แจกสูตรขนมโตเกียวแป้งกรอบ กำไรเงินแสน

0
แจกสูตรขนมโตเกียวแป้งกรอบ กำไรเงินแสน
โตเกียว คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งทำจากแป้งบางๆ ลักษณะคล้ายแป้งแพนเค้กม้วนห่อด้วยไส้อยู่ข้างในมีทั้งไส้เค็ม ไส้หวาน
แจกสูตรขนมโตเกียวแป้งกรอบ กำไรเงินแสน
โตเกียว คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งทำจากแป้งบางๆ ลักษณะคล้ายแป้งแพนเค้กม้วนห่อด้วยไส้อยู่ข้างในมีทั้งไส้เค็ม ไส้หวาน

โตเกียว

โตเกียว ( Roll pancake ) คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งทำจากแป้งบางๆ ลักษณะคล้ายแป้งแพนเค้กม้วนห่อด้วยไส้ซึ่งมีหลากหลายอยู่ข้างในไม่ว่าจะเป็นไส้เค็ม ไส้หวาน ไส้คาว เช่น ไส้กรอก พริกเผา หมูหยอง ไข่นกกระทา ปูอัด ครีม สังขยา ไส้คัสตาร์ด แยม เผือก ใบเตย ช็อกโกแลต ไม่ว่าจะกี่ปีขนมโตเกียวก็เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามตลาดนัด ตลาดกลางคืน หน้าโรงเรียน สตรีทฟูด เป็นต้น

สูตรโตเกียวแป้งกรอบ

  • แป้งเอนกประสงค์ 140 กรัม
  • แป้งข้าวเจ้าหรือแป้งมันสำปะหลัง 30 กรัม
  • น้ำปูนใสหรือน้ำสะอาด 80 กรัม
  • ไข่ไก่ (เบอร์ 0) 2 ฟอง
  • น้ำตาลป่น 80 กรัม
  • นมสด 100 มิลลิลิตร
  • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • น้ำมัน หรือ เนยละลาย 15 กรัม

สูตรแป้งโตเกียวนุ่มๆ

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 130 กรัม
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • นมสดรสจืด 50 กรัม
  • น้ำเปล่า 100 กรัม
  • น้ำตาลทราย 60 กรัม
  • ผงฟู ½ ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา
  • เกลือป่น ¼ ช้อนชา
  • กลิ่นวนิลา ¼ ช้อนชา

สูตรแป้งโตเกียวชาโคล

  • แป้งสาลี 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 150 กรัม
  • นมข้นจืด 150 มิลลิลิตร
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • ผงชาร์โคล 1 ช้อนชา

สูตรแป้งโตเกียวพื้นฐาน

  • แป้งอเนกประสงค์ 65 กรัม
  • นมสด 50 กรัม
  • ผงฟู 1/4 ช้อนชา
  • เบคกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
  • น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/8 ช้อนชา
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง

ส่วนผสมทำไส้ขนมโตเกียวไส้เค็ม

ส่วนผสมไส้ขนมโตเกียวไส้สังขยา

  • น้ำตาล 120 กรัม
  • เนย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • นม 3/4 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • กลิ่นวานิลา 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำแป้งโตเกียว

1. ร่อนแป้งอเนกประสงค์ ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือป่นเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
2. ผสมนมกับน้ำปูนใสเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
3. ตีไข่กับน้ำตาลทรายจนน้ำตาลทรายละลาย จากนั้นใส่ส่วนผสมแป้งที่ร่อนไว้ลงไปสลับกับส่วนผสมของเหลว (นมกับน้ำปูนใส) ตะล่อมคนผสมจนเข้ากัน หลังจากนั้นพักแป้งไว้ประมาณ 30 นาที
4. อุ่นกะทะจนร้อน ปรับเป็นไฟอ่อน ๆ ตักแป้งโตเกียวลงไปแล้วใช้กระบวยวนเป็นวงกลมขนาดตามชอบเลยค่ะ นำแป้งโตเกียวใส่ถุงบีบ หรือใช้ช้อนตัก วาดเป็นเส้น ๆ ลวดลายตามชอบ ใส่ไข่ตามลงไปทันที เพราะไข่จะสุกช้า เติมรสชาติด้วยซอสปรุงรส และไส้กรอก พอแป้งสุกแล้วก็ม้วนตามภาพ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ชูครีมคัสตาร์ด Choux Creme

0
ชูครีมคัสตาร์ด Choux Creme
ชูครีม เป็นขนมปังอบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะแป้งเป็นทรงกลมแล้วบีบไส้คัสตาร์ไว้ข้างใน แล้วโรยหน้าขนมบางๆ ด้วยน้ำตาลทราย
ชูครีมคัสตาร์ด Choux Creme
ชูครีม เป็นขนมปังอบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะแป้งเป็นทรงกลมแล้วบีบไส้คัสตาร์ไว้ข้างใน แล้วโรยหน้าขนมบางๆ ด้วยน้ำตาลทราย

ชูครีม

ชูครีม ( Choux Creme ) คือ ขนมปังอบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะแป้งเป็นทรงกลมแล้วบีบไส้คัสตาร์ไว้ข้างใน ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลก แม้จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปอย่างประเทศฝรั่งเศสที่เป็นต้นกำเนิด เรียกขนมชนิดนี้ว่า ชูอาลาเครเม่ (Choux a la Crème) ในภาษาอังกฤษเรียกว่า ครีมพัฟฟ์ (Cream Puff) ในภาษาเยอรมันเรียกว่า วินด์บอยเทิล (Windbeutel) ซึ่งหมายถึงถุงลม ส่วนภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า ชูคุริมุ (Shu Kurimu) สูตรดั้งเดิมจะทำอย่างเรียบง่าย ด้วยการใส่ไส้ครีมคัสตาร์ด แล้วโรยหน้าขนมบางๆ ด้วยน้ำตาลทรายป่น

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1. ร่อนแป้งเค้กเตรียมไว้ แล้วพักไว้
2. หั่นเนยสดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ขนาด 1×1 เซนติเมตร วางพักไว้อุณหภูมิปกติ
3. ทาเนยบางๆ ให้ทั่วถาดอบ เตรียมไว้
4. เตรียมหัวบีบชนิดกลมขนาด 10 มิลลิเมตร จำนวน 2 ชุด

ส่วนผสม (ประมาณ 14 ชิ้น)

วิธีการทำชูครีมคัสตาร์ด (ส่วนที่ 1)

1. เทน้ำ เกลือ เนยสด ลงในหม้อก้นลึกขนาด 18 เซนติเมตร แล้วยกขึ้นตั้งไฟคนให้เนยและส่วนผสมต่างๆละลายจนหมด ปิดเตา
2. ใส่แป้งเค้กแล้วใช้พายยางคนให้เข้ากัน (ไม่ต้องเปิดเตา)
3. เมื่อแป้งเริ่มจับตัวเป็นก้อนให้เปิดเตาอีกครั้ง ค่อยๆคนพร้อมกับเกลี่ยแป้งไปที่ขอบหม้อ เพื่อให้ความร้อนทั่วถึงและช่วยให้ของเหลวระเหยจนหมด ตักใส่โถผสม พักไว้

ขั้นตอน ใส่ไข่ลงผสมให้เข้ากัน (ส่วนที่ 2)

1. ตอกไข่ลงชามผสมอีกใบตีให้เข้ากัน
2. ค่อยๆเทไข่ลงผสมกับแป้งทีละน้อยใช้พายยางคนเร็วๆให้เข้ากัน
3. สังเกตว่าแป้งเริ่มแข็งจึงเติมไข่ลงไป คนเร็วๆจนส่วนผสมเข้ากันดี เติมไข่จนหมดแล้วคนต่อไปอีกจนแป้งข้นเหนียว (ลองยกพายยางขึ้น หากแป้งไหลเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวแสดงว่าแป้งใช้ได้แล้ว)

วิธีสังเกตุแป้งที่ผสมแป้งได้ไม่ดี 2 แบบ

1. แป้งเหลวเกินไป เมื่อยกพายยางขึ้นแป้งจะไหลเป็นทรงกลมหรือแผ่ออกด้านข้างแทนที่จะไหลเป็นสายรูปสามเหลี่ยมกลับหัว
2. แป้งแข็งเกินไป เมื่อยกพายยางขึ้นแป้งที่ไหลลงมามักขาดและตกลงเป็นก้อน เมื่อนำไปอบแป้งจะไม่ฟูและกลายเป็นชูชิ้นเล็กที่มีเนื้อแข็ง

ขั้นตอน บีบแป้ง

1. ใช้พิมพ์คุกี้แบบกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร จุ่มลงในแป้งนวด แล้วกดลงบนถาดอบที่เตรียมไว้ให้เป็นรอย โดยเว้นระยะห่างเท่าๆกัน
2. ม้วนถุงบีบตรงหัวบีบให้เป็นกรวยแล้วสอดเข้าไปในหัวบีบ
3. ตักแป้งชูใส่ลงไป
4. วางถุงบีบลงบนโต๊ะใช้แผ่นพลาสติก สำหรับปาดหน้าเค้กรีดแป้งไปทางหัวบีบ
5. ถือถุงบีบโดยให้หัวบีบอยู่ด้านบน ขยับหัวบีบเข้าออกให้แป้งไปอยู่ที่ปลายหัวบีบ จากนั้นคว่ำมือลงแล้วบีบแป้งให้เป็นทรงกลมตามเครื่องหมายที่ทำไว้ ระหว่างบีบแป้งให้นำแป้งชูส่วนที่เหลือในโถผสมไปวางพักไว้ในที่อุ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมแห้ง

ขั้นตอน ทาไข่บนหน้าขนมให้ทั่ว

1. ตอกไข่ตีให้เข้ากันแล้วกรองผ่านกระชอนตาถี่หรือที่กรองชา จากนั้นใช้แปรงจุ่มแล้วทาบางๆ บนหน้าขนม
2. ใช้หลังส้อมจุ่มไข่แล้วแตะลงบนแป้งชูครีม กดเบาๆ ให้เป็นลายตาราง

ขั้นตอน นำเข้าเตาอบจนฟูเหลือง

1. นำแป้งเข้าเตาอบนานประมาณ 30 นาที สิ่งสำคัญ คือ ต้องไม่เปิดเตาในช่อง 20 นาทีแรกของการอบเด็ดขาด เพราะถ้าแป้งสัมผัสกับอากาศเย็นขณะยังอบไม่ได้ที่จะยุบตัวได้
2. เมื่ออบครบ 30 นาที แล้ว แป้งจะพองฟู หน้าขนมแตกออกและมีสีเหลืองสวย ยกออกจากเตาวางพักให้เย็นบนตะแกรง
3. อบแป้งที่เหลือให้ฟูเหลืองจนแป้งหมด
4. ใส่ครีมคัสตาร์ดลงในแป้งชู โดยใช้พายยางคนครีมคัสตาร์ดที่แช่เย็นไว้จนเนื้อเนียน
5. ใช้มีดคมๆ ตัดส่วนบนของแป้งชูประมาณ 1 ส่วน 3 ให้มีลักษณะคล้ายฝาจนหมด พักไว้
6. ตักครีมคัสตาร์ดใส่ถุงบีบ แล้วบีบครีมลงในแป้งชูชิ้นล่างจนเต็ม
7. วางส่วนฝาครอบด้านบน
8. โรยน้ำตาลทรายป่นบางๆให้สวยงาม

วิธีทำชูครีม

1. ใส่นมสดตามด้วยผงกลิ่นวานิลลาลงในหม้อ แล้วยกตั้งเตาไฟให้ร้อนจนเกือบเดือด ปิดเตา พักไว้
2. ตีไข่แดงให้เข้ากัน เติมน้ำตาลทรายผสมพอเข้ากัน ตามด้วยแป้งเค้กผสมต่อจนเข้ากันดี
3. เทส่วนผสมทั้งหมดใน (ข้อ 1) ใส่ลงไปทีละน้อย พร้อมกับคนให้เข้ากันอีกครั้งและน้ำตาลละลายหมด
4. กรองผ่านกระชอนตาถี่ลงในหม้อใบเดิม
5. ตั้งไฟใช้ตะกร้อมือคนเบาๆ ให้ส่วนผสมเดือดเคี่ยวส่วนผสมจนข้นเหนียว
6. พอส่วนผสมเดือดแล้วมีความข้น ให้ใช้ตะกร้อมือคนเร็วขึ้นจนเริ่มขึ้นเงา (ลองยกตะกร้อมือขึ้น หากส่วนผสมไหลเป็นสายแสดงว่าใช้ได้แล้ว) ปิดเตา
7. ยกลงจากเตา ตักใส่ถาดแผ่ออกให้เป็นแผ่นบางวาง

ขนมอาจหาซื้อตามร้ายขายทั่วไป แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยถูกปากมั้ย ถ้าทำเองรับรองอร่อยถูกปากแน่นอน มือใหม่หัดทำสนใจลองทำสูตรชูครีมง่าย ๆ ตามนี้กันเลยนะคะ

สั่งซื้อ ผงไส้ขนมกึ่งสำเร็จรูป ผงคอร์นคัสตาร์ด คลิ๊ก @dessertsmate

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมเปี๊ยะแป้งสด

0
สูตรขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมเปี๊ยะแป้งสด
ขนมเปี๊ยะ เป็นขนมอบที่มีลักษณะทรงกลมแบน หรือกลมทำด้วยแป้งมีไส้อยู่ด้านใน เช่น ไส้ถั่วเขียว ไส้ถั่วแดง ไส้ถั่วดำ ไส้ฟัก ไส้เผือก ไส้งาดำ
สูตรขนมเปี๊ยะโบราณ และขนมเปี๊ยะแป้งสด
ขนมอบที่มีลักษณะทรงกลมแบน หรือกลมทำด้วยแป้งมีไส้อยู่ด้านใน เช่น ไส้ถั่วเขียว ไส้ถั่วแดง ไส้ถั่วดำ ไส้ฟัก ไส้เผือก ไส้งาดำ

ขนมเปี๊ยะโบราณ

ขนมเปี๊ยะโบราณ ( Chinese Pastry ) เป็นขนมอบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะทรงกลมแบน หรือกลมทำด้วยแป้งมีไส้อยู่ด้านใน เช่น ไส้ถั่วเขียว ไส้ถั่วแดง ไส้ถั่วดำ ไส้ฟัก ไส้เผือก ไส้งาดำ ไส้ไข่เค็ม ไส้ถั่วเหลือง ไส้ฟัก ไส้ครีม ไส้ทุเรียน  ไส้แห้ว ขนมเปี๊ยะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนมีอยู่ 2 ประเภท คือ แบบฮวยหยาง (淮揚酥皮) และแบบกวางตุ้ง (廣式擘酥) พบเห็นได้ตามท้องถนนและร้านค้าทั่วไป ชาวจีนและชาวไทยถือเป็นสิ่งมงคลนิยมใช้ในประเพณีงานแต่งงานแบบจีน งานแต่งงานแบบไทย พิธีสู่ขอ พิธีหมั้นแบบจีน พิธียกน้ำชา พิธีไหว้ฟ้าดิน ไหว้บรรพบุรุษ ประเพณีงานแต่งงานแบบจีนรวมถึงงานแต่งงานแบบประเพณีไทย

ตำนานขนมเปี๊ยะ

ขนมเปี๊ยะมีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศจีนซึ่งเรียกว่า “ผั่วเปี๊ยะ” เป็นขนมที่ใช้ในงานมงคลของคนจีนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเส้นไหว้เหล่าเทพเจ้า งานแต่งงาน งานหมั้น งานขึ้นบ้านใหม่ หรืองานไหว้พระจันทร์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นสิริมงคลด้วย ตามตำนานของคนจีนในเรื่องขนมเปี๊ยะมีการเล่าต่อเรื่องราวหลากหลาย เรื่องที่ได้รับความนิยมที่สุด คือ เรื่องของคู่สามี-ภรรยาที่เมื่อแต่งงานกันแล้ว พ่อสามีเกิดล้มป่วยหนักและฐานะทางบ้านก็ยากจนทำให้ไม่มีเงินรักษา สามีภรรยาคู่นี้จึงตอบแทนความกตัญญูด้วยการนำตัวเองไปขายเป็นทาสเพื่อนำเงินมารักษาพ่อสามี จากนั้นทางสามีจึงทำทุกวิถีทางเพื่อไถ่ตัวภรรยา จึงทำขนมเปี๊ยะออกขายเพราะสามีเป็นผู้ที่มีฝีมือด้านทำขนมเปี๊ยะมากที่สุด ขนมเปี๊ยะมีรสชาติดีทำให้มีผู้คนอุดหนุนและบอกต่อให้มาซื้อ จนสามารถไถ่ตัวภรรยาออกมาได้ จึงถูกเรียกว่าขนม “เหล่าผั่วเปี๊ยะ” ซึ่งไม่ว่าจะมาด้วยตำนานใดสิ่งหนึ่งที่สื่อให้เห็นถึงการเลือกขนมเปี๊ยะมาใช้ นั่นคือการเปรียบขนมเปี๊ยะให้เหมือนตัวแทนแห่งความรักที่สามีมีต่อภรรยาและเป็นตัวแทนแห่งความกตัญญูที่ลูกมีต่อพ่อแม่ สำหรับคนไทยแล้วได้นำขนมเปี๊ยะมาเป็นส่วนหนึ่งของการไหว้เทพเจ้าและใช้ในงานมงคลด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันมีการนำขนมเปี๊ยะโบราณมาดัดแปลเพื่อเพิ่มความอร่อยสวยงามมากยิ่งขึ้น และทำให้มีขนาดเล็กลง เช่น ขนมเปี๊ยะแบบปิ้ง ขนมเปี๊ยะแบบทอด ขนมเปี๊ยะโบราณแบบอบ ขนมเปี๊ยะแป้งสด เป็นต้น ที่สำคัญสามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องรอเฉพาะในวันงานมงคลเท่านั้น

เตรียมอุปกรณ์สำหรับทำขนมเปี๊ยะ

  • ถั่วเขียวกระเทาะเปลือก
  • ไข่เค็ม (เอาเฉพาะไข่แดงไปอบใช้ไฟ 170 องศาเซลเซียส) เตรียมไว้ก่อน
  • น้ำเย็นจัด
  • ไม้รีดแป้ง

สูตรของขนมเปี๊ยะโบราณ

ส่วนผสมแป้งชั้นนอก
1. แป้งบัวแดง 500 กรัม
2. น้ำมัน 175 กรัม
3. น้ำ 125 กรัม
4. น้ำตาลทราย125 กรัม
5. ไข่ไก่ 1 ฟอง
6. แบะแซ 20 กรัม

ส่วนผสมแป้งชั้นใน

1. แป้งสาลี 300กรัม
2. น้ำมันพืช 125 กรัม

ส่วนผสมของไส้
1. ไส้ถั่วกวน 2000 กรัม
2. ไข่แดงเค็ม 20 ฟอง

ชั่งแป้งชั้นนอกก้อนละ 100 กรัม
1. แป้งชั้นใน 40 กรัม
2. ไส้ถั่ว 200 กรัม
3. ไข่แดงเค็ม 10 ฟอง

สูตรของขนมเปี๊ยะแป้งสด

ส่วนผสมใส่ถั่ว สำหรับทำขนมเปี๊ยะแป้งสด

  • ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือก 500 กรัม
  • น้ำมันพืช 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 400 กรัม
  • เกลือ ½ ชช.
  • กะทิ 1 กล่องเล็ก  (แบ่งใส่ 30-34 กรัม/ก้อน)

ส่วนผสมแป้งนอกของขนมเปี๊ยะแป้งสด

  • แป้งตราบัวแดง 250 กรัม
  • แป้งเค้กตราพัดโบก 150 กรัม
  • น้ำ(เย็น) 100 กรัม
  • น้ำมันพืช 125 กรัม
  • น้ำตาลทราย 100 กรัม
  • ไข่ไก่(เบอร์1) 1 ฟอง

(แบ่งแป้ง 30-31 กรัม/ก้อน)

ส่วนผสมแป้งในของขนมเปี๊ยะ

  • แป้งเค้ก(ตราพัดโบก) 200 กรัม
  • น้ำมันพืช 80 กรัม
    (แบ่งแป้ง 10-11 กรัม/ก้อน)

วิธีทำไส้ขนมเปี๊ยะ

1. นำถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกล้างน้ำเปล่า 3 รอบ เสร็จแล้วให้นำถั่วเขียวซีกแช่น้ำให้ท่วมแช่ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง (แช่ข้ามคืนยิ่งดี)
2. นำถั่วที่แช่ไว้ไปล้างอีก 3 รอบ กรองน้ำออก
3. ใช้หม้อตั้งไฟกลางแล้วนำถั่วไปต้มใส่น้ำให้ท่วมถั่ว พอเดือดแล้วให้ตักฟองออกให้หมดต้มไปเรื่อยๆสลับกับตักฟองออก
สังเกตดูจากเม็ดถัวเมื่อเริ่มบาน (อย่าให้เละ) กรองเอาน้ำออกให้หมดรอให้สะเด็ดน้ำ
4. นำถัวที่เตรียมไว้ใส่โถผสมหลังจากนั้นเทน้ำตาลทราย เกลือ น้ำมันพืช กะทิ คนให้เข้ากัน
5. นำส่วนผสมทั้งหมดไปปั่นให้ละเอียด
6. นำกระทะตั้งไฟแล้วนำส่วนผสมทั้งหมดที่ปั่นไว้ไปเคี่ยวด้วยไฟกลางไปเรื่อยๆ จนถั่วร่อนไม่ติดกระทะปิดไฟแล้วตักใส่ถ้วยไว้ พักไว้ให้เย็น
7. ปั้นใส้ถั่วให้เป็นก้อนกลมขนาด 30-34 กรัม
8. หั่นไข่แดงเป็น 4 ส่วน หรือหั่นครึ่งก็ได้
9. นำถั่วที่ปั้นก้อนมาห่อด้วยไข่เค็มเตรียมไว้ (ไม่ให้โดนลม)

วิธีทำแป้งนอก

1. ร่อนแป้งทั้ง 2 อย่างด้วยตระแกรงแบบระเอียดผสมเข้าด้วยกัน เทน้ำตาลทราย น้ำเย็น น้ำมันพืช ไข่ ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นวดด้วยมือต่อประมาณ 2-3 นาที นวดต่อให้แป้งเนียนจนไม่ติดมือ (ปั้นเป็นก้อนกลม พักไว้ประมาณ 30 นาที ไม่ให้โดนลม)
2. แบ่งแป้งให้เป็นก้อนละ 30 กรัม จะได้ประมาณ 25 ลูก พักไว้ ไม่ให้โดนลม

วิธีทำแป้งใน

1. ร่อนแป้งด้วยตระแกรงแบบละเอียดแล้วเทน้ำมันพืชลงไป ผสมทั้ง 2 อย่างให้เป็นเนื้อเดียวกันปั้นเป็นก้อนกลมใหญ่ พักแป้งไว้ 30 นาที (ไม่ให้โดนลม)
2. แบ่งแป้งที่พักไว้ ก้อนละ 10 กรัม จะได้ประมาณ 25 ลูก (พักไว้)
3. นำแป้งนอกมาห่อแป้งใน ปั้นเป็นก้อนกลมพักไว้ 30 นาที (ไม่ให้โดนลม)
4. รีดแป้งให้เป็นแผ่นยาวประมาณ 6 นิ้ว ม้วนเข้าหากัน (รอบแรก) แล้วรีดแป้งให้เป็นแผ่นครั้งที่ 2 ยาวประมาณ 10 นิ้ว ม้วนเข้าหากัน ตัดแบ่งครึ่ง พักให้แป้งคลายตัว 20-30 นาที ไม่ให้โดนลม
5. ใช้ฝ่ามือกดให้แบนลง แล้วค่อยๆใช้ไม้รีดแป้งให้เป็นแผ่นกลมวางแผ่นแป้งระหว่าง นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ แล้วใช้นิ้วโป้งอีกข้างยัดใส้ลงไปปิดแป้งให้สนิททำเป็นก้อนกลมจนหมด
6. ทาหน้าขนมเปี๊ยะก่อนนำไปอดด้วยไข่แดงที่ผสมน้ำเล็กน้อย
7. นำถาดสำหรับอบขนมวางกระดาษไข แล้วเรียงแป้งขนมเปี๊ยะห่างกันพอประมาณ ใช้ไฟบน – ล่าง นำไปอบ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 25 นาที หรือจนสุก
8. จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

ลดเวลาการทำไส้ได้ง่าย ๆ เพียงใช้ ผงไส้กวนตราตำหรับทอง มีให้เลือกหลายไส้ ไม่ว่าจะเป็น ถั่วกวน เผือกกวน มันม่วง ถั่วแดงกวน สนใจสอบถาม/สั่งซื้อ ผงไส้ขนมสำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

รวมสูตรโมจิ และ โมจิหยดน้ำ (Mochi Original)

0
รวมสูตรโมจิ และ โมจิหยดน้ำ (Mochi Original)
โมจิ เป็นขนมปังทรงกลม ทำจากข้าวเหนียว และน้ำ มีลักษณะคล้ายซาลาเปา เนื้อนุ่มหนึบ
รวมสูตรโมจิ และ โมจิหยดน้ำ (Mochi Original)
โมจิ เป็นขนมปังทรงกลม ทำจากข้าวเหนียว และน้ำ มีลักษณะคล้ายซาลาเปา เนื้อนุ่มหนึบ

โมจิ

โมจิ ( Mochi ) เป็นขนมปังทรงกลมมีลักษณะคล้ายซาลาเปาเคี้ยวหนึบหนับ ทำจากส่วนผสมหลัก 2 อย่าง คือ โมจิโกเมะ ซึ่งเป็นข้าวเหนียวเมล็ดสั้น และน้ำ เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นมานานหลายศตวรรษมีบทบาทอย่างมากในการเฉลิมฉลองและเทศกาลปีใหม่ และยังมีการนำไปใช้ในการทำอาหารหลายอย่างซึ่งหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับไอศกรีมหรือของหวาน โดยต้องนำข้าวไปนึ่งก่อนแล้วทุบหรือตำด้วยครกไม้ขนาดใหญ่ทำให้ข้าวนุ่มและเคี้ยวง่ายยิ่งขึ้น และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโมจิได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกาในฐานะขนมญี่ปุ่นแสนอร่อย มีการดัดแปลสูตรโมจิแบบดั้งเดิมเป็นไอศกรีมลูกเล็กๆ

วิธีการทำและขั้นตอนแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น

ขั้นตอนการตำโมจิเริ่มต้นด้วยคน 2 คนทุบแป้งด้วยค้อนตีแป้งขนาดใหญ่ ให้แป้งโปร่งให้ได้เนื้อสัมผัสที่มีลักษณะเฉพาะคือเหนียวนุ่ม เมื่อได้ที่แล้วก็พลิกจุ่มลงในน้ำร้อนแล้วตำเพิ่มเติมสลับกัน โดยให้คนๆหนึ่งตีแป้งครั้งเดียวในขณะที่อีกคนนวดแป้งด้วยมือเปล่าอย่างรวดเร็วระหว่างการตำจนกว่าจะได้เนื้อสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ ที่สำคัญจังหวะการนวดแป้งนั้นถือได้ว่าเป็นอันตราย เพราะทั้งสองต้องอาศัยความไว้วางใจในกันและกัน รู้จังหวะของกันและกันด้วย

ส่วนผสมแป้งโมจิ

  • นมข้นหวาน 165 กรัม
  • เนยสด 25 กรัม
  • เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา
  • น้ำเปล่า 25-30 กรัม
  • แป้งสาลีชนิดเบา (แป้งบัวแดง) 200 กรัม
  • ผงฟู 1/2 ช้อนชา

ส่วนผสมไส้โมจิ

  • ถั่วเขียวเราะเปลือก 250 กรัม (ที่นำไปนึ่งพร้อมบดละเอียดเรียบร้อยแล้ว)
  • กะทิหรือเนยสด 150 กรัม
  • น้ำตาลทราย 225 กรัม
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • กลิ่นนมเนย 1 ช้อนชา
  • มะพร้าวขูดขาว 40 กรัม
  • แบะแซ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีการทำใส้โมจิ

1. นำกะทะตั้งไฟกลางเทถั่วบดละเอียด น้ำตาล เกลือป่น กะทิ และมะพร้าวขูดลงไปกวนจนเป็นเนื้อเดียวกัน
2. ลดไปลงใส่แบะแซลงไป กวนต่อไปให้สังเกตถ้าถั่วไม่ติดกะทะแล้วแสดงว่าใช้ได้ ให้ยกลงจากเตาแล้วปิดไฟ พักให้ใส้โมจิเย็นลง

วิธีการทำแป้งโมจิ

1. ผสมแป้งกับผงฟูให้เข้ากัน แล้วนำไปร่อนด้วยตะแกรงแบบละเอียดเตรียมไว้
2. นำส่วยผสมที่เตรียมไว้นมข้นหวาน เนย เบกกิ้งโซดา เทน้ำเปล่าผสมในโถคนให้เข้ากันทั้งหมด
3. แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วนสำหรับใส่สีผสมอาหาร หรือจะไม่ใส่สีก็ได้ จากนั้นแบ่งแป้งเป็นก้อนเล็กขนาดพอเหมาะ และคลึงเป็นลูกกลมๆ
4. แบ่งไส้ให้ขนาดพอเหมาะ แล้วคลึงเป็นลูกกลมๆ
5. ใช้มือกดลูกแป้งกลมๆให้เป็นแผ่นไม่หนาและบางเกินไป แล้วนำไส้ห่อลงไปปั้นให้แน่น คลึงเป็นลูกกลมๆ ให้ผิวเนียนเรียบ เวลาอบโมจิจะได้ไม่แตก
6. แต้มสีเป็นจุดด้านบนก้อนโมจิให้มีสีสันสวยงาม
7. นำไปอบไฟ 170-180ํ องศาเซลเซียส ไฟบน-ล่าง เป็นเวลา 15-20 นาที พออบเสร็จพักไว้บนตะแกรงให้เย็น จัดจานพร้อมเสิร์ฟ

สูตรโมจิหยดน้ำ

ส่วนผสมของโมจิหยดน้ำ

  • น้ำสะอาด
  • น้ำตาล 50 กรัม
  • ผงวุ้น 2 กรัม
  • ผงคินาโกะ (ผงถั่วเหลืองสไตล์ญี่ปุ่น) 2 กรัม
  • น้ำเชื่อมคุโรมิสึ
  • แป้นพิมพ์วงกลม

วิธีทำโมจิหยดน้ำ

1. เทน้ำตาล ผงวุ้น ลงในหม้อคนให้เข้ากันแล้วค่อยผสมกับน้ำเปล่า ประมาณ 100 มิลลิลิตร จนส่วนผสมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
2. จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ตั้งไฟจนเดือด ในขณะนั้นให้คนน้ำเรื่อยๆจนใส แล้วค่อยใส่ไซรัปข้าวโพดและ น้ำที่เหลือลงไป
3. ปิดไฟแล้วค่อยเทใส่เหยือก
4. รอจนน้ำเย็นลงหน่อยแล้วค่อยเทใส่พิมพ์
5. นำพิมพ์ที่มีน้ำเข้าไปแช่ในตู้เย็น อย่างน้อย 1 ชั่วโมง
6. เสิร์ฟเย็นๆ พร้อมโรยหน้าด้วย ผงคินาโกะ (ผงถั่วเหลืองสไตล์ญี่ปุ่น) และน้ำเชื่อมคุโรมิสึ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วาฟเฟิล (Waffles) ขนมเบลเยียมแป้งกรอบนอกนุ่มใน

0
วาฟเฟิล (Waffles) ขนมเบลเยียมแป้งกรอบนอกนุ่มใน
วาฟเฟิล เป็นขนมที่ทำจากแป้งสองแผ่นที่เป็นลายเพื่อให้ได้ขนาดรูปร่างและความรู้สึกของพื้นผิวตามประเภทของเหล็กวาฟเฟิล
วาฟเฟิล (Waffles) ขนมเบลเยียมแป้งกรอบนอกนุ่มใน
วาฟเฟิล เป็นขนมที่ทำจากแป้งสองแผ่นที่เป็นลายเพื่อให้ได้ขนาดรูปร่างพื้นผิวตามประเภทของเหล็กวาฟเฟิล

วาฟเฟิล

วาฟเฟิล (Waffles) เป็นขนมที่ทำจากแป้งสองแผ่นที่เป็นลายเพื่อให้ได้ขนาดรูปร่างพื้นผิวตามประเภทของเหล็กวาฟเฟิล และมีสูตรต่างๆหลากหลาย วาฟเฟิลนิยมกินไปทั่วโลกโดยเฉพาะในเบลเยียม ซึ่งอบสดใหม่ร้อนๆ

ชนิดของวาฟเฟิล

1. American Waffles มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม นิยมกินคู่กับท็อปปิ้งต่างๆทั้งคาวและหวาน ได้จากการแป้ง น้ำ และเบกิ้งโซดา เพื่อให้ขนมฟูและหนา ซึ่งตัวแป้งจะใส่น้ำตาลหรือไม่ใส่ก็ได้
2. Brussels Waffles มีลักษณะคล้าย American Waffles แต่ขนาดใหญ่กว่า ซึ่งใช้ไข่ขาว หรือยีสต์ให้ฟูและบางกรอบ เวลาทานอาจโนยน้ำตาลไอซิ่งด้านบน
3. Liege Waffles มีลักษณะเล็กและหวานกว่า Brussels Waffles เมื่อสุกจะมีสีเหลืองทอง เนื้อนุ่มแน่น มีน้ำตาลคาราเมลเคลือบด้านบน มีการแต่งกลิ่นวนิลาหรือชินนามอนเพิ่มความหอม
4. Stroopwafel ทำจากแผ่นแป้งกลมบางประกบกัน ตรงกลางสอดไส้น้ำเชื่อมหรือน้ำตาลเคี่ยว
5. Hong Kong Waffles ทำจาก นม เนย ไข่ น้ำตาล และแป้ง อบในพิมพ์ที่เป็นปุ่มๆ คล้ายขนมครก แป้งบางกรอบ ด้านในนุ่ม นิยมทานคู่กับไอศกรีม หรือวิปครีม

ประวัติความเป็นมาของวาฟเฟิล

ขนมวาฟเฟิล เป็นอาหารโปรดชาวอเมริกันมานานหลายร้อยปีเมื่อย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13 จุดเริ่มต้นของเครื่องทำวาฟเฟิลรุ่นแรกที่มีลักษณะรูปแบบรังผึ้งหรือที่รู้คุ้นตาคล้ายขนมรังผึ้งลักษณะเฉพาะนี้ปรากฏขึ้นในปี 1200 เมื่อช่างฝีมือออกแบบและดัดแปลเครื่องวาฟเฟิลดั้งเดิมโดดเด่นด้วยดีไซน์แบบบานพับ ดังนั้น คำว่า Waffles มาจากคำภาษาฝรั่งเศสแบบเก่า คือ guafre แปลเป็นภาษาอังกฤษเก่า wafla ปรากฏเป็นครั้งแรกในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในยุโรปวาฟเฟิลมีขายทั่วไปตามร้านขายของริมถนน แต่ในปัจจุบันมีการดัดแปลสูตรวาฟเฟิลออกมาให้เห็นมากมาย เช่น วาฟเฟิลไส้ทะลัก วาฟเฟิลกรอบ ไอศครีมวาฟเฟิล วาฟเฟิลฮ่องกง เป็นต้น

เตรียมอุปกรณ์

สูตรวาฟเฟิล ออริจินัล

  • แป้งวาฟเฟิล 100 กรัม
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
  • นมสด 1 ถ้วย
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • เนยสดละลาย 50 กรัม
  • กลิ่นวานิลลา เล็กน้อย
  • เกลือป่น เล็กน้อย
  • ครีมออฟทาร์ทาร์ เล็กน้อย
  • แยมผลไม้ หรือน้ำผึ้ง (สำหรับราด)
  • ท็อปปิ้ง สำหรับแต่งหน้าวาฟเฟิล

ส่วนผสมวาฟเฟิลโมจิ เหนียวนุ่ม

  • นม 1/2 ถ้วย
  • ไข่ไก่เบอร์ใหญ่ 2 ฟอง
  • แต่งกลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  • แป้งอเนกประสงค์ 1/2 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
  • ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • น้ำตาล 1/4 ถ้วย
  • วิปครีมตามชอบ
  • น้ำผึ้ง สำหรับราดหน้า

ท็อปปิ้ง สำหรับวาฟเฟิล

  • น้ำเชื่อมเมเปิ้ล
  • ผลไม้สดสับ
  • ใบสะระแหน่
  • วิปครีม
  • ผงน้ำตาล
  • น้ำตาลทราย
  • ชีสขูดฝอย
  • เบอร์รี่

ขั้นตอนในการทำ

1. ตีไข่ นม และวานิลลาเข้าด้วยกันในอ่าง พักไว้ก่อน
2. นำอ่างอีกใบใส่แป้งข้าวเจ้า ผงฟู เกลือ และน้ำตาล ตีให้เข้ากัน
3. นำส่วนผสมทั้ง 2 ที่เตรียมไว้ทั้งแบบเปียกและแห้งเทลงในอ่าง ตีเข้าด้วยกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน (วอมเครื่องทำวาฟเฟิลด้วยอุณหภูมิ 200 F ประมาณ 2 นาท)
4. เทแป้งที่เตรียมไว้ลงในเครื่องทำวาฟเฟิลไม่ต้องเต็มเครื่อง ให้พอมีเนื้อที่พอแป้งขยายตัวออก
5. เปิดฝาเครื่องทำวาฟเฟิลดู หากแป้งมีสีน้ำตาลสวยงามแล้วให้นำออกจัดใส่จาน
6. ตกแต่งหน้าวาฟเฟิลด้วยแยมที่เตรียมไว้ หรือราดด้วยน้ำผึ้งพร้อมเสิร์ฟ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มาการองชาเขียว (Green Tea Macaron)

0
มาการองชาเขียว (Green Tea Macaron)
มาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่เป็นการผสมเมอแร็งก์กับไข่ขาว น้ำตาลไอซิ่ง น้ำตาลทรายขาว ผงแอลมอนด์หรือแอลมอนด์ป่น และสีผสมอาหาร
มาการองชาเขียว (Green Tea Macaron)
มาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่เป็นการผสมเมอแร็งก์กับไข่ขาว น้ำตาลไอซิ่ง น้ำตาลทรายขาว ผงแอลมอนด์หรือแอลมอนด์ป่น และสีผสมอาหาร

มาการอง

มาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่เป็นการผสมเมอแร็งก์กับไข่ขาว น้ำตาลไอซิ่ง น้ำตาลทรายขาว ผงแอลมอนด์หรือแอลมอนด์ป่น และสีผสมอาหาร มาการองรูปร่างเหมือนแซนด์วิช เป็นขนมปังสองชิ้นประกบกัน มีสอดไส้ตรงกลาง ส่วนไส้มักจะเป็นกานัช บัตเตอร์ครีม หรือแยม ลักษณะเด่นคือ ผิวด้านบนเรียบ ขอบรอบ ๆ เป็นรอยหยัก หรือที่เรียกว่าขา มีฐานเรียบแบน มีความนุ่มชุ่มเล็กน้อยละลายง่ายในปาก มีรสชาติหลากหลาย

ประวัติความเป็นมาของมาการอง

มาการอง เป็นขนมอบชนิดหนึ่งขนาดเล็กที่ทำจากแป้งอัลมอนด์ปั่นละเอียดทรงกลม โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 3 ถึง 5 เซนติเมตร เป็นทั้งอาหารและขนมพิเศษที่ชาวฝรั่งเศษชื่นชอบมากที่สุดรวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยื่อนฝรั่งเศษ ซึ่งมีบันทึกว่า “มาการอง” ปรากฏในปี 1581 ในการแต่งงานของ Duke of Joyeuse ใน Ardeche และยังมีการกล่าวถึงในปี 1600 ในงานแสดงสินค้าและเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ของ Montmorillon ที่แซงต์ – ฌอง – เดอ – ลูซ เป็นที่ทราบกันดีว่ามีการเสนอให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนื่องในโอกาสเสกสมรสกับมาเรียเทเรซ่า เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตัดสินใจพำนักอยู่ที่แวร์ซายส์ในปี 1682 เชฟของเขาเสิร์ฟมาการองให้แขกเพื่อต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน

อุปกรณ์ทำมาการองชาเขียว

  • ถุงบีบขนาดเล็กและใหญ่ อย่างละ 1 อัน
  • หัวบีบเบอร์ 10
  • แผ่นซิลิโคน สำหรับรองอบ หรือกระดาษไข
  • เทอร์โมมิเตอร์

ส่วนผสมของฝามาการองรสชาเขียว

  • อัลมอนด์ป่นละเอียด 300 กรัม
  • น้ำตาลไอซิ่ง 300 กรัม
  • ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 110 กรัม
  • ผงชาเขียว 10 กรัม
  • ผงชาเขียว สำหรับโรยหน้าเล็กน้อย

ส่วนผสมอิตาเลียนเมอแรง

  • น้ำเปล่า 75 กรัม
  • น้ำตาลทราย 255 กรัม
  • ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 110 กรัม

วิธีทำอิตาเลียนเมอแรง

1. ทำอิตาเลียนเมอแรง โดยใส่ไข่ขาวลงไปในโถแล้วเตรียมหัวตีรูปตะกร้อ
2. เทน้ำลงในหม้อ ใสน้ำตาลทรายลงไปรอจนน้ำซึมเข้าน้ำตาลทั่ว ตั้งไฟกลาง ต้มให้เดือด จากนั้นวางเทอร์โมมิเตอร์ลงในหม้อเพื่อวัดอุณหภูมิ
3. รอจนน้ำตาลเดือดได้อุณหภูมิ 115 องศาเซลเซียส เปิดเครื่องตีไข่ขาวด้วยความเร็วต่ำ เตรียมไว้
4. รอจนน้ำตาลเดือดที่อุณหภูมิ 117 องศาเซลเซียส ยกลงจากเตาค่อยๆ เทลงในโภตีไข่ขาวจนหมด
5. เพิ่มความเร็วโดยตีไข่ขาวด้วยความเร็วสูงสุดจนตั้งยอดแข็ง พักไว้ให้คลายร้อน ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดจนได้อุณหภูมิต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส แล้วแบ่งเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน เตรียมไว้

วิธีทำฝามาการอง

1. ตัดปลายถุงบีบขนาดใหญ่พร้อมใส่หัวบีบ แล้ววางแผ่นซิลิโคนบนถาดอบ เตรียมไว้
2. ผสมอัลมอนด์ป่นและน้ำตาลไอซิ่งเข้าด้วยกัน นำไปร่อนในอ่างผสม พักไว้
3. เทส่วนผสมอัลมอนด์ที่ร่อนไว้ผสมกับไข่ขาว คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว
4. ใส่เมอแรงส่วนแรกลงไป แล้วใช้พายยางค่อยๆ ผสมให้เข้ากัน
5. ใส่เมอแรงส่วนที่ 2 ลงไปตะล่อมเบาๆ (ระวังอย่าคนแรง) ให้เข้ากัน พักไว้
6. แบ่งส่วนผสมเมอแรงออกมา 40 กรัม ผสมกับสีเขียว ตักใส่ในถุงบีบขนาดเล็ก ตัดปลายถุงพอให้บีบได้ พักไว้
7. บีบส่วนผสมเมอแรง (ข้อ 6) ลงในถุงบีบขนาดใหญ่โดยลากเป็นแนวตั้งทั้ง 2 ด้าน (บีบให้อยู่ด้านตรงข้ามกัน)
8. ใส่ส่วนผสมเมอแรงสีขาวที่เหลือลงไปให้เต็มถุงบีบ (วอมเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียล ไฟบน-ล่าง)
9. บีบมาการองลงบนถาดรองแผ่นซิลิโคนให้ได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร และห่างกันประมาณ 3 เซนติเมตร
10. เคาะถาดจากด้านล่างเบาๆ ให้ทั่วทั้งถาดเพื่อให้เส้นผ่านศูนย์กลางขยายขึ้นเป็นประมาณ 4 เซนติเมตร โรยผงชาเขียวให้ทั่ว พักไว้ประมาณ 5-10 นาที
11. นำมาการองเข้าเตาอบ จากนั้นปรับอุณหภูมิลงเหลือ 140 องศาเซลเซียส อบนาน 14 นาที ยกออกจากเตาวางบนตะแกรงพักไว้ให้เย็น
12. ค่อยๆ แกะฝามาการองออกจากแผ่นซิลิโคร โดยหงายฝามาการองและจับคู่เรียงเตรียมไว้บนถาด พักไว้

ส่วนผสมไส้มาการอง

  • ไวท์ช็อกโกแลตหั่นชิ้นเล็ก 300 กรัม
  • วิปปิ้งครีมชนิด 300 กรัม
  • ผงชาเขียว 20 กรัม

วิธีทำไส้มาการอง

1. ใส่ผงชาเขียวลงในอ่างผสม เตรียมไว้
2. เทวิปปิ้งครีมลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อน รอจนเดือด ยกลงจากเตา
3. แบ่งวิปปิ้งครีมออกมาทีละน้อย ใส่ลงในผงชาเขียวใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ค่อยๆเติมวิปปิ้งครีมแล้วคนจนชาเขียวไม่จับตัวเป็นก้อน
4. ใส่ไวท์ช็อกโกแลตลงในชามเซรามิกหรือพลาสติก สำหรับเข้าไมโครเวฟ นำไปละลายด้วยไมโครเวฟความร้อนระดับกลาง ประมาณ 600 วัตต์ ใช้เวลาประมาณ 1.5-2 นาที
5. นำออกมาคนให้ละลาย ค่อยๆเติมส่วนผสม (ข้อ 3) ทีละน้อย ใช้พายยางคนให้เข้ากัน พักไว้ให้คลายร้อยแล้วนำไปแช่เย็นนาน 1 ชั่วโมง
6. นำไส้มาการองออกจากตู้เย็น ใช้พายยางตีให้คลายตัว พักไว้

วิธีประกอบมาการอง

1.ตักไส้มาการองใส่ถุงบีบขนาดใหญ่ แล้วบีบลงบนฝามาการองที่หงายเตรียมไว้
2.วางฝามาการองอีกชิ้นลงด้านบน กดเบาๆ ให้ติดกันทำเช่นนี้จนหมดส่วนผสมไส้และฝามาการอง

ปัญหาและการแก้ปัญหาของการอบมาการอง

1. มาการองกลวงเป็นโพรง เกิดจากอะไร
ตอบ : ตีเมอแรงค์มากเกินไป
วิธีแก้มาการองกลวงเป็นโพรง : ปรับลดความเร็วบนเครื่องผสมให้ต่ำลงเมื่อตีก่อนที่จะเติมน้ำเชื่อม

2. มาการองหน้าแตกอยู่ด้านบน เกิดจากอะไร
ตอบ : การตวงส่วนผสมผิด
วิธีแก้มาการองหน้าแตกอยู่ด้านบน : ควรใช้เครื่องชั่งส่วนผสมต่างๆ ให้พอดีไม่มากไปหรือน้อยเกินไป

3. มาการองเหลวเกินไป เกิดจากอะไร
ตอบ : การตีไข่ขาวน้อยเกินไป หรือผสมแล้วคลุกนานเกิดไป
วิธีแก้มาการองเหลว : ควรตีไข่ขาวในเวลา 3 นาที หรือตามสูตรที่กำหนดไว้

4. มาการองผิวหน้าไม่เรียบ ขรุขระ เกิดจากอะไร
ตอบ : การร่อนแป้งอัลมอนด์และน้ำตาลไอซิ่งไม่ดีอย่างที่ควร
วิธีแก้มาการองผิวขรุขระ : ควรปั่นแป้งอัลมอนด์และน้ำตาลไอซิ่งให้ละเอียดแล้วร่อนด้วยตะแกรงร่อนแป้งแบบละเอียด

5. ขามาการองไม่สวย หรือขาบานแบะ เกิดจากอะไร
ตอบ : ตีส่วนผสมนานเกินไปทำให้เหลว แอลมอนด์น้อยไป พักผิวไว้น้อยเกินไป
วิธีแก้มาการองขามาการองไม่สวย หรือขาบานแบะ : ตีส่วนผสมให้พอดี ตวงส่วนผสมตามสูตรที่แนะนำ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

คัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น (Green Tea Japanese Cupcake)

0
คัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น (Green Tea Japanese Cupcake)
คัพเค้ก เป็นเค้กขนาดเล็กอบในกระดาษบาง ๆ หรือถ้วยอะลูมิเนียม ส่วนผสมจะใช้ แป้งเค้ก เนย น้ำตาล ไข่ ด้านบนอาจตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ผลไม้อบแห้งต่าง ๆ หรือธัญพืช
คัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น (Green Tea Japanese Cupcake)
คัพเค้ก เป็นเค้กขนาดเล็กอบในกระดาษบาง ๆ หรือถ้วยอะลูมิเนียม ตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ผลไม้อบแห้งต่าง ๆ หรือธัญพืช

คัพเค้ก

คัพเค้ก ( Cupcake ) เป็นเค้กขนาดเล็กอบในกระดาษบาง ๆ หรือถ้วยอะลูมิเนียม ปริมาณพอดีต่อ 1 คน ส่วนผสมจะใช้ แป้งเค้ก เนย น้ำตาล ไข่ เป็นหลัก ด้านบนอาจตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ผลไม้อบแห้งต่าง ๆ หรือธัญพืช

ประวัติความเป็นมาของคัพเค้ก

คัพเค้กกำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริการาวศตวรรษที่ 19 สูตรคัพเค้กถูกเขียนขึ้นในปี พ.ศ.2339 มีการเปลี่ยนจากการชั่งส่วนผสมเมื่ออบเป็นการตวงส่วนผสม

อุปกรณ์

  • ถุงบีบขนาดเล็ก
  • หัวบีบเบอร์ 10
  • ถ้วยคัพเค้ก ขนาดตามชอบ
  • ถาดอบ
  • เม็ดน้ำตาลสี สำหรับตกแต่งหน้าคัพเค้ก

ส่วนผสมคัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น

  • ไวท์ช็อกโกแลต (หั่นชิ้นเล็ก) 300 กรัม
  • วิปปิ้งครีม 300 กรัม
  • ผงชาเขียว 20 กรัม

วิธีทำคัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น

1. ใส่ผงชาเขียวลงในอ่างผสม เตรียมไว้
2. เทวิปปิ้งครีมลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อน รอจนเดือดยกลงจากเตา
3. แบ่งวิปปิ้งครีมออกมาทีละน้อยใส่ลงในผงชาเขียว ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันค่อยๆ เติมวิปปิ้งครีมแล้วคนจนชาเขียวไม่จับตัวเป็นก้อน
4. ละลายไวท์ช็อกโกแลตด้วยไมโครเวฟความร้อนระดับกลาง (ประมาณ 600 วัตต์) ประมาณ 1.5-2 นาที
5. นำออกมาคนให้ละลายค่อยๆ เติมส่วนผสม (ข้อ 3) ทีละน้อยใช้พายยางคนให้เข้ากัน พักไว้ให้คลายร้อนแล้วคลุมด้วยพลาสติกใส นำไปแช่เย็นนาน 1 ชั่วโมง
6. นำครีมออกจากตู้เย็น ใช้ตะกร้อมือตีครีมจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
7. ใส่หัวบีบลงในถุงบีบ ตัดปลายถุงให้พอดีกับหัวบีบ ตักครีมใส่ลงไปให้เต็ม เตรียมไว้

ส่วนผสมคัพเค้ก

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 60 กรัม
  • อัลมอนด์ป่น 60 กรัม
  • น้ำตาลไอซิ่ง 150 กรัม
  • เนยสดชนิดจืด 100 กรัม (วางไว้อุณหภูมิห้องพอให้นิ่ม)
  • ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 100 กรัม
  • น้ำตาลรูปดอกไม้ สำหรับตกแต่งตามชอบ

วิธีทำ

1. ร่อนแป้งกับอัลมอนด์ป่นเข้าด้วยกันในอ่างผสม พักไว้
2. ใช้หัวตีรูปใบไม้ตีเนยกับน้ำตาลไอซิ่งด้วยความเร็วปานกลางจนส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน เติมไข่ขาวลงไปทีละน้อย
3. ตีด้วยความเร็วต่ำ ค่อยๆ เติมส่วนผสมแป้ง (ข้อ1) ลงตีจนส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
4. เทส่วนผสม (ข้อ3) ลงในถ้วยคัพเค้กที่เตรียมไว้จนเกือบเต็มวางเรียงใส่ถาด (เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ไฟบน-ล่าง)
5. นำเข้าเตาอบ จากนั้นปรับอุณหภูมิลงเหลือ 160 องศาเซลเซียส อบนาน 15 นาที ยกออกจากเตาวางบนตะแกรงพักไว้ให้เย็น
6. บีบครีมชาเขียวบนคัพเค้ก
7. ตกแต่งด้วยเม็ดน้ำตาลสี เพราะสามารถช่วยเพิ่มสีสันให้กับคัพเค้กได้เป็นอย่าง

เทคนิคสอนทำคัพเค้ก สำหรับมือใหม่

1. วอมเตาอบก่อนลงมือทำ
2. ภาชนะต้องเป็นพลาสติก หรือเซรามิกเท่านั้น
3. เมื่อหยอดตัวแป้งลงไปในถ้วยคัพเค้กแล้ว ก่อนนำไปอบให้เคาะหรือใช้ไม้จิ้มฟันวนเพื่อไล่ฟองอากาศ วิธีนี้จะช่วยให้ตัวคัพเค้กไม่เป็นโพรง

ถ้าอยากให้คัพเค้กของคุณดูพิเศษกว่าใครๆ ควรเพิ่มไส้แยมสตรอว์เบอร์รี แยมส้ม แยมมะม่วง แยมมัลเบอร์รี่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับคัพเค้กของคุณได้อย่างแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ชีสเค้ก Cheesecake ขนมปังหอมนุ่มหวานละมุน

0
ชีสเค้ก Cheesecake ขนมปังหอมนุ่มหวานละมุน
ชีสเค้ก (Cheesecake) เป็นขนมปังที่ประกอบด้วยชั้นของชีสนุ่มๆ รสหวาน ผสมกับครีม น้ำตาล ไข่ หวานเนื้อละมุน อัดแน่นด้วยครีมชีส
ชีสเค้ก Cheesecake ขนมปังหอมนุ่มหวานละมุน
ชีสเค้ก (Cheesecake) เป็นขนมปังที่ประกอบด้วยชั้นของชีสนุ่มๆ รสหวาน ผสมกับครีม น้ำตาล ไข่ หวานเนื้อละมุน อัดแน่นด้วยครีมชีส

ชีสเค้ก

ชีสเค้ก (Cheesecake) เป็นขนมปังที่ประกอบด้วยชั้นของชีสนุ่มๆ รสหวาน ผสมกับครีม น้ำตาล ไข่
ชีสเค้กยังเป็นขนมที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบในขณะที่หลายคนคิดว่ามีต้นกำเนิดในนิวยอร์ก แต่ที่จริงแล้วเมื่อราวศตวรรษที่ 5 ชีสเค้กชิ้นแรกถูกทำขึ้นบนเกาะซามอสของกรีก นักมนุษยวิทยากายภาพได้ขุดพบแม่พิมพ์ชีสที่นั่นซึ่งมีอายุประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการผลิตชีสและเนยแข็งน่าจะมีอายุประมาณหลายพันปีก่อนหน้านี้ ชีสเค้กถือเป็นแหล่งพลังงานที่ดีและมีหลักฐานว่ามันถูกเสิร์ฟให้กับนักกีฬาในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี 776 ก่อนคริสต์ศักราช อีกทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าวชาวกรีกยังรู้จักใช้ชีสเค้กในแต่งงาน มีส่วนผสมง่ายๆ เช่น แป้งข้าวสาลี น้ำผึ้ง และชีส ถูกนำมาประกอบเป็นเค้กแล้วอบ ซึ่งชีสเค้กได้รับการแนะนำให้เป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาเมื่อผู้อพยพมาจากยุโรปไปอเมริกาที่สำคัญชีสกระท่อมเป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในสูตรอาหารในสมัยนั้นอีกด้วย

สูตรทำชีสเค้ก

ส่วนผสมชีสเค้ก สำหรับขนาด 3 ปอนด์

1. แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำตาลทราย 130 กรัม
3. ครีมชีสพักไว้ในอุณหภูมิห้อง 400 กรัม
4. ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 3 ฟอง
5. ผงวานิลลา 2 ช้อนชา
6. วิปปิงครีม 3/4 ถ้วย
7. พิมพ์เค้กขนาด 8 นิ้ว
8. กระดาษรองอบ หรือกระดาษไข

ส่วนผสมชีสเค้กฟักทองช็อคโกแลต

1. ฟักทอง 300 กรัม
2. ครีมชีส 300 กรัม
3. น้ำตาล 100 กรัม
4. ครีมสด 150 กรัม
5.แป้งทำเค้ก 35 กรัม
6. ไข่ 2 ฟอง
7. ผงวานิลลา 2 ช้อนชา
8. ช็อคโกแลตเหลว สำหรับตกแต่งหน้าชีสเค้ก
9. กระดาษรองอบ หรือกระดาษไข

ส่วนผสมชีสเค้กญี่ปุ่นเนื้อฟูนุ่ม

1. ครีมชีส 200-225 กรัม
2. น้ำตาล 30 กรัม
3. เนย 30 กรัม
4. ไข่แดง 3 ฟอง
5. ครีมสด 100 ml
6. น้ำเลม่อน 1 ช้อนโต๊ะ
7. เหล้ารัม 1/2 ช้อนโต๊ะ
8. แป้งเค้ก 40 กรัม
9. ไข่ขาว 3 ฟอง
10. น้ำตาล 50 กรัม
11. แยมมัลเบอร์รี่ ตามชอบ
12. พิมพ์กลมขนาด 7 นิ้ว
13. กระดาษรองอบ หรือกระดาษไข

วิธีทำชีสเค้ก

1. ตีครีมชีสกับน้ำตาลด้วยเครื่องตีไฟฟ้าจนเนียนเข้ากัน
2. ใส่ไข่ทีละฟอง ตีให้เข้ากัน ใส่วิปปิงครีมตีต่อให้เข้ากันจนฟูเป็นครีมข้นๆ
3. ใส่แป้งข้าวโพดและผงวานิลลา ตะล่อมเบาๆให้เข้ากัน
4. เทใส่พิมพ์เค้กที่รองด้วยกระดาษรองอบ เคาะเบาๆ
5. อบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส อบประมาณ 50-60 นาที ปิดไฟเตาอบ พักไว้ในเตา 10 นาที
6. ยกออกจากเตา พักไว้ให้เย็น นำไปแช่ตู้เย็นก่อนเสิร์ฟ 1 ชั่วโมง
7. ตัดเป็นชิ้น จัดใส่จานเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มตามชอบ

สิ่งที่จะทำให้ชีสเค้กมีความโดดเด่นนั่นคือครีมชีส วิธีทำก็ง่ายเหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากหัดทำเบเกอรี่ ชอบสูตรไหนลองทำได้เลยนะคะ หรือจะดัดแปลงเป็นสูตใหม่ ๆ ทำขายเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้เสริมก็เข้าท่า รับรองลูกค้าต้องชอบแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แพนเค้ก (Pancakes) ขนมปังแบนแสนอร่อย

0
แพนเค้ก (Pancakes) ขนมปังแบนแสนอร่อย
แพนเค้ก (Pancakes) มีลักษณะเป็นขนมปังแผ่นบางๆสีน้ำตาลอมเหลือง เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งสาลี น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง และนมเปรี้ยว ทำบนกระทะ
แพนเค้ก (Pancakes) ขนมปังแบนแสนอร่อย
แพนเค้ก (Pancakes) มีลักษณะเป็นขนมปังแผ่นบางๆสีน้ำตาลอมเหลือง เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งสาลี น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง และนมเปรี้ยว ทำบนกระทะ

แพนเค้ก

แพนเค้ก (Pancakes) เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งสาลี น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง และนมเปรี้ยว ทำบนกระทะแบนมีลักษณะเป็นขนมปังแผ่นบางๆสีน้ำตาลอมเหลือง แพนเค้กมีต้นกำเนิดราวๆ 30,000 ปีก่อนในช่วงยุคหิน แพนเค้กเป็นทั้งอาหารคาว อาหารหวานสามารถทานเป็นอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็นพบได้ทั่วโลก แพนเค้กเสิร์ฟพร้อมน้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง และแต่งหน้าด้วยท็อปปิ้งต่าง ๆ ตามชอบ

ส่วนผสมแพนเค้ก

  • แป้งอเนกประสงค์ 100 กรัม
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เกลือ ¼ ช้อนชา
  • น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่ 1 ฟอง
  • นม 100 มิลลิลิตร
  • เนย 30 กรัม

วิธีทำแพนเค้ก

  1. นำส่วนผสมที่เตรียมไว้แป้งสาลี น้ำตาล เกลือ ผงฟู ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  2. จากนั้นตอกไข่ไก่ลงไป พร้อมเทนมตามลงไปตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  3. เทเนยลงไปตีให้เป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง
  4. ตั้งกระทะด้วยไฟปานกลาง รอให้กระทะร้อนรอประมาณ 2 นาที
  5. ทาเนยในกระทะเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ติดกระทะ
  6. เริ่มเทแป้งที่เตรียมไว้จากตรงกลางเทช้าๆ ในลักษณะวงกลมเพื่อให้แป้งกระจายออกเป็นรูปทรงกลมสวยงาม
  7. ปล่อยให้แพนเค้กสุกพอดี (อย่ารีบพลิกเร็วเกินไป) ปล่อยให้ด้านล่างเป็นสีน้ำตาลสวยงามและเมื่อฟองอากาศเริ่มก่อตัวขึ้นด้านบนและรอบ ๆ พื้นผิว (ด้านที่เป็นแป้ง) ก็พร้อมที่จะพลิกกลับอีกด้านทำแบบนี้จนแป้งหมด
  8. จัดจานโดยการวางแพนเค้กซ้อนกันประมาณ 5-6 แผ่น แต่งหน้าด้วยผลไม้สด แล้วราดน้ำผึ้งหรือซอสที่เตรียมไว้ พร้อมเสิร์ฟได้

หากคุณกำลังมองหาสูตรทำแพนเค้กที่แสนอร่อยอยู่ละก็ เราขอแนะนำสูตรนี้ทำกินเองก็อร่อยหรือจะทำเพื่อสร้างรายได้เสริมก็สุดปัง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เค้กบราวนี่ หรือ บราวนี่ช็อคโกแลต วิธีทำง่ายๆ (Brownie)

0
เค้กบราวนี่ หรือ บราวนี่ช็อคโกแลต วิธีทำง่ายๆ (Brownie)
บราวนี่ยังได้รับความนิยมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นขนมทานเล่น ที่โดดเด่นในเรื่องรสชาติที่เข้มข้นของผงโกโก้ รับประทานได้ในทุกโอกาส
เค้กบราวนี่ หรือ บราวนี่ช็อคโกแลต วิธีทำง่ายๆ (Brownie)
บราวนี่ยังได้รับความนิยมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นขนมทานเล่น ที่โดดเด่นในเรื่องรสชาติที่เข้มข้นของผงโกโก้ รับประทานได้ในทุกโอกาส

เค้กบราวนี่

บราวนี (Brownie) เป็นเค้กสไตล์อเมริกันที่ใช้ช็อกโกแลตและผงโกโก้เป็นส่วนผสมเพิ่มความกรุบกรอบโรยหน้าด้วยวอลนัท หรือพิสตาชิโอ บราวนี่เป็นขนมอบที่ถือได้ว่าเป็นลูกผสมระหว่างเค้กและคุกกี้ด้วยรูปลักษณ์ที่มีความหนาและเป็นแท่งสี่เหลี่ยม ส่วนประกอบพของบราวนี่ประกอบด้วยแป้ง ไข่ เนย ผงโกโก้ ช็อคโกแลต และน้ำตาลเรียกได้ว่าเป็นส่วนประกอบหลักของเค้กบราวนี่

ประเภทของบราวนี่

  • Fudge brownie (บราวนี่ฟัดจ์) : เป็นบราวนี้ที่ทำด้วยดาร์กช็อกโกแลต และเนยละลาย มีส่วนผสมหลัก คือ แป้งเค้ก ไข่ น้ำตาล ผงฟู
  • Brownie cake (บราวนี่เค้ก) : เป็นเค้กสีน้ำตาลเข้มๆ เนื้อสัมผัสนุ่มฟู และเบา มีส่วนผสมหลักทำด้วยผงโกโก้ แป้งเค้ก เนย ไข่ น้ำตาล ผงฟู
  • Chewy brownies (บราวนี่หนึบ) : เป็นลักษณะเค้กเนื้อสัมผัสที่อยู่ตรงกลางระหว่างเค้กและฟัดจ์ที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลตละลาย และผงโกโก้ มีลักษณะเนื้อชุ่มหนึบๆ เคี้ยวได้

ส่วนผสมของเค้กบราวนี่ (สำหรับ 1 พิมพ์)

  • เนยสดจืด 60 กรัม
  • ดาร์กช็อกโกแลต 55 กรัม
  • น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลทราย 75 กรัม
  • ไข่ไก่เบอร์ใหญ่ 1 ฟอง
  • แป้งเค้ก 35 กรัม
  • ผงโกโก้ 15 กรัม
  • เกลือป่น 1 หยิบมือ
  • ช็อกโกแลตชิพ 10 กรัม
  • วอลนัท 10 กรัม
  • เฮเซลนัตอบ 10 กรัม
  • พิสตาชิโออบ 10 กรัม
  • กระดาษไขอบ สำหรับปูถาดอบ
  • พิมพ์เค้กทรงสี่เหลี่ยมขนาด 8 x 18 x 5.5 เซนติเมตร

วิธีทำเค้กบราวนี่ (สำหรับ 1 พิมพ์)

  • เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส
  • ปูกระดาษไขลงในพิมพ์
  • ผสมแป้งเค้กและผงโกโก้รวมกัน ร่อนเตรียมไว้
  • สับช็อกโกแลตให้ละเอียดแล้วละลายด้วยเตาไมโครเวฟ
  • ละลายเนยสดด้วยเตาไมโครเวฟ จากนั้นใส่น้ำตาลและเกลือป่นลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้ละลายเข้ากัน
  • ใส่ไข่ไก่ลงไปผสมให้เข้ากันตามด้วยช็อกโกแลตละลายคนให้เข้ากัน จากนั้นใส่ส่วนผสมแป้งผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน
  • ใส่ถั่วทั้งหมดลงไป ใช้พายยางคนเบาๆให้ทั่ว
  • เทส่วนผสมลงไปในพิมพ์ที่เตรียมไว้ ยกพิมพ์เอียงไปมาเพื่อให้หน้าขนมเรียบขึ้น
  • ตกแต่งหน้าบราวนี่ก่อนอบด้วยถั่วต่างๆ ที่เตรียมไว้ให้สวยงามตามความชอบ
  • นำเข้าเตาอบนานประมาณ 30 นาที หรือจนสุก
  • ยกเค้กบราวนี่ออกจากเตาวางพักไว้ แล้วค่อยๆแกะเค้กออกจากพิมพ์พร้อมกับกระดาษไข วางพักต่อให้เย็นสนิท
    แล้วแกะกระดาษไขออกแล้วตัดแบ่งเค้กเป็นชิ้นๆ เท่าๆกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร

สูตรบราวนี่หนึบ สุดฮิตในโลกโซเชียล

ส่วนผสม บราวนี่หนึบ (ถาดสี่เหลี่ยมขนาด 26.5×16 ซม.)

  • เนยจืด 140 กรัม
  • ช็อกโกแลต 53-60% 165 กรัม
  • ไข่ไก่ (ไข่หนัก 60 กรัมต่อฟอง) 2 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 180 กรัม
  • เเป้งสาลีอเนกประสงค์ 75 กรัม
  • ผงโกโก้ 15 กรัม
  • เกลือ

วิธีทำบราวนี่หนึบ

  • เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ใช้ถาดอบขนาด 26.5 x16 ซม. และรองกระดาษไข
    ต้มน้ำร้อนใส่หม้อ
  • นำเนย และช็อกโกแลตใส่ในอ่างผสม โดยนำอ่างผสมวางบนหม้อน้ำร้อน
  • เมื่อเนยและช็อกโกแลตละลายแล้วให้ใส่ไข่ไก่ และนํ้าตาลลงไปผสม และตีให้เข้ากัน (ผสมอย่าให้นานเกิน 30 วินาที เพราะจะทำให้บราวนี่ไม่ขึ้นหน้าฟิล์ม)
  • นำแป้ง ผงโกโก้ และเกลือมาร่อน ใส่ในอ่างผสมและคนผสมให้เข้ากัน
  • นำส่วนผสมของบราวนี่มาใส่ในถาด และนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส อบประมาณ 20-25 นาที
  • เมื่ออบสุกแล้วทิ้งให้บราวนี่เย็นตัว แล้วนำเข้าแช่ช่องแข็ง ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นตัดเป็นชิ้นและเสิร์ฟได้เลยจร้า

อย่างไรก็ตามบราวนี่ยังได้รับความนิยมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นขนมทานเล่น โดดเด่นในเรื่องรสชาติที่เข้มข้นของผงโกโก้ หรือช็อกโกแลตที่อร่อยถูกใจรับประทานได้ในทุกโอกาส สามารถทานร่วมกับเมนูอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น เสริฟพร้อมกันไอศกรีม เครื่องดื่มเย็นๆ เครื่องดื่มร้อน เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม