ชนิดของโรคเบาหวานและวิธีป้องกันเบาหวาน: เข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางดูแลสุขภาพ

0
13660
ชนิดของเบาหวานและการป้องกันเบาหวาน
โรคเบาหวาน คือ โรคภัยไข้เจ็บที่คนสมัยนี้ตรวจพบและเป็นกันมากขึ้น เนื่องจากสภาวะสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา จนลืมเอาใจใส่สุขภาพของตัวเอง

โรคเบาหวานคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) คือ ภาวะเรื้อรังที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดได้อย่างเหมาะสม โดยอาจเกิดจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการนำน้ำตาลจากอาหารเข้าสู่เซลล์เพื่อสร้างพลังงาน เมื่อร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลินหรือตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยลง ระดับน้ำตาลจึงค้างอยู่ในกระแสเลือดและก่อให้เกิดโรคเบาหวาน

ความสำคัญของอินซูลินกับโรคเบาหวาน

ฮอร์โมนอินซูลินถูกผลิตจากเซลล์เบต้าในตับอ่อน มีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการช่วยให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน หากอินซูลินไม่เพียงพอหรือไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ ส่งผลให้น้ำตาลสะสมในเลือดและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ เบาหวานขึ้นตา และไตวาย

ชนิดของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่:

เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)

เป็นภาวะที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย มักพบในเด็กและวัยรุ่น เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อน อาการที่พบบ่อยได้แก่ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย และอาจหมดสติหากไม่ได้รับการรักษา วิธีรักษาหลักคือ การฉีดอินซูลินร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย

เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)

พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ร่างกายยังผลิตอินซูลินได้แต่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ภาวะดื้อต่ออินซูลิน) สาเหตุหลักมาจากกรรมพันธุ์ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม และโรคอ้วน การควบคุมโรคเน้นที่การปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาเม็ดลดน้ำตาลในเลือดตามดุลยพินิจของแพทย์

เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)

เกิดเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ โดยมักตรวจพบในช่วงสัปดาห์ที่ 24–28 ของการตั้งครรภ์ สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่รบกวนการทำงานของอินซูลิน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักหายเป็นปกติหลังคลอด แต่บางรายอาจมีความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเบาหวาน

พฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
  • การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำ
  • การไม่ออกกำลังกาย
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

พันธุกรรมและเชื้อชาติ

  • คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานจะมีโอกาสสูงกว่า
  • คนเชื้อสายเอเชียมักมีภาวะไขมันสะสมที่หน้าท้องมาก ทำให้ดื้อต่ออินซูลินได้ง่าย

ภาวะเบาหวานแฝง: สัญญาณเตือนก่อนเบาหวานเต็มขั้น

เบาหวานแฝง (Prediabetes) คือ ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวานเต็มรูปแบบ หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะมีโอกาสสูงในการพัฒนาเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ภายในไม่กี่ปี การตรวจ OGTT (Oral Glucose Tolerance Test) สามารถใช้วินิจฉัยภาวะนี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ระดับน้ำตาลในเลือดที่ใช้ในการวินิจฉัยเบาหวาน

ประเภทการตรวจ ค่าในเลือด (มก./ดล.) ความหมาย
ก่อนอาหาร ≥126 เป็นเบาหวาน
ก่อนอาหาร 100–125 เสี่ยงเบาหวาน
หลังอาหาร 2 ชม. ≥200 เป็นเบาหวาน
หลังอาหาร 2 ชม. 140–199 ควรตรวจเพิ่มเติม

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน

การควบคุมน้ำหนัก

ภาวะอ้วนสัมพันธ์กับการดื้อต่ออินซูลินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะไขมันหน้าท้องซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อเบาหวานชนิดที่ 2 การลดน้ำหนักลง 5–7% ของน้ำหนักตัวสามารถลดความเสี่ยงโรคเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญ

การเลือกอาหารที่เหมาะสม

อาหารเพื่อสุขภาพควรมีไฟเบอร์สูง ดัชนีน้ำตาลต่ำ และมีไขมันดี เช่น:

  • ข้าวซ้อมมือ ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์
  • ผักหลากสีและผลไม้สด
  • ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ วอลนัต
  • ปลาและไขมันไม่อิ่มตัว

ควรหลีกเลี่ยง:

  • น้ำตาลทรายขาว และของหวาน
  • น้ำอัดลมและเครื่องดื่มรสหวาน
  • อาหารทอดและไขมันอิ่มตัวจากสัตว์

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน และลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน

การควบคุมอาหาร (โภชนาบำบัด)

อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรมีการจัดสรรพลังงานที่เหมาะสม ได้แก่:

  • คาร์โบไฮเดรต 50% (เน้นธัญพืชไม่ขัดสี)
  • โปรตีน 15–20% (เช่น เต้าหู้ ปลา ไข่ขาว)
  • ไขมัน 30% (หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว)

ผู้ป่วยที่ต้องการลดน้ำหนักควรได้รับพลังงานวันละ 15–20 kcal/กก.

การใช้ยาและการติดตามแพทย์

  • กลุ่มยาลดระดับน้ำตาล เช่น Metformin, Sulfonylureas
  • อินซูลิน (กรณีควบคุมด้วยยาไม่ได้)
  • ต้องตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ทุก 3 เดือน และตรวจตา ไต เท้าอย่างสม่ำเสมอ

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิตสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

  1. รับประทานอาหารเป็นเวลา ควบคุมปริมาณให้เหมาะสม
  2. หลีกเลี่ยงอาหารแป้ง น้ำตาล และไขมันทรานส์
  3. ออกกำลังกายประจำวัน เช่น เดินเร็ว โยคะ
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  5. หมั่นตรวจสุขภาพและพบแพทย์ตามนัด
  6. ไม่หยุดยาเองหรือลดขนาดยาโดยพลการ

สรุป: การจัดการโรคเบาหวานให้ยั่งยืน

แม้โรคเบาหวานจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากผู้ป่วยมีวินัยในการดูแลตัวเอง ทั้งด้านอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยาอย่างเหมาะสม และการติดตามอาการร่วมกับแพทย์อย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน ผู้ที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวานก็ควรปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันไว้ก่อน เพราะการดูแลสุขภาพแต่เนิ่นๆ คือการป้องกันโรคที่ดีที่สุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน (FAQ)

Q1: โรคเบาหวานสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

A: โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ด้วยการปรับพฤติกรรม การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Q2: ความแตกต่างระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 คืออะไร?

A: เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย ส่วนชนิดที่ 2 เกิดจากการที่ร่างกายผลิตอินซูลินได้แต่ใช้งานได้ไม่เต็มที่ เบาหวานชนิดที่ 1 มักเกิดในเด็กหรือวัยรุ่น ขณะที่ชนิดที่ 2 พบบ่อยในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนหรือมีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม

Q3: เบาหวานแฝงอันตรายหรือไม่?

A: เบาหวานแฝงถือเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า ผู้ที่มีภาวะนี้ยังไม่เป็นเบาหวานเต็มขั้น แต่หากไม่ปรับพฤติกรรมก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ภายในไม่กี่ปี จึงควรเริ่มควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และตรวจติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

Q4: อาหารอะไรที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง?

A: ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น เครื่องดื่มหวาน ขนมหวาน ของทอดที่ใช้น้ำมันซ้ำ ไขมันจากสัตว์ และอาหารแปรรูปที่มีดัชนีน้ำตาลสูง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดภาวะแทรกซ้อน

Q5: หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานจะมีผลต่อทารกหรือไม่?

A: เบาหวานขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลให้ทารกตัวใหญ่เกินเกณฑ์ เสี่ยงต่อภาวะคลอดยาก และเพิ่มโอกาสเกิดเบาหวานในแม่และลูกในอนาคต ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลระหว่างตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์ม 2557.

สมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้านว 2531.
งานวิจัยเกาหลี [เว็บไซต์]. เข้าถึงจาก www.diabassocthai.org.

[/vc_column][/vc_row]