อัญชัน เป็นยาบำรุงเลือด ละลายลิ่มเลือดและป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ

0
อัญชัน เป็นยาบำรุงเลือด ละลายลิ่มเลือดและป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ
อัญชัน ส่วนมากมักจะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มและแต่งสีอาหารให้สวยงาม หรือนำมาสระผม เขียนคิ้วเพื่อเสริมความงาม
อัญชัน เป็นยาบำรุงเลือด ละลายลิ่มเลือดและป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ
อัญชันสีม่วง ฝักคล้ายรูปดาบ ส่วนมากมักจะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มและแต่งสีอาหารให้สวยงาม หรือนำมาสระผม เขียนคิ้วเพื่อเสริมความงาม

อัญชัน

อัญชัน (Butterfly pea) เป็น พืชที่คนทั่วไปรู้จักกันอย่างกว้างขวาง เป็นดอกที่มักจะนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มหรือนำมาตกแต่งกลิ่น ดอกอัญชันมักจะมีสีขาว สีฟ้าหรือสีม่วง ส่วนตรงกลางดอกจะมีสีเหลืองและมีรูปทรงคล้ายหอยเชลล์ เป็นไม้เลื้อยที่มีถิ่นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ ส่วนมากมักจะปลูกกันในประเทศเขตร้อน อัญชันถือเป็นดอกที่สวยงามและเป็นที่นิยมแต่สิ่งที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ว่าอัญชันมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกายโดยเฉพาะสรรพคุณในการช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น เพราะมีสารที่ชื่อว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) อยู่ภายในดอก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของอัญชัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clitoria ternatea L.
ชื่อสามัญ : อัญชันมีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Blue pea” ชื่อที่สองคือ “Butterfly pea”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “อัญชัน” ภาคเหนือเรียกว่า “เอื้องชัน” ส่วนในจังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “แดงชัน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว Fabaceae (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)

ลักษณะของอัญชัน

อัญชัน เป็นไม้เลื้อยล้มลุกที่มักจะเลื้อยพันตามต้นไม้ต้นอื่น มีลักษณะเป็นเถากลมเล็กเรียวยาวและมีขนนุ่มปกคลุมอยู่ มักจะพบได้ทั่วไปในป่าโล่งแจ้งหรือในที่กึ่งร่ม อย่างเช่นป่าเบญจพรรณในพื้นล่างไปจนถึงป่าดิบเขาสูง
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปรีแกมขอบขนานหรือรูปรีแกมไข่กลับ ปลายใบแหลม โคนใบมน ที่ผิวใบด้านล่างมีขนหนาปกคลุม ใบบางมีสีเขียว
ดอก : อัญชันเป็นดอกเดี่ยว ซอกใบมีลักษณะคล้ายฝาหอยเชลล์ออกเป็นคู่ตามซอกใบสีน้ำเงิน สีฟ้าม่วงหรือสีขาว กลีบดอก 5 กลีบ ตรงกลางกลีบมีสีเหลืองหม่น ขอบสีขาวและออกดอกตลอดปี
ผล : ออกเป็นฝักแบนยาว โค้งเล็กน้อย ปลายฝักเป็นจะงอยแตกเป็น 2 ฝา จนดูคล้ายกันรูปดาบ ฝักอ่อนมีสีเขียวแต่ถ้าฝักแก่จะมีสีน้ำตาลอ่อน
เมล็ด : เมล็ดเป็นรูปไตสีดำประมาณ 6 – 10 เมล็ด

การนำไปใช้ประโยชน์ของอัญชัน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ส่วนมากมักจะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำอัญชันเพื่อใช้ดับกระหายหรือนำมาตากแห้งเพื่อดื่มแทนชา นำดอกอัญชันมาจิ้มกับน้ำพริกหรือชุบแป้งทอด น้ำดอกอัญชันนำมาใช้ทำเป็นสีผสมอาหาร ในมาเลเซียนำไปหุงกับข้าวจนทำให้ข้าวมีสีฟ้า
2. เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ เป็นส่วนผสมของครีมนวดผมหรือยาสระผม
3. เป็นยาปลูกผม ใช้เป็นยาปลูกผมหรือปลูกขน ช่วยให้ผมดกดำเงางามยิ่งขึ้น ในสมัยก่อนหญิงสาวได้มีการนำอัญชันมาเขียนคิ้วให้ดำขลับอีกด้วย
4. ปลูกต้นอัญชันประดับบ้านเสริมความงาม

สรรพคุณของอัญชัน

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เสริมสร้างภูมิต้านทานและเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ช่วยในการบำรุงสมองและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น ดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง 
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย อัญชันมีคุณสมบัติในการช่วยล้างสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย แก้อาการปัสสาวะพิการ เมล็ดอัญชันเป็นยาระบายแต่อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้ รากและใบเป็นยาขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 น้ำที่คั้นจากใบหรือดอกของอัญชันช่วยบำรุงสายตาและเพิ่มความสามารถในการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น แก้อาการตาฟางและตาแฉะ ดอกอัญชันมีสรรพคุณป้องกันโรคต้อกระจก ต้อหินและตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน รากอัญชันเมื่อถูกับน้ำฝนสามารถนำมาหยอดตาและหูได้ หากถูกับฟันสามารถรักษาอาการปวดฟันและทำให้ฟันแข็งแรงได้
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการฟกช้ำและแก้อาการเหน็บชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า
  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยแห่งวัย ดอกอัญชันช่วยรักษาอาการผมร่วง มีส่วนช่วยให้ผมดกดำเงางามยิ่งขึ้น

วิธีทำน้ำดอกอัญชัน

น้ำดอกอัญชัน
1. นำดอกอัญชันสด 100 กรัม มาล้างให้สะอาด จากนั้นนำดอกอัญชันไปต้มในน้ำจนเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 3 นาทีแล้วกรองดอกอัญชันขึ้นจากหม้อ
2. เตรียมน้ำเชื่อมด้วยการนำน้ำตาลทราย 500 กรัม ละลายในน้ำ 500 กรัม
3. นำน้ำดอกอัญชันที่เตรียมไว้มา 1 ถ้วย น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มาผสมรวมกันก็เป็นอันเสร็จสิ้น

น้ำพันช์
1. นำน้ำดอกอัญชันเตรียมไว้ครึ่งถ้วย นำน้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำเชื่อม 6 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวครึ่งถ้วย และน้ำโซดาเย็นประมาณ 1 ขวด มาผสมรวมกันก็เป็นอันเสร็จสิ้น

น้ำชา
1. นำดอกอัญชันที่ตากแห้งแล้วประมาณ 25 ดอก จากนั้นนำมาชงในน้ำเดือด 1 ถ้วยแล้วดื่ม

ข้อควรระวัง

1. ผู้ป่วยโลหิตจางห้ามรับประทานดอกอัญชันเด็ดขาด
2. ไม่ควรดื่มน้ำสมุนไพรใด ๆ ชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี
3. ไม่ควรดื่มน้ำสมุนไพรในอุณหภูมิที่ร้อนจัดหรือมีอุณหภูมิเกิน 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป เพราะอาจจะทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันได้ และอาจดูดซับสารก่อมะเร็งและสารอื่น ๆ ได้ง่าย 

อัญชัน เป็นดอกที่มีสีม่วงสวยงามและสามารถนำมาดื่มได้ คนไทยในปัจจุบันนิยมดื่มน้ำอัญชันกันพอสมควร อีกทั้งยังเป็นดอกที่มีส่วนผสมในผลิตภัณฑ์จำพวกสบู่หรือแชมพู ถือเป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอุตสาหกรรม สรรพคุณที่โดดเด่นของอัญชันเลยก็คือช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ซึ่งเลือดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก การรับประทานหรือดื่มน้ำอัญชันเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนรักสุขภาพทั้งหลาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โหระพา พืชสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคย แต่มีสรรพคุณมากกว่าที่รู้กันทั่วไป

0
โหระพา พืชสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคย แต่มีสรรพคุณมากกว่าที่รู้กันทั่วไป
โหระพา พืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ในทางยาและประกอบอาหารและเครื่องดื่ม ต้านอนุมูลอิสระและลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
โหระพา พืชสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคย แต่มีสรรพคุณมากกว่าที่รู้กันทั่วไป
โหระพา พืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ในทางยาและประกอบอาหารและเครื่องดื่ม ต้านอนุมูลอิสระและลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

โหระพา

โหระพา (Basil) เป็น พืชสมุนไพรที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เป็นพืชที่มีการนำใบมาใช้เป็นยาและประกอบอาหาร หรือนำมาประกอบกับเครื่องดื่ม เช่น น้ำสับปะรดปั่นโหระพา ถือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน แต่โหระพามีสรรพคุณมากกว่าที่รู้กันทั่วไป มีสารอาหารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งเป็นสารเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ภายในโหระพามีเบต้าแคโรทีนมากถึง 452.16 ไมโครกรัม เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและพบว่าสามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ เป็นสารที่พบมากในผักและผลไม้ มีส่วนช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่โหระพายังมีสรรพคุณอื่น ๆ อีกมากมาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโหระพา

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum Linn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Sweet basil” และ “Thai basil”
ชื่อท้องถิ่น : ชาวกะเหรี่ยงและแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ห่อกวยซวย ห่อวอซุ”
ชื่อวงศ์ : LABIATAE หรือ LAMIACEAE

ลักษณะของโหระพา

โหระพา เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียและแอฟริกา และเป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย
ใบ : มีรูปร่างแบบรูปไข่ปกติ ใบจะเรียงตัวแบบตรงกันข้ามกัน ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย มีสีเขียวอมม่วง
ดอก : มีขนาดเล็กและออกเป็นช่อ ดอกมีทั้งสีม่วง แดงอ่อน และสีขาว

สรรพคุณของโหระพา

โหระพามีสรรพคุณมากมายและเป็นพืชที่ไม่ได้มีประโยชน์แค่ใบเท่านั้น แต่เมล็ดยังสามารถนำมาแช่น้ำให้พองแล้วรับประทานเป็นยาแก้บิดได้อีกด้วย

รูปแบบสรรพคุณของโหระพา

1. สรรพคุณในรูปแบบน้ำมันโหระพา เป็นน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากใบโหระพา มีสรรพคุณที่สำคัญคือ แก้จุกเสียดแน่นท้อง ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยให้สบายท้องมากขึ้น มีกลิ่นหอมหวาน มีคุณสมบัติช่วยให้สงบ มีสมาธิ ลดอาการซึมเศร้า แต่มีข้อควรระวังในการใช้น้ำมันโหระพาคือ ทำให้เกิดอาการแพ้ง่าย สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยง
2. สรรพคุณในรูปแบบยาสมุนไพร ใบสดของโหระพามีสรรพคุณแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมจากลำไส้ หากนำใบมาต้มแล้วดื่มจะแก้ลมวิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร แก้หวัด ขับเหงื่อ มีสรรพคุณต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ใช้ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบหรือแผลอักเสบ ใช้ปรุงร่วมกับน้ำนมราชสีห์เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมสำหรับมารดา เป็นต้น

สรรพคุณของโหระพาในด้านต่าง ๆ

1. สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยป้องกันความเสียหายในร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
2. สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยในการเจริญอาหาร ช่วยในการย่อยอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี ช่วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาระบาย ช่วยในการขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้อาการบิด แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ช่วยให้เด็กหายปวดท้องด้วยการดื่มแทนยาขับลม เป็นยาขับปัสสาวะ
3. สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย มีส่วนในการช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มีฤทธิ์ในการช่วยลดคอเลสเตอรอลและแผ่นคราบพลัคในกระแสเลือด แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
4. สรรพคุณด้านการคลายเครียด ช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ และช่วยลดอาการซึมเศร้า
5. สรรพคุณป้องกันโรค มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยรักษาโรคตาแดง ต้อตาหรือมีขี้ตามาก ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัสต่าง ๆ
6. สรรพคุณด้านผิวหนังและความงาม ช่วยขับหัวสิวและต้านการเจริญเติบโตของเชื้อสิว ใช้เป็นยาพอกเพื่อดูดซับสารพิษออกจากผิวหนังได้ รักษาอาการผดผื่นคันหรือมีน้ำเหลือง รักษาแผลหรือมีหนองเรื้อรัง แก้อาการฟกช้ำจากการกระทบกระแทกหรืองูกัด ใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอางบางชนิด
7. สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ รักษาอาการเหงือกอักเสบเป็นหนอง ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ แก้อาการวิงเวียนศีรษะ ช่วยแก้หวัดและช่วยในการขับเหงื่อ ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน แก้อาการสะอึก เป็นยาบรรเทาอาการผึ้งต่อย ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยรักษาอาการข้ออักเสบหรือแผลอักเสบ บำบัดรักษาโรคเข่าเสื่อม
8. สรรพคุณด้านอื่น ๆ ใช้ฆ่ายุง ไร และแมลงได้ อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นยาบำรุงสุขภาพทางเพศอีกด้วย

โหระพามาปรุงอาหารหรือรับประทานสดได้กับหลายเมนู สรรพคุณทางยาหรือในรูปแบบอาหารเสริมควรระมัดระวังในด้านขนาดการใช้ หากทานมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำลง และไม่ควรรับประทานน้ำมันสกัดจากโหระพาหรือส่วนลำต้นของโหระพาต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากมีสารเอสตราโกล (Estragole) อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคมะเร็งตับ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ประโยชน์ของหัวปลี และเมนูอาหารจากหัวปลีกล้วย

0
ประโยชน์ของหัวปลี และเมนูอาหารจากหัวปลีกล้วย
หัวปลี หรือ ปลีกล้วย เป็นดอกของต้นกล้วยทุกสายพันธุ์ มีคุณสมบัติทางยาสมุนไพร นิยมนำมาทำเป็นอาหารรับ กินได้ทั้งดิบและปรุงสุก
ประโยชน์ของหัวปลี และเมนูอาหารจากหัวปลีกล้วย
หัวปลี หรือ ปลีกล้วย มีคุณสมบัติทางยาสมุนไพร นิยมนำมาทำเป็นอาหารรับ กินได้ทั้งดิบและปรุงสุก ลวก ต้ม ผัก แกง ทอด

หัวปลี

หัวปลี หรือ ปลีกล้วย ( Banana flower ) คือ ส่วนที่เป็นดอกของต้นกล้วย ซึ่งกล้วยทุกสายพันธุ์เมื่อเจริญเติบโตเต็มจะเริ่มออกปลี หรือหัวปลี ซึ่งมีคุณสมบัติทางยาสมุนไพรกล้วยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนทั้งลำต้นอ่อน ปลี ผลกล้วย และใบตอง เต็มไปด้วยใยอาหารนิยมนำมาทำเป็นอาหารรับประทานได้ทั้งดิบและปรุงสุก และที่สำคัญหัวปลีกล้วยอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม โพแทสเซียม ทองแดง แมกนีเซียม และธาตุเหล็ก ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายหลายอย่าง

หัวปลี ประโยชน์และสรรพคุณ

  • ช่วยแก้อาการแพ้ท้อง
  • ช่วยป้องกันอาการท้องผูก
  • ป้องกันภาวะซึมเศร้า
  • ช่วยแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
  • ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำนมในแม่ตั้งครรภ์และแม่ให้นมบุตร
  • ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว และลดอาการตกเลือดหลังคลอด
  • ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค
  • ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้
  • ช่วยเพิ่มฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกาย
  • ช่วยกระตุ้นการดูดซึมกลูโคสทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลง
  • ช่วยควบคุมเบาหวาน
  • ช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น
  • ช่วยให้นอนหลับง่าย และลดความวิตกกังวล
  • ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และมะเร็ง
  • ช่วยลดความเครียดในเซลล์ และชะลอความแก่ชรา
  • ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและปัญหาทางเดินปัสสาวะ
  • ช่วยเพิ่มระดับธาตุเหล็ก
  • ช่วยลดน้ำหนัก

หัวปลี คุณค่าทางโภชนาการ

หัวปลี 100 กรัม ให้พลังงาน 28 แคลอรี่

  • โปรตีน 1.6 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 9.9 กรัม
  • ใยอาหาร 5.7 กรัม
  • แคลเซียม 56 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 73.3 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 56.4 มิลลิกรัม
  • ทองแดง 13 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 553.3 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 48.7 มิลลิกรัม
  • วิตามินอี 1.07 มิลลิกรัม
  • เถ้า 0.9 กรัม

หัวปลี เมนูอาหารง่าย ๆ เพื่อสุขภาพ

  • ห่อหมกหัวปลี
  • ลาบหัวปลี
  • แกงคั่วหัวปลี
  • หัวปลีต้มกะทิ
  • หัวปลีทอดมัน
  • ไข่เจียวหลีปลี
  • ต้มข่าไก่หัวปลี
  • น้ำขิงหัวปลี 
  • หัวปลีลวกจิ้มนํ้าพริก
  • ต้มยำไก่หัวปลี
  • ยำปลากระป๋องใส่หัวปลี
  • หัวปลีชุบแป้งทอด

หัวปลี ปลีกล้วย ไม่เพียงแค่อร่อย แต่ยังได้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลาย เหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเพราะมีใยอาหารสูงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูโดนเฉพาะเมนูหัวปลีต้มกะทิปลาทูสด หรือจะเป็นลวกจิ้มน้ำพริกก็อร่อยไม่แพ้กัน หัวปลีหรือปลีกล้วยนั้นมีเกือบแทบทุกบ้านที่ปลูกกล้วยไว้ หรือจะหาซื้อตามตลาดก็ได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักวอเตอร์เครส สลัดน้ำ สมุนไพรพื้นบ้านป้องกันมะเร็ง

0
วอเตอร์เครส สลัดน้ำ ผักที่รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิดที่สำคัญต่อร่างการ โดยเฉพาะการรักษาโรคมะเร็ง
ผักวอเตอร์เครส สลัดน้ำ สุดยอดสมุนไพรพื้นบ้านป้องกันมะเร็ง
วอเตอร์เครส สลัดน้ำ ผักที่รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิดที่สำคัญต่อร่างการ โดยเฉพาะการรักษาโรคมะเร็ง

ผักวอเตอร์เครส

ผักวอเตอร์เครส (Watercress) คือ ผักใบเขียวที่มีสารอาหารมากมายจัดอยู่ในวงศ์กะหล่ำปลี มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Nasturtium officinale บางคนเรียกสลัดน้ำ แพงพวยหรือเยลโลเครส โดยลักษณะทางพฤษศาสตร์ใบกลมขอบใบหยักสีเขียวเข้ม มีรสชาติเผ็ดเล็กน้อย ลำต้นตรงสีเขียว ผักชนิดนี้ชอบน้ำปลูกง่ายและเจริญเติบโตเร็ว สลัดน้ำวอเตอร์เครสมี 2 สายพันธุ์หลักที่นิยมปลูกเพื่อนำมารับประทาน ได้แก่ พันธุ์สีเขียวกับพันธุ์สีแดง ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรพื้นบ้านมีคุณค่าทางสารอาหารสูง 

คุณค่าทางโภชนาการของวอเตอร์เครส

วอเตอร์เครส 100 กรัม ให้พลังงาน 11 แคลอรี่
ไขมัน 0.1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
โปรตีน 2.3 กรัม
แคลเซียม 120 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 330 มิลลิกรัม
โซเดียม 41 มิลลิกรัม
วิตามินและแร่ธาตุของวอเตอร์เครส 100 กรัม
วิตามินเอ 63%
วิตามินซี 71%
วิตามิน B6 = 5%
แมกนีเซียม 5%
เหล็ก 1%

ประโยชน์ต่อสุขภาพของวอเตอร์เครส

  • อุดมไปด้วยวิตามินเอ หรือที่เรียกว่าเรตินอล ซึ่งมีความสำคัญต่อการมองเห็น
  • วิตามินเอช่วยรักษาอวัยวะภายในร่างกายให้แข็งแรง
  • วิตามินเคช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • วิตามินเคช่วยควบคุมการหมุนเวียนของกระดูก
  • วิตามินซีช่วยเพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกัน
  • วิตามินซีเพิ่มการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ
  • วิตามินซีช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก
  • ช่วยผลิตคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพ
  • เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์ลดอนุมูลอิสระในร่างกาย
  • ลูทีนและซีแซนทีนมีความสำคัญต่อดวงตาและป้องกันดวงตาความเสียหายจากแสงสีน้ำเงิน
  • ช่วยลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็งหลายชนิด
  • ช่วยลดความเสี่ยงเซลล์ถูกทำลายจากมะเร็ง     
  • ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังได้
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในพลาสมาได้
  • ช่วยลดความดันโลหิตโดยการเพิ่มไนตริกออกไซด์ในเลือด
  • ช่วยให้พัฒนาการของทารกในครรภ์หรือตัวอ่อนแข็งแรง
  • ช่วยบำรุงสเปิร์มและลดปัญหาเซ็กส์เสื่อม

คำแนะนำ ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการกินวอเตอร์เครส

การกินวอเตอร์เครสในปริมาณมากอาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนหรือส่งผลเสียต่อไต ควรกินผักวอเตอร์เครสแต่พอดีและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการกินวอเตอร์เครส

  • เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
  • ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
  • ผู้ป่วยโรคไต
  • ผู้ที่แพ้ผักตระกูลกะหล่ำ และผู้มีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำไม่ควรทานวอเตอร์เครสสดๆ เพราะจะไปยับยั้งฮอร์โมนจนเกิดปัญหาคอพอก หรือเสี่ยงต่อมะเร็งไทรอยด์
  • หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือแท้งบุตรได้ ส่วนหญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรก็ควรบริโภควอเตอร์เครสด้วยความระมัดระวัง เพราะปัจจุปันยังไม่มีหลักฐานยืนยันความปลอดภัยของผักชนิดนี้อย่างชัดเจน

การกินวอเตอร์เครสเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ต้องกิน 5 ทัพพีต่อสัปดาห์ จึงจะให้ผลลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง บางคนกินวอเตอร์เครสแล้วรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มลิ้นนั่นคือ สารพีอีไอทีซีเริ่มออกฤทธิ์ โดยสามารถทานได้ทั้งสดและสุกจากการนำไปประกอบอาหารต่าง ๆ ตามชอบ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส Streptococcus Pneumoniae

0
โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส Streptococcus Pneumoniae
เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียพบได้ในทารก ไวรัสหรือแบคทีเรียสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสละอองน้ำลายจากผู้ที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย
โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส Streptococcus Pneumoniae
เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียพบได้ในทารก ส่งผลกระทบทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจทั้งโรคปอดบวม

โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

โรคนิวโมคอคคัส ( Streptococcus Pneumoniae ) คือ การติดเชื้อแบคทีเรียพบได้ในทารก เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปีรวมถึงผู้สูงอายุ ไวรัสหรือแบคทีเรียสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสละอองน้ำลายจากผู้ที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่งผลกระทบทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจทั้งโรคปอดบวม noo-muh-KOK-uhl เกิดจากแบคทีเรีย Streptococcus pneumoniae โรคหลอดลมอักเสบ โรคหูน้ำหนวก ภาวะโลหิตเป็นพิษ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบด้วย

อาการของโรคนิวโมคอคคัส

ปัจจัยเสี่ยงหลักของการติดเชื้อโรคนิวโมคอคคัส

แพทย์เตือนว่าทุกคนสามารถติดเชื้อโรคนิวโมคอคคัสหรือเป็นโรคปอดบวมได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่เสี่ยงสูง ได้แก่ ทารก เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ใหญ่ที่มีมากกว่า 65 ปี ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กระยะยาว รวมถึงเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอาการป่วยบางอย่างเช่น โรคหัวใจเรื้อรัง โรคปอด โรคไตหรือตับ เบาหวาน หรือความเจ็บป่วยที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เอชไอวี และมะเร็งบางชนิด เป็นต้น

การวินิจฉัยโรคนิวมคอคคัส

การตรวจหาแบคทีเรียสเตรปโทคอคคัส หรือที่เรียกว่าแอนติเจนในปัสสาวะ C polysaccharide ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของผนังเซลล์แบคทีเรีย สามารถตรวจพบได้ในของเหลวในร่างกาย นำมาผ่านกระบวนการเพาะเชื้อแบคทีเรีย

การรักษาโรคนิวโมคอคคัส

ทางการแพทย์จะรักษาตามอาการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีผลกับโรคปอดบวม     

วิธีป้องกันโรคนิวโมคอคคัส

วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสนิวโมคอคคัส (pneumococcal vaccine) ปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนจากส่วนประกอบของเชื้อไวรัส Streptococcus pneumoniae คุณสมบัตของวัคซีนเพื่อป้องกันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม polysaccharide (PPV) และวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม (PCV) เมื่อฉีดวัคซีนเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส และสามารถป้องกันการเกิดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อที่อาจทำให้เสียชีวิตได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคคลั่งผอม อันตรายที่แฝงมากับความผอม

0
โรคคลั่งผอม เป็นพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงการกินอาหารทีมี ไขมัน น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต เพราะกลัวว่าจะอ้วน
โรคคลั่งผอม อันตรายที่แฝงมากับความผอม
โรคคลั่งผอม เป็นพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงการกินอาหารทีมี ไขมัน น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต เพราะกลัวว่าจะอ้วน

โรคคลั่งผอม

โรคคลั่งผอม (Anorexia nervosa) คือ พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติพยายามหลีกเลี่ยงจำกัดการกินอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตมากเพราะกลัวอ้วน กังวลอยู่กับน้ำหนัก รูปร่างของตัวเองส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งหนุ่มๆสาวๆ หลายคนก็คงอยากจะมีหุ่นที่ดี หุ่นเฟิร์ม หุ่นสวยเป๊ะจึงหาวิธีลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน มักพบในกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 20 ปี

อาการของโรคคลั่งผอม

  • ปวดหัว เวียนหัว
  • นอนไม่หลับ
  • รู้สึกเหนื่อยล้า
  • อาการเบื่อทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ หรือขาดสารอาหาร
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • หัวใจเต้นช้าลง
  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • เลือดไหลเวียนไม่ดี
  • ผิวแห้ง ผมร่วง หรือผมบาง
  • สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • หน้ามืด หรือเป็นลม
  • ร่างกายที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
  • มีอาการกลัวน้ำหนักขึ้นมาก
  • มีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ
  • สนใจแต่เรื่องอาหารลดน้ำหนัก วิธีลดน้ำหนัก กำหนดแคลอรี่ในอาหารที่ทาน
  • ออกกำลังกายมากเกินไป
  • รู้สึกว่าตนเอง “อ้วน” และวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา
  • น้ำหนักตัวน้อยกว่ามาตรฐาน
  • หลังทานอาหารเสร็จจะทำให้ตนเองอาเจียน หรือรับประทานยาระบายอันตรายและผลข้างเคียงของโรคคลั่งผอม
  • กล้ามเนื้อรีบเล็ก
  • กระดูกเปราะ กระดูกพรุน
  • ร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลียง่าย
  • มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
  • มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือโรคโลหิตจาง
  • ปัญหาเกี่ยวกับสมองและเส้นประสาท เช่น รู้สึกสับสน ความจำเสื่อม ความจำสั้น และสมาธิสั้น
  • ภาวะขาดน้ำ
  • ไตวาย
  • ฮอร์โมนเอสโตรเจน/เทสโทสเตอโรน/ไทรอยด์ลดลง
  • เสี่ยงภาวะมีบุตรยาก
  • เสี่ยงภาวะซึมเศร้า
  • เสี่ยงต่อการเสียชีวิต

แนวทางการรักษาโรคคลั่งผอม

  • ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
  • พูดคุยกับจิตแพทย์เพื่อปรับทัศนคติและปรับสภาพจิตใจ ให้รู้สึกผ่อนคลาย
  • ครอบครัวต้องเข้าใจภาวะที่คนไข้เป็น และให้กำลังใจเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
  • แพทย์จะพิจารณาใช้ยารักษา เช่น ยารักษาซึมเศร้า ลดความวิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ เพื่อให้คนไข้ผ่อนคลาย และน้ำหนักตัวกลับมา

หากพบว่าคนในครอบครับมีพฤติกรรมลดการกินอาหารผิดปกติเป็นเวลานาน หรือเลือกกินอาหารที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ โรคคลั่งผอม เป็นความผิดปกติทางจิตที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงแนะนำให้ไปพบแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคถุงน้ำในไตคืออะไร อาการ สาเหตุ รักษา และการป้องกัน

0
โรคถุงน้ำในไตคืออะไรอาการสาเหตุรักษาและการป้องกัน
โรคถุงน้ำในไตเป็นโรคที่สืบทอดมาจากการกลายพันธุ์ของยีนที่พัฒนาและก่อตัวทำให้เกิดซีสต์ภายในไต ส่งผลกระทบต่อการกรองของเสียออกจากเลือดจึงอาจนำไปสู่ภาวะไตวาย
โรคถุงน้ำในไตคืออะไรอาการสาเหตุรักษาและการป้องกัน
โรคถุงน้ำในไตเป็นโรคที่ก่อตัวทำให้เกิดซีสต์ภายในไต ส่งผลกระทบต่อการกรองของเสียออกจากเลือดจึงอาจนำไปสู่ภาวะไตวาย

โรคถุงน้ำในไต

โรคถุงน้ำในไต Polycystic kidney disease (PKD) คือ ซีสต์ที่ไต สามารถเป็นรูปวงรีหรือวงกลม โดยมีขนาดน้อยกว่า 1 เซนติเมตรไปจนถึงมากกว่า 10 เซนติเมตร ถุงน้ำในไตพบได้ทั่วไปและสามารถเป็นถุงเดี่ยว หรือหลายถุงและทั้งสองด้าน สืบทอดมาจากการกลายพันธุ์ของยีนที่พัฒนาและก่อตัวทำให้เกิดซีสต์ (cyst) ภายในไต โดยปกติแล้วไตของคนเราจะมีถุงน้ำหลายใบอยู่ในนั้น เมื่อเวลาผ่านไปไตมักจะมีการขยายตัวใหญ่ขึ้นผิดปกติไตก็จะเสียหาย ซึ่งปัจจุบันโรคถุงน้ำในไตสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้ในครอบครัวไม่มีประวัติเป็นโรค PKD มีโอกาสเกิดขึ้นเองได้ถึง 50% โรคถุงน้ำในไตมี 2 ประเภท ได้แก่ 1.โรคไตชนิดถุงน้ำที่มีการถ่ายทอดแบบลักษณะเด่น (Autosomal Dominant Polycystic Kidney Disease : ADPKD) มักพบในผู้ที่มีอายุ 30-40 ปี 2.โรคถุงน้ำในไตชนิดพันธุกรรมด้อย (Autosomal Recessive Polycystic Kidney Disease : ARPKD) มักเกิดขึ้นหลังการคลอดได้ นอกจากนั้นซีสต์ยังสามารถรบกวนการทำงานของไตส่งผลกระทบต่อการกรองของเสียออกจากเลือดจึงอาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้

อาการของโรคถุงน้ำในไต ที่พบบ่อยที่สุด

ส่วนใหญ่แพทย์มักจะพบผู้ป่วยมาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดหลัง มีไข้ ปัสสาวะบ่อย เจ็บบริเวณซีโครงหรือสะโพก เบื้องต้นจะมีอาการไม่รุนแรง แต่อาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่นดังต่อไปนี้

สาเหตุของโรคถุงน้ำในไต

เกิดจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมทำให้เกิดโรคถุงน้ำในไต Polycystic kidney disease (PKD) ส่วนใหญ่คนในครอบครัวสามารถส่งต่อยีนที่ผิดปกติให้บุตรหลานได้ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเพศทุกวัย

การป้องกัน และวิธีรับมือกับโรคถุงน้ำในไต

การเตรียมตัวรับมือก่อนการวางแผนมีบุตรควรขอคำแนะนำจากแพทย์ช่วยประเมินความเสี่ยงในการส่งต่อโรคถุงน้ำในไตไปยังลูกหลานของตนเอง แพทย์จะแนะนำให้ทำการทดสอบทางพันธุกรรมโดยการตรวจเลือดหรือน้ำลายสามารถตรวจหายีนกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคถุงน้ำในไตได้ 

อย่างไรก็ตามแม้โรคถุงน้ำในไตจะฟังดูน่ากลัว แต่เราสามารถป้องกันและควบคุมโรคนี้ได้ด้วยการดูแลสุขภาพ โดยการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ ควบคุมและรักษาความมันโลหิตให้เป็นปกติ ควบคุมอาหารที่มีโซเดียมสูง ดื่มน้ำให้มากๆ ออกกำลังการเบาๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากโรคคถุงน้ำในไตได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ภาวะ Long COVID คืออะไร มีอาการอย่างไร

0
ภาวะ Long COVID คืออะไร มีอาการอย่างไร
ภาวะ Long COVID คืออะไร มีอาการอย่างไร
ภาวะของคนที่หายจากโควิด-19 แต่อาการที่หลงเหลืออยู่ เช่น ไอ นอนไม่หลับ ท้องเสีย การรับรสผิดปกติ แน่นหน้าอก

Long COVID

ภาวะลองโควิด (Long COVID) หรือ Post Covid-19 Syndrome Post-COVID condition, Long-haul COVID, post-acute COVID-19, chronic COVID คือ ภาวะของคนที่หายจากโควิด-19 แล้วแต่ยังต้องเผชิญกับอาการที่หลงเหลืออยู่ เชื้อโควิดหายจากร่างกายไปแล้ว แต่บางอาการยังคงอยู่ไม่หายไป โดยอาการผิดปกติยาวนานกว่า 4 สัปดาห์ จากรายงานการวิจัยหลายฉบับระบุไว้ว่า 80% ของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

อาการของลองโควิด

อาการลองโควิดจะมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละคน เป็นอาการที่ไม่มีลักษณะตายตัว สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ตั้งแต่ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร หัวใจและหลอดเลือด เช่น

  • เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม อ่อนเพลีย
  • ผมร่วง
  • ปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามข้อ ไม่มีแรง
  • ไอเรื้อรัง
  • การรับรสและได้กลิ่นผิดปกติ
  • ปวดศีรษะ มึนศีรษะ
  • นอนไม่หลับ
  • ความจำไม่ดี ไม่มีสมาธิ
  • มีภาวะวิตกกังวล
  • ซึมเศร้า เครียด
  • ใจสั่น แน่นหน้าอก
  • ท้องเสีย ท้องอืด

การป้องกันภาวะ Long COVID ทำได้อย่างไร?

  • การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
  • สวมใส่หน้ากากที่คลุมบริเวณปากและจมูกอย่างมิดชิด
  • รักษาระยะห่าง โดยอยู่ห่างจากผู้อื่นประมาณ 1.5-2 เมตร เลี่ยงบริเวณแออัดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวก
    ล้างมือบ่อย ๆ

อาการแทรกซ้อนจากภาวะลองโควิด

ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวที่อาจเกิดจากภาวะลองโควิด (Long COVID) ได้แก่

  • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)
  • สมองล้า (Brain Fog)
  • ภาวะพร่องทางระบบประสาทอัตโนมัติ (Dysautonomia)
  • ภาวะ Guillain – Barre Syndrome
  • โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia)
  • โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)

หายจากโควิดสามารถออกกำลังกายได้หรือไม่

สำหรับคนที่หายป่วยจากโควิด-19 ยังไม่แนะนำให้ออกกำลังกายเยอะ หรือหนักจนเกินไป ควรรออกกำลังแบบเบา ๆ เพื่อปรับร่างกาย  เช่น เดินแทนการวิ่ง  เป็นต้น เพื่อให้ปอดไม่ทำงานหนักจนเกินไป

ภาวะลองโควิดสามารถทำให้เกิดความผิดปกติกับร่างกายและจิตใจของผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 ได้ แนะนำสังเกตและประเมินร่างกายตัวเอง หากพบอาการผิดปกติควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นระยะยาวและส่งผลกระทบต่อชีวิต ประจำวัน หรืออาจเป็นอันตรายได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อย่าลืม ยืนยันสิทธิ “คนละครึ่งเฟส 4” และใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 28 ก.พ. 65

0
อย่าลืม ยืนยันสิทธิ "คนละครึ่งเฟส 4" และใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 28 ก.พ. 65
วิธียืนยันตัวตนผ่านแอปฯ "เป๋าตัง" เข้าร่วม "คนละครึ่งเฟส 4" เพื่อรับเงินช่วยเหลือ 1,200 บาท
อย่าลืม ยืนยันสิทธิ "คนละครึ่งเฟส 4" และใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 28 ก.พ. 65
วิธียืนยันตัวตนผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” เข้าร่วม “คนละครึ่งเฟส 4” เพื่อรับเงินช่วยเหลือ 1,200 บาท

ยืนยันสิทธิ “คนละครึ่งเฟส 4”

ผู้ร่วมโครงการรายใหม่ต้องรู้ วิธียืนยันตัวตนผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” เข้าร่วม “คนละครึ่งเฟส 4” เพื่อรับเงินช่วยเหลือ 1,200 บาท อย่าลืมใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 28 ก.พ. 65

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เผยว่า โครงการคนละครึ่งเฟส 4 จะเริ่มให้ประชาชนผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 (โครงการคนละครึ่งที่สิ้นสุดไปเมื่อสิ้นเดือนธ.ค. 2564) จำนวน 27.98 ล้านคน ยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 วันแรกในวันนี้ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ทันทีหลังการกดยืนยันสิทธิเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะได้รับสนับสนุนวงเงินค่าสินค้าหรือบริการที่กำหนดในอัตราร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน และไม่เกิน 1,200 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการฯ ระยะที่ 4 ช่วงระหว่างวันที่ 1 ก.พ. – 30 เม.ย. 2565โดยมีขั้นตอนการยืนยันสิทธิ ดังนี้

1. กดแถบแบนเนอร์ (Banner) โครงการคนละครึ่ง ที่ปรากฏในหน้า G-Wallet ของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ตั้งแต่ เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวัน
2. ระบบจะแสดงหน้าต่างเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 โดยขอให้ประชาชนอ่านเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 เมื่ออ่านเสร็จเรียบร้อยแล้วและยอมรับตามเงื่อนไขสามารถกดที่แถบ “ยอมรับเงื่อนไขและการใช้สิทธิ์”
ทั้งนี้

ประชาชนผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 จะต้องเริ่มใช้สิทธิโครงการฯ ระยะที่ 4 ภายในวันที่ 28 ก.พ. 2565 เวลา 22.59 น. หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะถูกตัดสิทธิ โดยสิทธิที่เหลืออาจจะนำมาพิจารณาเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้ง

สำหรับวันนี้ 1 ก.พ. 2565 จะเป็นวันแรกของการกดรับยืนยันและการใช้จ่ายสิทธิโครงการฯ ทางธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ให้จัดทำโครงการฯ ได้เตรียมความพร้อมสำหรับระบบการโอนเงินต่างธนาคารเพื่อโอนเข้า g-Wallet แล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงหรือลดความแออัดในช่วงเวลาการใช้สิทธิผ่าน “เป๋าตัง” พร้อมกันในวันแรก ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ที่พร้อมจะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 4 สามารถโอนเงินเข้า g-Wallet ล่วงหน้าก่อนเริ่มการใช้จ่าย

ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 3 จะสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2565 จนกว่าจะครบจำนวนประมาณ 1 ล้านสิทธิ์ โดยสามารถเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 17 ก.พ. 2565

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการร้านค้าสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 ได้วันแรกในวันอังคารที่ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวันจนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัครผ่าน www.คนละครึ่ง.com โดยผู้ประกอบการที่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นของรัฐที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” แล้ว สามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือสาขาหรือจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทยฯ.

กรมอนามัยเตือน! กินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

0
กรมอนามัยเตือน! กินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นหนึ่งในอาหารแปรรูปที่กินกันมากที่สุดในโลก
กรมอนามัยเตือน! กินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นหนึ่งในอาหารแปรรูปที่กินกันมากที่สุดในโลก

กินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ได้โพสต์ภาพบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าจากต่างประเทศยี่ห้อหนึ่งตรวจพบปริมาณโซเดียมระบุบนซองสูงถึง 26,240 มิลลิกรัม เกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำต่อวัน โดยปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวันไม่ควรเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัม หรือเท่ากับเกลือ 4 ช้อนชา กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีโซเดียมสูงเป็นประจำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักอาจหัวใจวายได้

ทำไมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ดีต่อสุขภาพ

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นหนึ่งในอาหารแปรรูปที่กินกันมากที่สุดในโลก ทั้งประเทศจีน อินโดนีเชีย ญี่ปุ่น และประเทศไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุดในโลก เพราะสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก ซึ่งสารอาหารหลักในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คือ คาร์โบไฮเดรต ไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียมสูงมาก ประมาณ 1,400 – 2,600 มิลลิกรัมต่อห่อจึงไม่ควรกินบ่อย ถ้าเป็นห่อใหญ่ขึ้นปริมาณผงปรุงรสหรือเครื่องปรุงยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามขนาดผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมากเกินความต้องการทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพราะเมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดเกลือและน้ำส่วนเกินในร่างกาย จะทำให้เกิดการคั่งของเกลือและน้ำในอวัยวะต่าง ๆ ทำให้แขน ขา บวม เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก และหากร่างกายไม่สามารถขับโซเดียมออกได้ทัน จะเกิดการสะสมในร่างกาย เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้เกิดหัวใจโตและหัวใจวายได้ในที่สุด

กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างไรให้ปลอดภัย

ควรต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้สุก เพิ่มเนื้อสัตว์ ไข่ และผักลงไปด้วย เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เลี่ยงการกินดิบ ไม่ควรใส่ผงปรุงรสหมดซอง และกินน้ำซุปหมดถ้วย ไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากกว่าวันละ 1 ซอง

ดังนั้น ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ “ทางเลือกเพื่อสุขภาพ” นอกจากนี้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เดียวที่อาจทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมเกินความจำเป็นต่อร่างกาย เครื่องปรุงรสประเภท น้ำปลา กะปิ เกลือ ซอสปรุงรส ซุปก้อน น้ำจิ้ม ยังแฝงไปด้วยโซเดียม รวมทั้งอาหารอื่นที่ไม่มีรสชาติ เช่น ผงชูรส ผงฟู อีกด้วย” อธิบดีกรมอนามัย