เบาหวานลงไต คืออะไร? รู้จัก Diabetic Kidney Disease (DKD) 5 ระยะ + แนวทางรักษา

0
13740
โรคเบาหวานลงไตคืออะไร (Diabetic Kidney Disease, DKD)
ไตทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ คอยควบคุมระดับเกลือแร่ต่างๆ ให้เป็นปกติ

เบาหวานลงไต (Diabetic Kidney Disease; DKD) หรือเรียกว่า diabetic nephropathy เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคเบาหวานที่ส่งผลต่อการทำงานของไต โดยมักจะเริ่มต้นจาก การกรองเลือดเกินปกติ (hyperfiltration) และมีปริมาณโปรตีนรั่วในปัสสาวะ โดยหากวางใจไม่ตรวจหรือควบคุมระดับน้ำตาลให้เข้มงวดดีเพียงพอ ก็อาจนำไปสู่ภาวะ ไตวายเรื้อรัง (end-stage renal disease; ESRD) ที่ต้องล้างไตหรือปลูกถ่ายไตในที่สุด

สาเหตุของเบาหวานลงไต

  1. น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง
    น้ำตาล (glucose) ที่สูงสะสมในเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดขนาดเล็ก (microvasculature) ในไตค่อยๆ เสื่อม จนการกรองการทำงานของไตผิดปกติ

  2. ความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
    ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมความดันไม่ดี ยิ่งเร่งกระบวนการเสื่อมของไต

  3. พันธุกรรมและเชื้อชาติ
    มีงานวิจัยระบุว่า กลุ่มเชื้อชาติ เช่น แอฟริกัน-อเมริกัน มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปในการเกิด DKD

ระยะการเกิดโรคเบาหวานลงไต 5 ระยะ

อ้างอิงจากงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ (เช่น PubMed, NCBI) พบว่า DKD แบ่งได้เป็น 5 ระยะ:

  1. ระยะที่ 1 – Hyperfiltration และ Hypertrophy

    • เริ่มตั้งแต่เป็นเบาหวาน

    • ไตกังวลเลือดเร็วขึ้น (GFR สูงเกินปกติ) และขนาดไตใหญ่ขึ้น

    • ยังไม่มีอาการหรือโปรตีนรั่วในปัสสาวะ

  2. ระยะที่ 2 – Silent Morphologic Lesions

    • ผ่านไปหลายปีหลังเริ่มเป็น

    • มีความผิดปกติทางเนื้อเยื่อ แต่ยังไม่มีโปรตีนรั่วหรือแสดงอาการ

  3. ระยะที่ 3 – Microalbuminuria

    • หลังเป็นเบาหวาน 10–15 ปี

    • ตรวจพบโปรตีน (เฉพาะ microalbumin) ในปัสสาวะ

    • ความดันเริ่มสูงขึ้น แต่ GFR ยังปกติ

  4. ระยะที่ 4 – Macroalbuminuria & Declining GFR

    • ปัสสาวะมีโปรตีนเยอะ (มัก >0.5 g/day)

    • ไตเริ่มเสื่อม GFR ลดลง

    • เกิดอาการ เช่น ซีด คลื่นไส้ เหนื่อยง่าย

  5. ระยะที่ 5 – ESRD (End-Stage Renal Disease)

    • ไตกำลังวายเฉียบพลัน

    • ต้องฟอกเลือดหรือล้างไต (peritoneal or hemodialysis)

    • หากไม่รักษาอาจเสียชีวิตได้

วิธีวินิจฉัย DKD

  • ตรวจปัสสาวะ Albumin-Creatinine Ratio (ACR): เมื่อ >30 mg/g ถือว่ามี microalbuminuria (ระยะ 3)

  • ตรวจเลือด Serum Creatinine + eGFR เพื่อประเมินค่าการกรองของไต

  • ตรวจความดันโลหิต, ตรวจไขมัน (LDL, HDL, TG), ตรวจน้ำตาล (A1C)

  • หากขั้น 3–4 ควรส่งต่อพบผู้เชี่ยวชาญด้านไต (nephrologist)

แนวทางป้องกันและรักษา

  1. ควบคุมระดับน้ำตาล (Glycemic Control)

    • ตั้งเป้า HbA1C อยู่ระหว่าง 6.5–7% (แต่ปรับตามอายุ-สุขภาพ)

    • ใช้ยาเบาหวานประเภท metformin, SGLT2 inhibitors (เช่น empagliflozin, dapagliflozin), GLP‑1 agonists (เช่น semaglutide – Ozempic)

  2. ควบคุมความดันโลหิต (Blood Pressure)

    • เป้าหมาย <130/80 mmHg

    • ใช้ยากลุ่ม ACE inhibitors หรือ ARBs เช่น enalapril, losartan

  3. ควบคุมไขมันในเลือด (Lipid Management)

    • ใช้ statins ลด LDL และวิตามิน D, กรดไขมันโอเมกา‑3

    • ชะลอการเสื่อมของไตและลดความเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ

  4. จำกัดโซเดียม & โปรตีน

    • โซเดียม <2,000 mg/วัน (ตาม KDIGO)

    • โปรตีน ~0.6 g/kg/day ในระยะไตเสื่อม

  5. ดำเนินวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ

    • ลดน้ำหนัก (หากอ้วน), ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, งดบุหรี่, ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  6. ตรวจติดตามสม่ำเสมอ

    • ตรวจ ACR + eGFR อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

    • เพิ่มความถี่หากมีโปรตีนรั่ว, ความดันสูง หรืออยู่ในระยะ 3–4

  7. เตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ

    • ถ้าภาวะไตใกล้วาย (<30 mL/min/1.73 m²) ต้องเตรียมตัววางแผนฟอกเลือดหรือปลูกถ่ายไต

ยาและนวัตกรรมล่าสุดป้องกัน DKD

  • SGLT2 inhibitors: ลด progression ของ CKD >30%, ลด Albuminuria และลดอัตราการเสียชีวิตจากหัวใจ

  • GLP‑1 receptor agonists (เช่น Ozempic/semaglutide): ลดความเสี่ยง ESRD ด้านหัวใจ & ไต 24%

  • ACE inhibitors / ARBs: หยุดการลุกลามของโปรตีนรั่ว

  • ยาอื่นๆ: Mineralocorticoid receptor antagonists, กรดไข่ปลาโอเมกา‑3 และยาลดฟอสฟอรัสในไตเสื่อม

แนวโน้มระยะยาว & พยากรณ์โรค

  • ราว 20–40% ของผู้ป่วยเบาหวานจะพัฒนาเป็น microalbuminuria ภายใน 10–15 ปี

  • SGLT2 inhibitors และ GLP‑1 agonists ช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายและชะลอ DKD ได้ชัดเจน

  • การตรวจเจอเร็ว + การดูแลรักษาอย่างเข้มงวดสามารถลดความจำเป็นล้างไตและการผ่าตัดปลูกไตได้มาก

สรุป

  • เบาหวานลงไต (DKD) เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับความดันโลหิตสูงที่ทำลายระบบกรองเลือดของไตในระยะยาว

  • จำแนกระยะได้เป็น 5 ระยะ ตั้งแต่ไตกังวลเลือดเกิน → ไตเสื่อม → ไตวายระยะสุดท้าย

  • การตรวจวินิจฉัย ใช้ Urine ACR และ eGFR เป็นหลัก ร่วมกับตรวจความดันและระดับน้ำตาลในเลือด

  • แนวทางป้องกันและรักษา: ควบคุม น้ำตาล, ความดัน, โซเดียม, โปรตีน, ใช้ยา SGLT2 inhibitors, GLP‑1 agonists, และ ตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ

  • ยารักษาสมัยใหม่ เช่น SGLT2i, GLP‑1i, ACE inhibitors ช่วยลดการเสื่อมของไต ชะลอการเข้าสู่ภาวะไตวาย

  • หากตรวจเจอเร็ว และมีการปรับพฤติกรรม + รับการรักษาอย่างจริงจัง จะสามารถชะลอความเสื่อมของไต ยืดเวลาการล้างไตออกไปได้ หรือในบางรายอาจหลีกเลี่ยงการล้างไตได้เลย

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: เบาหวานลงไตกับไตวายเฉียบพลันต่างกันอย่างไร?
A: DKD เกิดจากเบาหวานสะสมร้ายแรงเป็นเวลาหลายปี จนไตเสื่อมเป็นเรื้อรัง (chronic). ส่วนไตวายเฉียบพลันมักเกิดจากเลือดไปเลี้ยงไตไม่พอหรือพิษจากยา ซึ่งอาจกลับมาทำงานปกติได้หากแก้ไขทัน

Q2: สามารถหายจากเบาหวานลงไตได้หรือไม่?
A: เบื้องต้นหากรักษาเร็วในระยะ 1–3 และควบคุมระดับน้ำตาล–ความดันดี แม้ยังไม่หาย 100% แต่สามารถ ชะลอไม่ให้แย่ลง ได้มาก หากเข้าสู่ระยะ 4–5 อาจเข้าสู่ภาวะต้องล้างไตหรือปลูกถ่าย

Q3: ตรวจอะไรบ้างเพื่อวินิจฉัยเบาหวานลงไต?
A: ตรวจ urine ACR (microalbuminuria), ตรวจเลือด Creatinine + eGFR, ตรวจความดัน–ไขมัน, ตรวจน้ำตาล (HbA1C)

Q4: ยา SGLT2 และ GLP‑1 มีบทบาทอย่างไร?
A: SGLT2i ช่วยลด proteinuria, เพิ่ม natriuresis และลด progression ของ DKD ได้
GLP‑1 agonists เช่น semaglutide (Ozempic) ลดความเสี่ยง ESRD และเหตุการณ์หัวใจ-ไต ลดลง ~24%

Q5: ควรตรวจติดตามโรคนี้บ่อยแค่ไหน?
A: ระยะปกติ—ตรวจ ACR + eGFR ปีละครั้ง
หากมีโปรตีนรั่วหรือความดันสูง—ควรตรวจ 2–4 ครั้งต่อปี โดยเฉพาะช่วงแรกพบ DKD

Q6: ระวังอะไรหากต้องล้างไต?
A: ต้องรักษาความดันดี, ควบคุมเกลือ–โซเดียม–โปรตีน, ป้องกันการติดเชื้อ และเตรียมใจเรื่องการทำ Hemodialysis หรือ Peritoneal Dialysis ร่วมกับทีม Nephrology

ร่วมตอบคำถามกับเรา

[/vc_column_text]

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: หจก. อรุณการพิมพ์, 2557.

แก้ว กังสดาลอำไพ. ความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับอาหาร [เว็บไซต์]. กรุงเทพฯ. หมอชาวบ้าน, 2531.

ประสาร เปรมะสกุล, พลเอก. คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มสอง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2554. 416 หน้า. 1. เลือด – การตรวจ I.ชื่อเรื่อง. 616.07561 ISBN 978-974-9608-49-4.

Dr.Per Grinsted (2005-03-02). “Kidney failure (renal failure with uremia, or azotaemia)”. 2009-05-26.

[/vc_column][/vc_row]