เข้าใจโรคเบาหวาน: โรคที่ต้องควบคุมตลอดชีวิต
โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลกลูโคสไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสาเหตุมาจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือร่างกายดื้อต่ออินซูลิน โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้หากดูแลอย่างเหมาะสม แม้ในระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจะไม่รู้สึกผิดปกติ แต่หากละเลย อาจเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงในระยะยาว เช่น โรคไต เบาหวานขึ้นตา หรือปลายประสาทเสื่อม
เป้าหมายการรักษาผู้ป่วยเบาหวานคืออะไร?
แพทย์มุ่งควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงใกล้เคียงค่าปกติ เพื่อชะลอการเกิดโรคแทรกซ้อนและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยแผนการดูแลประกอบด้วย:
การควบคุมอาหาร
- รับประทานอาหารให้เป็นเวลา
- ลดของหวาน แป้ง น้ำตาล และไขมันอิ่มตัว
- เลือกทานผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ
- ปรับพฤติกรรมการกินให้เป็นนิสัยตลอดชีวิต
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
- อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
- ส่งเสริมการเผาผลาญ ช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดระดับน้ำตาล
การพบแพทย์และใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานยา/ฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งเท่านั้น
- ห้ามหยุดยาเองแม้จะรู้สึกดีขึ้น
- ติดตามตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือนเพื่อตรวจประสิทธิภาพการควบคุมเบาหวาน
จิตใจและอารมณ์: ปัจจัยสำคัญในการดูแลเบาหวาน
อารมณ์และสุขภาพจิตส่งผลต่อความร่วมมือในการรักษาและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ป่วยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัย
ปฏิกิริยาทางอารมณ์ 4 รูปแบบที่พบในผู้ป่วยเบาหวาน
- ต่อต้าน: หงุดหงิด ไม่ยอมรับ ไม่ร่วมมือในการรักษา
- หลีกหนี: เปลี่ยนสถานพยาบาล หวังการรักษาที่หายขาด
- ปกปิด: แสร้งว่าไม่มีโรค เบี่ยงเบนพฤติกรรมเพียงเพื่อค่าตรวจในวันพบแพทย์ดูดี
- ยอมรับ: ผู้ป่วยที่มีสุขภาพจิตดี มีแรงสนับสนุนจากครอบครัวและพร้อมเปลี่ยนแปลง
วิธีช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับและร่วมมือในการรักษา
- อธิบายโรคและแผนการดูแลให้เข้าใจง่าย
- สนับสนุนเชิงบวกจากคนในครอบครัว
- แสดงให้เห็นตัวอย่างของผู้ที่ดูแลเบาหวานได้สำเร็จ
- เสริมกำลังใจโดยไม่ใช้อารมณ์บีบบังคับ
การดูแลสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วยเบาหวาน
การนอนหลับ ความเครียด และพฤติกรรมประจำวัน
- นอนหลับอย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความเครียดโดยฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมผ่อนคลาย
- หมั่นชั่งน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ควบคุมโรคยากขึ้น
การพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ แม้ไม่มีอาการ
ผู้ป่วยหลายคนละเลยการตรวจสุขภาพเมื่อไม่มีอาการผิดปกติ ทั้งที่โรคแทรกซ้อนมักเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว เช่น เบาหวานขึ้นตา จึงควรพบแพทย์อย่างน้อยทุก 3–6 เดือน พร้อมตรวจจอประสาทตา ไต และปลายประสาทประจำปี
การดูแลอวัยวะสำคัญเฉพาะด้านในผู้ป่วยเบาหวาน
การดูแลสุขภาพตา
- พบจักษุแพทย์ตรวจจอประสาทตาปีละ 1 ครั้ง
- หากมีอาการตามัว เห็นภาพซ้อน ควรรีบพบแพทย์ทันที
การดูแลสุขภาพฟัน
- แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟัน
- พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเพื่อตรวจเหงือกและฟัน
- หลีกเลี่ยงแผลในช่องปากเพราะติดเชื้อได้ง่าย
การดูแลผิวหนัง
- อาบน้ำและเช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะซอกพับ รักแร้ ขาหนีบ
- ใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นหากผิวแห้ง
- หากมีผื่น คัน ฝี หรือพุพอง ควรพบแพทย์ทันที
การดูแลสุขภาพเท้าแบบละเอียด
ผู้ป่วยเบาหวานมักมีปัญหาปลายประสาทเสื่อม ทำให้ความรู้สึกลดลง หากเกิดแผลอาจไม่รู้ตัว และแผลจะหายช้าเนื่องจากเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ
การดูแลเท้าควรทำดังนี้:
- ล้างเท้าทุกวัน เช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะซอกนิ้ว
- ตัดเล็บอย่างระมัดระวัง ไม่ตัดสั้นเกินไป
- ทาครีมหรือโรยแป้งฝุ่นบางๆ หากผิวแห้งหรือชื้นง่าย
- ตรวจเท้าทุกวัน มีแผล รอยแดง รอยแตก ควรพบแพทย์ทันที
- เลือกถุงเท้าผ้าฝ้ายระบายอากาศดี เปลี่ยนทุกวัน
- สวมรองเท้าที่นุ่ม กระชับ ไม่บีบเท้า และป้องกันแรงกระแทก
- ห้ามเดินเท้าเปล่า แม้ในบ้าน เพื่อป้องกันบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ไม่ควรเดินเท้าเปล่า หลีกเลี่ยงของมีคมทุกชนิด
- ไม่ควรวางกระเป๋าน้ำร้อนหรือแช่เท้าในน้ำร้อนโดยไม่ทดสอบอุณหภูมิก่อน
- ไม่ควรตัดตาปลาหรือหนังด้านเอง
- ห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาด เพราะทำให้หลอดเลือดตีบตันมากขึ้น
สรุป: ครอบครัวและผู้ป่วยต้องเดินไปด้วยกัน
การดูแลผู้ป่วยเบาหวานต้องอาศัยความเข้าใจทั้งจากตัวผู้ป่วยเองและบุคคลรอบข้าง ต้องมีความอดทนในการปรับพฤติกรรม และกำลังใจในการรักษา การดูแลไม่ใช่เพียงการให้ยาหรืออาหารเท่านั้น แต่รวมถึงการดูแลจิตใจ การติดตามอาการ และการใส่ใจในสุขภาพองค์รวมของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง หากทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ผู้ป่วยเบาหวานก็สามารถมีชีวิตที่สมดุล แข็งแรง และมีความสุขได้ในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน
Q1: ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมอาหารแม้ไม่มีอาการหรือไม่?
A: จำเป็นมาก เพราะแม้ไม่มีอาการ แต่ระดับน้ำตาลอาจสูงโดยไม่รู้ตัว หากไม่ควบคุมอาหารจะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น โรคไต เบาหวานขึ้นตา หรือปลายประสาทเสื่อม
Q2: ควรพาผู้ป่วยเบาหวานไปพบแพทย์บ่อยแค่ไหน?
A: ควรพบแพทย์ทุก 3–6 เดือน และตรวจจอประสาทตา ไต และเท้าอย่างน้อยปีละครั้ง แม้จะไม่มีอาการผิดปกติ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจไม่เจอจากอาการเพียงอย่างเดียว
Q3: ผู้ป่วยเบาหวานสามารถออกกำลังกายได้หรือไม่?
A: ได้และควรทำอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่ม หากมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจหรือปลายประสาทเสื่อม
Q4: การดูแลเท้าของผู้ป่วยเบาหวานต้องทำอย่างไร?
A: ต้องล้างเท้าทุกวัน เช็ดให้แห้งโดยเฉพาะซอกนิ้ว ห้ามเดินเท้าเปล่า และตรวจดูแผลหรือความผิดปกติทุกวัน ควรสวมรองเท้านุ่ม สบาย และไม่บีบเท้า หลีกเลี่ยงการตัดตาปลาด้วยตนเอง
Q5: ทำไมผู้ป่วยเบาหวานถึงมีปัญหาทางจิตใจได้ง่าย?
A: การรับรู้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแม้แต่การปฏิเสธโรค พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อการรักษา หากไม่ได้รับแรงสนับสนุนที่ดีจากครอบครัวและทีมแพทย์
ร่วมตอบคำถามกับเรา
[/vc_column_text]
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
ศาสตราจารย์ นพ. เทพ หิมะทองคำ และคณะบรรณาธิการ ศาสตราจารย์ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน และรองศาสตราจารย์ ภญ.ธิดา นิงสานนท์. ความรู้เรื่องเบาหวานฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์, 2557.
บุษบา จินดาวิจักษณ์. ยารักษาโรคเบาหวานใช้อย่างไร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล; 2553.