ชะพลู เมนูเด็ดทานกับหมูย่าง ขับลม ขับเสมหะ รักษาเบาหวานได้ด้วย

0
ชะพลู เมนูเด็ดเมื่อทานกับหมูย่าง ช่วยขับลม ขับเสมหะ รักษาเบาหวานได้ด้วย
ชะพลู พืชที่หาได้ง่าย เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ผิวใบเรียบมีสีเขียวเข้ม รูปหัวใจ
ชะพลู เมนูเด็ดเมื่อทานกับหมูย่าง ช่วยขับลม ขับเสมหะ รักษาเบาหวานได้ด้วย
ชะพลู พืชที่หาได้ง่าย เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ผิวใบเรียบมีสีเขียวเข้ม รูปหัวใจ

ชะพลู

ชะพลู (Chaplu) เป็น พืชที่หาได้ง่าย มักจะนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารมากมายหลายเมนูโดยเฉพาะ “หมูย่างใบชะพลู” ซึ่งเป็นเมนูที่โด่งดังอย่างมาก อย่างไรก็ตามพืชสีเขียวบนโลกนี้มีมากมายจนนับไม่ถ้วน บางคนอาจจะรู้จักชื่อแต่ไม่รู้ว่าชะพลูมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านไหน ชะพลูถือเป็นพืชที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเป็นอย่างมากเพราะมีฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนซ์สูง ทั้งนี้บุคคลทั่วไปก็จะได้รับคุณประโยชน์จากชะพลูมากมายเช่นกัน

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของชะพลู

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper sarmentosum Roxb. หรือ Piper lolot C.DC.
ชื่อสามัญ : Wildbetal leafbush
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “ช้าพลู” ภาคใต้เรียกว่า “นมวา” ภาคเหนือเรียกว่า “ผักพลูนก พลูลิง ปูลิง ปูลิงนก ผักปูนา” ภาคอีสานเรียกว่า “ผักแค ผักอีเลิด ผักนางเลิด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พริกไทย (PIPERACEAE)

ลักษณะของชะพลู

ชะพลู เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน แผ่นใบบาง ที่ผิวใบเรียบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีขนาดเล็กสีขาวอัดแน่นอยู่บนแกนช่อดอก
ผล : เป็นผลสดลักษณะกลม อัดแน่นอยู่บนแกน

การนำไปใช้ประโยชน์ของชะพลู

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนประกอบในเมนูต่าง ๆ เช่น หมูห่อใบชะพลู แกงคั่วไก่ใบชะพลู ยำตะไคร้ใบชะพลู เป็นต้น
2. เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร รากชะพลูเป็นส่วนผสมของตำรับสมุนไพรพิกัดยาตรีสาร

ประโยชน์ของใบชะพลู

1. สรรพคุณจากใบ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น ช่วยบำรุงและรักษาสายตาและช่วยในการมองเห็น ป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน และแก้โรคตาฟาง ยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ช่วยขับเสมหะบริเวณทรวงอกและลำคอ ช่วยในการขับถ่าย
2. สรรพคุณจากราก ช่วยบำรุงธาตุและแก้ธาตุพิการ (ระบบน้ำเหลืองหรือระบบโลหิตเสีย) ช่วยทำให้เสมหะงวดและแห้ง ขับเสมหะบริเวณทรวงอกและลำคอ ช่วยในการขับอุจจาระ

  •  แก้อาการบิด ด้วยการใช้รากประมาณครึ่งกำมือ ใช้ผลประมาณ 3 หยิบมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1/4 ของถ้วยแก้ว
  • แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและจุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3/4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1/4 ของถ้วยแก้ว
  • ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3/4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1/4 ของถ้วยแก้ว
    สรรพคุณจากทั้งต้น
  • ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ชะพลูสดทั้งต้นประมาณ 7 ต้น นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำพอท่วมแล้วต้มให้เดือดสักพักแล้วนำมาดื่มเป็นชา
  • แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและจุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3/4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1/4 ของถ้วยแก้ว

ชะพลู คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของใบชะพลู 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 101 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
เส้นใยหรือไฟเบอร์ 4.6 กรัม
แคลเซียม 601 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
เหล็ก 7.6 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 21255 iu
วิตามินบี1 0.13 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.11 มิลลิกรัม
วิตามินซี 10 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานใบชะพลูเป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ เพราะแคลเซียมที่สูงมากในใบชะพลูจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมออกซาเลต (Oxalate) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตไม่ควรรับประทานมากเกินควรเพราะจะไปสะสมที่ไตและทำให้ไตทำงานหนักขึ้น
2. แคลเซียมออกซาเลต (Oxalate) ทำให้เวียนศีรษะ

ชะพลู เป็นพืชที่นิยมรับประทานทั้งในอาหารเวียดนามและในอาหารไทย เป็นพืชที่มีลักษณะของใบเด่นเหมือนรูปหัวใจ ตัวใบมีธาตุแคลเซียมสูงมาก ถือเป็นประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็เป็นโทษเช่นกัน หากรับประทานมากเกินควร สรรพคุณที่โดดเด่นของชะพลูเลยก็คือช่วยรักษาโรคเบาหวาน ขับลมและแก้อาหารท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งและช่วยในการขับเสมหะ ใบชะพลูเหมาะอย่างมากที่จะนำมาประกอบอาหารทานในบ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักจะเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งถือเป็นโรคนิยมของคนไทยในปัจจุบัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักกาดขาว ผักยอดนิยมทั่วไป มีกากใยสูง ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการท้องผูก

0
ผักกาดขาว ผักยอดนิยมทั่วไป มีกากใยสูง ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการท้องผูก
ผักกาดขาว ผักยอดนิยมของคนทั่วโลก เป็นใบเลี้ยงเดี่ยวแตกออกเรียงสลับกัน มีก้านใบใหญ่เป็นกาบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีขาวนวลและมีรสชาติหวานกรอบ
ผักกาดขาว ผักยอดนิยมทั่วไป มีกากใยสูง ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการท้องผูก
ผักกาดขาว ผักยอดนิยมของคนทั่วโลก เป็นใบเลี้ยงเดี่ยวแตกออกเรียงสลับกัน มีก้านใบใหญ่เป็นกาบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีขาวนวลและมีรสชาติหวานกรอบ

ผักกาดขาว

ผักกาดขาว (Chinese Cabbage) เป็น ผักยอดนิยมสำหรับคนทั่วโลก มีเส้นใยสูงและมีรสชาติดีเมื่อนำมาปรุง เป็นผักที่พบได้ทั่วไปและรับประทานง่าย สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งนี้ผักกาดนั้นเป็นผักที่นิยมในตลาดจึงทำให้การเกษตรมักจะมีการฉีดยาฆ่าแมลง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในผักที่ขึ้นชื่อเรื่องสารพิษจากยาฆ่าแมลงปนเปื้อนอยู่เยอะ แต่ผักกาดขาวที่เรารับประทานกันบ่อย ๆ นั้นมีสรรพคุณที่ช่วยบำรุงร่างกายของเราได้หลายอย่าง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกาดขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brassica rapa subsp. pekinensis
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Chinese Cabbage”
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่อท้องถิ่นที่เรียกกันว่า “ผักกาดขาวปลี” “แปะฉ่าย” “แปะฉ่ายลุ้ย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักกาด (BRASSICACEAE หรือ CRUCIFERAE)
ชื่อพ้อง : Brassica chinensis var. pekinensis (Lour.) V.G. Sun

ลักษณะของผักกาดขาว

ผักกาดขาว เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่นิยมปลูกกันในประเทศไทย 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์เข้าปลียาว มีลักษณะสูงเป็นรูปไข่ พันธุ์เข้าปลีกลมแน่น มีลักษณะสั้นและอ้วนกลม พันธุ์เข้าปลีหลวมหรือไม่ห่อปลี
ลำต้น : ลำต้นเดี่ยวตั้งตรง
ใบ : เป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ใบแตกออกเรียงสลับกัน ใบด้านนอกใหญ่กว่าใบด้านใน มีลักษณะทรงกลมวงรี โคนใบกว้างและใหญ่ ผิวใบบางเป็นมัน สามารถมองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ขอบใบหยัก ใบมีสีเขียวอ่อน เขียวปนเหลืองหรือสีเขียวแก่ มีก้านใบใหญ่เป็นกาบหนาและยาวอวบน้ำ มีสีขาวนวลและมีรสชาติหวานกรอบ
ราก : เป็นระบบรากแก้ว มีลักษณะอวบกลมแทงลึกลงในดิน มีรากฝอยและรากแขนงเล็ก ๆ ออกรอบบริเวณลำต้น รากมีสีน้ำตาล
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ ก้านช่อดอกใหญ่และยาว มีแขนงก้านย่อยจำนวนมาก มีดอกย่อยจากโคนไปที่ปลายยอด ดอกมีลักษณะเล็ก กลีบดอกมีสีเหลืองและกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน
ผล : มีผลเป็นฝักลักษณะทรงกลมเรียวยาว มีปลายเป็นจะงอยยาว ฝักดิบมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาล เมื่อฝักแก่มากจะแตกออก
เมล็ด : มีเมล็ดสีน้ำตาลจำนวนมากเรียงอยู่ในฝัก มีลักษณะแบนยาวรูปวงรีขนาดเล็ก และมีเปลือกหุ้มเมล็ด

สรรพคุณของผักกาดขาว

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงกำลังและร่างกาย กำจัดสารพิษ ของเสีย และโลหะหนักออกจากร่างกาย
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เสริมสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันการเกิดโรคตาบอดตอนกลางคืน รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
    – รักษาแผลในปาก ด้วยการคั้นน้ำจากหัวผักกาดขาวแล้วนำมาใช้บ้วนปากเป็นประจำ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยให้เจริญอาหารและย่อยอาหาร ป้องกันโรคมะเร็งในลำไส้ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ หัวผักกาดช่วยแก้ท้องเสีย บรรเทาอาการท้องผูก ขับปัสสาวะ รักษานิ่วในทางเดินปัสสาวะ
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการกระหาย เมล็ดช่วยแก้หืด แก้อาเจียนเป็นเลือด ใบแก้อาการเจ็บคอ แก้พิษสุรา แก้อาการบวมน้ำ แก้อาการอักเสบ
    – แก้อาการหวัด ด้วยการต้มหัวผักกาดแล้วดื่ม
    – แก้อาการไอและเสมหะ ด้วยการใช้หัวผักกาดมาใส่ขิงและน้ำผึ้งเล็กน้อย ต้มแล้วดื่ม
    – แก้อาการเสียงแห้ง ไม่มีเสียง ด้วยการคั้นน้ำหัวผักกาดขาว เติมน้ำขิงเล็กน้อยแล้วนำมาดื่ม
    – แก้อาการเรอเปรี้ยว ด้วยการนำหัวผักกาดขาวดิบมาหั่นประมาณ 3 – 4 แว่น แล้วนำมาเคี้ยวกิน
    – รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือแผลโดนสะเก็ดไฟ ด้วยการใช้หัวผักกาดหรือเมล็ดมาตำให้แหลกแล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นแผล
    – แก้อาการฟกช้ำดำเขียว ด้วยการใช้หัวผักกาดหรือใบมาตำให้ละเอียดแล้วพอกบริเวณที่ฟกช้ำ
  • สรรพคุณด้านกระดูกและกล้ามเนื้อ เสริมสร้างกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ลดความดันโลหิตสูง เสริมสร้างความแข็งแรงให้ผนังหลอดเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง แก้เลือดกำเดาไหล
  • สรรพคุณสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ใบช่วยขับน้ำนม ช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ช่วง 3 เดือนแรก
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันมะเร็ง รักษาโรคเหน็บชา

เมนูจากผักกาดขาวที่แนะนำ

  • ผัดผักกาดขาว
  • แกงจืดผักกาดขาว
  • ต้มจืดผักกาดขาวยัดไส้
  • สุกี้ผักกาดขาว
  • ผักกาดขาวห่อหมูสับ
  • แกงส้มผักกาดขาว
  • กิมจิผักกาดขาว

คำแนะนำในการรับประทานผักกาดขาว

1. ควรล้างน้ำให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อล้างสารปนเปื้อนหรือยาฆ่าแมลงออกก่อน
2. ควรรับประทานหัวผักกาดดิบเพราะมีสารอาหารมากกว่าผ่านการปรุงหรือผ่านความร้อนมา เนื่องจากวิตามินซีและเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) ในหัวผักกาดขาวจะถูกทำลายที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส
3. ผู้ที่มีอาการม้ามพร่องหรือมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นท้องเป็นประจำ อาหารไม่ค่อยย่อย มีแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ ไม่ควรรับประทานผักกาดขาวในปริมาณมากเกินไป
4. ผู้ที่อาหารไม่ย่อยหรือรับประทานเนื้อมากจนเกินไป ควรทานเพราะหัวผักกาดขาวมีน้ำมันมัสตาร์ด (Mustard oil) เมื่อรวมกับเอนไซม์ในหัวผักกาดจะมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นกระเพาะอาหารและช่วยย่อยอาหารได้

คุณค่าทางโภชนาการของผักกาดขาว

คุณค่าทางโภชนาการของผักกาดขาว 100 กรัม 12 แคลอรี

สามรอาหาร ปริมาณสารอาหาร
น้ำ 91.7 กรัม
โปรตีน 0.6 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม
เส้นใย 0.8 กรัม
แคโรทีน 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.02 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินซี 30 มิลลิกรัม
แคลเซียม 49 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 34 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 196 มิลลิกรัม
ซิลิคอน 0.024 มิลลิกรัม
แมงกานีส 1.26 มิลลิกรัม
ทองแดง 0.21 มิลลิกรัม
สังกะสี 3.21 มิลลิกรัม
โมลิบดีนัม 0.125 มิลลิกรัม
โบรอน 2.07 มิลลิกรัม
กรดนิโคตินิค (Nicotinic acid) 0.5 มิลลิกรัม

สารออกฤทธิ์ในผักกาดขาว

มีสารอาหารที่ชื่อว่า ออร์กาโนซัลไฟด์และฟลาโวนอยด์อยู่ในผักกาดขาว ช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจ

ผักกาดขาว เป็นผักทั่วไปที่คนไทยนิยมนำมารับประทาน เป็นผักที่ครัวในบ้านต้องมีไว้ สามารถนำมาทำเมนูได้หลากหลาย ผักกาดขาวนั้นก็ขึ้นชื่อในเรื่องของกากใยอาหารสูงอยู่แล้ว แต่ยังมีสรรพคุณแก้อาการต่าง ๆ ได้ด้วย สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยให้เจริญอาหารและย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก ทำให้เม็ดเลือดแข็งแรงและช่วยขับน้ำนม

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะตูม ยาดีสำหรับการขับถ่ายติดขัด ช่วยแก้หวัดและบำรุงร่างกาย

0
มะตูม ยาดีสำหรับการขับถ่ายติดขัด ช่วยแก้หวัดและบำรุงร่างกาย
มะตูม ยาดีสำหรับการขับถ่ายติดขัด ช่วยแก้หวัดและบำรุงร่างกาย
มะตูม ยาดีสำหรับการขับถ่ายติดขัด ช่วยแก้หวัดและบำรุงร่างกาย
มะตูม พืชผลไม้ที่มีเปลือกแข็งเรียบ เนื้อผลเหนียวข้นและมีกลิ่นหอม นิยมสกัดเป็นน้ำดื่ม

มะตูม

มะตูม (Aegle marmelos) เป็น พืชผลไม้ที่คนทั่วไปรู้จักหรือเคยได้ยินกันอย่างแน่นอน ส่วนมากมักจะพบมะตูมในรูปแบบของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สามารถหาซื้อได้ง่ายมาก คนไทยนิยมนำมะตูมมาสกัดเป็นน้ำดื่มกันอย่างแพร่หลาย เป็นที่รู้กันดีว่าน้ำมะตูมนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ นอกจากรูปแบบของเครื่องดื่มแล้วต้นมะตูมยังถือว่าเป็นไม้มงคลของศาสนาฮินดู เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ ส่วนในประเทศไทยเชื่อกันว่าใบมะตูมใช้ป้องกันภูตผีปีศาจได้ และยังเป็นพันธุ์ไม้มงคลประจำจังหวัดชัยนาทอีกด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะตูม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aegle marmelos
ชื่อสามัญ : Bael
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะปิน” ภาคใต้เรียกว่า “กะทันตาเถร ตูมและตุ่มตัง” ภาคอีสานเรียกว่า “บักตูม” ภาษาเขมรเรียกว่า “พะโนงค์” ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “มะปีส่า”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ส้ม (RUTACEAE)
ชื่อพ้อง : Belou marmelos (L.) Lyons, Bilacus marmelos (L.) Kuntze, Crateva marmelos L., Feronia pellucida

ลักษณะของมะตูม

มะตูม เป็นไม้ผลยืนต้นพื้นเมืองของอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เปลือก : มีสีเทาเรียบเป็นร่องตื้น เนื้อไม้แข็งและมีสีขาวแกมเหลือง มีกลิ่นหอม โคนต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม ยาวและแข็ง
ใบ : ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยรูปไข่หรือรูปหอก มีลักษณะคล้ายตรีศูลของพระศิวะ
ดอก : มีสีขาวหรือขาวอมเขียวและมีกลิ่นหอม
ผล : มีเปลือกแข็งเรียบ บางผลมีเปลือกแข็งมากจนต้องกะเทาะเปลือกออกโดยใช้ค้อนทุบ เนื้อผลเหนียวข้นและมีกลิ่นหอม
เมล็ด : มีจำนวนมากแทรกอยู่ในเนื้อผล โดยเมล็ดจะมีขนหนาปกคลุม

สรรพคุณของมะตูม

  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย ผลสุกใช้เป็นยาระบายได้ ช่วยรักษาอาการท้องร่วง ท้องเดินและโรคลำไส้ รักษาอาการท้องผูกเรื้อรัง แก้ลมและมูกเลือด
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการหวัดด้วยการใช้ใบสดคั้น เปลือกรากและลำต้นจะบรรเทาอาการไข้จับสั่น ช่วยบรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เป็นยาบำรุงร่างกาย รักษาธาตุและบำรุงธาตุไฟ

ประโยชน์ของมะตูม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลมะตูมนำมารับประทานได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง
2. มะตูมสุกมีเนื้อเละสามารถนำมารับประทานเป็นผลไม้ได้
3.ใบอ่อนของมะตูมนำมารับประทานเป็นผักหรือใช้กินน้ำพริกและลาบ เป็นส่วนผสมของขนมหลายชนิด
4.แปรรูปเป็นเครื่องดื่มได้ด้วยการนำผลมะตูมไปผสมกับมะขามหรือนำน้ำมะตูมที่กรองมาใส่น้ำตาลจะให้รสชาติเหมือนกับมะนาว ผลแก่มะตูมนำมาฝานทำเป็นมะตูมเชื่อมได้

มะตูม เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีผลดีต่อร่างกาย สามารถหาซื้อได้ทั่วไปทั้งมะตูมตากแห้ง ผลมะตูม เครื่องดื่มมะตูมเพื่อสุขภาพ ถือว่าเป็นที่นิยมพอสมควรสำหรับคนไทยในการรับประทานน้ำมะตูม มีสรรพคุณที่โดดเด่นในเรื่องของการขับถ่าย บำรุงร่างกายและแก้หวัด แถมยังเป็นไม้มงคลตามความเชื่อของคนไทยอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะเขือพวง ต้านมะเร็ง ต้านไวรัส ลดไขมันและบำรุงไต

0
มะเขือพวง ต้านมะเร็ง ต้านไวรัส ลดไขมันและบำรุงไต
มะเขือพวง เป็นทรงพุ่มขนาดเล็ก ผลอยู่เป็นพวง สีเขียว เนื้อแน่นกรอบฉ่ำน้ำ มีรสชาติขมอ่อน ๆ
มะเขือพวง ต้านมะเร็ง ต้านไวรัส ลดไขมันและบำรุงไต
มะเขือพวง เป็นทรงพุ่มขนาดเล็ก ผลอยู่เป็นพวง สีเขียว เนื้อแน่นกรอบฉ่ำน้ำ มีรสชาติขมอ่อน ๆ

มะเขือพวง

มะเขือพวง (Turkey berry) เป็น พืชผักที่ใช้เป็นส่วนประกอบในน้ำพริกมากมายโดยเฉพาะในน้ำพริกกะปิ ซึ่งเป็นน้ำพริกที่คนไทยชื่นชอบ ถือเป็นมะเขือที่คนไทยคุ้นเคยกันมานานแต่สรรพคุณของมะเขือพวงนั้นยังไม่ค่อยมีใครรู้มากนัก อีกทั้งยังเป็นพืชที่มีสารอาหารที่สำคัญมากมาย ยังพบบันทึกว่ามะเขือพวงเป็นยาแผนโบราณในตำราอายุรเวทของประเทศจีนอีกด้วย มะเขือพวงมีมากมายหลายสายพันธุ์ ในบางสายพันธุ์ก็ใช้เป็นยาสมุนไพร เป็นต้นพืชที่สามารถหาได้ง่ายและมีผลผลิตตลอดทั้งปี

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเขือพวง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum torvum Sw.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 6 ชื่อ คือ “Turkey berry” “Devil’s fig” “Wild eggplant” “Pea eggplant” “Pea aubergine” “Shoo – shoo bush”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “มะแคว้งกุลา” ภาคอีสานเรียกว่า “หมากแข้ง” ภาคใต้เรียกว่า “เขือน้อย เขือพวง เขือเทศ ลูกแว้ง” จังหวัดสงขลาเรียกว่า “มะแว้งช้าง” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “มะเขือละคร”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)
ชื่อพ้อง : Solanum ficifolium Ortega, Solanum mayanum Lundell

ลักษณะของมะเขือพวง

มะเขือพวง เป็นทรงพุ่มขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในแถบรัฐฟลอริดา หมู่เกาะเวสต์ อินดีส์ เม็กซิโก ไปจนถึงอเมริกากลางและทวีปอเมริกาใต้แถบประเทศบราซิล เป็นวัชพืชที่ขึ้นกระจัดกระจายเกือบทั่วเขตร้อน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน มีลักษณะทรงเรียวรี ใบใหญ่ยาว ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นรอยหยัก ใบมีสีเขียวและมีขนปกคลุมทั่วใบ
ราก : เป็นระบบรากแก้วแทงลึกลงในดิน มีลักษณะกลมสีน้ำตาล มีรากแขนงและรากย่อย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อ เกาะกลุ่มอยู่เป็นพวง ดอกมีลักษณะเป็นรูปแตรขนาดเล็ก กลีบดอกมีสีม่วงหรือสีขาว
ผล : ผลอยู่เป็นพวง มีลักษณะทรงกลมเล็ก ๆ ผิวเปลือกหนาเรียบเป็นมัน ผลมีสีเขียว เนื้อแน่นกรอบฉ่ำน้ำ มีรสชาติขมอ่อน ๆ ผลสุกจะมีสีเหลืองหรือสีส้ม
เมล็ด : มีจำนวนมากอยู่ภายในผลแก่ เมล็ดมีลักษณะแบนกลมเล็ก ๆ และมีสีน้ำตาล

การนำไปใช้ประโยชน์ของมะเขือพวง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหารอย่างแกงป่าทั้งหลาย น้ำพริกต่าง ๆ และผัดเผ็ด
2. เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพร

สรรพคุณของมะเขือพวง

  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ต่อต้านโรคมะเร็ง ต้านเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 และยับยั้งไวรัส ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ใบสดช่วยรักษาโรคซิฟิลิสหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    – รักษาโรคตาปลา ด้วยการนำรากสดมาตำแล้วพอกบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ มีฤทธิ์ในการขับเสมหะ ลดอาการความเครียดออกซิเดชันในผู้ป่วยเบาหวาน บรรเทาอาการไอและเป็นเลือด บรรเทาอาการภูมิแพ้ รักษาอาการเป็นพิษต่อไตที่เกิดจากยาคีโมที่ใช้รักษามะเร็ง มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบและป้องกันการอักเสบเฉียบพลัน ใบสดเป็นยาระงับอาการประสาท ช่วยขับเหงื่อและแก้อาการชัก แก้อาการหืด น้ำคั้นใบสดช่วยลดไข้ ใช้แก้ปวดและปวดข้อ แก้อาการฟกช้ำ ใบสดใช้รักษาฝีบวมมีหนอง ช่วยพอกฝีหนองแตกเร็วขึ้นและช่วยทำให้ฝียุบ ใบสดรักษาโรคผิวหนัง ผลแห้งช่วยรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย ต้นรักษาโรคกลากเกลื้อนตามผิวหนัง
    – แก้พิษในร่างกาย ด้วยการนำน้ำมะขามแช่รากมะเขือพวงแล้วนำมาต้มดื่ม
    – แก้อาการปวดฟัน ด้วยการนำเมล็ดไปเผาให้เกิดควันแล้วสูดเอาควันรมแก้ปวด
    – แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ด้วยการใช้น้ำสกัดจากลำต้นมะเขือพวง
    – รักษาอาการรอยเท้าแตก ด้วยการนำรากสดมาตำแล้วพอกบริเวณที่มีอาการ
  • สรรพคุณด้านควบคุมไขมัน ช่วยดูดซับไขมันส่วนเกินและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ลดระดับคอเลสเตอรอล
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • สรรพคุณบำรุงอวัยวะ บำรุงตับ บำรุงธาตุและบำรุงร่างกาย บำรุงไต
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย รักษาความดันโลหิตสูง ทำให้เลือดในร่างกายหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ใบสดช่วยห้ามเลือด
  • สรรพคุณด้านการคลายเครียด ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและง่วงนอน
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผลแห้งช่วยบำรุงสายตา
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลำไส้และป้องกันสารพิษที่เข้ามายังระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจากสารเพกทินซึ่งมีหน้าที่ดึงน้ำไว้ได้มากเพื่อเพิ่มปริมาณของอุจจาระจึงช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและทำให้ถ่ายง่ายขึ้นมาก ป้องกันโรคท้องผูกและริดสีดวงทวาร ผลและใบช่วยในการขับปัสสาวะ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือพวงสด

คุณค่าทางโภชนาการของมะเขือพวงสดต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 24 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอหาร
คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม
น้ำตาล 2.35 กรัม
เส้นใย 3.4 กรัม
ไขมัน 0.19 กรัม 
โปรตีน 1.01 กรัม
วิตามินบี1 0.039 มิลลิกรัม 
วิตามินบี2 0.037 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.649 มิลลิกรัม
วิตามินบี5 0.281 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.84 มิลลิกรัม
วิตามินบี9 22 ไมโครกรัม
วิตามินซี 2.2 มิลลิกรัม
แคลเซียม 9 มิลลิกรัม 
ธาตุเหล็ก 0.24 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 14 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม 
โพแทสเซียม 230 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.16 มิลลิกรัม
แมงกานีส 0.25 มิลลิกรัม

สารออกฤทธิ์ในมะเขือพวง

มะเขือพวงมีสารอาหารที่สำคัญคือ

  • โซลาโซดีน (solasodine) เป็นสารที่มีสรรพคุณต้านโรคมะเร็ง
  • สารทอร์โวไซด์เอ, เอช ซึ่งเป็นสตีรอยด์ไกลไซด์มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 และยับยั้งไวรัสมากกว่ายาอะไซโคลเวียร์ 3 เท่า
  • สารเพกติน เป็นสารที่ละลายน้ำได้ ช่วยเคลือบผิวของลำไส้ ทำให้ลำไส้ดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่ย่อยแล้วได้ช้าลงจึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • สารทอร์โวนินบี (torvonin B) เป็นซาโพนินชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ขับเสมหะ
  • โซลานีน (solanine) เป็นอัลคาลอยด์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลของแคลเซียมในร่างกาย ผู้ป่วยโรคไขข้อควรหลีกเลี่ยง

มะเขือพวง เป็นมะเขือที่มีสารอาหารต้านโรคได้มากมายกว่าที่คิด ทั้งจากใบและผลของต้นมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร ส่วนมากคนไทยนิยมรับประทานในรูปแบบของแกงเผ็ดหรือน้ำพริกเพราะมะเขือพวงมีรสขมเล็กน้อยหากรับประทานสด สรรพคุณที่โดดเด่นของมะเขือพวงเลยก็คือต้านมะเร็ง ต้านไวรัส ลดไขมันและบำรุงไต แม้จะมีรสขมและไม่อร่อยสักเท่าไหร่แต่มะเขือพวงมีสรรพคุณทางยามากมายจนน่าตกใจ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะเฟือง ช่วยลดความอ้วน ป้องกันมะเร็งตับ แต่เสี่ยงเป็นโรคไต

0
มะเฟือง ช่วยลดความอ้วน ป้องกันมะเร็งตับ แต่เสี่ยงเป็นโรคไต
มะเฟือง ผลไม้ทรงกระสวย เมื่อหั่นขวางจะเป็นรูปดาวห้าแฉก มีทั้งรสเปรี้ยว และหวาน
มะเฟือง ช่วยลดความอ้วน ป้องกันมะเร็งตับ แต่เสี่ยงเป็นโรคไต
มะเฟือง ช่วยลดความอ้วน ป้องกันมะเร็งตับ แต่เสี่ยงเป็นโรคไต

มะเฟือง

มะเฟือง (Star fruit) เป็นผลไม้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในประเทศไทย มักจะมีรสเปรี้ยวหรือหวานตามแต่ละสายพันธุ์ แต่คนไทยมักจะนิยมรับประทานในรูปแบบของผลไม้ จึงไม่ค่อยเห็นมะเฟืองในเมนูอาหารสักเท่าไหร่ คนเมืองอาจจะไม่ค่อยรู้จักและไม่ได้รับประทานบ่อย ๆ นัก แต่มะเฟืองถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย อาจจะกินยากเล็กน้อยแต่ช่วยชะลอวัยได้ด้วย ทั้งนี้ถือเป็นผลไม้ที่มีโทษร้ายแรงเช่นกันหากรับประทานไม่ถูกวิธี

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเฟือง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa carambola L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Star fruit”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “เฟือง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กระทืบยอด (OXALIDACEAE)
ชื่อพ้อง : Averrhoa acutangula Stokes, Sarcotheca philippica (Villar) Hallier f.

ลักษณะของมะเฟือง

มะเฟือง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เป็นไม้พื้นเมืองในแถบอินโดนีเซีย อินเดียและศรีลังกา นิยมปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางส่วนของเอเชียตะวันออก
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมัน ใบอ่อนมีสีเขียวอมแดง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง มีดอกสีชมพูอ่อนไปจนเกือบแดง
ผล : ผลของมะเฟืองเป็นผลไม้ทรงกระสวย เมื่อหั่นแนวขวางจะเป็นรูปดาวห้าแฉก ผลขณะอ่อนจะมีสีเขียวอ่อนและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง เมื่อสุกเต็มที่จะมีสีเหลือง เนื้อผลด้านในฉ่ำด้วยน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย บางพันธุ์มีรสเปรี้ยวมาก

การนำไปใช้ประโยชน์ของมะเฟือง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้แต่งรสเปรี้ยวในอาหาร เป็นเครื่องแนมกับน้ำพริกหรือเป็นส่วนประกอบในเมนูแหนมเนือง และนำมาคั้นเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพได้
2. เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ส่วนผสมในครีมบำรุงผิวที่ช่วยในการรักษาสิว ฝ้า บำรุงผิวพรรณ

ประโยชน์ของมะเฟือง

  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เสริมสร้างความแข็งแรงของฟัน ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
  • สรรพคุณด้านกระดูก ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
  • สรรพคุณด้านหัวใจ ควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นไปอย่างปกติสม่ำเสมอ
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ
    – ขับพิษและพยาธิในร่างกาย ด้วยการนำดอกมะเฟืองมาต้มเป็นน้ำดื่ม
  • สรรพคุณด้านการผ่อนคลาย ช่วยผ่อนคลายความเครียด บรรเทาอาการฟุ้งซ่าน ช่วยกล่อมประสาทให้นอนหลับได้สบายขึ้น ช่วยดับกระหาย ลดความร้อนในร่างกาย
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ ยาแก้ร้อนใน บรรเทาอาการไข้ เป็นยาขับเสมหะ
    – รักษาอาการตุ่มคันตามลำตัว ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วใช้อาบ
    – รักษาตุ่มอีสุกอีใสตามร่างกาย แก้ผดผื่นคัน รักษากลาก เกลื้อน ลดอาการอักเสบและช้ำบวม ด้วยการนำใบสดของมะเฟืองมาตำแล้วนำมาพอก
    – บรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดข้อต่าง ๆ ด้วยการนำส่วนรากมะเฟืองมาต้มเป็นน้ำดื่ม
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    – ช่วยขับประจำเดือน ด้วยการนำใบมะเฟืองมาต้มผสมกับน้ำ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันมะเร็งตับ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย
    – รักษาอาการท้องร่วงและอาการปวดแสบในกระเพาะอาหาร ด้วยการนำรากมะเฟืองมาต้มเป็นน้ำดื่ม
    – ช่วยขับปัสสาวะ ด้วยการนำใบมะเฟืองมาต้มผสมกับน้ำ
  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยลดความอ้วน น้ำคั้นจากมะเฟืองช่วยขจัดรังแคบนหนังศีรษะ รักษาสิว ฝ้าและบำรุงผิวพรรณ
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ น้ำคั้นจากผลมะเฟืองสามารถช่วยลบรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าและของใช้ต่าง ๆ

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะเฟืองสด

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะเฟืองสด ต่อ 100 กรัม โดยคิดเป็น % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ ให้พลังงาน 31 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 6.73 กรัม
น้ำตาล 3.98 กรัม
เส้นใย 2.8 กรัม
ไขมัน 0.33 กรัม
โปรตีน 1.04 กรัม
ลูทีนและซีแซนทีน 66 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.014 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี2 0.016 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี3 0.367 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี5 0.391 มิลลิกรัม (8%)
วิตามินบี6 0.017 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี9 12 ไมโครกรัม (3%)
โคลีน 7.6 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินซี 34.4 มิลลิกรัม (41%)
วิตามินอี 0.15 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุแคลเซียม 3 มิลลิกรัม (0%)
ธาตุเหล็ก 0.08 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุแมงกานีส 0.037 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุฟอสฟอรัส 12 มิลลิกรัม (2%)
ธาตุโพแทสเซียม 133 มิลลิกรัม (3%)
ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม (0%)
ธาตุสังกะสี 0.12 มิลลิกรัม (1%)

ข้อควรระวัง

1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตหรือกำลังจะฟอกไต ไม่ควรรับประทานมะเฟืองเพราะมะเฟืองมีกรดออกซาลิกสูงซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงหรือทำให้อาการทรุดหนักมากขึ้น
2. ผู้ที่รับประทานยาลดไขมันและยาคลายเครียด ไม่ควรรับประทานเนื่องจากมะเฟืองมีฤทธิ์ไปต่อต้านการทำงานของตัวยา
3. ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป เพราะมะเฟืองมีกรดออกซาลิกในปริมาณที่สูงโดยเฉพาะมะเฟืองที่มีรสเปรี้ยว หากได้รับปริมาณมากอาจเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ เนื่องจากกรดออกซาลิกจะไปจับตัวกับแคลเซียมและตกเป็นผลึกนิ่วในไต เมื่อผลึกมีจำนวนมากจะเกิดการตกตะกอนขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันในเนื้อไตและท่อไตจนเกิดอาการไตวายเฉียบพลันได้
4. ไม่ควรดื่มน้ำมะเฟืองหลังจากทำงานหนักและสูญเสียเหงื่อในปริมาณมาก

มะเฟือง เป็นผลไม้สีเหลืองที่ไม่ค่อยนิยมในคนเมืองหรือคนรุ่นใหม่สักเท่าไหร่ แต่เป็นที่รู้จักและมีลักษณะโดดเด่น ผู้คนส่วนมากไม่ค่อยรู้ว่ามะเฟืองสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายกว่าที่คิด สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงผิวพรรณ ลดความร้อนในร่างกาย และป้องกันมะเร็งตับ แต่การรับประทานมะเฟืองไม่ว่าจะในรูปแบบไหนควรที่จะระมัดระวังเพราะโทษของมะเฟืองนั้นร้ายแรงเช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะไฟ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แก้ไขมาลาเรีย บรรเทาอาการไอ

0
มะไฟ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แก้ไขมาลาเรีย บรรเทาอาการไอ
มะไฟ ผลที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน มีผลเป็นพวง เหลืองอมครีม เนื้อฟูนุ่มฉ่ำน้ำ มีสีขาวขุ่นหรือขาวใสอมชมพู
มะไฟ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แก้ไขมาลาเรีย บรรเทาอาการไอ
มะไฟ ผลที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน มีผลเป็นพวง เหลืองอมครีม เนื้อฟูนุ่มฉ่ำน้ำ มีสีขาวขุ่นหรือขาวใสอมชมพู

มะไฟ

มะไฟ (Burmese grape) เป็นผลที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน มีหลากหลายสายพันธุ์และมักจะนิยมทานในรูปแบบของผลไม้และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากกว่าที่จะนำไปเป็นส่วนประกอบของอาหาร ถือเป็นผลไม้ที่คนทั่วไปรู้จักแต่ไม่ค่อยนิยมรับประทานกันนักสำหรับผู้คนในเมือง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะไฟ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Baccaurea ramiflora Lour.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Burmese grape”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคใต้เรียกว่า “ส้มไฟ” จังหวัดเพชรบูรณ์เรียกว่า “หัมกัง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE)

ลักษณะของมะไฟ

มะไฟ เป็นไม้ยืนต้นที่เป็นพืชพื้นเมืองของอินโดนีเซีย ในประเทศไทยมักจะปลูกกันมากในภาคใต้และภาคตะวันออก โดยเฉพาะสายพันธุ์มะไฟไทยและมะไฟจีน
ลำต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีทรงพุ่มโปร่ง ลำต้นมีลักษณะกลม เนื้อไม้แข็งและมีสีเทา
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน มีลักษณะเป็นรูปหอก ปลายเรียวแหลม ใบด้านบนมีสีเขียว พื้นผิวเป็นมัน ส่วนใบด้านล่างมีสีอ่อนกว่า
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจุก ดอกมีสีชมพูอ่อนหรืออมเหลืองขนาดเล็กฝอย ๆ กลีบเลี้ยงมีสีเขียวปนเหลือง มีกลิ่นหอม ก้านช่อดอกยาว ดอกออกตามลำต้นและซอกใบหรือตามปลายกิ่ง
ผล : ออกเป็นพวง มีลักษณะทรงกลมเล็ก ผิวเปลือกบาง ผลอ่อนมีขนคล้ายกำมะหยี่ เมื่อผลสุกผิวจะเกลี้ยงไม่มีขน มีสีเหลืองอมครีม ภายในผลจะมีเนื้อฟูนุ่มฉ่ำน้ำ มีสีขาวขุ่นหรือขาวใสอมชมพู แล้วแต่สายพันธุ์ที่ปลูก มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานและมีกลิ่นหอม
เมล็ด : มีลักษณะรูปไข่อยู่ข้างในเนื้อ เมล็ดมีผิวเรียบลื่นเป็นมันและมีสีน้ำตาล

สรรพคุณของมะไฟ

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ใบช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ
    – ใบ ช่วยบรรเทาอาการไอและช่วยให้ชุ่มคอ ช่วยละลายและขับเสมหะ แก้หวัดและไข้มาลาเรีย ช่วยรักษากลาก เกลื้อนและโรคเรื้อน แก้พิษฝี
    – รากสดหรือรากแห้ง ช่วยดับพิษร้อน แก้ฝีภายในและแก้อาการผิวหนังอักเสบชนิดที่เป็นถุงน้ำและลอกออกมา บรรเทาอาการไข้ที่มีลักษณะอาการปวดข้อ ปวดเข่าและมีผื่นคล้ายลมพิษหรือไข้ประดง แก้วัณโรคและพิษตานซาง
    – เมล็ด ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ แก้อาการท้องร่วง ใบช่วยถ่ายพยาธิและขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค เปลือกมะไฟต้มใช้แก้โรคผิวหนัง รากสดหรือรากแห้งรักษาโรคเริม
  • สรรพคุณด้านความงาม วิตามินซีจากผลช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและเปล่งปลั่ง

ประโยชน์ของมะไฟ

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลอ่อนเป็นส่วนประกอบในแกงได้ ใช้รับประทานเป็นผลไม้สดและนำมาทำน้ำผลไม้ ผลใช้ในการปรุงอาหารอย่างสตู นำมาดองหรือนำไปหมักทำไวน์ ชาวกะเหรี่ยงจะนำยอดอ่อนไปใส่แกงปลา

มะไฟคุณค่าและประโยชน์ทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของมะไฟ ต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 48 kcal

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 10.5 กรัม
น้ำตาล 0 กรัม
เส้นใย  0.9 กรัม
ไขมัน 0.15 กรัม
โปรตีน 0.7 กรัม
วิตามินเอ 2 ไมโครกรัม
วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.09 มิลลิกรัม
วิตามินซี 8.1 มิลลิกรัม
ธาตุแคลเซียม
55 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก
0 มิลลิกรัม
ธาตุแมกนีเซียม
0 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส
20 มิลลิกรัม

วิธีทำน้ำมะไฟ

1. นำมะไฟ 500 กรัม มาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปปอกเปลือก เอาส่วนเนื้อที่ได้ใส่น้ำแล้วต้มให้เดือดประมาณ 10 นาที รอจนเนื้อเละแล้วกรองเอาแต่น้ำ
2. ใส่น้ำเชื่อมครึ่งถ้วย เกลือป่นครึ่งช้อนชา ลงไปแล้วคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วเทใส่ขวด
3. นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น หากต้องการความเย็นสดชื่นสามารถใส่น้ำแข็งลงไปด้วยได้

มะไฟ เป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์อยู่หลายชนิด สามารถนำส่วนต่าง ๆ ของต้นมาใช้ประโยชน์ได้ ส่วนมากมักจะรับประทานในรูปแบบของน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือกระตุ้นคอลลาเจน แก้ไข้ บรรเทาอาการไอ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีรสชาติเปรี้ยวหวานและรับประทานง่าย และมีความเชื่อกันว่าการปลูกมะไฟให้ดอกผลดก จะทำให้ผู้ปลูกได้รับความเจริญงอกงามและอายุยืนยาวอีกด้วย

ข่า สมุนไพรรสเผ็ดร้อนที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ช่วยระงับกลิ่นปากและแก้หวัดได้

0
ข่า สมุนไพรรสเผ็ดร้อนที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ช่วยระงับกลิ่นปากและแก้หวัดได้
พืชสมุนไพรรสจัดจ้าน ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่าง ๆ และใช้ในการปรุงรสอาหารที่เป็นเมนูเผ็ด
ข่า สมุนไพรรสเผ็ดร้อนที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ช่วยระงับกลิ่นปากและแก้หวัดได้
พืชสมุนไพรรสจัดจ้าน ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่าง ๆ และใช้ในการปรุงรสอาหารที่เป็นเมนูเผ็ด

ข่า

ข่า ( Galangal ) เป็น พืชสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี และเป็นที่โด่งดังในเรื่องของความจัดจ้านของรส ส่วนมากมักจะนำข่ามาเป็นส่วนประกอบของอาหารและใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อช่วยแต่งกลิ่น ความแรงของข่าช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ เป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่าง ๆ และใช้ในการปรุงรสอาหารที่เป็นเมนูเผ็ด อย่างเช่น ต้มข่า ต้มยำ เครื่องพริกแกง เป็นต้น

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของข่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Alpinia galanga (L.) Willd.
ชื่อสามัญ : ข่ามีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Greater Galangal” และอีกชื่อคือ “Galangal”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กฎุกกโรหินี” ภาคเหนือเรียกว่า “ข่าหยวกหรือข่าหลวง” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ข่าหลวง” และจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “สะเอเชยหรือเสะเออเคย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
ชื่อพ้อง : Languas galanga (Linn.) Sw.

ลักษณะของข่า

ข่า เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า “เหง้า” เหง้ามีข้อและปล้องชัดเจน เนื้อในมีสีเหลืองและมีกลิ่นหอม
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ขอบใบเรียบและบางช่วงเป็นคลื่น ปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน มีก้านใบสั้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ดอกมีสีขาวขนาดเล็ก
ผล : มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกหรือกลมรีขนาดเท่าเม็ดบัว ผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่จะมีสีแดงอมส้ม และภายในมีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำ มีรสขมและเผ็ด

การนำไปใช้ประโยชน์ของข่า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกและลำต้นอ่อนสามารถใช้รับประทานเป็นผักสดได้ นำมาใช้ประกอบอาหารพวกเครื่องแกง น้ำพริกข่า นำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มหรือชา
2. เป็นสารแต่งกลิ่นหรือน้ำมันหอมระเหย มีการนำข่ามาใช้เป็นสเปรย์ดับกลิ่น ใช้ระงับกลิ่นปากและใช้ดับกลิ่นกาย

ประโยชน์ของข่า

  1. สรรพคุณจากเหง้า ช่วยแก้เสมหะ ช่วยบำรุงร่างกาย มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งด้วยสาร 1 – acetoxychavicol acetate (ACA) ในข่า แก้อาการอาหารเป็นพิษ ช่วยขับน้ำดี เป็นยาระบายและยับยั้งแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการอักเสบ รักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ ช่วยแก้ตะคริวและเหน็บชา
  • แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้ท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้องและขับลมในลำไส้ แก้อาการบิด ปวดมวนท้องและลมป่วง ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สดประมาณ 1 นิ้วฟุต นำมาตำจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส ใช้เป็นยาดื่มครั้งละครึ่งแก้วหลังอาหารวันละ 3 เวลา
  • ขับเลือด ขับน้ำคาวปลาและขับรก ด้วยการใช้เหง้านำมาตำกับมะขามเปียกและเกลือให้ผู้หญิงรับประทานหลังคลอด
  • รักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้เหง้าแก่เท่าหัวแม่มือมาตำจนละเอียดผสมกับเหล้าขาว แล้วทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน
  • เป็นยาแก้ลมพิษ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่ ๆ ที่สด 1 แง่ง นำมาตำจนละเอียดแล้วเติมเหล้าขาวพอแฉะ และใช้ทั้งน้ำและเนื้อนำมาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ
  • แก้โรคน้ำกัด ด้วยการใช้เหง้าแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ นำมาตำให้ละเอียดแล้วเติมเหล้าขาวพอท่วม ทิ้งไว้ 2 วัน แล้วใช้สำลีชุบแล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 รอบ
  • แก้ฟกช้ำ ข้อเท้าแพลงและเคล็ด ด้วยการใช้เหง้าแก่ตำละเอียดนำมาพอกบริเวณที่มีอาการหรือตำให้ละเอียดแล้วนำไปแช่กับเหล้าขาวหรือน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 วัน กรองเอาแต่น้ำมาใช้ทาบริเวณที่ฟกช้ำ
  • ช่วยไล่แมลง ด้วยการใช้เหง้านำมาตำให้ละเอียดเพื่อเอาน้ำมันหอมระเหยแล้วนำไปวางในบริเวณที่มีแมลง
    สรรพคุณสารสกัดจากเหง้า มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคหลอดลมอักเสบ น้ำมันหอมระเหยจากข่าช่วยแก้อาการหวัด ไอและเจ็บคอ ช่วยทำลายสารพิษที่ตกค้างในลำไส้และลดการบีบตัวของลำไส้ เป็นยารักษาแผลสด มีฤทธิ์ช่วยต้านอาการแพ้ต่าง ๆ ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยและฆ่าแมลงวันได้ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา น้ำมันหอมระเหยใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา
  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและอาการปวดบวมตามข้อ ด้วยการใช้ต้นข่าแก่นำมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วทาแก้อาการ

2. สรรพคุณจากเหง้าแก่ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ แก้ไข้ในระยะอยู่ไฟที่เกิดจากการติดเชื้อเมื่อเวลาคลอด ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการอาหารไม่ย่อย

3.สรรพคุณจากเหง้าของข่าลิง ช่วยแก้กามโรค ช่วยทำให้สุรามีกลิ่นฉุนแรงมากขึ้น ด้วยการเอามาต้มน้ำแล้วนำน้ำมาผสมกับสุรา

4. สรรพคุณจากดอกของข่าลิง ช่วยแก้ฝีดาษ

5. สรรพคุณจากข่าหลวง ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยแก้ดีพิการซึ่งเกี่ยวกับน้ำดี

6. สรรพคุณจากหน่อ ช่วยบำรุงธาตุไฟและช่วยแก้ลมแน่นหน้าอก

7. สรรพคุณจากราก ช่วยขับเลือดลมและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มการเผาผลาญของร่างกายให้ดีขึ้น ช่วยแก้เสมหะ

8. สรรพคุณจากผลข่า ช่วยรักษาโรคท้องร่วง ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการอาหารไม่ย่อย ใช้รักษาอาการปวดฟัน ด้วยการนำผลไปบดแล้วนำมาทาบริเวณที่ปวด

9. สรรพคุณจากดอก ช่วยแก้อาการท้องเสีย

10. สรรพคุณจากใบ ช่วยฆ่าพยาธิ รักษากลากเกลื้อน แก้ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและอาการปวดบวมตามข้อ

11. สรรพคุณด้านอื่น ๆ ช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ

ข่า เป็นสมุนไพรรสจัดที่ไม่สามารถรับประทานสดได้ง่าย จึงนิยมนำมาประกอบอาหารพวกรสเผ็ดทั้งหลาย ข่าถือเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักในด้านประโยชน์ต่อร่างกาย สรรพคุณที่โดดเด่นของข่าเลยก็คือช่วยระงับกลิ่นตัวและกลิ่นปาก แก้อาการหวัดและใช้กำจัดแมลง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ถือเป็นสมุนไพรที่โด่งดังและพบได้มากในเมนูอาหารไทยทั่วไป

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ลูกหว้า ผลไม้สรรพคุณเกินคาด ต้านโรคร้ายอย่างเบาหวาน มะเร็ง หัวใจ

0
ลูกหว้า-ผลไม้สรรพคุณเกินคาด-ต้านโรคร้ายอย่างเบาหวาน-มะเร็ง-หัวใจ
ลูกหว้า (Jambolan plum) เป็นผลไม้มีรสฝาด ผลสุกมีสีม่วงดำ ผิวมัน
ลูกหว้า-ผลไม้สรรพคุณเกินคาด-ต้านโรคร้ายอย่างเบาหวาน-มะเร็ง-หัวใจ
ลูกหว้า (Jambolan plum) เป็นผลไม้มีรสฝาด ผลสุกมีสีม่วงดำ ผิวมัน

ลูกหว้า

ลูกหว้า (Jambolan plum) เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ คนที่รู้จักส่วนมากมักจะเป็นคนที่อยู่กับสวนหรือคนที่สนใจเรื่องผลไม้ ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ชื่อที่แปลกจนไม่เคยได้ยิน เป็นผลไม้ที่ค่อนข้างมีรสฝาดแต่ต้นหว้านั้นสามารถนำมาทำเป็นยาได้ทั้งต้น ถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมากต่อมนุษย์ มีการวิจัยได้บอกอีกด้วยว่าลูกหว้ามีสรรพคุณในการยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย ซึ่งโรคมะเร็งถือเป็นโรคที่คนไทยเป็นกันมาก ดังนั้นการรับประทานลูกหว้าก็เป็นหนทางหนึ่งในการป้องกันโรคมะเร็งที่มักจะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ต้นหว้ายังได้รับเลือกให้เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดเพชรบุรีด้วย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของลูกหว้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Syzygium cumini (L.) Skeels
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Jambolan plum” “Java plum” และ “Jambul”
ชื่อท้องถิ่น : ในประเทศไทยมีชื่อเรียกว่า “หว้า หว้าป่า หว้าขาว หว้าขี้นก” ในจังหวัดเชียงรายเรียกว่า “ห้าขี้แพะ” ส่วนชาวฮินดูจะเรียกกันว่า “จามานหรือจามูน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ชมพู่ (MYRTACEAE)
ชื่อพ้อง : Caryophyllus jambos Stokes, Eugenia cumini (L.) Druce

ลักษณะของต้นหว้า

ต้นหว้า เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียเขตร้อนจากอินเดียไปจนถึงมาเลเซีย ต้นหว้าชอบดินชื้นที่อุดมสมบูรณ์ มักจะขึ้นตามป่าดิบและป่าผลัดใบทั่วไป
เปลือกต้น : ค่อนข้างเรียบและมีสีน้ำตาล
ใบ : เป็นใบเดี่ยวลักษณะรูปไข่หรือรูปรี มีจุดน้ำมันที่บริเวณขอบใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ออกที่ซอกใบหรือปลายยอด มีฐานรองดอกเป็นรูปกรวย
ผล : ผลสดลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปไข่ ฉ่ำน้ำ มีสีม่วงดำ ผิวเรียบมัน
เมล็ด : มีเมล็ดเพียง 1 เมล็ด และมีลักษณะเป็นรูปไข่

การนำไปใช้ประโยชน์ของลูกหว้า

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนของหว้าสามารถนำมารับประทานเป็นผักสดได้ ผลสุกนิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้และใช้ทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือไวน์ได้
2. เป็นส่วนประกอบในการทำเฟอร์นิเจอร์ เนื้อไม้ของต้นหว้าสามารถนำมาใช้ทำสิ่งปลูกสร้างบ้านเรือนได้

ประโยชน์ของลูกหว้า

  • ประโยชน์จากผล ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง ช่วยชะลอความแก่และความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย บรรเทาอาการของวัณโรคและโรคปอดด้วยการนำผลหว้าไปตากแห้งแล้วนำมาบดให้ละเอียดแล้วรับประทานเป็นประจำจะช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น
  • ประโยชน์จากผลดิบ ช่วยแก้อาการท้องเสีย บำรุงกระดูกและฟัน
  • ประโยชน์จากผลสุก แก้อาการท้องร่วงและอาการบิด
  • ประโยชน์จากผลสด รักษาโรคหอบหืดที่เกิดจากการแพ้อากาศด้วยการนำผลหว้าสดมาต้มกับน้ำแล้วดื่มเพื่อบรรเทาอาการ
  • ประโยชน์จากใบ รักษาอาการบิด มูกเลือดและท้องเสีย ช่วยรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้ใบมาต้มหรือบดให้ละเอียดแล้วนำมารับประทานเพื่อรักษาอาการของโรคเบาหวาน รักษาโรคผิวหนังด้วยการนำใบมาตำให้แหลกแล้วใช้ทา ช่วยล้างแผลเน่าเปื่อยด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำตาลแล้วนำน้ำที่ได้มาล้างแผล
  • ประโยชน์จากเมล็ดหว้า รักษาอาการบิด มูกเลือดและท้องเสีย รักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้เมล็ดหว้ามาต้มหรือบดให้ละเอียดแล้วนำมารับประทานเพื่อรักษาอาการของโรคเบาหวานได้ รักษาโรคผิวหนังด้วยการนำเมล็ดมาตำให้แหลกแล้วใช้ทา ช่วยล้างแผลเน่าเปื่อยด้วยการนำเมล็ดหว้าต้มกับน้ำตาลแล้วนำน้ำที่ได้มาล้างแผล
  • ประโยชน์จากเปลือก นำมาใช้ทำเป็นยาอม ยากวาดคอ แก้ปากเปื่อย แก้คอเปื่อย อาการเป็นเม็ดตามลิ้นและคอ แก้อาการน้ำลายเหนียวข้น แก้บิดด้วยการต้มน้ำแล้วดื่ม
  • ประโยชน์จากน้ำมันหอมระเหย ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยย่อยอาหารด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อยต่าง ๆ ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดการจับตัวของลิ่มเลือด มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งเชื้ออีโคไล (Escherichia coli) ในช่องทางเดินอาหารซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องเสียบ่อย ๆ หรืออุจจาระเหลวเป็นน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการของลูกหว้า

โภชนาการของลูกหว้าดิบต่อ 100 กรัมให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม
เส้นใย 0.6 กรัม
ไขมัน 0.23 กรัม
โปรตีน 0.995 กรัม
วิตามินบี1 0.019 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี2 0.009 มิลลิกรัม (1%)
วิตามินบี3 0.245 มิลลิกรัม (2%)
วิตามินบี6 0.038 มิลลิกรัม (3%) 
วิตามินซี 11.85 มิลลิกรัม (14%)
แคลเซียม 11.65 มิลลิกรัม (1%)
ธาตุเหล็ก 1.41 มิลลิกรัม (11%)
แมกนีเซียม 35 มิลลิกรัม (10%)
ฟอสฟอรัส 15.6 มิลลิกรัม (2%)
โพแทสเซียม 55 มิลลิกรัม (1%)
โซเดียม 26.2 มิลลิกรัม (2%)

ลูกหว้า เป็นพืชที่สามารถนำมาแปรรูปและทำประโยชน์ได้ทั้งต้นไม่ว่าจะเป็นเปลือก ลำต้น ใบ เมล็ดหรือผลก็ตาม แต่ละส่วนก็จะมีสรรพคุณที่แตกต่างกันไป ในประเทศไทยมักจะพบลูกหว้าในรูปของเครื่องดื่มมากที่สุด สรรพคุณที่โดดเด่นของลูกหว้าเลยก็คือต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง รักษาเบาหวานและช่วยย่อยอาหารในร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แตงไทย ช่วยบำรุงผิว กำจัดสิวและริ้วรอย เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากสวยใส

0
แตงไทย ช่วยบำรุงผิว กำจัดสิวและริ้วรอย เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากสวยใส
แตงไทย ผักผลไม้พื้นบ้านที่ทานได้ทั้งผลอ่อนและสุก ผลสุกมีรสหวาน หอม เนื้อนุ่มฉ่ำ
แตงไทย ช่วยบำรุงผิว กำจัดสิวและริ้วรอย เหมาะกับสาว ๆ ที่อยากสวยใส
แตงไทย ผักผลไม้พื้นบ้านที่ทานได้ทั้งผลอ่อนและสุก ผลสุกสีเหลือง มีรสหวาน หอม เนื้อนุ่มฉ่ำ ทานแล้วรู้สึกเย็นชื่นใจ

แตงไทย

แตงไทย (Muskmelon) เป็น ผลไม้ที่มีขายตามท้องตลาด เป็นผลไม้ที่มักจะรับประทานจิ้มกับน้ำพริกหรือนำไปดอง เป็นส่วนประกอบของของหวานและนำมาคั้นเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพได้ด้วย ในประเทศไทยถือว่าเป็นผลไม้ที่นิยมอย่างมากเพราะมีน้ำเยอะและให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย ซึ่งแตงไทยนั้นบางคนอาจจะไม่คุ้นเพราะคนไทยมักจะเรียกกันว่า “เมลอน” มากกว่า ทั้งนี้พันธุ์ที่นิยมในไทยเลยก็คือ “แคนตาลูป” ถือเป็นผลไม้ที่เหมาะจะดื่มอย่างมากในประเทศร้อนอบอ้าวแบบประเทศไทยเรา

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแตงไทย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cucumis melo
ชื่อสามัญ : Muskmelon
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “แตงไทย” ภาคเหนือเรียกว่า “แตงลาย” ภาคอีสานเรียกว่า “แตงจิง แตงกิง” ประเทศเขมรเรียกว่า “ซกเซรา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แตง (CUCURBITACEAE)

ลักษณะของแตงไทย

แตงไทย เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียแถวเชิงเขาหิมาลัยไปจนถึงไปถึงแหลมโคโมริน เป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเป็นเถาเลื้อย
ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ มีขอบใบหยักและก้านใบยาว
ดอก : ดอกสีเหลือง
ผล : ผลมีขนาดค่อนข้างใหญ่และรูปร่างกลมยาว ผลอ่อนสีเขียวและมีลายสีขาวพาดยาว เมื่อผลแก่เปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและผิวเรียบเป็นมัน
เมล็ด : เมล็ดรูปแบนรีและมีสีครีมจำนวนมาก

การนำไปใช้ประโยชน์ของแตงไทย

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลอ่อนนำมารับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ผลสุกนำมารับประทานในรูปแบบผลไม้หรือนำมาประกอบในของหวาน เช่น น้ำกะทิแตงไทย แยมแตงไทย แตงไทยนมสด เป็นต้น นำมาคั้นสดเป็นน้ำปั่นแตงไทยก็ย่อมได้เช่นกัน

ประโยชน์ของแตงไทย

  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสและช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า ลดความหยาบกร้านของผิวและรอยด่างดำต่าง ๆ ชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย
    – กำจัดสิว ด้วยการนำแตงไทยสุกครึ่งถ้วย นมสดครึ่งถ้วยและไข่ไก่ 1 ฟอง มาผสมรวมกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนเข้านอนแล้วล้างออก
  • สรรพคุณด้านอุณหภูมิในร่างกาย มีฤทธิ์เย็น ช่วยในการดับกระหาย คลายร้อนและขับเหงื่อ
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงรักษาสายตา ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
    – รักษาแผลในจมูก ด้วยการนำมาบดเป็นผงแล้วนำมาฉีดพ่น
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย แก้อาการเลือดกำเดาไหล
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย บรรเทาอาการท้องผูกและท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการย่อยอาหาร รักษาอาการปัสสาวะอักเสบ รากของแตงไทยเมื่อนำมาต้มดื่มจะช่วยระบายท้อง เมล็ดของแตงไทยช่วยในการขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค แก้โรคดีซ่าน
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการไอ บรรเทาอาการอาเจียนไม่ออก
    – บรรเทาอาการผิวอักเสบ ด้วยการใช้แตงไทยสุกบดละเอียดครึ่งถ้วย นมสดครึ่งถ้วยแล้วผสมเข้าด้วยกันจนได้เนื้อที่เข้มข้น จากนั้นนำมาพอกบริเวณผิวที่อักเสบ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก
  • สรรพคุณด้านบำรุงอวัยวะ มีส่วนช่วยในการบำรุงหัวใจ บำรุงระบบประสาทและสมอง บำรุงธาตุ
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ ช่วยในการขับน้ำนมของมารดาให้นมบุตร

แตงไทยคุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของแตงไทย 100 กรัม ให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 0.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
แคลเซียม 20 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 41 มิลลิกรัม
 เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม
วิตามินซี 31 มิลลิกรัม
วิตามินบี1 0.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.03 มิลลิกรัม

น้ำกะทิแตงไทย

วิธีการทำน้ำกะทิแตงไทยด้วยตัวเองสามารถทำได้ ดังนี้
1. นำแตงไทยมาล้างน้ำเปล่าให้สะอาด ปอกเปลือกแตงไทยแล้วคว้านเอาไส้ออกให้หมด จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามที่ต้องการ หั่นเสร็จให้นำไปแช่ตู้เย็น
2. ทำน้ำกะทิ ด้วยการละลายน้ำตาลปี๊บกับน้ำกะทิ เมื่อผสมเสร็จนำไปตั้งไฟโดยใช้ไฟระดับปานกลาง เติมเกลือป่นลงไปแล้วคนเรื่อย ๆ รอจนเดือดแล้วปิดเตา พักไว้ให้เย็น
3. นำแตงไทยที่แช่เย็นไว้มาใส่ถ้วยแล้วเติมกะทิลงไปก็เป็นอันเสร็จสิ้น

แตงไทย เป็นผลไม้ที่เหมาะสมสำหรับสาว ๆ หรือผู้ที่ต้องการบำรุงผิว และยังเป็นผลไม้ที่เหมาะสมในประเทศที่ร้อนอบอ้าวอย่างประเทศไทย เนื่องจากมีฤทธิ์ช่วยดับกระหายและลดอุณหภูมิในร่างกาย ทั้งนี้ในการเกษตรนั้นแตงไทยถือเป็นผลไม้ที่ปลูกได้ง่ายและแข็งแรง ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีของคนรักสุขภาพ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานชื่นใจและยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สะตอ กลิ่นแรงแต่เป็นยาระบายชั้นดี แถมป้องกันเบาหวานได้ด้วย!

0
สะตอ กลิ่นแรงแต่เป็นยาระบายชั้นดี แถมป้องกันเบาหวานได้ด้วย!
สะตอ ผักยืนต้นที่มีลักษณะฝักแบนยาว เมล็ดรีเกือบกลมสีเขียว มีกลิ่นฉุน
สะตอ กลิ่นแรงแต่เป็นยาระบายชั้นดี แถมป้องกันเบาหวานได้ด้วย!
สะตอ ผักยืนต้นที่มีลักษณะฝักแบนยาว เมล็ดรีเกือบกลมสีเขียว มีกลิ่นฉุน

สะตอ

สะตอ ( Bitter bean ) เป็นผักสมุนไพรที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย แต่สะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวอย่างรุนแรง คนไทยบางคนชอบทานสะตอกันเป็นอย่างมาก และเป็นที่รู้กันว่าผักชนิดนี้จะช่วยให้การขับถ่ายคล่องมากขึ้นในวันถัดมา แต่ก็จะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมาด้วย แต่สรรพคุณของสะตอนั้นมีมากกว่าเรื่องของการขับถ่าย ใครที่ชอบรับประทานเป็นทุนเดิมก็อาจจะรักสะตอมากขึ้นเมื่อได้รู้ถึงประโยชน์ที่ลึกลงไป

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของสะตอ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Parkia speciosa Hassk.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Bitter bean” “Twisted cluster bean” และ “Stink bean”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “กะตอ สะตอ ตอดาน ตอข้าว” ภาคใต้และจังหวัดระนองเรียกว่า “ตอหรือลูกตอ” จังหวัดปัตตานี ยะลาและมลายูเรียกว่า “ปะตา ปัตเต๊าะ” จังหวัดสตูลและมลายูเรียกว่า “ปาไต”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (Fabaceae)
ชื่อพ้อง : Parkia macropoda Miq.

ลักษณะของสะตอ

ต้นสะตอ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ พบทั่วไปในภาคใต้และภาคตะวันออก มักจะขึ้นตามเชิงเขาที่มีสภาพป่าสมบูรณ์
ใบ : ใบประกอบเป็นรูปคล้ายขนนก
ดอก : ดอกมักจะออกเป็นช่อรวมกัน เป็นกระจุกคล้ายดอกกระถินขนาดเล็กจำนวนมากติดเป็นช่อกลม ช่อดอกห้อย แต่ละดอกมีก้านดอกและมีใบประดับรองดอก
ผล : เป็นฝักที่บิดเป็นเกลียวห่าง ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่สีดำ
เมล็ด : เป็นรูปรีเกือบกลมเรียงตามขวางกับฝัก

สรรพคุณของสะตอ

  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดอุดตันและลดความดันโลหิต เพิ่มประสิทธิภาพการเกาะตัวของเม็ดเลือดแดง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ช่วยบำรุงสายตา
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยทำให้เจริญอาหาร มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และขับลมในลำไส้ ช่วยในการขับปัสสาวะและการขับถ่าย แก้ปัสสาวะผิดปกติ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ ช่วยแก้ไตพิการหรือแก้ไตผิดปกติ
  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
  • สรรพคุณต่อเซลล์ในร่างกาย มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
  • สรรพคุณด้านการคลายเครียด บรรเทาอาการซึมเศร้า

สะตอคุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ 100 กรัม ให้พลังงาน 124 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 16.9 กรัม
โปรตีน 10 กรัม
ไขมัน 1.8 กรัม
ไฟเบอร์ 1 กรัม 
ธาตุเหล็ก 3.4 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 376 มิลลิกรัม
แคลเซียม 126 มิลลิกรัม
โซเดียม 11 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 3 มิลลิกรัม
วิตามินซี 32.7 มิลลิกรัม
วิตามินบี1  0.15 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 0.5 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของสะตอ

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้และในประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า และสิงคโปร์ เป็นต้น ใช้ประกอบอาหารจำพวกสะตอผัดกุ้ง ผัดสะตอ หรือนำมาแปรรูปเป็นสะตอดอง
2. เป็นปุ๋ยบำรุงดิน ใบของสะตอสามารถบำรุงดินได้
3. เป็นส่วนประกอบในการทำเฟอร์นิเจอร์ ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านได้

ข้อควรระวังในการกินสะตอ

1. ผู้ที่เป็นโรคเกาต์หรือผู้ที่มีกรดยูริกในร่างกายสูงเกินค่ามาตรฐานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสะตอ
2. ไม่ควรรับประทานสะตอในปริมาณมากเพราะอาจทำให้กรดยูริกในร่างกายสูง และเสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ่ว โรคไตอักเสบ รวมถึงมีอาการหูอื้ออีกด้วย
3. ผู้ที่มีความดันเลือดค่อนข้างต่ำไม่ควรรับประทานสะตอ อาจทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะได้ เนื่องจากสะตอมีฤทธิ์ช่วยลดความดันเลือด

สะตอ เป็นอาหารของชาวปักษ์ใต้ที่มีกลิ่นแรง มักจะรับประทานในเมนูอาหารเผ็ดทั้งหลาย คนไทยส่วนมากรู้จักสะตอไม่ว่าจะในรูปแบบผักหรือในการเล่นคำที่มักจะใช้เป็นคำคำสแลงในการแซะคน ทั้งนี้สะตอมีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือเป็นยาระบายชั้นดี รับประทานแล้วคลายเครียดเหมือนได้ปลดปล่อย ป้องกันเลือดอุดตันและลดความดันโลหิต แถมยังป้องกันโรคเบาหวานได้ด้วย เป็นผักที่นำมาประกอบอาหารแล้วอร่อยเลิศแถมยังเป็นผลดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะเพราะสะตอมีฤทธิ์แรงต่อเลือดในร่างกาย บางคนมักจะมีอาการเวียนหัวเมื่อรับประทานเข้าไป แต่สิ่งที่สำคัญคือรสชาติของสะตอนั้นเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วรู้สึกสะใจจริง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม