มะเร็ง (Cancer): สาเหตุ อาการ ระยะ วิธีตรวจ และแนวทางรักษาโรคมะเร็งแบบละเอียด

0
3282
มะเร็งคืออะไร
เซลล์มะเร็งที่กระจายอยู่ภายในร่างกาย

มะเร็งคืออะไร?

มะเร็ง (Cancer) คือโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรมภายในเซลล์ร่างกาย ทำให้เซลล์เหล่านี้เจริญเติบโตผิดปกติและแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ เซลล์มะเร็งสามารถรุกล้ำเนื้อเยื่อข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นผ่านทางกระแสเลือดและระบบน้ำเหลืองได้ในที่สุด

เมื่อเซลล์มะเร็งเติบโต พวกมันจะสร้างหลอดเลือดใหม่เพื่อดึงสารอาหารจากร่างกายมาเลี้ยงตัวเอง ส่งผลให้เซลล์ปกติในบริเวณใกล้เคียงขาดสารอาหารและตายในที่สุด หากกระจายไปทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจะสูญเสียการทำงานของอวัยวะที่สำคัญ เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน การสร้างเม็ดเลือด และการควบคุมสมดุลเคมีในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิต

มะเร็งเกิดจากอะไร?

แม้มะเร็งอาจดูเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่แท้จริงแล้วมีปัจจัยเสี่ยงชัดเจนหลายประการ ทั้งจากสิ่งแวดล้อม พฤติกรรม และพันธุกรรม โดยมีรายละเอียดที่ควรรู้ดังนี้:

อายุ

เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ในร่างกายมีโอกาสเสื่อมสภาพมากขึ้น การซ่อมแซมเซลล์ผิดพลาดบ่อย ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ที่นำไปสู่การเกิดมะเร็งได้

พฤติกรรมการบริโภคอาหาร

การบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น ไส้กรอก เบคอน หมูยอ ซึ่งมักใส่สารกันบูดประเภทไนไตรท์ (Nitrite) และไนเตรต (Nitrate) เพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก รวมถึงอาหารทอดน้ำมันซ้ำ อาหารไขมันสูง และอาหารที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง

บุหรี่

การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด และยังเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งกล่องเสียง ช่องปาก หลอดลม ไต และเม็ดเลือดขาว ควันบุหรี่มีสารพิษกว่า 60 ชนิดที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้โดยตรง

การติดเชื้อและพยาธิ

  • ไวรัส HPV: เป็นปัจจัยหลักของมะเร็งปากมดลูก

  • เชื้อ H.Pylori: เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร

  • พยาธิใบไม้ในตับ (Opisthorchis viverrini): เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งท่อน้ำดี

ความเครียด

ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถตรวจจับและทำลายเซลล์ผิดปกติได้ทันท่วงที เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

โรคอ้วน

รายงานของ WHO ในปี 2016 ระบุว่าโรคอ้วนเชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 7 ชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ตับอ่อน รังไข่ ไทรอยด์ และไขกระดูก โดยเฉพาะไขมันส่วนเกินที่กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม

พันธุกรรม

แม้มีเพียง 5–10% ของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจากพันธุกรรม แต่หากมีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็น ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะหากเริ่มแสดงอาการตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาว

ระยะของโรคมะเร็งและการแพร่กระจาย

แพทย์จะประเมินระยะของมะเร็งตามขนาดก้อนเนื้อ การแพร่กระจาย และลักษณะทางพยาธิวิทยา โดยทั่วไปแบ่งเป็น 5 ระยะ:

ระยะ ลักษณะของมะเร็ง อัตรารอดชีวิต (5 ปี)
ระยะ 0 เซลล์มะเร็งยังไม่ลุกลามออกจากตำแหน่งกำเนิด 90–99%
ระยะ 1 ก้อนมะเร็งขนาดเล็ก ยังไม่กระจาย 70–90%
ระยะ 2 ขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเนื้อเยื่อข้างเคียง 70–80%
ระยะ 3 ลุกลามมากขึ้นรวมถึงต่อมน้ำเหลือง 20–60%
ระยะ 4 กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด สมอง 0–15%

สรุป: การตรวจพบในระยะเริ่มต้นสำคัญมาก เนื่องจากโอกาสรักษาหายยังสูงกว่าระยะลุกลาม

อาการของโรคมะเร็ง

อาการทั่วไปของมะเร็งทุกชนิด

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ง่วงบ่อย

  • น้ำหนักลด เบื่ออาหาร

  • ไข้เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ปวดเรื้อรังในบริเวณเฉพาะจุด

  • มีแผลที่ไม่หายหรือก้อนเนื้อผิดปกติ

อาการเฉพาะจุด (ตามอวัยวะ)

  • มะเร็งเต้านม: คลำเจอก้อนเนื้อที่เต้านม

  • มะเร็งลำไส้: ท้องผูก ท้องเสียสลับกัน มีเลือดในอุจจาระ

  • มะเร็งตับ: ปวดใต้ชายโครงขวา

  • มะเร็งรังไข่: จุกเสียด ท้องอืด คล้ายโรคระบบทางเดินอาหาร

จากการสำรวจผู้ป่วยมะเร็ง 400 ราย พบอาการบ่อยดังนี้:

  1. ปวดเรื้อรัง (64%)

  2. เบื่ออาหาร (34%)

  3. ท้องผูก (32%)

  4. เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง (32%)

  5. หายใจลำบาก (31%)

วิธีการตรวจหามะเร็ง

การตรวจคัดกรองมะเร็งมี 3 ประเภทหลัก:

1. การตรวจร่างกาย

แพทย์จะตรวจด้วยมือ เช่น คลำก้อน ตรวจช่องปาก ลำคอ เต้านม ทวารหนัก ฯลฯ พร้อมสอบถามประวัติครอบครัวและพฤติกรรมเสี่ยง

2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

เช่น ตรวจเลือด, ปัสสาวะ, อุจจาระ, ชิ้นเนื้อ เพื่อตรวจหาสารบ่งชี้ (Tumor Marker) หรือความผิดปกติทางพันธุกรรม

3. การถ่ายภาพทางการแพทย์

  • X-ray

  • CT scan

  • MRI

  • Ultrasound

แนวทางการรักษาโรคมะเร็ง

การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดมะเร็ง ระยะโรค และสุขภาพของผู้ป่วย

1. การผ่าตัด

เหมาะกับระยะเริ่มต้น เช่น มะเร็งเต้านม ระยะ 1–2 โดยอาจตัดเฉพาะก้อน หรือทั้งอวัยวะ พร้อมต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง

2. เคมีบำบัด (Chemotherapy)

ใช้ยาเพื่อทำลายหรือยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย ข้อเสียคือเซลล์ปกติที่แบ่งตัวเร็วก็ถูกทำลายด้วย ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น

  • เม็ดเลือดต่ำ

  • ผมร่วง

  • คลื่นไส้ อาเจียน

  • ปัญหาทางเดินอาหาร

  • ภาวะมีบุตรยากชั่วคราว

ผลข้างเคียงมักดีขึ้นหลังหยุดยา 1–3 เดือน

3. รังสีรักษา (Radiation Therapy)

ใช้รังสีพลังงานสูงทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะจุด เช่น มะเร็งศีรษะและลำคอ ฉายรังสีวันละ 5–15 นาทีต่อครั้ง ทำต่อเนื่องวันเว้นวันจนครบ 20–40 ครั้ง

สรุป: สิ่งสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับมะเร็ง

  • มะเร็งสามารถป้องกันและตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรก

  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การกิน การสูบบุหรี่ และความเครียด เป็นตัวแปรสำคัญ

  • ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งมีโอกาสหายสูง

  • การรักษามีหลากหลายแนวทางและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการน่าสงสัย อย่ารอช้า! ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: มะเร็งสามารถรักษาหายขาดได้ไหม?
A: หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น ระยะ 0–1 โอกาสหายขาดสูงถึง 90–99% โดยเฉพาะในมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก

Q: เคมีบำบัดต้องทำกี่ครั้ง?
A: โดยทั่วไปอยู่ที่ 5–12 ครั้ง ห่างกันประมาณ 3–4 สัปดาห์ ใช้เวลารวมหลายเดือน ขึ้นกับชนิดและระยะของมะเร็ง

Q: มะเร็งถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้จริงหรือไม่?
A: ใช่ แต่ในสัดส่วนเพียง 5–10% เท่านั้น เช่น มะเร็งเต้านมจากยีน BRCA1/2

Q: อาหารอะไรที่ควรเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง?
A: อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง อาหารไขมันสูง ย่างไหม้เกรียม น้ำอัดลม และอาหารที่ใส่สารกันบูด

Q: วัคซีน HPV ช่วยป้องกันมะเร็งได้หรือไม่?
A: ได้ โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง และมะเร็งทวารในผู้ชาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม[/vc_column_text]

เอกสารอ้างอิง

Loomis, D; Grosse, Y; Bianchini, F; Straif, K (2016) . “Body Fatness and Cancer — Viewpoint of the IARC Working Group”. N Engl J Med. 375:794-798. doi:10.1056/NEJMsr1606602. 

[/vc_column][/vc_row]