“ วิ่ง ” แม้เหนื่อย แต่ให้อะไรมากกว่าที่คิด

0
“ วิ่ง ” แม้เหนื่อย แต่ให้อะไรมากกว่าที่คิด
การวิ่งนอกจากจะได้สุขภาพร่างกายที่ดีแล้วก็ยังทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญได้ดีและเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
“ วิ่ง ” แม้เหนื่อย แต่ให้อะไรมากกว่าที่คิด
การวิ่งนอกจากจะได้สุขภาพร่างกายที่ดีแล้วก็ยังทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญได้ดีและเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง

การวิ่ง

การวิ่ง (running) คือ การออกกำลังกายประเภทหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำกันได้ง่าย ๆ และเป็นที่นิยมอย่างมากในยุคสมัยนี้ซึ่งการวิ่งนอกจากจะได้สุขภาพร่างกายที่ดีแล้วก็ยังให้อะไรกับเราอีกมากมายและทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญได้ดีและเร็วขึ้น แถมยังเป็นการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแก่ร่างกายด้วย

ประโยชน์ที่ได้จากการวิ่ง

  • ลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์
  • ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
  • ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ ขา สะโพก
  • ช่วยสร้างให้รูปร่างดี
  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกและข้อต่อ ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนลงได้ถึง 30%
  • ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งบางชนิด
  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและภูมิต้านทานให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กำลังได้รับเคมีบำบัด
  • ได้ความสุข ความเครียดหายไป.
  • ได้เหงื่อ
  • ได้สมองที่ไวขึ้น
  • ได้เผาผลาญไขมัน
  • ได้ข้อต่อที่แข็งแรงไม่เสื่อมง่าย

การเตรียมตัวก่อนที่จะออกกำลังกาย

ก่อนที่จะวิ่งเราควรยืดกล้ามเนื้อก่อนและหลังวิ่ง เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับร่างกาย เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อของร่างกายให้ยืดและหดตัวได้ดีก่อนออกตัววิ่ง

  • เสื้อผ้า ควรเลือกตามสภาพอากาศระบายความร้อนและระบายเหงื่อได้ดี
  • รองเท้า ควรเลือกซื้อรองเท้าวิ่งโดยเฉพาะอย่าลืมถุงเท้า เพื่อลดการเสียดสีที่ทำให้นิ้วเท้าพองได้และยังช่วยซัพพอร์ตแรงกดจากลำตัวที่ลงไปยังข้อเท้า

การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่าย ๆ ถ้าต้องการให้การวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดี เราควรควรทำอย่างสม่ำเสมอและที่สำคัญก็คือการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ดื่มน้ำเปล่าให้เหมาะสมกับร่างกาย เพื่อช่วยการไหลเวียนเลือดและยังทำให้ผิวพรรณดีขึ้น

คณะกรรมการอาหารและยา อนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็ก 5-11 ปี

0
คณะกรรมการอาหารและยา อนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็ก 5-11 ปี
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ประกาศแนวทางการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีส้ม สูตรสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ขนาด 10 mg. 0.2 มล. เข้ากล้ามเนื้อ
คณะกรรมการอาหารและยา อนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็ก 5-11 ปี
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ประกาศแนวทางการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ฝาสีส้ม สูตรสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ขนาด 10 mg. 0.2 มล. เข้ากล้ามเนื้อ

อนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็ก 5-11 ปี

(อย.) โดย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเปิดเผยว่า (20 ธ.ค. 65) สำนักงาน อย. ได้อนุมัติการขยายขอบเขตข้อบ่งใช้ของวัคซีนโคเมอร์เนตี (COMIRNATY VACCINE) ของบริษัท ไฟเซอร์ จำกัด สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ปริมาณวัคซีนอยู่ที่ 10 ไมโครกรัม/โดส/คน ด้วยการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 21 วัน คาดว่าจะเริ่มทยอยเข้ามาในประเทศไทยได้ประมาณปลายเดือน ม.ค.นี้ หรือประมาณภายในเดือน ก.พ. 65 ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางกรุงเทพมหานคร โดยสำนักการศึกษา อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเด็กนักเรียนอายุระหว่าง 5-11 ปี ในโรงเรียนสังกัด กทม. สำรวจความต้องการเข้ารับวัคซีน จัดเตรียมเอกสารการยินยอมให้ฉีดตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนด และยังได้หารือเพื่อวางแผนเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ต่อไป

ในขณะเดียวกัน ต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฎิบัติ การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และการติดตามอาการหลังการฉีดวัคซีนอย่างใกล้ชิดให้ แก่เด็กนักเรียน และผู้ปกครอง เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ส่วนทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากเตือนประชาชนทุกคนให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันส่วนบุคคลขั้นสูงสุด และสวมหน้ากากอนามัย 100% ออกนอกบ้านขอให้สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล หมั่นล้างมือบ่อย ๆ งดการรวมกลุ่มรับประทานอาหารร่วมกันในที่ทำงาน และไม่ไปในสถานที่เสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ พร้อมเน้นย้ำร้านอารหารต่าง ๆ ต้องเข้มงวดตามมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร

อย่างไรก็ตาม จะมีทั้งความเห็นจากทางผู้ปกครองที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 เด็กในอายุ 5-11 ปี แต่ก็ไม่ได้บังคับใดๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ปกครองต้องดูแลเด็ก ให้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน หมั่นล้างมือให้สะอาดและไม่พาเด็กไปในสถานที่ที่มีคนเยอะ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย

อัพเดทล่าสุด! เริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์เด็กกลุ่มเสี่ยง 31 ม.ค.นี้

– 29 ม.ค.2565 สรจ.ประชุมวางแผนการรับวัคซีนและกำหนดการกระจายจุดฉีดวัคซีนรายวัน แต่ละพื้นที่ (School based) และวิธีการบันทึกข้อมูล
– 30-31 ม.ค.2565 สรจ.จัดประชุมร่วม ศรจ. ผอ.สพป. และ ผอ.สถานศึกษาในจังหวัด แจ้งแผนกำหนดการฉีดวัคซีนให้นักเรียน (สถานที่และจำนวนรายวัน) และกำหนดการฉีด วัคซีนแก่ครู และบุคลากรส่วนที่เหลือ
– 1 ก.พ.2565 เริ่มการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ให้นักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี
– 26 ก.พ.2565 เริ่มการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้นักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี

คำแนะนำฉีดไฟเซอร์วัคซีนโควิด19 ให้เด็ก 5-11 ปี

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ประกาศแนวทางการฉีดวัคซีนไฟเซอร์สูตรสำหรับเด็ก ฝาสีส้มแก่เด็กอายุ 5-11 ปี ให้ฉีดวัคซีนชนิดไฟเซอร์ สูตรสำหรับเด็ก ขนาด 10 ไมโครกรัม ปริมาณ 0.2 มล. เข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้ง ห่างกัน 3-12 สัปดาห์ โดยระยะห่าง 8-12 สัปดาห์ จะดีกว่า 3-4 สัปดาห์ เพราะได้รับระดับภูมิคุ้มกันที่สูงกว่า และผลข้างเคียงน้อยกว่า

กระทรวงสาธารณสุข แนะนำการฉีดวัคซีนไฟเซอร์สูตรสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี (ฝาสีส้ม) ดังนี้
1. ระยะห่างระหว่างเข็มที่ 1 และ 2 เป็นเวลา 8 สัปดาห์
2. สูตรสำหรับฉีดผู้ใหญ่และเด็กมีความแตกต่างกัน ในแต่ละสถานพยาบาล ควรแยกจุดฉีดหรือโต๊ะฉีด สำหรับขวดฝาม่วงและฝาส้มให้ชัดเจน

กรมอนามัย แนะเด็กเล็กแยกกักตัวอยู่ที่บ้าน ย้ำ พ่อแม่สังเกตอาการดูแลใกล้ชิด

0
กรมอนามัย แนะเด็กเล็กแยกกักตัวอยู่ที่บ้าน ย้ำ พ่อแม่สังเกตอาการดูแลใกล้ชิด
กระทรวงสาธารณสุข แนะนำพ่อแม่ควรดูแลและสังเกตอาการเด็กเล็กติดเชื้อโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านให้ดูแลลูก หรือบุตรหลานอย่างใกล้ชิด
กรมอนามัย แนะเด็กเล็กแยกกักตัวอยู่ที่บ้าน ย้ำ พ่อแม่สังเกตอาการดูแลใกล้ชิด
กระทรวงสาธารณสุข แนะนำพ่อแม่ควรดูแลและสังเกตอาการเด็กเล็กติดเชื้อโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านให้ดูแลลูก หรือบุตรหลานอย่างใกล้ชิด

เด็กเล็กแยกกักตัวอยู่ที่บ้าน

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะพ่อแม่ควรดูแลและสังเกตอาการเด็กเล็กติดเชื้อโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้าน Home Isolation (HI) ดูแลลูก หรือบุตรหลานอย่างใกล้ชิด

รู้ได้อย่างไรว่าลูกติดเชื้อโควิด-19

พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตอาการโดยรวมของเด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ซึ่งระดับอาการของเด็กแบ่งเป็น 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 อาการในระดับที่สามารถเฝ้าสังเกตที่บ้านต่อไปได้ คือ มีไข้ต่ำ มีน้ำมูก มีอาการไอเล็กน้อย ไม่มีอาการหอบเหนื่อย ถ่ายเหลว ยังคงกินอาหารหรือนมได้ปกติและไม่ซึม
แบบที่ 2 อาการที่ผู้ปกครองควรติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำเด็กส่งโรงพยาบาลโดยเร็วคือ มีไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส หายใจหอบเร็วกว่าปกติ ใช้แรงในการหายใจ ปากเขียว ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ ซึมลง ไม่ดูดนม และไม่กินอาหารให้รีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงมีผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กติดเชื้อโควิด-19 จากคนในครอบครัว ซึ่งอาการติดเชื้อที่พบตั้งแต่ไม่มีอาการ จนถึงมีอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ โดยกลุ่มเสี่ยงที่พบอาการรุนแรงคือเด็กทารกและเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ซึ่งต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทันที เมื่อตรวจ ATK หรือเมื่อตรวจ RT-PCR ให้ผลพบเชื้อส่วนเด็กที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย สามารถรับการรักษาแบบ Home Isolation (HI)ได้ แต่ต้องมีพ่อแม่ หรือ ผู้ปกครองที่สามารถดูและประเมินอาการให้เด็กได้ตลอดเวลา โดยใช้อุปกรณ์เพื่อติดตามอาการ ได้แก่ ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว อุปกรณ์ที่สามารถถ่ายภาพหรือคลิปวีดีโออาการของเด็กได้ โทรศัพท์เพื่อติดต่อกับสถานพยาบาลหากมีเหตุจำเป็น และยาสามัญประจำบ้านเพื่อบรรเทาอาการ ได้แก่ ยาลดไข้ เช่นพาราเซตามอล ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก และเกลือแร่

นอกจากนี้ผู้ปกครองต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมืออย่างถูกวิธีหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับเด็กที่ติดเชื้อ ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสในห้องเป็นระยะด้วยแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำยาทำความสะอาดที่สามารถกำจัดเชื้อโควิด-19

ทั้งนี้ หากเด็กมีภาวะข้อใดข้อหนึ่ง เช่น อาการหายใจหอบ มีการใช้แรงในการหายใจ เช่น หายใจอกบุ๋ม ชายโครงบุ๋ม หรือปีกจมูกบาน ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94 เปอร์เซ็นต์ ริมฝีปาก เล็บ หรือปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ ซึมลง ไม่ดูดนม กินไม่ได้ เพลีย ไม่มีมีแรง หรือมีไข้ตั้งแต่ 39 องศาเซลเซียสขึ้นไปให้รีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

กรมอนามัย เผยเนื้อจระเข้โปรตีนทางเลือก แนะปรุงสุกก่อนกินทุกครั้ง ลดปนเปื้อนแบคทีเรีย

0
กรมอนามัย เผยเนื้อจระเข้โปรตีนทางเลือก แนะปรุงสุกก่อนกินทุกครั้ง ลดปนเปื้อนแบคทีเรีย
กรมอนามัยแนะนำให้ประชาชนบริโภคเนื้อจระเข้ ซึ่งเป็นโปรตีนทางเลือกมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ให้พลังงานต่ำ ไขมันน้อย
กรมอนามัย เผยเนื้อจระเข้โปรตีนทางเลือก แนะปรุงสุกก่อนกินทุกครั้ง ลดปนเปื้อนแบคทีเรีย
กรมอนามัยแนะนำให้ประชาชนบริโภคเนื้อจระเข้ ซึ่งเป็นโปรตีนทางเลือกมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ให้พลังงานต่ำ ไขมันน้อย

เนื้อจระเข้โปรตีนทางเลือก

เนื่องจากปัจจุบันเนื้อหมูแพงขึ้น กรมอนามัยแนะนำให้ประชาชนบริโภคเนื้อจระเข้ ซึ่งเป็นโปรตีนทางเลือกมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ให้พลังงานต่ำ ไขมันน้อย แนะทำความสะอาดเนื้อให้ถูกวิธี เน้นปรุงสุกก่อนกิน เลี่ยงการปนเปื้อนของแบคทีเรียได้

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงที่เนื้อหมูราคาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มหันมาให้ความสนใจบริโภคเนื้อจระเข้ เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกมากขึ้นซึ่งเนื้อจระเข้ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการเพาะเลี้ยงจระเข้นั้นทำได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับสารเคมีอันตราย แต่เนื่องจากจระเข้จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลาน อาจมีแบคทีเรียปนเปื้อน เช่น เชื้อซัลโมเนลลา ทำให้เกิดโรค เช่น ไทฟอยด์ ท้องร่วง และความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร จึงควรล้างมือ และอุปกรณ์ทุกครั้งก่อนแปรรูปเนื้อสัตว์ เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของแบคทีเรีย และปรุงสุกในทุกเมนู งดการกินสุก ๆ ดิบ ๆ

การเลือกซื้อเนื้อจระเข้ ควรเลือกเนื้อจากส่วนหาง (บ้องต้น) ถือเป็นส่วนที่ดีที่สุด เนื้อที่ดีควรสดมีสีทึบ ไม่มีกลิ่นเหม็น และควรเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้

การจัดเก็บอาหารในช่องแช่แข็ง หรือตู้เย็น

  • ตู้เย็นรักษาอุณหภูมิตั้งแต่ 5 ถึง 0 องศาเซลเซียส เก็บได้นาน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าจัดเก็บที่อุณหภูมิ -4 ถึง 0 องศาเซลเซียส จะสามารถเก็บได้นานเพิ่มขึ้น
  • หากต้องการเก็บไว้นานกว่านั้นควรช่องแช่แข็งอุณหภูมิตั้งแต่ -12 ถึง -8 องศาเซลเซียส เก็บรักษาได้ 2-4 เดือน ถ้าแช่แข็งตั้งแต่ -24 ถึง -18 องศาเซลเซียส เก็บรักษาได้ 10-12 เดือน

การแช่แข็งผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้อง

1.เนื้อสดจะต้องถูกตัดเป็นส่วนๆ ห่อด้วยกระดาษฟอยล์ ฟิล์มยืด หรือกระดาษพาร์ชเมนท์ เนื้อห่อใส่ถุงแล้วนำไปแช่ตู้เย็น
2.ไม่ควรล้างเนื้อสัตว์ก่อนนำไปแช่แข็งเพราะจะทำให้อายุการเก็บสั้นลง แต่หากต้องการ ยืดระยะเวลาออกไปหลายวัน ให้ห่อด้วยกระดาษพาร์ชเมนท์เคลือบด้วยน้ำมันพืช
3.เมื่อต้องการละลายเนื้อสัตว์นั้น ควรใช้วิธีธรรมชาติเพื่อคงสารอาหารไว้ หลีกเลี่ยงการละลายเนื้อในน้ำเดือดร้อน
ทางด้าน ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวเสริมว่า

ด้านคุณค่าทางอาหาร เนื้อจระเข้มีพลังงานต่ำ ไขมันน้อย สามารถนำมาปรุงได้หลากหลายวิธี ตั้งแต่การต้ม เคี่ยวในน้ำซุป ไปจนถึงปิ้ง ย่าง ทอด และผัด ผู้บริโภคควรเลือกบริโภคให้เหมาะกับตัวเอง เพราะเนื้อจระเข้กับสัตว์ประเภทอื่นนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการ และราคาไม่แตกต่างกันมากนักโดยเนื้อจระเข้ 100 กรัม มีพลังงาน 99 กิโลแคลอรี โปรตีน 21.5 กรัม ไขมัน 2.9 กรัม และโคเลสเตอรอล 65 มิลลิกรัม และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ๆ ในปริมาณ 100 กรัม พบว่า
1) เนื้อหมู มีพลังงาน 107 กิโลแคลอรี โปรตีน 22.0 กรัม ไขมัน 2.0 กรัม และโคเลสเตอรอล 55 มิลลิกรัม
2) เนื้อไก่ มีพลังงาน 145 กิโลแคลอรี โปรตีน 22.2 กรัม ไขมัน 6.2 กรัม และโคเลสเตอรอล 62 มิลลิกรัม 3) เนื้อวัว มีพลังงาน 121 กิโลแคลอรี โปรตีน 21.2 กรัม ไขมัน 4.0 กรัม และโคเลสเตอรอล 51 มิลลิกรัม

ดังนั้น ช่วงที่เนื้อหมูแพง เนื้อไก่แพงขึ้นผู้บริโภคอาจเลือกบริโภคอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนชนิดอื่น เช่น ปลา ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน และเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้หลากสี ดื่มนมเหมาะสมตามวัย เพื่อให้ได้รับอาหารครบ5หมู่

กรมชลประทาน ยันมีน้ำใช้เพียงพอตลอดแล้งนี้

0
กรมชลประทาน ยันมีน้ำใช้เพียงพอตลอดแล้งนี้
น้ำอุปโภคบริโภคเพียงพอใช้ตลอดหน้าแล้งนี้ ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมใจกันประหยัดน้ำ

 

กรมชลประทาน ยันมีน้ำใช้เพียงพอตลอดแล้งนี้
น้ำอุปโภคบริโภคเพียงพอใช้ตลอดหน้าแล้งนี้ ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมใจกันประหยัดน้ำ

กรมชลประทาน ขานรับกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) คุมเข้มแผนใช้น้ำลุ่มเจ้าพระยา เดินหน้าบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้ง เน้นย้ำน้ำกินน้ำใช้อุปโภคบริโภคเพียงพอใช้ตลอดแล้งนี้ พร้อมวอนทุกภาคส่วนร่วมใจกันประหยัดน้ำ ตามนโยบายรองนายกฯประวิตร ในฐานะผอ.กอนช.

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) มีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูแล้งพื้นที่ภาคกลาง ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เน้นย้ำน้ำอุปโภคบริโภคต้องเพียงพอตลอดฤดูแล้ง พร้อมกำหนดแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงและแผนเผชิญ เหตุรองรับสถานการณ์ภัยแล้งในบางพื้นที่ไว้ล่วงหน้า รวมทั้งเร่งรัดโครงการสำคัญต่างๆ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ นั้น

สถานการณ์น้ำต้นทุนใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบัน (18 ม.ค. 65) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 13,457 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) หรือร้อยละ 54 ของความจุอ่างฯรวมกัน เป็นน้ำใช้การได้ 6,761 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้มีการใช้น้ำไปแล้ว 2,225 ล้าน ลบ.ม. จึงได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทานในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา บริหารจัดการน้ำตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะน้ำอุปโภคบริโภคต้องไม่ขาดแคลน ที่สำคัญให้จัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงและแผนเผชิญเหตุไว้รองรับสถานการณ์ภัยแล้งในบางพื้นที่ไว้ล่วงหน้าด้วยแล้ว

ในส่วนของการทำนาปรัง ปัจจุบันมีการทำนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปแล้วประมาณ 3.25 ล้านไร่ เกินแผนที่วางไว้ร้อยละ 16 (แผนวางไว้ 2.81 ล้านไร่) เกษตรกรส่วนหนึ่งจะใช้น้ำจากบ่อน้ำหรือแหล่งน้ำของตนเองในการทำนาปรัง

อย่างไรก็ตามชลประทานได้เน้นย้ำให้โครงการชลประทานในพื้นที่ติดตามและควบคุมการใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียงพอใช้ตลอดแล้งนี้ ไปจนถึงต้นฤดูฝนปีหน้า

โรคระบาดในหมู ASF คืออะไร และป้องกันได้อย่างไร

0
โรค ASF ในหมู คืออะไร และป้องกันได้อย่างไร
หมูที่ติดเชื้อ ASF สามารถทานได้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ แต่ปรุงสุกเป็นเวลา30 นาที ด้วยอุณภูมิ 60 องศาขึ้นไป
โรค ASF ในหมู คืออะไร และป้องกันได้อย่างไร
หมูที่ติดเชื้อ ASF สามารถทานได้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ แต่ปรุงสุกเป็นเวลา30 นาที ด้วยอุณภูมิ 60 องศาขึ้นไป

ASF

โรค ASF (African Swine Fever) คือ โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Clinical Practice Guideline) เป็นโรคไวรัสที่ติดต่อร้ายแรงในสุกรที่แพร่กระจาย ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก หากมีการระบาดของโรคนี้ในประเทศแล้วจะกำจัดโรค ได้ยาก เพราะในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันและควบคุมโรค สุกรที่หายป่วยแล้วจะเป็นพาหะของโรคได้ตลอดชีวิต และยิ่งกว่านั้นโรคนี้เป็นโรค ที่มีความความรุนแรงทำให้สุกรที่ติดเชื้อมีการตายเฉียบพลันเกือบ 100 %

สาเหตุของโรค ASF

มักติดเชื้อ ASF​ จากการกินเศษอาหารที่มีเชื้อ​โรคเข้าไป และการสัมผัสเชื้อที่ปนเปื้อนมากับคน​ สิ่งของ​ รถขนส่ง​ และสัตว์พาหะ ซึ่งสัตว์พาหะที่สามารถนำโรคได้โดยตรง​ ได้แก่​ เห็บอ่อน​ ที่พบในทวีปแอฟริกาและยุโรปเท่านั้น

อาการโรค​ ASF ในหมูเป็นอย่างไร?

หมูจะแสดงอาการหลังติดเชื้อประมาณ​ 3-4 วัน โดยหมูที่ติดเชื้อจะมีอาการอาเจียน ไข้สูง​ ถ่ายเป็นเลือด​ จุดเลือดออก​ ​และตายเกือบ​ 100% ​

โรค ASF ติดจากสัตว์สู่คนได้หรือไม่

เชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF)ไม่ใช่โรคที่ติดจากสัตว์สู่คน จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์และในปัจจุบันยังไม่มีประวัติผู้ป่วยด้วยเชื้อโรคนี้

โรค ASF สามารถแพร่ไปในหมู่สุกรบ้านและสุกรป่าทุกเพศทุกวัยได้อย่างรวดเร็วและร้ายแรงถึงชีวิต

หากกินหมูติดเชื้อ ASF จะอันตรายต่อร่างกายหรือไม่

เนื้อหมูที่ติดเชื้อ ASF เรายังสามารถกินได้ตามปกติ แต่ไม่ควรกินเนื้อสุกๆดิบๆ เพราะเชื้อไวรัสนี้จะตายด้วยความร้อน​ 60 องศาขึ้นไป ปรุงสุกอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารที่ทานจะสะอาด ปลอดเชื้อ จึงควรกินอาหารที่ปรุงสุกทุกครั้งเพื่อลดความเสี่ยง

เชื้อ ASF อยู่ในสภาพแวดล้อมได้นานแค่ไหน

  • อยู่ในมูลสุกร หรือสิ่งแวดล้อม ประมาณ 1 เดือน
  • อยู่ในซากสัตว์ หรือในดินได้ถึง 3 เดือน
  • อยู่ในเนื้อแปรรูป ได้ถึง 1 ปี
  • อยู่ในเนื้อแบบแช่แข็ง ได้ถึง 3 ปี

สามารถป้องกันฟาร์มจากโรค ASF ได้อย่างไร

1. ไม่นำทั้งสุกรติดเชื้อที่ยังมีชีวิตและผลิตภัณฑ์เนื้อหมูเข้ามาในพื้นที่ปลอดโรค ASF
2. ไม่ควรนำเศษอาหารของมนุษย์ไปเลี้ยงสุกรโดดเด็ดขาด
3. เมื่อพบว่ามีสุกรเป็นโรค ASF ให้กำจัดสุกรทั้งหมดอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะติดเชื้อหรือไม่
4. ดูแลฟามร์มให้ปราศจากไวรัสและแบคทีเรีย เช่น ฆ่าเชื้อเสื้อผ้าและรองเท้าบูท หรือใช้เสื้อผ้าและรองเท้าบูทที่สำหรับใส่ในฟาร์มไว้เป็นการเฉพาะ
5. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนที่เข้ามาในฟาร์มไม่มีการสัมผัสกับสุกรอื่นใดในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา
6. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อยานพาหนะและอุปกรณ์อย่างถูกต้องก่อนเข้ามาในบริเวณฟาร์ม
7. ตรวจสอบและทดสอบหาเชื้อ ASF ในสุกรที่ป่วยหรือตายทุกตัว รวมถึงหมูที่ถูกเชือดเพื่อการบริโภคในบ้านก็ควรถูกตรวจหาเชื้อ ASF โดยมีใบรับรองจากสัตวแพทย์
8. เมื่อสังเกตเห็นสัญญาณของโรค ASF ให้แจ้งสัตวแพทย์โดยทันที และนำสุกรเข้ารับการตรวจหาเชื้อ
9. มีการกักโรคอย่างเข้มงวดทั้งในเขตที่ปราศจากโรค ASF และเขตติดเชื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายของเชื้อ

ปัญหาหมูติดเชื้อASF ทำให้ราคาหมูปี2565สูงขึ้นมาก แม้หมูที่ติดเชื้อยังสามารถทานได้อยู่ก็ตาม แค่ปรุงสุกภายใน30 นาที ด้วยอุณภูมิ 60 องศาขึ้นไป หรือไม่ก็หันมาเปลี่ยนเมนูอย่าง เป็ด ไก่ กุ้ง เนื้อวัว ก็ได้ เป็นเมนูที่ต้องลองที่แม่บ้านไม่ควรพลาด

รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022

0
รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022
การนอนหลับสนิทมีความสำคัญต่อสุขภาพ
รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022
การนอนหลับเพื่อสุขภาพต้องเริ่มจากการนอนหลับสนิท

แพทย์ได้เสนอเรื่องการนอนหลับที่ดีที่สุดสำหรับปี 2022 คือ การนอนหลับเพื่อสุขภาพโดยเริ่มจากการนอนหลับสนิทมีความสำคัญต่อสุขภาพ และการอดนอนนั้นส่งผลเสียต่อร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การนอนช่วยชะลอวัยต้องเริ่มจากการฝึกร่างกายและจิตใจให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่

เคล็ดลับการนอนชะลอวัยที่เห็นผลชัดเจน

เราอาจเคยได้ยินบ่อยๆว่า “การนอนวันละ 8 ชั่วโมงจะดีต่อสุขภาพ” วิธีนี้ยังไม่ถูกต้องทั้งหมด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำจะต้องเป็นการนอนที่มีคุณภาพเท่านั้น เข้านอนก่อน 4 ทุ่มร่างกายจึงจะฟื้นตัวและสร้างเซลล์ใหม่ชะลอความแก่ของเซลล์ในร่างกายในช่วงที่เราหลับลึก ยกตัวอย่างการนอนชะลอวัย
– เวลาตื่น 6:00 น. – ให้เข้านอนเวลา 21:00 น. / 22:30 น. / 24:00 น. / 01:30 น.
– เวลาตื่น 7:30 น. – ให้เข้านอนเวลา 3:00 น. / 1:30 น. / 24:00 น. / 22:30 น.

รู้ได้อย่างไรว่าเราหลับลึกจริงหรือไหม

ทางการแพทย์มีการแบ่งการนอนออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงการนอนหลับที่ไม่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (NON Rapid Eye Movement – NREM) และช่วงการนอนหลับที่มีการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (Rapid Eye Movement – REM) การหลับส่วนใหญ่ในวงจร แบ่งย่อยได้อีก 3 ระยะ คือ
1. ช่วงเริ่มหลับ หรือช่วงหลับตื้น สังเกตอาการจากร่างกายทำงานช้าลง รู้สึกผ่อนคลาย เป็นช่วงที่นอนหลับสนิทที่สุดใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
2. ช่วงรอยต่อระหว่างเริ่มหลับกับหลับลึก หรือช่วงหลับกลาง สังเกตจากการเต้นของหัวใจเริ่มเต้นช้าลง แต่ยังรับรู้ความเคลื่อนไหวและได้ยินเสียงจากภายนอกอยู่ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
3. ช่วงหลับลึกที่สุด สังเกตอาการจากร่างกายจะอ่อนเพลีย หนักตา งัวเงียมากที่สุด ปลุกให้ตื่นยาก ไม่ได้ยินเสียงภายนอก บางคนอาจเริ่มฝันที่สมจริง เช่น ฝันว่าตกจากที่สูง หรือฝันว่าปวดฉี่แล้วฉี่รดที่นอน

เป็นอย่างไรบ้างค่ะสำหรับข่าวสารดีๆ การนอนช่วยชะลอวัยได้สำหรับปี 2022 จะทำให้ทุกคนหน้าเด็กลงด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด เพื่อนๆควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน และไม่ควรสูบบุหรี่ก่อนเข้านอน เพียงเท่านี้การนอนช่วยชะลอวัยช่วยให้ใบหน้าของคุณกลับมาสดชื่นแจ่มใสแน่นอนค่ะ

อาหารกับกรุ๊ปเลือดมีความสำคัญกันอย่างไร

0
อาหารกับกรุ๊ปเลือดมีความสำคัญกันอย่างไร
การกินอาหารไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือด อาจส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้ และเซลล์ตามร่างกายและส่วนต่างๆเสื่อมลงได้
อาหารกับกรุ๊ปเลือดมีความสำคัญกันอย่างไร
การกินอาหารไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือด อาจส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้ และเซลล์ตามร่างกายและส่วนต่างๆเสื่อมลงได้

กรุ๊ปเลือด

กรุ๊ปเลือด ( ABO blood group) แต่ละกรุ๊ป มีสารเคมีในเลือดที่แตกต่างกัน การกินอาหารไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือด อาจส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้ และเซลล์ตามร่างกายและส่วนต่างๆเสื่อมลงได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องอาหารตามกรุ๊ปเลือด และสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต คือ อาหาร และทำไมต้องกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดกินอาหารอย่างไรให้เหมาะกับกรุ๊ปเลือด

อาหารสำหรับเลือดกรุ๊ป A

เลือดกรุ๊ป A คนที่มีเลือดกลุ่มนี้จะย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไม่ค่อยดีนัก แนะนำเป็น

1. อาหารประเภทเนื้อปลา แต่ควรหลีกเลี่ยงปลาตาเดียวปละปลาจะละเม็ด เนื่องจากมีเลกตินสูง ทำให้เลือดหนืด
2. ผัก ทานได้ทุกชนิด ทั้งผักสุกและดิบ
3. ผลไม้ ทานได้เกือบทุกชนิด ควรหลีกเลี่ยง กล้วย แคนตาลูป แตงโม มะม่วง มะละกอ ส้ม เพราะจะระคายเคืองกระเพาะอาหาร
4. เครื่องดื่ม ที่แนะนำ คือ ชา กาแฟ ไวน์แดง ควรหลีกเลี่ยง เบียร์ โชดา และน้ำอัดลม จะทำให้เพิ่มกรดในกระเพาะ

อาหารสำหรับเลือดกรุ๊ป B

เลือดกรุ๊ป B เป็นหมู่เลือดที่อยู่ง่าย กินง่าย รับประทานอะไรก็ได้ สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้หลากหลาย เช่น

1. จำพวก เนื้อไก่งวง เนื้อแกะ และปลาต่างๆ ควรหลีกเลี่ยง เนื้อไก่ กุ้ง ปู หอย เพราะมีผลต่อการทำงานของระบบทำให้อ้วนง่าย
2. ผัก ควรทานผักใบเขียวทุกชนิด ช่วยป้องกันอาการคันและภูมิแพ้ได้
3. ผลไม้ ทานได้เกือบทุกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ ลูกพลับ ลูกแพร์ และทับทิม
4. เครื่องดื่ม ให้ดื่มน้ำขิง ชาเชียว โสม ช่วยเรื่องบำรุงประสาท

อาหารสำหรับเลือดกรุ๊ป O

เลือดกรุ๊ป O หมู่เลือดนี้กระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี จึงหิวง่าย และอ้วนง่าย แนะนำทานอาหารจำพวก

1. เนื้อสัตว์แทบทุกชนิด เนื่องจากกระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารได้ง่ายกว่ากรุ๊ปอื่นแถมยังดูดซึมสารอาหารได้ดี
2. ผัก ทานได้เกือบทุกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยงจำพวกผักตระกูลกะหล่ำ มีผลต่อไทรอยด์ มะกอกดอง เห็ดหอม อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ส่วนมะเขือยาวและมันฝรั่ง ส่งผลทำให้ปวดข้อ
3. ผลไม้ ทานได้เกือบทุกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ ส้ม สตรอเบอรี่ มะพร้าว แคนตาลูป จะทำให้มีกรดในกระเพาะมากเกินไป
4. เครื่องดื่ม ควรเป็นชาสมุนไพร ส่วนชาที่มาจากใบชา และ ชา กาแฟ เบียร์ ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะเข้าไปอีก

อาหารสำหรับเลือดกรุ๊ป AB

เลือดกรุ๊ป AB กรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือด A กับ B วิธีรับประทานอาหารสามารถรับประทานแบบลูกผสม เน้นเนื้อ เน้นผักสลับกันไปมาได้ เช่น

1. ควรทานน้ำเต้าหู้ ปาซาร์ดีน ส่วนเนื้อสัตว์ควรทานแต่น้อย คือ เนื้อแกะ เนื้อไก่งวง และควรหลีกเลี่ยง เนื้อไก่ ปลาเนื้อขาวเพราะย่อยยาก
2. ผัก ทานได้เกือบทุกชนิด ควรหลีกเลี่ยง ถั่วแดง เมล็ดฟักทอง ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน
3. ผลไม้ ทานได้เกือบทุกชนิด ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ กล้วย และฝรั่ง เพราะย่อยยาก
4. เครื่องดื่ม แนะนำให้ดื่มไวน์แดง ชาคาโมมาย ชาเขียว หรือน้ำอุ่นผสมมะนาว ช่วยย่อยล้างระบบลำไส้

การกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดให้สุขภาพดีอย่างไรนั้น ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย จะช่วยส่งผลโดยรวมทั้งสุขภาพร่างกาย และสุขภาพทางจิตใจอยู่ในระดับปกติ เมื่อร่างกายดี สุขภาพจิตก็จะดีตามมาด้วย ทานให้ถูก ทานให้เหมาะ ที่สำคัญทานให้ครบ 5 หมู่

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

การตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยต้นเองเบื้องต้น (ATK)

0
การตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยต้นเองเบื้องต้น (ATK)
ชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น สามารถตรวจด้วยตนเองได้ ง่ายและรวดเร็ว รู้ผลภายในเวลา 15-30 นาที
การตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยต้นเองเบื้องต้น (ATK)
ATK ชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น สามารถตรวจด้วยตนเองได้ ง่ายและรวดเร็ว รู้ผลภายในเวลา 15-30 นาที

Antigen test kit

ATK (Antigen test kit) คือ ชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 เบื้องต้น ที่ทดสอบอย่างง่ายและรวดเร็ว ต่อการใช้งานลักษณะคล้ายกับชุดการตรวจตั้งครรภ์ ที่สามารถตรวจด้วยตนเองได้ และรู้ผลภายในเวลา 15-30 นาที

วิธีการใช้ ATK

ก่อนการทำการตรวจใช้ทุกครั้ง สิ่งสำคัญคือ ต้องความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆด้วยแอลกอฮอล์ ให้เรียบร้อย ล้างมือ สวมถุงมือ และตรวจสอบวันหมดอายุของชุดตรวจ จากนั้นเริ่มทำการตรวจตามขั้นตอน ดังนี้
1. เปิดซอง ก้านSwab ห้ามสัมผัสปลายสำลี
2. สอดก้าน Swab ในโพลงจมูก ทีละข้าง หมุน 5-10 รอบ ความลึกของไม้ Swab ตามคู่มือ
3. จุ่มก้านที่เก็บตัวอย่างลงในหลอดน้ำยา หมุนก้าน 5-10 ครั้ง
4. นำหลอดดูดน้ำยา หยดลงช่อง 2-3 หยด รอผล 15-30 นาที

การอ่านผลการตรวจ ATK

ก่อนอื่นต้องขออธิบายความหมายของอักษรภาษาอังกฤษตัว T และ C ที่อยู่บนอุปกรณ์ชุดตรวจATK
ตัว T ( T คือ Test line) ใช้สำหรับอ่านผลการทดสอบ ในการตรวจค่าว่าเป็น บวก หรือ ลบ ตัว C ( C คือ Control line) คือแถบควบคุมที่จะบอกว่า ผลการทดสอบน่าเชื่อถือหรือไม่
1.หากตรงตัวอักษร C ขึ้นสีแดงขีดเดียว ซึ่งแปลว่า ผลตรวจเป็นลบ (Negative) ไม่พบเชื้อ
2.หากตรงตัวอักษร C และ T ขึ้นสีแดง 2 ขีด ซึ่งก็แปลว่า ผลตรวจเป็นบวก (Positive) พบเชื้อ
3.หากไม่ขึ้นขีดสีแดง ที่ตัว C และ ตัว T หรือมีสีแดงเฉพาะตรงตัว T ก็อาจจะเป็นไปได้ที่แผ่นเทสมีปัญหา

ความแม่นยำของการตรวจ ATK

การใช้ชุดตรวจATK สำหรับตรวจด้วยตนเอง มีความแม่นยำในระดับเบื้องต้น ถ้าเราได้รับเชื้อมาไม่นานและได้รับเชื้อมาไม่มาก เมื่อทำการตรวจก็อาจได้ผลเป็นลบได้ ดังนั้น ถ้าเราอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากตรวจในวันแรก 3-5 วัน ด้วยวิธีการตรวจแบบ RT-PCR ซึ่งเป็นการตรวจที่แม่ยำ ที่ตรวจหาเชื้อได้แม้จะพบเชื้อที่น้อย เพื่อยืนยันผลอีกครั้ง

ข้อดีของการตรวจแบบ ATK

1.เป็นชุดทดสอบที่ตรวจง่าย สามารถตรวจด้วยตนเองได้
2.สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาไม่นาน เพื่อช่วยลดการรอคอยในการตรวจ
3.ทราบผลภายในเวลา 15-30 นาที
4.หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก
5.ถ้าชุดตรวจมีคุณภาพและตรวจถูกต้อง ทราบผลเป็นบวก จะช่วยแยกผู้ป่วยออกจากผู้ที่ไม่ป่วยได้เร็วขึ้น

ข้อเสียของการตรวจแบบ ATK

1.ต้องทำการตรวจซ้ำ 2 ครั้ง ตรวจครั้งแรกคือตรวจเบื้อต้น ตรวจครั้งที่ 2 คือตรวจยืนยันผล
2.บางครั้งตรวจ ให้ผลเป็นบวกปลอม คือ ตรวจแบบ ATK ได้ผลเป็นบวก แต่ ตรวจแบบ RT-PCRผลเป็นลบ
ซึ่งการตรวจการ RT-PCR จะให้ผลที่แม่นยำกว่า ก็จะไม่ค่อยมีปัญหาในการไม่พบเชื้อ
3.ถ้าตรวจแบบ ATK ผลออกมาเป็นลบ และตรวจแบบ RT-PCR ผลเป็นบวก ก็จะเกิดปัญหาในการพบเชื้อขึ้น
และต้องทำการตรวจผลการยืนยันอีกครั้ง

การตรวจแบบ ATK เหมาะกับใคร

1.เหมาะกับผู้ที่สงสัยจะติดเชื้อ หรือไม่แสดงอาการ
2.เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจหาเชื้อในเบื้องต้น
3.แหล่งชุมชน และสถานบันเทิง ในการตรวจเบื้องต้น

ข้อควรระวังในการใช้ชุดตรวจ ATK

ชุดตรวจ ATK ต้องมี อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) การเก็บรักษานั้น ต้องเก็บในที่อุณภูมิกำหนด และต้องตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้งานทุกครั้ง และอย่าเปิดหรือฉีกบรรจุภัณฑ์ก่อนการใช้งาน หรือห้ามนำอุปกรณ์ที่ทำการใช้แล้วมาทำการทดสอบซ้ำ

จะทำอย่างไรเมื่อผลจากชุดตรวจ ATK เป็นบวก

เมื่อรู้ว่าได้พบเชื้อ ผลเป็นบวก แยกตัวออกมา เพื่อกักตัว และรีบติดต่อสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อทางโรงพยาบาลจะได้จัดส่งรถมารับ เพื่อทำการตรวจหาเชื้อที่แน่นอนอีกครั้ง และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อไปอย่างไรก็ตามการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ ATK ซึ่งเป็นการตรวจในเบื้องต้น ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่ออกมารองรับปัญหาเหล่านี้ แม้จะได้ผลไม่ครบ 100 % แต่ก็สามารถใช้คัดกรองในเบื้องต้นได้ เพื่อให้รู้ว่าเราอยู่ในภาวะพบเชื้อแล้วหรือยัง และเข้าทำการรักษาอย่างไรต่อไป

ATK เมื่อใช้แล้วกำจัดอย่างไรให้ปลอดภัย

ชุดตรวจโควิด-19 ATK ที่ใช้แล้ว ถือเป็นขยะที่มีความเสี่ยง ต่อการแพร่กระจายเชื้อโรคต่อผู้จัดเก็บขยะหลังการตรวจเชื้อด้วย จึงจำเป็นให้คัดแยกขยะออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ขยะที่ไม่ได้ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งที่ใช้ทดสอบ เช่น เอกสารกำกับชุดตรวจ และกล่องบรรจุภัณฑ์ ขยะประเภทนี้ให้เก็บรวบรวมทิ้งถังขยะทั่วไปที่มีฝาปิดมิดชิดได้เลย
2. ขยะที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งที่ใช้ทดสอบ เช่น ตลับหรือแผ่นทดสอบ หลอดใส่น้ำยา ฝาหลอดหยด ไม้ Swap ขยะประเภทนี้ถือเป็นขยะที่มีความเสี่ยงสูง ต้องแยกจัดการจากขยะทั่วไป เพราะมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อโรคได้ จึงขอให้ผู้ที่ใช้ ATK กำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค หรือ ใส่ถุงขยะสีแดง 2 ชั้น มัดปากถุงด้วยเชือกให้แน่น แล้วฉีดพ่น สารโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 5,000 ppm หรือเตรียมจากน้ำยาฟอกขาว ผสมน้ำอัตราส่วน 1 : 10 หรือแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ บริเวณปากถุงด้วยสารฆ่าเชื้อ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โควิดโอไมครอน (Omicron) หรือ Covid -19 กลายพันธุ์ B.1.1.529

0
เชื้อ Covid -19 กลายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โควิดโอไมครอน (Omicron)
โควิดกลายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โอไมครอน (Omicron) คือ เชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่กลายพันธุ์อย่างรุนแรง มีตำแหน่งการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง มีการกลายพันธุ์ถึง 32 ครั้ง
เชื้อ Covid -19 กลายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โควิดโอไมครอน (Omicron)
โควิดกลายพันธุ์โอไมครอนเป็นเชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่รุนแรง มีตำแหน่งการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง มีการกลายพันธุ์ถึง 32 ครั้ง

โควิดโอไมครอน

โควิดกลายพันธุ์ B.1.1.529 หรือ โอไมครอน (Omicron) คือ เชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่กลายพันธุ์อย่างรุนแรงและองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็นสายพันธุ์ “น่ากังวล” มีตำแหน่งการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง มีการกลายพันธุ์ถึง 32 ครั้ง

แหล่งกำเนิด

โควิดสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) พบครั้งแรกจังหวัดเคาเต็ง (Gauteng) ของแอฟริกาใต้ แรกเริ่มมีชื่อในทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.1.529 ก่อนที่ WHO จะตั้งชื่อเรียกให้ตามลำดับตัวอักษรกรีกว่า โอไมครอน สามารถแพร่กระจายได้ในอากาศ เพียงแค่บริเวณนั้นมีผู้ติดเชื้อก็สามารถแพร่ไปสู่อีกคนที่อยู่บริเวณนั้นได้เช่นกัน

อาการผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน

  • มีไข้
  • น้ำมูกไหล
  • ไอ
  • เจ็บคอ
  • ปวดหัว

วัคซีนจะยังใช้ได้ผลอยู่หรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าวัคซีนที่มีอยู่อาจจัดการกับไวรัสกลายพันธุ์ได้ไม่ดีเท่าเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยป้องกันไม่ได้เลย เพราะวัคซีนที่มีสามารถช่วยให้คนไม่ล้มป่วยหนักจากโควิดสายพันธุ์หลักอื่น ๆ อย่างเดลตา อัลฟา เบตา และแกมมา

ควรบูสเตอร์โดสเมื่อใด

แพทย์แนะนำให้ไปฉีดวัคซีนให้ครบโดสตามที่แนะนำและบูสตามกำหนด เพื่อให้สามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ที่มีอยู่และที่กำลังจะเกิดขึ้น

ทำไมเชื้อถึงกลายพันธุ์เรื่อย ๆ

เชื้อไวรัสที่ผลิตสร้างตัวเองขึ้นซ้ำ ๆ แต่บางทีกระบวนการที่ผิดพลาดไม่สมบูรณ์แบบไปเปลี่ยนพันธุกรรมตัวเองทำให้เกิดเป็นเชื้อไวรัสแบบใหม่หรือที่กลายพันธุ์นั่นเองหากกระบวนนั้นช่วยให้ไวรัสดังกล่าวอยู่รอดได้ เชื้อกลายพันธุ์ก็จะแพร่ระบาดมากขึ้นยิ่งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มีโอกาสผลิตตัวเองขึ้นซ้ำ ๆ ในร่างกายมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจะเกิดขึ้นในคนไข้หนึ่งคนที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถกำจัดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว และให้เวลากับไวรัสตัวนั้นในการกลายพันธุ์

ข้อควรระวัง

ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านี้ ได้แก่ แอฟริกาใต้ นามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท เอสวาตินี มาลาวี และโมซัมบิก รัฐนิวเซาท์เวลส์ ต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และผู้ที่เดินทางมาจากที่อื่นให้กักตัวตามกฎหมายกำหนด

วิธีป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

1. รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากผู้อื่น (อย่างน้อย 1 เมตร) แม้ว่าผู้นั้นจะไม่ได้ป่วยก็ตาม
2. สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือเว้นระยะห่างไม่ได้
3. หลีกเลี่ยงพื้นที่ปิด หรือพื้นที่แออัด ไม่มีอาการสถ่ายเท
4. ล้างมือบ่อยๆ โดยใช้สบู่และน้ำ หรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมหลักเป็นแอลกอฮอล์
5. รับวัคซีนเมื่อได้รับสิทธิ์ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในพื้นที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน
6. รับวัคซีนให้ครบโดส และบูสเตอร์โดสตามกำหนดนัดหมาย
7. ปิดจมูกและปากด้วยข้อพับด้านในข้อศอกหรือกระดาษชำระเมื่อไอหรือจามเก็บตัวอยู่บ้านเมื่อรู้สึกไม่สบาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม