ฟักเขียว หรือฟักที่คนไทยนิยม ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่ายและระบบเลือด

0
ฟักเขียว หรือฟักที่คนไทยนิยม ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่ายและระบบเลือด
ฟักเขียว ผลเป็นรูปกลมยาวหรือเป็นรูปไข่ขอบขนานค่อนข้างยาว ผลอ่อนมีขน ผลแก่ผิวนอกมีนวลเป็นแป้งสีขาวเคลือบอยู่ เนื้อด้านในมีสีขาวปนเขียวอ่อนและฉ่ำน้ำ เนื้อแน่นหนา
ฟักเขียว หรือฟักที่คนไทยนิยม ช่วยบำรุงร่างกาย ดีต่อระบบขับถ่ายและระบบเลือด
ฟักเขียว ผลกลมยาวรูปไข่ขอบขนานค่อนข้างยาว ผลอ่อนมีขน ผลแก่ผิวนอกมีนวลเป็นแป้งสีขาว เนื้อด้านในมีสีขาวปนเขียวอ่อนและฉ่ำน้ำ เนื้อแน่นหนา

ฟักเขียว

ฟักเขียว (Water melon) หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ฟัก” คนไทยนิยมนำมาใส่ในแกงจนกลายเป็นเมนู “แกงฟัก” อย่างที่ใครหลายคนรู้จักและชอบทาน เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าฟักเป็นพืชผักชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถหาซื้อและรับประทานได้ง่าย นอกจากผลฟักแล้วส่วนประกอบอื่น ๆ ของต้นยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์และมีสรรพคุณทางยาไม่แพ้ผล นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของฟักเขียว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Benincasa hispida (Thunb.) Cogn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Chinese Watermelon” “Wax gourd” “White gourd”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ฟัก ฟักขาว ฟักเขียว ฟักเหลือง ฟักจีน แฟง ฟักแฟง ฟักหอม ฟักขม” ภาคเหนือเรียกว่า “ฟักขี้หมู ฟักจิง มะฟักขม มะฟักหม่น มะฟักหม่นขม” ภาคอีสานเรียกว่า “บักฟัก” ภาคใต้เรียกว่า “ขี้พร้า” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “มะฟักหอม” ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “ดีหมือ ลุ่เค้ส่า” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “หลู่ซะ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “หลู่สะ” ชาวกะเหรี่ยงแดงเรียกว่า “หลึกเส่” ชาวเมี่ยนเรียกว่า “สบแมง” คนเมืองล้านนาเรียกว่า “ฟักหม่น ผักข้าว” ประเทศจีนเรียกว่า “ตังกวย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)

ลักษณะของฟักเขียว

ฟักเขียว เป็นพืชล้มลุกจำพวกไม้เถาที่คาดว่ามีถิ่นกำเนิดระหว่างทวีปเอเชีย แอฟริกาและอเมริกา มีการเพาะปลูกกันมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้
ลำต้น : ลำต้นยาวสีเขียว มีขนหยาบขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วทั้งต้น เป็นพืชที่แตกกิ่งก้านสาขามาก
ใบ : ขอบใบหยักเป็นเหลี่ยมแบบซี่ฟัน แยกออกเป็น 5 – 11 แฉกคล้ายฝ่ามือ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจกว้าง ๆ ใบออกเรียงสลับกันตามข้อต้น ผิวใบหยาบ มีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ใบมีสีเขียวเข้ม
ดอก : ออกดอกตามง่าม เป็นดอกเดี่ยวสีเหลือง ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะอยู่ต้นเดียวกัน
ผล : ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาวหรือเป็นรูปไข่แกมขอบขนานหรือขอบขนานค่อนข้างยาว ผลอ่อนมีขน ผลแก่ผิวนอกมีนวลเป็นแป้งสีขาวเคลือบอยู่ เปลือกแข็งมีสีเขียว เนื้อด้านในมีสีขาวปนเขียวอ่อนและฉ่ำน้ำ เนื้อแน่นหนา เนื้อตรงกลางฟูหรือพรุนและมีเมล็ดสีขาวอยู่ภายในจำนวนมาก
เมล็ด : ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่ เมล็ดแบน มีผิวเรียบสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน

พันธุ์ของฟัก

1. ฟัก ฟักจะมีสีเขียวแก่
2. แฟงหรือฟักแฟง เป็นพันธุ์เล็กที่มีผิวสีเขียวอ่อน ๆ
3. ฟักหอม พันธุ์ที่มีผลค่อนข้างกลมสีเขียวแก่ ๆ
4. ฟักขม เป็นพันธุ์ที่มีรสขม

สรรพคุณของฟักเขียว

  • สรรพคุณจากผล ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ช่วยเพิ่มพลังทางเพศ ช่วยลดขนาดของเซลล์ไขมัน รักษาโรคเบาหวาน ช่วยเพิ่มกำลัง แก้ธาตุพิการ รักษาโรคเส้นประสาท ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและมะเร็ง รักษาโรคความดันโลหิตสูงและช่วยรักษาอาการอักเสบ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ แก้โลหิตเป็นพิษ แก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้ ช่วยรักษาโรคปอด ช่วยรักษาโรคหอบหืด แก้อาการไอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยแก้ท้องเสีย ช่วยแก้โรคบิด ช่วยแก้อาการอืดแน่นท้อง เป็นยาระบาย ช่วยขับปัสสาวะ แก้พิษจากเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลา ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ช่วยแก้อาการบวมและมีหนอง
    – รักษาอาการโรคชัก ด้วยการนำฟักเขียวปอกเปลือกออกแล้วเอาแต่เนื้อมาคั้นเอาน้ำสด ๆ เพื่อดื่มเป็นประจำ
    – รักษาอาการขัดเบา ด้วยการใช้ฟักเขียวไปตุ๋นกับปลาเพื่อใช้รับประทาน
  • สรรพคุณจากเมล็ด ช่วยเพิ่มกำลัง ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและมะเร็ง รักษาโรคความดันโลหิตสูงและช่วยรักษาอาการอักเสบ ช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ ช่วยสร้างหลอดเลือดชนิดที่ต้องการสร้างสารกระตุ้นการเจริญจากไฟโบรบลาสต์ซึ่งเป็นสารที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง รักษาวัณโรค ช่วยบำรุงปอด ช่วยลดไข้ แก้อาการไอ ช่วยละลายเสมหะ แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยรักษาลำไส้อักเสบ เป็นยาระบาย ช่วยขับพยาธิ ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยหล่อลื่นอวัยวะเมือก แก้ไตอักเสบ ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ช่วยลดอาการอักเสบ
    – ช่วยรักษาแผลมีหนองตกสะเก็ด ด้วยการใช้เมล็ดที่ตากแห้งและล้างสะอาดแล้วประมาณ 9 – 30 กรัม มาบดเป็นผงหรือต้มกับน้ำแล้วใช้ทาหรือชะล้าง
  • สรรพคุณจากเปลือก รักษาโรคความดันโลหิตสูงและช่วยรักษาอาการอักเสบ ช่วยแก้ท้องเสีย แก้อาการอักเสบและมีหนอง
    – ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยบำบัดอาการบวมน้ำ ช่วยแก้อาการบวม ด้วยการนำเปลือกชั้นนอกของผลฟักไปตากแดดให้แห้งแล้วนำมาผสมรวมกับเยื่อหุ้มถั่วแระ ดอกต้นกก (เต็งซัมฮวย) น้ำตาลกรวด แล้วนำมาล้างรอให้สะเด็ดน้ำจนแห้ง จากนั้นใส่ในหม้อดินแล้วเติมน้ำพอประมาณ ทำการต้มด้วยไฟแรงประมาณ 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วกรองเอาแต่น้ำมาแช่ในตู้เย็นเก็บไว้ดื่มเป็นยาแก้อาการ
  • สรรพคุณจากราก ช่วยแก้ไข้ แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยในการถอนพิษ
    – รักษาโรคหนองใน ด้วยการนำรากมาต้ม
  • สรรพคุณจากเถาสด ช่วยรักษาหากมีอาการไข้สูง ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร
  • สรรพคุณจากใบ ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยแก้โรคบิด แก้อาการฟกช้ำ รักษาบาดแผล ช่วยแก้อาการบวม แก้อาการอักเสบและมีหนอง แก้พิษจากการถูกผึ้งต่อย
  • สรรพคุณจากไส้ในผล ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้อาการกระหายน้ำและช่วยให้คอชุ่มชื้น ช่วยแก้อาการบวม แก้อาการอักเสบและมีหนอง
    – ลบเลือนรอยด่างดำบนในหน้า ด้วยการนำไส้ในผลสด 30 – 60 กรัม มาต้มหรือคั้นเอาแต่น้ำ
  • สรรพคุณจากผลและเปลือก
    – ช่วยลดน้ำหนักและไขมันในเส้นเลือด ด้วยการใช้เนื้อในผลฟักและเปลือกมาต้มเป็นชาดื่มแทนน้ำเป็นประจำ
  • สรรพคุณจากเถ้าเปลือก ใช้ใส่แผล

ประโยชน์ของฟัก

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำผลมาทำเป็นอาหารคาวและหวานด้วยการนำมาต้ม ผัด แกงหรือทำเป็นขนมหวานในช่วงเทศกาล เช่น เมนูแกงฟัก ฟักเขียวผัดไข่ ฟักเชื่อม ฟักเขียวแช่อิ่มแห้ง ขนมฟักเขียว ขนมจันอับสำหรับไหว้ตรุษจีน เป็นต้น ยอดอ่อนนำมาลวกหรือต้มกับกะทิแล้วทานคู่กับน้ำพริก ใบอ่อนและตาดอกฟักเขียวนำไปนึ่งหรือใส่ในแกงจืดเพื่อเพิ่มรสชาติได้ เมล็ดนำมาทำให้สุกใช้รับประทานได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรม ขี้ผึ้งที่หุ้มผลสามารถนำมาใช้ทำเทียนได้

วิธีการเลือกซื้อและเก็บรักษาฟักเขียว

  • การเลือกซื้อฟักเขียว ควรเลือกฟักที่มีเนื้อแข็ง ภายในฟักต้องมีขอบของเยื่อเป็นสีเขียวเข้มแล้วค่อย ๆ จางเป็นสีขาวจนถึงตรงกลาง
  • การเก็บรักษาฟักเขียว ใช้การแว็กซ์หรือใช้ขี้ผึ้งเคลือบผิวภายนอกทำให้เก็บรักษาได้เป็นเดือน ๆ ส่วนผลที่ผ่าแล้วเหลือใช้ให้นำส่วนที่เหลือมาทาปูนแดงที่กินกับหมาก โดยทาตรงรอยผ่าฟักชิ้นนั้นจะทำให้เก็บรักษาได้นานหลายวัน

คุณค่าทางโภชนาการของฟักเขียวสด

คุณค่าทางโภชนาการของฟักเขียวสด ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 13 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม
เส้นใย 2.9 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โปรตีน 0.4 กรัม
วิตามินบี1 0.04 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี2 0.011 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี3 0.4 มิลลิกรัม (3%) 
วิตามินบี5 0.133 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี6 0.035 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินซี 13 มิลลิกรัม (16%)
แคลเซียม 19 มิลลิกรัม (2%)
เหล็ก 0.4 มิลลิกรัม (3%)
แมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม (3%)
แมงกานีส 0.058 มิลลิกรัม (3%)
ฟอสฟอรัส 19 มิลลิกรัม (3%)
โซเดียม 111 มิลลิกรัม (7%) 
สังกะสี 0.61 มิลลิกรัม (6%)

ฟักเขียวเป็นพืชอายุสั้น มีฤทธิ์เป็นยาเย็นจึงเหมาะที่จะรับประทานในช่วงอากาศร้อน เถาสดของฟักเขียวมีรสขมเย็น ถือเป็นผักที่นิยมนำมาใช้ประกอบอาหารมากกว่าใช้ในด้านอื่น ๆ มีสารอาหารมากมายและสามารถนำทุกส่วนของต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นหลากหลายทั้งดีต่อระบบขับถ่ายและระบบเลือด ช่วยแก้ไข้และแก้อาการร้อนใน แก้พิษและแก้อาการอักเสบ และยังช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายอีกด้วย เป็นพืชที่มีสรรพคุณจนนับไม่ถ้วนและยังหาง่าย นำมาปรุงรสได้ง่ายอีกด้วย ฟักเขียวเป็นผักที่คู่ควรแก่การนำมารับประทานเป็นเมนูประจำอย่างยิ่ง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

หางนกยูงฝรั่ง ไม้ประดับสีแสดสะดุดตา มีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการบวม

0
หางนกยูงฝรั่ง ไม้ประดับสีแสดสะดุดตา มีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการบวม
หางนกยูงฝรั่ง ดอกมีสีแดงแสดหรือสีเหลือง ฝักแบนโค้งรูปดาบ ออกดอกช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
หางนกยูงฝรั่ง ไม้ประดับสีแสดสะดุดตา มีสรรพคุณทางยา ช่วยบรรเทาอาการบวม
หางนกยูงฝรั่ง ดอกมีสีแดงแสดหรือสีเหลือง ฝักแบนโค้งรูปดาบ ออกดอกช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม

หางนกยูงฝรั่ง

หางนกยูงฝรั่ง (Flam boyant) เป็น ไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มักจะพบได้ทั่วไป ในเมืองกรุงนั้นสามารถพบได้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้นไม้ที่แผ่กว้างอย่างร่มเงา ดอกมีสีแสดที่มองไกล ๆ แล้วต้องสะดุดตา แต่ต้นหางนกยูงฝรั่งนั้นกลับมีสรรพคุณทางยาที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย แม้ว่าจะไม่มากเท่าผักผลไม้อื่น ๆ ก็ตาม

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหางนกยูงฝรั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Delonix regia (Hook.) Raf.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Flam – boyant” “The Flame tree” “Royal poinciana”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “นกยูงฝรั่ง อินทรี” ภาคเหนือเรียกว่า “นกยูง นกยูงฝรั่ง ชมพอหลวง ส้มพอหลวง” ภาคใต้เรียกว่า “หงอนยูง” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เรียกว่า “ยูงทอง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของหางนกยูงฝรั่ง

หางนกยูงฝรั่ง เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่เกาะมาดากัสการ์ในทวีปแอฟริกา ต้นแผ่กว้างเป็นทรงกลมคล้ายร่ม มักจะขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดเป็นหลัก
เปลือก : เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อนอมขาวไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม
ราก : เมื่อต้นโตเต็มที่มักจะมีรากโผล่ขึ้นมาบนดินโดยรอบ
ใบ : เป็นใบประกอบขนนกสองชั้นเรียงเวียนสลับกัน แผ่นใบเป็นรูปขอบขนาน ปลายกลมโคนเบี้ยว ผิวใบเกลี้ยง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่งและตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกมีสีแดงแสดหรือสีเหลือง ในประเทศไทยฤดูที่ออกดอกของต้นหางนกยูงฝรั่งก็คือช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม
ผล : เป็นฝักแบนโค้งรูปดาบ
เมล็ด : ในผลมีเมล็ดเรียงตามขวาง มีลักษณะกลม เมล็ดอ่อนมีสีเขียวส่วนเมล็ดแก่เต็มที่จะเป็นสีเทาอมขาว

สรรพคุณหางนกยูงฝรั่ง

รากของต้น ใช้เป็นยาขับโลหิตสตรี ช่วยแก้อาการบวมต่าง ๆ
ลำต้น นำมาฝนใช้ทาแก้พิษ ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้

ประโยชน์ของหางนกยูงฝรั่ง

1. ปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกไว้ประดับตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างสวนสาธารณะ มหาวิทยาลัย ตามขอบถนน เพราะเป็นต้นไม้ที่มีสีสวยงามสะดุดตา และทนทานต่อความร้อนและความแห้งแล้งในประเทศไทย
2. เป็นส่วนประกอบของอาหาร รากนำมาต้มหรือนำมาทอดรับประทานร่วมกับอาหารได้ นำเมล็ดมาทำเป็นขนมหวาน เมล็ดอ่อนสามารถนำมารับประทานสดได้ เมล็ดแก่ต้องนำมาทำให้สุกก่อนจึงจะสามารถรับประทานได้

หางนกยูงฝรั่ง เป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณทางยารักษา และยังเป็นไม้ประดับที่สวยงาม ช่วยทำให้ร่มเย็นและผ่อนคลาย ถือเป็นไม้ยืนต้นที่น่าสนใจในการนำมาปลูกประดับไว้ สรรพคุณที่โดดเด่นของหางนกยูงฝรั่งคือ เป็นยาขับโลหิตสตรี ช่วยแก้อาการบวมต่าง ๆ ช่วยถอนพิษ และยังนำมารับประทานได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พลองเหมือด ช่วยแก้ไข้ป่า บำรุงน้ำนมและรักษาโรคกระเพาะ

0
พลองเหมือด ช่วยแก้ไข้ป่า บำรุงน้ำนมและรักษาโรคกระเพาะ
พลองเหมือด ผลไม้ที่มีรสฝาดหวาน ผลเดี่ยวคล้ายลูกหว้า ใช้เป็นยาสมุนไพร
พลองเหมือด ช่วยแก้ไข้ป่า บำรุงน้ำนมและรักษาโรคกระเพาะ
พลองเหมือด ผลไม้ที่มีรสฝาดหวาน ผลเดี่ยวคล้ายลูกหว้า ใช้เป็นยาสมุนไพร

พลองเหมือด

พลองเหมือด (Memecylon edule Roxb) เป็น ผลไม้ที่มีรสฝาดหวานชนิดหนึ่ง มีการนำพลองเหมือดมาใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่ในยุคปัจจุบันถือเป็นผลไม้ที่คนส่วนมากไม่ค่อยรู้จักกัน บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อพลองเหมือดเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ เป็นผลไม้ที่นำมาใช้เป็นยาได้หลายส่วนจากทั้งต้น ราก ใบ และผล มีสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมต่อร่างกาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของพลองเหมือด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Memecylon edule Roxb.
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “ผักไคร้มด” จังหวัดมหาสารคามเรียกว่า “เหมือดแอ่” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เรียกว่า “พลองดำ” จังหวัดสุรินทร์เรียกว่า “เหมียด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์โคลงเคลง (MELASTOMATACEAE)
ชื่อพ้อง : Memecylon edule var. scutellatum (Lour.) Triana, Memecylon scutellatum (Lour.) Hook. & Arn.

ลักษณะของพลองเหมือด

พลองเหมือด เป็นไม้พุ่มกึ่งยืนต้นขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย มักจะพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแห้งและป่าผสมผลัดใบ ในประเทศไทยมักจะพบในภาคอีสาน
ใบ : เป็นใบเดี่ยว มีลักษณะของใบเป็นรูปวงรีคล้ายโล่ แผ่นใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ปลายใบแหลมและขอบใบขนาน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุกอยู่ตามซอกใบ กลีบดอกมีสีม่วง มีฐานรองดอกคล้ายรูประฆัง
ผล : เป็นผลเดี่ยวคล้ายลูกหว้า ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะมีสีม่วงเกือบดำ
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ลักษณะกลม

สรรพคุณของพลองเหมือด

  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย บำรุงเลือด
  • สรรพคุณด้านน้ำนมแม่ บำรุงน้ำนม
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ
    – แก้ไข้ป่าเมื่อนำไปผสมกับเหมือดโลด
    – รักษาอาการหอบหืด ด้วยการนำรากหรือลำต้นมาต้มผสมกับแก่นพลับพลา แก่นจำ แก่นโมกหลวง ต้นสบู่ขาว หรือต้นกำแพงเจ็ดชั้น
    – แก้อาการประดงหรืออาการโรคผิวหนังมีผดคันขึ้นเป็นเม็ดและมักจะมีอาการไข้ร่วม ด้วยการนำรากมาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น นำไปต้มแล้วดื่ม
    – ลดรอยแตกของส้นเท้า ด้วยการนำน้ำยางจากลำต้นมาใช้ทา
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5
    – ทำให้เหงือกและฟันแข็งแรงขึ้น ด้วยการตัดลำต้นแล้วเอาไปเผาไฟ นำน้ำเลี้ยงที่ไหลออกมาตรงบริเวณรอยตัดมาถูฟัน
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย
    – แก้โรคกระเพาะ ด้วยการนำรากหรือลำต้นมาต้มแล้วดื่ม
    – ขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะขัด ด้วยการนำต้นและใบมาต้มเป็นน้ำดื่มวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น ครั้งละ 1 แก้ว

ประโยชน์ของพลองเหมือด

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสุกใช้รับประทานเป็นผลไม้ ยอดอ่อนนำมารับประทานเป็นผักสดร่วมกับน้ำพริกหรือแจ่ว ใบแก่ช่วยให้พริกมีสีสดและป้องกันไม่ให้แมลงมากัดกินพริก
2. ประโยชน์ด้านการเกษตร เป็นไม้ปลูกประดับ แก่นหรือใบสามารถนำไปต้มให้สัตว์รับประทานได้ ลำต้นใช้ทำอุปกรณ์ด้ามเสียม แอกวัว หรือเครื่องมือสำหรับคล้องคอวัวควายเมื่อออกไปไถนา ทำเป็นซี่ฟันของคราดนาเพื่อหว่านกล้าข้าว แก่นของต้นใช้ทำง่ามหนังสติ๊ก
3. ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ลูกดิบใช้ทำเป็นของเล่นเด็กอย่างบั้งโป๊ะ แก่นสามารถนำไปย้อมไหมแทนหนามแขได้ กิ่งและลำต้นนำไปเผาทำเป็นน้ำด่างใช้ในการย้อมครามของไหมและฝ้าย

พลองเหมือด เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งการนำมารับประทานสดหรือนำส่วนต่าง ๆ ของต้นไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกายเมื่อรับประทานเข้าไป สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยแก้ไข้ป่า รักษาอาการหอบหืด รักษาโรคกระเพาะและบำรุงน้ำนม เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่น่าลองชิมสำหรับคนที่ไม่เคยรับประทาน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

จำปาดะ ผลไม้ภาคใต้ บำรุงร่างกาย รักษามะเร็ง แก้ไข้มาลาเรีย

0
จำปาดะ
จำปาดะ ผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายขนุนแต่เล็กกว่า ผิวบางและเหนียว มีสีเขียวหรือสีเหลืองอมน้ำตาล เนื้อหุ้มเมล็ดมีสีเหลืองอมขาวถึงสีส้ม ผลสุกเปลือกจะนิ่มและมียางน้อย มีรสหวานและมีกลิ่นหอม
จำปาดะ ผลไม้รสหวานของภาคใต้ ช่วยบำรุงร่างกาย รักษามะเร็งและไข้มาลาเรียได้
จำปาดะ ลักษณะคล้ายขนุนแต่เล็กกว่า ผิวบางและเหนียว เนื้อหุ้มเมล็ดมีสีเหลืองอมขาวถึงสีส้ม ผลสุกเปลือกจะนิ่มและมียางน้อย มีรสหวานและมีกลิ่นหอม

จำปาดะ

จำปาดะ (Champedak) เป็น ผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับขนุนแต่มีผลขนาดเล็กกว่า เป็นผลไม้ที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก มีรสชาติหวานอร่อยและมีกลิ่นเฉพาะตัว ส่วนมากมักจะนิยมในทางภาคใต้ของประเทศไทยเนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมลายู อินโดนีเซียและเกาะนิวกินี เป็นผลไม้ที่หาซื้อได้ยากเนื่องจากให้ผลปีละครั้งและปลูกกันทางภาคใต้เป็นส่วนมาก ในปัจจุบันมีการนำจำปาดะมาทอดเป็นเมนู “จำปาดะทอด” ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าจำปาดะในรูปแบบอื่น ๆ

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของจำปาดะ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Artocarpus integer
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Champedak”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “จำดะ” ชาวมาเลเซียเรียกว่า “Bankong” ทั่วไปเรียกกันว่า “ขนุนถิ่นใต้”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขนุน (MORACEAE)
ชื่อพ้อง : Artocarpus champeden (Lour.) Stokes Artocarpus hirsutissimus Kurz Artocarpus integrifolius L.f.

ลักษณะของจำปาดะ

จำปาดะ เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมลายู อินโดนีเซียและเกาะนิวกินี ส่วนในประเทศไทยปลูกได้ดีทางภาคใต้ จำปาดะจะมียางสีขาวอยู่ทุกส่วนของต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกันเป็นรูปวงรี ใบมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน
ดอก : เป็นดอกเพศผู้และเพศเมียแยกกันแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกมีสีขาวหรือสีเหลือง
ผล : ผลคล้ายขนุนแต่เล็กกว่า เป็นรูปทรงกระบอกไปจนถึงทรงกลม ผิวบางและเหนียว มีสีเขียวหรือสีเหลืองอมน้ำตาล และมีลวดลายเป็นรูปห้าเหลี่ยม มีทั้งที่นูนขึ้นหรือแบนเรียบ เนื้อหุ้มเมล็ดมีสีเหลืองอมขาวถึงสีส้ม ผลอ่อนมีสีน้ำตาลปนเหลือง เปลือกแข็งและมียางมาก ส่วนผลสุกจะเปลือกนิ่มและมียางน้อย มีรสหวานและมีกลิ่นหอม
เมล็ด : เมล็ดมีลักษณะทรงกลมแบน

ขนุนกับจำปาดะต่างกันอย่างไร

จำปาดะ มีขนาดผลเล็กกว่า เปลือกปอกง่ายกว่า เนื้อนิ่มกว่า มีรสหวานและน้ำเยอะกว่า กลิ่นแรงกว่า และไม่มีใยเหนียวหนืดเป็นยางมาคั่นระหว่างเมล็ดเหมือนขนุน
ขนุน ผลสวยกว่าและเคี้ยวง่ายกว่าจำปาดะ

สรรพคุณของจำปาดะ

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เนื้อผลสุกและเมล็ดช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยขับสารพิษออกไปจากร่างกาย
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค เปลือกป้องกันโรคมะเร็งและช่วยรักษาโรคมาลาเรีย
  • สรรพคุณด้านไขมัน ช่วยขับไขมัน
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย เนื้อผลสุกเป็นยาระบายอ่อน ๆ เนื้อผลอ่อนแก้อาการท้องเสีย
  • สรรพคุณเนื้อผลอ่อนช่วยฝาดสมาน
  • สรรพคุณสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เมล็ดช่วยขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด ในประเทศมาเลเซียใช้รากเป็นส่วนผสมของยาสมุนไพรแบบดั้งเดิมสำหรับหญิงที่เพิ่งคลอดบุตร

ประโยชน์ของจำปาดะ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสุกนิยมรับประทานสดเป็นผลไม้ นำมาแปรรูปเป็นเมนูของภาคใต้อย่างจำปาดะทอด ทำเป็นขนมหวานอย่างข้าวต้มมัดไส้จำปาดะ เมล็ดใช้ทำเป็นอาหารคาว เช่น นำมาใส่แกงพุงปลา แกงคั่วกะทิ หรือจะรับประทานร่วมกับขนมจีนก็ได้ นำผลอ่อนมาปรุงเป็นอาหาร นำเมล็ดมาต้มหรือเผาเพื่อรับประทาน ใบอ่อนเป็นผักลวกจิ้มหรือรับประทานร่วมกับส้มตำ
2. ใช้ในอุตสาหกรรม ลำต้นใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างและใช้ทำอุปกรณ์ทำการเกษตร แก่นของต้นสามารถนำไปต้มใช้ย้อมสีจีวรพระได้

คุณค่าทางโภชนาการของจำปาดะ (ผลสุก)

คุณค่าทางโภชนาการของจำปาดะ (ผลสุก) ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 116 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 3.0 กรัม
ไขมัน 0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 28.6 กรัม
วิตามินเอ 200 หน่วยสากล
วิตามินบี1 0 มิลลิกรัม
วิตามินซี 15 มิลลิกรัม
แคลเซียม 20 มิลลิกรัม 
ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม

จำปาดะ เป็นผลไม้ที่นิยมในทางภาคใต้ของประเทศไทย มีรสหวานและอร่อยผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกของจำปาดะ เป็นผลไม้ที่มีรูปร่างเหมือนกับขนุนแต่มีขนาดเล็กกว่า สามารถนำทุกส่วนของต้นมาใช้ประกอบอาหารในรูปแบบต่าง ๆ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยบำรุงร่างกาย เป็นยาระบาย ช่วยขับน้ำนม รักษาโรคมะเร็งและโรคมาลาเรียได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ตะลิงปลิง ผลไม้รสเปรี้ยวจากถิ่นใต้ ช่วยดับพิษร้อนของไข้และบำรุงกระเพาะอาหาร

0
ตะลิงปลิง ผลไม้รสเปรี้ยวจากถิ่นใต้ ช่วยดับพิษร้อนของไข้และบำรุงกระเพาะอาหาร
ตะลิงปลิง กลมยาวปลายมน ออกผลเป็นช่อ ผลเรียบสีเขียว มีรสเปรี้ยวมาก
ตะลิงปลิง ผลไม้รสเปรี้ยวจากถิ่นใต้ ช่วยดับพิษร้อนของไข้และบำรุงกระเพาะอาหาร
ตะลิงปลิง กลมยาวปลายมน ออกผลเป็นช่อ ผลเรียบสีเขียว มีรสเปรี้ยวมาก

ตะลิงปลิง

ตะลิงปลิง (Averrhoa bilimbi) เป็น ไม้เขตร้อนที่มีลักษณะคล้ายกับมะเฟือง เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นิยมทางภาคใต้ คนไทยส่วนมากไม่ค่อยได้ยินชื่อสักเท่าไหร่ ผลของตะลิงปลิงนั้นมีรสเปรี้ยวมาก สามารถนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ได้ ดื่มแล้วรู้สึกสะใจและสดชื่น นอกจากทำน้ำดื่มแล้วยังสามารถนำไปประกอบในอาหารได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตะลิงปลิง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Bilimbi” “Bilimbing” “Cucumber tree” “Tree sorrel”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “มะเฟืองตรน หลิงปลิง” จังหวัดนราธิวาสเรียกว่า “บลีมิง” จังหวัดระนองเรียกว่า “กะลิงปริง ลิงปลิง ลิงปลิง ปลีมิง” เกาะสมุยเรียกว่า “มูงมัง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กระทืบยอด (OXALIDACEAE)

ลักษณะของตะลิงปลิง

ตะลิงปลิง เป็นไม้ยืนต้นเขตร้อนที่คาดว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากหมู่เกาะมาลูกู ในประเทศอินโดนีเซีย
เปลือกต้น : เปลือกต้นมีสีชมพู ผิวเรียบมีขนนุ่มปกคลุมอยู่ตามกิ่ง มีการแตกกิ่งก้านสาขามาก
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนก ใบมีสีเขียวอ่อนและมีขุยนุ่มปกคลุม ใบคล้ายรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบมน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อหลายช่อตามกิ่งและลำต้น ดอกสีแดงเข้ม มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เป็นสีเขียวอมชมพู มีเกสรกลางดอกเป็นสีขาว
ผล : มีลักษณะกลมยาวปลายมน ออกผลเป็นช่อห้อย ผิวของผลมีลักษณะเรียบสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีเหลือง เนื้อข้างในเป็นเนื้อเหลว มีรสเปรี้ยว
เมล็ด : ลักษณะของเมล็ดตะลิงปลิงจะแบนยาวและมีสีขาว

สรรพคุณของตะลิงปลิง

  • สรรพคุณจากผล ทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ฟอกโลหิต รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาลดไข้ ช่วยละลายเสมหะและแก้เสมหะเหนียวข้น บำรุงกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร เป็นยาบำรุงแก้อาการปวดมดลูก ช่วยฝาดสมาน
    – งานวิจัยในประเทศฟิลิปปินส์พบว่าน้ำคั้นจากผลตะลิงปลิงมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิด โดยเชื่อว่าสเตอรอยด์ไกลโคไซด์และกรดออกซาลิกในน้ำคั้นมีส่วนในการออกฤทธิ์คุมกำเนิด
  • สรรพคุณจากราก แก้พิษร้อนใน แก้กระหายน้ำ ประเทศฟิลิปปินส์ใช้รากพอกรักษาคางทูม ดับพิษร้อนของไข้ บำรุงกระเพาะอาหาร แก้อาการเลือดออกตามกระเพาะอาหารและลำไส้ รักษาอาการอักเสบของลำไส้ รักษาซิฟิลิส (Syphilis) บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร บรรเทาอาการของโรคเกาต์ แก้ไขข้ออักเสบ ช่วยฝาดสมาน พอกแก้อาการคัน ลดอาการบวมแดง
  • สรรพคุณจากใบ ประเทศฟิลิปปินส์ใช้ใบพอกรักษาคางทูม ใบต้มช่วยรักษาอาการอักเสบของลำไส้และรักษาซิฟิลิส (Syphilis) รักษาโรครูมาตอยด์ แก้ไขข้ออักเสบ รักษาอาการอักเสบ พอกแก้อาการคัน ลดอาการบวมแดง
    – งานวิจัยที่ประเทศสิงคโปร์พบว่าสารสกัดเอทานอลในใบตะลิงปลิง สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดของสัตว์ทดลองได้
  • สรรพคุณจากดอก ชงเป็นชาดื่มช่วยแก้อาการไอ

ประโยชน์ของตะลิงปลิง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลสามารถนำมารับประทานร่วมกับพริกเกลือหรือนำไปใส่แกง และทำเป็นเมนูน้ำพริกตะลิงปลิง ปลาทูต้มตะลิงปลิง ยำตะลิงปลิง เป็นต้น อีกทั้งยังนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้ด้วย
2. เป็นยาเสริมความงาม ใบและรากสามารถนำมาพอกใช้รักษาสิวได้

คุณค่าทางโภชนาการของตะลิงปลิง (เฉพาะส่วนที่กินได้)

คุณค่าทางโภชนาการของตะลิงปลิง (เฉพาะส่วนที่กินได้) ต่อ 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 0.61 กรัม
แคโรทีน 0.035 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.010 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.026 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.302 มิลลิกรัม
วิตามินซี 15.5 มิลลิกรัม
แคลเซียม 3.4 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.01 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 11.1 มิลลิกรัม

วิธีทำน้ำตะลิงปลิง

1. ทำน้ำเชื่อมด้วยการต้มน้ำ 3 ถ้วยครึ่ง แล้วเติมน้ำตาล 2 ถ้วย จนเดือดรวมกันเป็นเนื้อเดียว แล้วปิดเตาทิ้งไว้ให้เย็น
2. นำตะลิงปลิงครึ่งกิโลกรัมมาล้างให้สะอาด เอาขั้วและเมล็ดออก จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ
3. นำตะลิงปลิงที่หั่นใส่เครื่องปั่น 1 ส่วน เติมน้ำเชื่อมลงไปครึ่งหนึ่ง แล้วเติมเกลือครึ่งช้อนโต๊ะแล้วปั่นให้ละเอียด
4. เทลงในตะแกรงแล้วกรองเอากากออก
5. ทำการปรุงตามต้องการด้วยการเติมเกลือหรือใส่กับน้ำแข็งเกล็ดก็จะช่วยเพิ่มความอร่อย

ตะลิงปลิง เป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่เริ่มจะสูญพันธุ์ไปเรื่อย ๆ เพราะไม่ค่อยนิยมมากนัก ในปัจจุบันมักจะพบในรูปแบบเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ด้วยรสเปรี้ยวนั้นทำให้ร่างกายตื่นตัวและสดชื่นขึ้น ตะลิงปลิงมีประโยชน์แต่ก็ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปเพราะจะทำให้เลือดตกตะกอนได้ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาคางทูม รักษาอาการอักเสบของลำไส้ ดับพิษร้อนของไข้และบำรุงกระเพาะอาหาร

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ถั่วฝักยาว มีสรรพคุณมากกว่าที่คิด ช่วยแก้ตกขาว บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ

0
ถั่วฝักยาว มีสรรพคุณมากกว่าที่คิด ช่วยแก้ตกขาว บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ถั่วฝักยาว ฝักมีลักษณะกลม ฝักยาว มีรสชาติกรอบนอก
ถั่วฝักยาว มีสรรพคุณมากกว่าที่คิด ช่วยแก้ตกขาว บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ถั่วฝักยาว ฝักมีลักษณะกลม ฝักยาว มีรสชาติกรอบนอก

ถั่วฝักยาว

ถั่วฝักยาว (Yard long bean) เป็น ผักที่นิยมอย่างมากในเอเชียรวมถึงในประเทศไทย เป็นส่วนประกอบของอาหารหลายอย่างโดยเฉพาะอาหารขึ้นชื่อของเราเลยก็คือ “ส้มตำ” เป็นผักประเภทถั่วที่มีรสชาติกรอบนอก เป็นหนึ่งในผักที่ค่อนข้างมีรสชาติถูกปาก เป็นผักที่คนทั่วไปรู้จัก มีลักษณะกลมยาวสีเขียวที่ดูเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้ว่าคือถั่วฝักยาว แน่นอนว่ามีสรรพคุณต่อร่างกายมากมาย แต่มีประโยชน์ในด้านไหนบ้างคาดว่าคนทั่วไปยังไม่รู้มากนัก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของถั่วฝักยาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vigna unguiculata (L.) Walp. และ Vigna unguiculata subsp. sesquipedalis (L.) Verdc.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Yard long bean”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ถั่วนา ถั่วขาวหรือถั่วฝักยาว” ภาคเหนือเรียกว่า “ถั่วหลา ถั่วปีหรือถั่วดอก”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Vigna sinensis (L.) Savi ex Hausskn., Vigna sinensis (L.) Savi ex Hassk., Vigna unguiculata subsp. Unguiculata

ลักษณะของถั่วฝักยาว

ถั่วฝักยาว เป็นไม้เลื้อยสีเขียวอ่อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและอินเดีย
ใบ : เป็นใบประกอบแบบฝ่ามือ ลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกเป็นสีขาวหรือน้ำเงินอ่อน
ฝัก : ฝักมีลักษณะกลม
เมล็ด : มีเมล็ดจำนวนมาก

การนำไปใช้ประโยชน์ของถั่วฝักยาว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนหนึ่งในอาหารพวก ส้มตำ ผัดผัก แกงส้มถั่วฝักยาว เป็นต้น
2. เป็นวัตถุดิบในด้านอุตสาหกรรมแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง

ประโยชน์ของถั่วฝักยาว

  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงฟัน ป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณด้านกระดูก บำรุงกระดูกและป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
  • สรรพคุณด้านความงาม ลดความอ้วนเนื่องจากมีสรรพคุณเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการเกิดโรคหวัด
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ
    – แก้อาเจียน ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดนำมาคั้นหรือต้มกินกับน้ำ
    – รักษาฝีเนื้อร้าย ด้วยการใช้รากสดไปเผาแล้วบดละเอียดผสมกับน้ำแล้วทาบริเวณที่มีอาการ
    – รักษาอาการปวดบวม ปวดตามเอวและรักษาแผลที่เต้านม ด้วยการใช้เปลือกฝักประมาณ 100 – 150 กรัม มาต้มกินหรือนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ปวด
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย
    – แก้อาการเบื่ออาหารของเด็กจากกระเพาะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้รากสดมาผสมกับรากเถาตดหมาตดหมู แล้วนำมาตุ๋นกินกับเนื้อวัว
    – แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นท้อง เรอเปรี้ยว ด้วยการเคี้ยวฝักสดกิน
    – รักษาอาการปัสสาวะเป็นหนอง ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 60 – 100 กรัม มาต้มกับน้ำ
    – แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดมาคั้นสดหรือต้มกินกับน้ำ
    – แก้ตกขาว ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดผสมกับผักบุ้งแล้วนำมาตุ๋นกับเนื้อไก่พร้อมรับประทาน
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค
    – รักษาโรคหนองใน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 60 – 100 กรัม มาต้มกับน้ำ หากโรคหนองในไหลให้ใช้รากสดไปเผาแล้วบดจนละเอียด ผสมกับน้ำแล้วใช้ทา
  • สรรพคุณช่วยบำรุงอวัยวะ
    – บำรุงม้ามและไต ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดนำมาคั้นหรือต้มกินกับน้ำ หรือจะใช้รากนำมาตุ๋นกินเนื้อก็ได้ บำรุงไตอีกวิธีคือ ใช้ถั่วสดหรือเมล็ดนำมาต้มกับน้ำผสมกับเกลือ
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ ช่วยทำให้เนื้อเยื่อเจริญเร็วขึ้น
    – แก้กระหายและชุ่มชื่น ด้วยการใช้เมล็ดแห้งหรือสดนำมาคั้นสดหรือต้มกินกับน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการของถั่วฝักยาว

คุณค่าทางโภชนาการของถั่วฝักยาวต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 47 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 8.35 กรัม
ไขมัน 0.4 กรัม
โปรตีน 2.8 กรัม
วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม (5%) 
วิตามินบี1 0.107 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี2 0.11 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี3 0.41 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี5 0.55 มิลลิกรัม (11%)
วิตามินบี6 0.024 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี9 62 ไมโครกรัม (16%)
วิตามินซี 18.8 มิลลิกรัม (23%)
แคลเซียม 50 มิลลิกรัม (5%)
เหล็ก 0.47 มิลลิกรัม (4%)
แมกนีเซียม 44 มิลลิกรัม (12%)
แมงกานีส 0.205 มิลลิกรัม (10%)
ฟอสฟอรัส 59 มิลลิกรัม (8%)
โพแทสเซียม 240 มิลลิกรัม (5%)
สังกะสี 0.37 มิลลิกรัม (4%)

ข้อควรระวัง

1. ระมัดระวังในการเลือกซื้อและการทำความสะอาดถั่วฝักยาว เนื่องจากตรวจพบว่ามีสารไซเพอร์เมทริน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ปวดท้องหากรับประทานเข้าไปและเมโทมิลซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชั้นดี สารพวกนี้เป็นสารที่อยู่ในกลุ่มคาร์บาเมตและไพรีทรอยด์ เป็นสารพวกยาฆ่าแมลงที่เป็นพิษมากมายโดยเฉพาะมะเร็ง
2. ผู้ที่มีอาการท้องผูก ไม่ควรรับประทานเมล็ดของถั่วฝักยาว

ถั่วฝักยาว เป็นถั่วที่มีลักษณะโดดเด่น ใคร ๆ ก็รู้จักเพราะหาได้ง่าย มีรสชาติที่ไม่ฝาดขมเหมือนผักอื่น ๆ มักจะพบในอาหารพวกส้มตำและผัดเผ็ด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบขับถ่าย และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นผักที่รับประทานได้เรื่อย ๆ หรือจะนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็มีรสชาติดีเหมือนกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ทุเรียนเทศ ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ช่วยต้านมะเร็งได้

0
ทุเรียนเทศ ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ช่วยต้านมะเร็งได้
ทุเรียนเทศ ผลสีเขียว เปลือกผลมีหนาม ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว มีเนื้อสีขาวและฉ่ำน้ำ
ทุเรียนเทศ ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวที่ช่วยต้านมะเร็งได้
ทุเรียนเทศ ผลสีเขียว เปลือกผลมีหนาม ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว มีเนื้อสีขาวและฉ่ำน้ำ

ทุเรียนเทศ

ทุเรียนเทศ หรือเรียกกันว่า “ทุเรียนน้ำ” (Soursop) เป็น ผลที่มีลักษณะคล้ายทุเรียน เชื่อว่าคนไทยทุกคนต้องรู้จักทุเรียนแต่ยังไม่รู้จักทุเรียนเทศ เป็นผลที่มีฤทธิ์ทางยาและนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร มีการเพาะปลูกมากในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นผลชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์และให้สารที่จำเป็นต่อร่างกายสูง สามารถนำส่วนประกอบของต้นทุเรียนเทศมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของทุเรียนเทศ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Annona muricata L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Soursop” และ “Prickly custard apple”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ทุเรียนแขก” ภาคเหนือเรียกว่า “มะทุเรียน” ภาคใต้เรียกว่า “ทุเรียนน้ำ” ภาคอีสานเรียกว่า “หมากเขียบหลด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กระดังงา (ANNONACEAE)

ลักษณะของทุเรียนเทศ

ทุเรียนเทศ มีการเพาะปลูกมากในแถบอเมริกากลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพืชที่ชอบพื้นที่ที่มีความชื้นสูง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้ม ตัวใบมีความมันเงา
ดอก : ออกดอกตามกิ่งก้านและลำต้นตลอดทั้งปี มีกลีบดอกแข็ง
ผล : ผลสีเขียว เปลือกผลมีหนาม หากผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยว มีเนื้อสีขาวและฉ่ำน้ำ
เมล็ด : เมล็ดแก่สีดำ

การนำไปใช้ประโยชน์ของทุเรียนเทศ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประกอบอาหารอย่างแกงส้ม นำมารับประทานเป็นผลไม้สด ทำเป็นน้ำผลไม้ แปรรูปเป็นผลไม้กวนต่าง ๆ ไอศกรีม เยลลี่ ซอส รวมไปถึงผลไม้กระป๋อง
2. ใช้ในการเกษตร เมล็ดนำมาใช้ทำยาเบื่อและทำเป็นยาฆ่าแมลงศัตรูพืช
3. ใช้เป็นยาสมุนไพร ผลดิบนำมาตำแล้วพอกเป็นยาฝาดสมาน

ประโยชน์ของทุเรียนเทศ

  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค
    – มีฤทธิ์ในการต่อต้านไวรัสและเซลล์มะเร็ง จากงานวิจัยในอเมริกาบอกว่าให้นำส่วนของใบ เมล็ด และลำต้นของทุเรียนเทศมาสารสกัด
    – รักษาโรคผิวหนัง ด้วยการนำใบมาขยี้ผสมกับปูนแล้วนำมาทา
  • สรรพคุณด้านการผ่อนคลาย ใบเป็นยาระงับประสาท
    – ทำให้นอนหลับสบาย ด้วยการนำใบมาชงดื่ม หรือนำใบมาใส่ไว้ในหมอนหนุน
    – แก้เครียด ด้วยการนำรากและเปลือกมาชงชาแล้วดื่ม
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ ต้านการอักเสบ น้ำสกัดจากเนื้อช่วยขับพยาธิ
    – ลดอาการเจ็บปวดและลดการเกร็ง ด้วยการนำรากและเปลือกมาชงชาแล้วดื่ม
    – แก้อาการเมา ด้วยการใช้ใบขยี้ลงในน้ำผสมกับน้ำมะนาว 2 ลูก แล้วนำมาจิบเล็กน้อย จากนั้นเอาน้ำที่เหลือลูบหัว
    – บรรเทาอาการไข้ ด้วยการนำใบมาใช้ปูให้ผู้ป่วยที่เป็นไข้นอน เมื่อตื่นมาจะมีอาการดีขึ้น
    – แก้อาการไอ อาการปวดตามข้อ ด้วยการนำใบมาขยี้ผสมกับปูนแล้วนำมาทา
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผลสุกช่วยรักษาเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ผลดิบช่วยรักษาโรคบิด
    – แก้อาการท้องอืด ด้วยการนำใบมาขยี้ผสมกับปูนแล้วนำมาทาบริเวณท้อง
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย เมล็ดช่วยสมานแผลและห้ามเลือด
  • สรรพคุณด้านน้ำนมแม่ ช่วยเพิ่มน้ำนมกับหญิงให้นมบุตร

ข้อมูลทางโภชนาการของผลทุเรียนเทศดิบ

ข้อมูลทางโภชนาการของผลทุเรียนเทศดิบต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 66 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 16.84 กรัม
น้ำตาล 13.54 กรัม
เส้นใย 3.3 กรัม
ไขมัน 0.30 กรัม
โปรตีน 1.00 กรัม
วิตามินบี1 0.070 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี2 0.050 มิลลิกรัม (4%)
วิตามินบี3 0.900 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี6 0.059 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี9 14 ไมโครกรัม (4%) 
วิตามินซี 20.6 มิลลิกรัม (25%)
แคลเซียม 14 มิลลิกรัม (1%)
เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม (5%)
แมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม (6%)
ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม (4%)
โพแทสเซียม 278 มิลลิกรัม (6%)
สังกะสี 0.1 มิลลิกรัม (1%)

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะทุเรียนเทศมีสาร “แอนโนนาซิน” (Annonacin) ที่มีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์สมอง จนเกิดโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ได้
2. ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะเมล็ดและเปลือกของทุเรียนเทศมีสารอัลคาลอยด์อยู่หลายชนิดที่เป็นพิษต่อร่างกาย

ทุเรียนเทศ เป็นผลไม้ที่นิยมในทางภาคใต้แต่ยังไม่ได้มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจมากเพียงพอ เป็นผลไม้ที่ค่อนข้างหายากในตลาดทั่วไปโดยเฉพาะในเมือง ส่วนมากที่พบมักจะอยู่ในรูปของผลไม้กวนหรือผลไม้กระป๋อง สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เป็นยาระงับประสาท ช่วยแก้เครียดและทำให้นอนหลับง่าย ช่วยแก้ไข้และต้านโรคมะเร็ง ถือเป็นผลไม้ที่ควรได้รับความสนใจจากคนไทยมากขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

กระเทียม เครื่องเทศรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นฉุน แต่บำรุงร่างกายได้เยี่ยม!

0
กระเทียม เครื่องเทศรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นฉุน แต่บำรุงร่างกายได้เยี่ยม!
กระเทียม เครื่องเทศที่เป็นส่วนประกอบและเป็นเครื่องปรุงในอาหารไทย มีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุน มีลักษณะเป็นกลีบจะมีเปลือกขาว
กระเทียม เครื่องเทศรสเผ็ดร้อน มีกลิ่นฉุน แต่บำรุงร่างกายได้เยี่ยม!
กระเทียม เครื่องเทศที่เป็นส่วนประกอบและเป็นเครื่องปรุงในอาหารไทย มีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุน มีลักษณะเป็นกลีบจะมีเปลือกขาว

กระเทียม

กระเทียม (Garlic) เป็น เครื่องเทศที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทยเพราะเป็นส่วนประกอบและเป็นเครื่องปรุงในอาหารไทยหลากหลายเมนู มีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุน แต่มีกลิ่นหอมเมื่อนำไปปรุงกับส่วนประกอบอื่น ๆ ช่วยทำให้อาหารมีรสกลมกล่อมและยังมีสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมต่อร่างกาย เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่าการรับประทานกระเทียมนั้นยอดเยี่ยมและช่วยแก้ไข้หวัดได้ แต่กระเทียมยังมีสรรพคุณต้านโรคต่าง ๆ ได้ด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของกระเทียม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium sativum L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Garlic” และ “Common Garlic”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กระเทียม กระเทียมจีน” ภาคเหนือเรียกว่า “หอมเทียม” ภาคใต้เรียกว่า “เทียม หัวเทียม” ชาวกะเหรี่ยงและจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ปะเซ้วา” จังหวัดอุดรธานีเรียกว่า “กระเทียมขาว หอมขาว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE)

ลักษณะของกระเทียม

กระเทียม เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ในประเทศไทยนั้นจังหวัดศรีสะเกษถือเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องกระเทียมมีคุณภาพดีและกลิ่นแรง พันธุ์ของกระเทียมที่แต่ละหัวมีเพียงกลีบเดียวเรียกว่า “กระเทียมโทน”
หัว : หัวอยู่ใต้ดินเป็นลักษณะกลมแป้น แต่ละหัวประกอบด้วยกลีบหลายกลีบเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ แต่ละกลีบจะมีเปลือกหรือกาบสีขาวหรือม่วงอมชมพูหุ้มอยู่
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบเป็นรูปขอบขนาน แบนและแคบยาว ปลายใบแหลม โคนของใบแผ่เป็นแผ่นและเชื่อมติดกัน ขอบใบเรียบ ท้องใบมีรอยพับเป็นสันตลอดความยาว ใบมีสีเขียวแก่
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ มีลักษณะกลม ประกอบไปด้วยดอกหลายดอก มีกาบหุ้มเป็นจะงอยยาว รูปร่างยาวแหลม มีสีขาวแต้มสีม่วงหรือขาวอมชมพู
ผล : ขนาดเล็กเป็นกระเปาะสั้น ๆ รูปไข่และค่อนข้างกลม
เมล็ด : เมล็ดเล็กสีดำ

สรรพคุณของกระเทียม

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ปรับสมดุลในร่างกาย เพิ่มพละกำลังให้ร่างกาย ขับพิษ ฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ กำจัดพิษจากสารตะกั่ว ช่วยสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกาย
  • สรรพคุณด้านความงาม บำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง ลดความอ้วน ฆ่าเชื้อราตามหนังศีรษะและบริเวณเล็บ
  • สรรพคุณด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ เสริมสร้างการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย เพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ บำรุงข้อต่อและกระดูก ต้านอาการไขข้ออักเสบ ต้านโรคข้อรูมาติสซั่ม
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและลดความเสี่ยงของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ต้านเนื้องอก รักษาโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ รักษาโรคหลอดลม รักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรง ป้องกันโรคไต
  • สรรพคุณด้านไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล
  • สรรพคุณด้านเลือด ลดน้ำตาลในเลือด รักษาความดันโลหิต ป้องกันและรักษาโรคโลหิตจาง ขับพิษอันตรายที่ปนเปื้อนในเม็ดเลือด ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว สารสกัดน้ำมันกระเทียมช่วยในการละลายลิ่มเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ป้องกันเม็ดเลือดแดงแตก
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้อาการมึนงง แก้ปวดศีรษะ แก้อาการหูอื้อ แก้ปัญหาผมบางและยาวช้า บรรเทาอาการไอและน้ำมูกไหล ช่วยขับเหงื่อ ขับเสมหะ ป้องกันหวัด รักษาอาการไอกรน แก้อาการหอบหืด ยับยั้งเชื้อที่ก่อให้เกิดฝีหนอง ยับยั้งเชื้อปอดบวมและวัณโรค รักษากลากเกลื้อน บรรเทาอาการปวดข้อและปวดเมื่อย แก้อาการเคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง
  • สรรพคุณด้านระบบสืบพันธุ์ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบสืบพันธุ์เพราะมีสารที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนทั้งหญิงและชาย ทำให้มดลูกบีบตัว
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย เพิ่มประสิทธิภาพของระบบทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคกระเพาะและยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ ช่วยขับลม รักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง รักษาท้องอืดหรือท้องเฟ้อ ป้องกันโรคท้องผูก รักษาอาการบิด ช่วยขับพยาธิอย่างพยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิเข็มหมุดและพยาธิไส้เดือน กระตุ้นน้ำย่อยและเพิ่มความอยากอาหาร
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 รักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบและไซนัส ระงับกลิ่นปาก ยับยั้งเชื้อที่ก่อให้เกิดคออักเสบ

ประโยชน์ของกระเทียม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ช่วยปรุงรสชาติของอาหารหลากหลายเมนู
2. แปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร กระเทียมเสริมอาหาร กระเทียมสกัดผง สารสกัดน้ำมันกระเทียม กระเทียมดอง
3. ช่วยไล่ยุงและแมลง

คุณค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ

คุณค่าทางโภชนาการของกระเทียมดิบ ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 149 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 33.06 กรัม
น้ำตาล 1 กรัม 
เส้นใยอาหาร 2.1 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
โปรตีน 6.36 กรัม
วิตามินบี1 0.2 มิลลิกรัม (17%)
วิตามินบี2 0.11 มิลลิกรัม (9%)
วิตามินบี3 0.7 มิลลิกรัม (5%)
วิตามินบี5 0.596 มิลลิกรัม (12%)
วิตามินบี6 1.235 มิลลิกรัม (95%)
วิตามินบี9 3 ไมโครกรัม (1%)
วิตามินซี 31.2 มิลลิกรัม (38%) 
แคลเซียม 181 มิลลิกรัม (18%)
เหล็ก 1.7 มิลลิกรัม (13%)
แมกนีเซียม 25 มิลลิกรัม (7%)
แมงกานีส 1.672 มิลลิกรัม (80%)
ฟอสฟอรัส 153 มิลลิกรัม (22%) 
โพแทสเซียม 401 มิลลิกรัม (9%)
สังกะสี 1.16 มิลลิกรัม (12%)
ซีลีเนียม 14.2 ไมโครกรัม

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้กระเทียม

คำแนะนำในการใช้กระเทียม

1. เมื่อกระเทียมโดนความร้อนหรือหมักดอง ทำให้วิตามินและสารอัลลิซินที่มีอยู่ในกระเทียมนั้นสลายตัวไป
2. ควรปลูกกระเทียมในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพราะส่งผลต่อปริมาณของวิตามินและแร่ธาตุในกระเทียม
3. กระเทียมยังไม่มีการรับรองว่ารักษาโรคได้จริง เป็นเพียงยาสมุนไพรเสริมเท่านั้น ไม่ควรที่จะเลือกใช้กระเทียมเพื่อหวังผลในการรักษาอาการหรือโรคต่าง ๆ

ข้อควรระวังในการใช้กระเทียม

1. ไม่ควรสัมผัสกระเทียมเป็นประจำและเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและมีตุ่มน้ำได้
2. หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ มีระดับความดันโลหิตผิดปกติ ผู้ที่มีอาการของเลือดหยุดไหลช้า รวมไปถึงผู้ที่ใช้ยาอื่น ๆ เป็นประจำ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ ยาต้านไวรัส ไม่ควรรับประทานกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์กระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เป็นโทษต่อร่างกายได้
3. ไม่ควรสูดดมกลิ่นของกระเทียมมากจนเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และมีอาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติ แต่อาการจะค่อย ๆ หายไปเองภายในเวลา 3 – 4 ชั่วโมง

กระเทียม เป็นเครื่องปรุงที่มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นแรง แต่กระเทียมถือเป็นยาที่ช่วยแก้อาการต่าง ๆ ได้ดี แต่ความร้อนของกระเทียมอาจก่อให้เกิดปัญหาได้สำหรับบางคนที่รับประทานในปริมาณมาก ดังนั้นควรรับประทานอย่างระมัดระวัง สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ลดน้ำตาลในเลือด ละลายลิ่มเลือด ขับสารพิษ แก้ไข้และมีส่วนช่วยการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ถือเป็นเครื่องปรุงที่พบได้บ่อยมาก แทบจะทุกวันในชีวิตเลยก็ได้ การรับประทานกระเทียมถือเป็นหนึ่งสิ่งที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักกระเฉด แคลเซียมสูง บำรุงร่างกายและเสริมสร้างกระดูก

0
ผักกระเฉด มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงร่างกายและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ผักกระเฉด เป็นพืชที่เกิดตามผิวน้ำ ลำต้นเป็นเถากลม เนื้อนิ่ม ระหว่างข้อมีปล้องเป็นฟองสีขาวไว้หุ้มลำต้น
ผักกระเฉด มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงร่างกายและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ผักกระเฉด เป็นพืชที่เกิดตามผิวน้ำ ลำต้นเป็นเถากลม เนื้อนิ่ม ระหว่างข้อมีปล้องเป็นฟองสีขาวไว้หุ้มลำต้น

ผักกระเฉด

ผักกระเฉด (Water mimosa) เป็น ผักที่มีรสชาติอร่อยเมื่อนำมาปรุงและผัดน้ำมันหอยหรือเมนูยอดฮิตที่ชื่อว่า “ผัดผักกระเฉดไฟแดง” เป็นผักที่ใช้ปรุงในเมนูอาหารไทยได้หลากหลายชนิด ขึ้นชื่อว่าผักที่เป็นพืชสีเขียวแล้วย่อมอุดมไปด้วยสารอาหารและประโยชน์มากมาย ผักกระเฉดเองก็มีสรรพคุณทางยาได้เช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกระเฉด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Neptunia oleracea Lour.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Water mimosa”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักกระเฉด ผักรู้นอน” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักหนอง” ภาคใต้เรียกว่า “ผักฉีด” ภาคอีสาน จังหวัดยโสธรและอุดรธานีเรียกว่า “ผักกระเสดน้ำ” จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ผักหละหนอง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)

ลักษณะของผักกระเฉด

ผักกระเฉด เป็นพืชที่เกิดตามผิวน้ำ ลำต้นเป็นเถากลม เนื้อนิ่ม
ใบ : เป็นใบประกอบคล้ายใบกระถิน ตัวใบจะหุบลงในเวลากลางคืน จึงเรียกว่า “ผักรู้นอน” ระหว่างข้อมีปล้องเป็นฟองสีขาวไว้หุ้มลำต้น เรียกว่า “นมผักกระเฉด” เป็นตัวช่วยพยุงให้ผักกระเฉดลอยน้ำได้และช่วยดึงไนโตรเจนจากอากาศไปเลี้ยงยอด
ราก : รากงอกออกมาตามข้อ เรียกว่า “หนวด”
ดอก : ดอกจะเป็นช่อเล็ก ๆ สีเหลือง
ผล : ผลมีลักษณะเป็นฝักโค้งงอเล็กน้อยและแบน
เมล็ด : มีเมล็ดประมาณ 4 – 10 เมล็ด

สรรพคุณของผักกระเฉด

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย บำรุงร่างกายและดับพิษร้อน เสริมสร้างกระบวนการเผาผลาญสารอาหารให้นำมาสร้างเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้ สำหรับคนธาตุไฟและธาตุดินจะช่วยทำให้ร่างกายเกิดความสมดุลและไม่เจ็บป่วย
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการปวดศีรษะ แก้พิษไข้ ขับเสมหะ แก้อาการปวดแสบปวดร้อน ถอนพิษยาเบื่อยาเมา
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา เสริมสร้างฟันให้แข็งแรง
    – บรรเทาอาการปวดฟัน ด้วยการนำผักกระเฉดมาตำผสมกับเหล้า แล้วหยอดในบริเวณที่มีอาการปวด
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ขับลมในกระเพาะ ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค รักษากามโรค ป้องกันการเกิดโรคตับอักเสบ
  • สรรพคุณด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเป็นปกติ
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

ประโยชน์ของผักกระเฉด

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประกอบในเมนู เช่น ยำวุ้นเส้นผักกระเฉด ผัดหมี่กระเฉด ผัดผักกระเฉดไฟแดง ผักกระเฉดผัดน้ำมันหอย หรือจะใช้รับประทานสดร่วมกับน้ำพริก หรือถ้าจะให้ดีเมื่อลวกเสร็จแล้วให้ตักผักใส่น้ำเย็นจัดทันที จะทำให้ผักกระเฉดกรอบอร่อยและน่ารับประทานมากขึ้น หรือจะใช้น้ำแข็งมาโปะก็ได้เช่นกัน

เคล็ดลับ

– การเลือกซื้อผักกระเฉดควรเลือกซื้อผักที่มียอดอ่อน เพราะจะมีความกรอบและอร่อยมากกว่าผักกระเฉดแก่
– เคล็ดลับในการลวกผักง่าย ๆ ตั้งน้ำให้เดือดแล้วใส่เกลือด้วยเล็กน้อย อย่าลวกนานเพราะจะทำให้ผักกระเฉดเหนียว

คุณค่าทางโภชนาการของผักกระเฉด

คุณค่าทางโภชนาการของผักกระเฉด 100 กรัม ให้พลังงาน 29 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 6.4 กรัม
ไขมัน 0.4 กรัม
แคลเซียม 387 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 7.0 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 5.3 มิลลิกรัม 
เบตาแคโรทีน 3,710 ไมโครกรัม
ไทอะมีน 0.12 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.14 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.12 มิลลิกรัม 
วิตามินบี2 0.14 มิลลิกรัม
ไนอะซีน 3.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 22 มิลลิกรัม
กากใยอาหาร 1.8 กรัม

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานดิบ เพราะมีความเสี่ยงต่อพยาธิตัวอ่อนที่อาจปะปนเข้ามา รวมไปถึง “ไข่ปลิง” ที่ทนความร้อนได้สูงมาก ควรรับประทานสุกที่ต้มด้วยความร้อนสูงก่อนนำมารับประทาน
2. คนที่รับประทานยารักษาอยู่ไม่ควรรับประทาน เพราะฤทธิ์ของผักกระเฉดอาจจะไปทำให้ยารักษาโรคเสื่อมฤทธิ์ได้

ผักกระเฉด เป็นยาสมุนไพรที่บรรพบุรุษใช้รักษาบำรุงร่างกายมาแต่เนิ่นนาน จัดเป็นประเภทยาเย็นที่มีความสามารถในการดับความร้อนในร่างกายได้ มีรสชาติอร่อยเมื่อนำมาปรุงกับอาหารต่าง ๆ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ เสริมสร้างกระดูกเพราะมีแคลเซียมสูง แก้ไข้ แก้อาการปวดแสบร้อน บำรุงร่างกายให้แข็งแรง เป็นผักที่รับประทานง่ายและพบได้ทั่วไปในเมนูอาหารไทยต่าง ๆ

สั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ เนสท์เล่ ออรัลอิมแพค คลิ๊ก @amprohealth

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักบุ้ง ผักยอดฮิตคนไทย บำรุงสายตา รักษาตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแห้ง

0
ผักบุ้ง ผักยอดฮิตของคนไทย ช่วยบำรุงสายตา รักษาตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแห้ง
ผักบุ้ง ผักยอดฮิตชนิดหนึ่งสำหรับคนไทย มีลำต้นเลื้อยทอดไปตามน้ำหรือที่ลุ่มที่มีความชื้น มีทั้งผักบุ้งแก้ว ผักบุ้งจีน ผักบุ้งนา
ผักบุ้ง ผักยอดฮิตของคนไทย ช่วยบำรุงสายตา รักษาตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแห้ง
ผักยอดฮิตชนิดหนึ่งสำหรับคนไทย มีลำต้นเลื้อยทอดไปตามน้ำหรือที่ลุ่มที่มีความชื้น มีทั้งผักบุ้งแก้ว ผักบุ้งจีน ผักบุ้งนา

ผักบุ้ง

ผักบุ้ง (Water Morning Glory) เป็น ผักยอดฮิตชนิดหนึ่งสำหรับคนไทย โดยเฉพาะเมนู “ผัดผักบุ้งไฟแดง” ซึ่งเป็นเมนูพื้นฐานของร้านอาหารทั่วไป เป็นผักที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการบำรุงสายตาเพราะมีวิตามินเอสูง สามารถนำมาปรุงได้หลากหลายและมีรสชาติอร่อย ทานง่าย จะนำมาต้มแบบร้าน MK หรือจะนำมาผัดไฟแดงก็อร่อยได้เช่นกัน แต่ผักบุ้งนั้นมีประโยชน์และสรรพคุณมากกว่าการบำรุงสายตาแบบที่คนทั่วไปรู้กัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักบุ้ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ipomoea aquatica Forssk.
ชื่อสามัญ : ผักบุ้งมีชื่อสามัญ 6 ชื่อ คือ “Swamp morning glory” “Thai water convolvulus” “Morning glory” “Water spinach” “Water morning glory” และ “Swamp cabbage”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ผักบุ้งนา” “ผักทอดยอด” มลายูเรียกว่า “โหนเดาะ กากง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE)
ชื่อพ้อง : Ipomoea reptans Poir.

ลักษณะของผักบุ้ง

ผักบุ้ง เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นเลื้อยทอดไปตามน้ำหรือที่ลุ่มที่มีความชื้น ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ๆ คือ
ผักบุ้งไทย : เป็นผักบุ้งสายพันธุ์ธรรมชาติที่ขึ้นเองตามแม่น้ำลำคลอง นิยมใช้ทำแกงส้ม แกงเทโพ ผัดกะปิ เป็นต้น
ผักบุ้งจีน : เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศแต่สามารถเพาะปลูกในไทยได้ เป็นผักที่นิยมใช้ในเมนูสำคัญอย่างผัดผักบุ้งไฟแดง ใส่ในแจ่วฮ้อน สุกี้หรือกินกับหมูกระทะ
ผักบุ้งนา : ลำต้นมีสีแดง ยอดเรียวเล็ก รสฝาด กินกับลาบ น้ำตกและอาหารอีสานอื่น ๆ

สรรพคุณของผักบุ้ง

  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส มีน้ำมีนวล ชะลอวัย
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงธาตุ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันโรคมะเร็ง ยอดผักบุ้งช่วยแก้โรคประสาท ป้องกันโรคเบาหวาน รากแก้โรคหืด บำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดหรือผู้ที่ได้รับสารพิษอย่างเกษตรกร
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงสายตา รักษาอาการตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง และสายตาสั้น รักษาอาการคันตาบ่อย ๆ ต้นสดของผักบุ้งไทยช่วยบำรุงฟัน แก้อาการเหงือกบวม
    – รักษาแผลร้อนในข้างในปาก ด้วยการนำผักบุ้งสดมาผสมเกลือ แล้วอมไว้ในปากประมาณ 2 นาที วันละ 2 ครั้ง
    – รักษาฟันเป็นรูปวด ด้วยการใช้รากสด 120 กรัม ผสมกับน้ำส้มสายชู คั้นเอาน้ำมาบ้วนปาก
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ ต้นสดแก้อาการร้อนใน รากแก้อาการเหงื่อออกมากและแก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการปวดศีรษะและอ่อนเพลีย ยอดมีส่วนช่วยแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพ ผักบุ้งรสเย็นช่วยถอนพิษเบื่อเมา รากผักบุ้งรสจืดเฝื่อนช่วยถอนพิษสำแดง ผักบุ้งไทยต้นขาวแก้อาการฟกช้ำและถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ดอกของผักบุ้งไทยต้นขาวเป็นยาแก้กลากเกลื้อน ต้นสดของผักบุ้งไทยต้นขาวใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกและช่วยลดการอักเสบ อาการปวดบวมต่าง ๆ
    – แก้หนองใน ด้วยการใช้ลำต้นมาคั้น นำน้ำที่คั้นมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วดื่ม
    – แก้แผลมีหนองช้ำ ด้วยการใช้ต้นสดต้มน้ำให้เดือดนาน ๆ ทิ้งไว้พออุ่นแล้วเอาน้ำล้างแผลวันละครั้ง
    – แก้พิษตะขาบกัด ด้วยการใช้ต้นสดเติมเกลือ นำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ถูกกัด
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ต้นสดช่วยบำรุงโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต
    – แก้เลือดกำเดาไหลมากผิดปกติ ด้วยการใช้ต้นสดมาตำผสมน้ำตาลทราย นำมาชงร้อนแล้วดื่ม
  • สรรพคุณช่วยเสริมสร้างสมอง เสริมสร้างศักยภาพในด้านความจำและการเรียนรู้ให้ดีขึ้น
  • สรรพคุณด้านกระดูก ต้นสดของผักบุ้งไทยช่วยบำรุงกระดูก
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ผักบุ้งขาวหรือผักบุ้งจีนช่วยให้เจริญอาหาร ป้องกันการเกิดโรคกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารจากผลของยาแอสไพริน ป้องกันโรคท้องผูก ทำความสะอาดของเสียที่ตกค้างในลำไส้ ผักบุ้งจีนมีฤทธิ์ช่วยในการขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะเหลือง รากแก้อาการตกขาวมากของสตรี
    – แก้อาการปัสสาวะเป็นเลือดและถ่ายเป็นเลือด ด้วยการใช้ลำต้นมาคั้น นำน้ำที่คั้นมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วดื่ม
    – แก้ริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นสด 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร นำมาต้มให้เละ เอากากทิ้งแล้วใส่น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม จากนั้นเคี่ยวจนข้นหนืด นำมารับประทานครั้งละ 90 กรัม วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

ประโยชน์ของผักบุ้ง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ประกอบอาหารอย่างพวกผัดผัก แกงต่าง ๆ ของดอง และนำมาต้มพร้อมรับประทาน
2. ใช้ในการเกษตร เป็นอาหารสัตว์ของหมู เป็ด ไก่ และปลา
3. ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างผักบุ้งแคปซูล ผงผักบุ้ง เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของผักบุ้ง

คุณค่าทางโภชนาการของผักบุ้งต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 3.14 กรัม
เส้นใย 2.1 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
โปรตีน 2.6 กรัม
วิตามินเอ 315 ไมโครกรัม (39%)
วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี2 0.1 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินบี3 0.9 มิลลิกรัม (6%)
วิตามินบี5 0.141 มิลลิกรัม (3%)
วิตามินบี6 0.096 มิลลิกรัม (7%)
วิตามินบี9 57 ไมโครกรัม (14%)
วิตามินซี 55 มิลลิกรัม (66%)
แคลเซียม 77 มิลลิกรัม (8%) 
เหล็ก 1.67 มิลลิกรัม (13%)
แมกนีเซียม 71 มิลลิกรัม (20%)
แมงกานีส 0.16 มิลลิกรัม (8%)
ฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม (6%) 
โพแทสเซียม 312 มิลลิกรัม (7%)
โซเดียม 113 มิลลิกรัม (8%) 
สังกะสี 0.18 มิลลิกรัม (2%)

*** สารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายจะให้ประสิทธิภาพ 100% หากรับประทานสดมากกว่านำมาปรุงร้อน

ข้อควรระวัง

ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักบุ้ง เพราะผักบุ้งมีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต จะทำให้ความดันยิ่งต่ำ อาจจะก่อให้เกิดอาการเป็นตะคริวได้ง่ายและบ่อยขึ้น อีกทั้งยังทำให้ร่างกายอ่อนแอด้วย

ผักบุ้ง ในประเทศไทยนิยมรับประทานผักบุ้งจีนมากกว่าผักบุ้งชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นผัดผักบุ้งหรือผักสดตามร้านอาหารชาบูและหมูกระทะ ล้วนเป็นผักบุ้งจีนทั้งนั้นเพราะมียางน้อยกว่าผักบุ้งไทย จึงได้รับความนิยมในการรับประทานมากกว่า สรรพคุณที่โดดเด่นของผักบุ้งคือ บำรุงสายตา บำรุงฟัน ต้านมะเร็ง ป้องกันเบาหวานและป้องกันโรคกระเพาะอาหาร เป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย เหมาะแก่การรับประทานเป็นประจำ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม