เบาหวานลงไต (Diabetic Kidney Disease; DKD) หรือเรียกว่า diabetic nephropathy เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคเบาหวานที่ส่งผลต่อการทำงานของไต โดยมักจะเริ่มต้นจาก การกรองเลือดเกินปกติ (hyperfiltration) และมีปริมาณโปรตีนรั่วในปัสสาวะ โดยหากวางใจไม่ตรวจหรือควบคุมระดับน้ำตาลให้เข้มงวดดีเพียงพอ ก็อาจนำไปสู่ภาวะ ไตวายเรื้อรัง (end-stage renal disease; ESRD) ที่ต้องล้างไตหรือปลูกถ่ายไตในที่สุด
สาเหตุของเบาหวานลงไต
-
น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง
น้ำตาล (glucose) ที่สูงสะสมในเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดขนาดเล็ก (microvasculature) ในไตค่อยๆ เสื่อม จนการกรองการทำงานของไตผิดปกติ -
ความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมความดันไม่ดี ยิ่งเร่งกระบวนการเสื่อมของไต -
พันธุกรรมและเชื้อชาติ
มีงานวิจัยระบุว่า กลุ่มเชื้อชาติ เช่น แอฟริกัน-อเมริกัน มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปในการเกิด DKD
ระยะการเกิดโรคเบาหวานลงไต 5 ระยะ
อ้างอิงจากงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ (เช่น PubMed, NCBI) พบว่า DKD แบ่งได้เป็น 5 ระยะ:
-
ระยะที่ 1 – Hyperfiltration และ Hypertrophy
-
เริ่มตั้งแต่เป็นเบาหวาน
-
ไตกังวลเลือดเร็วขึ้น (GFR สูงเกินปกติ) และขนาดไตใหญ่ขึ้น
-
ยังไม่มีอาการหรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ
-
-
ระยะที่ 2 – Silent Morphologic Lesions
-
ผ่านไปหลายปีหลังเริ่มเป็น
-
มีความผิดปกติทางเนื้อเยื่อ แต่ยังไม่มีโปรตีนรั่วหรือแสดงอาการ
-
-
ระยะที่ 3 – Microalbuminuria
-
หลังเป็นเบาหวาน 10–15 ปี
-
ตรวจพบโปรตีน (เฉพาะ microalbumin) ในปัสสาวะ
-
ความดันเริ่มสูงขึ้น แต่ GFR ยังปกติ
-
-
ระยะที่ 4 – Macroalbuminuria & Declining GFR
-
ปัสสาวะมีโปรตีนเยอะ (มัก >0.5 g/day)
-
ไตเริ่มเสื่อม GFR ลดลง
-
เกิดอาการ เช่น ซีด คลื่นไส้ เหนื่อยง่าย
-
-
ระยะที่ 5 – ESRD (End-Stage Renal Disease)
-
ไตกำลังวายเฉียบพลัน
-
ต้องฟอกเลือดหรือล้างไต (peritoneal or hemodialysis)
-
หากไม่รักษาอาจเสียชีวิตได้
-
วิธีวินิจฉัย DKD
-
ตรวจปัสสาวะ Albumin-Creatinine Ratio (ACR): เมื่อ >30 mg/g ถือว่ามี microalbuminuria (ระยะ 3)
-
ตรวจเลือด Serum Creatinine + eGFR เพื่อประเมินค่าการกรองของไต
-
ตรวจความดันโลหิต, ตรวจไขมัน (LDL, HDL, TG), ตรวจน้ำตาล (A1C)
-
หากขั้น 3–4 ควรส่งต่อพบผู้เชี่ยวชาญด้านไต (nephrologist)
แนวทางป้องกันและรักษา
-
ควบคุมระดับน้ำตาล (Glycemic Control)
-
ตั้งเป้า HbA1C อยู่ระหว่าง 6.5–7% (แต่ปรับตามอายุ-สุขภาพ)
-
ใช้ยาเบาหวานประเภท metformin, SGLT2 inhibitors (เช่น empagliflozin, dapagliflozin), GLP‑1 agonists (เช่น semaglutide – Ozempic)
-
-
ควบคุมความดันโลหิต (Blood Pressure)
-
เป้าหมาย <130/80 mmHg
-
ใช้ยากลุ่ม ACE inhibitors หรือ ARBs เช่น enalapril, losartan
-
-
ควบคุมไขมันในเลือด (Lipid Management)
-
ใช้ statins ลด LDL และวิตามิน D, กรดไขมันโอเมกา‑3
-
ชะลอการเสื่อมของไตและลดความเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ
-
-
จำกัดโซเดียม & โปรตีน
-
โซเดียม <2,000 mg/วัน (ตาม KDIGO)
-
โปรตีน ~0.6 g/kg/day ในระยะไตเสื่อม
-
-
ดำเนินวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ
-
ลดน้ำหนัก (หากอ้วน), ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, งดบุหรี่, ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-
-
ตรวจติดตามสม่ำเสมอ
-
ตรวจ ACR + eGFR อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
-
เพิ่มความถี่หากมีโปรตีนรั่ว, ความดันสูง หรืออยู่ในระยะ 3–4
-
-
เตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ
-
ถ้าภาวะไตใกล้วาย (<30 mL/min/1.73 m²) ต้องเตรียมตัววางแผนฟอกเลือดหรือปลูกถ่ายไต
-
ยาและนวัตกรรมล่าสุดป้องกัน DKD
-
SGLT2 inhibitors: ลด progression ของ CKD >30%, ลด Albuminuria และลดอัตราการเสียชีวิตจากหัวใจ
-
GLP‑1 receptor agonists (เช่น Ozempic/semaglutide): ลดความเสี่ยง ESRD ด้านหัวใจ & ไต 24%
-
ACE inhibitors / ARBs: หยุดการลุกลามของโปรตีนรั่ว
-
ยาอื่นๆ: Mineralocorticoid receptor antagonists, กรดไข่ปลาโอเมกา‑3 และยาลดฟอสฟอรัสในไตเสื่อม
แนวโน้มระยะยาว & พยากรณ์โรค
-
ราว 20–40% ของผู้ป่วยเบาหวานจะพัฒนาเป็น microalbuminuria ภายใน 10–15 ปี
-
SGLT2 inhibitors และ GLP‑1 agonists ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายและชะลอ DKD ได้ชัดเจน
-
การตรวจเจอเร็ว + การดูแลรักษาอย่างเข้มงวดสามารถลดความจำเป็นล้างไตและการผ่าตัดปลูกไตได้มาก
สรุป
-
เบาหวานลงไต (DKD) เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับความดันโลหิตสูงที่ทำลายระบบกรองเลือดของไตในระยะยาว
-
จำแนกระยะได้เป็น 5 ระยะ ตั้งแต่ไตกังวลเลือดเกิน → ไตเสื่อม → ไตวายระยะสุดท้าย
-
การตรวจวินิจฉัย ใช้ Urine ACR และ eGFR เป็นหลัก ร่วมกับตรวจความดันและระดับน้ำตาลในเลือด
-
แนวทางป้องกันและรักษา: ควบคุม น้ำตาล, ความดัน, โซเดียม, โปรตีน, ใช้ยา SGLT2 inhibitors, GLP‑1 agonists, และ ตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ
-
ยารักษาสมัยใหม่ เช่น SGLT2i, GLP‑1i, ACE inhibitors ช่วยลดการเสื่อมของไต ชะลอการเข้าสู่ภาวะไตวาย
-
หากตรวจเจอเร็ว และมีการปรับพฤติกรรม + รับการรักษาอย่างจริงจัง จะสามารถชะลอความเสื่อมของไต ยืดเวลาการล้างไตออกไปได้ หรือในบางรายอาจหลีกเลี่ยงการล้างไตได้เลย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: เบาหวานลงไตกับไตวายเฉียบพลันต่างกันอย่างไร?
A: DKD เกิดจากเบาหวานสะสมร้ายแรงเป็นเวลาหลายปี จนไตเสื่อมเป็นเรื้อรัง (chronic). ส่วนไตวายเฉียบพลันมักเกิดจากเลือดไปเลี้ยงไตไม่พอหรือพิษจากยา ซึ่งอาจกลับมาทำงานปกติได้หากแก้ไขทัน
Q2: สามารถหายจากเบาหวานลงไตได้หรือไม่?
A: เบื้องต้นหากรักษาเร็วในระยะ 1–3 และควบคุมระดับน้ำตาล–ความดันดี แม้ยังไม่หาย 100% แต่สามารถ ชะลอไม่ให้แย่ลง ได้มาก หากเข้าสู่ระยะ 4–5 อาจเข้าสู่ภาวะต้องล้างไตหรือปลูกถ่าย
Q3: ตรวจอะไรบ้างเพื่อวินิจฉัยเบาหวานลงไต?
A: ตรวจ urine ACR (microalbuminuria), ตรวจเลือด Creatinine + eGFR, ตรวจความดัน–ไขมัน, ตรวจน้ำตาล (HbA1C)
Q4: ยา SGLT2 และ GLP‑1 มีบทบาทอย่างไร?
A: SGLT2i ช่วยลด proteinuria, เพิ่ม natriuresis และลด progression ของ DKD ได้
GLP‑1 agonists เช่น semaglutide (Ozempic) ลดความเสี่ยง ESRD และเหตุการณ์หัวใจ-ไต ลดลง ~24%
Q5: ควรตรวจติดตามโรคนี้บ่อยแค่ไหน?
A: ระยะปกติ—ตรวจ ACR + eGFR ปีละครั้ง
หากมีโปรตีนรั่วหรือความดันสูง—ควรตรวจ 2–4 ครั้งต่อปี โดยเฉพาะช่วงแรกพบ DKD
Q6: ระวังอะไรหากต้องล้างไต?
A: ต้องรักษาความดันดี, ควบคุมเกลือ–โซเดียม–โปรตีน, ป้องกันการติดเชื้อ และเตรียมใจเรื่องการทำ Hemodialysis หรือ Peritoneal Dialysis ร่วมกับทีม Nephrology
ร่วมตอบคำถามกับเรา
[/vc_column_text]
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์, 2557.
แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน, 2531.
ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.
Dr.Per Grinsted (2005-03-02). “Kidney failure (renal failure with uremia, or azotaemia)”. 2009-05-26.