ค้อนหมาขาว หรือพร้าวพันลำ ไม้พุ่มป่าดิบแล้ง แก้ไอ รักษาเบาหวาน

0
ค้อนหมาขาว หรือ “พร้าวพันลำ” ไม้พุ่มในป่าดิบแล้ง ช่วยแก้ไอและรักษาเบาหวาน
ค้อนหมาขาว หรือพร้าวพันลำ ผลสุกเป็นสีเหลืองส้ม ต้นอ่อนเป็นสีเขียว กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน
ค้อนหมาขาว หรือ “พร้าวพันลำ” ไม้พุ่มในป่าดิบแล้ง ช่วยแก้ไอและรักษาเบาหวาน
ค้อนหมาขาว หรือพร้าวพันลำ ผลสุกเป็นสีเหลืองส้ม ต้นอ่อนเป็นสีเขียว กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน

ค้อนหมาขาว

ค้อนหมาขาว (Dracaena angustifolia Roxb) หรือเรียกกันว่า “พร้าวพันลำ” มักจะพบในป่าดิบแล้งในประเทศไทย มีผลเป็นสีเหลืองส้มโดดเด่นอยู่บนต้น ค้อนหมาขาวเป็นต้นในวงศ์หน่อไม้ฝรั่งที่ผู้คนไม่ค่อยรู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อ เป็นยาสมุนไพรที่อยู่ในตำรายาพื้นบ้าน ตำรายาพื้นบ้านล้านนาและชาวเขาเผ่าเย้า มักจะพบค้อนหมาขาวส่วนของยอดอ่อนและดอกอ่อนในรูปแบบผักหรือพบในแกงเผ็ดมากกว่ารูปแบบอื่น

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของค้อนหมาขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dracaena angustifolia Roxb.
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “พร้าวพันลำ” จังหวัดแพร่เรียกว่า “หมากพู่ป่า” จังหวัดลำปางเรียกว่า “ผักก้อนหมา” จังหวัดนครราชสีมาเรียกว่า “ผักหวานดง คอนแคน” จังหวัดสุรินทร์เรียกว่า “ว่านสากเหล็ก” จังหวัดชลบุรีเรียกว่า “อีกริมป่า” ชาวลัวะเรียกว่า “ดอกแก รางดอย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (ASPARAGACEAE)

ลักษณะของค้อนหมาขาว

ค้อนหมาขาว เป็นพรรณไม้พุ่มที่พบตามป่าดิบแล้งทุกภาคในประเทศไทย
ลำต้น : มีลักษณะตั้งตรงเป็นต้นเดียวหรือแตกเป็นกอเล็กน้อย ลำต้นหนาเป็นรูปทรงกระบอก ต้นอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเทา
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปดาบ มีผิวใบเรียบ ผิวใบด้านบนมีสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบเป็นเส้นใย
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแยกแขนงตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยมีจำนวนมากและมีลักษณะห้อยลง ก้านช่อดอกยาว กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม
ผล : เป็นผลสด ลักษณะเป็นรูปเกือบทรงกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีส้ม ออกผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม

สรรพคุณของค้อนหมาขาว

  • สรรพคุณจากราก
    – แก้ไอ ชาวเขาเผ่าเย้านำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่มแก้อาการ
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – รักษาเบาหวาน ตำรายาพื้นบ้านนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่มแก้อาการ
    – แก้ไข้รากสาดและไข้กาฬ ตำรายาพื้นบ้านล้านนานำทั้งต้นมาผสมกับใบพิมเสนต้นและใบบัวบก จากนั้นบดให้ละเอียดทำเป็นยาเม็ดลูกกลอนกินหรือใช้ต้มกับน้ำแล้วดื่มแก้อาการ

ประโยชน์ของค้อนหมาขาว

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนและดอกอ่อนมีรสหวานจึงนำมาลวกและต้มทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกหรือนำไปปรุงอาหารอย่างแกงเลียง แกงส้ม แกงแค แกงผักรวมใส่ปลาย่าง เป็นต้น
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของค้อนหมาขาว

จากการทดลองกับสัตว์พบว่า เมื่อนำทั้งต้นค้อนหมาขาวที่โผล่เหนือดินมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์นั้นสามารถยับยั้งการเกร็งตัวของลำไส้ในสัตว์ทดลองได้

ค้อนหมาขาว เป็นต้นที่มีชื่อแปลกประหลาดแต่จำได้ง่าย มักจะพบในเมนูแกงส้มหรือแกงเลียง เป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรที่อยู่ในตำรายาของชาวเขาและชาวบ้านทั่วไป มักจะนำทั้งต้นของค้อนหมาขาวมาปรุงเป็นยา มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาเบาหวาน แก้ไอ แก้ไข้รากสาดและไข้กาฬ นอกจากนั้นยังสามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ค้อนหมาขาว”. หน้า 94.
พืชกินได้ในป่าสะแกราช, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “ค้อนหมาขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.tistr.or.th. [21 ม.ค. 2015].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ค้อนหมาขาว, พร้าวพันลำ”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [21 ม.ค. 2015].
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ค้อนหมาขาว”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [21 ม.ค. 2015].

คะน้า บรรเทาอาการไมเกรน ลดอารมณ์หงุดหงิดของสตรี ยับยั้งมะเร็งทั้งหลาย

0
คะน้า บรรเทาอาการไมเกรน ลดอารมณ์หงุดหงิดของสตรี ยับยั้งมะเร็งทั้งหลาย
คะน้า เป็นผักใบเขียว ประกอบของอาหารในหลายเมนู สามารถปลูกได้ตลอดปี มีประโยชน์ต่อร่างกาย
คะน้า บรรเทาอาการไมเกรน ลดอารมณ์หงุดหงิดของสตรี ยับยั้งมะเร็งทั้งหลาย
คะน้า เป็นผักใบเขียว ประกอบของอาหารในหลายเมนู สามารถปลูกได้ตลอดปี มีประโยชน์ต่อร่างกาย

คะน้า

คะน้า (Chinese Kale) เป็น ผักสีเขียวอีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานกันทั่วไป มักจะเป็นส่วนประกอบของอาหารในหลายเมนู เป็นผักที่หาได้ง่ายและราคาไม่แพง สามารถปลูกได้ตลอดปี อีกทั้งยังมีรสชาติกรอบอร่อย รับประทานได้ง่าย มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน แต่บางคนยังไม่รู้ว่าผักคะน้ามีสรรพคุณต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของคะน้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brassica oleracea L. Cv. Alboglabra Group
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 3 ชื่อ คือ “Kai – Lan” “Chinese broccoli” “Chinese kale”
ชื่อท้องถิ่น : จีนกวางตุ้งเรียกว่า “ไก๋หลาน” จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “กำหนำ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักกาด (BRASSICACEAE หรือ CRUCIFERAE)
ชื่อพ้อง : Brassica alboglabra L.H.Bailey

ลักษณะของคะน้า

คะน้า เป็นผักที่มีต้นกำเนิดในทวีปเอเชีย มีพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทยอยู่ 3 สายพันธุ์ คือ
พันธุ์ใบกลม : มีลักษณะใบกว้างใหญ่ ปล้องสั้น ปลายใบมนและผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ได้แก่ พันธุ์ฝางเบอร์ 1
พันธุ์ใบแหลม : เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะใบแคบกว่าพันธุ์ใบกลม ปลายใบแหลม ข้อห่าง ผิวใบเรียบ ได้แก่ พันธุ์ P.L.20
พันธุ์ยอดหรือก้าน : มีลักษณะใบเหมือนกับคะน้าใบแหลม แต่จำนวนใบต่อต้นมีน้อยกว่า ปล้องยาวกว่า ได้แก่ พันธุ์แม่โจ้ 2

สรรพคุณของคะน้า

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระและชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทำให้สุขภาพแข็งแรง ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ วิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้นมากขึ้น
  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดความอ้วนหรือลดอาการกินของจุบจิบ
    สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกได้ถึง 29% ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมและยังช่วยป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตา ช่วยเสริมสร้างฟันให้แข็งแรง
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย บำรุงโลหิต เสริมสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต เสริมสร้างออกซิเจนในเลือด ป้องกันการเกิดโลหิตจาง
  • สรรพคุณด้านกระดูก ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
  • สรรพคุณด้านลดไขมัน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลเพราะเป็นผักที่มีน้ำตาลน้อยมาก
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการไมเกรน ป้องกันการเกิดตะคริวหากรับประทานเป็นประจำ
  • สรรพคุณด้านสมอง ช่วยชะลอความจำเสื่อม เสริมสร้างสมองและลดความเสี่ยงต่อการพิการของเด็กทารกในครรภ์
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรคมะเร็ง ยับยั้งการเจริญของเนื้องอก ยับยั้งสารก่อมะเร็ง ส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยขับพิษของสารก่อมะเร็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค รักษาโรคหอบหืด รักษาโรคภูมิแพ้
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก
  • สรรพคุณด้านฮอร์โมน ปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย รักษาสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือช่วยลดอาการหงุดหงิดและอารมณ์แปรปรวนในสตรีช่วงมีประจำเดือน

ประโยชน์ของคะน้า

เป็นส่วนประกอบของอาหาร เป็นอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ผัดคะน้าหมูกรอบ ผัดผักคะน้า ต้มจับฉ่าย ข้าวผัดคะน้า คะน้าปลาเค็ม เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของผักคะน้า

คุณค่าทางโภชนาการของผักคะน้าต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 24 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
โปรตีน 2.7 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 2.2 กรัม
แคลเซียม 245 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 147 มิลลิกรัม
กากใยอาหาร 3.2 กรัม
เบต้าแคโรทีน 2,512 ไมโครกรัม
วิตามินเอ 419 ไมโครกรัม 
ไทอะมิน 0.05 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.08 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 1.0 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง

1. ก่อนนำมารับประทานควรล้างผักให้สะอาด ควรใช้น้ำยาล้างผักหรือน้ำส้มสายชูฆ่าสารพิษออกให้หมด เนื่องจากผักคะน้าเป็นผักที่พบสารพิษตกค้างหรือยาฆ่าแมลงมากที่สุด รวมถึงธาตุแคดเมียมที่อาจจะปนเปื้อนมากับน้ำและดิน เป็นพิษต่อตับและไต
2. ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากหรือบ่อยเกินไป เพราะผักคะน้ามีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ร่างกายขาดแร่ธาตุไอโอดีนจนเป็นสาเหตุของโรคคอพอก ทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปกติ และไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์

ผักคะน้า เป็นผักที่มีน้ำมากและมีรสกรอบอร่อย แต่เป็นผักที่มีสารพิษตกค้างมากเช่นกัน มักจะพบอยู่ในเมนูอาหารมากมาย เป็นผักยอดนิยมสำหรับคนไทยและคนเอเชีย สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ บำรุงและรักษาสายตา ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม บรรเทาอาการไมเกรน ชะลอความจำเสื่อม ยับยั้งสารก่อมะเร็ง และช่วยลดอารมณ์แปรปรวนในสตรีช่วงมีประจำเดือนได้ ถือเป็นผักที่มีประโยชน์มากมายจริง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), ดร.หรงฮัว จูเกอ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา

บุกอีรอกเขา ยาดีสำหรับคนลดน้ำหนัก หัวใต้ดินอุดมไปด้วยสรรพคุณ

0
บุกอีรอกเขา ยาดีสำหรับคนลดน้ำหนัก หัวใต้ดินอุดมไปด้วยสรรพคุณ
บุกอีรอกเขา เป็นไม้ล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ดอกอ่อนลอกเปลือกลวกรับประทาน
บุกอีรอกเขา ยาดีสำหรับคนลดน้ำหนัก หัวใต้ดินอุดมไปด้วยสรรพคุณ
บุกอีรอกเขา เป็นไม้ล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ดอกอ่อนลอกเปลือกลวกรับประทาน

บุกอีรอกเขา

บุกอีรอกเขา (Amorphophallus brevispathus Gagnep) เป็นไม้ล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน มักจะพบตามที่ชื้นแฉะหรือฝนตกชุก เป็นต้นที่มีชื่อแปลกและไม่ค่อยมีใครรู้จักแต่เป็นต้นหนึ่งที่มีการวิจัยถึงสรรพคุณและสารที่พบในบุกอีรอกเขา สามารถนำดอกอ่อนมาลอกเปลือกลวกรับประทานกับน้ำพริกหรือใช้ปรุงอาหารในเมนูแกงเห็ดหรือแกงหน่อไม้ได้ เป็นพืชวงศ์บอนที่มีหัวใต้ดินเป็นยาสมุนไพรแก้อาการ

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของบุกอีรอกเขา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Amorphophallus brevispathus Gagnep.
ชื่อท้องถิ่น : มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “บุก” “อีรอก” และ “ดอกก้าน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์บอน (ARACEAE)

ลักษณะของบุกอีรอกเขา

บุกอีรอกเขา เป็นไม้ล้มลุกข้ามปีที่มักจะพบตามริมแม่น้ำ ในพื้นที่โล่ง ทุ่งหญ้า พื้นที่ที่มีความชื้นสม่ำเสมอและฝนตกชุก
เหง้า : มีเหง้าอยู่ใต้ดิน
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ก้านใบยาวและมีลักษณะกลมอวบน้ำ ไม่มีแกน ใบมีลายสีเขียว เทา น้ำตาลและดำเป็นจุดด่าง มีใบประดับ 10 – 120 ใบ มักจะออกเป็นคู่ ลักษณะเป็นรูปคล้ายหอก ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นคลื่น หูใบติดกับก้านใบย่อย
ดอก : ก้านดอกยาวออกจากเหง้า ดอกอยู่ตรงปลายก้าน ลักษณะของดอกเป็นรูปคล้ายดอกหน้าวัว
ผล : ออกผลเป็นกลุ่ม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกระบอกตั้งขึ้น มีผลย่อยรูปรีจำนวนมาก

สรรพคุณของบุกอีรอกเขา

สรรพคุณจากบุกอีรอกเขา แก้ท้องเสีย ต้านเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ต้านเนื้องอก
สรรพคุณจากหัว ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลจากทางเดินอาหาร ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดน้ำหนัก เป็นยากัดเสมหะ เป็นยาแก้เถาดาลที่จุดเป็นก้อนกลิ้งอยู่ในท้อง อาจเป็นยาพอกกัดฝีหนองได้

ประโยชน์ของบุกอีรอกเขา

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกอ่อนนำมาลอกเปลือกลวกรับประทานกับน้ำพริกหรือใช้ปรุงอาหารประเภทนึ่งหรือใส่ในแกงเห็ดและแกงหน่อไม้ได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุกอีรอกเขา

  • สารที่พบในบุกอีรอกเขา L – dopa, dopamine, konjac mannan, β – mannanase I, β – mannanase II
  • การทดลองผลของไฟเบอร์และสาร glucomannan ในบุกอีรอกเขา ณ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1983 พบว่า สามารถช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลจากทางเดินอาหารในคนได้
  • การทดสอบความเป็นพิษ พบว่า การให้สารโพลีแซ็กคาไรด์กรอกปากหนูถีบจักรในขนาด 2.8 กรัมต่อกิโลกรัม ทั้งสองเพศนั้นไม่พบว่ามีหนูตาย
  • ฤทธิ์ของบุกอีรอกเขา การรับประทาน glucomannan มาก ๆ จะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผนังทางเดินอาหารได้ มีฤทธิ์กระตุ้น cAMP และ cGMP ยับยั้งเอนไซม์ trypsin ต้านพิษของสีแดง (amaranth) ลดการดูดซึมของวิตามินอี

บุกอีรอกเขา เป็นต้นที่มักจะพบในเมนูแกงเห็ดหรือแกงหน่อไม้ และนำมารับประทานในรูปแบบของผักลวกได้ เป็นต้นที่พบสารมากมายและมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรอยู่ที่ส่วนของหัวใต้ดิน ถือเป็นต้นที่มีสรรพคุณน่าทึ่งกว่าที่คิด มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการดูดซึมของน้ำตาลจากทางเดินอาหาร ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดน้ำหนัก และมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งการเกิดมะเร็งและต้านเนื้องอกได้ ถือเป็นผักที่เหมาะอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “บุกอีรอกเขา”. หน้า 996.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “อีรอก”. อ้างอิงใน : หนังสือพืชอาหารและสมุนไพรท้องถิ่นบนพื้นที่สูง (อัปสร และคณะ). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [30 พ.ย. 2014].

ผักกาดนอ หรือ “ผักกาดนก” ทั้งต้นเป็นยาเย็นรสขมเผ็ด ช่วยแก้ไข้และแก้ไอได้

0
ผักกาดนอ หรือ “ผักกาดนก” ทั้งต้นเป็นยาเย็นรสขมเผ็ด ช่วยแก้ไข้และแก้ไอได้
ผักกาดนอ หรือผักกาดนก เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเกลี้ยงไม่มีขน ต้นมีรสขมเผ็ดเล็กน้อย
ผักกาดนอ หรือ “ผักกาดนก” ทั้งต้นเป็นยาเย็นรสขมเผ็ด ช่วยแก้ไข้และแก้ไอได้
ผักกาดนอ หรือผักกาดนก เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเกลี้ยงไม่มีขน ต้นมีรสขมเผ็ดเล็กน้อย

ผักกาดนอ

ผักกาดนอ (Rosy Milkweed) หรือเรียกกันอีกอย่างว่า “ผักกาดนก” มีดอกสีเหลืองขนาดเล็กจึงทำให้มีอีกชื่อว่า “ผักกาดน้ำดอกเหลือง” เป็นไม้ล้มลุกที่มักจะพบตามข้างทางหรือบริเวณใกล้ลำธาร ทั้งต้นมีรสขมเผ็ดเล็กน้อยและเป็นยาเย็น สามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้ ผักกาดนอมีน้ำมันอยู่ภายในเมล็ดและพบสารที่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อโรคต่าง ๆ มักจะนำส่วนของยอดอ่อนมาลวกจิ้มกับน้ำพริกเพื่อทานเป็นอาหาร แต่ผักกาดนอนั้นไม่เหมาะสำหรับคนที่มีธาตุไฟอ่อนสักเท่าไหร่

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกาดนอ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rorippa indica (L.) Hiern
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Rosy Milkweed”
ชื่อท้องถิ่น : คนไทยเรียกว่า “ผักกาดนก ผักกาดน้ำ ผักกาดน้ำดอกเหลือง” ชาวจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “เหล็กเต่าเช่า” ชาวจีนกลางเรียกว่า “ซกไก้ช่าย ลู่โต้วเฉ่า ฮั่นช่าย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักกาด (BRASSICACEAE หรือ CRUCIFERAE)
ชื่อพ้อง : Nasturtium montanum Wall. ex Hook. f. & Thomson, Rorippa montana (Wall. ex Hook. f. & Thomson) Small

ลักษณะของผักกาดนอ

ผักกาดนอ เป็นพรรณไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุ 1 ปี มักจะพบขึ้นทั่วไปตามข้างทาง พื้นที่ชายขอบป่าและบริเวณใกล้ริมลำธาร
ลำต้น : ลำต้นอ่อนไหวและเกลี้ยงไม่มีขน ตามกิ่งก้านเป็นเหลี่ยมสีเขียวอมม่วงแดง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ที่โคนต้นมีก้านใบมน ไม่มีก้านใบ ลักษณะของใบเป็นรูปกลมวงรี รูปไข่กลับ รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก โคนใบสอบเรียว ขอบใบหยักไม่สม่ำเสมอ บริเวณยอดต้นขอบใบจะเรียบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็กสีเหลือง มีกลีบดอก 4 กลีบ กลีบเลี้ยงดอก 4 กลีบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 6 อัน
ผล : ออกผลเป็นฝักบริเวณยอดต้น ลักษณะของฝักเป็นรูปกลมยาว ภายในมีเมล็ด

สรรพคุณของผักกาดนอ

สรรพคุณจากทั้งต้น ขับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้อาการเจ็บคอและเสียงแหบ แก้หลอดลมอักเสบ รักษาปากลิ้นเปื่อยและแผลมีฝ้า เป็นยาขับลมชื้น ช่วยแก้ตับอักเสบ แก้ดีซ่าน แก้อาการบวมน้ำ แก้ไขข้ออักเสบเฉียบพลัน เป็นยาแก้พิษงูและแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ฝีหนอง
แก้ร้อนในและไข้หวัดตัวร้อน ด้วยการนำผักกาดนอ 35 กรัม และน้ำนมราชสีห์ 35 กรัม มาต้มกับน้ำเพื่อดื่ม
– แก้ไอร้อนในปอด ด้วยการนำต้นสด 70 กรัม และกวยแฉะ 10 กรัม มารวมกันต้มกับน้ำเพื่อดื่ม
– เป็นยาขับปัสสาวะและแก้ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ด้วยการนำต้นสด 70 กรัม มาต้มใส่น้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยเพื่อรับประทานเป็นยา

ประโยชน์ของผักกาดนอ

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริกเพื่อรับประทานเป็นอาหารได้

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของผักกาดนอ

สารที่พบในผักกาดนอ ในต้นพบสาร Rorifone ส่วนในเมล็ดพบน้ำมัน
ฤทธิ์ของผักกาดนอ เมื่อนำผักกาดนอมาต้มทำให้มีฤทธิ์ละลายเสมหะของกระต่ายที่ทดลองได้ แต่ไม่มีผลต่อการแก้ไอและไม่มีผลต่อคน ถ้าต้องการนำมาใช้ในการแก้ไอนั้นต้องรับประทานวันละ 200 – 300 มิลลิกรัม ติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน นอกจากนั้นสารสกัดจากผักกาดนอยังสามารถยับยั้งเชื้อในหลอดทดลองได้หลายชนิด เช่น เชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นหวัด เชื้อ Columbacillus ของลำไส้ เชื้อ Staphelo coccus, Steptro coccus กับเชื้อ Coccus ในปอดที่ทำให้ปอดอักเสบได้

ข้อควรระวังของผักกาดนอ

1. บุคคลที่มีธาตุไฟอ่อน อย่างตัวเย็นและเลือดเย็นนั้นห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นอันขาด
2. ไม่ควรนำผักกาดนอมาผสมเข้ายากับคนทีสอ เพราะจะทำให้เกิดอาการเป็นพิษต่อร่างกายซึ่งทำให้มีอาการมือเท้าและแขนขาชาได้

ผักกาดนอ มีทั้งต้นเป็นยาสมุนไพรเนื่องจากมีรสขมเผ็ดเล็กน้อยและเป็นยาเย็นซึ่งช่วยในเรื่องของการแก้ไข้ตัวร้อนได้ดี สามารถนำยอดอ่อนมาทานในรูปแบบของผักได้ ผักกาดนอนั้นมีฤทธิ์เป็นยาเย็นเพราะฉะนั้นคนตัวเย็นหรือธาตุไฟอ่อนไม่ควรรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ ผักกาดนอมีสรรพคุณทางยาได้จากทั้งต้น มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ ถอนพิษไข้ แก้ไอ แก้อาการเจ็บคอและเสียงแหบ แก้ตับอักเสบ แก้ดีซ่านและอาการบวมน้ำได้ ถือเป็นต้นที่ดีต่อการดับความร้อนในร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. (วิทยา บุญวรพัฒน์). “ผักกาดนอ”. หน้า 334.
ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ผักกาดน้ำดอกเหลือง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [30 ส.ค. 2015].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

ชะพลูป่า หรือ ตะค้านหนู ใบห่อเมี่ยง ทั้งต้นเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้าน

0
ชะพลูป่า หรือ “ตะค้านหนู” ใบใช้ห่อเมี่ยง ทั้งต้นเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา
ชะพลูป่า หรือตะค้านหนู เป็นไม้ล้มลุกเลื้อยพัน มักนำใบมาใช้ห่อเมี่ยงหรือนำมาทำแกงคั่ว
ชะพลูป่า หรือ “ตะค้านหนู” ใบใช้ห่อเมี่ยง ทั้งต้นเป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา
ชะพลูป่า หรือตะค้านหนู เป็นไม้ล้มลุกเลื้อยพัน มักนำใบมาใช้ห่อเมี่ยงหรือนำมาทำแกงคั่ว

ชะพลูป่า

ชะพลูป่า (Piper wallichii) หรือเรียกกันว่า “ตะค้านหนู” เป็นชะพลูป่าที่มักจะนำใบมาใช้ห่อเมี่ยงหรือนำมาทำแกงคั่ว นอกจากจะนิยมนำมาทานแล้วชะพลูป่ายังมีสรรพคุณทางยาซึ่งทั้งต้นเป็นส่วนผสมในตำรายาสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา ถือเป็นต้นที่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักกันอย่างแพร่หลายเพราะใบชะพลูมักจะพบได้มากในเมนูอาหารต่าง ๆ

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของชะพลูป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper wallichii (Miq.) Hand. – Mazz.
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดน่านเรียกว่า “พลูป่า” จังหวัดสระบุรีเรียกว่า “ตะค้านหนู” จังหวัดชลบุรีเรียกว่า “ชะพลูป่า” มีชื่ออื่น ๆ เรียกว่า “ผักแค พลูแก พลูตุ๊กแก พลูกะตอย สะค้านหนู”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พริกไทย (PIPERACEAE)
ชื่อพ้อง : Piper aurantiacum Wall. ex C. DC.

ลักษณะของชะพลูป่า

ชะพลูป่า เป็นไม้ล้มลุกเลื้อยพันชนิดหนึ่ง
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรงหรือรอเลื้อย มีข้อโป่งพอง
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นรูปวงรี รูปไข่หรือรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบมนเบี้ยว ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนเกลี้ยงเป็นมัน เนื้อใบบาง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อเชิงลดตามซอกใบและที่ปลายยอด ดอกย่อยเรียงตัวอัดแน่นเป็นรูปทรงกระบอกแล้วห้อยลง ดอกเป็นสีเหลืองอ่อน ไม่มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง
ผล : ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม เป็นผลรวมที่เกิดจากดอกเจริญมาเป็นผลและอัดแน่นอยู่บนก้านผลอันเดียว

สรรพคุณของชะพลูป่า

  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – แก้อาการอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย ตำรายาพื้นบ้านล้านนานำทั้งต้นมาตำแล้วพอกแก้อาการ

ประโยชน์ของชะพลูป่า

เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบใช้รับประทานสดเป็นผักหรือใช้ห่อเมี่ยง นำมาทำแกงคั่วได้อีกด้วย

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของชะพลูป่า

จากการทดลองกับสัตว์พบว่า เมื่อนำผลชะพลูป่ามาสกัดด้วยแอลกอฮอล์นั้นสามารถลดความดันโลหิต ยับยั้งการเต้นที่ผิดปกติของหัวใจและกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และมดลูกในสัตว์ทดลองได้

ชะพลูป่า มักจะพบในรูปแบบของผักที่ใช้รับประทานในเมนูเมี่ยงหรือในแกงคั่ว ทั้งนี้ขึ้นชื่อว่าใบผักสีเขียวย่อมต้องมีประโยชน์ต่อร่างกาย ใบชะพลูนั้นสามารถนำทั้งต้นมาใช้ปรุงเป็นยาได้ตามตำรายาพื้นบ้านล้านนา มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้อาการอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ทว่ายังมีการวิจัยว่าใบชะพลูป่านั้นช่วยลดความดันเลือดและช่วยให้หัวใจทำงานเป็นปกติและยังพบว่าช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และมดลูกในสัตว์ทดลองเพศเมียได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ชะพลูป่า”. หน้า 167.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ชะพลูป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [07 ม.ค. 2015].
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. “List of Piper species in Thailand”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : home.kku.ac.th/raccha/. [08 ส.ค. 2015].

มะเหลี่ยมหิน ผลรสเปรี้ยว รากและผลเป็นยาชั้นดี นิยมในชนเผ่าแถบเชียงใหม่

0
มะเหลี่ยมหิน ผลรสเปรี้ยว รากและผลเป็นยาชั้นดี นิยมในชนเผ่าแถบเชียงใหม่
มะเหลี่ยมหิน เป็นไม้ยืนต้น ผลมีรสเปรี้ยว เป็นผลสดกลมแบนสีขาวอมเขียว ผิวมียางเหนียวและมีขนละเอียด
มะเหลี่ยมหิน ผลรสเปรี้ยว รากและผลเป็นยาชั้นดี นิยมในชนเผ่าแถบเชียงใหม่
มะเหลี่ยมหิน เป็นไม้ยืนต้น ผลมีรสเปรี้ยว เป็นผลสดกลมแบนสีขาวอมเขียว ผิวมียางเหนียวและมีขนละเอียด

มะเหลี่ยมหิน

มะเหลี่ยมหิน (Rhus chinensis Mill) เป็นต้นที่ผลมีรสเปรี้ยวและชาวเผ่าในเชียงใหม่นิยมนำมารับประทานและใช้เป็นยาสมุนไพร เป็นต้นที่นิยมในชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่ ชาวเขาเผ่าอีก้อ ตำรับยาพื้นบ้านล้านนา ชาวลัวะ ชาวมูเซอและคนเมืองก็นิยมนำมะเหลี่ยมหินมาทาน เป็นไม้ยืนต้นที่ภายนอกไม่ค่อยมีลักษณะโดดเด่นแต่เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับชาวพื้นเมืองหรือชาวเผ่าทั่วไป

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของมะเหลี่ยมหิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhus chinensis Mill.
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “มะเหลี่ยมหิน ซุง” จังหวัดชัยภูมิเรียกว่า “สำค้ำ” จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายเรียกว่า “มะผด ส้มผด” ชาวเย้าเชียงใหม่เรียกว่า “ตะซาย” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “เส่ฉี่” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “เส่ชิ” ชาวลัวะเรียกว่า “ลำยึ ไม้สมโพด แผละยึ เพี๊ยะยึ มักพด”
ชื่อวงศ์ : วงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE)
ชื่อพ้อง : Rhus javanica var. chinensis (Mill.) T.Yamaz.

ลักษณะของมะเหลี่ยมหิน

มะเหลี่ยมหิน เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มักจะพบในป่าดงดิบหรือที่ชื้นทั่วไป
เปลือก : เปลือกนอกเป็นสีน้ำตาลอมขาวหม่นและมีรูอากาศขนาดใหญ่สีน้ำตาลอมขาวหม่น เมื่อแก่จะมีรูอากาศขนาดใหญ่สีน้ำตาลอมแดงเรียงกันเป็นแถว เปลือกด้านในเป็นสีขาวหม่น มียางสีขาวหม่นหรือขาวอมเหลือง กิ่งเปราะ ตามกิ่งอ่อนมีขนละเอียด
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ออกเรียงสลับระหว่างช่อเวียนรอบกิ่งหรือต้น แกนในร่วมแบนข้างเล็กน้อย แผ่เป็นสันคล้ายปีก ใบย่อยไม่มีก้านใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปไข่กว้าง รูปไข่แกมขอบขนานไปจนถึงรูปใบหอก รูปใบหอกหรือรูปวงรีแกมใบหอก ปลายใบเรียวแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบโค้งมนหรือสอบแคบ สองข้างใบไม่สมมาตรกัน ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยขนาดเล็ก ใบอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม แผ่นใบสดมีขนละเอียดสีน้ำตาลเฉพาะบนเส้นใบด้านบน ส่วนล่างมีแบบเดียวกันปกคลุมค่อนข้างหนาแน่น ใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มก่อนจะร่วง ใบมักจะมีแมลงขนาดเล็กคล้ายแมลงหวี่มาทำลาย ทำให้เกิดปมเป็นตุ่มขนาดใหญ่สีแดงงอกออกมาเป็นกลุ่มคล้ายผล ซึ่งจะเห็นกระจายอยู่ทั่วทั้งต้นได้ชัดเจน
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะแยกแขนงขนาดใหญ่บริเวณปลายกิ่ง ช่อดอกมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศหรืออาจแยกเพศแยกช่ออยู่บนต้นเดียวกันหรือต่างต้นกัน ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงสั้นและโคนเชื่อมติดกัน ส่วนปลายแยกออกเป็นแฉกรูปสามเหลี่ยม 5 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปวงรีกว้างหรือรูปขอบขนาน กลีบดอกเป็นสีขาวแกมเหลืองหรือสีเหลืองอ่อนอมเขียวอ่อน มีเกสรเพศผู้ 5 อัน เรียงล้อมรอบหมอนรองดอกที่มี 5 พู รังไข่ค่อนข้างกลมนูนอยู่เหนือฐานวงกลีบรวม มีขนละเอียดขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น ภายในมี 1 ช่อง ก้านเกสร 3 อัน มักจะออกดอกในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน
ผล : เป็นผลสด มีลักษณะเป็นรูปกลมแบน ผลมีกลีบเลี้ยงรองรับ เมื่ออ่อนจะเป็นสีขาวอมเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนจากสีชมพูไปจนถึงสีแดงจัดแกมน้ำตาลเป็นสีขาว ผิวมียางเหนียวและมีขนละเอียดขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น ติดผลในช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม
เมล็ด : เมล็ดมีชั้นหุ้มแข็ง

สรรพคุณของมะเหลี่ยมหิน

  • สรรพคุณจากราก
    – เป็นยาแก้ไข้ แก้ปวดแสบลิ้นปี่ แก้อาการปวดท้อง แก้อาการอาหารไม่ย่อยและอาหารเป็นพิษ ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้ไอ โดยชาวเขาเผ่าอีก้อนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้ไอและมีน้ำมูกข้น โดยตำรับยาพื้นบ้านล้านนานำรากมาผสมกับรากสาบเสือ รากปืนนกไส้ ก้นจ้ำทั้งต้นและผักปลายทั้งต้นมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
  • สรรพคุณจากผล
    – เป็นยาแก้อาการหวัด โดยชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่นำผลมาแช่ในน้ำแล้วใส่เกลือเพื่อดื่ม
    แก้ไอ โดยชาวลัวะนำผลไปต้มผสมกับขิงเพื่อรับประทาน
    – รักษาโรคริดสีดวง ด้วยการนำผลมาเคี้ยวกินแล้วดื่มน้ำตาม
  • สรรพคุณจากยอดอ่อน
    – แก้ท้องเสีย โดยชาวมูเซอนำยอดอ่อนมาผสมกับไข่หมกเพื่อรับประทาน
  • สรรพคุณจากใบ
    – รักษาแผลสดและแผลถลอก ช่วยสมานแผลและช่วยห้ามเลือด รักษาแผลงูกัด ด้วยการนำใบสดมาตำแล้วคั้นเอาน้ำใช้เป็นยาทาหรือพอก
    – แก้อาการผื่นคันและตุ่มพอง รักษาโรคผิวหนังตามร่างกาย ดีต่อสตรีหลังคลอดบุตรใหม่ ด้วยการนำใบมาต้มกับน้ำแล้วอาบ
  • สรรพคุณจากลำต้น
    – ช่วยล้างแผล ฝี หนองและแผลติดเชื้อ ด้วยการนำลำต้นมาต้มกับน้ำแล้วล้างแผล
  • สรรพคุณจากทั้งต้น แก้อาการคันจากพิษยางรัก
  • สรรพคุณจากต้นและเมล็ด
    – แก้อาการเจ็บคอและหวัด ด้วยการนำต้นและเมล็ดมาต้มกับน้ำแล้วกินแก้อาการ
    – แก้บาดแผล ด้วยการนำต้นและเมล็ดมาตำแล้วพอก

ประโยชน์ของมะเหลี่ยมหิน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ผลมีรสเปรี้ยวใช้รับประทานและปรุงรสอาหาร ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่นำผลมาตำใส่เกลือและพริกรับประทาน ชาวลัวะนำผลมาคลุกกับเกลือหรือกะปิหรือรับประทานร่วมกับลำชิเพียร ชาวอีก้อนำใบอ่อนผสมกับหน่อไม้ทานเป็นผัก คนเมืองนำเปลือกต้นมาขูดใส่ลาบเพื่อช่วยให้มีรสชาติดีขึ้น
2. ใช้ในด้านความสะอาดและความงาม ลำต้น รากและใบนำมาต้มแล้วนำน้ำมาทำความสะอาดร่างกายได้ ผลนำมาถูบริเวณส้นเท้าที่แตกได้
3. เก็บรักษาข้าว นำใบ 9 ใบ มาวางบนก้อนหินในยุ้งฉางก่อนจะใส่ข้าวเพื่อเก็บรักษา
4. ใช้ในการก่อสร้าง ลำต้นใช้ทำรั้ว กิ่งก้านใช้ทำฟืน

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของมะเหลี่ยมหิน

จากการวิจัยพบว่า ใบมีกรดแทนนิกซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและป้องกันสารบางชนิดที่ทำลายดีเอ็นเอของเม็ดเลือดขาวในหลอดทดลอง สารสกัดน้ำและแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดเริมในหลอดทดลองได้

มะเหลี่ยมหิน เป็นต้นที่ภายนอกไม่โดดเด่นหรือสวยงามแต่มีสรรพคุณทางยาได้หลากหลายและยังมีผลรสเปรี้ยวที่นำมาประยุกต์ในการปรุงอาหารได้ด้วย ถือเป็นที่นิยมในชนเผ่าแถบจังหวัดเชียงใหม่ มะเหลี่ยมหินมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของรากและผล มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาบาดแผล แก้ไข้และแก้ไอ แก้อาการปวดท้อง รักษาโรคผิวหนังตามร่างกาย ถือเป็นต้นที่แก้อาการพื้นฐานได้เป็นอย่างดี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “มะเหลี่ยมหิน”. หน้า 185.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ส้มผด”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [31 ต.ค. 2014].
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “มะเหลี่ยมหิน, ส้มผด”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., องค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทย เล่ม 3 (สุธรรม อารีกุล, จำรัส อินทร, สุวรรณ ทาเขียว, อ่องเต็ง นันทแก้ว). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [31 ต.ค. 2014].
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ส้มผด”. อ้างอิงใน : หนังสือพืชสมุนไพร เล่ม 2. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [31 ต.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/

เพี้ยกระทิง ใบป้องกันยุง ต้นแก้ริดสีดวง รากรักษามดลูกอักเสบ

0
เพี้ยกระทิง ใบป้องกันยุง ต้นแก้ริดสีดวง รากรักษามดลูกอักเสบ
เพี้ยกระทิง เป็นยาสมุนไพรและนำมาใช้กันยุง ดอกมีสีขาวขนาดเล็ก เปลือกลำต้นสีเทา มีกลิ่นหอม รสขม
เพี้ยกระทิง ใบป้องกันยุง ต้นแก้ริดสีดวง รากรักษามดลูกอักเสบ
เพี้ยกระทิง เป็นยาสมุนไพรและนำมาใช้กันยุง ดอกมีสีขาวขนาดเล็ก เปลือกลำต้นสีเทา มีกลิ่นหอม รสขม

เพี้ยกระทิง

เพี้ยกระทิง (Melicope pteleifolia) เป็นต้นยอดนิยมของชาวเผ่าทั่วไปในการใช้เป็นยาสมุนไพรและนำมาใช้กันยุงได้ อีกทั้งยังเป็นใบที่ชนเผ่านิยมทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก เพี้ยกระทิงมีดอกย่อยสีขาวเล็ก ๆ จำนวนมากอยู่บนต้น คนไทยไม่ค่อยได้ยินหรือรู้จักเพี้ยกระทิงกันมากนัก ในด้านยาสมุนไพรนั้นสามารถนำทั้งต้นมาใช้เป็นยาได้ เป็นต้นหนึ่งที่นิยมสำหรับชาวบ้านและชาวเผ่าทั่วไป

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเพี้ยกระทิง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Melicope pteleifolia (Champ. ex Benth.) T.G. Hartley
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “เพี้ยกระทิง ผักส้มเสี้ยนผี” ไทใหญ่เรียกว่า “ขมสามดอย แสงกลางวัน” คนเมืองเรียกว่า “มะโหกโตน” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “ตะคะโดะ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “สะเลียมดง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ส้ม (RUTACEAE)
ชื่อพ้อง : Euodia gracilis Kurz, Euodia lepta (Spreng.) Merr.

ลักษณะของเพี้ยกระทิง

เพี้ยกระทิง เป็นไม้พุ่มชนิดหนึ่ง
ลำต้น : ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง
ใบ : เป็นใบประกอบแบบนิ้วมือออกเรียงตรงข้ามกัน มีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปวงรี เนื้อใบมีต่อมน้ำมันเป็นจุด ๆ กระจายอยู่ทั่วไป
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกย่อยมีจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีขาวขนาดเล็ก มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยกเพศ
ผล : ผลแห้งและแตกได้ ลักษณะของผลเป็นรูปเกือบกลม เป็นพู 2 พู
เมล็ด : ภายในผลมีเมล็ดเดียว เมล็ดมีรูปทรงกลมสีดำ

สรรพคุณของเพี้ยกระทิง

  • สรรพคุณจากราก รักษาโรคริดสีดวง
    – แก้ไข้หนาว ตำรับยาพื้นบ้านล้านนานำรากเพี้ยกระทิงมาผสมกับรากพลับพลาแล้วนำมาต้มกับน้ำให้ข้น ดื่มก่อนอาหารวันละ 3 – 4 ครั้ง
  • สรรพคุณจากทั้งต้น
    – รักษาอาการมดลูกอักเสบ ด้วยการนำทั้งต้นมาผสมกับสมุนไพรอีก 2 ชนิด แล้วนำมาต้มกับน้ำล้างช่องคลอด
    – แก้อาการปวดเอว อาการเคล็ดหรือปวดตามตัว ด้วยการนำกากที่กลั่นเหล้าแล้วหรือต้นสดมาปูนอน
  • สรรพคุณจากหัว
    – ช่วยให้มดลูกของผู้หญิงเข้าอู่ ด้วยการนำหัวมาต้มเพื่อรับประทาน
  • สรรพคุณจากใบ แก้ตุ่มคัน

ประโยชน์ของเพี้ยกระทิง

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ชาวไทใหญ่นำใบและยอดอ่อนรับประทานร่วมกับลาบหรือจะใช้ใบและดอกมาลวกทานกับน้ำพริก ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่นำยอดอ่อนและดอกมารับประทานสดหรือนำไปผึ่งแดดให้แห้งแล้วใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริกและใส่ข้าวเบือน ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนนำใบเพี้ยกระทิงมาย่างกับไฟอ่อน ๆ แล้วขยี้เป็นแผ่นเล็ก ๆ หรือจะใส่ทั้งใบลงในแกงเพื่อเพิ่มรสขม
2. ป้องกันยุง ใบนำมาขยี้ทาตัวเพื่อป้องกันยุงกัดเวลาเข้าป่าได้

เพี้ยกระทิง เป็นยาสมุนไพรและผักที่สำคัญของชนเผ่าทั้งหลายอย่างไทใหญ่ ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่และชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน ถือเป็นผักที่หาได้ในป่าและยังช่วยกันยุงป่าได้ มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้หนาว รักษาโรคริดสีดวง รักษาอาการมดลูกอักเสบ เป็นต้นที่สำคัญในการรักษาเกี่ยวกับมดลูกในผู้หญิงของชนเผ่าทั้งหลาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “เพี้ยกระทิง”. หน้า 108.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “เพี้ยกระทิง, สะเลียมดง”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือพืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์ (พงษ์ศักดิ์ พลเสนา). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [08 พ.ย. 2014].

ผักกาดส้ม ต้นรสเปรี้ยว นิยมทานเป็นผักดองเค็ม เป็นยาระบายและแก้ปวดฟันได้

0
ผักกาดส้ม ต้นรสเปรี้ยว นิยมทานเป็นผักดองเค็ม เป็นยาระบายและแก้ปวดฟันได้
ผักกาดส้ม เป็นพืชในวงศ์ไผ่ ต้นมีรสเปรี้ยว ลำต้นและใบมาดองเค็มเพื่อรับประทาน รากแก้วคล้ายหัวผักกาด
ผักกาดส้ม ต้นรสเปรี้ยว นิยมทานเป็นผักดองเค็ม เป็นยาระบายและแก้ปวดฟันได้
ผักกาดส้ม เป็นพืชในวงศ์ไผ่ ต้นมีรสเปรี้ยว ลำต้นและใบมาดองเค็มเพื่อรับประทาน รากแก้วคล้ายหัวผักกาด

ผักกาดส้ม

ผักกาดส้ม (Curly Dock) เป็นพืชในวงศ์ไผ่ที่นิยมของชาวท้องถิ่น ผักกาดส้มเป็นชื่อเรียกของคนแม่ฮ่องสอนและเป็นผักที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นในแถบภาคเหนือและชาวกะเหรี่ยงเป็นส่วนใหญ่ ทั้งต้นมีรสเปรี้ยวดังนั้นชาวเขาเผ่าจีนฮ่อ ม้ง เย้า ปะหล่องและเผ่าอื่น ๆ จึงนิยมนำลำต้นและใบมาดองเค็มเพื่อรับประทาน เป็นต้นที่มีประโยชน์ต่อการนำมาปรุงอาหารและเป็นยาสมุนไพรของชาวม้งและชาวล้านนา แต่ผักกาดส้มก็เป็นผักชนิดหนึ่งที่มีพิษต่อร่างกายได้เช่นกัน

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของผักกาดส้ม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rumex crispus L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Curly Dock” “Yellow dock”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ผักกาดส้ม” ชาวกะเหรี่ยงเชียงใหม่เรียกว่า “เก่อบะซิ” ชาวม้งเชียงใหม่เรียกว่า “ชั่วโล่งจั๊วะ” ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “พะปลอ”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักไผ่ (POLYGONACEAE)

ลักษณะของผักกาดส้ม

ผักกาดส้ม เป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุได้หลายปี
ลำต้น : ลำต้นเป็นสีเขียวอมแดงและค่อนข้างกลม ผิวลำต้นเกลี้ยง มีรากแก้วคล้ายหัวผักกาด สามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับเวียนรอบต้นหรือกิ่งแผ่เป็นวงรัศมี ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอกแคบถึงรูปใบหอกแกมรูปไข่ ปลายใบมนเล็กน้อยหรือแหลม โคนใบสอบแคบ โค้งมนรูปตัดหรือเว้าตื้น ขอบใบเป็นลอนคลื่นหรือย่น ผิวใบเกลี้ยง เส้นใบค่อนข้างเลือนรางจนมองเห็นไม่ชัดเจน หูใบแผ่แบนลักษณะคล้ายปลอกหุ้มลำต้น
ดอก : ออกดอกเป็นช่อกระจะตั้งขึ้นที่ปลายยอดหรือปลายกิ่ง บางครั้งแยกแขนงออกเป็น 2 – 3 แขนง ดอกย่อยมีจำนวนมาก เป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศอยู่เป็นกระจุกรอบแกนดอกชิดติดกันแน่นตามแกนช่อดอก ลักษณะคล้ายกระบองหรือทรงกระบอก กลุ่มดอกที่ออกจากซอกใบล่างลงมามักเป็นกระจุกเล็ก ๆ มีรูปทรงกลม ดอกย่อยเป็นสีเขียวมีขนาดเล็ก วงกลีบรวม 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ กลีบวงในขยายใหญ่และหุ้มผลเมื่อตกผล ดอกมีเกสรเพศผู้ 6 อัน เรียงตัวเป็น 2 วง วงละ 3 อัน อับเรณูติดที่ฐาน รังไข่นูนเหนือฐานวงกลีบรวม ภายในมี 3 ช่อง มีก้านเกสรสั้น 3 อัน ปลายก้านมีลักษณะคล้ายแปรงหรือชายครุย
ผล : เป็นผลแห้งไม่แตก
เมล็ด : เป็นเมล็ดเดี่ยว ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่ ด้านข้างเป็นสันนูนคล้ายปีก 3 สัน มีกาบของกลีบหุ้มเป็นสันคล้ายปีก 3 สัน

สรรพคุณของผักกาดส้ม

  • สรรพคุณจากใบ
    – แก้ปวดฟัน โดยชาวม้งนำยอดอ่อนมาอมหรือต้มกับไข่กินเป็นยา
  • สรรพคุณจากราก
    – เป็นยาระบาย โดยตำรายาพื้นบ้านล้านนานำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – แก้หนองใน ด้วยการนำรากมาต้มกับน้ำแล้วดื่ม
    – รักษาฝี ด้วยการนำรากมาทุบห่อผ้าเพื่อทำเป็นลูกประคบฝี เมื่อฝีแตกให้นำรากมาฝนกับน้ำทาบริเวณที่เป็น

ประโยชน์ของผักกาดส้ม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบนำมาใช้แทนมะนาวใส่ในแกงเพื่อปรุงให้มีรสเปรี้ยวได้ ชาวเขาเผ่าจีนฮ่อ ม้ง เย้า ปะหล่องและเผ่าอื่น ๆ นำลำต้นและใบมาทำเป็นผักดองเค็มเพื่อทานเป็นกับแกล้มหรือกินกับข้าว
2. ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้าและหนัง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของผักกาดส้ม

  • ทั้งต้นของผักกาดส้ม พบกรดออกซาลิกซึ่งเป็นพิษต่อตับและไตของคน จึงทำให้เสียชีวิตได้
  • รากของผักกาดส้ม พบสารกลุ่มแอนทราควิโนนซึ่งมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งในหนู
  • แก่นของผักกาดส้ม พบสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ในสัตว์ทดลอง

ผักกาดส้ม เป็นต้นที่มีลักษณะคล้ายผักกาดแต่ไม่ได้มีสีส้มตามชื่อ ทั้งต้นมีรสเปรี้ยวจึงนิยมนำมาทานเป็นผักดองเค็มและนำมาใช้แทนมะนาวได้ ภายในต้นพบสารที่เป็นพิษต่อตับและไตจึงควรระวังในการนำมารับประทาน ผักกาดส้มมีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะราก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ปวดฟัน เป็นยาระบาย แก้หนองในและรักษาฝีได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “ผักกาดส้ม”. หน้า 188.
โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “ผักกาดส้ม”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์)., หนังสือองค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทย เล่ม 3. (สุธรรม อารีกุล, จำรัส อินทร, สุวรรณ ทาเขียว, อ่องเต็ง นันทแก้ว). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [22 พ.ย. 2014].

ต้นสร้อยทับทิม ยาแก้ไข้มาลาเรียของชาวเขาเผ่าแม้ว แก้เกลื้อนหรือเรื้อนของชาวล้านนา

0
ต้นสร้อยทับทิม ยาแก้ไข้มาลาเรียของชาวเขาเผ่าแม้ว แก้เกลื้อนหรือเรื้อนของชาวล้านนา
ต้นสร้อยทับทิม เป็นต้นที่อยู่ในวงศ์ไผ่ ยอดอ่อนและใบอ่อนนิยมนำมารับประทานสด กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีม่วงแกมชมพู
ต้นสร้อยทับทิม ยาแก้ไข้มาลาเรียของชาวเขาเผ่าแม้ว แก้เกลื้อนหรือเรื้อนของชาวล้านนา
ต้นสร้อยทับทิม เป็นต้นที่อยู่ในวงศ์ไผ่ ยอดอ่อนและใบอ่อนนิยมนำมารับประทานสด กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีม่วงแกมชมพู

ต้นสร้อยทับทิม

ต้นสร้อยทับทิม (Persicaria barbata) เป็นต้นที่อยู่ในวงศ์ไผ่และมักจะพบตามริมน้ำหรือริมคลองทั่วไป นิยมนำยอดอ่อนและใบอ่อนมารับประทานในรูปแบบของผักสด นอกจากนั้นยังนิยมสำหรับปลูกเป็นพรรณไม้ประดับสวนน้ำทั่วไปอีกด้วย ในด้านของสรรพคุณทางยาสมุนไพรนั้นสร้อยทับทิมถือเป็นต้นที่อยู่ในตำรายาพื้นบ้านล้านนาและเป็นยาสำหรับชาวเขาเผ่าแม้ว

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของต้นสร้อยทับทิม

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Persicaria barbata (L.) H.Hara
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “สร้อยทับทิม” จังหวัดน่านเรียกว่า “ผักไผ่น้ำ” มีชื่ออื่น ๆ ว่า “ผักแพรวกระต่าย”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ผักไผ่ (POLYGONACEAE)
ชื่อพ้อง : Polygonum barbatum L.

ลักษณะของสร้อยทับทิม

สร้อยทับทิม เป็นพืชล้มลุกที่มักจะพบบริเวณริมน้ำ ริมคลองหรือในที่น้ำท่วมขังตื้น ๆ มักจะขึ้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกและภาคกลาง
ลำต้น : ลำต้นตั้งตรงและมีขน สามารถเห็นข้อปล้องชัดเจน
ใบ : เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน ก้านใบสั้น ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบมีขนที่ริมใบและเส้นกลางใบ ผิวใบทั้งสองด้านมีขนขึ้นปกคลุม มีหูใบหรือกาบใบแผ่เป็นแผ่นบางหุ้มรอบลำต้นและมีขน ทำให้บริเวณข้อโป่งพองออก
ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยมีจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีม่วงแกมชมพู
ผล : เป็นผลแห้งไม่แตกและเป็นมัน

สรรพคุณของสร้อยทับทิม

  • สรรพคุณจากใบ
    – แก้ไข้มาลาเรีย ชาวเขาเผ่าแม้วนำใบมาตำแล้วคั้นเอาน้ำเพื่อดื่มเป็นยา
    – รักษาเกลื้อน เรื้อนและอาการคัน ตำรายาพื้นบ้านล้านนานำใบสดมาผสมกับยาเส้นแล้วคั้นเอาน้ำมาทาแก้อาการ

ประโยชน์ของสร้อยทับทิม

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ยอดอ่อนและใบอ่อนนำมาทานเป็นผักสดได้
2. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นพรรณไม้ประดับสวนน้ำทั่วไป

สร้อยทับทิม ถือเป็นพืชยอดนิยมของชนชาวเขาทั่วไปเนื่องจากมีสรรพคุณที่รักษาไข้มาลาเรียซึ่งเป็นไข้ป่าที่ชาวเขาส่วนมากมักจะเป็นกันบ่อย จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ไม่มียารักษาโรคเข้าถึง และยังนำยอดอ่อนและใบอ่อนของต้นมารับประทานเป็นผักสดได้ แต่คนเมืองมักจะนำสร้อยทับทิมมาปลูกเป็นไม้ประดับในสวนน้ำทั่วไปมากกว่า สร้อยทับทิมเป็นต้นที่มีสรรพคุณทางยาจากส่วนของใบซึ่งมีสรรพคุณแก้ไข้มาลาเรีย รักษาเกลื้อนหรือเรื้อนและอาการคันได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “สร้อยทับทิม”. หน้า 174.
ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. “ผักแพรวกระต่าย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [17 ต.ค. 2014].

สุวรรณพฤกษ์ หรือ ขี้เหล็กอเมริกัน รักษาดีซ่าน รักษาคนติดฝิ่นและเป็นยาระบาย

0
สุวรรณพฤกษ์ หรือ “ขี้เหล็กอเมริกัน” รักษาดีซ่าน รักษาคนติดฝิ่นและเป็นยาระบาย
สุวรรณพฤกษ์ หรือขี้เหล็กอเมริกัน มีดอกสีเหลืองสดรูปหางนกยูง ฝักอ่อนเป็นสีเขียวสด เมื่อสุกจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม
สุวรรณพฤกษ์ หรือ “ขี้เหล็กอเมริกัน” รักษาดีซ่าน รักษาคนติดฝิ่นและเป็นยาระบาย
สุวรรณพฤกษ์ หรือขี้เหล็กอเมริกัน มีดอกสีเหลืองสดรูปหางนกยูง ฝักอ่อนเป็นสีเขียวสด เมื่อสุกจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม

สุวรรณพฤกษ์

สุวรรณพฤกษ์ (American Cassia) หรือเรียกอีกอย่างว่า “ขี้เหล็กอเมริกัน” เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน มีดอกสีเหลืองสดรูปหางนกยูงทำให้ดูสง่างามจึงนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามสถานที่สาธารณะอย่างที่เห็นกันบ่อย ๆ เพราะไม่ต้องการการดูแลสูงนัก ทว่าไม่ค่อยมีใครรู้ว่าดอกและใบของต้นสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้ และยังนำเนื้อไม้มาทำเครื่องมือหรือฟืนได้อีกด้วย ชาวเขาเผ่าแม้วนำใบมาใช้เป็นยาสมุนไพร เป็นต้นที่มีสรรพคุณช่วยรักษาอาการพื้นฐานได้ดี

 

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของสุวรรณพฤกษ์

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Senna spectabilis (DC.) H.S.Irwin & Barneby
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “American Cassia”
ชื่อท้องถิ่น : จังหวัดกรุงเทพมหานครเรียกว่า “ขี้เหล็กอเมริกัน ทองนพคุณ” จังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “ขี้เหล็กอเมริกา”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE)
ชื่อพ้อง : Cassia spectabilis DC.

ลักษณะของสุวรรณพฤกษ์

สุวรรณพฤกษ์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน
ต้น : ทรงพุ่มแผ่กว้าง เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลเข้มค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้นตามยาว ส่วนที่ยังอ่อนอยู่จะมีขนอ่อนขึ้นปกคลุม
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ออกเรียงสลับกัน มีใบย่อยประมาณ 10 – 15 คู่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปวงรี ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบมนหรือเบี้ยว ขอบใบเรียบ แผ่นใบบางอ่อนเป็นสีเขียวสด หลังใบด้านบนเรียบ ท้องมีขนละเอียดนาบไปกับแผ่นใบ
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนงขนาดใหญ่ที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมากเป็นรูปดอกหางนกยูง มีประมาณ 6 – 60 ดอก มีกลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ เป็นสีเหลืองสดขนาดไม่เท่ากัน ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน เป็นหมัน 3 อัน สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
ผล : ผลมีลักษณะเป็นฝักรูปขอบขนานแคบหรือรูปทรงกระบอก ฝักอ่อนเป็นสีเขียวสด เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ฝักแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีกตามตะเข็บ สามารถติดผลได้ตลอดทั้งปี
เมล็ด : ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 50 – 70 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปวงรีสีน้ำตาล

สรรพคุณของสุวรรณพฤกษ์

  • สรรพคุณจากใบ
    – รักษาอาการตัวเหลืองและดีซ่าน โดยชาวเขาเผ่าแม้วนำใบและก้านใบมาใช้อย่างเดียวหรือผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นแล้วนำมาต้มอบไอน้ำ
    – ช่วยรักษาคนติดฝิ่น ด้วยการนำใบและก้านใบมาต้มอบไอน้ำ
    – ลดการอักเสบอย่างอ่อนในสัตว์ ด้วยการนำใบแห้งบดเป็นผงให้สัตว์ทดลองกิน
  • สรรพคุณจากใบและดอก เป็นยาถ่ายเสมหะ เป็นยาระบาย ช่วยทำให้เส้นเอ็นหย่อน
    – เป็นยาถ่ายโลหิตระดูของสตรี โดยใช้ร่วมกับแก่นขี้เหล็กและแก่นแสมทะเล
  • สรรพคุณจากราก
    – รักษาอาการปวดตามข้อ ด้วยการนำรากสดประมาณ 60 กรัม มาตุ๋นกับเป็ด ไก่หรือเต้าหู้กินเป็นยา

ประโยชน์ของสุวรรณพฤกษ์

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ดอกและใบนำมาใช้ประกอบอาหารได้
2. ใช้ในอุตสาหกรรม เนื้อไม้นำมาใช้ทำเป็นด้ามเครื่องมือ ไม้ถือ เครื่องเรือน ทำครก สากหรือนำมาใช้ทำฟืนได้
3. ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปตามที่สาธารณะ

สุวรรณพฤกษ์ หรือ “ขี้เหล็กอเมริกัน” เป็นต้นที่พบได้ทั่วไปเพราะนิยมปลูกกันในที่สาธารณะทั่วประเทศไทย มีดอกสีเหลืองโดดเด่นทำให้ดูสวยงาม ทว่าต้นนั้นก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายทั้งการนำมาประกอบอาหารหรือใช้ทำเครื่องมือได้ สุวรรณพฤกษ์มีสรรพคุณทางยาได้หลายส่วนจากต้นโดยเฉพาะส่วนของใบและดอก มีสรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ รักษาอาการตัวเหลืองและดีซ่าน ช่วยรักษาคนติดฝิ่น เป็นยาระบาย ช่วยทำให้เส้นเอ็นหย่อน ถือเป็นต้นที่มีประโยชน์มากกว่าที่เห็นกันทั่วไปตามที่สาธารณะ

 

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง
หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา. (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). “สุวรรณพฤกษ์”. หน้า 64.
ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “ขี้เหล็กอเมริกัน”. อ้างอิงใน : หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [07 ต.ค. 2014].
ไทยเกษตรศาสตร์. “ขี้เหล็กอเมริกัน”. อ้างอิงใน : หนังสือวัลลิ์รุกขบุปผชาติตามรอยพระบาทบรมราชกุมารี. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.thaikasetsart.com. [08 ต.ค. 2014].
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/