รู้จัก ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันที่ต้องใส่ใจเพื่อสุขภาพที่ดี

0
153075
ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) คืออะไร?
ไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันชนิดที่มีทั้งประโยชน์และโทษกับร่างกาย หากบริโภคอาหารในแต่ละมื้อด้วยปริมาณที่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย

รู้จัก ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันที่ต้องใส่ใจเพื่อสุขภาพที่ดี

คำว่า “ไขมันในเลือด” ไม่ได้หมายถึงแค่คอเลสเตอรอลเพียงอย่างเดียว เพราะยังมีอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มักถูกมองข้ามไป นั่นคือ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ซึ่งเป็นไขมันที่ร่างกายใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองในระยะสั้นและยาว หากมีในระดับที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ตามปกติ แต่ถ้ามีมากเกินไป ไตรกลีเซอไรด์กลับกลายเป็น ภัยเงียบ ที่เพิ่มความเสี่ยงของหลายโรคร้าย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ตับอ่อนอักเสบ และแม้กระทั่ง ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเบาหวานชนิดที่ 2

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจไตรกลีเซอไรด์ให้ครบทุกมิติ ตั้งแต่บทบาทในร่างกาย ความต่างจากไขมันชนิดอื่น แหล่งที่มาทั้งจากอาหารและกระบวนการในร่างกาย ปัจจัยที่ทำให้ค่าพุ่งสูง และที่สำคัญคือ แนวทางการควบคุมแบบเข้าใจง่าย ที่คุณสามารถลงมือทำได้เอง ไม่ว่าจะเพื่อป้องกันโรคในอนาคต หรือเพื่อดูแลสุขภาพในภาพรวมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

เมื่อพร้อมแล้ว เราจะเริ่มจากคำถามพื้นฐานที่สุด — “ไตรกลีเซอไรด์คืออะไร?”

ไตรกลีเซอไรด์คืออะไร? ความหมายและบทบาทในร่างกาย

ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) คือรูปแบบของไขมันที่พบได้มากที่สุดในร่างกายมนุษย์และในอาหาร เป็นโมเลกุลที่ประกอบด้วย กรดไขมัน 3 ตัว เชื่อมกับ กลีเซอรอล 1 ตัว จึงได้ชื่อว่า “ไตร” + “กลีเซอไรด์” โดยหน้าที่หลักของมันคือ เก็บสะสมพลังงาน เพื่อให้ร่างกายสามารถนำมาใช้ในช่วงที่ไม่ได้รับอาหาร หรือเมื่อพลังงานจากกลูโคสไม่เพียงพอ

ร่างกายจะเปลี่ยนพลังงานส่วนเกินจากคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันในอาหารให้กลายเป็นไตรกลีเซอไรด์ แล้วสะสมไว้ในเซลล์ไขมัน (Adipose Tissue) เมื่อถึงเวลาจำเป็น เช่น ระหว่างอดอาหารหรือออกกำลังกายอย่างหนัก ไตรกลีเซอไรด์จะถูกนำออกมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำรอง โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า lipolysis

แม้ไตรกลีเซอไรด์จะเป็น “พลังงานในคลัง” ที่มีประโยชน์ต่อการอยู่รอดของร่างกาย แต่หากสะสมมากเกินไปโดยที่ไม่ถูกใช้ออก ร่างกายจะเริ่มสะสมในปริมาณที่เกินพอดี ซึ่งนำไปสู่ภาวะ ไขมันในเลือดสูง และเพิ่มความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อเข้าใจว่าไตรกลีเซอไรด์มีบทบาทต่อพลังงานในร่างกาย เราจึงควรรู้ว่าไขมันชนิดนี้ต่างจากคอเลสเตอรอลอย่างไร เพื่อแยกแยะและเข้าใจสุขภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ไตรกลีเซอไรด์ต่างจากคอเลสเตอรอลอย่างไร?

แม้ไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลจะอยู่ในกลุ่ม “ไขมันในเลือด” เหมือนกัน แต่ทั้งสองมี โครงสร้าง หน้าที่ และ ผลกระทบต่อร่างกาย ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

คอเลสเตอรอล เป็นไขมันที่มีโครงสร้างแบบ วงแหวนสเตอรอล (Sterol Ring Structure) ไม่ให้พลังงานโดยตรง แต่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางชีวภาพ เช่น ใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้าง ฮอร์โมนเพศ (เอสโตรเจน เทสโทสเตอโรน), วิตามิน D, และเป็นส่วนประกอบของ เยื่อหุ้มเซลล์ รวมถึงช่วยในการย่อยอาหารผ่านการสร้างกรดน้ำดี

ในทางกลับกัน ไตรกลีเซอไรด์ เป็นไขมันที่ร่างกายใช้ เก็บสะสมพลังงานส่วนเกิน ที่ได้จากอาหาร โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน มันถูกสะสมไว้ในเซลล์ไขมัน และถูกนำมาใช้เมื่อร่างกายต้องการพลังงานในภาวะอดอาหารหรือกิจกรรมที่ใช้พลังงานสูง

ผลกระทบต่อหลอดเลือดก็ไม่เหมือนกัน — คอเลสเตอรอล โดยเฉพาะในรูป LDL (ไขมันเลว) มีแนวโน้มเข้าไปสะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดคราบไขมันและเพิ่มความเสี่ยงหลอดเลือดตีบตัน ขณะที่ไตรกลีเซอไรด์ในระดับสูงจะเพิ่มความหนืดของเลือด กระตุ้นภาวะอักเสบ และเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีร่วมกับ HDL ต่ำ หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย

แม้จะต่างกัน แต่ไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลก็มีจุดร่วมเรื่องแหล่งที่มาและการสะสม ลองมาดูว่าไขมันเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายและสะสมได้อย่างไร

ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเกิดจากอะไร?

ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่สะท้อนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ “กินมากเกินใช้” อย่างชัดเจน ซึ่งสาเหตุของระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงผิดปกตินั้น ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยต่อไปนี้:

  1. การบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป
    ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลที่เหลือใช้เป็นไตรกลีเซอไรด์เพื่อสะสมเป็นพลังงานสำรอง โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสในเครื่องดื่มหวาน และแป้งขัดขาวจากข้าว ขนมปัง และเบเกอรี
  2. การดื่มแอลกอฮอล์
    แอลกอฮอล์มีผลกระตุ้นตับให้ผลิตไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้นโดยตรง และยิ่งถ้าดื่มมากอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
  3. น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
    ผู้ที่มี ภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เนื่องจากอินซูลินไม่สามารถควบคุมการสะสมไขมันได้ดี ส่งผลให้ไขมันสะสมมากในกระแสเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่มี “อ้วนลงพุง”
  4. พันธุกรรมและโรคประจำตัวบางชนิด
    บางคนมีพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายผลิตไตรกลีเซอไรด์มากกว่าปกติ หรือมีโรคที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมัน เช่น โรคไตเรื้อรัง, hypothyroidism (ไทรอยด์ต่ำ), หรือโรคตับ

การที่ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง มักไม่มีอาการในระยะแรก จึงทำให้หลายคนมองข้าม แม้ตัวเองจะมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่แล้วก็ตาม

เมื่อรู้ตัวว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยง การเข้าใจผลกระทบของระดับไตรกลีเซอไรด์สูงต่อร่างกายจะช่วยให้เราใส่ใจสุขภาพได้ตรงจุดมากขึ้น

จะรู้ได้อย่างไรว่าเราไตรกลีเซอไรด์สูง? การตรวจและแปลผล

วิธีเดียวที่จะรู้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดของคุณได้ชัดเจน คือการตรวจเลือดแบบ Fasting หรือการงดอาหารอย่างน้อย 8–12 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด เพราะหลังรับประทานอาหาร ระดับไขมันในเลือดจะขึ้นสูงชั่วคราว ทำให้ผลไม่แม่นยำ

ผลตรวจจะรายงานเป็นค่า Triglyceride (mg/dL) โดยแบ่งระดับความเสี่ยงได้ดังนี้:

  • ค่าปกติ: น้อยกว่า 150 mg/dL
  • ค่าขอบเขต (Borderline High): ระหว่าง 150–199 mg/dL
  • ค่าที่สูง (High): ระหว่าง 200–499 mg/dL
  • ค่าที่สูงมาก (Very High): มากกว่า 500 mg/dL

ถ้าค่าที่ได้อยู่ในช่วง 200 mg/dL ขึ้นไป แพทย์มักจะแนะนำให้เริ่มปรับพฤติกรรมโดยทันที เช่น ลดน้ำตาล ออกกำลังกาย และอาจมีการติดตามผลทุก 3–6 เดือน ขึ้นอยู่กับกลุ่มเสี่ยงของแต่ละคน

ในบางกรณีที่ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมาก (มากกว่า 500 mg/dL) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ได้ทันที และอาจต้องใช้ยาเพื่อควบคุมควบคู่กับการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้น

ถ้าผลตรวจพบว่าระดับไขมันสูง คำถามต่อมาคือ เราจะลดมันลงได้อย่างไร? และควรเริ่มจากอะไรบ้างในชีวิตประจำวัน

แนวทางลดไตรกลีเซอไรด์: พฤติกรรม อาหาร และการแพทย์

การลดระดับไตรกลีเซอไรด์ไม่ใช่เรื่องของ “การอดอาหาร” แต่คือการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป และรู้ว่าจะเริ่มตรงไหนให้ได้ผลที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีระดับสูงเกิน 200 mg/dL ขึ้นไป การเริ่มต้นด้วยแนวทางต่อไปนี้สามารถลดความเสี่ยงของโรคร่วมได้จริง

ลดน้ำตาลและแป้งก่อนเป็นอันดับแรก

ไตรกลีเซอไรด์ไม่ได้เกิดจาก “ไขมัน” เพียงอย่างเดียว แต่แหล่งสำคัญมักมาจาก คาร์โบไฮเดรตส่วนเกิน โดยเฉพาะ “น้ำตาลทราย” และ “แป้งขัดขาว” เช่น ข้าวขาว ขนมปัง เค้ก น้ำหวาน เครื่องดื่มชูกำลัง ฯลฯ เพราะเมื่อร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตเกินความจำเป็น ตับจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์แล้วเก็บไว้ในรูปไขมัน

การลดน้ำตาลที่มองเห็น (เช่น น้ำตาลในชา กาแฟ ขนมหวาน) และน้ำตาลแฝง (ในโยเกิร์ตปรุงรส ซอสปรุงรส น้ำผลไม้กล่อง) จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำได้ทันที

เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายแบบสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายชนิดแอโรบิค เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ได้โดยตรง และยังช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ในเลือดอีกด้วย

ถ้ายังไม่พร้อมสำหรับการออกกำลังกายเต็มรูปแบบ การ เริ่มจากการเดิน 10–15 นาทีหลังอาหารเย็น เป็นประจำ ก็ช่วยลดการสะสมไตรกลีเซอไรด์จากอาหารมื้อเย็นได้

พิจารณายาในบางกรณีที่ค่าพุ่งสูงเกิน 500

หากระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมากจนเสี่ยงตับอ่อนอักเสบ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยา เช่น Fibrate, Omega-3 (EPA/DHA ในขนาดสูง) หรือยาเฉพาะกลุ่มเพื่อควบคุมระดับไขมัน

แต่การใช้ยาจะเห็นผลจริงก็ต่อเมื่อควบคู่กับการปรับพฤติกรรม เพราะหากยังคงกินอาหารหวานมันเหมือนเดิม ระดับไตรกลีเซอไรด์จะกลับมาสูงอีกในเวลาไม่นาน

“นอกจากการควบคุมค่าเฉพาะ ไตรกลีเซอไรด์ยังเชื่อมโยงกับโรคระบบเผาผลาญที่ใหญ่กว่านั้นอีกด้วย เช่น เมตาบอลิกซินโดรม”

ไตรกลีเซอไรด์กับโรคเมตาบอลิก: ความเชื่อมโยงที่ต้องรู้

ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดไม่เพียงเป็นตัวชี้วัดสุขภาพด้านไขมันเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งใน “ตัวแปรหลัก” ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโรคที่เรียกว่า เมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มภาวะเรื้อรังที่มักเกิดพร้อมกันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และหลอดเลือดสมองอย่างมาก

ไตรกลีเซอไรด์สูง กับโรคเบาหวาน ความดัน และไขมันพอกตับ

ผู้ที่มี ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มักพบว่ามีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงร่วมด้วย เนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการสร้างไขมันได้ดี

ในขณะเดียวกัน ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) ก็เกี่ยวข้องกับการสะสมไตรกลีเซอไรด์ในเซลล์ตับมากเกินไป ส่วน ความดันโลหิตสูง ก็มีความสัมพันธ์กับระบบเผาผลาญที่ถูกรบกวนจากการสะสมไขมัน

หนึ่งในเกณฑ์วินิจฉัยโรค Metabolic Syndrome

ตามเกณฑ์ของ NCEP ATP III การมีไตรกลีเซอไรด์ ≥ 150 mg/dL คือหนึ่งใน 5 องค์ประกอบสำคัญ ของเมตาบอลิกซินโดรม ซึ่งรวมถึง:

  1. เส้นรอบเอวเกินมาตรฐาน (อ้วนลงพุง)
  2. ความดันโลหิตสูง
  3. น้ำตาลในเลือดสูง
  4. HDL ต่ำ
  5. ไตรกลีเซอไรด์สูง

หากมีอย่างน้อย 3 ข้อใน 5 ข้อนี้ จะถือว่าเข้าข่ายเมตาบอลิกซินโดรม ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่ควบคุมยากและเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดอย่างเงียบๆ

ควบคุมไตรกลีเซอไรด์ = ลดความเสี่ยงระบบรวมทั้งร่างกาย

การลดไตรกลีเซอไรด์จึงไม่ได้มีเป้าหมายแค่ “ให้ค่าลดลงในใบตรวจเลือด” แต่หมายถึงการช่วยลด แรงกดดันต่อระบบหัวใจ หลอดเลือด ตับ และระบบเผาผลาญทั้งหมด

การเลือกกินอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มการเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ และจัดการน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี จึงเป็นวิธีรับมือกับ “ภาพรวมของโรคเมตาบอลิก” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“สุดท้าย การดูแลไตรกลีเซอไรด์ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือการดูแลสุขภาพภาพรวมของคุณเองในระยะยาว”

ไขมันในเลือดดีขึ้นได้ ถ้าเริ่มเปลี่ยนวันนี้

หลายคนอาจคิดว่า “สุขภาพดี” เป็นเป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อม โดยเฉพาะเมื่อผลเลือดชี้ว่าค่าไตรกลีเซอไรด์หรือคอเลสเตอรอลเกินเกณฑ์ แต่ความจริงคือ คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตทันที การเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ วันนี้ ย่อมดีกว่ารอให้พร้อมแล้วไม่เริ่มเสียที

สุขภาพไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แค่เริ่มทำให้สม่ำเสมอ

ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ หรือมีพฤติกรรมที่ “ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ” มากแค่ไหน ก็ยังมีโอกาสในการพลิกสถานการณ์กลับได้ ด้วยการ ค่อยๆ ปรับเปลี่ยน อย่างเป็นระบบ ตัวอย่างเช่น เพียงคุณลดปริมาณน้ำตาลที่กินต่อวันลงครึ่งหนึ่ง หรือเลือกเดิน 15 นาทีหลังอาหารเย็นทุกวัน ก็สามารถมีผลต่อระดับไขมันในเลือดได้แล้ว

Mini Plan: เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมภายใน 7 วัน

วัน สิ่งที่คุณทำได้
Day 1 อ่านฉลากโภชนาการก่อนซื้ออาหาร – มองหาคำว่า “Trans fat 0” และ “น้ำตาลน้อย”
Day 2 ลดเครื่องดื่มหวาน 1 แก้วต่อวัน เปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือชาไม่หวาน
Day 3 เพิ่มผักในจานอาหารเย็นอย่างน้อย 1 กำมือ
Day 4 เดินให้ได้ 15–20 นาทีต่อเนื่อง
Day 5 ลองเมนูปลาย่างหรือปลาต้มแทนของทอด
Day 6 นอนให้ได้ 7 ชั่วโมง และปิดหน้าจอ 30 นาทีก่อนนอน
Day 7 จดบันทึกความรู้สึกหลังเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งสัปดาห์

 

จุดเริ่มต้นเล็กๆ อาจเปลี่ยนผลเลือดครั้งหน้าได้เลย

การเปลี่ยนพฤติกรรมไม่จำเป็นต้อง “รอให้พร้อม” แต่ควร เริ่มจากวันนี้ แล้วปรับให้เหมาะกับตัวเอง โดยมีเป้าหมายคือ “สุขภาพดีอย่างยั่งยืน” มากกว่าการลดตัวเลขชั่วคราว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่างค่าปกติ

เอกสารอ้างอิง

Davidson, Michael H. (28 January 2008). “Pharmacological Therapy for Cardiovascular Disease”. In Davidson, Michael H.; Toth, Peter P.; Maki, Kevin C. Therapeutic Lipidology. Contemporary Cardiology. Cannon, Christopher P.; Armani, Annemarie M. Totowa, New Jersey: Humana Press, Inc. pp. 141–142. 

Balch, Phyllis A. (2006). “Carnitine”. Prescription for nutritional healing (4th ed.). New York: Avery. p. 54.
GILL, Jason; Sara HERD; Natassa TSETSONIS; Adrianne HARDMAN (Feb 2002). “Are the reductions in triacylglycerol and insulin levels after exercise related?”. Clinical Science. 102 (2): 223–231. Retrieved 2 March 2013.