเหมือด ช่วยแก้ไข้ป่า บำรุงน้ำนมและรักษาโรคกระเพาะ
พลองเหมือด ผลไม้ที่มีรสฝาดหวาน ผลเดี่ยวคล้ายลูกหว้า ใช้เป็นยาสมุนไพร

พลองเหมือด

พลองเหมือด (Memecylon edule Roxb) เป็น ผลไม้ที่มีรสฝาดหวานชนิดหนึ่ง มีการนำพลองเหมือดมาใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่ในยุคปัจจุบันถือเป็นผลไม้ที่คนส่วนมากไม่ค่อยรู้จักกัน บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อพลองเหมือดเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ เป็นผลไม้ที่นำมาใช้เป็นยาได้หลายส่วนจากทั้งต้น ราก ใบ และผล มีสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมต่อร่างกาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของพลองเหมือด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Memecylon edule Roxb.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักไคร้มด” จังหวัดมหาสารคามเรียกว่า “เหมือดแอ่” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า “พลองดำ” จังหวัดสุรินทร์เรียกว่า “เหมียด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์โคลงเคลง (MELASTOMATACEAE)
ชื่อพ้อง : Memecylon edule var. scutellatum (Lour.) Triana, Memecylon scutellatum (Lour.) Hook. & Arn.

ลักษณะของพลองเหมือด

พลองเหมือด เป็นไม้พุ่มกึ่งยืนต้นขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย มักจะพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแห้งและป่าผสมผลัดใบ ในประเทศไทยมักจะพบในภาคอีสาน
ใบ : เป็นใบเดี่ยว มีลักษณะของใบเป็นรูปวงรีคล้ายโล่ แผ่นใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ปลายใบแหลมและขอบใบขนาน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกอยู่ตามซอกใบ กลีบดอกมีสีม่วง มีฐานรองดอกคล้ายรูประฆัง
ผล : เป็นผลเดี่ยวคล้ายลูกหว้า ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะมีสีม่วงเกือบดำ
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ลักษณะกลม

สรรพคุณของพลองเหมือด

  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย บำรุงเลือด
  • สรรพคุณด้านน้ำนมแม่ บำรุงน้ำนม
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ
    – แก้ไข้ป่าเมื่อนำไปผสมกับเหมือดโลด
    – รักษาอาการหอบหืด ด้วยการนำรากหรือลำต้นมาต้มผสมกับแก่นพลับพลา แก่นจำ แก่นโมกหลวง ต้นสบู่ขาว หรือต้นกำแพงเจ็ดชั้น
    – แก้อาการประดงหรืออาการโรคผิวหนังมีผดคันขึ้นเป็นเม็ดและมักจะมีอาการไข้ร่วม ด้วยการนำรากมาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น นำไปต้มแล้วดื่ม
    – ลดรอยแตกของส้นเท้า ด้วยการนำน้ำยางจากลำต้นมาใช้ทา
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5
    – ทำให้เหงือกและฟันแข็งแรงขึ้น ด้วยการตัดลำต้นแล้วเอาไปเผาไฟ นำน้ำเลี้ยงที่ไหลออกมาตรงบริเวณรอยตัดมาถูฟัน
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย
    – แก้โรคกระเพาะ ด้วยการนำรากหรือลำต้นมาต้มแล้วดื่ม
    – ขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะขัด ด้วยการนำต้นและใบมาต้มเป็นน้ำดื่มวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น ครั้งละ 1 แก้ว

ประโยชน์ของพลองเหมือด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสุกใช้รับประทานเป็นผลไม้ ยอดอ่อนนำมารับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริกหรือแจ่ว ใบแก่ช่วยให้พริกมีสีสดและป้องกันไม่ให้แมลงมากัดกินพริก
2. ประโยชน์ด้านการเกษตร เป็นไม้ปลูกประดับ แก่นหรือใบสามารถนำไปต้มให้สัตว์รับประทานได้ ลำต้นใช้ทำอุปกรณ์ด้ามเสียม แอกวัว หรือเครื่องมือสำหรับคล้องคอวัวควายเมื่อออกไปไถนา ทำเป็นซี่ฟันของคราดนาเพื่อหว่านกล้าข้าว แก่นของต้นใช้ทำง่ามหนังสติ๊ก
3. ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ลูกดิบใช้ทำเป็นของเล่นเด็กอย่างบั้งโป๊ะ แก่นสามารถนำไปย้อมไหมแทนหนามแขได้ กิ่งและลำต้นนำไปเผาทำเป็นน้ำด่างใช้ในการย้อมครามของไหมและฝ้าย

พลองเหมือด เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งการนำมารับประทานสดหรือนำส่วนต่าง ๆ ของต้นไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกายเมื่อรับประทานเข้าไป สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยแก้ไข้ป่า รักษาอาการหอบหืด รักษาโรคกระเพาะและบำรุงน้ำนม เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่น่าลองชิมสำหรับคนที่ไม่เคยรับประทาน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

จำปาดะ ผลไม้ภาคใต้ บำรุงร่างกาย รักษามะเร็ง แก้ไข้มาลาเรีย

0
จำปาดะ
จำปาดะ ผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายขนุนแต่เล็กกว่า ผิวบางและเหนียว มีสีเขียวหรือสีเหลืองอมน้ำตาล เนื้อหุ้มเมล็ดมีสีเหลืองอมขาวถึงสีส้ม ผลสุกเปลือกจะนิ่มและมียางน้อย มีรสหวานและมีกลิ่นหอม
จำปาดะ ผลไม้รสหวานของภาคใต้ ช่วยบำรุงร่างกาย รักษามะเร็งและไข้มาลาเรียได้
จำปาดะ ลักษณะคล้ายขนุนแต่เล็กกว่า ผิวบางและเหนียว เนื้อหุ้มเมล็ดมีสีเหลืองอมขาวถึงสีส้ม ผลสุกเปลือกจะนิ่มและมียางน้อย มีรสหวานและมีกลิ่นหอม

จำปาดะ

จำปาดะ (Champedak) เป็น ผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับขนุนแต่มีผลขนาดเล็กกว่า เป็นผลไม้ที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก มีรสชาติหวานอร่อยและมีกลิ่นเฉพาะตัว ส่วนมากมักจะนิยมในทางภาคใต้ของประเทศไทยเนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมลายู อินโดนีเซียและเกาะนิวกินี เป็นผลไม้ที่หาซื้อได้ยากเนื่องจากให้ผลปีละครั้งและปลูกกันทางภาคใต้เป็นส่วนมาก ในปัจจุบันมีการนำจำปาดะมาทอดเป็นเมนู “จำปาดะทอด” ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าจำปาดะในรูปแบบอื่น ๆ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของจำปาดะ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Artocarpus integer
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Champedak”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “จำดะ” ชาวมาเลเซียเรียกว่า “Bankong” ทั่วไปเรียกกันว่า “ขนุนถิ่นใต้”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขนุน (MORACEAE)
ชื่อพ้อง : Artocarpus champeden (Lour.) Stokes Artocarpus hirsutissimus Kurz Artocarpus integrifolius L.f.

ลักษณะของจำปาดะ

จำปาดะ เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมลายู อินโดนีเซียและเกาะนิวกินี ส่วนในประเทศไทยปลูกได้ดีทางภาคใต้ จำปาดะจะมียางสีขาวอยู่ทุกส่วนของต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกันเป็นรูปวงรี ใบมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน
ดอก : เป็นดอกเพศผู้และเพศเมียแยกกันแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกมีสีขาวหรือสีเหลือง
ผล : ผลคล้ายขนุนแต่เล็กกว่า เป็นรูปทรงกระบอกไปจนถึงทรงกลม ผิวบางและเหนียว มีสีเขียวหรือสีเหลืองอมน้ำตาล และมีลวดลายเป็นรูปห้าเหลี่ยม มีทั้งที่นูนขึ้นหรือแบนเรียบ เนื้อหุ้มเมล็ดมีสีเหลืองอมขาวถึงสีส้ม ผลอ่อนมีสีน้ำตาลปนเหลือง เปลือกแข็งและมียางมาก ส่วนผลสุกจะเปลือกนิ่มและมียางน้อย มีรสหวานและมีกลิ่นหอม
เมล็ด : เมล็ดมีลักษณะทรงกลมแบน

ขนุนกับจำปาดะต่างกันอย่างไร

จำปาดะ มีขนาดผลเล็กกว่า เปลือกปอกง่ายกว่า เนื้อนิ่มกว่า มีรสหวานและน้ำเยอะกว่า กลิ่นแรงกว่า และไม่มีใยเหนียวหนืดเป็นยางมาคั่นระหว่างเมล็ดเหมือนขนุน
ขนุน ผลสวยกว่าและเคี้ยวง่ายกว่าจำปาดะ

สรรพคุณของจำปาดะ

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เนื้อผลสุกและเมล็ดช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยขับสารพิษออกไปจากร่างกาย
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค เปลือกป้องกันโรคมะเร็งและช่วยรักษาโรคมาลาเรีย
  • สรรพคุณด้านไขมัน ช่วยขับไขมัน
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย เนื้อผลสุกเป็นยาระบายอ่อน ๆ เนื้อผลอ่อนแก้อาการท้องเสีย
  • สรรพคุณเนื้อผลอ่อนช่วยฝาดสมาน
  • สรรพคุณสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เมล็ดช่วยขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด ในประเทศมาเลเซียใช้รากเป็นส่วนผสมของยาสมุนไพรแบบดั้งเดิมสำหรับหญิงที่เพิ่งคลอดบุตร

ประโยชน์ของจำปาดะ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสุกนิยมรับประทานสดเป็นผลไม้ นำมาแปรรูปเป็นเมนูของภาคใต้อย่างจำปาดะทอด ทำเป็นขนมหวานอย่างข้าวต้มมัดไส้จำปาดะ เมล็ดใช้ทำเป็นอาหารคาว เช่น นำมาใส่แกงพุงปลา แกงคั่วกะทิ หรือจะรับประทานร่วมกับขนมจีนก็ได้ นำผลอ่อนมาปรุงเป็นอาหาร นำเมล็ดมาต้มหรือเผาเพื่อรับประทาน ใบอ่อนเป็นผักลวกจิ้มหรือรับประทานร่วมกับส้มตำ
2. ใช้ในอุตสาหกรรม ลำต้นใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างและใช้ทำอุปกรณ์ทำการเกษตร แก่นของต้นสามารถนำไปต้มใช้ย้อมสีจีวรพระได้

คุณค่าทางโภชนาการของจำปาดะ (ผลสุก)

คุณค่าทางโภชนาการของจำปาดะ (ผลสุก) ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 116 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 3.0 กรัม
ไขมัน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 28.6 กรัม
วิตามินเอ 200 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0 มิลลิกรัม
วิตามินซี 15 มิลลิกรัม
แคลเซียม 20 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม

จำปาดะ เป็นผลไม้ที่นิยมในทางภาคใต้ของประเทศไทย มีรสหวานและอร่อยผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกของจำปาดะ เป็นผลไม้ที่มีรูปร่างเหมือนกับขนุนแต่มีขนาดเล็กกว่า สามารถนำทุกส่วนของต้นมาใช้ประกอบอาหารในรูปแบบต่าง ๆ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยบำรุงร่างกาย เป็นยาระบาย ช่วยขับน้ำนม รักษาโรคมะเร็งและโรคมาลาเรียได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม