ความหมายของสารวัดค่ามะเร็ง (Tumor Marker)
สารวัดค่ามะเร็ง หรือที่รู้จักในชื่อภาษาอังกฤษว่า Tumor Marker คือ สารประกอบทางชีวเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้น ซึ่งอาจมาจากเซลล์ปกติ เซลล์ที่มีการอักเสบ หรือ เซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นมะเร็งชนิดที่สามารถสร้างสารดังกล่าวได้ เซลล์เหล่านั้นจะผลิต Tumor Marker ในปริมาณสูงกว่าปกติจนสามารถตรวจพบได้ผ่านกระแสเลือด หรือของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำไขสันหลัง น้ำในช่องท้อง หรือปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม Tumor Marker ไม่ใช่เครื่องมือวินิจฉัยมะเร็งโดยตรง (definitive diagnosis) เนื่องจากสามารถแสดงผลบวกหรือผลลวงได้ แพทย์จึงนิยมใช้เพื่อ ติดตามการรักษา, เฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ, และ ตรวจสอบการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง
Tumor Marker เกิดจากอะไร?
สาร Tumor Marker อาจมีองค์ประกอบได้หลากหลาย เช่น
- โปรตีน ที่ผลิตขึ้นจากเซลล์มะเร็งโดยตรง
- เอนไซม์ ที่หลั่งจากเนื้องอก
- สารที่เหลือจากระยะตัวอ่อน (Oncofetal proteins)
- ฮอร์โมนผิดปกติ
- สารพันธุกรรม (Gene mutation)
ปริมาณของสารเหล่านี้จะ ค่อยๆ รั่วเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อก้อนมะเร็งเจริญเติบโต จึงสามารถใช้เป็น สัญญาณบ่งชี้ หรือ “เบาะแสทางชีวภาพ” สำหรับการเฝ้าระวังทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทบาทสำคัญของ Tumor Marker ในทางการแพทย์
สาร Tumor Marker มีบทบาทสำคัญหลายประการ ได้แก่:
1. การติดตามผลการรักษา
หลังผู้ป่วยได้รับการรักษามะเร็ง หาก Tumor Marker ลดลง แสดงว่าร่างกายตอบสนองต่อการรักษาได้ดี หากไม่ลดหรือลดไม่มาก อาจต้องพิจารณาแนวทางใหม่
2. ตรวจพบการกลับมาเป็นซ้ำ
หากค่า Tumor Marker เพิ่มขึ้นหลังจากที่เคยลดลงจนอยู่ในระดับปกติ แสดงว่าอาจมีการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ
3. เฝ้าระวังการแพร่กระจาย
ค่า Tumor Marker บางชนิดสามารถสะท้อนการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่นได้
4. การคัดกรอง (Screening) แบบเฉพาะเจาะจง
เช่น ใช้ AFP ในการตรวจหามะเร็งตับ หรือ PSA สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกชนิดของมะเร็งที่สามารถใช้ Tumor Marker ได้
สารวัดค่ามะเร็งในมะเร็งชนิดต่างๆ
ตารางต่อไปนี้แสดงรายการของ Tumor Marker ที่ใช้ติดตามมะเร็งชนิดสำคัญ:
Tumor Marker |
โรคมะเร็งที่เกี่ยวข้อง | หมายเหตุ |
AFP |
มะเร็งตับ, รังไข่, อัณฑะ (Germ Cell Tumor) |
เฉพาะ HCC และ Germ Cell ใช้ในการวินิจฉัยได้ |
CEA |
มะเร็งลำไส้ใหญ่, กระเพาะอาหาร, ตับอ่อน |
นิยมใช้ติดตามการรักษา |
CA 19-9 |
มะเร็งทางเดินน้ำดี, ตับอ่อน |
อาจตรวจพบสูงในภาวะดีซ่าน |
CA-125 |
มะเร็งรังไข่ |
ใช้ร่วมกับการตรวจภายใน |
PSA |
มะเร็งต่อมลูกหมาก |
ตรวจได้จากเลือดเพียงอย่างเดียว |
Beta-hCG | มะเร็งอัณฑะ, เนื้องอกชนิด Germ Cell |
ใช้คู่กับ AFP |
รูปแบบของการตรวจ Tumor Marker
การตรวจเลือด
เป็นวิธีที่นิยมที่สุด เนื่องจากง่าย ปลอดภัย และสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ระดับของสารบ่งชี้ในร่างกาย ได้แม่นยำพอสมควร
การตรวจของเหลวในร่างกาย
เช่น ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง หรือของเหลวในช่องท้อง อาจใช้ในกรณีเฉพาะ
วิธีการตรวจ Tumor Marker: แบบเฉพาะอวัยวะ VS แบบเฉพาะสาร
1. Cancer-Specific Marker (ระบุชื่อสาร)
เลือกตรวจสารที่สัมพันธ์กับชนิดของมะเร็ง เช่น
- ตรวจ AFP เมื่อสงสัยมะเร็งตับ
- ตรวจ CA-125 หากสงสัยมะเร็งรังไข่
2. Tissue-Specific Marker (ระบุอวัยวะ)
ตรวจตามอวัยวะที่สงสัยผิดปกติ เช่น ผู้ที่มีอาการเหมือนลำไส้อุดตันอาจตรวจ CEA หรือ CA 19-9
Tumor Marker ≠ วินิจฉัยโรคมะเร็งโดยเด็ดขาด
สำคัญมาก! Tumor Marker ไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคมะเร็งได้ 100% เพราะมีข้อจำกัด เช่น:
- อาจให้ผลบวกในโรคอื่น เช่น ตับอักเสบ, ซีสต์, การอักเสบเรื้อรัง
- ผู้ป่วยบางรายที่เป็นมะเร็งจริง อาจมีค่า Tumor Marker ปกติ
- ไม่สามารถบอกชนิดของเซลล์มะเร็งได้
จึงควรใช้ ร่วมกับการวินิจฉัยอื่น เช่น X-ray, CT scan, MRI หรือการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy)
คำศัพท์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งและ Tumor Marker
เพื่อให้เข้าใจบริบทของ Tumor Marker ได้ชัดเจนขึ้น เราควรรู้คำศัพท์ต่อไปนี้:
ศัพท์แพทย์ |
ความหมาย |
Neoplasia |
เนื้องอกใหม่ อาจเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ |
Benign Tumor |
เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง |
Malignant Tumor |
ก้อนเนื้อร้าย หรือ “มะเร็ง” |
Hyperplasia |
การเพิ่มจำนวนของเซลล์ |
Hypertrophy |
ขนาดเซลล์ใหญ่ขึ้น โดยจำนวนเท่าเดิม |
Metaplasia |
การเปลี่ยนชนิดของเซลล์ |
Dysplasia |
เซลล์ผิดปกติที่ยังไม่ใช่มะเร็งแต่เสี่ยงสูง |
ตัวอย่างมะเร็งที่ตรวจได้ยากหากไม่มี Tumor Marker
- มะเร็งในสมอง (ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อได้ง่าย)
- มะเร็งระบบเลือด เช่น ลูคีเมีย
- มะเร็งรังไข่ในระยะเริ่มต้นที่ไม่มีก้อนชัดเจน
ในกรณีเหล่านี้ Tumor Marker ช่วยให้แพทย์ เฝ้าระวังหรือสงสัยมะเร็ง ได้ก่อนแสดงอาการ
ข้อควรระวังในการใช้ Tumor Marker
- ไม่ใช้เพียงตัวเดียวในการวินิจฉัย
- ควรตรวจจาก ห้องปฏิบัติการเดียวกันเสมอ หากต้องติดตามต่อเนื่อง
- ต้องมี ข้อมูลก่อน-หลังการรักษา เปรียบเทียบ
- เลือกใช้ Tumor Marker หลายตัวให้ ครอบคลุมกลุ่มอวัยวะ
- เน้นค่า Tumor Marker ที่มี ความไว (Sensitivity) สูงในโรคเป้าหมาย
ข้อดีของ Tumor Marker
- ตรวจง่าย ไม่เจ็บตัวมาก
- ติดตามผลรักษาได้ชัดเจน
- ใช้ร่วมกับการวินิจฉัยอื่นเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ข้อเสียของ Tumor Marker
- ไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคมะเร็งเดี่ยวๆ
- ให้ผลลวงได้ (False Positive/Negative)
- ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง
สรุป: Tumor Marker คือผู้ช่วยนักสืบในสงครามกับมะเร็ง
แม้ว่า Tumor Marker จะไม่ใช่เครื่องมือวินิจฉัยโดยตรง แต่ก็เป็น “เครื่องมือเสริม” ที่ทรงพลังในการเฝ้าระวัง ตรวจติดตาม และประเมินผลของการรักษาโรคมะเร็งในระยะต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม
หากใช้อย่างเหมาะสมและร่วมกับการตรวจทางคลินิกอื่นๆ จะสามารถเพิ่มความแม่นยำ และช่วยให้การรักษาโรคมะเร็งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: Tumor Marker ใช้ตรวจมะเร็งได้ทุกชนิดไหม?
A: ไม่ใช่ทุกชนิดมะเร็งจะสร้างสารบ่งชี้ ดังนั้น Tumor Marker บางตัวใช้ได้เฉพาะกับมะเร็งบางชนิดเท่านั้น
Q2: ค่าตรวจเลือดปกติ แปลว่าไม่เป็นมะเร็งใช่หรือไม่?
A: ไม่แน่เสมอไป บางคนที่เป็นมะเร็งอาจมีค่า Tumor Marker อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรพิจารณาอาการร่วมด้วย
Q3: ควรตรวจ Tumor Marker บ่อยแค่ไหน?
A: แนะนำให้ตรวจตามคำแนะนำแพทย์ เช่น ทุก 3–6 เดือน สำหรับผู้ป่วยหลังรักษา หรือปีละครั้งสำหรับผู้ปกติที่มีความเสี่ยง
Q4: Tumor Marker ใช้ป้องกันมะเร็งได้หรือไม่?
A: ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ใช้ตรวจติดตามและเฝ้าระวังเท่านั้น
[/vc_column_text]
ร่วมตอบคำถามกับเรา
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
เอกสารอ้างอิง
“Correlation of serum CA125 with stage, grade and survival of patients with epithelial ovarian cancer at a single centre”. Ir Med J. 101
Prasad AR, Bernstein H (March 2013). “Epigenetic field defects in progression to cancer”. World Journal of Gastrointestinal Oncology.
Thun MJ, Hannan LM, Jemal A (September 2006). “Interpreting cancer trends”. Annals of the New York Academy of Sciences.