
โรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา (Stroke)
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญของความพิการและการเสียชีวิตในระดับโลก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ในบางกรณีผู้ป่วยอาจหมดสติ หรือสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว พูด หรือจดจำภายในไม่กี่นาที หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจทิ้งผลกระทบต่อระบบประสาทและคุณภาพชีวิตในระยะยาวที่ไม่อาจย้อนคืนได้
บทความนี้จะพาคุณสำรวจโรคหลอดเลือดสมองอย่างรอบด้าน เริ่มตั้งแต่ความเข้าใจพื้นฐาน สาเหตุสำคัญและปัจจัยเสี่ยง อาการที่ควรระวัง วิธีการวินิจฉัยและแนวทางการรักษา ไปจนถึงการป้องกันที่ทุกคนสามารถเริ่มได้ทันที เป้าหมายคือให้ผู้อ่านมีเครื่องมือในการรับมือกับโรคนี้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยเหลือตัวเองหรือคนใกล้ชิดได้อย่างถูกต้องในเวลาที่จำเป็น
โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร?
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คือภาวะทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นเมื่อสมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้เซลล์สมองตายจากการขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือดสมอง หรือหลอดเลือดแตกจนมีเลือดออกในสมอง ซึ่งทั้งสองแบบล้วนสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสมองในเวลาอันสั้น
ในเชิงสาธารณสุข โรคหลอดเลือดสมองเป็นหนึ่งในโรคที่สร้างภาระมากที่สุด ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่ายในการรักษา ระยะเวลาฟื้นฟู และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ทำให้โรคนี้กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของการรณรงค์ด้านการป้องกันและสร้างความรู้ในวงกว้าง
อีกคำหนึ่งที่มักถูกกล่าวถึงร่วมกันคือ TIA (Transient Ischemic Attack) หรือ “ภาวะเตือนล่วงหน้า” ซึ่งเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดสมองชั่วคราว อาการจะคล้ายกับ Stroke แต่หายไปภายในไม่กี่นาทีหรือไม่เกิน 24 ชั่วโมงโดยไม่ทิ้งความเสียหายถาวร อย่างไรก็ตาม TIA ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่ามีความเสี่ยงจะเกิด Stroke จริงได้ในอนาคตอันใกล้
เมื่อเข้าใจนิยามแล้ว ลองมาดูว่าจริงๆ แล้ว Stroke แบ่งเป็นกี่ประเภท และแต่ละประเภทเกิดจากอะไร?
ประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ และอีก 1 ภาวะเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม โดยแต่ละแบบมีที่มา กลไก และผลกระทบที่แตกต่างกัน ซึ่งความเข้าใจในแต่ละประเภทจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของโรคนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
Stroke จากหลอดเลือดอุดตัน (Ischemic Stroke)
ประเภทนี้พบได้มากที่สุด คิดเป็นประมาณ 80–85% ของผู้ป่วย Stroke ทั้งหมด เกิดจากลิ่มเลือด ไขมัน หรือคราบพลัค (plaque) ไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองขาดออกซิเจนเฉียบพลัน ถ้าปล่อยไว้นานเกิน 4.5 ชั่วโมงโดยไม่ได้รับการรักษา เซลล์สมองบริเวณนั้นจะเริ่มตายและทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือสูญเสียการรับรู้ชั่วคราว
Stroke จากหลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke)
เกิดขึ้นจากการที่หลอดเลือดในสมองแตก ส่งผลให้เลือดรั่วไหลเข้าไปในเนื้อสมองหรือโพรงสมอง ความดันในกะโหลกศีรษะจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และกดเบียดเนื้อสมองโดยรอบ ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรง การเกิด Stroke แบบนี้มักเกี่ยวข้องกับภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง หรือมีภาวะผิดปกติของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดโป่งพอง (aneurysm)
โรค TIA: สัญญาณเตือนก่อนเกิด Stroke
TIA (Transient Ischemic Attack) หรือที่เรียกกันว่า “Mini-Stroke” คือภาวะที่เลือดไปเลี้ยงสมองลดลงชั่วคราว มักเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีถึงชั่วโมง แล้วอาการจะหายไปเอง แต่ถึงจะดูเหมือนเล็กน้อย TIA ถือเป็นคำเตือนสำคัญว่าอาจมีโอกาสเกิด Stroke จริงในอนาคตอันใกล้ ผู้ที่มี TIA ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาความเสี่ยงและรับการดูแลก่อนที่สมองจะเสียหายถาวร
แต่ละประเภทมีที่มาที่แตกต่างกัน ลองมาดูกลไกการเกิด Stroke ในระดับร่างกาย เพื่อเข้าใจว่าทำไมจึงเกิดภาวะนี้แบบเฉียบพลัน
กลไกการเกิดโรคในแต่ละประเภท
การเกิดโรคหลอดเลือดสมองไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีรากฐานมาจากกลไกทางชีววิทยาที่ชัดเจน ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 2 เส้นทางหลักตามประเภทของ Stroke ได้แก่ “ภาวะเลือดไปไม่ถึงสมอง” และ “ภาวะเลือดออกในสมอง” ทั้งสองแบบนี้สร้างผลกระทบต่อเนื้อสมองอย่างรุนแรงแต่ด้วยกลไกที่ต่างกัน
ภาวะเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง (Ischemia)
กลไกนี้พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดจากลิ่มเลือดหรือคราบไขมันไปอุดตันหลอดเลือดสมอง ทำให้สมองขาดเลือดเฉียบพลัน เมื่อไม่มีเลือดมาเลี้ยง เนื้อสมองจะขาดออกซิเจนและสารอาหารในทันที ส่งผลให้เซลล์สมองตายภายในไม่กี่นาทีหากไม่ได้รับการช่วยเหลือ ขอบเขตของความเสียหายขึ้นกับตำแหน่งที่เกิดการอุดตัน และระยะเวลาที่สมองขาดเลือด
การแตกของหลอดเลือดและภาวะเลือดคั่ง (Hemorrhage)
ในกรณีที่หลอดเลือดในสมองแตก เลือดจะรั่วไหลเข้าสู่เนื้อสมองหรือโพรงสมอง ทำให้เกิดความดันในกะโหลกศีรษะสูงขึ้นจนเบียดเนื้อสมอง และขัดขวางการไหลเวียนของเลือดในสมองส่วนอื่นๆ ผลลัพธ์คือเกิดการตายของเนื้อสมองอย่างรวดเร็ว และมักมีอาการรุนแรงกว่ากรณีอุดตัน
การทำลายเนื้อสมองจากออกซิเจนที่ลดลง (Hypoxia-induced Damage)
ไม่ว่ากลไกจะเริ่มจากการอุดตันหรือหลอดเลือดแตก สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือการขาดออกซิเจนในเนื้อสมองอย่างรุนแรง และต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์สมอง เช่น การนำกระแสประสาท การสื่อสารระหว่างเซลล์ และการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภาวะนี้เรียกว่า “สมองตายเฉพาะจุด” ซึ่งมักมีผลถาวร
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกลไกเหล่านี้ มีได้ทั้งจากพฤติกรรมและโรคประจำตัว มาทำความเข้าใจต่อในหัวข้อถัดไป
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่สามารถตรวจพบและจัดการได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ปัจจัยเหล่านี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ “โรคประจำตัวที่ควบคุมได้” และ “พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน” ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
ความดันโลหิตสูง
นี่คือปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของทั้งโรคหลอดเลือดสมองตีบและแตก เพราะแรงดันที่สูงเกินไปทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและแตกได้ง่าย รวมถึงเร่งการสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือด หากไม่ควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติ (ต่ำกว่า 140/90 มม.ปรอท) โอกาสเกิด Stroke จะสูงขึ้นหลายเท่า
เบาหวาน
น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังทำให้หลอดเลือดเล็กทั่วร่างกายเสื่อมสภาพ รวมถึงหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยเบาหวานจึงมีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันได้ง่ายขึ้น และเมื่อเกิด Stroke แล้ว ก็มักฟื้นตัวยากกว่าคนทั่วไป
ไขมันในเลือดสูง
ไขมัน LDL ที่สูงผิดปกติจะสะสมที่ผนังหลอดเลือดจนเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว (Atherosclerosis) และอุดตันในที่สุด โดยเฉพาะถ้ามีระดับ HDL ต่ำประกอบกันด้วย จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดที่ไปอุดหลอดเลือดสมอง
สูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์, ขาดการออกกำลังกาย
พฤติกรรมเหล่านี้เร่งให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วขึ้น สูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มความดันโลหิต และกระตุ้นการเกิดลิ่มเลือด ส่วนแอลกอฮอล์หากบริโภคเกินขนาดจะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจส่งลิ่มเลือดเข้าสู่สมอง ขณะที่การไม่ออกกำลังกายทำให้ระบบไหลเวียนเลือดแย่ลง เพิ่มความเสี่ยงโดยรวมของการเกิด Stroke
เมื่อเรารู้ว่าปัจจัยเสี่ยงมีหลายประการ ต่อไปมาดูว่าโรคนี้แสดงอาการออกมาอย่างไรบ้าง เพื่อให้สังเกตได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
อาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง
อาการของโรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และสามารถแยกแยะได้ชัดเจนหากรู้จักสัญญาณพื้นฐาน การสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาทันท่วงที ลดความเสี่ยงของความพิการหรือเสียชีวิต
หน้าเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด (FAST)
แนวทางที่ใช้กันแพร่หลายในการสังเกตอาการเบื้องต้นคือ “FAST” ซึ่งย่อมาจาก:
- F (Face): หน้าผู้ป่วยเบี้ยว ปากตก ยิ้มไม่เท่ากัน
- A (Arms): แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกแขนไม่ขึ้น หรือยกแล้วร่วง
- S (Speech): พูดไม่ชัด สะดุด หรือพูดประโยคง่ายๆ ไม่ได้
- T (Time): เวลาคือสิ่งสำคัญ ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลทันที
มึนงง เห็นภาพซ้อน เดินเซ
ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการชัดเจนแบบในกลุ่ม FAST แต่แสดงออกด้วยความมึนงง เดินไม่ตรง หรือทรงตัวไม่ได้ บางคนอาจมีอาการเวียนหัวรุนแรง หรือเห็นภาพซ้อน ซึ่งหากเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ต้องรีบพิจารณา Stroke เป็นอันดับต้นๆ
ปวดศีรษะรุนแรงเฉียบพลัน
หากอยู่ดีๆ แล้วมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยเฉพาะถ้าเป็นอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมาพร้อมคลื่นไส้ อาเจียน หรือหมดสติ อาจเป็นสัญญาณของภาวะหลอดเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) ซึ่งเป็นภาวะเร่งด่วนที่อันตรายถึงชีวิต
เมื่อมีอาการที่สงสัยว่าเป็น Stroke ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด มาดูว่าแพทย์ใช้วิธีใดในการวินิจฉัยโรคนี้
วิธีการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง
เมื่อผู้ป่วยมีอาการต้องสงสัยว่าอาจเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ทีมแพทย์จะรีบดำเนินการวินิจฉัยอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อแยกแยะชนิดของ Stroke และกำหนดแนวทางรักษาได้ทันเวลา การวินิจฉัยประกอบด้วยหลายขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกันอย่างเป็นระบบ ดังนี้
ตรวจร่างกาย–ซักประวัติ
ขั้นตอนแรกของการวินิจฉัยคือการตรวจร่างกายและซักประวัติจากผู้ป่วยหรือผู้เห็นเหตุการณ์ แพทย์จะตรวจดูความแข็งแรงของแขนขา การพูด การมองเห็น และประเมินระดับสติร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงหรือประวัติเบาหวาน เพื่อหาสาเหตุร่วม
CT scan / MRI
เครื่องมือหลักที่ใช้ในการแยกแยะชนิดของ Stroke คือ CT scan และ MRI:
- CT Scan (Computed Tomography): เป็นเครื่องเอกซเรย์ที่สามารถแสดงภาพสมองได้ภายในเวลาไม่กี่นาที เหมาะกับการตรวจว่ามีเลือดออกในสมองหรือไม่
- MRI (Magnetic Resonance Imaging): ให้รายละเอียดภาพสมองชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกรณี Stroke ที่เกิดจากหลอดเลือดอุดตัน แม้ในระยะเริ่มต้น
การเลือกใช้เครื่องมือใดขึ้นอยู่กับความพร้อมของโรงพยาบาล และระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการ
ตรวจเลือด–วัดความดัน–ดูจังหวะหัวใจ
หลังจากการถ่ายภาพสมอง แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาล การแข็งตัวของเลือด และไขมัน รวมถึงวัดความดันโลหิตและดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพื่อหาสาเหตุร่วม เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของลิ่มเลือดที่หลุดไปอุดหลอดเลือดสมอง
การวินิจฉัยที่เร็วแม่นยำช่วยให้การรักษาเริ่มได้ทันเวลา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสียหายของสมอง
แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและระยะเวลาที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาหลังเกิดอาการ ยิ่งเริ่มรักษาเร็วเท่าไร โอกาสในการรอดชีวิตและลดความพิการก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น โดยแนวทางการรักษาหลักแบ่งออกเป็น 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่
การให้ยา (ละลายลิ่มเลือด / ลดความดัน)
กรณีเป็น Stroke จากหลอดเลือดอุดตัน (Ischemic Stroke) การให้ยาละลายลิ่มเลือด (tPA) ภายใน 3–4.5 ชั่วโมงหลังเกิดอาการสามารถช่วยเปิดทางให้เลือดไหลกลับไปเลี้ยงสมองได้ทันเวลา นอกจากนี้ยังอาจให้ยาป้องกันการจับตัวของเกล็ดเลือด เช่น aspirin เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดซ้ำ
ในกรณี Stroke จากหลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke) หรือความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน การควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดออกมากขึ้น
การผ่าตัด (ในกรณีเลือดออกมาก)
หากมีเลือดออกในสมองในปริมาณมากหรือเกิดแรงดันในกะโหลกศีรษะจนเป็นอันตราย แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัด เช่น เปิดกะโหลกศีรษะเพื่อระบายเลือด หรือใส่สายระบายน้ำไขสันหลัง เพื่อบรรเทาแรงดันในสมองให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ
ในกรณีบางรายที่มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ แพทย์อาจใช้หัตถการแบบสอดสายสวน (Thrombectomy) เข้าไปดึงลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือดสมองโดยตรง
การฟื้นฟูสมรรถภาพ (กายภาพ, พูด, อารมณ์)
หลังพ้นระยะวิกฤต ผู้ป่วยจำนวนมากยังต้องเผชิญกับความพิการหรือการสูญเสียความสามารถบางอย่าง เช่น เดินไม่ได้ พูดไม่ได้ หรืออารมณ์ไม่คงที่ การฟื้นฟูจึงมีบทบาทสำคัญมาก โดยประกอบด้วย:
- กายภาพบำบัด: เพื่อฝึกกล้ามเนื้อและความสามารถในการเคลื่อนไหว
- นักกิจกรรมบำบัด–นักบำบัดการพูด: ช่วยฟื้นฟูการพูด การกลืน หรือทักษะชีวิตประจำวัน
- การสนับสนุนด้านจิตใจ: เนื่องจากผู้ป่วยหลายรายอาจมีภาวะซึมเศร้าหลังโรคหลอดเลือดสมอง การดูแลด้านอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
แม้การรักษาจะช่วยได้มาก แต่โรคนี้ยังมีโอกาสทิ้งผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
แม้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะรอดชีวิตจากระยะวิกฤต แต่บ่อยครั้งการฟื้นตัวกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมอาจไม่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ภาวะแทรกซ้อนที่ตามมามีได้ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิตโดยรวม ซึ่งควรทำความเข้าใจและเตรียมรับมืออย่างรอบด้าน โดยเรียงลำดับจากอาการทั่วไปไปสู่ภาวะรุนแรง ดังนี้
อัมพาต, กลืนลำบาก, พูดไม่ได้
หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุดคือ อัมพาตครึ่งซีก หรืออ่อนแรงของแขนขา ทำให้การเคลื่อนไหวและการดูแลตนเองกลายเป็นเรื่องยากขึ้น บางรายอาจมี กล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูดหรือกลืนเสียหาย จนเกิดภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) และพูดไม่ได้ (Aphasia) ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารหรือสำลักอาหารจนติดเชื้อได้
สมองบวม, ติดเชื้อในปอดจากการนอนนาน
ในรายที่มีภาวะสมองบวม (Cerebral edema) หรือมีการกดเบียดของเนื้อสมอง อาจต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นภาวะคุกคามชีวิตโดยตรง นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานานมักเผชิญกับ ภาวะติดเชื้อในปอด (Pneumonia) หรือแผลกดทับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตหลัง Stroke ได้เช่นกัน
ภาวะซึมเศร้า–โรคจิตเวชหลัง Stroke
ภาวะทางจิตใจเป็นอีกมิติที่ไม่ควรมองข้าม ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเกิด ภาวะซึมเศร้า (Post-stroke depression) หรือมีความผิดปกติทางอารมณ์ อาจรู้สึกสิ้นหวัง โทษตัวเอง หรือไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ถดถอยและลดความร่วมมือในการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม โรคจิตเวชบางประเภทก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่า ‘การป้องกัน’ คือสิ่งสำคัญที่สุด มาดูกันว่าเราจะป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างไร
แนวทางการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นอย่างไร้สัญญาณเตือน และไม่ใช่โรคที่เกิดจาก “โชคร้าย” เท่านั้น ตรงกันข้าม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวันและดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะกว่า 80% ของ Stroke สามารถป้องกันได้หากเริ่มจากปัจจัยที่ควบคุมได้ดังนี้
ควบคุมโรคประจำตัว (เบาหวาน ความดัน)
ผู้ที่เป็น ความดันโลหิตสูง หรือ เบาหวาน ควรพบแพทย์สม่ำเสมอและใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เพราะโรคเหล่านี้สามารถทำลายหลอดเลือดโดยตรง ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว แตกง่าย หรือตีบตันได้ง่ายขึ้น การควบคุมให้อยู่ในค่าปกติจึงเป็นด่านแรกของการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
เลิกบุหรี่–ลดแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดหดเกร็ง เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด ขณะที่การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากต่อเนื่องจะเพิ่มระดับไขมันในเลือดและความดันโลหิต ทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างชัดเจน การหยุดหรือหลีกเลี่ยงจึงช่วยลดความเสี่ยงได้ทันที
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดความดันโลหิต และปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนัก ลดความเครียด และทำให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น
ตรวจสุขภาพประจำปี
อย่ารอให้มีอาการถึงไปพบแพทย์ การ ตรวจสุขภาพประจำปี ช่วยให้คุณรู้ค่าความดัน น้ำตาล ไขมัน และการทำงานของหัวใจอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สามารถเริ่มต้นการดูแลรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นก่อนที่จะเกิดโรคร้ายแรง เช่น Stroke หรือหัวใจวาย
เมื่อเราเข้าใจทั้งหมดแล้ว ก็ถึงเวลาสรุปบทเรียนว่าโรคหลอดเลือดสมองไม่ใช่เรื่องไกลตัว และมีทางป้องกันได้ตั้งแต่วันนี้
สรุป: รู้ทัน–ป้องกัน–เข้ารักษาไว ลดความพิการและการเสียชีวิต
โรคหลอดเลือดสมองอาจเกิดขึ้นแบบฉับพลัน แต่การป้องกันและการรับมือไม่ควรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น “ภายหลัง” สิ่งที่ช่วยลดความสูญเสียจากโรคนี้ได้ดีที่สุดคือ ความรู้ ความเข้าใจ และการลงมือทำทันที
การ สังเกตอาการเบื้องต้น อย่างเช่นใบหน้าเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง หรือพูดไม่ชัด สามารถช่วยชีวิตคนได้จริง ยิ่งรู้เร็ว นำส่งโรงพยาบาลไว โอกาสรอดและกลับมาใช้ชีวิตปกติก็ยิ่งมากขึ้น การให้ความรู้กับคนในครอบครัว คนรอบตัว หรือแม้แต่ตัวเราเอง จึงเป็นการ “เพิ่มโอกาสรอดชีวิต” แบบง่ายที่สุด โดยไม่ต้องรออุปกรณ์การแพทย์ใดๆ
ขณะเดียวกัน การป้องกันโรคนี้เริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยพฤติกรรมพื้นฐานอย่างการเลิกบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมโรคประจำตัว และตรวจสุขภาพเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงลดความเสี่ยงของ Stroke แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างรอบด้าน
อย่ารอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนใกล้ตัวแล้วค่อยเรียนรู้ เพราะเมื่อพูดถึงโรคหลอดเลือดสมอง “ความรู้” คืออาวุธที่ดีที่สุดในการลดความพิการและการเสียชีวิต
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง
ขอบคุณคลิปความรู้ : หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ สุขภาพดี คุณมีได้
วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.
Wolf PA, Abbott RD, Kannel WB (1987). “Atrial fibrillation: a major contributor to stroke in the elderly. The Framingham Study”. Arch. Intern. Med. 147 (9): 1561–4. PMID 3632164.
Sudlow, Cathie Lm; Mason, Gillian; Maurice, James B.; Wedderburn, Catherine J.; Hankey, Graeme J. (1 January 2009). “Thienopyridine derivatives versus aspirin for preventing stroke and other serious vascular events in high vascular risk patients”. The Cochrane Database of Systematic Reviews (4): CD001246. ISSN 1469-493X.
Halkes PH, van Gijn J, Kappelle LJ, Koudstaal PJ, Algra A (2006). “Aspirin plus dipyridamole versus aspirin alone after cerebral ischaemia of arterial origin (ESPRIT): randomised controlled trial”. Lancet. 367 (9523): 1665–73. PMID 16714187.