โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1), ชนิดที่ 2 (Type 2) และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes) แม้ในช่วงแรกอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่หากไม่ดูแลอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ซับซ้อนและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
ในบทความนี้ เราจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับ:
-
อาการเบื้องต้นที่ผู้ป่วยมักรู้สึกเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนแต่ละชนิด
-
วิธีดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการ
-
แนวทางป้องกันและควบคุม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
1. ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
สาเหตุที่พบบ่อย
-
การฉีดอินซูลินหรือรับประทานยาลดน้ำตาลที่มากเกินไป
-
ออกกำลังกายโดยไม่ทานอาหารรองท้อง
-
กินอาหารน้อยหรือผิดเวลาที่กำหนด
อาการแสดง
-
เหงื่อออก ตัวเย็น มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว
-
เวียนหัว มึนงง มึนศีรษะ
-
ปากชาหรือปลายนิ้วชาผิดปกติ
-
ตาพร่ามัว พูดไม่ชัด หรือเกิดอาการชัก / หมดสติ
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
-
รับประทานน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรืออาหารว่างมีน้ำตาล เช่น ขนมปังทาแยม
-
นั่งหรือนอนพักจนระดับน้ำตาลกลับปกติ (10–15 นาที)
-
หลังอาการดีขึ้น ควรทานอาหารมื้อหลักหรือของว่างตามมาตรฐาน
วิธีป้องกัน
-
ปฏิบัติตามแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องยา อาหาร และกิจกรรม
-
ตรวจระดับน้ำตาลก่อน–หลังออกกำลังกาย
-
เตรียมของว่างหรือขนมเล็ก ๆ ติดตัวเสมอ
-
ใส่บัตรผู้ป่วยเบาหวาน และแจ้งคนใกล้ชิดวิธีช่วยกรณีฉุกเฉิน
2. ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Postural Hypotension)
สาเหตุที่เกี่ยวข้อง
-
ร่างกายปรับความดันไม่ทันเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
-
การใช้ยาที่อาจลดความดันโลหิต เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาเบาหวานบางชนิด
อาการ
-
เวียนศีรษะ หน้ามืดเมื่อลุกจากที่นอนหรือยืน
-
อาจสูญเสียการทรงตัวหรือเป็นลม
วิธีป้องกันและดูแล
-
เปลี่ยนท่านั่ง–ยืนช้า ๆ
-
หลีกเลี่ยงการใช้งานยาที่ลดความดันโดยไม่จำเป็น
-
ปรับท่านอนโดยยกหัวเตียงประมาณ 30–45°
-
หากจำเป็น อาจใช้ยาเฉพาะตามคำปรึกษาแพทย์
3. ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Pseudomotor Dysfunction)
สาเหตุ
โรคเบาหวานอาจทำลายเส้นประสาทอัตโนมัติ ส่งผลต่อการควบคุมเหงื่อ
อาการ
-
เหงื่อออกมากผิดปกติทั้งใบหน้า ลำตัว และแขน
-
ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้
วิธีดูแล
-
หลีกเลี่ยงบริเวณร้อนหรืออากาศไม่ถ่ายเท
-
สวมเสื้อผ้าระบายอากาศ หลีกเลี่ยงการร้อนเกิน
4. ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในชาย (Impotence)
สาเหตุร่วม
-
เบาหวานทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาท
-
ปัจจัยอื่นร่วม เช่น ความเครียด ความดันสูง และสูบบุหรี่
อาการ
-
อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเพียงพอต่อการร่วมเพศ
วิธีดูแล
-
ปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยา (ไวอากร้า, ยาฉีด Cavergject)
-
หรือใช้เครื่องช่วยทางการแพทย์จากแพทย์
-
หลีกเลี่ยงบุหรี่ และดูแลสุขภาพโดยรวม
5. ภาวะระบบทางเดินอาหารผิดปกติ
5.1 หลอดอาหาร
-
กลืนลำบาก เจ็บหน้าอก หรืออักเสบ–ติดเชื้อรา
5.2 กระเพาะอาหารช้า
-
คลื่นไส้ แน่นท้อง เรือกรดแกว่ง เสี่ยงต่อการควบคุมน้ำตาลยากขึ้น
5.3 ถุงน้ำดี
-
เสี่ยงนิ่ว แพทย์อาจแนะนำผ่าตัดในรายจำเป็น
5.4 ระบบขับถ่าย
-
ท้องเสีย สลับกับท้องผูก หรือกลั้นไม่อยู่
-
แนวทางรักษา: ใช้ยาและฝึกกล้ามเนื้อหูรูดตามแพทย์
5.5 ปวดท้องโดยทั่วไป
สาเหตุอาจเกิดจากแผลในกระเพาะ ถุงน้ำดี หรือการอักเสบอื่น ๆ
6. ภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ (Bladder Dysfunction)
อาการ
-
ปัสสาวะไม่ถี่ หรือเบ่งนาน
-
ปัสสาวะหยุด–เริ่มไม่ได้ หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
วิธีดูแล
-
ฝึกพฤติกรรมการปัสสาวะ
-
รับยาควบคุมตามคำแนะนำแพทย์
-
ในบางรายอาจต้องสวนปัสสาวะ
7. ภาวะติดเชื้อต่าง ๆ (Infections)
ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงติดเชื้อง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานต่ำกว่าคนทั่วไป เช่น
7.1 ติดเชื้อผิวหนัง/เนื้อตาย
-
มีฝี อักเสบบ่อย ต้องรักษาเร่งด่วน
7.2 หูชั้นนอกติดเชื้อรุนแรง
-
เกิดจาก Pseudomonas aeruginosa ต้องรักษาเฉพาะ
7.3 กระเพาะปัสสาวะ-ท่อปัสสาวะอักเสบ
-
ปัสสาวะขัด, บ่อย, ขุ่น
7.4 ปอด (วัณโรค/ปอดอักเสบ)
-
ไอเรื้อรัง หรือมีไข้
การดูแลผู้ป่วยเบาหวานอย่างยั่งยืน
-
ควบคุมน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ – ทานยา และตรวจน้ำตาลตามแผน
-
ปรับพฤติกรรมชีวิต – เล่นกีฬา หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์
-
โภชนาการสมดุล – เน้นผัก ผลไม้ ไขมันดี ลดแป้ง – น้ำตาล
-
ตรวจสุขภาพประจำปี – ตรวจตา ไต หัวใจ และประเมินภาวะแทรกซ้อน
-
ฝึกสังเกตอาการผิดปกติ – และรีบปรึกษาแพทย์
บทสรุป
โรคเบาหวานอาจไม่มีอาการเฉียบพลันในช่วงแรก แต่เมื่อเข้าสู่ระยะยาว ผู้ป่วยอาจเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้ ผู้ที่เป็นเบาหวานควรเข้าใจและดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน ทั้งด้านการทานยา การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย การเฝ้าระวังสัญญาณผิดปกติ และพฤติกรรมชีวิตสุขภาพ เมื่อนำทุกส่วนผสมนี้มารวมกัน จะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีสุขภาพดี และลดผลกระทบจากโรคเรื้อรังได้อย่างยั่งยืน
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
Q1: ถ้ามีอาการใจสั่น เหงื่อออก ควรกินอะไรกรณีน้ำตาลต่ำ?
A: ทานน้ำตาลกลูโคสหรือขนมขบเคี้ยวหวาน เช่น น้ำผลไม้ขวดเล็ก ไม่ควรปล่อยให้ปัญหาลุกลาม และควรตรวจน้ำตาลซ้ำหลัง 15 นาที
Q2: น้ำตาลต่ำระหว่างออกกำลังกาย ป้องกันอย่างไร?
A: ทานของว่างที่มีแป้งหรือโปรตีน (เช่น ขนมปัง, กล้วย) ก่อนออกกำลังกาย และพกขนมกรณีฉุกเฉิน
Q3: ลุกแล้วเวียนหัว เป็นภาวะความดันต่ำตอนเปลี่ยนท่า ต้องทำอย่างไร?
A: ยืน–นั่งช้า หลีกเลี่ยงยาแรงที่อาจลดความดัน ปรับท่านอนชันสูงขึ้น 30–45°
Q4: ถ้าชายเบาหวานมีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศควรทำอย่างไร?
A: ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยา เช่นไวอากร้า และปรับพฤติกรรม เช่น ลดเครียด หยุดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย
Q5: เบาหวานเกี่ยวข้องกับอาการท้องผูกหรือเบ่งปัสสาวะลำบากไหม?
A: ใช่—เบาหวานอาจทำให้ลำไส้และกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ มีแนวทางฝึก และใช้ยาสมดุลตามอาการที่เป็น
Q6: วิธีป้องกันการติดเชื้อนอกจากยาคืออะไร?
A: รักษาน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ ดื่มน้ำเพียงพอ รักษาสุขอนามัย รักษาแผลให้สะอาด และพบแพทย์เมื่อมีการอักเสบหรือไข้
ร่วมตอบคำถามกับเรา
[/vc_column_text]
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์, 2557.
แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน, 2531.