สูตรเครปสไตล์ญี่ปุ่น

0
สูตรเครปสไตล์ญี่ปุ่น
เครป คือ ของว่างทั้งหวานและคาวเครปสไตล์ญี่ปุ่น เป็นอาหารริมทางยอดนิยมกินได้ทุกที่สามารถหาได้ง่าย มีแบบกรอบ และแบบเย็น
สูตรเครปสไตล์ญี่ปุ่น
เครป คือ ของว่างทั้งหวานและคาวเครปสไตล์ญี่ปุ่น เป็นอาหารริมทางยอดนิยมกินได้ทุกที่สามารถหาได้ง่าย มีแบบกรอบ และแบบเย็น

เครปญี่ปุ่น

เครป (Crepe) คือ ของว่างทั้งหวานและคาวเครปสไตล์ญี่ปุ่น ( Japanese Crepe ) กลายเป็นอาหารริมทางยอดนิยมกินได้ทุกที่สามารถหาได้ง่ายทั่วประเทศญี่ปุ่น เครปเย็นคล้ายแพนเค้กแบบดั้งเดิมมีต้นกำเนิดในแคว้นบริตตานีของฝรั่งเศส ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเครปมาถึงญี่ปุ่นได้อย่างไร แต่ปรากฏครั้งแรกในฐานะสตรีทฟู้ดในย่านฮาราจูกุ – ชิบูย่าของโตเกียวในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และแพร่กระจายไปทั่วโลก ขนมเย็นสไตล์ญี่ปุ่นมักจะมีน้ำตาลน้อยกว่าขนมตะวันตกซึ่งช่วยให้ไส้เครปเย็นได้รสชาติตามธรรมชาติ เครปญี่ปุ่นมีจุดเด่นคือไส้ขนมยอดนิยมที่คุณควรลอง เช่น ไส้ครีม ไส้คัสตาร์ด ไส้วิปครีมสด ไส้แยม เช่น แยมสตอเบอรี่ แยมส้ม แยมมะม่วง แยมสับปะรด แยมราสเบอรี่ แยมมะนาว แยมมัลเบอร์รี่ แยมเสาวรส แยมทุเรียน และแยมผลไม้อบแห้ง แล้วยังมีไส้ผลไม้อื่น ๆ อีกมากมายที่แตกต่างกันไปตามฤดูกาล เช่น กล้วย สตรอเบอร์รี่ มะม่วง กีวี แตงโม ฮอกไกโด ส้ม องุ่น และลูกพีชสีเหลือง เป็นต้น เครปไส้คาวที่เข้ากันอย่างลงตัว เช่น ไข่ไก่ ทูน่า หมูหยอง แฮม ไส้กรอก ปูอัด พริกเผา เป็นต้น

สูตรแป้งเครปญี่ปุ่น

ส่วนผสมแป้งเครปญี่ปุ่น

1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 กิโลกรัม
2. น้ำตาล 300 กรัม
3. ไข่ไก่ 10 ฟอง
4. เกลือ 1 ช้อนชา
5. น้ำมัน 1/2 ถ้วยตวง
6. นมสด 1 ลิตร
7. วนิลา 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำปูนใส 1 1/2ถ้วยตวง

วิธีทำเครปญี่ปุ่น

1. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ใช้ทัพพีคนพอเข้ากัน แล้วใช้กระชอนกรองเพื่อไม่ให้แป้งเป็นเม็ด
2. ไส้เครป เราสามารถที่จะเอาวัตถุดิบหลากหลาย มาประยุกต์เป็นไส้ เช่น ไข่ไก่ ทูน่า หมูหยอง แฮม ไส้กรอก ปูอัด พริกเผา หมูสับ ฯลฯ (ควรจะราดด้วย ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ มายองเนส)
3. ไส้หวานก็จะเป็น ช๊อคโกแลต ครีม สังขยา เผือก แยมรสต่างๆ เช่น แยมสตอเบอรี่ แยมส้ม แยมมะม่วง แยมสับปะรด แยมราสเบอรี่ แยมมัลเบอร์รี่ เป็นต้น
4. ไส้ผลไม้ เช่น กล้วยหอม สตรอเบอร์รี่ มะม่วง กีวี แตงโม ฮอกไกโด ส้ม องุ่น และลูกพีชสีเหลือง

อย่างไรก็ตามความพิเศษของเครปญี่ปุ่นอยู่ที่ไส้มีความหลากหลาย ทำให้ลูกค้าทานได้ไม่น่าเบื่อ ซึ่งในปัจจุบันเครปญี่ปุ่น เครปเย็น เครปโรล สามารถทำเป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าได้อย่างงามเลยทีเดียว

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมไหว้พระจันทร์ ( Mooncake )

0
สูตรขนมไหว้พระจันทร์ ( Mooncake )
ขนมไหว้พระจันทร์ คือ ขนมหวานประเภทหนึ่งที่มีไส้ทั้งหวานหรือคาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในคืนวันเพ็ญในเดือน 8 ตามปฏิทินจีน
สูตรขนมไหว้พระจันทร์ ( Mooncake )
ขนมไหว้พระจันทร์ คือ ขนมหวานประเภทหนึ่งที่มีไส้ทั้งหวานหรือคาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในคืนวันเพ็ญในเดือน 8 ตามปฏิทินจีน

ขนมไหว้พระจันทร์

ขนมไหว้พระจันทร์ ( Mooncake ) คือ ขนมขบเคี้ยวหรือขนมหวานประเภทหนึ่งที่มีไส้ทั้งหวานหรือคาว โดยหลักแล้วจะมีลักษณะกลมเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงรูปร่างของดวงจันทร์ แต่ก็สามารถเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ขนมไหว้พระจันทร์ถูกใช้ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ (The Moon Festival ) เป็นเทศกาลตามวัฒนธรรมจีนในบางประเทศ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ รวมถึงเวียดนามที่มีขึ้นในเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง (Mid-Autumn Festival) เพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวและการรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวเป็นสิ่งที่ต้องทำจะมีขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติ ขนมไหว้พระจันทร์สไตล์จีนดั้งเดิม โดยเฉพาะขนมไหว้พระจันทร์สไตล์กวางตุ้งอบสีน้ำตาลทองและขึ้นรูปหรือประทับด้านบนด้วยชื่อของไส้ ขนมไหว้พระจันทร์ถูกใช้เป็นเครื่องบูชาในเทศกาลไหว้พระจันทร์มาช้านานในประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี

ไส้ขนมไหว้พระจันทร์ที่นิยม

ขนมไหว้พระจันทร์เป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ ขนมไหว้พระจันทร์สไตล์ปักกิ่ง ขนมไหว้พระจันทร์สไตล์กวางตุ้ง ขนมไหว้พระจันทร์สไตล์ยูนนาน และขนมไหว้พระจันทร์สไตล์ซูโจวทำจากแป้งมีไส้ต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นธัญพืช เช่น ไส้โหงวยิ้งไข่ ไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้ถั่วเหลือง ไส้เผือก ไส้แปะก๊วย ไส้พุทราจีน ไส้เมล็ดบัว ไส้ชาเขียวถั่วแดง ไส้ฝอยทอง ไส้สังขยาฟักทอง ไส้ฟักเขียวโรยงา ไส้อัลมอนด์ แต่ปัจจุบันก็ได้มีดัดแปลงใส่เนื้อสัตว์ ใส่ผลไม้กวนต่างๆ เช่น ไส้ทุเรียนไข่แดง ไส้คัสตาร์ดไข่แดง กุนเชียง ไข่เค็ม หมูแฮม หมูแดง หมูหยอง ถั่วกวน เก้าลัดกวน เป็นต้น

ความหมายของไส้ขนมไหว้พระจันทร์แต่ละไส้

1. ไข่แดง หมายถึง พระจันทร์
2. เม็ดบัว หมายถึง สัญลักษณ์ของจิตใจบริสุทธิ์ อายุที่ยืนยาว ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความสงบสุข
3. ลูกพลัม หมายถึง สัญลักษณ์ของความกล้าหาญและความหวัง ดุจดังดอกพลัมที่ชูช่อในฤดูหนาว
4. ธัญพืช สัญลักษณ์ของโชคลาภ และความอุดมสมบูรณ์
5. เกาลัด หมายถึง ลูกชาย และสิ่งอันเป็นที่รัก
6. ถั่วแดง ช่วยเพิ่มความกล้าหาญให้ไตได้ เพราะชาวจีนเชื่อว่าไตเป็นอวัยวะที่ขับความกลัวออกมา

สูตรแป้งขนมไหว้พระจันทร์

อุปกรณ์ที่ใช้

  • โถผสม
  • พิมพ์ที่กดขนมไหว้พระจันทร์ (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 นิ้ว)

ส่วนผสมขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนกวน

1. แป้งสาลีชนิดพิเศษ(หรือใช้แป้งเค้กแทนได้) 200 กรัม (1)
2. น้ำมันถั่วลิสง 100 กรัม
3. น้ำเชื่อม 210 กรัม
4. น้ำด่าง 1/2 ช้อนโต๊ะ
5. แป้งสาลีชนิดพิเศษ(หรือใช้แป้งเค้กแทนได้) 150 กรัม (2)
6. ทุเรียนกวน 1500 กรัม
7. ไข่แดง 1 ฟอง
8. น้ำเปล่า 1/2 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมน้ำเชื่อม

1. น้ำตาลทรายสีทอง(สีรำ) 500 กรัม
2. น้ำเปล่า 350 กรัม
3. มะนาว 1/2 ผล

ส่วนผสมน้ำด่าง

1. เบกิ้งโซดา 2 ช้อนชา
2. น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำแป้งขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ทุเรียน (สำหรับ 10-15 ชิ้น)

1. ผสมน้ำตาลทรายสีทอง น้ำเปล่า น้ำมะนาวให้เข้าด้วยกัน นำไปตั้งไฟให้ได้อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส แล้วนำมากรองและพักให้เย็นสนิท
2. ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่าคนให้เข้ากัน วางพักไว้ให้ผงเบกกิ้งโซดาตกตะกอนและตักเฉพาะน้ำใสๆ ด้านบนมาใช้
3. ผสมน้ำมันถั่วลิสง น้ำด่าง และน้ำเชื่อม คนให้เข้ากัน ผสมแป้งสาลีชนิดพิเศษ(1) ลงไปคนให้เข้ากัน ปิดด้วยพลาสติกคลุมอาหารและพักไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
4. อุ่นเตาอบไฟล่าง 180 องศาเซลเซียส
5. นำไส้ทุเรียนกวนมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ก้อนละประมาณ 100-120 กรัม
6. เมื่อพักแป้งครบเวลาแล้วนำแป้งสาลีชนิดพิเศษ(2)มานวดรวมกันจนเข้ากันดี และปั้นเป็นก้อน ก้อนละประมาณ 40-45 กรัม
7. นำแป้งมาแผ่ออกให้บางเอาทุเรียนกวนที่ปั้นไว้วางตรงกลางห่อแป้งให้คลุมไส้ทุเรียนให้มิดและปั้นให้กลม
8. นำขนมที่ปั้นเสร็จแล้วมาใส่ในพิมพ์กดให้แน่นและนำออกจากพิมพ์วางบนถาดอบที่รองด้วยกระดาษไข
9. นำขนมเข้าอบด้วยไฟล่าง 180 องศาเซลเซียส 10 นาที
10. นำไข่แดงผสมกับน้ำเชื่อมขนมไหว้พระจันทร์และน้ำเปล่าผสมให้เข้ากัน
11. นำขนมที่อบเสร็จแล้ว 10 นาที มาทาด้วยไข่แดงที่ผสมไว้ ทาบางๆ ทั้งด้านบนและด้านข้าง
12. อบขนมต่อด้วยไฟบนล่าง 180 องศา 5-10 นาทีจนมีสีเหลืองอ่อนๆ

ปัจจุบันมีการคิดค้นสูตรขนมออกมามากมาย รวมถึงการดัดแปลงสูตรขนมไหว้พระจันทร์ให้ง่ายขึ้นทั้งการใช้แป้งสำเร็จรูป ไส้ขนมสำเร็จรูป รวมถึงไส้ขนมแบบผงมีให้เลือกซื้อหลากหลาย เช่น ผงมันม่วง ผงเผือก ผงคัสตาร์ด ผงวานิลลา ผงมัลเบอร์รี่ ผงชาเขียว ผงโยเกิร์ต เป็นต้น เพิ่มความสนุกทำให้การทำขนมนั้นง่ายขึ้น เหมาะสำหรับมือใหม่หัดทำเพียงแค่เติมน้ำคนให้เข้ากันไม่ต้องตั้งเตาอร่อยได้ทันที

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรซาลาเปาติ่มซำไส้หมูแดง ไส้เผือกกวน และมันม่วง

0
ซาลาเปา คือ อาหารว่างหรืออาหารเรียกน้ำย่อยของจีนหรือที่รู้จักกันว่า ติ่มซำ เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
สูตรซาลาเปาติ่มซำไส้หมูแดง ไส้เผือกกวน
อาหารว่างหรืออาหารเรียกน้ำย่อยของจีนหรือที่รู้จักกันว่า ติ่มซำ เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

ซาลาเปา

ซาลาเปา ( Steamed buns ) หรือ ( Sarapow ) คือ อาหารว่างหรืออาหารเรียกน้ำย่อยของจีน มีต้นกำเนิดในภาคเหนือของจีนซึ่งมีการปลูกข้าวสาลีแทนที่จะเป็นข้าว อันที่จริงมีตำนานมากมายเกี่ยวกับความเป็นมาว่า เกิดขึ้นในสมัยสามก๊ก และตามตำนานแล้วนายพลชาวจีนจำเป็นต้องนำทัพข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เพื่อที่จะข้ามไปได้อย่างปลอดภัยผู้คนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจึงเรียกร้องให้เขาตัดศีรษะของคนห้าสิบคน แต่คนทั่วไปกลับตัดสินใจใช้แป้งโดว์ลูกใหญ่ที่เต็มไปด้วยเนื้อแน่น ๆ และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดสิ่งนั้นก็ทำให้ฝูงชนที่หิวโหยหัวหมุนพอใจ ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยเป็นหนึ่งเมนูในอาหารเรียกน้ำย่อยที่เรียกว่า ติ่มซำ

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • แป้งสำหรับโรยไม่ให้ซาลาเปาติดกัน
  • ไม้คลึงแป้งให้เป็นแผ่น
  • กระดาษรอง

ส่วนผสมแป้งซาลาเปา

ส่วนผสมไส้หมูแดง

  • เนื้อหมูสันนอกหั่นเต๋าเล็ก 500 กรัม
  • มันหมูแข็งไม่ติดหนังหั่นเต๋าเล็ก 100 กรัม
  • หอมใหญ่หั่นเต๋าเล็ก 100 กรัม
  • รากผักชี 4 ราก
  • กระเทียมไทย 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสฝาเขียว 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 100 กรัม
  • ผงพะโล้ 2 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วดำหวาน 2 ช้อนชา
  • แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 1/3 ถ้วยตวง (สำหรับเคี่ยวหมู)
  • สีผสมอาหารสีส้มแดง ตามชอบ

ส่วนผสมไส้เผือกกวน

  • เนื้อเผือกหั่นเป็นชิ้น 1 กิโลกรัม หรือมันม่วง
  • น้ำกะทิ 1 กิโลกรัม
  • น้ำตาลทราย 450 กรัม
  • เกลือ1/2 ช้อนชา

หรือใช้ผงไส้เผือกกวน ผงไส้มันม่วง ตราตำหรับทอง ที่ไม่ต้องเสียเวลากวน ทำง่าย สะดวกรวดเร็ว และอร่อย สั่งซื้อได้ที่ Line : @ Desserts Mate

วิธีทำแป้งซาลาเปา

1. นำนมสดอุ่นในไมโครเวฟ พอให้อุ่นๆยกออกจากเตา เทยีสต์ลงไปผสมคนให้เข้ากัน พักไว้ 5 นาที (สังเกตยีสต์เริ่มฟูขึ้นมา)
2. ร่อนแป้งกับผงฟูเข้าด้วยกัน เทส่วนผสมใน (ข้อ1) ลงไปจนหมด คนให้เข้ากัน
3. เทนำมันรำข้าวลงไป แล้วใช้มือนวดแป้งให้เข้ากัน (สังเกตว่าแป้งไม่ติดมือ ไม่ติดโถผสมแป้งถือว่าใช้ได้แล้ว) ให้เอาแป้งออกก่อน
4. ใช้น้ำมันทาให้ทั่วโถผสมแป้ง แล้วเอาแป้งลงไปวางในโถผสมตามเดิมคลุมด้วยพลาสติกใส (พักแป้งไว้อีก 1 ชั่วโมง) หรือจนกว่าแป้งจะขึ้นฟูเป็น 2 เท่า

วิธีทำไส้ซาลาเปาหมูแดง

1. ผัดมันหมูให้มีน้ำมันออกมา แล้วใส่หอมใหญ่ผัดต่อให้มีกลิ่นหอม ตามด้วยเนื้อหมูผัดให้เข้ากันจนสุกแล้วตามด้วยเครื่องปรุงรสทั้งหมด ผัดให้เข้ากัน
2. ใส่สีผสมอาหารลงไปดูให้สีสวย แล้วค่อยๆใส่แป้งข้าวโพดลงไปเพื่อให้ไส้หมูแดงข้นขึ้น (สังเกตหมูจะจับตัวเป็นก้อน) แสดงว่าใช้ได้แล้ว พักไส้ไว้ให้เย็นก่อน

วิธีปั้นแป้งซาลาเปา

1. นำแป้งที่ฟูได้ที่แล้วมากดไล่ลม หลังจากนั้นนำมาปั้นให้กลมก่อน
2. แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน แล้วทำเป็นแผ่นแบนใช้มีดหั่นแป้งออกให้ได้ 8 ชิ้น รวมเป็น 16 ชิ้น
3. นำแป้งที่ได้ 16 ชิ้น มาปั่นให้กลม แล้วพักไว้ 10 นาที (ทำจนหมดให้ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆ คลุมไว้กันแป้งแห้ง)
4. กดแป้งให้แบนแล้วใช้ไม้คลึงแป้งให้เป็นแผ่นประมาณฝ่ามือ
5. ให้นำแป้งมาวางบนฝ่ามือแล้วไส่ไส้หมูแดงลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เริ่มจับจีบไปจนรอบแล้วหมุนจุดให้แป้งติดกัน
6. วางซาลาเปาลงบนกระดาษรองที่เตรียมไว้ จนครบหมด
7. นำซาลาเปาวางลงในหม้อนึ่ง ยังไม่ต้องตั้งไฟแล้วปิดฝาไว้ พักทิ้งไว้ 40 นาทีให้แป้งฟูขึ้น
8. ช่วงพักแป้ง 40 นาที ใส่น้ำประมาณครึ่งหม้อต้นจนเดือดแล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไป 2 ช้อนโต๊ะ (เพื่อให้แป้งขาวขึ้น)
9. จากนั้นนำลงไปนึ่งได้เลยจับเวลา 12 นาที ปิดไฟได้เลย (ห้ามเปิดฝาทันที) ให้ใช้ไม้ตระเกียบค้ำฝาให้มีช่องเพียงเล็กน้อยทิ้งไวประมาณ 5 นาที เมื่อคบ 5 นาทีแล้วเปิดฝาได้เลย (ระวังไอน้ำหยดลงบนซาลาเปา) พร้อมเสิร์ฟได้เลย

สวกติ่มซำสายซาลาเปาเวลาซื้อบางร้านอาจเจอแป้งหยาบ ไส้น้อย ทำให้เสียอารมณ์ วันนี้มีวิธีทำที่ง่ายทำเองได้แล้วลองทำกันดูนะคะ แถมได้ไส้จุกๆ และไส้แปลกๆใหม่ๆตามต้องการกันไปอีกจร้า

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรมัฟฟิน (Muffin) ช็อกโกแลตชิพสไตล์อังกฤษ

0
สูตรมัฟฟิน (Muffin) ช็อกโกแลตชิพสไตล์อังกฤษ
มัฟฟิน ( Muffin ) คือ ขนมปังอบทรงกลมขนาดเล็กคล้ายคัพเค้กมีรสชาติหวาน หอม เป็นอาหารของอังกฤษและอเมริกัน รับประทานคู่กับชายามบ่าย
สูตรมัฟฟิน (Muffin) ช็อกโกแลตชิพสไตล์อังกฤษ
มัฟฟิน ( Muffin ) คือ ขนมปังอบทรงกลมขนาดเล็กคล้ายคัพเค้กมีรสชาติหวาน หอม เป็นอาหารของอังกฤษและอเมริกัน รับประทานคู่กับชายามบ่าย

มัฟฟิน

มัฟฟิน ( Muffin ) คือ ขนมปังอบทรงกลมขนาดเล็กที่มีรสชาติหวาน หอม คำว่ามัฟฟินมาจากคำว่า ‘moufflet’ ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส คำนี้มักใช้กับขนมปังและอาหารอ่อนอื่น ๆ ที่ผ่านการอบ ต้นกำเนิดของมัฟฟินไม่ได้มาจากฝรั่งเศส แต่ขนมปังมัฟฟินเป็นอาหารของอังกฤษและอเมริกันจึงมี 2 ประเภท ได้แก่ มัฟฟินสไตล์อังกฤษ และ มัฟฟินสไตล์อเมริกัน ทั้งสองประเภทแตกต่างกันไปในด้านของรสชาติและประวัติศาสตร์ ดังนี้ มัฟฟินสไตล์อังกฤษ มีรูปร่างแบนและด้านในกลวงถูกค้นพบโดยชาวเวลส์ในศตวรรษที่ 10 ในยุคกลางแป้งมัฟฟินปรุงในแม่พิมพ์รูปวงแหวนพิเศษวางบนเตาหรือกระทะโดยตรง สูตรมัฟฟินแบบอังกฤษเริ่มปรากฏขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ในยุควิกตอเรียชายหนุ่มขายมัฟฟินพร้อมรถเข็นพิเศษตามท้องถนน และส่งเสียงกระดิ่งเพื่อดึงดูดผู้ซื้อทำให้ผู้คนรีบไปซื้อมัฟฟินและรับประทานในช่วงจิบชายามบ่าย ส่วนมัฟฟินสไตล์อเมริกัน มีลักษณะคล้ายคัพเค้กรสหวานเล็กน้อย ถูกค้นพบในทศวรรษที่ 19 ได้รับความนิยมในร้านกาแฟทศวรรษที่ 20 ส่วนสูตรมัฟฟินมีอยู่ทั่วไปในตำราอาหารอเมริกันในศตวรรษที่ 19 ที่ใช้ยีสต์ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “มัฟฟินทั่วไป” หรือ “มัฟฟินข้าวสาลี” ในตำราอาหารของอเมริกาในศตวรรษที่ 19 มีอยู่ในตำราอาหารที่เก่าแก่กว่ามาก มัฟฟินงาดำได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลกทั้งเรื่องรสชาติและเนื้อสัมผัสในยุคนั้นด้วย

สูตรมัฟฟิน ช็อกโกแลตชิพ (ประมาณ 10 ชิ้น)

  • แป้งเอนกประสงค์ 200 กรัม
  • ผงฟู 3 ช้อนชา
  • น้ำตาล 140 กรัม
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่ 3 ฟอง (เบอร์ 2)
  • นมสด 60 กรัม
  • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  • ช็อกโกแลตชิพ 200 กรัม
  • เนยจืด 150 กรัม (หากใช้เนยเค็ม ให้ลดเกลือลงครึ่งนึง)

วิธีทำแป้งมัฟฟิน

1. ผสมเนย และน้ำตาลทราย ตีให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย
2. นำไข่ใส่ลงไปในส่วนของเนย ใส่ทีละฟอง
3. นำส่วนของแป้ง ผงฟู เกลือ ร่อนแล้วนำใส่ลงไปในชามผสม ผสมให้เข้ากัน
4. ใส่นม ลงไปแล้วผสมให้เข้ากัน
5. ใส่กลิ่นวานิลลาลงไป คนให้เข้ากัน
6. ใส่ช็อกโกแลตชิพลงไป คนให้เข้ากัน
7. นำแป้งมัฟฟินที่เตรียมไว้ แล้วเทลงในพิมพ์จนหมด
8. ตกแต่งหน้ามัฟฟินด้วยช็อกโกแลตชิพส่วนที่เหลือ
9. นำแป้งมัฟฟินอบที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส ประมาณ 25 นาที พอสุกแล้วนำออกจากเตาอบ พักไว้ให้เย็นนำเสิร์ฟได้เลย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรสโคน ( ชาเชียวสตรอเบอรี่ และบลูเบอร์รี่ )

0
สูตรสโคน ( ชาเชียวสตรอเบอรี่ และบลูเบอร์รี่ )
สโคน คือ เป็นขนมอบที่ทำจากข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ หรือข้าวโอ๊ต ประสมแป้งอบเพื่อให้ฟู เนื้อละเอียดคล้ายบิสกิต นิยมดื่มกับชา
สูตรสโคน ( ชาเชียวสตรอเบอรี่ และบลูเบอร์รี่ )
สโคน คือ เป็นขนมอบที่ทำจากข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ หรือข้าวโอ๊ต ประสมแป้งอบเพื่อให้ฟู เนื้อละเอียดคล้ายบิสกิต นิยมดื่มกับชา

สโคน

สโคน ( Scone ) คือ เค้กทรงกลมแบน หรือรูปสามเหลี่ยมที่ทำจากแป้งสีขาวเนื้อละเอียดคล้ายบิสกิต สโคนเริ่มต้นจากการเป็นขนมปังจานด่วนแบบสก๊อตแลนด์เดิมทีทำด้วยข้าวโอ๊ตวางบนแผ่นเหล็กแล้วนำอบ สำหรับที่มาของคำว่า “ Skone” บางคนบอกว่ามันมาจากคำภาษาดัตช์ว่า ‘schoonbrot’ ซึ่งหมายถึงขนมปังที่สวยงามในขณะที่บางคนอ้างว่ามาจาก Stone of Destiny ซึ่งกษัตริย์แห่งสกอตแลนด์ได้รับการสวมมงกุฎ ตามพจนานุกรมของเว็บสเตอร์สโคนมีต้นกำเนิดในสกอตแลนด์ในช่วงต้นทศวรรษ 1500 สามารถเป็นได้ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน มักรับประทานเป็นอาหารเช้าเสิร์ฟพร้อมชา กาแฟ สโคนกลายเป็นที่นิยมและเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรมอันทันสมัยในการดื่มชาของชาวผู้ดีอังกฤษ สโคนถูกเสิร์ฟพร้อมกับน้ำชาในช่วงบ่ายกลายเป็นประเพณีของอังกฤษ คือ“ Afternoon Tea Time” ช่วงเวลา 16:00 นาที พวกเขายังคงเสิร์ฟทุกวันด้วยท็อปปิ้งครีมแบบดั้งเดิมในสหราชอาณาจักร

อุปกรณ์การทำสโคนชาเชียวสตรอเบอรี่

  • พิมพ์กดคุกกี้ขนาดเส้นผ่านศูนย์ 5 เซนติเมตร
  • กระดาษไขสำหรับรองนวดแป้ง
  • กระดาษไข สำหรับปูถาด
  • ไม้นวดแป้ง

ส่วนผสมสโคนบลูเบอร์รี่

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม
  • ผงฟู 10 กรัม
  • เกลือป่น ⅛ ช้อนชา
  • เนยชนิดจืด 40 กรัม
  • น้ำตาลทรายขาว 45 กรัม
  • ไข่ไก่เบอร์ 2 (1 ฟอง)
  • นมสดรสจืด 100 กรัม
  • บลูเบอร์รี่สด 150 กรัม

ส่วนผสมสโคนชาเชียวสตรอเบอรี่

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 250 กรัม
  • ผงชาเขียว 15 กรัม
  • ผงฟู 10 กรัม
  • เกลือป่น ⅛ ช้อนชา
  • เนยสดชนิดจืด 40 กรัม
  • น้ำตาลทรายขาว 45 กรัม
  • ไข่ไก่เบอร์ 2 (1 ฟอง)
  • นมสดรสจืด 100 กรัม
  • สตรอเบอรี่อบแห้ง 150 กรัม
  • แยมสตรอเบอรี่ ตามชอบ

วิธีทำสโคนชาเชียวสตรอเบอรี่

1. ร่อนแป้ง ผงชาเขียว เกลือ และผงฟูเข้าด้วยกันในโถผสม พักไว้
2. ใช้หัวตีรูปใบไม้ตีเนยกับน้ำตาลด้วยความเร็งสูงนาน 2 นาที ใส่ไข่และนมลงไปตีให้เข้ากัน
3. ลดความเร็วลงต่ำ ค่อยๆใส่แป้งลงตีให้ส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นใส่สตรอเบอรี่อบแห้งลงไป ตีพอให้แป้งจับตัวเป็นก้อน (อย่าตีนาน) แล้วปิดเครื่องตี
4. นำแป้งมานวดต่อจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้ไม้รีดแป้งเป็นแผ่นหนาประมาณ 1 นิ้ว กดด้วยพิมพ์คุกกี้วางเรียงในถาดอบรองด้วยกระดาษไข โดยให้มีระยะห่างประมาณ 4 เซนติเมตร
5. นำเข้าเตาอบด้วยอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียส อบต่อประมาณ 20 นาที สังเกตจากแป้งสโคนเริ่มขึ้นฟูและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
6. ยกออกจากเตา วางบนตะแกรงพักขนมไว้ให้พออุ่นๆ
7. จัดจานเสิร์ฟพร้อมแยมสตรอเบอรี่

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรแคร็กเกอร์น่าลอง ทำกินเองได้ไม่ต้องพึ่งร้าน

0
สูตรขนมแคร็กเกอร์
แคร็กเกอร์ ( Crackers ) เป็น หนึ่งในขนมปังอบมีความกรุบกรอบ แตกง่าย มีรูปทรงสามเหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยม หรือวงกลม รสชาติเค็มเล็กน้อย

เปลี่ยนช่วงเวลาว่างให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความอร่อยด้วย วิธีทำแครกเกอร์ โฮมเมดแสนง่ายจาก สูตรแครกเกอร์ ที่เราคัดสรรมาให้! ไม่ต้องเสียเวลาไปที่ร้าน เพราะคุณสามารถรังสรรค์แครกเกอร์กรอบหอมหลากรสชาติได้เองที่บ้าน เพียงเตรียม ส่วนผสมแครกเกอร์ ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็น แครกเกอร์ ส่วนผสม ที่หาง่ายหรือรสชาติที่คุณชื่นชอบ จากนั้นลงมือทำตาม วิธีทําแครกเกอร์ ที่เราแนะนำ แล้วคุณจะได้ลิ้มรสแครกเกอร์อร่อยถูกใจ จะทานเล่นหรือเสิร์ฟเป็นของว่างยามบ่ายก็เหมาะสุด ๆ ลองทำดู แล้วคุณจะเพลิดเพลินกับขนมโฮมเมดแสนอร่อยได้อย่างง่ายดาย

แคร็กเกอร์

แครกเกอร์ ( Crackers ) เป็น หนึ่งในขนมปังอบมีความกรุบกรอบ แตกง่าย มีรูปทรงสามเหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยม หรือวงกลง รสชาติเค็มเล็กน้อย มีประวัติความเป็นมายาวนานมีส่วนประกอบหลักแป้ง เกลือ ปรุงรสด้วยเมล็ดธัญพืช สมุนไพร เครื่องเทศ ชีส เกลือ ออกมาเป็นขนมขบเคี้ยวที่เราเรียกว่า แครกเกอร์ ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1792 โดย John Pearson ซึ่งอาศัยอยู่ในเมือง Newburyport ในแมสซาชูเซตส์ และชื่อแคร็กเกอร์เกิดขึ้นในปี 1801 ขนมแครกเกอร์ ได้รับความนิยมไปทั่วโลกรวมทั้งร้านเบเกอรี่ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเหมาะเป็นขนมหรืออาหารว่าง อาหารทานเล่นในงานปาร์ตี้ ซึ่งในปัจจุบันจะมีร้านเบเกอรี่ที่ทำให้แครกเกอร์เป็นแบบดั้งเดิมนำมาพัฒนาสูตรใหม่ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า โดยการเพิ่มส่วนผสมบางอย่างให้ดูน่ากิน เพิ่มไส้แยมเข้าไปทำให้รสชาติเกิดความหลากหลายไม่น่าเบื่อสำหรับลูกค้าที่ชอบทานเป็นประจำ

ส่วนผสมแป้งแครกเกอร์

ส่วนผสมแป้งแครกเกอร์1. แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย
2. เกลือป่น ½ ช้อนชา
3. ชีสแบบเส้น ตามชอบ
4. เนยแข็ง 4 ช้อนโต๊ะ
5. ครีม ⅓ ถ้วย
6. พริกไทย ½ ช้อนชา
7. งาดำ 10 กรัม
8. ไข่ไก่ 1 ฟอง

วิธีทำแป้งแครกเกอร์

วิธีทำแป้ง แครกเกอร์1. ร่อนแป้ง เกลือด้วยใส่ในเครื่องผสมแป้ง แล้วใส่ชีส เนยลงไป แล้วปั่นพอหยาบ ตามด้วยใส่ครีมลงไปปั่นต่อจนเป็นเนื้อเดียวกัน
2. นำแป้งที่ได้เทใส่ถาดแบน รีดให้แป้งเป็นแผ่นบางๆ ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่าๆกัน เจาะรูตรงกลางแป้งทุกชิ้น พักไว้
3. นำแผ่นแป้งที่เตรียมไว้ย้ายมาวางในถาดอีกอัน (อย่าวางติดกันเกินไป)
4. ทาไข่ลงบนหน้าแป้งแครกเกอร์ทุกชิ้น โรยหน้าด้วยเกลือ พริกไทย และงาดำ
5. นำไปอบ 20 นาที เสร็จแล้วนำออกมารอให้เย็น พร้อมเสิร์ฟเป็นอาหารว่างได้

ขนมแครกเกอร์เป็นขนมที่หาทานได้ง่ายได้รับความนิยมเป็นเวลานาน ราคาไม่แพง และที่สำคัญสามารถทำเองได้ง่าย ๆ ด้วยนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แจกสูตรขนมโตเกียวแป้งกรอบ กำไรเงินแสน

0
แจกสูตรขนมโตเกียวแป้งกรอบ กำไรเงินแสน
โตเกียว คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งทำจากแป้งบางๆ ลักษณะคล้ายแป้งแพนเค้กม้วนห่อด้วยไส้อยู่ข้างในมีทั้งไส้เค็ม ไส้หวาน
แจกสูตรขนมโตเกียวแป้งกรอบ กำไรเงินแสน
โตเกียว คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งทำจากแป้งบางๆ ลักษณะคล้ายแป้งแพนเค้กม้วนห่อด้วยไส้อยู่ข้างในมีทั้งไส้เค็ม ไส้หวาน

โตเกียว

โตเกียว ( Roll pancake ) คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งทำจากแป้งบางๆ ลักษณะคล้ายแป้งแพนเค้กม้วนห่อด้วยไส้ซึ่งมีหลากหลายอยู่ข้างในไม่ว่าจะเป็นไส้เค็ม ไส้หวาน ไส้คาว เช่น ไส้กรอก พริกเผา หมูหยอง ไข่นกกระทา ปูอัด ครีม สังขยา ไส้คัสตาร์ด แยม เผือก ใบเตย ช็อกโกแลต ไม่ว่าจะกี่ปีขนมโตเกียวก็เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามตลาดนัด ตลาดกลางคืน หน้าโรงเรียน สตรีทฟูด เป็นต้น

สูตรโตเกียวแป้งกรอบ

  • แป้งเอนกประสงค์ 140 กรัม
  • แป้งข้าวเจ้าหรือแป้งมันสำปะหลัง 30 กรัม
  • น้ำปูนใสหรือน้ำสะอาด 80 กรัม
  • ไข่ไก่ (เบอร์ 0) 2 ฟอง
  • น้ำตาลป่น 80 กรัม
  • นมสด 100 มิลลิลิตร
  • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • น้ำมัน หรือ เนยละลาย 15 กรัม

สูตรแป้งโตเกียวนุ่มๆ

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 130 กรัม
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • นมสดรสจืด 50 กรัม
  • น้ำเปล่า 100 กรัม
  • น้ำตาลทราย 60 กรัม
  • ผงฟู ½ ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา
  • เกลือป่น ¼ ช้อนชา
  • กลิ่นวนิลา ¼ ช้อนชา

สูตรแป้งโตเกียวชาโคล

  • แป้งสาลี 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 150 กรัม
  • นมข้นจืด 150 มิลลิลิตร
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • ผงชาร์โคล 1 ช้อนชา

สูตรแป้งโตเกียวพื้นฐาน

  • แป้งอเนกประสงค์ 65 กรัม
  • นมสด 50 กรัม
  • ผงฟู 1/4 ช้อนชา
  • เบคกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
  • น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/8 ช้อนชา
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง

ส่วนผสมทำไส้ขนมโตเกียวไส้เค็ม

ส่วนผสมไส้ขนมโตเกียวไส้สังขยา

  • น้ำตาล 120 กรัม
  • เนย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • นม 3/4 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • กลิ่นวานิลา 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำแป้งโตเกียว

1. ร่อนแป้งอเนกประสงค์ ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือป่นเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
2. ผสมนมกับน้ำปูนใสเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
3. ตีไข่กับน้ำตาลทรายจนน้ำตาลทรายละลาย จากนั้นใส่ส่วนผสมแป้งที่ร่อนไว้ลงไปสลับกับส่วนผสมของเหลว (นมกับน้ำปูนใส) ตะล่อมคนผสมจนเข้ากัน หลังจากนั้นพักแป้งไว้ประมาณ 30 นาที
4. อุ่นกะทะจนร้อน ปรับเป็นไฟอ่อน ๆ ตักแป้งโตเกียวลงไปแล้วใช้กระบวยวนเป็นวงกลมขนาดตามชอบเลยค่ะ นำแป้งโตเกียวใส่ถุงบีบ หรือใช้ช้อนตัก วาดเป็นเส้น ๆ ลวดลายตามชอบ ใส่ไข่ตามลงไปทันที เพราะไข่จะสุกช้า เติมรสชาติด้วยซอสปรุงรส และไส้กรอก พอแป้งสุกแล้วก็ม้วนตามภาพ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ชูครีมคัสตาร์ด Choux Creme

0
ชูครีมคัสตาร์ด Choux Creme
ชูครีม เป็นขนมปังอบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะแป้งเป็นทรงกลมแล้วบีบไส้คัสตาร์ไว้ข้างใน แล้วโรยหน้าขนมบางๆ ด้วยน้ำตาลทราย
ชูครีมคัสตาร์ด Choux Creme
ชูครีม เป็นขนมปังอบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะแป้งเป็นทรงกลมแล้วบีบไส้คัสตาร์ไว้ข้างใน แล้วโรยหน้าขนมบางๆ ด้วยน้ำตาลทราย

ชูครีม

ชูครีม ( Choux Creme ) คือ ขนมปังอบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะแป้งเป็นทรงกลมแล้วบีบไส้คัสตาร์ไว้ข้างใน ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลก แม้จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปอย่างประเทศฝรั่งเศสที่เป็นต้นกำเนิด เรียกขนมชนิดนี้ว่า ชูอาลาเครเม่ (Choux a la Crème) ในภาษาอังกฤษเรียกว่า ครีมพัฟฟ์ (Cream Puff) ในภาษาเยอรมันเรียกว่า วินด์บอยเทิล (Windbeutel) ซึ่งหมายถึงถุงลม ส่วนภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า ชูคุริมุ (Shu Kurimu) สูตรดั้งเดิมจะทำอย่างเรียบง่าย ด้วยการใส่ไส้ครีมคัสตาร์ด แล้วโรยหน้าขนมบางๆ ด้วยน้ำตาลทรายป่น

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1. ร่อนแป้งเค้กเตรียมไว้ แล้วพักไว้
2. หั่นเนยสดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ขนาด 1×1 เซนติเมตร วางพักไว้อุณหภูมิปกติ
3. ทาเนยบางๆ ให้ทั่วถาดอบ เตรียมไว้
4. เตรียมหัวบีบชนิดกลมขนาด 10 มิลลิเมตร จำนวน 2 ชุด

ส่วนผสม (ประมาณ 14 ชิ้น)

วิธีการทำชูครีมคัสตาร์ด (ส่วนที่ 1)

1. เทน้ำ เกลือ เนยสด ลงในหม้อก้นลึกขนาด 18 เซนติเมตร แล้วยกขึ้นตั้งไฟคนให้เนยและส่วนผสมต่างๆละลายจนหมด ปิดเตา
2. ใส่แป้งเค้กแล้วใช้พายยางคนให้เข้ากัน (ไม่ต้องเปิดเตา)
3. เมื่อแป้งเริ่มจับตัวเป็นก้อนให้เปิดเตาอีกครั้ง ค่อยๆคนพร้อมกับเกลี่ยแป้งไปที่ขอบหม้อ เพื่อให้ความร้อนทั่วถึงและช่วยให้ของเหลวระเหยจนหมด ตักใส่โถผสม พักไว้

ขั้นตอน ใส่ไข่ลงผสมให้เข้ากัน (ส่วนที่ 2)

1. ตอกไข่ลงชามผสมอีกใบตีให้เข้ากัน
2. ค่อยๆเทไข่ลงผสมกับแป้งทีละน้อยใช้พายยางคนเร็วๆให้เข้ากัน
3. สังเกตว่าแป้งเริ่มแข็งจึงเติมไข่ลงไป คนเร็วๆจนส่วนผสมเข้ากันดี เติมไข่จนหมดแล้วคนต่อไปอีกจนแป้งข้นเหนียว (ลองยกพายยางขึ้น หากแป้งไหลเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวแสดงว่าแป้งใช้ได้แล้ว)

วิธีสังเกตุแป้งที่ผสมแป้งได้ไม่ดี 2 แบบ

1. แป้งเหลวเกินไป เมื่อยกพายยางขึ้นแป้งจะไหลเป็นทรงกลมหรือแผ่ออกด้านข้างแทนที่จะไหลเป็นสายรูปสามเหลี่ยมกลับหัว
2. แป้งแข็งเกินไป เมื่อยกพายยางขึ้นแป้งที่ไหลลงมามักขาดและตกลงเป็นก้อน เมื่อนำไปอบแป้งจะไม่ฟูและกลายเป็นชูชิ้นเล็กที่มีเนื้อแข็ง

ขั้นตอน บีบแป้ง

1. ใช้พิมพ์คุกี้แบบกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร จุ่มลงในแป้งนวด แล้วกดลงบนถาดอบที่เตรียมไว้ให้เป็นรอย โดยเว้นระยะห่างเท่าๆกัน
2. ม้วนถุงบีบตรงหัวบีบให้เป็นกรวยแล้วสอดเข้าไปในหัวบีบ
3. ตักแป้งชูใส่ลงไป
4. วางถุงบีบลงบนโต๊ะใช้แผ่นพลาสติก สำหรับปาดหน้าเค้กรีดแป้งไปทางหัวบีบ
5. ถือถุงบีบโดยให้หัวบีบอยู่ด้านบน ขยับหัวบีบเข้าออกให้แป้งไปอยู่ที่ปลายหัวบีบ จากนั้นคว่ำมือลงแล้วบีบแป้งให้เป็นทรงกลมตามเครื่องหมายที่ทำไว้ ระหว่างบีบแป้งให้นำแป้งชูส่วนที่เหลือในโถผสมไปวางพักไว้ในที่อุ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมแห้ง

ขั้นตอน ทาไข่บนหน้าขนมให้ทั่ว

1. ตอกไข่ตีให้เข้ากันแล้วกรองผ่านกระชอนตาถี่หรือที่กรองชา จากนั้นใช้แปรงจุ่มแล้วทาบางๆ บนหน้าขนม
2. ใช้หลังส้อมจุ่มไข่แล้วแตะลงบนแป้งชูครีม กดเบาๆ ให้เป็นลายตาราง

ขั้นตอน นำเข้าเตาอบจนฟูเหลือง

1. นำแป้งเข้าเตาอบนานประมาณ 30 นาที สิ่งสำคัญ คือ ต้องไม่เปิดเตาในช่อง 20 นาทีแรกของการอบเด็ดขาด เพราะถ้าแป้งสัมผัสกับอากาศเย็นขณะยังอบไม่ได้ที่จะยุบตัวได้
2. เมื่ออบครบ 30 นาที แล้ว แป้งจะพองฟู หน้าขนมแตกออกและมีสีเหลืองสวย ยกออกจากเตาวางพักให้เย็นบนตะแกรง
3. อบแป้งที่เหลือให้ฟูเหลืองจนแป้งหมด
4. ใส่ครีมคัสตาร์ดลงในแป้งชู โดยใช้พายยางคนครีมคัสตาร์ดที่แช่เย็นไว้จนเนื้อเนียน
5. ใช้มีดคมๆ ตัดส่วนบนของแป้งชูประมาณ 1 ส่วน 3 ให้มีลักษณะคล้ายฝาจนหมด พักไว้
6. ตักครีมคัสตาร์ดใส่ถุงบีบ แล้วบีบครีมลงในแป้งชูชิ้นล่างจนเต็ม
7. วางส่วนฝาครอบด้านบน
8. โรยน้ำตาลทรายป่นบางๆให้สวยงาม

วิธีทำชูครีม

1. ใส่นมสดตามด้วยผงกลิ่นวานิลลาลงในหม้อ แล้วยกตั้งเตาไฟให้ร้อนจนเกือบเดือด ปิดเตา พักไว้
2. ตีไข่แดงให้เข้ากัน เติมน้ำตาลทรายผสมพอเข้ากัน ตามด้วยแป้งเค้กผสมต่อจนเข้ากันดี
3. เทส่วนผสมทั้งหมดใน (ข้อ 1) ใส่ลงไปทีละน้อย พร้อมกับคนให้เข้ากันอีกครั้งและน้ำตาลละลายหมด
4. กรองผ่านกระชอนตาถี่ลงในหม้อใบเดิม
5. ตั้งไฟใช้ตะกร้อมือคนเบาๆ ให้ส่วนผสมเดือดเคี่ยวส่วนผสมจนข้นเหนียว
6. พอส่วนผสมเดือดแล้วมีความข้น ให้ใช้ตะกร้อมือคนเร็วขึ้นจนเริ่มขึ้นเงา (ลองยกตะกร้อมือขึ้น หากส่วนผสมไหลเป็นสายแสดงว่าใช้ได้แล้ว) ปิดเตา
7. ยกลงจากเตา ตักใส่ถาดแผ่ออกให้เป็นแผ่นบางวาง

ขนมอาจหาซื้อตามร้ายขายทั่วไป แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยถูกปากมั้ย ถ้าทำเองรับรองอร่อยถูกปากแน่นอน มือใหม่หัดทำสนใจลองทำสูตรชูครีมง่าย ๆ ตามนี้กันเลยนะคะ

สั่งซื้อ ผงไส้ขนมกึ่งสำเร็จรูป ผงคอร์นคัสตาร์ด คลิ๊ก @dessertsmate

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมเปี๊ยะแป้งสด

0
สูตรขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมเปี๊ยะแป้งสด
ขนมเปี๊ยะ เป็นขนมอบที่มีลักษณะทรงกลมแบน หรือกลมทำด้วยแป้งมีไส้อยู่ด้านใน เช่น ไส้ถั่วเขียว ไส้ถั่วแดง ไส้ถั่วดำ ไส้ฟัก ไส้เผือก ไส้งาดำ
สูตรขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมเปี๊ยะแป้งสด
ขนมอบที่มีลักษณะทรงกลมแบน หรือกลมทำด้วยแป้งมีไส้อยู่ด้านใน เช่น ไส้ถั่วเขียว ไส้ถั่วแดง ไส้ถั่วดำ ไส้ฟัก ไส้เผือก ไส้งาดำ

ขนมเปี๊ยะโบราณ

ขนมเปี๊ยะโบราณ ( Chinese Pastry ) เป็นขนมอบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะทรงกลมแบน หรือกลมทำด้วยแป้งมีไส้อยู่ด้านใน เช่น ไส้ถั่วเขียว ไส้ถั่วแดง ไส้ถั่วดำ ไส้ฟัก ไส้เผือก ไส้งาดำ ไส้ไข่เค็ม ไส้ถั่วเหลือง ไส้ฟัก ไส้ครีม ไส้ทุเรียน  ไส้แห้ว ขนมเปี๊ยะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนมีอยู่ 2 ประเภท คือ แบบฮวยหยาง (淮揚酥皮) และแบบกวางตุ้ง (廣式擘酥) พบเห็นได้ตามท้องถนนและร้านค้าทั่วไป ชาวจีนและชาวไทยถือเป็นสิ่งมงคลนิยมใช้ในประเพณีงานแต่งงานแบบจีน งานแต่งงานแบบไทย พิธีสู่ขอ พิธีหมั้นแบบจีน พิธียกน้ำชา พิธีไหว้ฟ้าดิน ไหว้บรรพบุรุษ ประเพณีงานแต่งงานแบบจีนรวมถึงงานแต่งงานแบบประเพณีไทย

ตำนานขนมเปี๊ยะ

ขนมเปี๊ยะมีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศจีนซึ่งเรียกว่า “ผั่วเปี๊ยะ” เป็นขนมที่ใช้ในงานมงคลของคนจีนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเส้นไหว้เหล่าเทพเจ้า งานแต่งงาน งานหมั้น งานขึ้นบ้านใหม่ หรืองานไหว้พระจันทร์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นสิริมงคลด้วย ตามตำนานของคนจีนในเรื่องขนมเปี๊ยะมีการเล่าต่อเรื่องราวหลากหลาย เรื่องที่ได้รับความนิยมที่สุด คือ เรื่องของคู่สามี-ภรรยาที่เมื่อแต่งงานกันแล้ว พ่อสามีเกิดล้มป่วยหนักและฐานะทางบ้านก็ยากจนทำให้ไม่มีเงินรักษา สามีภรรยาคู่นี้จึงตอบแทนความกตัญญูด้วยการนำตัวเองไปขายเป็นทาสเพื่อนำเงินมารักษาพ่อสามี จากนั้นทางสามีจึงทำทุกวิถีทางเพื่อไถ่ตัวภรรยา จึงทำขนมเปี๊ยะออกขายเพราะสามีเป็นผู้ที่มีฝีมือด้านทำขนมเปี๊ยะมากที่สุด ขนมเปี๊ยะมีรสชาติดีทำให้มีผู้คนอุดหนุนและบอกต่อให้มาซื้อ จนสามารถไถ่ตัวภรรยาออกมาได้ จึงถูกเรียกว่าขนม “เหล่าผั่วเปี๊ยะ” ซึ่งไม่ว่าจะมาด้วยตำนานใดสิ่งหนึ่งที่สื่อให้เห็นถึงการเลือกขนมเปี๊ยะมาใช้ นั่นคือการเปรียบขนมเปี๊ยะให้เหมือนตัวแทนแห่งความรักที่สามีมีต่อภรรยาและเป็นตัวแทนแห่งความกตัญญูที่ลูกมีต่อพ่อแม่ สำหรับคนไทยแล้วได้นำขนมเปี๊ยะมาเป็นส่วนหนึ่งของการไหว้เทพเจ้าและใช้ในงานมงคลด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันมีการนำขนมเปี๊ยะโบราณมาดัดแปลเพื่อเพิ่มความอร่อยสวยงามมากยิ่งขึ้น และทำให้มีขนาดเล็กลง เช่น ขนมเปี๊ยะแบบปิ้ง ขนมเปี๊ยะแบบทอด ขนมเปี๊ยะโบราณแบบอบ ขนมเปี๊ยะแป้งสด เป็นต้น ที่สำคัญสามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องรอเฉพาะในวันงานมงคลเท่านั้น

เตรียมอุปกรณ์สำหรับทำขนมเปี๊ยะ

  • ถั่วเขียวกระเทาะเปลือก
  • ไข่เค็ม (เอาเฉพาะไข่แดงไปอบใช้ไฟ 170 องศาเซลเซียส) เตรียมไว้ก่อน
  • น้ำเย็นจัด
  • ไม้รีดแป้ง

สูตรของขนมเปี๊ยะโบราณ

ส่วนผสมแป้งชั้นนอก
1. แป้งบัวแดง 500 กรัม
2. น้ำมัน 175 กรัม
3. น้ำ 125 กรัม
4. น้ำตาลทราย125 กรัม
5. ไข่ไก่ 1 ฟอง
6. แบะแซ 20 กรัม

ส่วนผสมแป้งชั้นใน

1. แป้งสาลี 300กรัม
2. น้ำมันพืช 125 กรัม

ส่วนผสมของไส้
1. ไส้ถั่วกวน 2000 กรัม
2. ไข่แดงเค็ม 20 ฟอง

ชั่งแป้งชั้นนอกก้อนละ 100 กรัม
1. แป้งชั้นใน 40 กรัม
2. ไส้ถั่ว 200 กรัม
3. ไข่แดงเค็ม 10 ฟอง

สูตรของขนมเปี๊ยะแป้งสด

ส่วนผสมใส่ถั่ว สำหรับทำขนมเปี๊ยะแป้งสด

  • ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือก 500 กรัม
  • น้ำมันพืช 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 400 กรัม
  • เกลือ ½ ชช.
  • กะทิ 1 กล่องเล็ก  (แบ่งใส่ 30-34 กรัม/ก้อน)

ส่วนผสมแป้งนอกของขนมเปี๊ยะแป้งสด

  • แป้งตราบัวแดง 250 กรัม
  • แป้งเค้กตราพัดโบก 150 กรัม
  • น้ำ(เย็น) 100 กรัม
  • น้ำมันพืช 125 กรัม
  • น้ำตาลทราย 100 กรัม
  • ไข่ไก่(เบอร์1) 1 ฟอง

(แบ่งแป้ง 30-31 กรัม/ก้อน)

ส่วนผสมแป้งในของขนมเปี๊ยะ

  • แป้งเค้ก(ตราพัดโบก) 200 กรัม
  • น้ำมันพืช 80 กรัม
    (แบ่งแป้ง 10-11 กรัม/ก้อน)

วิธีทำไส้ขนมเปี๊ยะ

1. นำถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกล้างน้ำเปล่า 3 รอบ เสร็จแล้วให้นำถั่วเขียวซีกแช่น้ำให้ท่วมแช่ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง (แช่ข้ามคืนยิ่งดี)
2. นำถั่วที่แช่ไว้ไปล้างอีก 3 รอบ กรองน้ำออก
3. ใช้หม้อตั้งไฟกลางแล้วนำถั่วไปต้มใส่น้ำให้ท่วมถั่ว พอเดือดแล้วให้ตักฟองออกให้หมดต้มไปเรื่อยๆสลับกับตักฟองออก
สังเกตดูจากเม็ดถัวเมื่อเริ่มบาน (อย่าให้เละ) กรองเอาน้ำออกให้หมดรอให้สะเด็ดน้ำ
4. นำถัวที่เตรียมไว้ใส่โถผสมหลังจากนั้นเทน้ำตาลทราย เกลือ น้ำมันพืช กะทิ คนให้เข้ากัน
5. นำส่วนผสมทั้งหมดไปปั่นให้ละเอียด
6. นำกระทะตั้งไฟแล้วนำส่วนผสมทั้งหมดที่ปั่นไว้ไปเคี่ยวด้วยไฟกลางไปเรื่อยๆ จนถั่วร่อนไม่ติดกระทะปิดไฟแล้วตักใส่ถ้วยไว้ พักไว้ให้เย็น
7. ปั้นใส้ถั่วให้เป็นก้อนกลมขนาด 30-34 กรัม
8. หั่นไข่แดงเป็น 4 ส่วน หรือหั่นครึ่งก็ได้
9. นำถั่วที่ปั้นก้อนมาห่อด้วยไข่เค็มเตรียมไว้ (ไม่ให้โดนลม)

วิธีทำแป้งนอก

1. ร่อนแป้งทั้ง 2 อย่างด้วยตระแกรงแบบระเอียดผสมเข้าด้วยกัน เทน้ำตาลทราย น้ำเย็น น้ำมันพืช ไข่ ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นวดด้วยมือต่อประมาณ 2-3 นาที นวดต่อให้แป้งเนียนจนไม่ติดมือ (ปั้นเป็นก้อนกลม พักไว้ประมาณ 30 นาที ไม่ให้โดนลม)
2. แบ่งแป้งให้เป็นก้อนละ 30 กรัม จะได้ประมาณ 25 ลูก พักไว้ ไม่ให้โดนลม

วิธีทำแป้งใน

1. ร่อนแป้งด้วยตระแกรงแบบละเอียดแล้วเทน้ำมันพืชลงไป ผสมทั้ง 2 อย่างให้เป็นเนื้อเดียวกันปั้นเป็นก้อนกลมใหญ่ พักแป้งไว้ 30 นาที (ไม่ให้โดนลม)
2. แบ่งแป้งที่พักไว้ ก้อนละ 10 กรัม จะได้ประมาณ 25 ลูก (พักไว้)
3. นำแป้งนอกมาห่อแป้งใน ปั้นเป็นก้อนกลมพักไว้ 30 นาที (ไม่ให้โดนลม)
4. รีดแป้งให้เป็นแผ่นยาวประมาณ 6 นิ้ว ม้วนเข้าหากัน (รอบแรก) แล้วรีดแป้งให้เป็นแผ่นครั้งที่ 2 ยาวประมาณ 10 นิ้ว ม้วนเข้าหากัน ตัดแบ่งครึ่ง พักให้แป้งคลายตัว 20-30 นาที ไม่ให้โดนลม
5. ใช้ฝ่ามือกดให้แบนลง แล้วค่อยๆใช้ไม้รีดแป้งให้เป็นแผ่นกลมวางแผ่นแป้งระหว่าง นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ แล้วใช้นิ้วโป้งอีกข้างยัดใส้ลงไปปิดแป้งให้สนิททำเป็นก้อนกลมจนหมด
6. ทาหน้าขนมเปี๊ยะก่อนนำไปอดด้วยไข่แดงที่ผสมน้ำเล็กน้อย
7. นำถาดสำหรับอบขนมวางกระดาษไข แล้วเรียงแป้งขนมเปี๊ยะห่างกันพอประมาณ ใช้ไฟบน – ล่าง นำไปอบ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 25 นาที หรือจนสุก
8. จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

ลดเวลาการทำไส้ได้ง่าย ๆ เพียงใช้ ผงไส้กวนตราตำหรับทอง มีให้เลือกหลายไส้ ไม่ว่าจะเป็น ถั่วกวน เผือกกวน มันม่วง ถั่วแดงกวน สนใจสอบถาม/สั่งซื้อ ผงไส้ขนมสำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

รวมสูตรโมจิ และ โมจิหยดน้ำ (Mochi Original)

0
รวมสูตรโมจิ และ โมจิหยดน้ำ (Mochi Original)
โมจิ เป็นขนมปังทรงกลม ทำจากข้าวเหนียว และน้ำ มีลักษณะคล้ายซาลาเปา เนื้อนุ่มหนึบ
รวมสูตรโมจิ และ โมจิหยดน้ำ (Mochi Original)
โมจิ เป็นขนมปังทรงกลม ทำจากข้าวเหนียว และน้ำ มีลักษณะคล้ายซาลาเปา เนื้อนุ่มหนึบ

โมจิ

โมจิ ( Mochi ) เป็นขนมปังทรงกลมมีลักษณะคล้ายซาลาเปาเคี้ยวหนึบหนับ ทำจากส่วนผสมหลัก 2 อย่าง คือ โมจิโกเมะ ซึ่งเป็นข้าวเหนียวเมล็ดสั้น และน้ำ เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษมีบทบาทอย่างมากในการเฉลิมฉลองและเทศกาลปีใหม่ และยังมีการนำไปใช้ในการทำอาหารหลายอย่างซึ่งหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอศกรีมหรือของหวาน โดยต้องนำข้าวไปนึ่งก่อนแล้วทุบหรือตำด้วยครกไม้ขนาดใหญ่ทำให้ข้าวนุ่มและเคี้ยวง่ายยิ่งขึ้น และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโมจิได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกาในฐานะขนมญี่ปุ่นแสนอร่อย มีการดัดแปลสูตรโมจิแบบดั้งเดิมเป็นไอศกรีมลูกเล็กๆ

วิธีการทำและขั้นตอนแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น

ขั้นตอนการตำโมจิเริ่มต้นด้วยคน 2 คนทุบแป้งด้วยค้อนตีแป้งขนาดใหญ่ ให้แป้งโปร่งให้ได้เนื้อสัมผัสที่มีลักษณะเฉพาะคือเหนียวนุ่ม เมื่อได้ที่แล้วก็พลิกจุ่มลงในน้ำร้อนแล้วตำเพิ่มเติมสลับกัน โดยให้คนๆหนึ่งตีแป้งครั้งเดียวในขณะที่อีกคนนวดแป้งด้วยมือเปล่าอย่างรวดเร็วระหว่างการตำจนกว่าจะได้เนื้อสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ ที่สำคัญจังหวะการนวดแป้งนั้นถือได้ว่าเป็นอันตราย เพราะทั้งสองต้องอาศัยความไว้วางใจในกันและกัน รู้จังหวะของกันและกันด้วย

ส่วนผสมแป้งโมจิ

  • นมข้นหวาน 165 กรัม
  • เนยสด 25 กรัม
  • เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
  • น้ำเปล่า 25-30 กรัม
  • แป้งสาลีชนิดเบา (แป้งบัวแดง) 200 กรัม
  • ผงฟู 1/2 ช้อนชา

ส่วนผสมไส้โมจิ

  • ถั่วเขียวเราะเปลือก 250 กรัม (ที่นำไปนึ่งพร้อมบดละเอียดเรียบร้อยแล้ว)
  • กะทิหรือเนยสด 150 กรัม
  • น้ำตาลทราย 225 กรัม
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • กลิ่นนมเนย 1 ช้อนชา
  • มะพร้าวขูดขาว 40 กรัม
  • แบะแซ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีการทำใส้โมจิ

1. นำกะทะตั้งไฟกลางเทถั่วบดละเอียด น้ำตาล เกลือป่น กะทิ และมะพร้าวขูดลงไปกวนจนเป็นเนื้อเดียวกัน
2. ลดไปลงใส่แบะแซลงไป กวนต่อไปให้สังเกตถ้าถั่วไม่ติดกะทะแล้วแสดงว่าใช้ได้ ให้ยกลงจากเตาแล้วปิดไฟ พักให้ใส้โมจิเย็นลง

วิธีการทำแป้งโมจิ

1. ผสมแป้งกับผงฟูให้เข้ากัน แล้วนำไปร่อนด้วยตะแกรงแบบละเอียดเตรียมไว้
2. นำส่วยผสมที่เตรียมไว้นมข้นหวาน เนย เบกกิ้งโซดา เทน้ำเปล่าผสมในโถคนให้เข้ากันทั้งหมด
3. แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วนสำหรับใส่สีผสมอาหาร หรือจะไม่ใส่สีก็ได้ จากนั้นแบ่งแป้งเป็นก้อนเล็กขนาดพอเหมาะ และคลึงเป็นลูกกลมๆ
4. แบ่งไส้ให้ขนาดพอเหมาะ แล้วคลึงเป็นลูกกลมๆ
5. ใช้มือกดลูกแป้งกลมๆให้เป็นแผ่นไม่หนาและบางเกินไป แล้วนำไส้ห่อลงไปปั้นให้แน่น คลึงเป็นลูกกลมๆ ให้ผิวเนียนเรียบ เวลาอบโมจิจะได้ไม่แตก
6. แต้มสีเป็นจุดด้านบนก้อนโมจิให้มีสีสันสวยงาม
7. นำไปอบไฟ 170-180ํ องศาเซลเซียส ไฟบน-ล่าง เป็นเวลา 15-20 นาที พออบเสร็จพักไว้บนตะแกรงให้เย็น จัดจานพร้อมเสิร์ฟ

สูตรโมจิหยดน้ำ

ส่วนผสมของโมจิหยดน้ำ

  • น้ำสะอาด
  • น้ำตาล 50 กรัม
  • ผงวุ้น 2 กรัม
  • ผงคินาโกะ (ผงถั่วเหลืองสไตล์ญี่ปุ่น) 2 กรัม
  • น้ำเชื่อมคุโรมิสึ
  • แป้นพิมพ์วงกลม

วิธีทำโมจิหยดน้ำ

1. เทน้ำตาล ผงวุ้น ลงในหม้อคนให้เข้ากันแล้วค่อยผสมกับน้ำเปล่า ประมาณ 100 มิลลิลิตร จนส่วนผสมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
2. จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ตั้งไฟจนเดือด ในขณะนั้นให้คนน้ำเรื่อยๆจนใส แล้วค่อยใส่ไซรัปข้าวโพดและ น้ำที่เหลือลงไป
3. ปิดไฟแล้วค่อยเทใส่เหยือก
4. รอจนน้ำเย็นลงหน่อยแล้วค่อยเทใส่พิมพ์
5. นำพิมพ์ที่มีน้ำเข้าไปแช่ในตู้เย็น อย่างน้อย 1 ชั่วโมง
6. เสิร์ฟเย็นๆ พร้อมโรยหน้าด้วย ผงคินาโกะ (ผงถั่วเหลืองสไตล์ญี่ปุ่น) และน้ำเชื่อมคุโรมิสึ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม