ทำไมผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสในเลือดอย่างผิดปกติ ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย หากควบคุมไม่ดี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคไต เส้นประสาทเสื่อม หรือภาวะกรดคั่งในเลือดจากคีโทน
ความสัมพันธ์ของอินซูลินกับระดับน้ำตาลในเลือด
อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ผลิตจากตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน หากร่างกายผลิตอินซูลินไม่พอ หรือใช้อินซูลินได้ไม่ดี (ภาวะดื้อต่ออินซูลิน) ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในภาวะเจ็บป่วย
เมื่อผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะเจ็บป่วย ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียด (Stress Hormones) เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลีน ซึ่งมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ร่างกายจะตอบสนองโดยเพิ่มการหลั่งอินซูลิน แต่ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถปรับตัวเช่นนั้นได้ ทำให้เสี่ยงต่อระดับน้ำตาลที่สูงจนถึงขั้นเป็นอันตราย
ภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโทนคืออะไร
ในภาวะที่ไม่มีอินซูลิน ร่างกายจะหันไปใช้ไขมันเป็นพลังงานแทน การเผาผลาญไขมันจะปล่อยสารคีโทนซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด หากสะสมมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะ “กรดคั่งในเลือดจากคีโทน (Diabetic Ketoacidosis, DKA)” โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งอาจทำให้หมดสติหรือเสียชีวิตได้
ข้อควรปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยเบาหวานไม่สบาย
การตรวจระดับน้ำตาลและคีโทนอย่างถูกต้อง
- ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก 4–6 ชั่วโมง
- ผู้ใช้ยาฉีดอินซูลิน ควรตรวจคีโทนในปัสสาวะทุก 4–6 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำตาล >240 มก./ดล.
ควรหยุดยาหรือไม่เมื่อเจ็บป่วย?
- ไม่ควรหยุดใช้ยาเบาหวานโดยเด็ดขาด เว้นแต่แพทย์สั่งให้หยุด
- อินซูลินควรฉีดตามขนาดเดิม แม้ไม่ได้ทานอาหารตามปกติ
การรับประทานอาหารและน้ำขณะป่วย
- รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก น้ำซุป
- จิบน้ำบ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- หากอาเจียนหรือท้องเสียมาก อาจต้องใช้ ORS หรือน้ำเกลือแร่
แนวทางการฉีดอินซูลินระหว่างเจ็บป่วย
วิธีเพิ่มปริมาณอินซูลินชั่วคราว
ผู้ที่ฉีดอินซูลินประจำ อาจต้องเพิ่มขนาดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Rapid-acting Insulin) ชั่วคราวในช่วงเจ็บป่วย โดยพิจารณาจากระดับน้ำตาลและคีโทนในปัสสาวะ
ควรฉีดอินซูลินเพิ่มเมื่อไรและเท่าไร?
- หากน้ำตาล >240 มก./ดล. หรือมีคีโทนในปัสสาวะมากกว่า 1 ระดับ
- เพิ่มอินซูลิน 20% จากปริมาณรวมปกติ ตัวอย่าง:
- ปกติฉีดรวมวันละ 40 ยูนิต → เพิ่ม 8 ยูนิต
- ฉีดทุก 4–6 ชั่วโมง จนกว่าระดับน้ำตาลจะอยู่ในช่วง 100–240 มก./ดล. และไม่พบคีโทนในปัสสาวะ
เมื่อไรควรไปโรงพยาบาลทันที
ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการต่อไปนี้:
- เจ็บป่วยนานเกิน 2–3 วันโดยไม่ดีขึ้น
- อาเจียนหรือท้องเสียมากทุก 4–6 ชั่วโมง
- รับประทานหรือดื่มได้น้อยมาก
- มีอาการอ่อนเพลียผิดปกติหรือหมดสติ
- เพิ่มขนาดอินซูลินแล้วยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ใน 1–2 วัน
เคล็ดลับการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
การจัดอาหารและเลือกชนิดอาหาร
- กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี
- หลีกเลี่ยงของหวาน น้ำอัดลม ขนมอบ
- เน้นผักสด โปรตีนไขมันต่ำ และไขมันดีจากปลาและถั่ว
- ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตแต่ละมื้อให้พอเหมาะ
การพักผ่อน การออกกำลังกาย และลดความเครียด
- นอนหลับให้ได้ 7–8 ชั่วโมงต่อคืน
- ออกกำลังกายระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ โยคะ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงความเครียด และฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น หายใจลึก สมาธิ
การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจ HbA1c ทุก 3 เดือน (เป้าหมาย <7%)
- ตรวจตา (จอตา) ทุกปีเพื่อป้องกันเบาหวานขึ้นตา
- ตรวจเท้า ไต และระดับไขมันในเลือดประจำปี
สรุป: ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยได้
การดูแลตนเองเป็นหัวใจของการควบคุมโรคเบาหวานอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่มีสุขภาพดีหรือเจ็บป่วย ผู้ป่วยเบาหวานควรรู้จักสังเกตอาการ รู้วิธีปรับขนาดยาอย่างปลอดภัย รักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม และขอคำปรึกษาแพทย์หากไม่แน่ใจ การมีวินัยในการดูแลตนเองไม่เพียงแต่ป้องกันภาวะแทรกซ้อน แต่ยังช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และมีความสุขได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลตนเองเมื่อเป็นเบาหวาน
Q1: เมื่อติดเชื้อหรือเจ็บป่วย ผู้ป่วยเบาหวานควรหยุดใช้ยาไหม?
A: ไม่ควรหยุดใช้ยาเบาหวานโดยพลการ แม้จะเจ็บป่วย หากไม่สามารถทานอาหารได้ ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการปรับขนาดยา โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาฉีดอินซูลิน จำเป็นต้องฉีดต่อเนื่องเพื่อป้องกันระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ
Q2: ทำไมผู้ป่วยเบาหวานถึงเสี่ยงภาวะกรดคั่งในเลือดเวลาไม่สบาย?
A: เมื่อร่างกายเจ็บป่วย จะหลั่งฮอร์โมนความเครียด (stress hormones) ซึ่งกระตุ้นตับให้สร้างน้ำตาลเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีอินซูลินไม่เพียงพอ ร่างกายจะใช้ไขมันเป็นพลังงานแทนน้ำตาล ทำให้เกิดคีโทนสะสมและเสี่ยงต่อภาวะกรดคั่งในเลือด (Diabetic Ketoacidosis)
Q3: เจาะเลือดตรวจน้ำตาลบ่อยแค่ไหนในช่วงป่วย?
A: ควรเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลทุก 4–6 ชั่วโมง และในผู้ที่ใช้ยาฉีดอินซูลินควรตรวจคีโทนในปัสสาวะทุก 4–6 ชั่วโมงเช่นกัน เพื่อประเมินความเสี่ยงและปรับการดูแลได้ทันเวลา
Q4: ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 240 mg/dL ควรทำอย่างไร?
A: ควรฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วเพิ่มเติมประมาณ 20% จากขนาดยาปกติ และตรวจซ้ำทุก 4–6 ชั่วโมง หากยังไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน ควรไปโรงพยาบาลทันที
Q5: ออกกำลังกายได้หรือไม่เมื่อระดับน้ำตาลไม่คงที่?
A: ไม่ควรออกกำลังกายหากระดับน้ำตาล >250 mg/dL หรือมีคีโทนในปัสสาวะ เพราะเสี่ยงภาวะน้ำตาลสูงรุนแรง ควรรอให้ระดับน้ำตาลอยู่ในช่วงปลอดภัยก่อนเริ่มกิจกรรมทางกาย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]
เอกสารอ้างอิง
ศาสตราจารย์ นพ. เทพ หิมะทองคำ และคณะบรรณาธิการ ศาสตราจารย์ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน และรองศาสตราจารย์ ภญ.ธิดา นิงสานนท์. ความรู้เรื่องเบาหวานฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์, 2557.
สิรินาถ วงศ์ภมรมนตรี. เราจะไม่เป็นเบาหวานในชาตินี้. กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559.