บัวเผื่อน ดอกสีขาวแกมชมพูสวยงาม มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี

0
บัวเผื่อน ดอกสีขาวแกมชมพูสวยงาม มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี
บัวเผื่อน ไม้น้ำที่มีดอกคล้ายบัวสาย ดอกสีขาวแกมชมพูอมม่วงคราม มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
บัวเผื่อน ดอกสีขาวแกมชมพูสวยงาม มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี
บัวเผื่อน ไม้น้ำที่มีดอกคล้ายบัวสาย ดอกสีขาวแกมชมพูอมม่วงคราม มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ

บัวเผื่อน

บัวเผื่อน (Water lily) เป็นไม้น้ำที่มีดอกคล้ายดอกบัวสาย มักจะพบขึ้นตามหนอง บึงและริมแม่น้ำ คนโบราณเรียกพืชชนิดนี้ว่า “บัวเผื่อน” เพราะว่ากลีบดอกจะมีสีเผื่อนระหว่างสีขาวครามและสีชมพูอ่อน เป็นชื่อที่คนเมืองและคนสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้จักแต่อาจจะเคยเห็นตามบึงน้ำต่าง ๆ หรือในคลองทั่วไป

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบัวเผื่อน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nymphaea nouchali Burm.f.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Water lily”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “บัวผัน บัวขาบ” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “นิโลบล” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ป้านสังก่อน” ชาวมลายูและจังหวัดนราธิวาสเรียกว่า “ปาลีโป๊ะ” มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “บัวแบ้”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บัวสาย (NYMPHAEACEAE)
ชื่อพ้อง : Nymphaea stellata Willd.

ลักษณะของบัวเผื่อน

บัวเผื่อน เป็นพันธุ์ไม้น้ำคล้ายบัวสาย เป็นบัวพันธุ์พื้นเมืองของไทยและพบกระจายอยู่ทั่วทุกภาค
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นกลุ่ม แผ่นใบลอยอยู่บนผิวน้ำ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กว้าง ปลายใบทู่หรือกลมมน ส่วนโคนเว้าลึก แผ่นใบมีสีเขียว ท้องใบสีเขียวอ่อนจนถึงสีม่วงจาง ผิวใบเกลี้ยง
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวขึ้นอยู่เหนือน้ำ ดอกมีสีขาวแกมชมพูไปจนถึงสีอ่อนคราม มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ถ้าดอกมีสีขาวแกมเหลืองปลายกลีบดอกจะเป็นสีครามอ่อน แล้วเผื่อนเป็นสีขาวหรือปลายกลีบเป็นสีชมพูเมื่อใกล้โรย ปลายกลีบแหลม มีเกสรเพศผู้สีเหลืองจำนวนมาก รังไข่มีช่องฝังตัวแน่นอยู่ใต้แผ่นรองรับ ส่วนเกสรเพศเมียเป็นรูปถ้วย สามารถออกดอกได้เกือบตลอดทั้งปี ดอกจะบานช่วงสายและจะหุบช่วงบ่าย
ผล : จมอยู่ใต้น้ำหลังจากการผสมเกสรแล้ว

สรรพคุณของบัวเผื่อน

  • สรรพคุณจากเมล็ด บำรุงกำลัง เมล็ดใช้คั่วบำรุงร่างกาย บำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงหัวใจ
  • สรรพคุณจากหัว บำรุงกำลัง เมล็ดใช้คั่วบำรุงร่างกาย บำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงครรภ์
  • สรรพคุณจากดอก บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้ตัวร้อน บำรุงครรภ์ ช่วยขับเสมหะ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ แก้ลม ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยแก้อาการหน้ามืดตาลาย แก้อาการใจหวิว ใจสั่น วิงเวียน คลื่นไส้และตาพร่าจะเป็นลม ช่วยคลายเครียดและทำให้มีอารมณ์แจ่มใส ลดระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยเพิ่มระดับอินซูลินในหนูทดลองได้ มีฤทธิ์ช่วยปกป้องตับหนูจากการถูกทำลายด้วยสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์

สารออกฤทธิ์จากดอกบัวเผื่อน

  • สาร Nymphagol จากดอกบัวเผื่อน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ตำราสมุนไพรไทย ในตำรา “พิกัดบัวพิเศษ” ประกอบไปด้วย บัวเผื่อน บัวขม บัวหลวงแดง บัวหลวงขาว บัวสัตตบงกชแดงและบัวสัตตบงกชขาว มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้เพื่อบำรุงธาตุทั้ง 4
  • บัญชียาหลักแห่งชาติหรือตำรับยา “ยาหอมเทพจิตร” โดยดอกบัวเผื่อนเป็นส่วนประกอบร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ

ประโยชน์ของบัวเผื่อน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ก้านดอกสามารถใช้รับประทานเป็นผักหรือใช้จิ้มกินกับน้ำพริกได้และนำมาประกอบอาหารอย่างผัดสายบัวหรือต้มกะทิสายบัวกับปลาทูได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกไว้ตัดดอกเพื่อขาย ปลูกเป็นไม้ประดับไว้ในอ่างหรือสระน้ำเพื่อความสวยงามเพราะเลี้ยงง่ายและทนทาน

บัวเผื่อน เป็นบัวที่มีสีขาวแกมชมพูสวยงามมาก นิยมนำมาปลูกประดับไว้ริมคลองหรือไว้ในอ่างสระน้ำในบ้าน ทั้งนี้ถือเป็นยาสมุนไพรของคนไทยมาแต่โบราณ อยู่ในตำราสมุนไพรและบัญชียาหลักแห่งชาติ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงกำลังและร่างกาย บำรุงหัวใจ แก้ไข้และบำรุงโลหิต เป็นดอกบัวที่น่าสนใจในการนำมารับประทานเป็นยาบำรุงชนิดหนึ่ง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

จิกน้ำ ไม้งามริมน้ำที่ช่วยแก้อาการไอ แก้ท้องเสีย ท้องร่วง และรักษาไข้มาลาเรีย

0
จิกน้ำ ไม้งามริมน้ำที่ช่วยแก้อาการไอ แก้ท้องเสีย ท้องร่วง และรักษาไข้มาลาเรีย
จิกน้ำ เป็นไม้ยืนต้น ใบรูปไข่หัวกลับหรือรูปรี ขอบใบจักน้ำตาลแดงเข้มและมีขน ดอกห้อยระย้าสีแดงหรือสีชมพู ผลคล้ายรูปไข่
จิกน้ำ ไม้งามริมน้ำที่ช่วยแก้อาการไอ แก้ท้องเสีย ท้องร่วง และรักษาไข้มาลาเรีย
จิกน้ำ เป็นไม้ยืนต้น ใบรูปไข่หัวกลับหรือรูปรี ขอบใบจักน้ำตาลแดงเข้มและมีขน ดอกห้อยระย้าสีแดงหรือสีชมพู ผลคล้ายรูปไข่

จิกน้ำ

จิกน้ำ (Indian oak) เป็นไม้ยืนต้นที่ไม่ค่อยได้ยินชื่อบ่อยนัก แต่พบได้ทั่วไปตามริมฝั่งน้ำ สามารถนำส่วนประกอบของต้นมาใช้ประโยชน์ได้ หลายคนไม่รู้จักแต่ต้องเคยเห็นผ่านตามาบ้าง ดอกของจิกน้ำหากบานพร้อมกันจะดูสวยงามมาก สามารถนำดอกและยอดอ่อนมารับประทานได้ และส่วนอื่นของต้นนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของจิกน้ำ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Barringtonia acutangula (L.) Gaertn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Indian oak” และ “Freshwater mangrove”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ตอง จิกน้ำ” ภาคเหนือเรียกว่า “ตอง ปุยสาย” ภาคอีสานและจังหวัดหนองคายเรียกว่า “กระโดนทุ่ง กระโดนน้ำ” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “จิ๊ก” จังหวัดพิษณุโลกเรียกว่า “กระโดนสร้อย” จังหวัดอุตรดิตถ์เรียกว่า “ลำไพ่” มีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกว่า “จิก จิกนา จิกอินเดีย จิกมุจลินท์”
ชื่อวงศ์ : วงศ์จิก (LECYTHIDACEAE หรือ BARRINGTONIACEAE)

ลักษณะของจิกน้ำ

จิกน้ำ เป็นไม้ยืนต้นที่มีหลายชนิด มีถิ่นกำเนิดทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้และประเทศอัฟกานิสถาน ฟิลิปปินส์ ไปจนถึงทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลียในแถบรัฐควีนส์แลนด์ ในประเทศไทยพบทั่วทุกภาคตามริมฝั่งน้ำ ริมคลอง ริมบึง ป่าพรุและป่าชายเลน
ใบ : เป็นใบเดี่ยว เป็นรูปหอกหรือรูปไข่หัวกลับหรือรูปรี โคนใบแหลม ปลายใบแหลมหรือมน ขอบใบเป็นจักถี่ ๆ ใบอ่อนเป็นสีน้ำตาลแดงเข้มและมีขน ใบมีขนาดใหญ่เป็นมัน เมื่อเวลามีดอกจะทิ้งใบทำให้เหลือแต่ใบอ่อนสีแดง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจายที่ปลายกิ่ง ดอกห้อยลงมาเป็นระย้า ดอกมีสีแดงหรือสีชมพู หลุดร่วงง่าย ออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม
ผล : เป็นรูปขอบขนานหรือทรงกลม มีสันเป็นเหลี่ยม 4 สัน เรียงตามความยาวของผล
เมล็ด : ในผลมีเมล็ดจิกน้ำ อยู่ 1 เมล็ด ลักษณะคล้ายรูปไข่

สรรพคุณของจิกน้ำ

  • สรรพคุณจากเมล็ด รักษาเยื่อนัยน์ตาอักเสบ น้ำคั้นจากเมล็ดใช้เป็นยาหยอดตา แก้อาการไอในเด็ก ช่วยให้อาเจียน เป็นยาขับลม แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง แก้อาการร้อนใน เป็นยาร้อนในการคลอดบุตร
  • สรรพคุณจากเปลือก เป็นยาลดไข้และใช้รักษาไข้มาลาเรีย ช่วยชะล้างบาดแผล
  • สรรพคุณจากผล แก้หวัด แก้ไอ
  • สรรพคุณจากราก ช่วยให้อาเจียน เป็นยาระบายอ่อน ๆ
  • สรรพคุณจากใบ น้ำจากใบช่วยแก้อาการท้องเสีย ต้มใบแก่ช่วยแก้อาการท้องร่วง
  • สรรพคุณจากเนื้อไม้ ช่วยขับระดูขาวของสตรีหรืออาการตกขาว

ประโยชน์ของจิกน้ำ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกและยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสดได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรม เปลือกและต้นสามารถนำมาใช้เป็นยาเบื่อปลาได้ ทำเป็นไม้อัด ไม้บาง กระดานกรุบ่อ ใช้ทำเรือเล็ก ๆ ทำเครื่องมือเกษตรและทำเครื่องเรือน
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ มักจะปลูกไว้เป็นไม้ประดับที่ริมน้ำหรือริมตลิ่ง สามารถทนน้ำท่วมขังได้และช่วยยึดหน้าดินบริเวณริมตลิ่งได้อีกด้วย

จิกน้ำ เป็นไม้ยืนต้นที่มีช่อดอกที่สวยงามแปลกตาและมีความแข็งแรง นิยมปลูกไว้ริมตลิ่งเพราะช่วยยึดหน้าดินได้ สามารถนำต้นจิกน้ำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง การรับประทานดอกหรือยอดอ่อนของจิกน้ำจะให้รสชาติมันปนฝาด สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาไข้มาลาเรีย แก้อาการไอ แก้ท้องเสีย ท้องร่วง และช่วยรักษาดวงตาได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ยี่หร่า มีกลิ่นหอมและรสร้อน ช่วยเพิ่มความอยากอาหารและต้านโรคมะเร็ง

0
ยี่หร่า มีกลิ่นหอมและรสร้อน ช่วยเพิ่มความอยากอาหารและต้านโรคมะเร็ง
ยี่หร่า ใบกลมรี ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีรสเผ็ดร้อน
ยี่หร่า มีกลิ่นหอมและรสร้อน ช่วยเพิ่มความอยากอาหารและต้านโรคมะเร็ง
ยี่หร่า ใบกลมรี ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีรสเผ็ดร้อน

ยี่หร่า

ยี่หร่า (Tree basil) เป็นผักสมุนไพรที่มีลักษณะคล้ายกะเพรา เป็นพืชสีเขียวอีกชนิดหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการต้านโรคมะเร็ง หลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินชื่อของยี่หร่ามาบ้าง เป็นผักที่มักจะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เป็นส่วนประกอบของอาหารไทยในหลาย ๆ เมนู หรือรู้จักกันในรูปของน้ำมันยี่หร่า เป็นผักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีรสร้อน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของยี่หร่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum gratissimum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 10 ชื่อ คือ “Tree basil” “Clove basil” “Shrubby basil” “African basil” “Wild basil” “Kawawya” “Caraway fruit” “Caraway seed” “Kummel” “Caraway”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “โหระพาช้าง กะเพราควาย” ภาคเหนือเรียกว่า “หอมป้อม” ภาคใต้เรียกว่า “หร่า” ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “สะหลีดี” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “จันทร์ขี้ไก่ เนียมต้น” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “จันทน์หอม เนียม” จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “ยี่หร่า กะเพราญวน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)

ลักษณะของยี่หร่า

ยี่หร่า เป็นไม้พุ่มเตี้ยที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี 2 ชนิด คือ เทียนขาวและอีกชนิดคือยี่หร่าที่เราพบในประเทศไทย
ลำต้น : มีสีน้ำตาลแก่ แตกกิ่งก้านสาขาขนาดเล็ก
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ลักษณะใบเป็นรูปกลมรี ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ใบมีสีเขียวสด ใบยี่หร่าจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีรสร้อน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่บริเวณปลายยอด ดอกจะบานจากล่างไปหาปลายช่อ
เมล็ด : เมล็ดมีสีดำขนาดเล็กจำนวนมาก

สรรพคุณของยี่หร่า

  • สรรพคุณจากใบ ยับยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยขับเหงื่อ แก้โรคเบื่ออาหาร แก้อาการปวดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้อาการคลื่นไส้ด้วยการใช้ใบนำมาชงเป็นชาดื่ม ลดอาการปวดประจำเดือน
  • สรรพคุณจากต้นและรากแห้ง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ และอาการปวดท้อง ขับลมในลำไส้
  • สรรพคุณจากน้ำมันหอมระเหย ช่วยระงับอาการหดเกร็งของลำไส้
  • สรรพคุณจากผล ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ด้วยการใช้ผลแห้งประมาณ 3 – 5 กรัม นำมาชงกับน้ำเดือดประมาณ 1 ลิตร ทิ้งไว้สักระยะแล้วจึงนำมาดื่มวันละ 3 – 4 ถ้วยตวง

ประโยชน์ของยี่หร่า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบใช้เป็นเครื่องปรุงและช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เมล็ดช่วยในการถนอมอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ลดการบูดเน่าเสีย ป้องกันกลิ่นเหม็นอับด้วยการนำมาป่นหรือตำผสมในเนื้อสัตว์เวลาหมัก
2. ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ น้ำมันยี่หร่านำมาใช้แต่งกลิ่นสบู่ได้

คุณค่าทางโภชนาการของใบยี่หร่า

คุณค่าทางโภชนาการของใบยี่หร่า ต่อ 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้
เส้นใย 26.8 กรัม
ไขมัน 0.6 กรัม
โปรตีน 14.5 กรัม
วิตามินบี1 0.10 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.25 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.62 มิลลิกรัม 
แคลเซียม 2 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 215 มิลลิกรัม
เหล็ก 25.5 มิลลิกรัม

ยี่หร่า เป็นผักสมุนไพรและเป็นเครื่องเทศที่สำคัญ มีการนำคำว่า “ยี่หร่า” มาตั้งเป็นชื่อร้านอาหารมากมาย และยังนำน้ำมันหอมระเหยจากยี่หร่ามาใช้ประโยชน์ในการหมักและอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกด้วย สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ต้านมะเร็ง ลดอาการปวดประจำเดือน เพิ่มความอยากอาหาร และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบย่อยอาหาร เป็นผักสมุนไพรที่มีรสร้อนและพบได้ในเมนูอาหารไทยทั้งหลาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักกวางตุ้ง ช่วยกระตุ้นฟีโรโมน เสริมสร้างกระดูกและลดความอ้วน

0
ผักกวางตุ้ง ช่วยกระตุ้นฟีโรโมน เสริมสร้างกระดูกและลดความอ้วน
ผักกวางตุ้ง ทรงกลมรี ใบกว้างใหญ่และผิวใบบางเรียบ มีก้านใบหนาและยาวอวบน้ำ ก้านมีสีเขียวอ่อนหรือสีขาวตามแต่สายพันธุ์
ผักกวางตุ้ง ช่วยกระตุ้นฟีโรโมน เสริมสร้างกระดูกและลดความอ้วน
ผักกวางตุ้ง ทรงกลมรี ใบกว้างใหญ่และผิวใบบางเรียบ มีก้านใบหนาและยาวอวบน้ำ ก้านมีสีเขียวอ่อนหรือสีขาวตามแต่สายพันธุ์

ผักกวางตุ้ง

ผักกวางตุ้ง (False pakchoi) เป็นผักสีเขียวที่มักจะพบมากในเมนูอาหารจีน และเป็นผักที่คนไทยรู้จักและนิยมทานกัน แน่นอนว่าเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ยังไม่รู้สรรพคุณที่แท้จริง เป็นผักที่ค่อนข้างนิยมในหมู่ผู้สูงวัยหรือบ้านที่มีเชื้อสายจีน มีรสชาติอร่อยหอมเมื่อนำมาปรุงรสแต่ต้นสดจะมีความเหนียวและเคี้ยวยาก เป็นผักที่มีสารอาหารและแร่ธาตุมากมายชนิดหนึ่งและหาซื้อได้ง่าย สามารถซื้อผักสดมาทำอาหารได้ด้วยตัวเอง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกวางตุ้ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brassica rapa L. (Brassica pekinensis var. laxa Tsen & S.H.Lee)
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 4 ชื่อ คือ “False pakchoi” “Mock pakchoi” “Flowering white cabbage” “Pakchoi”
ชื่อท้องถิ่น : คนทั่วไปเรียกกันว่า “ผักกาดเขียวกวางตุ้ง” ภาคใต้เรียกว่า “ผักกาดฮ่องเต้ ผักกวางตุ้งฮ่องเต้ กวางตุ้งไต้หวัน ผักกาดสายซิม” ในภาษาไต้หวันเรียกว่า “ปากโชย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักกาด (BRASSICACEAE หรือ CRUCIFERAE)

ลักษณะของผักกวางตุ้ง

ผักกวางตุ้ง เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สายพันธุ์สีขาวและสายพันธุ์สีเขียว
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน มีลักษณะทรงกลมรี ใบกว้างใหญ่และผิวใบบางเรียบ มีก้านใบหนาและยาวอวบน้ำ ก้านมีสีเขียวอ่อนหรือสีขาวตามแต่สายพันธุ์
ราก : เป็นระบบรากแก้วแทงลงในดิน มีลักษณะกลมสีน้ำตาล มีรากฝอยและรากแขนงเล็ก ๆ ออกตามแนวราบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ก้านช่อดอกใหญ่ยาว มีแขนงก้านย่อยมาก ดอกมีลักษณะเล็ก กลีบดอกมีสีเหลืองสด
ผล : มีผลเป็นฝักทรงกลมเรียวยาว มีปลายจะงอยแหลม ฝักดิบมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาล เมื่อฝักแก่จัดผลจะแตกออก
เมล็ด : เมื่อฝักแก่จัดจะแตกออกและมีเมล็ดจำนวนมากเรียงอยู่ในฝัก ลักษณะทรงกลมขนาดเล็ก สีน้ำตาลเข้ม

การนำไปใช้ประโยชน์ของผักกวางตุ้ง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูอย่างต้มจับฉ่าย ผัดผักกวางตุ้ง บะหมี่หมูแดง เป็นต้น สามารถรับประทานได้ทั้งลำต้น ใบ และดอก

ประโยชน์ของผักกวางตุ้ง

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงสายตา เสริมสร้างฟันให้แข็งแรง
  • สรรพคุณด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกล้ามเนื้อเสื่อม
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการปวดตามข้อ แก้อาการเป็นตะคริว
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉง กระตุ้นฟีโรโมนทำให้กลิ่นตัวหอม ลดความอ้วน

คุณค่าทางโภชนาการของผักกวางตุ้งดิบ

คุณค่าทางโภชนาการของผักกวางตุ้งดิบต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 13 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 2.2 กรัม
เส้นใย 1.0 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โปรตีน 1.5 กรัม
วิตามินเอ 243 ไมโครกรัม (30%)
วิตามินซี 45 มิลลิกรัม (54%)
ธาตุแคลเซียม 105 มิลลิกรัม (11%)
เหล็ก 0.80 มิลลิกรัม (6%) 
แมกนีเซียม 19 มิลลิกรัม (5%) 
โซเดียม 65 มิลลิกรัม (4%)

วิธีการถนอมคุณค่าทางโภชนาการ

  • ก่อนนำไปปรุงให้ใส่ไว้ในถุงพลาสติกแล้วปิดให้แน่น โดยห้ามหั่นหรือล้างก่อนเด็ดขาด! แล้วนำไปแช่ไว้ในช่องเก็บผักในตู้เย็น
  • ขั้นตอนการทำเมนูที่มีผักกวางตุ้ง ไม่ควรตั้งไฟนานจนเกินไป เพราะความร้อนจะไปทำลายวิตามินที่อยู่ในผักกวางตุ้งอย่างวิตามินซีและเบตาแคโรทีน

ข้อควรระวัง

1. ควรระมัดระวังในการเลือกซื้อและนำมาล้างให้สะอาดด้วยการแช่น้ำส้มสายชู น้ำเกลือหรือล้างด้วยน้ำเปล่าอย่างน้อย 2 นาที เพราะเป็นผักที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการฉีดยาฆ่าแมลงมาก
2. ผักกาดกวางตุ้งเมื่อโดนความร้อนจะเกิดสารไทโอไซยาเนต (thiocyanate) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ความดันเลือดต่ำและร่างกายอ่อนเพลียหากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากเกินควร ดังนั้นจึงควรเปิดฝาทิ้งไว้เพื่อให้สารไทโอไซยาเนตระเหยออกไปพร้อมไอน้ำ

ผักกวางตุ้ง เป็นผักที่มีวิตามินเอและวิตามินซีสูงมากรวมถึงแคลเซียมด้วย ซึ่งช่วยในเรื่องของกระดูก เป็นผักที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย แต่การที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากผักกวางตุ้งนั้นต้องมีการปรุงอย่างถูกวิธีเพื่อรักษาวิตามินที่อยู่ในผัก สรรพคุณที่โดดเด่นของผักกวางตุ้งเลยก็คือ ชะลอความเสื่อมของกระดูก กระตุ้นฟีโรโมนให้กลิ่นตัวหอม และลดความอ้วน เป็นผักที่มีกากใยสูงและไขมันน้อย มักจะพบผักกวางตุ้งอยู่ในเมนู “บะหมี่หมูแดง”

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

บีทรูท ช่วยรักษาสิว ยับยั้งมะเร็ง บำรุงเลือดและป้องกันโรคหัวใจ

0
บีทรูท ช่วยรักษาสิว ยับยั้งมะเร็ง บำรุงเลือดและป้องกันโรคหัวใจ
บีทรูท หัวใต้ดิน ขนาดเล็ก ทรงกลมป้อม มีเนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง
บีทรูท ช่วยรักษาสิว ยับยั้งมะเร็ง บำรุงเลือดและป้องกันโรคหัวใจ
บีทรูท หัวใต้ดิน ขนาดเล็ก ทรงกลมป้อม มีเนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง

บีทรูท

บีทรูท (Beetroot) มักจะรู้จักกันในรูปแบบของเครื่องดื่มสมูทตี้ ที่เป็นผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพ ในประเทศไทยมักจะพบบีทรูทสีแดงสด มีรสชาติหวานและรับประทานง่าย เป็นผลไม้เมืองนอกที่ค่อนข้างนิยมอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในหมู่คนรักสุขภาพ ถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ช่วยต้านโรคต่าง ๆ ได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบีทรูท

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Beta vulgaris L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Garden beet” “Common beet”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อท้องถิ่นว่า “ผักกาดฝรั่ง” หรือ “ผักกาดแดง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE)

ลักษณะของบีทรูท

บีทรูท เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียนหรือแถบยุโรป ส่วนในประเทศไทยมักจะปลูกกันที่ภาคเหนือ เพราะเป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมหนาวเย็น
หัว : มีหัวใต้ดิน เป็นทรงกลมป้อม มีเนื้อด้านในอวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน รูปหัวใจรี มีก้านยาว
ดอก : เป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อสีเขียวอ่อนและมีขนาดเล็ก
ผล : ผลมีขนาดเล็ก

ประโยชน์ของบีทรูท

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย เสริมสร้างพละกำลังและความแข็งแรง ลดอาการเหนื่อยล้าจากการออกกำลัง ทำให้ร่างกายอึดและทนทานมากขึ้นถึง 16%
    – ล้างสารพิษในร่างกาย ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนนอน
  • สรรพคุณด้านไขมัน ลดการสะสมไขมัน
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ลดการอุดตันในหลอดเลือด บำรุงหลอดเลือด ลดความดันเลือด รักษาโรคความดันโลหิตสูง แก้ปัญหาอาการประจำเดือนมาผิดปกติ
    – เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนอาหารเช้า
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย รักษาอาการท้องผูก
    – ทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น เป็นยาระบายและขับปัสสาวะ ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนอาหารเช้า
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ยับยั้งสารก่อมะเร็งและลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก ลดจำนวนสารก่อมะเร็งในร่างกาย ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัมพาต
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ
    – แก้อาการไอและเจ็บคอ ขับเสมหะ ลดอาการบวมต่าง ๆ ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนนอน
  • สรรพคุณช่วยบำรุงอวัยวะ บำรุงหัวใจ
    – บำรุงไตและถุงน้ำดี ด้วยการดื่มน้ำคั้นบีทรูทก่อนนอน
  • สรรพคุณด้านความงาม
    – รักษาสิวหัวหนองหรือสิวอักเสบ และน้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้หัวบีทรูท 1 หัว มาต้มกับน้ำในปริมาณที่ต้องการ

การนำไปใช้ประโยชน์ของบีทรูท

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ทำเป็นขนมหวานอย่างสาคูไส้บีทรูท สลัดน้ำบีทรูท ขนมบีทรูท ขนมเค้ก เยลลี่บีทรูท พุดดิ้งนมสดบีทรูท พาสต้าหรือไอศกรีม นำมาดองทำเป็นน้ำส้มสายชูได้ ทำเป็นไวน์หรือเครื่องดื่มแบบสมูทตี้ หัวบีทรูทใช้ในงานแกะสลักตกแต่งอาหาร ใช้เป็นสีจากธรรมชาติผสมอาหารได้

คำแนะนำในการรับประทานหรือการใช้บีทรูท

1. หลังจากดื่มน้ำบีทรูทแล้วขับถ่ายออกมามีสีแดงปนเปื้อนนั้นไม่ใช่เลือด แต่เป็นเพราะร่างกายขับสารสีแดงจากบีทรูทออกมา ซึ่งมาจากการรับประทานอาหารที่ทำมาจากบีทรูทมากเกินไป เรียกอาการนี้ว่า “บีทูเรีย”
2. ควรเลือกซื้อหัวบีทรูทที่มีขนาดเล็ก เพราะมีเนื้อละเอียดและให้รสหวานมากกว่าหัวบีทรูทขนาดใหญ่
3. ควรเลือกซื้อผลที่มีผิวไม่เหี่ยว เนื้อไม่นิ่ม แต่ถ้าใบติดอยู่ด้วยให้เลือกหัวที่ใบยังสดอยู่
4. การเก็บรักษาผลบีทรูท ควรล้างน้ำให้สะอาดแล้วเก็บใส่ในถุงตาข่าย จากนั้นวางไว้ในที่ร่มหรือจะนำมาแช่ในตู้เย็นตรงช่องเก็บผักก็ได้ สามารถเก็บได้นานถึง 2 อาทิตย์

คุณค่าทางโภชนาการของหัวบีทรูทดิบ

คุณค่าทางโภชนาการของหัวบีทรูทดิบต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 43 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 9.56 กรัม 
น้ำตาล 6.76 กรัม
เส้นใย 2.8 กรัม
ไขมัน 0.17 กรัม
โปรตีน 1.61 กรัม 
น้ำ 87.58 กรัม
วิตามินเอ 2 ไมโครกรัม (0%)
เบตาแคโรทีน 20 ไมโครกรัม (0%)
วิตามินบี1 0.031 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม (3%) 
วิตามินบี3 0.334 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี5 0.155 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี6 0.067 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี9 109 ไมโครกรัม (27%)
วิตามินซี 4.9 มิลลิกรัม (6%)
แคลเซียม 16 มิลลิกรัม (2%) 
เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม (6%)
แมกนีเซียม 23 มิลลิกรัม (6%)
แมงกานีส 0.329 มิลลิกรัม (16%)
ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม (6%)
โพแทสเซียม 325 มิลลิกรัม (7%)
โซเดียม 78 มิลลิกรัม (5%) 
สังกะสี 0.35 มิลลิกรัม (4%)

สารออกฤทธิ์สำคัญ

  • สารบีทานิน (Betanin) เป็นสารสีแดงที่อยู่ในหัวบีทรูท เป็นกรดอะมิโน ช่วยยับยั้งโรคมะเร็งและลดการเติบโตของเนื้องอกได้ ทำให้เลือดลมและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีมากขึ้น
  • สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นสารสีม่วง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดสารก่อมะเร็งและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและอัมพาต

การทำน้ำบีทรูท

1. นำบีทรูท 2 หัว มาปอกเปลือกแล้วล้างน้ำให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในเครื่องปั่นแยกกากหรือหั่นเป็นฝอยแล้วลงในเครื่องปั่น จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อทำการแยกกากออก
2. นำน้ำที่ได้ใส่หม้อตั้งไฟ แล้วเติมน้ำตาลทรายครึ่งถ้วยและเกลือ 1 ส่วน 3 ช้อนชา พร้อมดื่ม

บีทรูท เป็นผลไม้สีแดงที่มีประโยชน์ในการต้านทานโรค มักจะพบเป็นน้ำดื่มสมูทตี้ซึ่งควรดื่มก่อนอาหารเช้าหรือดื่มก่อนนอนจะให้ผลดีต่อร่างกาย มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ยับยั้งโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัมพาต รักษาสิว บำรุงไตและถุงน้ำดี และเพิ่มประสิทธิภาพต่อระบบการไหลเวียนของเลือด เป็นผลไม้ที่คู่ควรต่อการดื่มเป็นประจำ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ชะอม บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ และช่วยให้ขับถ่ายคล่อง

0
ชะอม บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ และช่วยให้ขับถ่ายคล่อง
ชะอม ผักที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารหลากหลาย ใบคล้ายกระถิน มีกลิ่นฉุน ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม
ชะอม บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ และช่วยให้ขับถ่ายคล่อง
ชะอม ผักที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารหลากหลาย ใบคล้ายกระถิน มีกลิ่นฉุน ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม

ชะอม

ชะอม (Climbing wattle) เป็น ผักที่นิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร โดยเฉพาะเมนู “ไข่ชะอมทอด” ที่มักจะรับประทานกับน้ำพริกกะปิ เป็นผักที่รสชาติอร่อยเมื่อนำมารวมกับส่วนผสมอื่น ๆ สามารถหาซื้อได้ง่ายมากและมีราคาไม่แพง อีกทั้งยังปลูกได้ด้วยตัวเอง ชะอมก็เป็นผักชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่แพ้ผักชนิดอื่น แต่ชะอมเป็นผักที่ต้องระมัดระวังในการรับประทานเข้าร่างกาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของชะอม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acacia pennata (L.) Willd.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Climbing wattle” “Acacia” และ “Cha – om”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักหละ” ภาคใต้เรียกว่า “อม” ภาคอีสานและจังหวัดอุดรธานีเรียกว่า “ผักขา” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “พูซูเด๊าะ” ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “โพซุยโดะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของชะอม

ชะอม เป็นไม้พุ่มที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมรับประทานในทุกภาคของไทย ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม
ใบ : ใบชะอมเป็นใบประกอบสีเขียวขนาดเล็ก มีก้านใบย่อยแตกออกจากแกนกลางใบ มีลักษณะคล้ายกับใบส้มป่อยหรือใบกระถิน ใบอ่อนจะมีกลิ่นฉุน ใบย่อยมีขนาดเล็กออกตรงข้ามกัน ลักษณะคล้ายรูปรี ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ใบย่อยจะหุบในเวลาเย็นและแผ่ออกเพื่อรับแสงในช่วงกลางวัน
ดอก : ดอกชะอมมีขนาดเล็ก ออกตามซอกใบและมีสีขาว

วิธีการปลูกชะอม สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การปักชำ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือการโน้มกิ่งลงดิน วิธียอดนิยมเลยก็คือ “การเพาะเมล็ด”

ขั้นตอนการเพาะเมล็ด

1. นำเมล็ดชะอมมาใส่ถุงพลาสติก แล้วรดน้ำวันละครั้ง
2. เมื่อเมล็ดงอกให้ทำการย้ายลงดิน โดยปลูกห่างกันประมาณ 1 เมตร
3. ทำการเก็บยอดชะอม แต่ให้เหลือยอดไว้ 3 – 4 ยอด เพื่อให้ต้นได้โตต่อไป

คำแนะนำในการปลูกด้วยวิธีเพาะเมล็ด

1. ใช้ปุ๋ยสดหรือมูลสัตว์ในการบำรุงต้น
2. ไม่ควรปลูกฤดูฝนเพราะเมล็ดชะอมมีโอกาสเน่าได้สูง หากปลูกในฤดูร้อนแล้วหมั่นรดน้ำจะเจริญเติบโตได้ดีกว่า
3. หากมีแมลงให้ใช้ปูนขาวโรยไว้รอบโคนต้น แต่ถ้ามีหนอนกินยอดชะอมก็ให้ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดทุก ๆ 8 วัน
4. การเก็บยอดชะอม ควรเก็บให้เหลือยอดไว้ 3 – 4 ยอด เพื่อให้ต้นได้โตต่อไป และเพื่อความปลอดภัยควรเก็บหลังจากการฉีดยาฆ่าแมลงแล้วไม่น้อยกว่า 7 วัน

สรรพคุณของชะอม

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ ลดความร้อนในร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก รากช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และช่วยขับลมในลำไส้
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง
  • สรรพคุณด้านกล้ามเนื้อ บำรุงเส้นเอ็น
  • สรรพคุณด้านความงาม
    – ช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสียและแตกปลาย ด้วยการนำใบชะอมประมาณ 1 กำมือ มาต้มกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย จนได้น้ำชะอมเข้มข้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เมื่อสระผมเสร็จให้นำผ้าขนหนูมาชุบน้ำชะอมที่เตรียมไว้ บิดพอหมาด นำมาเช็ดผมให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นให้ล้างออก

ประโยชน์ของชะอม

เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นเมนูอาหารได้หลากหลายเมนูอย่าง ไข่ชะอม ไข่ทอดชะอม ชะอมชุบไข่ แกงส้มชะอมกุ้ง หรือนำมาลวกนึ่งใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริกกะปิ สามารถนำมารับประทานร่วมกับส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ หรือจะนำไปปรุงเป็นแกงลาว แกงแค ก็ได้เช่นกัน

คุณค่าทางโภชนาการของยอดชะอม

คุณค่าทางโภชนาการของยอดชะอม 100 กรัม ให้พลังงาน 57 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
เส้นใยอาหาร 5.7 กรัม
แคลเซียม 58 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม
เหล็ก 4.1 มิลลิกรัม 
วิตามินเอ 10066 IU
วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.25 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.5 มิลลิกรัม
วิตามินซี 58 มิลลิกรัม

โทษของชะอม

1. ควรรับประทานชะอมในหน้าร้อน เพราะชะอมจะมีรสชาติดีกว่าหน้าฝนที่มีรสเปรี้ยวและกลิ่นแรง ซึ่งอาจจะทำให้ปวดท้องได้
2. คุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่หลังคลอด อาจแพ้กลิ่นแรงของชะอม ทำให้มีอาการแพ้ท้องหรือรู้สึกพะอืดพะอม ไม่สบายได้มากขึ้น คุณแม่หลังคลอดไม่ควรรับประทานผักชะอมเพราะจะทำให้น้ำนมแม่แห้งได้
3. คนที่เป็นโรคเกาต์ควรงดการทานชะอมเพราะในชะอมมีพิวลีนสูง ซึ่งพิวลีนจะเปลี่ยนเป็นกรดยูริก เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้ออักเสบ ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคเกาต์มีอาการกำเริบมากยิ่งขึ้น
4. ควรล้างผักให้สะอาดหรือนำมาปรุงให้สุกก่อนรับประทาน เพราะชะอมอาจจะปนเปื้อนเชื้อก่อโรคอย่างซาลโมเนลลา (Salmonella) อาจก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำสีเขียว หรือถ่ายเป็นมูกเลือด และมีไข้ได้

ชะอม เป็นผักที่ค่อนข้างมีกลิ่นแรง สำหรับผู้ที่อ่อนไหวต่อกลิ่นหรือคนที่ไม่สามารถรับประทานอาหารกลิ่นแรงได้อาจจะไม่ชอบใจนัก แต่ชะอมเป็นผักที่มีวิตามินเอสูง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงเส้นเอ็น ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง และเป็นยาอายุวัฒนะได้ด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ ผลไม้Superfood ป้องกันนิ้วในไตและต้านมะเร็ง

0
มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ ผลไม้Superfood ป้องกันนิ้วในไตและต้านมะเร็ง
มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ มีผลขนาด 4-10 ซม. ผลดิบจะสีเขียวเข้ม เริ่มแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม และสุกเต็มที่จะเป็นสีแดงเข้ม
มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ ผลไม้Superfood ป้องกันนิ้วในไตและต้านมะเร็ง
มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ มีผลขนาด 4-10 ซม. ผลดิบจะสีเขียวเข้ม เริ่มแก่จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม และสุกเต็มที่จะเป็นสีแดงเข้ม

ทามาริลโล่

มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ ( Tamarillo ) มีลักษณะภายนอกคล้ายมะเขือเทศราชินี มีรสหวานอมเปรี้ยว แต่จะมีรสเปรี้ยวมากกว่ามะเขือเทศ มีดอกมีกลิ่นหอม เปลือกนอกจะขมเล็กน้อย สามารถทานได้ทั้งแบบผลสดสามารถปล่อยให้สุกบนต้นก่อนรับประทาน หรือนำมาปรุงอาหาร เช่น นำมาทำซอส คั้นเป็นน้ำผลไม้ ทามาริลโล่อบแห้ง ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน A, B6, C, E, ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ

ชื่ออื่นๆของมะเขือเทศต้นทามาริลโล่

ชื่อสามัญ : Tamarillo
ชื่อวิทยาศาสตร์ : คือ Solanum betaceum ชื่อวงศ์
มะเขือเทศต้นไม้ที่รู้จัก : จัดอยู่ในสกุล Solanum วงศ์ Solanaceae
ชื่อที่รู้จักกันอื่นๆ : Red Tamarillo, Tamarillo Tree Tomato, Andean Tomato, Serrano Tomato และ มะเขือเทศต้นผลวงรีก้นแหลม มีทั้งสายพันธุ์สีแดงและสีเหลือง ผลจะมีรสเปรี้ยวอมหวาน กลิ่นฉุนเล็กน้อย เนื้อแน่น เนื้อข้างในสีส้ม และมีเมล็ดสีดำขนาดเล็กนุ่มรับประทานได้

ลักษณะของมะเขือเทศต้นทามาริลโล่

มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ เป็นไม้พุ่มผลไม้พื้นเมืองในเขตร้อนเป็นพืชในตระกูลกับมะเขือเทศ
ลำต้นทามาริลโล่ : สีเทาอมเขียว สูงประมาณ 1 – 4 เมตร
ใบทามาริลโล่ : สีเขียวชอุ่มตลอดปี เรียงสลับกัน ก้านใบแข็ง ยาว 4-8 เซนติเมตร
ผลทามาริลโล่ : ผลดิบจะสีเขียวเข้ม เมื่อผ่านมาระยะหนึ่งผลจะเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลเข้ม หากปล่อยให้ผลทามาริลโล่สุกเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ยาวประมาณ 4-10 เซนติเมตร สามารถออกผลได้หลังจาก 1.5 ถึง 2 ปี
เมล็ดพันธุ์ทามาริลโลแดง : เมล็ดมีขนาดเล็ก มีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ
ดอก : ดอกมีสีขาวอมชมพู เกสรสีเหลือง สามารถติดผลได้โดยไม่ต้องผสมเกสรข้าม มีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นพวง พวงล่ะ 10-30 ดอก
การขยายพันธุ์ : การขยายพันธุ์ทำได้โดยใช้เมล็ดมะเขือเทศต้นทามาริลโล่ หรือการตอนกิ่ง

ถิ่นกำเนิดของมะเขือเทศต้นทามาริลโล่

พบครั้งแรกในอเมริกาใต้และอเมริกากลางต่อมา มะเขือเทศต้นทามาริลโล่ กลายเป็นผลไม้ยอดนิยมในอินเดีย เอเชีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเอเชีย ทามาริลโลสีแดงสีแดง หรือสีแดงอมเหลือง

ประโยชน์ของทามาริลโล่ที่น่าอัศจรรย์ดีต่อสุขภาพร่างกาย

ผลทามาริลโล่ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย รวมถึงยังเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ดังนี้

1.ทามาริลโล่อุดมไปด้วยวิตามิน A , C, E และเป็นแหล่งวิตามิน B-complex ที่ดี เช่น ไนอาซิน ไทอามีน และไรโบฟลาวิน สารอาหารอื่นๆ ในทามาริลโลได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน แคลเซียม โพแทสเซียม และโซเดียม นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุเช่น ฟอสฟอรัส แมงกานีส แมกนีเซียม ทองแดง สังกะสีและเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย

2.ผลสดทามาริลโล่อุดมไปด้วยไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ ซึ่งมีคุณสมบัติที่เป็นกรดของมันช่วยลดไขมัน ช่วยควบคุมน้ำหนัก เร่งการเผาผลาญ และเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดน้ำหนัก

3.ทามาริลโลมีวิตามิน A, C, E, แอนโทไซยานิน ฟีนอล และฟลาโวนอยด์ สามารถช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ต่อต้านริ้วรอย ช่วยให้ผิวสุขภาพดีเปล่งปลั่ง เช่นเดียวกับมะเขือเทศ

4.ทามาริลโล่อุดมไปด้วยไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยส่งเสริมความไวของอินซูลิน

5.ทามาริลโลมีแอนโทไซยานินและแคโรทีนอยด์สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

6.ทามาริลโล่ มีใยอาหารจำนวนมากและกลุ่มวิตามิน B-Complex ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ช่วยขับของเสียในลำไส้ ทำให้อุจจาระผ่านลำไส้ใหญ่ได้ง่าย
และขับถ่ายง่ายขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก ท้องอืด และรักษาแผลในทางเดินอาหารได้

7.ทามาริลโล่ พบสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี สามารถป้องกันเซลล์ในร่างกายหากเกิดความเสียหายจากการติดเชื้อและการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเซลล์มะเร็งในอนาคตได้ เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระยังต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น

8.กินผลทามาริลโล่ในปริมาณ 100 กรัม จะได้รับโพแทสเซียมประมาณ 321 มิลลิกรัม ซึ่งโพแทสเซียมสามารถช่วยรักษาอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตให้เป็นปกติ ดีสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ช่วยลดความเครียดจากหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลผ่านหลอดเลือดได้อย่างสะดวก

9.ทามาริลโลมีวิตามินซี ทองแดง และโฟเลตในปริมาณสูง ซึ่งดีต่อสมองช่วยพัฒนาและส่งเสริมการทำงานของเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรงขึ้น ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์

10.ทามาริลโลอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีนสูง จึงมีความสำคัญต่อการมองเห็น ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ดวงตา ลดความเสี่ยงของต้อกระจก บำรุงสายตา และป้องกันริ้วรอยรอบดวงตา

11.ผลทามาริลโล่มีวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีในปริมาณมาก ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรง ปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส เพิ่มความชุ่มชื้น และขาวกระจ่างใส

12.ทามาริลโลมีธาตุเหล็กช่วยลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนแรง และเวียนศีรษะได้ รวมถึงสามารถป้องกันไม่ให้เป็นโรคโลหิตจาง และสามารถช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ในระดับหนึ่ง ยังช่วยควบคุมการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง กระตุ้นการผลิตเลือดในร่างกาย

มะเขือเทศต้นทามาริลโล่แตกต่างจากมะเขือเทศทั่วไปอย่างไร

  • มะเขือเทศต้นทามาริลโล่จะมีขนาดสูงใหญ่ ลำต้นหนา กว่ามะเขือเทศทั่วไป
  • มะเขือเทศต้นทามาริลโล่เป็นไม่ยืนต้น มะเขือเทศทั่วไปเป็นไม้ล้มลุก
  • มะเขือเทศต้นทามาริลโล่เปลือกจะค่อนข้างขมต้องปอกเปลือกก่อนทาน

ทามาริลโล่ ปลูกอย่างไร

ทามาริลโล่ เป็นไม้พุ่ม ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี สามารถปลูกได้ในพื้นที่อากาศอบอุ่น แต่ชอบแดดจัด ออกผลในช่วงฤดูร้อน ควรตัดแต่งกิ่งปลายฤดูหนาว รดน้ำเมื่อผิวหน้าดินแห้ง ใส่ปุ๋ยอินทรีย์เป็นประจำเพื่อช่วยการเจริญเติบโตของราก ลำต้น และผลมะเขือเทศต้นทามาริลโล่จะออกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือเทศต้นทามาริลโล่

คุณค่าทางโภชนาการของผลทามาริลโล่ 100 กรัม ให้พลังงาน 31 แคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ไขมันทั้งหมด 0.36 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.8 กรัม
โปรตีน 2 กรัม
ใยอาหาร 3.3 กรัม
โฟเลต 4 ไมโครกรัม
ไนอาซิน 0.271 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 189.17 ไมโครกรัม
วิตามินซี 29.8 มิลลิกรัม
วิตามินอี 2.09 มิลลิกรัม
โซเดียม 1.44 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 321 มิลลิกรัม
แคลเซียม 10.7 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 20.6 มิลลิกรัม
แมงกานีส 114 ไมโครกรัม
ฟอสฟอรัส 38.9 มิลลิกรัม
ไพริดอกซิ 0.198 มิลลิกรัม
ไทอามีน 0.043 มิลลิกรัม
ทองแดง 0.051 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.57 มิลลิกรัม
ซีลีเนียม 0.1 ไมโครกรัม
สังกะสี 0.15 มิลลิกรัม

แนะนำวิธีรับประทานมะเขือเทศต้นทามาริลโล่ และการแปรรูปทามาริลโล่

1.เมนูทามาริลโล่โรยพริกเกลือ
ใช้ผลทามาริลโล่สุก ควรปอกเปลือกออกลดความขมของเปลือก นำไปจิ้มพริกเกลือหรือโรยน้ำตาลเล็กเพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อย

2..ทามาริลโล่แปรรูปเป็นผลไม้อบแห้ง (Tamarillo processed into dried fruit)
– ทามาริลโล่ 1 กิโลกรัม
– น้ำตาลทราย 800 กรัม
– น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
– น้ำปูนใส 5 ถ้วย

3.แยมทามาริลโล่ (Tamarillo Jam)
– ทามาริลโล่ผลสุก 6 ผล (ปอกเปลือกออกก่อน)
– น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
– น้ำตาลทรายขาว 4 ถ้วยตวง

4.เมนูทามาริลโล่สมูทตี้ หรือทามาริลโล่ปั่น (Tamarillo Smoothie)
– ทามาริลโล่ผลสุก 1 ผล (ปอกเปลือกออกก่อน)
– นม 1 ถ้วยตวง หรือ 120 มิลลิลิตร
– น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ ( 15 กรัม)
– น้ำแข็ง 1 แก้วตวง

5.ซอสทามาริลโล่
– ทามาริลโล่ 1 กิโลกรัม
– น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
– เกลือ 1 ช้อนชา
– น้ำสะอาด นิดหน่อย
– น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

มะเขือเทศต้น ทามาริลโล่ เป็นผลไม้ที่หาทานค่อนข้างยาก เนื้อสัมผัสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมละมุน อุดมด้วยวิตามินหลากหลายชนิด ซึ่งจัดเป็นผลไม้Superfoodอีกชนิด และมะเขือเทศต้น ทามาริลโล่ สามารถดัดแปลงทำเมนูได้ทั้งคาว หวาน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ตำลึง ผักมากประโยชน์ ป้องกันมะเร็ง บำรุงผิว บำรุงสายตา บำรุงเลือด รักษาเบาหวาน

0
ตำลึง ผักมากประโยชน์ ป้องกันมะเร็ง บำรุงผิว บำรุงสายตา บำรุงเลือด รักษาเบาหวาน
ตำลึง เป็นไม้เลื้อย ลำต้นกลม เป็นใบเดี่ยว 3-5 แฉก ใบเป็นรูปหัวใจ ผิวใบมันเรียบ
ตำลึง ผักมากประโยชน์ ป้องกันมะเร็ง บำรุงผิว บำรุงสายตา บำรุงเลือด รักษาเบาหวาน
ตำลึง เป็นไม้เลื้อย ลำต้นกลม เป็นใบเดี่ยว 3-5 แฉก ใบเป็นรูปหัวใจ ผิวใบมันเรียบ

ตำลึง

ตำลึง (Ivy gourd) เป็น ผักอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมนำมารับประทานกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะเมนู “แกงจืดตำลึง” ที่มักจะพบได้ง่ายตามร้านทั่วไป นอกจากนั้นยังสามารถซื้อตำลึงมาทำเองได้ด้วย ตำลึงมีลักษณะโดดเด่นอยู่ที่ใบเป็นรูปหัวใจและที่สำคัญโด่งดังในเรื่องของสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดจึงทำให้รักษาเบาหวานได้ นอกจากนั้นยังนิยมนำมาใช้ทำทรีตเมนต์ให้ผิวหน้าผ่องใสได้อีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตำลึง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Coccinia grandis (L.) Voigt
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Ivy gourd”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ตำลึง สี่บาท” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักแคบ” ภาคอีสานเรียกว่า “ผักตำนิน” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “แคเด๊าะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)
ชื่อพ้อง : Cephalandra indica (Wight & Arn.) Naudin

ลักษณะของตำลึง

ตำลึง เป็นไม้เลื้อยที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะกลม ต้นอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลอมเทาหรือสีเทาอมเขียว บริเวณข้อของต้นจะมีมือยึดเกาะ
มือเกาะ : มีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ คล้ายหนวดขนาดเล็ก แตกออกบริเวณข้อของลำต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยว 3 แฉก หรือ 5 แฉก มีรูปร่าง 5 เหลี่ยม โคนใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ ผิวใบมันเรียบ แผ่นใบหยักเป็นแฉก ปลายใบเป็นติ่งแหลม ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ไม่มีขน
ดอก : เป็นดอกเดี่ยวหรือคู่ ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกจะมีสีขาวถึงขาวนวล ก้านช่อดอกสั้น แตกกิ่งช่อดอกตรงปลาย ดอกมีลักษณะคล้ายรูประฆัง
ผล : ลักษณะของผลเป็นทรงยาววงรีคล้ายแตงกวาแต่มีขนาดเล็กกว่า ผลอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน ผลแก่จัดจะมีสีแดง
เมล็ด : เมล็ดอยู่ภายในผลจำนวนมาก เมล็ดมีลักษณะยาววงรี แบนและผิวเรียบ เมล็ดดิบจะมีสีเขียวอ่อน เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล

สรรพคุณของตำลึง

  • สรรพคุณจากตำลึง ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย บำรุงผิวพรรณ ช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันการเกิดอัมพาต บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง บำรุงและรักษาสายตา ป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดแข็งหรือตีบตันและแตก ป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตา
    – ลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มระดับอินซูลินจึงช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เถาแก่ 1 กำมือ มาต้มกับน้ำหรือจะใช้น้ำคั้นจากผลดิบมาดื่มวันละ 2 รอบ เวลาเช้าเย็น
  • สรรพคุณจากน้ำคั้นตำลึง ป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง
  • สรรพคุณจากใบ ป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง บำรุงเลือด ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด บำรุงน้ำนมแม่ ช่วยดับพิษร้อนและแก้ไข้ตัวร้อน แก้อาการตาแดงและเจ็บตา ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ช่วยขับสารพิษในลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก แก้ฝีแดง ดับพิษฝี บรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน ป้องกันการเป็นตะคริว
    – แก้ผดผื่นคัน ด้วยการนำใบมาตำแล้วทาบริเวณที่คัน
    – รักษาแผลอักเสบ ด้วยการนำใบสดมาตำแล้วพอกบริเวณแผล
    – ลดอาการคันและการอักเสบเนื่องจากพืชมีพิษหรือถูกแมลงสัตว์กัดต่อยอย่างหมามุ่ย ถูกตัวบุ้ง ยุงกัด ใบตำแย แพ้ละอองข้าว พิษคูน พิษกาฬ ด้วยการนำใบสด 1 กำ มาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำแล้วคั้นเอาน้ำมาทา
    – แก้งูสวัด เริม ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 2 กำมือ มาล้างให้สะอาดแล้วนำมาผสมกับพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน จากนั้นทำการพอกบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณจากราก ช่วยลดไข้ แก้อาเจียน แก้อาการตาฝ้า ช่วยดับพิษต่าง ๆ
    – รักษาแผลอักเสบ ด้วยการนำรากสดมาตำแล้วพอกบริเวณแผล
  • สรรพคุณจากเถา ช่วยดับพิษต่าง ๆ
    – แก้อาการวิงเวียนศีรษะ ด้วยการนำเถามาชงกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้อาการตาแดง ตาฟาง ตาช้ำ ตาแฉะและพิษอักเสบในตา ด้วยการนำเถามาต้มแล้วเอาน้ำจากเถามาหยอดตา
    – แก้อาการตาช้ำแดง ด้วยการตัดเถาเป็นท่อนยาว 2 นิ้ว แล้วนำมาคลึงพอช้ำแล้วเป่าจนเกิดฟองเพื่อใช้หยอดตา
    – แก้อาการผิดสำแดงเพราะกินของแสลง โดยใช้เถาตำลึงตัดเป็นท่อนยาว 1 คืบ จำนวน 3 – 4 ท่อน ใส่ในหม้อดินสุมไฟด้วยฟางจนไหม้เป็นขี้เถ้า นำมาบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำซาวข้าวเพื่อดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา
    – แก้อักเสบ ด้วยการใช้น้ำจากเถาทาบริเวณที่มีอาการ
    – เป็นยารักษาตาไก่ ให้พลิกเอาหนองขาวแข็งออกจากตาไก่ก่อน แล้วใช้เถาตำลึงแก่ขนาดเท่านิ้วก้อยมาตัดเป็นท่อนแล้วตัดข้อทิ้ง จากนั้นใช้ปากเป่าด้านหนึ่งจนเกิดฟอง เอามือเปิดเปลือกตาไก่ออกแล้วเอาฟองที่ได้หยอดตาไก่วันละครั้งจนกว่าจะหายดี
  • สรรพคุณจากเปลือกราก เป็นยาถ่ายหรือยาระบาย ช่วยระบายท้อง
  • สรรพคุณจากหัว เป็นยาถ่ายหรือยาระบาย ช่วยระบายท้อง
  • สรรพคุณจากดอก
    – แก้ผดผื่นคัน ด้วยการนำดอกมาตำแล้วทาบริเวณที่คัน
  • สรรพคุณจากเมล็ด
    – แก้หิด ด้วยการใช้เมล็ดมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วนำมาทาบริเวณที่มีอาการ

ประโยชน์ของตำลึง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำยอดและใบมารับประทานเป็นผักสดด้วยการลวกหรือต้มจิ้มกับน้ำพริก นำมาใช้ในการประกอบอาหารอย่างแกงจืด ต้มเลือดหมู แกงเลียง ก๋วยเตี๋ยว ผัดไฟแดง ไข่เจียว ผลอ่อนนำมารับประทานกับน้ำพริกหรือจะนำมาดองก็ได้ ผลสุกนำมารับประทานได้เช่นกัน
2. ใช้ในด้านความงาม ช่วยกำจัดกลิ่นตัวและกลิ่นเต่าด้วยการใช้เถาและใบมาตำผสมกับปูนแดงแล้วทาบริเวณรักแร้ ช่วยทรีตเมนต์ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงด้วยการใช้ยอดตำลึงครึ่งถ้วยและน้ำผึ้งแท้ครึ่งถ้วยมาผสมกันแล้วปั่นในโถให้ละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก

คุณค่าทางโภชนาการใบและยอดอ่อนของตำลึง

ใบและยอดอ่อนของตำลึง 100 กรัม ให้พลังงาน 35 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ใยอาหาร 1 กรัม
วิตามินเอ 18,608 IU
วิตามินบี1 0.17 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.13 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 34 มิลลิกรัม
แคลเซียม 126 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 30 กรัม
เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม

ข้อควรระวังของตำลึง

1. ตำลึงมีฤทธิ์เป็นยาเย็น เมื่อทาน้ำตำลึงที่ผิวหนังแล้วไม่รู้สึกเย็นแปลว่าไม่ถูกโรค ดังนั้นให้หยุดใช้ทันที
2. การทาน้ำตำลึงไม่ควรถูแรงจนเกินไปในบริเวณที่เป็นผิวบอบบาง เพราะจะทำให้เกิดอาการอักเสบเพิ่มมากขึ้น

ตำลึง เป็นผักที่มีฤทธิ์เป็นยาเย็นซึ่งมีลักษณะใบเป็นรูปหัวใจ นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารโดยเฉพาะ “แกงจืดตำลึง” สามารถนำทั้งต้นมาใช้ประโยชน์ได้มากมายโดยเฉพาะด้านยาและช่วยบำรุงผิว เป็นผักที่มีวิตามินเอและแคลเซียมสูง มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง บำรุงและรักษาสายตา บำรุงเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือดและรักษาเบาหวาน เป็นผักที่หาได้ง่ายและมีประโยชน์ต่ออวัยวะสำคัญในร่างกายเป็นอย่างมาก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักชีลาว ยาดี แก้กรดไหลย้อน บำรุงสายตา ช่วยในการนอนหลับ

0
ผักชีลาว ยาดีสำหรับโรคประจำวัน แก้กรดไหลย้อน บำรุงสายตา ช่วยในการนอนหลับ
ผักชีลาว ยาดีสำหรับโรคประจำวัน แก้กรดไหลย้อน บำรุงสายตา ช่วยในการนอนหลับ

ผักชีลาว ยาดีสำหรับโรคประจำวัน แก้กรดไหลย้อน บำรุงสายตา ช่วยในการนอนหลับ

ผักชีลาว

ผักชีลาว (Dill) เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งในวงศ์ผักชีที่มีประโยชน์ไม่แพ้ผักชีไทย ส่วนมากมักจะอยู่ในส่วนประกอบของอาหาร ผักชีลาวนั้นมี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มาจากยุโรปและชนิดที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน สามารถปลูกได้ในประเทศไทยและนิยมปลูกเพื่อนำมารับประทานเป็นผัก สรรพคุณนั้นอาจจะยังไม่ค่อยมีใครรู้จักกันมากนัก และอาจจะสับสนกับผักชีไทยหรือผักชีฝรั่งได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Anethum graveolens L.
ชื่อสามัญ : Dill
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “เทียนข้าวเปลือกหรือเทียนตาตั๊กแตน” จังหวัดน่านเรียกว่า “ผักชีเมือง” จังหวัดพิจิตรเรียกว่า “ผักชีเทียนหรือผักชีตั๊กแตน” จังหวัดเลยและขอนแก่นเรียกว่า “ผักชี”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักชี (APIACEAE)

ลักษณะของผักชีลาว

ใบ : ใบประกอบแบบขนนก มีสีเขียวสดออกเรียงสลับกัน
ดอก : ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกมีลักษณะคล้ายกับซี่ร่ม
ผล : ผลแก่เป็นรูปไข่แบน มีสีน้ำตาลอมเหลือง

สรรพคุณของผักชีลาว

  • สรรพคุณ ต่อต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากและช่วยชะลอวัย บำรุงและรักษาสายตาและช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับตา บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย ลดความดันโลหิตสูง ยับยั้งหรือช่วยชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ขยายหลอดเลือด รักษาโรคเบาหวาน กระตุ้นการหายใจ ลดกรดไหลย้อน
  • สรรพคุณจากผลแก่ เป็นยาบำรุงกำลังชั่วคราว
    – แก้อาการปวดท้อง แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับน้ำดื่มวันละ 4 แก้ว
  • สรรพคุณจากผล บำรุงปอด แก้หอบหืด บรรเทาอาการไอ แก้สะอึก แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนและเป็นลม ช่วยทำให้ง่วงนอน
  • สรรพคุณจากใบ เพิ่มปริมาณของน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร ลดอาการโคลิคหรืออาการ “เด็กร้องร้อยวัน” เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกระเพาะอาหาร
    – แก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้ใบสดมาต้มกินเป็นอาหาร
    – แก้อาการปัสสาวะขัด ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 50 กรัม มาต้มกับน้ำแล้วดื่มเป็นชา
    – รักษาฝีเนื้อร้าย ด้วยการนำใบสดมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นฝีวันละ 2 ครั้ง
  • สรรพคุณจากต้นสด
    – แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อของเด็ก ด้วยการใช้ต้นสดมาผสมกับนมให้เด็กอ่อนดื่มแก้อาการ
    – แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 50 กรัม นำมาเคี่ยวกับน้ำจนข้นแล้วรับประทาน
    – รักษาไส้ติ่งอักเสบ ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 60 กรัม แล้วนำมาต้มกับน้ำกิน
  • สรรพคุณจากทั้งต้น ขับเหงื่อ แก้อาการบวมและเหน็บชา

ประโยชน์ของผักชีลาว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นิยมนำใบมาใส่ในแกง ห่อหมก น้ำพริกปลาร้า หรือรับประทานสด ๆ ในส่วนยอดของใบใช้รับประทานกับลาบและช่วยชูรสชาติอาหาร นำผลมาบดโรยบนมันฝรั่งบดหรือสลัดผัก ใบสดและแห้งนิยมนำมาโรยบนอาหารประเภทปลาเพื่อช่วยดับกลิ่นคาว น้ำมันนำมาใช้แต่งกลิ่นผักดอง สตู น้ำซอส ของหวาน และเครื่องดื่มรวมไปถึงเหล้าด้วย
2. เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นำผลหรือเมล็ดผักชีที่มีน้ำมันระเหยมาแปรรูปเป็นสบู่หรือโลชั่นบำรุงผิว

คุณค่าทางโภชนาการของผักชีลาวสด

คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 43 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 7 กรัม
เส้นใย 2.1 กรัม
ไขมัน 1.1 กรัม
โปรตีน 3.5 กรัม
วิตามินเอ 7,717 ไมโครกรัม (154%)
วิตามินบี1 0.1 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี2 0.3 มิลลิกรัม (25%)
วิตามินบี3 1.6 มิลลิกรัม (11%)
วิตามินบี5 0.4 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินบี6 0.2 มิลลิกรัม (15%)
วิตามินบี9 150 ไมโครกรัม (38%)
วิตามินซี 85 มิลลิกรัม (102%)
แคลเซียม 208 มิลลิกรัม (21%)
เหล็ก 6.6 มิลลิกรัม (51%)
แมกนีเซียม 55 มิลลิกรัม (15%)
แมงกานีส 1.3 มิลลิกรัม (62%)
ฟอสฟอรัส 66 มิลลิกรัม (9%)
โพแทสเซียม 738 มิลลิกรัม (16%)
โซเดียม 61 มิลลิกรัม (4%)
สังกะสี 0.9 มิลลิกรัม (9%)
ทองแดง 0.14 มิลลิกรัม (7%)

ผักชีลาว เป็นผักที่มีวิตามินและแร่ธาตุค่อนข้างสูง โดยเฉพาะวิตามินเอที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และค่อนข้างพบได้มากในเมนูอาหารอีสาน เป็นพืชใบเล็กที่มีสรรพคุณมากมาย โดยสรรพคุณที่โดดเด่นคือ บำรุงและรักษาตา ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง บำรุงกระดูกและฟัน ลดกรดไหลย้อนและช่วยในการนอนหลับ เป็นผักที่มีสรรพคุณที่จำเป็นและต้องการในโลกที่ผู้คนมักจะจ้องหน้าจอคอมนาน ๆ จนสายตาเสียหรือกินอาหารไม่ตรงเวลาเกิดโรคกรดไหลย้อน เกิดความเครียดจนนอนไม่หลับ ดังนั้นถือเป็นยาที่ดีสำหรับคนไทยในปัจจุบัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักชีฝรั่ง มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งดับกลิ่นปากและต่อต้านมะเร็ง

0
ผักชีฝรั่ง มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งดับกลิ่นปากและต่อต้านมะเร็ง
ผักชีฝรั่ง ใบออกรอบโคนต้น เป็นใบรูปหอกยาวรี ขอบใบจักรแบบฟันเลื่อยและที่ปลายจักรมีหนามอ่อน ๆ
ผักชีฝรั่ง มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งดับกลิ่นปากและต่อต้านมะเร็ง
ผักชีฝรั่ง ใบออกรอบโคนต้น เป็นใบรูปหอกยาวรี ขอบใบจักรแบบฟันเลื่อยและที่ปลายจักรมีหนามอ่อน ๆ

ผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่ง (culantro) เป็น พืชที่อยู่ในวงศ์ผักชี เป็นผักที่มีการเพาะปลูกทั่วโลกและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ขึ้นชื่อว่าผักชีแล้วนั้นเป็นที่รู้ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายแน่นอน ทั้งนี้ผักชีฝรั่งถือว่าเป็นที่รู้จักพอสมควรแต่ก็ไม่ใช่ผักยอดนิยมเหมือนผักชีปกติทั่วไป แต่กลับมีสรรพคุณมากมายและสามารถนำมาใช้เป็นยาได้ทั้งราก ใบ และลำต้น นับว่ามีประโยชน์หลากหลายโดยเฉพาะสรรพคุณในการแก้หวัด ผักชีฝรั่งจะมีรสชาติที่ติดซ่า ๆ เย็น ๆ ต่างจากผักชีลาวหรือผักชีทั่วไป

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักชีฝรั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eryngium foetidum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Culantro” “Long coriander” และ “Sawtooth coriander”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ผักชีดอย ผักจีดอย ผักจีฝรั่ง หอมป้อมกุลา หอมป้อมกูลวา ห้อมป้อมเป้อ” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “มะและเด๊าะ” จังหวัดขอนแก่นและพิจิตรเรียกว่า “ผักชีใบเลื่อย” จังหวัดเลยและขอนแก่นเรียกว่า “ผักหอมเทศหรือผักหอมเป” จังหวัดชัยภูมิเรียกว่า “หอมป้อมหรือหอมเป” จังหวัดอุตรดิตถ์เรียกว่า “หอมน้อยฮ้อ” จังหวัดกำแพงเพชรเรียกว่า “หอมป้อมเปอะ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักชี (APIACEAE)

ลักษณะของผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่ง เป็นไม้ล้มลุกเมืองร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและทวีปอเมริกาใต้ มีกลิ่นหอมทั้งต้นและใบ
ใบ : ใบออกรอบโคนต้น เป็นใบรูปหอกยาวรี โคนใบสอบลง มีลักษณะเด่นอยู่ที่ขอบใบจักรแบบฟันเลื่อยและที่ปลายจักรมีหนามอ่อน ๆ
ดอก : ดอกมีก้านชูสูง เป็นกระจุกกลมสีขาวอมเขียว ตรงโคนช่อดอกมีใบประดับรูปดาว

การนำไปใช้ประโยชน์ของผักชีฝรั่ง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นิยมนำใบมารับประทานเป็นผักสดหรือนำมาจิ้มกับน้ำพริก ลาบก้อย และยำต่าง ๆ ใช้เพิ่มรสชาติและดับกลิ่นคาวให้อาหาร

ประโยชน์ของผักชีฝรั่ง

  • สรรพคุณจากใบ ต่อต้านอนุมูลอิสระสูงและช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคมะเร็ง รักษาสมดุลในร่างกายด้วยการชงดื่มวันละ 3 ถ้วย มีฤทธิ์แก้ไข้หวัด ช่วยระบายท้องด้วยการนำใบไปต้มดื่ม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาแผลเรื้อรังและแก้บวมด้วยการใช้ใบมาตำแล้วพอก ทำให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น ช่วยทดแทนการเสียธาตุเหล็กสำหรับหญิงให้นมบุตร ดับกลิ่นปาก
  • สรรพคุณจากลำต้น ลดระดับความดันโลหิต ทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้อย่างเป็นปกติ บำรุงผิวพรรณ บำรุงเส้นผมและเล็บให้แข็งแรง แก้ไข้มาลาเรียและเป็นยาถ่ายด้วยการต้มกับน้ำแล้วดื่ม ขับลมในกระเพาะอาหาร ฆ่าเชื้อโรค แก้พิษงูด้วยการนำมาตำแล้วพอก แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายด้วยการตำผสมกับน้ำมันงาแล้วนำไปหมกไฟให้สุกแล้วค่อยมาประคบแก้อาการปวดเมื่อย
  • สรรพคุณจากน้ำต้มจากราก ขับเหงื่อและกระตุ้นร่างกาย ช่วยแก้ไข้ ช่วยขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น บรรเทาอาการปวดศีรษะ แก้อาการอาหารเป็นพิษ แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ส่วนของน้ำต้มทั้งต้นช่วยบำรุงกำหนัดและเสริมสร้างความต้องการทางเพศ

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของผักชีฝรั่ง 100 กรัม ให้พลังงาน 32 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
โปรตีน 24 กรัม 
ไขมัน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
แคลเซียม 21 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
เหล็ก 2.9 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.31 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.21 มิลลิกรัม
วิตามินซี 38 มิลลิกรัม
ไนอาซิน 0.7 มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน 876.12 RE

สารอาหารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและเป็นสารที่สำคัญในการต้านเซลล์มะเร็ง

ข้อควรระวัง

1. ผักชีฝรั่งมีกรดออกซาลิกสูงมากซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดนิ่วในไต ทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบและเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ปวดท้อง ปวดเอว ปัสสาวะติดขัด เป็นต้น
2. สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักชีฝรั่งเพราะอาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรได้

ผักชีฝรั่ง มักจะอยู่ในส่วนประกอบของอาหาร เป็นผักที่มีกลิ่นหอมเหมาะสำหรับนำมาดับกลิ่นต่าง ๆ ได้ดี เป็นผักที่มีลักษณะใบโดดเด่น เมื่อเห็นเพียงครั้งแรกก็สามารถรู้ได้ว่าคือผักชีฝรั่ง สรรพคุณที่โดดเด่นของผักชีฝรั่งเลยก็คือ ป้องกันมะเร็ง ดับกลิ่นปาก ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์และแก้อาการปวดต่าง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม