ส้มลม ต้นรสเปรี้ยวใช้แทนมะขาม เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านของชาวอุบลราชธานี

0
ส้มลม ต้นรสเปรี้ยวใช้แทนมะขาม เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านของชาวอุบลราชธานี
ส้มลม หรือเครือส้มลม ต้นและใบอ่อนมีรสเปรี้ยวสามารถนำมาปรุงในอาหารได้ ดอกขนาดเล็กสีชมพู ผลเป็นฝักคู่
ส้มลม ต้นรสเปรี้ยวใช้แทนมะขาม เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านของชาวอุบลราชธานี
ส้มลม หรือเครือส้มลม ต้นและใบอ่อนมีรสเปรี้ยวสามารถนำมาปรุงในอาหารได้ ดอกขนาดเล็กสีชมพู ผลเป็นฝักคู่

ส้มลม

ส้มลม (Aganonerion polymorphum Spire) หรือเรียกกันอีกอย่างว่า “เครือส้มลม” เป็นพืชที่พบในภูมิภาคอินโดจีนเท่านั้น มักจะพบทั่วไปตามป่า เป็นต้นที่มีรสเปรี้ยวจึงนิยมนำมารับประทานและเป็นต้นที่สามารถนำส่วนต่าง ๆ มาปรุงในอาหารได้หลายส่วน สามารถนำใบและยอดอ่อนมารับประทานในรูปแบบของผักสดจิ้มกับน้ำพริกได้ นอกจากนั้นทั้งต้นยังเป็นยาสมุนไพรได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของส้มลม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aganonerion polymorphum Spire
ชื่อท้องถิ่น : ส้มลม จังหวัดอุบลราชธานีเรียกว่า “เครือส้มลม”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE)

ลักษณะของส้มลม

ส้มลม เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่นที่ไม่มีมือสำหรับใช้ยึดเกาะ มีเขตการกระจายพันธุ์เฉพาะในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคกลาง มักจะพบกระจายทั่วไปในป่าเต็งรัง ป่าละเมาะและป่าดิบแล้ง
ลำต้นหรือเถา : ลำต้นหรือเถามีลักษณะกลมเรียบ มีขนาดเล็กสีเขียวและมีน้ำยางสีขาว ตามกิ่งอ่อนมีขนละเอียด ส่วนกิ่งแก่มีช่องอากาศกระจายอยู่
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปวงรีหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลมซึ่งแหลมเป็นติ่งหรือกลม โคนใบมนกลม ป้านหรือเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างบางเรียบและเป็นมันวาว มีสีเขียวเข้มและมักจะมีปื้นหรือจุดสีแดงกระจาย หลังใบและท้องใบเรียบ ท้องใบด้านล่างมีขนสั้นนุ่มตามซอกเส้นแขนงใบด้านท้องใบ เส้นแขนงใบมีข้างละประมาณ 3 – 6 เส้น ใบอ่อนมีรสเปรี้ยว
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนงหรือช่อเชิงหลั่น โดยจะออกตามซอกใบหรือที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ดอกย่อยเป็นสีชมพูอ่อน สีชมพูเข้มหรือสีบานเย็น มีลักษณะทรงกลมและปลายแหลมประมาณ 20 – 30 ดอก มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบมีลักษณะบิดเวียนขวาเล็กน้อย รูปร่างค่อนข้างกลม กลีบดอกส่วนมากเป็นสีชมพูอมแดง ปากหลอดมีสีอ่อนและมีขนสีขาวสั้นนุ่มประปราย โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ๆ เป็นสีขาวอมชมพูหรือสีเขียวแกมขาว ตรงปลายแยกกัน กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ เป็นสีแดงหรือสีเขียวเข้มปนแดง โคนเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแหลมเป็นรูปไข่ ขอบกลีบมีขนครุยสั้น ๆ มีอับเรณูคล้ายหัวลูกศร มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ 2 ห้อง แยกจากกันและมีขน ฐานรองดอกมี 5 พู ใบประดับมีขนาดเล็กเป็นรูปไข่แคบ
ผล : ออกผลเป็นฝักคู่ โคนฝักติดกัน ฝักมีลักษณะกลม ปลายฝักแหลม ผิวฝักเกลี้ยง ฝักสดเป็นสีเขียว เมื่อแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแตกออกตามยาวเป็นตะเข็บเดียว
เมล็ด : ภายในฝักมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดเป็นสีน้ำตาล ลักษณะเรียวยาว มีปุยหรือขนสีขาวติดอยู่ซึ่งสามารถลอยไปตามลมได้

สรรพคุณของส้มลม

  • สรรพคุณจากลำต้น
    – แก้ลมวิงเวียน ด้วยการนำลำต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากใบ
    – แก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลายและช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ด้วยการนำใบสดมาเคี้ยวกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากราก
    – ช่วยขับลม แก้กล้ามเนื้อท้องเกร็ง ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่มเป็นยา
    – แก้โรคกระเพาะ ตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่มเป็นยา
    – รักษาอาการปัสสาวะขัด ด้วยการนำรากมาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
    – แก้อาการตกขาวของสตรี ด้วยการนำรากมาใช้เข้ายา
    – รักษาโรคม้ามโต ด้วยการนำรากมาผสมกับรากต้างไก่ใหญ่แล้วนำมาต้มเพื่อดื่มแก้อาการ
    – แก้อาการปวดเมื่อย ด้วยการนำรากมาผสมกับกำจาย ต้นกะเจียน ต้นกำแพงเจ็ดชั้น ต้นเล็บแมว ต้นมะดูก ต้นเปล้าใหญ่หรือเปล้าร้อน ต้นมะเดื่ออุทุมพรและตับเต่าโคก จากนั้นนำมาต้มกับน้ำแล้วดื่มเป็นยา
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – แก้อาการคัน ด้วยการนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำแล้วอาบ

ประโยชน์ของส้มลม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำใบ ดอกและผลมารับประทานได้ ใบและยอดอ่อนมารับประทานในรูปแบบของผักสดจิ้มกับน้ำพริกหรือใช้แทนใบมะขามหรือใช้ทำต้มส้มอย่างต้มอึ่งและต้มยำปลา
2. ใช้ในการเกษตร เป็นอาหารสัตว์ของพวกโคกระบือ

ส้มลม มีรสเปรี้ยวและนำมาใช้ในการปรุงอาหารได้ เป็นยาสมุนไพรที่อยู่ในตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ส้มลมเป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนโดยเฉพาะส่วนของราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ลมวิงเวียน แก้โรคกระเพาะ รักษาโรคม้ามโตและแก้อาการตกขาวของผู้หญิง เป็นต้นที่ช่วยรักษาอาการได้หลากหลายชนิดหนึ่ง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “ส้มลม (Som Lom)”. หน้า 284.
หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “ส้มลม”. หน้า 173.
ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ส้มลม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com. [19 ต.ค. 2014].
ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “ส้มลม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.bedo.or.th. [19 ต.ค. 2014].
นายวันดี ยิ้มกระจ่าง : ยาพื้นบ้านอีสาน.

เถาสะอึก ใบรูปหัวใจและดอกสีเหลืองน่าชม มีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดหัวได้

0
สะอึก
วัชพืชไม้ล้มลุกเถาเลื้อยขนาดเล็ก ตระกูลผักบุ้ง มีใบสีเขียวสดเป็นรูปหัวใจและมีดอกสีดอกสีเหลืองกลางดอกสีขาว
เถาสะอึก
วัชพืชไม้ล้มลุกเถาเลื้อยขนาดเล็ก ตระกูลผักบุ้ง มีใบสีเขียวสดเป็นรูปหัวใจและมีดอกสีดอกสีเหลืองกลางดอกสีขาว

เถาสะอึก

สะอึก (Merremia hederacea) เป็นวัชพืชไม้ล้มลุกเถาเลื้อยพันขนาดเล็กอยู่ในตระกูลเดียวกับผักบุ้งที่มีชื่อแปลกแต่มีดอกและใบสวยงามมาก มีใบสีเขียวสดเป็นรูปหัวใจและมีดอกสีดอกสีเหลืองกลางดอกสีขาวชวนให้น่าชม เป็นต้นที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักกันมากนักและเป็นต้นที่ค่อนข้างมีชื่อที่ใช้ในพืชอื่น ๆ ด้วย อาจทำให้จำสลับกันได้ ต้นสะอึกเป็นไม้กลางแจ้งที่มักจะพบตามริมชายหาด หนองน้ำ นิยมนำยอดอ่อนมาทานได้และยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเถาสะอึก

ชื่อสามัญ : จิงจ้อเหลี่ยม, จิงจ้อแดง, จิงจ้อขาว, จิงจ้อหลวง, ฉะอึก , มะอึก (นครราชสีมา) จิงจ้อ (สุรินทร์) เถาสะอึก (ภาคกลาง) สะอึกดะลึง (กาญจนบุรี)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Merremia hederacea (Burm.f.) Hallier f.
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE)

ลักษณะของต้นเถาสะอึก

สะอึก เป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มักจะพบแถวชายทะเลหรือชายหาด
ลำต้น : เถากลมเลื้อยพันกับต้นไม้อื่นๆ ลำต้นเหนียว เลื้อยทอดยาวตามพืชชนิดอื่นหรือพื้นดิน ขนเล็กแข็งปักไม่เจ็บ ผิวเกลี้ยง เปลือกสีเขียวอมม่วง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงเวียนสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบเว้า ขอบใบเรียบ ก้านใบแดง และมักจะมีสีม่วงหรือจุดเป็นสีม่วง แผ่นใบเป็นสีเขียว ใบยาว 2-4 เซนติเมตร กว้าง 1.5-2 เซนติเมตร
ดอก : สีเหลืองและสีขาว โคนดอกทรงกระบอกยาว ดอกบาน ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 5 อัน สีขาวนวลยาวชี้ออกจากตรงกลางดอก
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปวงกลมแบน ผิวผลเกลี้ยง แบ่งออกเป็น 2 ช่อง
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 4 เมล็ด มีขนสั้นสีเทาหรือสีขาวปกคลุมอยู่หนาแน่น
ราก : มีลักษณะแข็ง
การขยายพันธุ์ของเถาสะอึก : การเพาะเมล็ด

สรรพคุณของสะอึก

  • สรรพคุณจากใบ
    – ใบ บดผสมขมิ้นและข้าว แก้ทอนซิลอักเสบ
    – ใบ ทํายาพอก แก้มือและเท้าแตก ตํากับขมิ้นเป็นยาพอกลดการอักเสบแผล และบ่มฝี
    – แก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการนำใบมาตำผสมกับเมล็ดของต้นเทียนแดง (Nigella sativa Linn.) แล้วใช้เป็นยาพอก
    – ใบ ใช้ใบสดโขลกทำเป็นยาพอก สำหรับแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก
    – ใบใช้รักษากระดูกหัก
    – ใช้ทั้งต้น ต้มน้ำดื่มหรือแช่น้ำทา แก้งูสวัด
    – เถาสดรสร้อน สรรพคุณแก้ลมพรรดึก ช่วยกระตุ้นลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร แก้เสมหะ

ประโยชน์ของสะอึก

  • เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนนำมารับประทานได้

สะอึก เป็นพืชไม้กลางแจ้งที่มักจะพบตามริมชายทะเลทำให้ไม่ได้พบเห็นบ่อยนักสำหรับคนเมืองหรือคนทั่วไป ทั้งนี้สะอึกนั้นอาจจะมีสรรพคุณและประโยชน์ไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าพบเห็นก็สามารถชมความงามของดอกและใบหรือจะนำยอดอ่อนของต้นมาทานได้ สะอึกเป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาจากส่วนของใบซึ่งมีสรรพคุณในการแก้อาการปวดหัวได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สะอึก”. หน้า 767-768.
ผักพื้นบ้าน ในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง. “สะอึก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : area-based.lpru.ac.th/veg/. [12 ต.ค. 2014].

มะเขือม่วง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ สร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคร้ายได้

0
มะเขือม่วง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ สร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคร้ายได้
มะเขือม่วง มะเขือที่คนญี่ปุ่นนิยมทาน มีสารแอนโทไซยานิน อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ
มะเขือม่วง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ สร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคร้ายได้
มะเขือม่วง มีลักษณะกลมยาวรูปวงรีทรงหยดน้ำ ผิวผลเรียบเป็นสีม่วง คนญี่ปุ่นนิยมทาน มีสารแอนโทไซยานิน อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

มะเขือม่วง

มะเขือม่วง (Eggplant) เป็นมะเขือชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นมะเขือที่อยู่ในเมนูอาหารหรือนิยมนำมาชุบแป้งทอด อีกทั้งยังเป็นพืชผักเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอีกด้วย สีม่วงในมะเขือเกิดจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์อย่างมาก เป็นมะเขือที่คนญี่ปุ่นนิยมทานและคนไทยมักจะนำมารับประทานในรูปแบบของผักจิ้มกับน้ำพริก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเขือม่วง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum melongena L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Eggplant”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ ว่า “มะเขือกะโกแพง” “มะเขือจาน” “มะเขือจาวมะพร้าว” “มะเขือหำม้า” “มะแขว้งคม”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)

ลักษณะของมะเขือม่วง

มะเขือม่วง เป็นพืชล้มลุกหรือไม้พุ่มชนิดหนึ่ง สามารถออกดอกและผลได้ตลอดทั้งปี มะเขือม่วงแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
มะเขือม่วงเล็ก ผลเป็นสีม่วงอ่อนปนลายเขียวขาว เนื้อในนุ่ม หากกินดิบมีรสขมเล็กน้อย เมื่อสุกจะมีรสหวาน เป็นชนิดที่นิยมนำมารับประทาน
มะเขือม่วงใหญ่ เป็นมะเขือนำเข้า ไม่มีเมล็ดและแทบไม่มีรสชาติ คนไทยไม่ค่อยนิยม
ลำต้น : ลำต้นมีขนนุ่มปกคลุมอยู่ทั่วไปและอาจมีหนามเล็ก ๆ แต่ไม่มาก
ใบ : เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ออกสลับข้างกัน ลักษณะของใบเป็นรูปค่อนข้างกลม ปลายใบแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบหยักหรือเป็นคลื่น ท้องใบมีขนหนาสีเทา
ดอก : ออกดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อตามซอกใบ เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ มีกลีบสีเขียวหนาและแข็งประมาณ 4 – 5 แฉก โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีม่วง มีลักษณะเป็นรูปดาว ดอกจะบานประมาณ 2 – 3 วัน
ผล : ผลมีลักษณะกลมยาวรูปวงรีทรงหยดน้ำ ผิวผลเรียบเป็นสีม่วง ขนาดของผลขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ลักษณะของผลอาจจะกลมเป็นรูปไข่หรือกลมยาว สีของผลอาจมีสีเดียวหรือหลายสี โดยอาจจะมีสีขาว เหลือง เขียว แดงม่วงหรือดำ
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดมีขนาดเล็กและเป็นสีน้ำตาล

สรรพคุณของมะเขือม่วง

  • สรรพคุณจากมะเขือม่วง
    – ช่วยขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและอัมพาต ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมให้ร่างกายต้านเชื้อโรค ช่วยสมานแผล ด้วยการรับประทานมะเขือม่วงเป็นประจำ
    – อาจมีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเลือดและเสริมสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือด ด้วยการดื่มน้ำมะเขือทุกวัน
  • สรรพคุณจากดอก
    – แก้ปวดฟัน ด้วยการนำดอกสดหรือดอกแห้งมาเผาให้เป็นเถ้าแล้วบดให้ละเอียด
  • สรรพคุณจากผลแห้ง เป็นยาขับเสมหะ แก้อาการตกเลือดในลำไส้
    – แก้ปวด ด้วยการนำผลแห้งมาทำเป็นยาเม็ดแก้อาการ
  • สรรพคุณจากผลสด
    – รักษาแผลอักเสบ รักษาฝีหนองหรือโรคผิวหนังเรื้อรังและผดผื่นคัน ด้วยการนำผลสดมาพอกบริเวณที่เป็นแผล
  • สรรพคุณจากใบแห้ง แก้ปัสสาวะขัด รักษาโรคหนองใน
    – แก้บิด ด้วยการนำใบแห้งมาป่นให้เป็นผงแล้วใช้เป็นยา
  • สรรพคุณจากลำต้นและราก
    – แก้บิด ด้วยการนำลำต้นหรือรากมาต้มกินเป็นยา
    – ล้างแผลเท้าเปื่อย ด้วยการนำลำต้นหรือรากมาคั้นเอาน้ำใช้ล้างแผล

ประโยชน์ของมะเขือม่วง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลดิบนำมาเผารับประทานร่วมกับน้ำพริกหรือฝานเป็นชิ้นชุบแป้งทอดกรอบ คนญี่ปุ่นนิยมนำมะเขือม่วงมาเป็นส่วนประกอบเกือบทุกเมนู
2. ด้านเศรษฐกิจ เป็นพืชผักเศรษฐกิจที่ปลูกได้ง่ายและให้ผลผลิตดี เก็บเกี่ยวได้นาน ปัจจุบันสามารถส่งออกขายและสร้างรายได้ให้เกษตรกร

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือม่วง

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือม่วงต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 24 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
โปรตีน 1 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม 
คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม
ใยอาหาร 0.8 กรัม
เถ้า 0.6 กรัม
วิตามินเอ 130 หน่วยสากล
วิตามินบี1 10 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.6 มิลลิกรัม
แคลเซียม 30 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
โซเดียม 4 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 223 มิลลิกรัม

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของมะเขือม่วง

  • สารที่พบในมะเขือม่วง พบสาร Flamonoid, กรดฟีโนลิก, ไฟโทสเทอรอล, ไกลโคแอลคาลอยด์และแอนโทไซยานิน (Anthocyanin)
  • ฤทธิ์ของสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นสารสีม่วงที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าวิตามินซีหลายเท่า การรับประทานมะเขือม่วงเป็นประจำจึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรคและช่วยสมานแผลได้ดี มีฤทธิ์ขยายเส้นเลือดและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและอัมพาตได้ด้วย
  • การทดลองในสัตว์ทดลอง พบว่า การดื่มน้ำมะเขือทุกวันช่วยลดระดับไขมันในเลือดและเสริมสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือดได้

มะเขือม่วง เป็นมะเขือที่นิยมอย่างมากในเมนูอาหารญี่ปุ่น ถือเป็นผักที่คู่ควรแก่การรับประทานเป็นประจำไม่ว่าจะในรูปแบบส่วนประกอบของอาหารหรือน้ำมะเขือม่วงก็สามารถสร้างคุณค่าทางโภชนาการได้ เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย และเป็นยาดีที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอันตรายซึ่งเป็นโรคที่พบได้มากในทุกวันนี้ มะเขือม่วงมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของผลและใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้บิด รักษาแผล แก้อาการปวด ในส่วนของการป้องกันโรคนั้นสามารถป้องกันโรคหัวใจและอัมพาต โรคมะเร็ง นอกจากนั้นยังมีส่วนสำคัญในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านอนุมูลอิสระได้ด้วย เป็นผักที่มีประโยชน์รอบด้านทั้งการเป็นยาดีต่อร่างกายและสร้างรายได้ให้เกษตรกรไทย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “มะเขือม่วง”. หน้า 139.
กลุ่มสื่อส่งเสริมการเกษตร ส่วนส่งเสริมและเผยแพร่ สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร. “การปลูกมะเขือม่วงและมะเขือม่วงญี่ปุ่น”.

ว่านท้องใบม่วง ยาบำรุงกำลังชั้นดี ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย แก้อาหารเป็นพิษ

0
ว่านท้องใบม่วง ยาบำรุงกำลังชั้นดี ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย แก้อาหารเป็นพิษ
ว่านท้องใบม่วง หรือว่านใบม่วง มีใบเป็นสีม่วงอยู่ที่ท้องใบ ดอกเป็นสีเหลืองกระจุกแน่น
ว่านท้องใบม่วง ยาบำรุงกำลังชั้นดี ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย แก้อาหารเป็นพิษ
ว่านท้องใบม่วง หรือว่านใบม่วง มีใบเป็นสีม่วงอยู่ที่ท้องใบ ดอกเป็นสีเหลืองกระจุกแน่น

ว่านท้องใบม่วง

ว่านท้องใบม่วง (Gynura bicolor) หรือเรียกอีกอย่างว่า “ว่านใบม่วง” มีใบเป็นสีม่วงอยู่ที่ท้องใบจึงเป็นที่มาของชื่อว่า “ว่านท้องใบม่วง” และยังมีดอกเป็นสีเหลืองกระจุกแน่นโดดเด่นอยู่บนต้น มักจะนำใบหรือยอดมารับประทานในรูปแบบของผักหรือนำมาปรุงอาหารได้ นอกจากนั้นยังเป็นยาสมุนไพรแก้อาการพื้นฐานได้ และเป็นส่วนประกอบในตำรับยาพื้นบ้านล้านนาด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของว่านท้องใบม่วง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gynura bicolor (Roxb. ex Willd.) DC.
ชื่อท้องถิ่น : คนไทยเรียกว่า “ว่านใบม่วง” ชาวม้งเรียกว่า “หย่าเลี้ยะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE)

ลักษณะของว่านท้องใบม่วง

ว่านท้องใบม่วง เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับหรือรูปใบหอกกลับ ขอบใบหยัก แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้มมีขนทั้งสองด้าน ท้องใบเป็นสีม่วงแดง
ดอก : ออกดอกเดี่ยวเป็นช่อกระจุกแน่นหรือออกเป็นกลุ่ม ดอกย่อยเป็นสีเหลือง
ผล : เป็นผลแห้งและไม่แตก ผิวผลมีหลายสัน

สรรพคุณของว่านท้องใบม่วง

  • สรรพคุณจากใบ
    – บำรุงกำลัง แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ตำรับยาพื้นบ้านล้านนานำใบมาต้มกับไก่เพื่อกินเป็นยา
  • สรรพคุณจากราก
    – แก้อาหารเป็นพิษ แก้อาการปวดท้องหลังการคลอดบุตรของสตรี ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่มเป็นยา

ประโยชน์ของว่านท้องใบม่วง

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบหรือยอดนำมารับประทานเป็นผักหรือใช้ปรุงเป็นอาหารได้

ว่านท้องใบม่วง เป็นพืชในวงศ์ทานตะวันที่มีลักษณะโดดเด่นอยู่ที่ท้องใบซึ่งมีสีม่วงจึงเป็นที่มาของชื่อ เป็นต้นที่นำใบและยอดมารับประทานหรือปรุงในอาหาร ในด้านของสรรพคุณจะเป็นยาสมุนไพรของชาวล้านนา ว่านท้องใบม่วงเป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาอยู่ 2 ส่วน คือ ใบและราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงกำลัง แก้อาการปวดเมื่อย แก้อาหารเป็นพิษ แก้อาการปวดท้องหลังการคลอดบุตรของผู้หญิง ถือเป็นยาดีที่เหมาะสำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ว่านท้องใบม่วง”. หน้า 122.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ว่านท้องใบม่วง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [25 ต.ค. 2014].

เปปิโนเมล่อน อุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามิน ช่วยลดความเครียดสะสมและป้องกันโรคอัมพาต

0
เปปิโนเมล่อน อุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามิน ช่วยลดความเครียดสะสมและป้องกันโรคอัมพาต
เปปิโนเมล่อน อุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามิน ช่วยลดความเครียดสะสมและป้องกันโรคอัมพาต
เปปิโนเมล่อน อุดมไปด้วยไฟเบอร์และวิตามิน ช่วยลดความเครียดสะสมและป้องกันโรคอัมพาต
เปปิโนเมล่อน เป็นผลไม้ที่มีผิวเรียบผลทรงก้นแหลมมน ผลสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองหรือม่วง รสชาติหวาน น้ำฉ่ำ อุดมไปด้วยใยอาหาร

เปปิโนเมลอน

เปปิโนเมลอน (Pepino Melon) เป็นผลไม้ที่มีผิวเรียบผลทรงก้นแหลมมนมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองเมื่อสุกบางสายพันธุ์จะผลสีม่วง เนื้อในนุ่มคล้ายลูกแพร์ รสชาติหวานสามารถรับประทานได้ทั้งเปลือกและเมล็ดอุดมไปด้วยใยอาหารตระกูลเดียวกับมะเขือ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum muricatum
ชื่อสามัญ : เปปิโน (pepino, melon pear) แคนตาลูปต้น
ตระกูล : Solanaceae

ลักษณะทั่วไปของเปปิโนเมลอน

ลำต้น : ไม้ยืนต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร
ใบ : สีเขียวเข้มผิวใบมันวาว ใบยาวคล้ายกับต้นพริก แต่มีขนาดใหญ่กว่า
ดอก : ดอกเปปิโนเมลอนคล้ายดอกมะเขือ ดอกมี 5 กลีบ ออกเป็นกลุ่ม 10-15 ดอก เกสรสีเหลือง 1 อันอยู่ตรงกลาง ดอกมีขนาดเล็กสีขาวอมม่วง
ผล : ผลทรงรียาวประมาณ 2-4 นิ้ว เปลี่อกผิวเรียบ เมื่อสุกจะเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีเหลืองซีดมีลายริ้วสีม่วง เนื้อสีขาวไปจนถึงเหลืองซีด และมีรสหวานเล็กน้อย

คุณค่าทางโภชนาการของเปปิโนเมล่อน

คุณค่าทางโภชนาการของเปปิโนเมล่อนต่อปริมาณ 100 กรัม (ทั้งผลสุก – ผลดิบ) ให้พลังงาน 30 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
เส้นใยอาหาร 1 กรัม
โซเดียม 15 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 7 กรัม
โปรตีน 1 กรัม
ไขมันทั้งหมด 0 กรัม
น้ำตาล 6 กรัม
แคลเซียม 3 มิลลิกรัม
เหล็ก 2 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของเปปิโนเมลอนต่อสุขภาพ

เป็นแหล่งผลิตสารต้านอนุมูลอิสระทั้งในผลดิบและผลสุก ซึ่งประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ ฟีนอลสูงกว่า และยังมีไฟเบอร์ในเปปิโนเมลอนช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

  • ช่วยลดความเสี่ยงจากความเครียด
  • ช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง และควบคุมความดันโลหิตสูง
  • ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน
  • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  • ช่วยป้องกันโรคอัมพาต
  • บำรุงตับ
  • บำรุงกระดูก
  • ช่วยลดน้ำหนัก
  • ช่วยป้องกันโรคไตเรื้อรัง
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • ช่วยบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหาร

เนื้อคล้ายเมล่อนคือมีความกรอบ รสชาติคล้ายแตงไทยที่ยังไม่สุกคือจืด มีกลิ่นหอมหวาน เนื้อฉ่ำน้ำ เป็นแหล่งผลิตสารต้านอนุมูลอิสระทั้งในผลดิบและผลสุก เปลือกมีความเหนียวเล็กน้อย ถ้าคนสูงอายุรับประทานแนะนำให้ลอกเปลือกออกก่อน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ส้มกุ้ง หรือสนขี้มด ช่วยลดเบาหวานและลดระดับน้ำตาลในเลือด

0
ส้มกุ้ง หรือสนขี้มด ช่วยลดเบาหวานและลดระดับน้ำตาลในเลือด
ส้มกุ้ง หรือสนขี้มด ผลเป็นรูปทรงกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือดำ ผลฉ่ำน้ำ
ส้มกุ้ง หรือสนขี้มด ช่วยลดเบาหวานและลดระดับน้ำตาลในเลือด
ส้มกุ้ง หรือสนขี้มด ผลเป็นรูปทรงกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือดำ ผลฉ่ำน้ำ

ส้มกุ้ง

ส้มกุ้ง (False Black Pepper) หรือเรียกกันว่า “สนขี้มด” เป็นต้นที่มีหลายชนิดและแยกย่อยไปตามแต่สายพันธุ์ ต้นส้มกุ้งชนิด Embelia ribes Burm.f. มีจุดเด่นอยู่ที่สรรพคุณช่วยลดเบาหวานและลดระดับน้ำตาลในเลือด สามารถนำใบมารับประทานเป็นผักได้ เป็นต้นที่นักวิจัยให้ความสนใจมานานและมีการทำวิจัยหลากหลาย นอกจากนั้นผลยังสามารถนำมารับประทานได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของส้มกุ้ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Embelia ribes Burm.f.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “False Black Pepper” “White – flowered Embelia” “Vidanga” “Vaividang” “Vai Vidang” “Vavding”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดหนองคายเรียกว่า “สนขี้มด” จังหวัดระนองและตรังเรียกว่า “ส้มกุ้ง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พริมโรส (PRIMULACEAE)
ชื่อพ้อง : Embelia gaseinifolia Wall. Ex Ridl

ลักษณะของส้มกุ้ง

ส้มกุ้ง เป็นพรรณไม้พุ่มรอเลื้อยหรือไม้เลื้อย
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปขอบขนานแกมวงรีไปจนถึงรูปขอบขนานแกมใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่มหรือกลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแยกแขนงโดยจะออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีเขียวหรือสีขาว กลีบดอกและกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกลึก ด้านนอกมีขนขึ้นหนาแน่น
ผล : ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือดำ ผลฉ่ำน้ำ

สรรพคุณของส้มกุ้ง

  • สรรพคุณจากส้มกุ้ง ทำให้ผอมลง ยับยั้งฟันผุ คุมกำเนิดและมีฤทธิ์ทำให้แท้งบุตร ยับยั้งความเป็นพิษต่อตับ ต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – เป็นยาลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดไขมันในเลือด มีฤทธิ์ยับยั้งเบาหวาน ด้วยการใช้เมล็ดที่แห้งแล้วมาป่นให้เป็นผงประมาณ 1 – 2 ช้อนชา แล้วมาชงกับน้ำร้อนดื่มเช้าและเย็นแก้อาการ
  • สรรพคุณจากราก เป็นยาขับและละลายเสมหะ เป็นยาถ่ายพรรดึก
  • สรรพคุณจากเนื้อไม้ ฟอกเสมหะและโลหิต
  • สรรพคุณจากใบ แก้หอบหืด ทำให้เส้นเอ็นผ่อนคลายและไม่ตึง
  • สรรพคุณจากเนื้อไม้และกระพี้
    – แก้อาการปัสสาวะขัดหรือขุ่น แก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ช่วยชะล้างทางเดินปัสสาวะ ด้วยการนำเนื้อไม้และกระพี้มาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วต้มกับน้ำดื่ม
  • สรรพคุณจากรากและใบ เป็นยาแก้โลหิต
  • สรรพคุณจากเถาและใบ ฟอกเสมหะ เป็นยาระบายอ่อน ๆ ทำให้อุจจาระนิ่ม เป็นยาขับฟอกโลหิตระดูหรือการอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูก
  • สรรพคุณจากรากและเถา รักษาริดสีดวงจมูก
  • สรรพคุณจากเถา ราก ใบ เป็นยาแก้ไอ
  • สรรพคุณจากเถา เนื้อไม้ ราก เป็นยาถ่ายเส้นเอ็น
  • สรรพคุณจากเถา เนื้อไม้ ราก ใบ แก้อาการช้ำใน

ประโยชน์ของส้มกุ้ง

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสุกใช้รับประทานได้ ใบอ่อนและยอดอ่อนนำมารับประทานเป็นผักหรือนำมาใส่ในแกงส้มหรือแกงเลียงได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของส้มกุ้ง

– พบสาร christenbine, embelin, quercitol, D – querecitol, vilangin
– พิษของเมล็ดส้มกุ้งจากการทดลอง โดยทำการนำสารสกัดจากเมล็ดส้มกุ้งที่สกัดด้วยเอทานอล 50% เข้าที่ช่องท้องของหนูถีบจักร ผลการทดลองพบว่า หนูทดลองตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งเมื่อฉีดในปริมาณที่ 750 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
– ในปี ค.ศ. 1979 ณ ประเทศอินเดีย ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจากเมล็ดของส้มกุ้งในสัตว์ทดลอง พบว่า ส้มกุ้งสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
– ในปี ค.ศ. 1991 ณ ประเทศอินเดีย ได้ทำการทดลองให้หนูขาวกินสารสกัดจากเมล็ดส้มกุ้งที่สกัดด้วยเอทานอล 50% ขนาด 75 มิลลิกรัม เป็นเวลาติดต่อกัน 36 วัน พบว่า หนูผอมลงและมีระดับไขมันในเลือดลดลง

ส้มกุ้ง เป็นพืชที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักแต่นักวิจัยให้ความสนใจในเรื่องของสมุนไพรต้นส้มกุ้งมานานแล้ว ส้มกุ้งเป็นไม้เลื้อยที่มีผลกลมและมีสีดำเมื่อสุก สามารถนำผลและใบมารับประทานได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยลดเบาหวานและลดระดับน้ำตาลในเลือด ขับเสมหะ ดีต่อระบบปัสสาวะและระบบเลือดในร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ส้มกุ้ง”. หน้า 152.
หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ส้มกุ้ง”. หน้า 174.
Treeofthai. “ส้มกุ้ง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : treeofthai.com. [16 ก.ค. 2015].
พืชสมุนไพรโตนงาช้าง. “กลึงกล่อม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : paro6.dnp.go.th/web_km/พืชสมุนไพรโตนงาช้าง/. [23 มิ.ย. 2015].

กะทือพิลาส ไม้ประดับดอกสีสัน ช่วยรักษาอาการตาแดง มะเร็งลำไส้ใหญ่

0
กะทือพิลาส ไม้ประดับดอกสีสัน ช่วยรักษาอาการตาแดง มะเร็งลำไส้ใหญ่
กะทือพิลาส ช่อดอกเรียงซ้อนกันแน่นเป็นช่อสีเหลืองคล้ายรังผึ้ง ต้นแก่อาจจะมีสีส้มหรือสีแดง
กะทือพิลาส ไม้ประดับดอกสีสัน ช่วยรักษาอาการตาแดง มะเร็งลำไส้ใหญ่
กะทือพิลาส ช่อดอกเรียงซ้อนกันแน่นเป็นช่อสีเหลืองคล้ายรังผึ้ง ต้นแก่อาจจะมีสีส้มหรือสีแดง

กะทือพิลาส

กะทือพิลาส (Beehive ginger) มีดอกสีเหลืองทรงกระบอกโดดเด่นอยู่บนต้นและอาจจะมีสีแดงเมื่อต้นแก่ มีสีสันสดใสจึงนิยมนำมาเป็นไม้ประดับตกแต่ง ส่วนมากมักจะพบอยู่ทางภาคใต้ในประเทศไทยซึ่งชาวบ้านทางภาคใต้จะนิยมนำยอดอ่อนมาต้มกินเป็นผักแกล้ม กะทือพิลาสเป็นพืชพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมักจะพบตามพื้นที่เฉพาะจึงทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จัก นอกจากลักษณะที่โดดเด่นแล้วยังมีสรรพคุณทางยาต่อร่างกายด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกะทือพิลาส

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber spectabile Griff.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Beehive ginger” “Ginger wort” “Malaysian ginger”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “ไพลเหลือง ดาเงาะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)

ลักษณะของกะทือพิลาส

กะทือพิลาส เป็นพืชล้มลุกที่มีเขตการกระจายพันธุ์ในมาเลเซีย ส่วนในประเทศไทยมักจะพบทางภาคใต้ โดยมักจะขึ้นในป่าดงดิบ ริมลำธารหรือตามชายป่า
เหง้า : มีเหง้าอยู่ใต้ดิน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปหอก
ดอก : ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองคล้ายรังผึ้ง เมื่อแก่อาจจะเปลี่ยนเป็นสีส้มหรือสีแดง ดอกเป็นรูปทรงกระบอกแข็ง ช่อดอกเกิดจากใบประดับเรียงซ้อนกันแน่น กลีบรองดอกเป็นสีครีม ดอกย่อยเป็นรูปกรวย มีดอกขนาดเล็กสีม่วงดำจุดสีเหลืองสลับกันออกจากซอกของใบประดับซึ่งมีลักษณะคล้ายกับผีเสื้อลายจุดเกาะอยู่บนช่อดอก มักจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน
ผล : ผลมีลักษณะเป็นรูปวงรี ติดผลในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม

สรรพคุณของกะทือพิลาส

  • สรรพคุณจากกะทือพิลาส เป็นยารักษาอาการตาแดง เป็นยาแก้ปวดศีรษะและปวดหลัง มีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ มีเอนไซม์ Zerumbone synthase ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
  • สรรพคุณจากเหง้า
    – ช่วยขับลม บรรเทาอาการปวดท้อง แก้ไอ แก้หืดและบำรุงน้ำนมสำหรับหญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ด้วยการนำมาต้มแล้วดื่ม

ประโยชน์ของกะทือพิลาส

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นอาหารพื้นเมืองของทางภาคใต้ซึ่งนิยมนำยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักลวกกินกับน้ำพริก
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อตัดดอกขายหรือนำมาใส่แจกันประดับตกแต่ง

กะทือพิลาส ได้ชื่อว่าเป็นพรรณไม้เด่นแห่งฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงดอกบานพอดี ในประเทศไทยสามารถไปชมกะทือพิลาสได้ที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ มีดอกสีเหลืองหรือสีแดงโดดเด่นและสวยงามเหมาะที่จะเป็นไม้ประดับตกแต่ง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาอาการตาแดง เป็นยาแก้ปวดศีรษะและปวดหลัง รักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และบรรเทาอาการปวดท้อง นอกจากนั้นยังเป็นพืชที่นิยมทานของชาวภาคใต้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “กะทือพิลาส”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [24 ส.ค. 2015].
Christophe Wiart. (2012). “Medicinal Plants of China, Korea, and Japan: Bioresources for Tomorrow’s Drugs and Cosmetics”. CRC Press, pp. 70-71.
FORSYTH, Holly Kerr. (2007). “The Constant Gardener: A Botanical Bible”. Melbourne, Miegunyah Press, p. 100.
E. A. Weiss. (2002). “Spice Crops”. CABI, p. 338.
Beng Jin Chee. (September 2010). “The spectacular ginger : Zingiber spectabile Griffith”. Malaysian Naturalist, pp. 12-13.
N K Dubey. (2011). “Natural Products in Plant Pest Management”. CABI, p. 69.
Sadhu SK, Khatun A, Ohtsuki T, Ishibashi M.. (2007). “First isolation of sesquiterpenes and flavonoids from Zingiber spectabile and identification of zerumbone as the major cell growth inhibitory component.”. Natural Product Research, 21 (14): 1242–1247.

ผักขี้หูด หรือ “วาซาบิเมืองไทย” ผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ ช่วยละลายนิ่วและขับน้ำดี

0
ผักขี้หูด หรือ “วาซาบิเมืองไทย” ผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ ช่วยละลายนิ่วและขับน้ำดี
ผักขี้หูด คล้ายฝักถั่วและมีขนาดเล็ก ฝักเป็นสีเขียวอ่อน ปลายฝักแหลม ฝักหยักเป็นขอดปุ่ม รสชาติเผ็ดเล็กน้อย
ผักขี้หูด หรือ “วาซาบิเมืองไทย” ผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ ช่วยละลายนิ่วและขับน้ำดี
ผักขี้หูด คล้ายฝักถั่วและมีขนาดเล็ก ฝักเป็นสีเขียวอ่อน ปลายฝักแหลม ฝักหยักเป็นขอดปุ่ม รสชาติเผ็ดเล็กน้อย มีดอกสีม่วง

ผักขี้หูด

ผักขี้หูด (Raphs caudatus) มีฝักเป็นขอดปุ่ม ๆ จึงเป็นที่มาของการเรียกว่า “ผักขี้หูด” นอกจากนั้นยังเป็นผักที่มีกลิ่นฉุนจึงมีชื่อเรียกยอดนิยมอีกชื่อว่า “วาซาบิเมืองไทย” เป็นผักที่รู้จักและใช้กันอย่างกว้างขวางทางภาคเหนือเพราะชอบขึ้นในที่ที่มีอากาศหนาวเย็นหรือมีความชุ่มชื้น ผักขี้หูดจึงเป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ มีดอกสีม่วงขาวสวยงามและเป็นต้นที่มีรสชาติเผ็ดเล็กน้อย ในด้านสมุนไพรนั้นผักขี้หูดอยู่ในตำรับยาพื้นบ้านล้านนาด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักขี้หูด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Raphs caudatus L.anu
ชื่อท้องถิ่น : ชาวบ้านเรียกว่า “ผักขี้หูด” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “วาซาบิเมืองไทย” และ “ผักเปิ๊ก”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักกาด (BRASSICACEAE หรือ CRUCIFERAE)
ชื่อพ้อง : Raphanus sativus var. caudatus (L.) Hook. f. & T. Anderson

ลักษณะของผักขี้หูด

ผักขี้หูด เป็นไม้ล้มลุกอายุ 1 – 2 ปี มักจะพบทางภาคเหนือเท่านั้น อาจพบทางภาคอีสานบ้างแต่ก็เฉพาะบนภูเขาสูง มักจะพบในที่อากาศหนาวเย็นหรือที่ที่มีความชุ่มชื้น
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรงเป็นรูปทรงกลมหรือทรงกระบอก ส่วนกลางของลำต้นจะกลวง มีขนแข็งปกคลุมเล็กน้อย ต้นขึ้นเป็นกอเหมือนกับผักกาดเขียว ก้านใบแทงขึ้นจากดิน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวสีเขียวอ่อนออกเรียงสลับกันเป็นกระจุกที่ผิวดิน ลักษณะของใบเป็นรูปวงรีแกมรูปช้อนและแกมรูปเส้น ใบจะอวบน้ำ ส่วนล่างของใบจะมีขอบใบที่เว้าหาเส้นกลางใบ ส่วนยอดตรงปลายจะมนหรือแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ผิวใบเรียบหรือมีขนเล็กน้อยคล้ายกับใบผักกาด
ดอก : ออกดอกเป็นช่อโดยจะออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบ มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงดอกมี 4 กลีบ เป็นสีเขียว ส่วนกลีบมี 4 กลีบ กลีบดอกเป็นสีม่วง สีม่วงอมชมพูหรือสีขาว เมื่อต้นผักขี้หูดเจริญเติบโตจนได้ที่แล้วก้านดอกจะแทงยอดขึ้นมาจากกอต้นเป็นก้านยาวและจะมีดอกพราวตลอดก้านตั้งแต่ยอดกิ่งถึงโคนกิ่ง มักจะออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม
ผล : เป็นผลแห้งและแตกได้ ลักษณะของผลคล้ายฝักถั่วและมีขนาดเล็ก ฝักเป็นสีเขียวอ่อน ปลายฝักแหลม ฝักหยักเป็นคอดเว้าข้อ ๆ ผนังด้านในของฝักจะอ่อนนุ่มคล้ายกับฟองน้ำ มักจะออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 2 – 10 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดกลมหรือค่อนข้างกลม

สรรพคุณของผักขี้หูด

  • สรรพคุณจากฝัก แก้หวัด
  • สรรพคุณจากฝักและใบ ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อและอาหารไม่ย่อย ช่วยละลายนิ่ว
  • สรรพคุณจากดอก ช่วยขับน้ำดี

ประโยชน์ของผักขี้หูด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกและฝักนำมารับประทานเป็นผักได้ทั้งสดและสุก ผักสดหรืออ่อนจะมีรสชาติเผ็ดเล็กน้อยคล้ายกับรสมัสตาร์ด หากนำไปต้มหรือทำให้สุกก็จะออกรสหวานมันคล้ายกับก้านดอกหอม นิยมปรุงในแกงแค แกงส้มกับปลาช่อน แกงส้มพริกสดใส่มะเขือเทศ แกงป่ากับหมูสามชั้น แกงผักขี้หูดใส่มดแดง แกงผักขี้หูดกับแหนมใส่ไข่หรือนำมาใช้ทำเป็นผัดผักขี้หูด และยังทานเป็นผักสดหรือลวกจิ้มกับน้ำพริกกะปิหรือน้ำพริกอ่องได้
2. เป็นยาไล่แมลง สามารถนำผักมาหมักผสมกับ EM ใช้เป็นยาไล่แมลงได้

คุณค่าทางโภชนาการของผักขี้หูด

คุณค่าทางโภชนาการของผักขี้หูดต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 30 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ไขมัน 1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.6 กรัม 
โปรตีน 1.8 กรัม
ใยอาหาร 0.9 กรัม
วิตามินซี 52 มิลลิกรัม
แคลเซียม 60 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 19 มิลลิกรัม 
เหล็ก 0.6 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของดอกและฝักอ่อนส่วนที่รับประทานได้ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 15 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
น้ำ 96.6%
โปรตีน 3.6 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 0.6 กรัม
เถ้า 0.4 กรัม
วิตามินเอ 772 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0.11 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.10 มิลลิกรัม
วิตามินซี 125 มิลลิกรัม 
แคลเซียม 44 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.8 มิลลิกรัม

ผักขี้หูด เป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือที่นิยมนำมารับประทานเป็นผักสดหรือใส่ในแกงเผ็ดของทางเหนือ เป็นต้นที่มีรสชาติดีและยังเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านล้านนาด้วย มีคุณค่าทางโภชนาการและสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาอาการได้ ผักขี้หูดมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของฝักและใบ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยละลายนิ่ว ช่วยขับน้ำดี แก้หวัด แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อและอาหารไม่ย่อย เป็นต้นที่ดีต่อระบบย่อยอาหารในร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ผักขี้หูด”. หน้า 183.
บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร, งานศูนย์บริการวิชาการและฝึกอบรม ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. “เรื่องผักขี้หูด”. (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th. [24 เม.ย. 2014].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักขี้หูด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [24 เม.ย. 2014].
หนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ เล่ม 2. “ขี้หูด”. (รัตนา พรหมพิชัย). หน้า 714.
รายการคลินิกเกษตร ช่อง 3.

การะเกด ดอกหอมละมุน ช่วยบำรุงหัวใจ แก้เจ็บอก แก้เจ็บคอ แก้เสมหะ

0
การะเกด ดอกหอมละมุน ช่วยบำรุงหัวใจ แก้เจ็บอก แก้เจ็บคอ แก้เสมหะ
การะเกด เป็นต้นที่มีผลสีสดใสมี ผลแก่รสคล้ายสับปะรดและนำมารับประทานได้ พบตามชายหาดและพื้นที่ใกล้ชายฝั่งทะเล
การะเกด ดอกหอมละมุน ช่วยบำรุงหัวใจ แก้เจ็บอก แก้เจ็บคอ แก้เสมหะ
การะเกด เป็นต้นที่มีผลสีสดใสมี ผลแก่รสคล้ายสับปะรดและนำมารับประทานได้ พบตามชายหาดและพื้นที่ใกล้ชายฝั่งทะเล

การะเกด

การะเกด (Screwpine) เป็นต้นที่มีผลสีสดใสและโดดเด่นอยู่บนต้น อีกทั้งต้นก็ยังมีรูปร่างแปลกตาและมีดอกหอม ผลแก่จะมีรสคล้ายสับปะรดและนำมารับประทานได้ เป็นต้นที่คนไทยโบราณนำมาใช้ประโยชน์หลากหลาย ในตอนนี้คนไทยเราก็คงจะรู้จักคำว่าการะเกดเพราะความโด่งดังของละครไทยเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ที่เป็นละครยอดฮิต ซึ่งตัวละครนางเอกนั้นมีชื่อว่า “การะเกด” ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่สตรีโบราณนิยมนำดอกมาใส่หีบเพื่ออบกลิ่นเสื้อผ้าให้หอม นอกจากความโดดเด่นของต้นแล้วนั้นการะเกดยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของการะเกด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pandanus tectorius Parkinson ex Du Roi
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Screwpine”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “เตยทะเล” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “การะเกด การะเกดด่าง ลำเจียกหนู”
ชื่อวงศ์ : วงศ์เตยทะเล (PANDANACEAE)

ลักษณะของการะเกด

การะเกด เป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นที่มีเขตการกระจายพันธุ์ในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อน มักจะพบตามชายหาดและพื้นที่ใกล้ชายฝั่งทะเล
ลำต้น : มักแตกกิ่งก้านสาขา มีรูปทรงคล้ายต้นเตย
ราก : มีรากอากาศค่อนข้างยาวและใหญ่
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงเวียนสลับกันเป็น 3 เกลียวที่ปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปรางน้ำ แผ่นใบค่อย ๆ เรียวแหลมไปหาปลายใบ แผ่นใบด้านล่างมีนวล
ดอก : ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน ดอกจะออกที่ปลายยอดและมีจำนวนมาก ติดอยู่บนแกนช่อ ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก โดยช่อดอกเพศผู้จะมีลักษณะตั้งตรง มีกาบสีนวลหุ้มและมีกลิ่นหอม ช่อดอกเพศเมียมีลักษณะค่อนข้างกลม ประกอบไปด้วยเกสรเพศเมียเชื่อมติดกันเป็นกลุ่ม ที่ปลายมีลักษณะหยักตื้นเป็นร่องระหว่างยอดเกสรเพศเมีย ยอดเกสรเพศเมียจะเรียงกันเป็นวง
ผล : ลักษณะของผลจะเบียดกันแน่นเป็นก้อนกลม เมื่อสุกจะมีกลิ่นหอม โคนสีเหลือง ตรงกลางเป็นสีแดง ส่วนตรงปลายยอดเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ผลที่สุกแล้วจะมีโพรงอากาศจำนวนมาก

สรรพคุณของการะเกด

  • สรรพคุณจากดอก เป็นยาหอม ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ เป็นยาแก้โรคในอก แก้เจ็บอก แก้เจ็บคอ แก้เสมหะ บำรุงหัวใจ และบำรุงธาตุ
  • สรรพคุณจากยอด
    – ช่วยสตรีหลังคลอด ด้วยการนำยอดมาต้มกับน้ำให้สตรีดื่มตอนหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ

ประโยชน์ของการะเกด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลแก่และดอกหอมนำมารับประทานได้
2. เป็นสารให้ความหอม ดอกใช้อบกลิ่นเสื้อผ้าให้หอมสำหรับสตรีโบราณ
3. ใช้ในอุตสาหกรรม ใบนำมาใช้ในงานจักสานทำเป็นเครื่องมือใช้สอยต่าง ๆ อย่างกระสอบ เสื่อ หมวกและกระเป๋า ในสมัยก่อนนำดอกไปเคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวหรือมันหมูเพื่อปรุงเป็นน้ำมันใส่ผม
4. ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกมีกลิ่นหอมและปลูกเลี้ยงง่าย เหมาะสำหรับปลูกตามที่ชื้นแฉะหรือริมฝั่งน้ำ

การะเกด เป็นต้นที่นิยมสำหรับคนไทยมาตั้งแต่โบราณและเป็นวัตถุดิบสำคัญของงานหัตถกรรม เป็นไม้ดั้งเดิมที่คู่ควรกับคนไทยมานาน ดอกของการะเกดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายโดยเฉพาะการนำมาใช้อบกลิ่นเสื้อผ้าให้หอมสำหรับสตรีโบราณ นอกจากนั้นยังคู่ควรแก่การปลูกประดับอีกด้วย การะเกดมีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงหัวใจ เป็นยาแก้โรคในอก แก้เจ็บอก แก้เจ็บคอและแก้เสมหะได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “การะเกด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [12 ก.ย. 2015].
สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “การะเกด”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [12 ก.ย. 2015].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 312 คอลัมน์ : ต้นไม้ใบหญ้า. (เดชา ศิริภัทร). “การะเกด : ความหอมในกลิ่นอายชาตินิยม”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [12 ก.ย. 2015].

อาชาชา ราชินีแห่งผลไม้เมืองร้อน กระตุ้นคอลลาเจน และช่วยรักษาอาการท้องผูก

0
อาชาชา ราชินีแห่งผลไม้เมืองร้อน กระตุ้นคอลลาเจน และช่วยรักษาอาการท้องผูก
อาชาชา เป็นไม้พื้นเมืองในป่าโบลิเวียรสชาติรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมคล้ายมังคุด ช่วยรักษาความดันโลหิตสูงได้
อาชาชา ราชินีแห่งผลไม้เมืองร้อน กระตุ้นคอลลาเจน และช่วยรักษาอาการท้องผูก
อาชาชา เป็นไม้พื้นเมืองในป่าโบลิเวียรสชาติรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมคล้ายมังคุด ช่วยรักษาความดันโลหิตสูงได้

อาชาชา

อาชาชา (Achacha) เป็นไม้พื้นเมืองมีถิ่นกำเนิดในป่าโบลิเวีย กายอานาและแคริบเบียนรสชาติรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมคล้ายมังคุด สามารถช่วยรักษาความดันโลหิตสูงได้ แต่ผลสุกอาชาช่าจะมีลักษณะคล้ายมะปรางเนื้อขาวปุยฝ้ายคล้ายกระท้อน Achacha อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 80% นอกเหนือจากเกลือแร่ เช่น โฟเลต โพแทสเซียม แคลเซียม ทองแดง แมกนีเซียม และวิตามินซี

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของอาชาช่า

ชื่อสามัญ achachairú หรือ achacha
ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Garcinia humilis selectum
ตระกูล Clusiaceae เดียวกับมังคุด

ลักษณะของอาชาช่า

ลำต้น : ต้นไม้ขนาดเล็กที่เติบโตได้ประมาณ 6-10 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เซนติเมตร
ใบ : ใบอ่อนมีสีชมพู ส่วนใบแก่จะมีสีเขียวมันวาว ทรงเรียวยาวประมาณ 15-28 เซนติเมตร และกว้าง 4–8 เซนติเมตร
ดอก : สีขาว 4-5 ดอก บนก้านดอกยาว 2 เซนติเมตร เกสรตัวผู้ 20–34 กลีบ ดอกเพศผู้มีความยาว 9.5–12 มิลลิเมตร มีเกสรตัวผู้ 26–28 อัน
ผล : ผลอ่อนสีส้มอมเหลือง ผลสุกสีส้มแดง ผิวหนาแข็ง ผลกลมยาวประมาณ 5.5-6 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 4.4–5 เซนติเมตร เนื้อในสีขาวแยกออกจากเปลือกได้ง่าย
เมล็ด : เมล็ดของอาชาช่ามีประมาณ1-4 เมล็ด เมล็ดมีสีน้ำตาล

ประโยชน์ต่อสุขภาพของอาชาช่า

  • ช่วยบำรุงกระดูก
  • ช่วยรักษาอาการท้องผูก
  • ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และหลอดเลือด
  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  • สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยชะลอกระบวนการชราของผิว
  • ช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดในทารก
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ช่วยในการผลิตคอลลาเจน
  • ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่ส่วนบนของระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่

นอกจากนี้ เปลือกของ Achacha ยังเป็นแหล่งของ hydroxycitrate ซึ่งสกัดมาจากกรดซิตริกโดยธรรมชาติ hydroxycitrate เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักหลายๆชนิดอีกด้วย ซึ่งเครื่องดื่มจากเปลือกAchacha ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำเปลือกล้างให้สะอาดแล้วปั่นให้ละเอียด เติมน้ำลงไป แล้วแช่ค้างคืนไว้หนึ่งคืน ก็ได้เครื่องดื่มที่ควบคุมน้ำหนักได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม