วาฟเฟิล (Waffles) ขนมเบลเยียมแป้งกรอบนอกนุ่มใน

0
วาฟเฟิล (Waffles) ขนมเบลเยียมแป้งกรอบนอกนุ่มใน
วาฟเฟิล เป็นขนมที่ทำจากแป้งสองแผ่นที่เป็นลายเพื่อให้ได้ขนาดรูปร่างและความรู้สึกของพื้นผิวตามประเภทของเหล็กวาฟเฟิล
วาฟเฟิล (Waffles) ขนมเบลเยียมแป้งกรอบนอกนุ่มใน
วาฟเฟิล เป็นขนมที่ทำจากแป้งสองแผ่นที่เป็นลายเพื่อให้ได้ขนาดรูปร่างพื้นผิวตามประเภทของเหล็กวาฟเฟิล

วาฟเฟิล

วาฟเฟิล (Waffles) เป็นขนมที่ทำจากแป้งสองแผ่นที่เป็นลายเพื่อให้ได้ขนาดรูปร่างพื้นผิวตามประเภทของเหล็กวาฟเฟิล และมีสูตรต่างๆหลากหลาย วาฟเฟิลนิยมกินไปทั่วโลกโดยเฉพาะในเบลเยียม ซึ่งอบสดใหม่ร้อนๆ

ชนิดของวาฟเฟิล

1. American Waffles มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม นิยมกินคู่กับท็อปปิ้งต่างๆทั้งคาวและหวาน ได้จากการแป้ง น้ำ และเบกิ้งโซดา เพื่อให้ขนมฟูและหนา ซึ่งตัวแป้งจะใส่น้ำตาลหรือไม่ใส่ก็ได้
2. Brussels Waffles มีลักษณะคล้าย American Waffles แต่ขนาดใหญ่กว่า ซึ่งใช้ไข่ขาว หรือยีสต์ให้ฟูและบางกรอบ เวลาทานอาจโนยน้ำตาลไอซิ่งด้านบน
3. Liege Waffles มีลักษณะเล็กและหวานกว่า Brussels Waffles เมื่อสุกจะมีสีเหลืองทอง เนื้อนุ่มแน่น มีน้ำตาลคาราเมลเคลือบด้านบน มีการแต่งกลิ่นวนิลาหรือชินนามอนเพิ่มความหอม
4. Stroopwafel ทำจากแผ่นแป้งกลมบางประกบกัน ตรงกลางสอดไส้น้ำเชื่อมหรือน้ำตาลเคี่ยว
5. Hong Kong Waffles ทำจาก นม เนย ไข่ น้ำตาล และแป้ง อบในพิมพ์ที่เป็นปุ่มๆ คล้ายขนมครก แป้งบางกรอบ ด้านในนุ่ม นิยมทานคู่กับไอศกรีม หรือวิปครีม

ประวัติความเป็นมาของวาฟเฟิล

ขนมวาฟเฟิล เป็นอาหารโปรดชาวอเมริกันมานานหลายร้อยปีเมื่อย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13 จุดเริ่มต้นของเครื่องทำวาฟเฟิลรุ่นแรกที่มีลักษณะรูปแบบรังผึ้งหรือที่รู้คุ้นตาคล้ายขนมรังผึ้งลักษณะเฉพาะนี้ปรากฏขึ้นในปี 1200 เมื่อช่างฝีมือออกแบบและดัดแปลเครื่องวาฟเฟิลดั้งเดิมโดดเด่นด้วยดีไซน์แบบบานพับ ดังนั้น คำว่า Waffles มาจากคำภาษาฝรั่งเศสแบบเก่า คือ guafre แปลเป็นภาษาอังกฤษเก่า wafla ปรากฏเป็นครั้งแรกในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในยุโรปวาฟเฟิลมีขายทั่วไปตามร้านขายของริมถนน แต่ในปัจจุบันมีการดัดแปลสูตรวาฟเฟิลออกมาให้เห็นมากมาย เช่น วาฟเฟิลไส้ทะลัก วาฟเฟิลกรอบ ไอศครีมวาฟเฟิล วาฟเฟิลฮ่องกง เป็นต้น

เตรียมอุปกรณ์

สูตรวาฟเฟิล ออริจินัล

  • แป้งวาฟเฟิล 100 กรัม
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
  • นมสด 1 ถ้วย
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • เนยสดละลาย 50 กรัม
  • กลิ่นวานิลลา เล็กน้อย
  • เกลือป่น เล็กน้อย
  • ครีมออฟทาร์ทาร์ เล็กน้อย
  • แยมผลไม้ หรือน้ำผึ้ง (สำหรับราด)
  • ท็อปปิ้ง สำหรับแต่งหน้าวาฟเฟิล

ส่วนผสมวาฟเฟิลโมจิ เหนียวนุ่ม

  • นม 1/2 ถ้วย
  • ไข่ไก่เบอร์ใหญ่ 2 ฟอง
  • แต่งกลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
  • แป้งอเนกประสงค์ 1/2 ถ้วยตวง
  • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
  • ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • น้ำตาล 1/4 ถ้วย
  • วิปครีมตามชอบ
  • น้ำผึ้ง สำหรับราดหน้า

ท็อปปิ้ง สำหรับวาฟเฟิล

  • น้ำเชื่อมเมเปิ้ล
  • ผลไม้สดสับ
  • ใบสะระแหน่
  • วิปครีม
  • ผงน้ำตาล
  • น้ำตาลทราย
  • ชีสขูดฝอย
  • เบอร์รี่

ขั้นตอนในการทำ

1. ตีไข่ นม และวานิลลาเข้าด้วยกันในอ่าง พักไว้ก่อน
2. นำอ่างอีกใบใส่แป้งข้าวเจ้า ผงฟู เกลือ และน้ำตาล ตีให้เข้ากัน
3. นำส่วนผสมทั้ง 2 ที่เตรียมไว้ทั้งแบบเปียกและแห้งเทลงในอ่าง ตีเข้าด้วยกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน (วอมเครื่องทำวาฟเฟิลด้วยอุณหภูมิ 200 F ประมาณ 2 นาท)
4. เทแป้งที่เตรียมไว้ลงในเครื่องทำวาฟเฟิลไม่ต้องเต็มเครื่อง ให้พอมีเนื้อที่พอแป้งขยายตัวออก
5. เปิดฝาเครื่องทำวาฟเฟิลดู หากแป้งมีสีน้ำตาลสวยงามแล้วให้นำออกจัดใส่จาน
6. ตกแต่งหน้าวาฟเฟิลด้วยแยมที่เตรียมไว้ หรือราดด้วยน้ำผึ้งพร้อมเสิร์ฟ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มาการองชาเขียว (Green Tea Macaron)

0
มาการองชาเขียว (Green Tea Macaron)
มาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่เป็นการผสมเมอแร็งก์กับไข่ขาว น้ำตาลไอซิ่ง น้ำตาลทรายขาว ผงแอลมอนด์หรือแอลมอนด์ป่น และสีผสมอาหาร
มาการองชาเขียว (Green Tea Macaron)
มาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่เป็นการผสมเมอแร็งก์กับไข่ขาว น้ำตาลไอซิ่ง น้ำตาลทรายขาว ผงแอลมอนด์หรือแอลมอนด์ป่น และสีผสมอาหาร

มาการอง

มาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่เป็นการผสมเมอแร็งก์กับไข่ขาว น้ำตาลไอซิ่ง น้ำตาลทรายขาว ผงแอลมอนด์หรือแอลมอนด์ป่น และสีผสมอาหาร มาการองรูปร่างเหมือนแซนด์วิช เป็นขนมปังสองชิ้นประกบกัน มีสอดไส้ตรงกลาง ส่วนไส้มักจะเป็นกานัช บัตเตอร์ครีม หรือแยม ลักษณะเด่นคือ ผิวด้านบนเรียบ ขอบรอบ ๆ เป็นรอยหยัก หรือที่เรียกว่าขา มีฐานเรียบแบน มีความนุ่มชุ่มเล็กน้อยละลายง่ายในปาก มีรสชาติหลากหลาย

ประวัติความเป็นมาของมาการอง

มาการอง เป็นขนมอบชนิดหนึ่งขนาดเล็กที่ทำจากแป้งอัลมอนด์ปั่นละเอียดทรงกลม โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 3 ถึง 5 เซนติเมตร เป็นทั้งอาหารและขนมพิเศษที่ชาวฝรั่งเศษชื่นชอบมากที่สุดรวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยื่อนฝรั่งเศษ ซึ่งมีบันทึกว่า “มาการอง” ปรากฏในปี 1581 ในการแต่งงานของ Duke of Joyeuse ใน Ardeche และยังมีการกล่าวถึงในปี 1600 ในงานแสดงสินค้าและเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ของ Montmorillon ที่แซงต์ – ฌอง – เดอ – ลูซ เป็นที่ทราบกันดีว่ามีการเสนอให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เนื่องในโอกาสเสกสมรสกับมาเรียเทเรซ่า เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตัดสินใจพำนักอยู่ที่แวร์ซายส์ในปี 1682 เชฟของเขาเสิร์ฟมาการองให้แขกเพื่อต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน

อุปกรณ์ทำมาการองชาเขียว

  • ถุงบีบขนาดเล็กและใหญ่ อย่างละ 1 อัน
  • หัวบีบเบอร์ 10
  • แผ่นซิลิโคน สำหรับรองอบ หรือกระดาษไข
  • เทอร์โมมิเตอร์

ส่วนผสมของฝามาการองรสชาเขียว

  • อัลมอนด์ป่นละเอียด 300 กรัม
  • น้ำตาลไอซิ่ง 300 กรัม
  • ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 110 กรัม
  • ผงชาเขียว 10 กรัม
  • ผงชาเขียว สำหรับโรยหน้าเล็กน้อย

ส่วนผสมอิตาเลียนเมอแรง

  • น้ำเปล่า 75 กรัม
  • น้ำตาลทราย 255 กรัม
  • ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 110 กรัม

วิธีทำอิตาเลียนเมอแรง

1. ทำอิตาเลียนเมอแรง โดยใส่ไข่ขาวลงไปในโถแล้วเตรียมหัวตีรูปตะกร้อ
2. เทน้ำลงในหม้อ ใสน้ำตาลทรายลงไปรอจนน้ำซึมเข้าน้ำตาลทั่ว ตั้งไฟกลาง ต้มให้เดือด จากนั้นวางเทอร์โมมิเตอร์ลงในหม้อเพื่อวัดอุณหภูมิ
3. รอจนน้ำตาลเดือดได้อุณหภูมิ 115 องศาเซลเซียส เปิดเครื่องตีไข่ขาวด้วยความเร็วต่ำ เตรียมไว้
4. รอจนน้ำตาลเดือดที่อุณหภูมิ 117 องศาเซลเซียส ยกลงจากเตาค่อยๆ เทลงในโภตีไข่ขาวจนหมด
5. เพิ่มความเร็วโดยตีไข่ขาวด้วยความเร็วสูงสุดจนตั้งยอดแข็ง พักไว้ให้คลายร้อน ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดจนได้อุณหภูมิต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส แล้วแบ่งเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน เตรียมไว้

วิธีทำฝามาการอง

1. ตัดปลายถุงบีบขนาดใหญ่พร้อมใส่หัวบีบ แล้ววางแผ่นซิลิโคนบนถาดอบ เตรียมไว้
2. ผสมอัลมอนด์ป่นและน้ำตาลไอซิ่งเข้าด้วยกัน นำไปร่อนในอ่างผสม พักไว้
3. เทส่วนผสมอัลมอนด์ที่ร่อนไว้ผสมกับไข่ขาว คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว
4. ใส่เมอแรงส่วนแรกลงไป แล้วใช้พายยางค่อยๆ ผสมให้เข้ากัน
5. ใส่เมอแรงส่วนที่ 2 ลงไปตะล่อมเบาๆ (ระวังอย่าคนแรง) ให้เข้ากัน พักไว้
6. แบ่งส่วนผสมเมอแรงออกมา 40 กรัม ผสมกับสีเขียว ตักใส่ในถุงบีบขนาดเล็ก ตัดปลายถุงพอให้บีบได้ พักไว้
7. บีบส่วนผสมเมอแรง (ข้อ 6) ลงในถุงบีบขนาดใหญ่โดยลากเป็นแนวตั้งทั้ง 2 ด้าน (บีบให้อยู่ด้านตรงข้ามกัน)
8. ใส่ส่วนผสมเมอแรงสีขาวที่เหลือลงไปให้เต็มถุงบีบ (วอมเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียล ไฟบน-ล่าง)
9. บีบมาการองลงบนถาดรองแผ่นซิลิโคนให้ได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร และห่างกันประมาณ 3 เซนติเมตร
10. เคาะถาดจากด้านล่างเบาๆ ให้ทั่วทั้งถาดเพื่อให้เส้นผ่านศูนย์กลางขยายขึ้นเป็นประมาณ 4 เซนติเมตร โรยผงชาเขียวให้ทั่ว พักไว้ประมาณ 5-10 นาที
11. นำมาการองเข้าเตาอบ จากนั้นปรับอุณหภูมิลงเหลือ 140 องศาเซลเซียส อบนาน 14 นาที ยกออกจากเตาวางบนตะแกรงพักไว้ให้เย็น
12. ค่อยๆ แกะฝามาการองออกจากแผ่นซิลิโคร โดยหงายฝามาการองและจับคู่เรียงเตรียมไว้บนถาด พักไว้

ส่วนผสมไส้มาการอง

  • ไวท์ช็อกโกแลตหั่นชิ้นเล็ก 300 กรัม
  • วิปปิ้งครีมชนิด 300 กรัม
  • ผงชาเขียว 20 กรัม

วิธีทำไส้มาการอง

1. ใส่ผงชาเขียวลงในอ่างผสม เตรียมไว้
2. เทวิปปิ้งครีมลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อน รอจนเดือด ยกลงจากเตา
3. แบ่งวิปปิ้งครีมออกมาทีละน้อย ใส่ลงในผงชาเขียวใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ค่อยๆเติมวิปปิ้งครีมแล้วคนจนชาเขียวไม่จับตัวเป็นก้อน
4. ใส่ไวท์ช็อกโกแลตลงในชามเซรามิกหรือพลาสติก สำหรับเข้าไมโครเวฟ นำไปละลายด้วยไมโครเวฟความร้อนระดับกลาง ประมาณ 600 วัตต์ ใช้เวลาประมาณ 1.5-2 นาที
5. นำออกมาคนให้ละลาย ค่อยๆเติมส่วนผสม (ข้อ 3) ทีละน้อย ใช้พายยางคนให้เข้ากัน พักไว้ให้คลายร้อยแล้วนำไปแช่เย็นนาน 1 ชั่วโมง
6. นำไส้มาการองออกจากตู้เย็น ใช้พายยางตีให้คลายตัว พักไว้

วิธีประกอบมาการอง

1.ตักไส้มาการองใส่ถุงบีบขนาดใหญ่ แล้วบีบลงบนฝามาการองที่หงายเตรียมไว้
2.วางฝามาการองอีกชิ้นลงด้านบน กดเบาๆ ให้ติดกันทำเช่นนี้จนหมดส่วนผสมไส้และฝามาการอง

ปัญหาและการแก้ปัญหาของการอบมาการอง

1. มาการองกลวงเป็นโพรง เกิดจากอะไร
ตอบ : ตีเมอแรงค์มากเกินไป
วิธีแก้มาการองกลวงเป็นโพรง : ปรับลดความเร็วบนเครื่องผสมให้ต่ำลงเมื่อตีก่อนที่จะเติมน้ำเชื่อม

2. มาการองหน้าแตกอยู่ด้านบน เกิดจากอะไร
ตอบ : การตวงส่วนผสมผิด
วิธีแก้มาการองหน้าแตกอยู่ด้านบน : ควรใช้เครื่องชั่งส่วนผสมต่างๆ ให้พอดีไม่มากไปหรือน้อยเกินไป

3. มาการองเหลวเกินไป เกิดจากอะไร
ตอบ : การตีไข่ขาวน้อยเกินไป หรือผสมแล้วคลุกนานเกิดไป
วิธีแก้มาการองเหลว : ควรตีไข่ขาวในเวลา 3 นาที หรือตามสูตรที่กำหนดไว้

4. มาการองผิวหน้าไม่เรียบ ขรุขระ เกิดจากอะไร
ตอบ : การร่อนแป้งอัลมอนด์และน้ำตาลไอซิ่งไม่ดีอย่างที่ควร
วิธีแก้มาการองผิวขรุขระ : ควรปั่นแป้งอัลมอนด์และน้ำตาลไอซิ่งให้ละเอียดแล้วร่อนด้วยตะแกรงร่อนแป้งแบบละเอียด

5. ขามาการองไม่สวย หรือขาบานแบะ เกิดจากอะไร
ตอบ : ตีส่วนผสมนานเกินไปทำให้เหลว แอลมอนด์น้อยไป พักผิวไว้น้อยเกินไป
วิธีแก้มาการองขามาการองไม่สวย หรือขาบานแบะ : ตีส่วนผสมให้พอดี ตวงส่วนผสมตามสูตรที่แนะนำ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

คัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น (Green Tea Japanese Cupcake)

0
คัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น (Green Tea Japanese Cupcake)
คัพเค้ก เป็นเค้กขนาดเล็กอบในกระดาษบาง ๆ หรือถ้วยอะลูมิเนียม ส่วนผสมจะใช้ แป้งเค้ก เนย น้ำตาล ไข่ ด้านบนอาจตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ผลไม้อบแห้งต่าง ๆ หรือธัญพืช
คัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น (Green Tea Japanese Cupcake)
คัพเค้ก เป็นเค้กขนาดเล็กอบในกระดาษบาง ๆ หรือถ้วยอะลูมิเนียม ตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ผลไม้อบแห้งต่าง ๆ หรือธัญพืช

คัพเค้ก

คัพเค้ก ( Cupcake ) เป็นเค้กขนาดเล็กอบในกระดาษบาง ๆ หรือถ้วยอะลูมิเนียม ปริมาณพอดีต่อ 1 คน ส่วนผสมจะใช้ แป้งเค้ก เนย น้ำตาล ไข่ เป็นหลัก ด้านบนอาจตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ผลไม้อบแห้งต่าง ๆ หรือธัญพืช

ประวัติความเป็นมาของคัพเค้ก

คัพเค้กกำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริการาวศตวรรษที่ 19 สูตรคัพเค้กถูกเขียนขึ้นในปี พ.ศ.2339 มีการเปลี่ยนจากการชั่งส่วนผสมเมื่ออบเป็นการตวงส่วนผสม

อุปกรณ์

  • ถุงบีบขนาดเล็ก
  • หัวบีบเบอร์ 10
  • ถ้วยคัพเค้ก ขนาดตามชอบ
  • ถาดอบ
  • เม็ดน้ำตาลสี สำหรับตกแต่งหน้าคัพเค้ก

ส่วนผสมคัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น

  • ไวท์ช็อกโกแลต (หั่นชิ้นเล็ก) 300 กรัม
  • วิปปิ้งครีม 300 กรัม
  • ผงชาเขียว 20 กรัม

วิธีทำคัพเค้กชาเขียวญี่ปุ่น

1. ใส่ผงชาเขียวลงในอ่างผสม เตรียมไว้
2. เทวิปปิ้งครีมลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อน รอจนเดือดยกลงจากเตา
3. แบ่งวิปปิ้งครีมออกมาทีละน้อยใส่ลงในผงชาเขียว ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันค่อยๆ เติมวิปปิ้งครีมแล้วคนจนชาเขียวไม่จับตัวเป็นก้อน
4. ละลายไวท์ช็อกโกแลตด้วยไมโครเวฟความร้อนระดับกลาง (ประมาณ 600 วัตต์) ประมาณ 1.5-2 นาที
5. นำออกมาคนให้ละลายค่อยๆ เติมส่วนผสม (ข้อ 3) ทีละน้อยใช้พายยางคนให้เข้ากัน พักไว้ให้คลายร้อนแล้วคลุมด้วยพลาสติกใส นำไปแช่เย็นนาน 1 ชั่วโมง
6. นำครีมออกจากตู้เย็น ใช้ตะกร้อมือตีครีมจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
7. ใส่หัวบีบลงในถุงบีบ ตัดปลายถุงให้พอดีกับหัวบีบ ตักครีมใส่ลงไปให้เต็ม เตรียมไว้

ส่วนผสมคัพเค้ก

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 60 กรัม
  • อัลมอนด์ป่น 60 กรัม
  • น้ำตาลไอซิ่ง 150 กรัม
  • เนยสดชนิดจืด 100 กรัม (วางไว้อุณหภูมิห้องพอให้นิ่ม)
  • ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 100 กรัม
  • น้ำตาลรูปดอกไม้ สำหรับตกแต่งตามชอบ

วิธีทำ

1. ร่อนแป้งกับอัลมอนด์ป่นเข้าด้วยกันในอ่างผสม พักไว้
2. ใช้หัวตีรูปใบไม้ตีเนยกับน้ำตาลไอซิ่งด้วยความเร็วปานกลางจนส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน เติมไข่ขาวลงไปทีละน้อย
3. ตีด้วยความเร็วต่ำ ค่อยๆ เติมส่วนผสมแป้ง (ข้อ1) ลงตีจนส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
4. เทส่วนผสม (ข้อ3) ลงในถ้วยคัพเค้กที่เตรียมไว้จนเกือบเต็มวางเรียงใส่ถาด (เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ไฟบน-ล่าง)
5. นำเข้าเตาอบ จากนั้นปรับอุณหภูมิลงเหลือ 160 องศาเซลเซียส อบนาน 15 นาที ยกออกจากเตาวางบนตะแกรงพักไว้ให้เย็น
6. บีบครีมชาเขียวบนคัพเค้ก
7. ตกแต่งด้วยเม็ดน้ำตาลสี เพราะสามารถช่วยเพิ่มสีสันให้กับคัพเค้กได้เป็นอย่าง

เทคนิคสอนทำคัพเค้ก สำหรับมือใหม่

1. วอมเตาอบก่อนลงมือทำ
2. ภาชนะต้องเป็นพลาสติก หรือเซรามิกเท่านั้น
3. เมื่อหยอดตัวแป้งลงไปในถ้วยคัพเค้กแล้ว ก่อนนำไปอบให้เคาะหรือใช้ไม้จิ้มฟันวนเพื่อไล่ฟองอากาศ วิธีนี้จะช่วยให้ตัวคัพเค้กไม่เป็นโพรง

ถ้าอยากให้คัพเค้กของคุณดูพิเศษกว่าใครๆ ควรเพิ่มไส้แยมสตรอว์เบอร์รี แยมส้ม แยมมะม่วง แยมมัลเบอร์รี่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับคัพเค้กของคุณได้อย่างแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ชีสเค้ก Cheesecake ขนมปังหอมนุ่มหวานละมุน

0
ชีสเค้ก Cheesecake ขนมปังหอมนุ่มหวานละมุน
ชีสเค้ก (Cheesecake) เป็นขนมปังที่ประกอบด้วยชั้นของชีสนุ่มๆ รสหวาน ผสมกับครีม น้ำตาล ไข่ หวานเนื้อละมุน อัดแน่นด้วยครีมชีส
ชีสเค้ก Cheesecake ขนมปังหอมนุ่มหวานละมุน
ชีสเค้ก (Cheesecake) เป็นขนมปังที่ประกอบด้วยชั้นของชีสนุ่มๆ รสหวาน ผสมกับครีม น้ำตาล ไข่ หวานเนื้อละมุน อัดแน่นด้วยครีมชีส

ชีสเค้ก

ชีสเค้ก (Cheesecake) เป็นขนมปังที่ประกอบด้วยชั้นของชีสนุ่มๆ รสหวาน ผสมกับครีม น้ำตาล ไข่
ชีสเค้กยังเป็นขนมที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบในขณะที่หลายคนคิดว่ามีต้นกำเนิดในนิวยอร์ก แต่ที่จริงแล้วเมื่อราวศตวรรษที่ 5 ชีสเค้กชิ้นแรกถูกทำขึ้นบนเกาะซามอสของกรีก นักมนุษยวิทยากายภาพได้ขุดพบแม่พิมพ์ชีสที่นั่นซึ่งมีอายุประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการผลิตชีสและเนยแข็งน่าจะมีอายุประมาณหลายพันปีก่อนหน้านี้ ชีสเค้กถือเป็นแหล่งพลังงานที่ดีและมีหลักฐานว่ามันถูกเสิร์ฟให้กับนักกีฬาในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี 776 ก่อนคริสต์ศักราช อีกทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าวชาวกรีกยังรู้จักใช้ชีสเค้กในแต่งงาน มีส่วนผสมง่ายๆ เช่น แป้งข้าวสาลี น้ำผึ้ง และชีส ถูกนำมาประกอบเป็นเค้กแล้วอบ ซึ่งชีสเค้กได้รับการแนะนำให้เป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาเมื่อผู้อพยพมาจากยุโรปไปอเมริกาที่สำคัญชีสกระท่อมเป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในสูตรอาหารในสมัยนั้นอีกด้วย

สูตรทำชีสเค้ก

ส่วนผสมชีสเค้ก สำหรับขนาด 3 ปอนด์

1. แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำตาลทราย 130 กรัม
3. ครีมชีสพักไว้ในอุณหภูมิห้อง 400 กรัม
4. ไข่ไก่เบอร์หนึ่ง 3 ฟอง
5. ผงวานิลลา 2 ช้อนชา
6. วิปปิงครีม 3/4 ถ้วย
7. พิมพ์เค้กขนาด 8 นิ้ว
8. กระดาษรองอบ หรือกระดาษไข

ส่วนผสมชีสเค้กฟักทองช็อคโกแลต

1. ฟักทอง 300 กรัม
2. ครีมชีส 300 กรัม
3. น้ำตาล 100 กรัม
4. ครีมสด 150 กรัม
5.แป้งทำเค้ก 35 กรัม
6. ไข่ 2 ฟอง
7. ผงวานิลลา 2 ช้อนชา
8. ช็อคโกแลตเหลว สำหรับตกแต่งหน้าชีสเค้ก
9. กระดาษรองอบ หรือกระดาษไข

ส่วนผสมชีสเค้กญี่ปุ่นเนื้อฟูนุ่ม

1. ครีมชีส 200-225 กรัม
2. น้ำตาล 30 กรัม
3. เนย 30 กรัม
4. ไข่แดง 3 ฟอง
5. ครีมสด 100 ml
6. น้ำเลม่อน 1 ช้อนโต๊ะ
7. เหล้ารัม 1/2 ช้อนโต๊ะ
8. แป้งเค้ก 40 กรัม
9. ไข่ขาว 3 ฟอง
10. น้ำตาล 50 กรัม
11. แยมมัลเบอร์รี่ ตามชอบ
12. พิมพ์กลมขนาด 7 นิ้ว
13. กระดาษรองอบ หรือกระดาษไข

วิธีทำชีสเค้ก

1. ตีครีมชีสกับน้ำตาลด้วยเครื่องตีไฟฟ้าจนเนียนเข้ากัน
2. ใส่ไข่ทีละฟอง ตีให้เข้ากัน ใส่วิปปิงครีมตีต่อให้เข้ากันจนฟูเป็นครีมข้นๆ
3. ใส่แป้งข้าวโพดและผงวานิลลา ตะล่อมเบาๆให้เข้ากัน
4. เทใส่พิมพ์เค้กที่รองด้วยกระดาษรองอบ เคาะเบาๆ
5. อบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส อบประมาณ 50-60 นาที ปิดไฟเตาอบ พักไว้ในเตา 10 นาที
6. ยกออกจากเตา พักไว้ให้เย็น นำไปแช่ตู้เย็นก่อนเสิร์ฟ 1 ชั่วโมง
7. ตัดเป็นชิ้น จัดใส่จานเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มตามชอบ

สิ่งที่จะทำให้ชีสเค้กมีความโดดเด่นนั่นคือครีมชีส วิธีทำก็ง่ายเหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากหัดทำเบเกอรี่ ชอบสูตรไหนลองทำได้เลยนะคะ หรือจะดัดแปลงเป็นสูตใหม่ ๆ ทำขายเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้เสริมก็เข้าท่า รับรองลูกค้าต้องชอบแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แพนเค้ก (Pancakes) ขนมปังแบนแสนอร่อย

0
แพนเค้ก (Pancakes) ขนมปังแบนแสนอร่อย
แพนเค้ก (Pancakes) มีลักษณะเป็นขนมปังแผ่นบางๆสีน้ำตาลอมเหลือง เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งสาลี น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง และนมเปรี้ยว ทำบนกระทะ
แพนเค้ก (Pancakes) ขนมปังแบนแสนอร่อย
แพนเค้ก (Pancakes) มีลักษณะเป็นขนมปังแผ่นบางๆสีน้ำตาลอมเหลือง เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งสาลี น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง และนมเปรี้ยว ทำบนกระทะ

แพนเค้ก

แพนเค้ก (Pancakes) เป็นขนมปังชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งสาลี น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง และนมเปรี้ยว ทำบนกระทะแบนมีลักษณะเป็นขนมปังแผ่นบางๆสีน้ำตาลอมเหลือง แพนเค้กมีต้นกำเนิดราวๆ 30,000 ปีก่อนในช่วงยุคหิน แพนเค้กเป็นทั้งอาหารคาว อาหารหวานสามารถทานเป็นอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็นพบได้ทั่วโลก แพนเค้กเสิร์ฟพร้อมน้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง และแต่งหน้าด้วยท็อปปิ้งต่าง ๆ ตามชอบ

ส่วนผสมแพนเค้ก

  • แป้งอเนกประสงค์ 100 กรัม
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เกลือ ¼ ช้อนชา
  • น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่ 1 ฟอง
  • นม 100 มิลลิลิตร
  • เนย 30 กรัม

วิธีทำแพนเค้ก

  1. นำส่วนผสมที่เตรียมไว้แป้งสาลี น้ำตาล เกลือ ผงฟู ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  2. จากนั้นตอกไข่ไก่ลงไป พร้อมเทนมตามลงไปตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  3. เทเนยลงไปตีให้เป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้ง
  4. ตั้งกระทะด้วยไฟปานกลาง รอให้กระทะร้อนรอประมาณ 2 นาที
  5. ทาเนยในกระทะเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ติดกระทะ
  6. เริ่มเทแป้งที่เตรียมไว้จากตรงกลางเทช้าๆ ในลักษณะวงกลมเพื่อให้แป้งกระจายออกเป็นรูปทรงกลมสวยงาม
  7. ปล่อยให้แพนเค้กสุกพอดี (อย่ารีบพลิกเร็วเกินไป) ปล่อยให้ด้านล่างเป็นสีน้ำตาลสวยงามและเมื่อฟองอากาศเริ่มก่อตัวขึ้นด้านบนและรอบ ๆ พื้นผิว (ด้านที่เป็นแป้ง) ก็พร้อมที่จะพลิกกลับอีกด้านทำแบบนี้จนแป้งหมด
  8. จัดจานโดยการวางแพนเค้กซ้อนกันประมาณ 5-6 แผ่น แต่งหน้าด้วยผลไม้สด แล้วราดน้ำผึ้งหรือซอสที่เตรียมไว้ พร้อมเสิร์ฟได้

หากคุณกำลังมองหาสูตรทำแพนเค้กที่แสนอร่อยอยู่ละก็ เราขอแนะนำสูตรนี้ทำกินเองก็อร่อยหรือจะทำเพื่อสร้างรายได้เสริมก็สุดปัง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เค้กบราวนี่ หรือ บราวนี่ช็อคโกแลต วิธีทำง่ายๆ (Brownie)

0
เค้กบราวนี่ หรือ บราวนี่ช็อคโกแลต วิธีทำง่ายๆ (Brownie)
บราวนี่ยังได้รับความนิยมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นขนมทานเล่น ที่โดดเด่นในเรื่องรสชาติที่เข้มข้นของผงโกโก้ รับประทานได้ในทุกโอกาส
เค้กบราวนี่ หรือ บราวนี่ช็อคโกแลต วิธีทำง่ายๆ (Brownie)
บราวนี่ยังได้รับความนิยมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นขนมทานเล่น ที่โดดเด่นในเรื่องรสชาติที่เข้มข้นของผงโกโก้ รับประทานได้ในทุกโอกาส

เค้กบราวนี่

บราวนี (Brownie) เป็นเค้กสไตล์อเมริกันที่ใช้ช็อกโกแลตและผงโกโก้เป็นส่วนผสมเพิ่มความกรุบกรอบโรยหน้าด้วยวอลนัท หรือพิสตาชิโอ บราวนี่เป็นขนมอบที่ถือได้ว่าเป็นลูกผสมระหว่างเค้กและคุกกี้ด้วยรูปลักษณ์ที่มีความหนาและเป็นแท่งสี่เหลี่ยม ส่วนประกอบพของบราวนี่ประกอบด้วยแป้ง ไข่ เนย ผงโกโก้ ช็อคโกแลต และน้ำตาลเรียกได้ว่าเป็นส่วนประกอบหลักของเค้กบราวนี่

ประเภทของบราวนี่

  • Fudge brownie (บราวนี่ฟัดจ์) : เป็นบราวนี้ที่ทำด้วยดาร์กช็อกโกแลต และเนยละลาย มีส่วนผสมหลัก คือ แป้งเค้ก ไข่ น้ำตาล ผงฟู
  • Brownie cake (บราวนี่เค้ก) : เป็นเค้กสีน้ำตาลเข้มๆ เนื้อสัมผัสนุ่มฟู และเบา มีส่วนผสมหลักทำด้วยผงโกโก้ แป้งเค้ก เนย ไข่ น้ำตาล ผงฟู
  • Chewy brownies (บราวนี่หนึบ) : เป็นลักษณะเค้กเนื้อสัมผัสที่อยู่ตรงกลางระหว่างเค้กและฟัดจ์ที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลตละลาย และผงโกโก้ มีลักษณะเนื้อชุ่มหนึบๆ เคี้ยวได้

ส่วนผสมของเค้กบราวนี่ (สำหรับ 1 พิมพ์)

  • เนยสดจืด 60 กรัม
  • ดาร์กช็อกโกแลต 55 กรัม
  • น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลทราย 75 กรัม
  • ไข่ไก่เบอร์ใหญ่ 1 ฟอง
  • แป้งเค้ก 35 กรัม
  • ผงโกโก้ 15 กรัม
  • เกลือป่น 1 หยิบมือ
  • ช็อกโกแลตชิพ 10 กรัม
  • วอลนัท 10 กรัม
  • เฮเซลนัตอบ 10 กรัม
  • พิสตาชิโออบ 10 กรัม
  • กระดาษไขอบ สำหรับปูถาดอบ
  • พิมพ์เค้กทรงสี่เหลี่ยมขนาด 8 x 18 x 5.5 เซนติเมตร

วิธีทำเค้กบราวนี่ (สำหรับ 1 พิมพ์)

  • เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส
  • ปูกระดาษไขลงในพิมพ์
  • ผสมแป้งเค้กและผงโกโก้รวมกัน ร่อนเตรียมไว้
  • สับช็อกโกแลตให้ละเอียดแล้วละลายด้วยเตาไมโครเวฟ
  • ละลายเนยสดด้วยเตาไมโครเวฟ จากนั้นใส่น้ำตาลและเกลือป่นลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้ละลายเข้ากัน
  • ใส่ไข่ไก่ลงไปผสมให้เข้ากันตามด้วยช็อกโกแลตละลายคนให้เข้ากัน จากนั้นใส่ส่วนผสมแป้งผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน
  • ใส่ถั่วทั้งหมดลงไป ใช้พายยางคนเบาๆให้ทั่ว
  • เทส่วนผสมลงไปในพิมพ์ที่เตรียมไว้ ยกพิมพ์เอียงไปมาเพื่อให้หน้าขนมเรียบขึ้น
  • ตกแต่งหน้าบราวนี่ก่อนอบด้วยถั่วต่างๆ ที่เตรียมไว้ให้สวยงามตามความชอบ
  • นำเข้าเตาอบนานประมาณ 30 นาที หรือจนสุก
  • ยกเค้กบราวนี่ออกจากเตาวางพักไว้ แล้วค่อยๆแกะเค้กออกจากพิมพ์พร้อมกับกระดาษไข วางพักต่อให้เย็นสนิท
    แล้วแกะกระดาษไขออกแล้วตัดแบ่งเค้กเป็นชิ้นๆ เท่าๆกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร

สูตรบราวนี่หนึบ สุดฮิตในโลกโซเชียล

ส่วนผสม บราวนี่หนึบ (ถาดสี่เหลี่ยมขนาด 26.5×16 ซม.)

  • เนยจืด 140 กรัม
  • ช็อกโกแลต 53-60% 165 กรัม
  • ไข่ไก่ (ไข่หนัก 60 กรัมต่อฟอง) 2 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 180 กรัม
  • เเป้งสาลีอเนกประสงค์ 75 กรัม
  • ผงโกโก้ 15 กรัม
  • เกลือ

วิธีทำบราวนี่หนึบ

  • เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ใช้ถาดอบขนาด 26.5 x16 ซม. และรองกระดาษไข
    ต้มน้ำร้อนใส่หม้อ
  • นำเนย และช็อกโกแลตใส่ในอ่างผสม โดยนำอ่างผสมวางบนหม้อน้ำร้อน
  • เมื่อเนยและช็อกโกแลตละลายแล้วให้ใส่ไข่ไก่ และนํ้าตาลลงไปผสม และตีให้เข้ากัน (ผสมอย่าให้นานเกิน 30 วินาที เพราะจะทำให้บราวนี่ไม่ขึ้นหน้าฟิล์ม)
  • นำแป้ง ผงโกโก้ และเกลือมาร่อน ใส่ในอ่างผสมและคนผสมให้เข้ากัน
  • นำส่วนผสมของบราวนี่มาใส่ในถาด และนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส อบประมาณ 20-25 นาที
  • เมื่ออบสุกแล้วทิ้งให้บราวนี่เย็นตัว แล้วนำเข้าแช่ช่องแข็ง ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นตัดเป็นชิ้นและเสิร์ฟได้เลยจร้า

อย่างไรก็ตามบราวนี่ยังได้รับความนิยมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นขนมทานเล่น โดดเด่นในเรื่องรสชาติที่เข้มข้นของผงโกโก้ หรือช็อกโกแลตที่อร่อยถูกใจรับประทานได้ในทุกโอกาส สามารถทานร่วมกับเมนูอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น เสริฟพร้อมกันไอศกรีม เครื่องดื่มเย็นๆ เครื่องดื่มร้อน เป็นต้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรเค้กบัตเตอร์ บัตเตอร์เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Butter Cake )

0
สูตรเค้กบัตเตอร์ บัตเตอร์เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Butter Cake )
เค้กบัตเตอร์จะดูแตกต่างจากคนอื่นนั้นก็ขึ้นอยู่ที่การตกแต่ง และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ช่วยเพิ่มความอร่อยให้เค้กวันเกิด
สูตรเค้กบัตเตอร์ บัตเตอร์เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Butter Cake )
เค้กบัตเตอร์จะดูแตกต่างจากคนอื่นนั้นก็ขึ้นอยู่ที่การตกแต่ง และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ช่วยเพิ่มความอร่อยให้เค้กวันเกิด

บัตเตอร์เค้ก

บัตเตอร์เค้ก ( Butter Cake ) หรือเค้กเนย คือ เค้กที่มีส่วนผสมของเนยเป็นหลัก รสชาติเข้มข้น หอมเนย มีเนื้อเนียนละเอียด เหมาะสำหรับคนชอบเค้กเนื้อแน่นนิดๆ บัตเตอร์เค้กราคาไม่สูงมากนัก จึงนิยมนำมาแต่งหน้าด้วยบัตเตอร์ครีมที่เข้ากันดีกับเนื้อเค้ก อีกทั้งเนื้อเค้กยังรับน้ำหนักบัตเตอร์ครีมได้ดีกว่าเค้กชนิดอื่น

บัตเตอร์เค้ก รสชาตต่างๆ

  • บัตเตอร์เค้กเนยสด
  • บัตเตอร์เค้กช็อกโกแลต
  • บัตเตอร์เค้กกล้วยหอม
  • บัตเตอร์เค้กลูกเกด
  • บัตเตอร์เค้กส้ม

สูตรบัตเตอร์เค้กง่าย ๆ

ส่วนผสมบัตเตอร์เค้ก

  1. แป้งอเนกประสงค์ 1 ½ ถ้วย
  2. เกลือ ½ ช้อนชา
  3. ผงฟู 2 ช้อนชา
  4. เนย ½ ถ้วย
  5. น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วย
  6. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  7. แต่งกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  8. นม ¾ ถ้วย

วิธีทำบัตเตอร์เค้ก หรือเค้กวันเกิด

  • ขั้นตอนที่ 1 เปิดเตาอบที่ 350 ⁰F หรือ 175 °C ทาเนยหรือน้ำมันในถาดอบสี่เหลี่ยมขนาด 8 นิ้วแล้วใช้กระดาษไขสำหรับอบวางด้านล่าง
  • ขั้นตอนที่ 2 ร่อนแป้ง เกลือและผงฟูเข้าด้วยกัน
  • ขั้นตอนที่ 3 ตีเนยและน้ำตาลทรายขาวจนฟูแล้วค่อย ๆ ใส่ไข่ตีให้เข้ากันหลังจากนั้นเติมกลิ่นวานิลลาลงไป หลังจากนั้นใส่ส่วนผสมที่ร่อนแล้วลงในครีมผสมสลับกับนม คนจนเข้ากันทั้งหมด เทแป้งที่ผสมเสร็จแล้วลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้
  • ขั้นตอนที่ 4 นำเข้าอบที่ 350 °F (175 °C) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ปล่อยให้เย็นประมาณ 10 นาที ก่อนเทออกจากถาดพิมพ์วางในตะแกรงเพื่อให้เย็นสนิท หั่นเห็นชิ้นขนาดพอเหมาะพร้อมใส่จาน

บัตเตอร์เค้กกี่แคล

คุณค่าโภชนาการของบัตเตอร์เค้ก ปริมาณบัตเตอร์เค้ก 32 g ให้พลังงานทั้งหมด 119.1 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 10.5 กรัม
ไขมัน 6.6 กรัม
คลอเรสเตอรอล 104 mg
โซเดียม 36.7 mg
โพแทสเซียม 44.1 mg

เคล็ดลับการอบบัตเตอร์เค้กวันเกิด

  • ใช้เนยคุณภาพดี
  • ใช้เครื่องผสมมือหรือเครื่องผสมแบบยืน เพื่อให้แป้งเค้กเข้ากัน
  • ร่อนแป้งและส่วนผสมทุกครั้ง เพื่อให้แป้งเค้กเนียน
  • โยเกิร์ตเป็นที่ต้องการมากกว่านมและจะทำให้เค้กนุ่มฟูและชุ่มเป็นพิเศษ
  • เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ด้านบนของเค้กเป็นสีน้ำตาลมากเกินไป ให้ใช้ฟอยล์ ปิดฝาไว้หนึ่งชั้นขณะอบ ถ้าปิดด้านบนของเค้กด้วยฟอยล์ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแป้งเค้กไม่เกาะติด

เคล็ดลับดีๆ ที่นำมาฝากหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มความอร่อยให้เค้กวันเกิด บัตเตอร์เค้กของคุณ แม้ว่ารสชาติจะเป็นสิ่งที่สำคัญแต่สัมผัสแรก คือ การตกแต่งหน้าเค้กให้สวยน่าดึงดูดใจ และกลิ่นหอมอันเย้ายวนของบัตเตอร์เค้กที่พึ่งออกจากเตาอบใหม่ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรสปันจ์เค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก (Sponge Cake)

0
สูตรสปันจ์เค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก
สปันจ์เค้กทำจากส่วนผสมหลักสามอย่าง เนื้อเค้กชิ้นใหญ่ฟูนุ่มน้ำหนักเบาและเนื้อโปร่ง สามารถดูดซับอะไรก็ได้เช่นเดียวกับฟองน้ำ
สูตรสปันจ์เค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก
สปันจ์เค้กทำจากส่วนผสมหลักสามอย่าง เนื้อเค้กชิ้นใหญ่ฟูนุ่มน้ำหนักเบาและเนื้อโปร่ง สามารถดูดซับอะไรก็ได้เช่นเดียวกับฟองน้ำ

สปันจ์เค้ก

สปันจ์เค้ก (Sponge Cake) เป็นเค้กทำจากส่วนผสมหลักสามอย่าง ได้แก่ แป้ง ไข่ และน้ำตาล ส่วนผสมเหล่านี้มีน้ำหนักเบาและเนื้อโปร่ง เป็นผลทำให้อากาศที่ถูกตีเข้าไปในไข่แดงและไข่ขาวที่แยกออกจากกัน เมื่ออบแล้ว Sponge Cakes จะฟูน่าทาน สามารถทานได้หลากหลายทั้งกับแยมส้ม แยมบลูเบอร์รี่ แยมสตรอว์เบอร์รี่ แยมมัลเบอร์รี่ แยมวิปปิ้งครีม ผลไม้สด ซอสผลไม้ ซอสช็อกโกแลต ฯลฯ ทำเป็นเมนูโปรดที่ใช้ในขนมหวานหลายชนิดที่เรียก “เค้ก” เป็นฐาน ทั้งเค้กวันเกิดที่เราคุ้นตาที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเนื้อเค้กชิ้นใหญ่ฟูนุ่มสามารถดูดซับอะไรก็ได้เช่นเดียวกับฟองน้ำนั่นเอง

สูตรสปันจ์เค้ก 

ส่วนผสมเค้กเนื้อสปันจ์

1. แป้งสปันจ์ 100 กรัม
2. ผงฟู 1 ช้อนชา
3. ไข่ไก่เบอร์ 0 ( 3 ฟอง )
4. น้ำตาลทราย 80 กรัม
5. เกลือ 1/4 ช้อนชา
6. น้ำ 35 กรัม
7. นมข้นจืด 40 กรัม
8. วนิลา 1 ช้อนชา
9. สารเสริม SP 15 กรัม (สารเสริมคุณภาพเค้กที่มีไข่เป็นองค์ประกอบหลัก)
10. เนยสดจืด หั่นชิ้นเล็ก 80 กรัม

วิธีทำเค้กเนื้อสปันจ์

เค้กแบบสปันจ์จะแบ่งส่วนผสมออกเป็น 3 ส่วน

  • ส่วนที่ 1 คือ นำเนยสด นำไปละลายด้วยไมโครเวฟ และพักไว้พออุ่นๆ
  • ส่วนที่ 2 คือ นำแป้งเค้ก ผงฟู ให้ร่อนให้เข้ากันและพักไว้ก่อน
  • ส่วนที่ 3 คือ นำไข่ไก่ น้ำตาลทราย เกลือ น้ำ นมข้นจืด วนิลา และ SP
  1. นำส่วนผสมทุกอย่างใส่ในโถผสมเครื่องตีแป้ง
  2. ตีส่วนผสมด้วยความเร็วสูงสุด ใช้หัวตะกร้อ ส่วนผสมจะค่อยๆฟูขึ้นตามระดับ ขึ้นมาตามขอบอ่างผสม เหมือนรอยน้ำท่วม ดูจนกระทั่งรอยขอบน้ำไม่สูงขึ้นอีก ลักษณะเนื้อที่ได้จะเนียนละเอียดไม่เห็นฟองอากาศเลย จนส่วนผสมเนียน
  3. ปรับความเร็วเครื่องตีเป็นความเร็วต่ำ ค่อยๆเทส่วนผสมจากส่วนที่ 2 (แป้งเค้กผงฟูที่ร่อนแล้ว)ที่ปรับเป็นความเร็วต่ำเพื่อไม่ให้แป้งฟุ้งกระจายครับ ตีให้เข้ากันจนเนียน

เคล็ดลับการอบเค้กสปันจ์ เค้กวันเกิด

  • ควรร่อนแป้งเค้กสปันจ์หรือส่วนผสมทุกครั้งที่ทำ
  • ควรนำไข่วางไว้ที่อุณหภูมิห้องจะทำให้ไข่แดงและไข่ขาวตีเข้ากันได้ง่ายขึ้น
  • ควรใช้เครื่องผสมในการตีเนยและน้ำตาลก่อน เพื่อให้ได้เนื้อครีมที่เนียนสม่ำเสมอ
  • หากส่วนผสมข้นเกิดไปให้ค่อยๆเติมนมลงไป จะช่วยให้ส่วนผสมของแป้งสปันน์เนียนขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการผสมแป้งมากเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมของเค้กเหลว อาจส่งผลต่อการอบเนื้อเค้กอย่างมาก
  • หลีกเลี่ยงการเปิดเตาอบไว้นานเกินไป

เค้กฟองน้ำ หรือ สปันจ์เค้ก ทำจากส่วนผสมหลักสามอย่างเป็นเค้กที่ทำจากแป้ง น้ำตาล ไข่ และบางครั้งผงฟู เพื่อให้ฟูและมีฟองอากาศอย่างผิวฟองน้ำ เนื้อเค้กฟูนุ่มน้ำหนักเบาและเนื้อโปร่ง สามารถตกแต่งหน้าได้แบบเบาๆ เพราะน้องเขาเนื้อค่อนข้างยุบง่าย ลองทำตามสูตรกันดูนะคะ 

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

[/vc_column_text]

[/vc_column][/vc_row]

ขนมเค้ก และเนื้อเค้กประเภทที่นิยมใช้เป็นเค้กวันเกิด

0
ขนมเค้ก
เค้กที่นำมาใช้ตกแต่สวยงานด้วยข้อความอวยพรจะมีคุณสมบัติของเนื้อที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กันหน้าตาของเค้กที่ตกแต่ง
เนื้อเค้กประเภทที่นิยมใช้เป็นเค้กวันเกิด
เค้กที่นำมาใช้ตกแต่สวยงานด้วยข้อความอวยพรจะมีคุณสมบัติของเนื้อที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กันหน้าตาของเค้กที่ตกแต่ง

ขนมเค้ก

ขนมเค้ก (cake) คือ อาหารชนิดหนึ่งที่มักจะมีลักษณะหวานและผ่านกระบวนการอบ ซึ่งจะทำมาจากแป้ง น้ำตาล และส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ไข่, แป้งสาลี, ผัก, ผลไม้ที่ให้รสหวานหรือเปรี้ยว เป็นต้น หรือส่วนประกอบที่มีไขมัน เช่น เนย, ชีส, ยีสต์, นม, เนยเทียม เป็นต้น และนิยมรับประทานเป็นของหวานและฉลองในเทศกาลต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเกิดและวันแต่งงาน ซึ่งในโลกมีตำรับหรือสูตรการทำเค้กเป็นจำนวนมาก อีกทั้งตำรับการทำเค้กบางสูตรก็มีการสืบทอดการทำเป็นเวลาหลายศตวรรษ และเค้กนั้นยังเป็นอาหารหวานที่นิยมไปทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบันมีผู้สนใจที่อยากจะเรียนทำเค้กเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ มากมาย อย่างเช่น เรียนเพื่อที่จะนำมาประกอบอาชีพเปิดร้านเค้ก เป็นต้น

ประเภทของเค้ก

  • เค้กเนย (butter cake) ส่วนผสมหลักที่ทำให้ขึ้นฟูคือเนย โดยจะตีเนยกับน้ำตาลให้เป็นครีมฟูก่อน จึงเติมไข่ นม และแป้ง แบ่งย่อยได้อีกหลายชนิด เช่น เค้กชั้น ฟรุตเค้ก และเค้กปอนด์ 
  • เค้กไข่ (foam cake) เป็นเค้กที่ขึ้นฟูโดยตีฟองอากาศเข้าไปในไข่ แบ่งย่อยเป็น 3 ชนิดคือ
    • ชิฟฟอนเค้ก (chiffon cake) ชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้ก ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มผู้ที่ต้องการบริโภคเค้กที่มีไขมันไม่มาก และรสชาติที่ไม่เลี่ยนจนเกินไปและด้วยเอกลักษณ์ประจำตัว นั่นก็คือความนุ่มละมุนละไมอีกทั้งสามารถดัดแปลงรสชาติได้มากและหลากหลาย ทั้งยังขายง่ายต้นทุนต่ำได้กำไรสูง จึงทำให้มีผู้สนใจในการประกอบกิจการเพื่อผลิตและจำหน่ายชิฟฟอนเค้ก หรือ ชีฟองเค้กเป็นจำนวนมาก
    • เค้กไข่ขาว (angle food cake) ใช้ไข่ขาวล้วน ไม่ใส่ไข่แดงและไขมันใดๆ แต่ใส่น้ำตาลมาก
    • สปันจ์เค้ก (sponge cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ทั้งฟองกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู
  • มูสเค้ก (Mousse cake) เป็นเค้กที่ตีไข่ขาวหรือวิปปิ้งครีมให้ฟูก่อนจะผสมกับส่วนผสมอื่น ทำให้เค้กนุ่ม เบา มักใส่เจลาตินเพื่อช่วยให้คงรูป และต้องแช่เย็นไว้จนกว่าจะรับประทาน
  • ชีสเค้ก (cheesecake) เป็นเค้กที่มีครีมชีสเป็นองค์ประกอบหลัก มีทั้งแบบอบ และแบบไม่อบแต่ใสเจลาตินเป็นตัวช่วยให้คงรูปร่าง ต้องแช่เย็นเช่นกัน

เนื้อเค้กที่นิยมทำมาทำเป็นเค้กวันเกิด

เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดสิ่งที่หลายๆคนจะนึกถึงก็คือ เค้กวันเกิด หากยิ่งเป็นวันเกิดของคนพิเศษด้วยแล้วคุณก็อยากจะได้เค้กแบบสวยงามลวดลายน่ารักๆ ไปเซอร์ไพรส์กัน ซึ่งเค้กที่นำมาใช้ตกแต่งสวยงานด้วยข้อความอวยพรจะมีคุณสมบัติต่างกันไป โดยสิ่งที่จะใช้ในการเลือกเค้กวันเกิด ของคุณ มีดังนี้

เค้กเนื้อบัตเตอร์ หรือบัตเตอร์เค้ก ( Butter Cake )

เนื้อเค้กแบบบัตเตอร์ถือเป็นเนื้อที่แน่นมากกว่าเนื้อเค้กชนิดอื่นๆ เพราะเนื้อเค้กแบบนี้จะมีส่วนผสมของแป้ง นม ไข่ และเนยเยอะมากโดยเน้นเนยเป็นส่วนผสมหลักที่เยอะที่สุด และยังมีอากาศในเนื้อเค้กน้อยจึงทำให้เนื้อเค้กมีช่องรูอากาศน้อยจนมีเนื้อละเอียด แน่น นุ่ม ฉ่ำ และหอมเนย เนื้อเค้กแบบบัตเตอร์ส่วนมากจะนำไปทำเค้กที่ต้องรับน้ำหนัก เช่น เค้กผลไม้ บัตเตอร์เค้ก เค้กบีบครีม ที่ต้องมีส่วนผสมของผลไม้ต่างๆทั้งในเนื้อเค้กและหน้าเค้ก เพราะเค้กลักษณะนี้จะมีโครงสร้างที่แข็งแรงสามารถรับน้ำหนักของครีมหรือผลไม้สดที่ใช้แต่งหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าหากใช้เนื้อเค้กแบบอื่นจะทำให้เค้กไม่สามารถรับน้ำหนักได้จนทำให้เวลาอบเค้กไม่พองตัวขึ้นมาหรือเค้กอาจยุบตัวลง  (สูตรทำบัตเตอร์เค้ก)

สปันจ์เค้ก หรือเค้กเนื้อฟองน้ำ ( Sponge Cake )

เนื้อเค้กแบบสปันจ์เป็นเนื้อที่อยู่ตรงกลางระหว่างบัตเตอร์เค้กที่มีความแน่นและชิฟฟอนที่มีความเบา เนื้อเค้กแบบสปันจ์ส่วนใหญ่จะนิยมนำมาทำเป็นเค้กที่ยังเน้นการแต่งหน้าอยู่แต่ต้องไม่หนักเวลาที่จะรับประทาน เนื้อเค้กมักจะไม่มีการผสมผลไม้ เมล็ดถั่ว หรือส่วนผสมอื่นๆเพิ่มในเนื้อเค้ก มักนำไปทำเค้กที่เป็นชั้น เช่น แยมโรล ขนมไข่  เป็นต้น (สูตรทำสปันจ์เค้ก)

เนื้อชิฟฟอนเค้ก ( Chiffon Cake )

เนื้อเค้กแบบชิฟฟอนเป็นเนื้อเค้กที่เบาและบางที่สุด เนื้อฟู และละลายในปากแบบไม่ต้องเคี้ยวเลย ซึ่งโครงสร้างของตัวเค้กขึ้นฟูด้วยการตีไข่ขาวกับน้ำตาล เนื้อเค้กแบบนี้จะแต่งหน้า หรือ ไม่แต่งก็ได้ แต่ถ้าแต่งหน้าจะเน้นแบบแต่งเบาๆ เพราะโครงสร้างของเนื้อเค้กจะไม่สามารถรองรับน้ำหนักที่มากของส่วนประสมได้ ทำให้เวลาอบเค้กเนื้อเค้กจะยุบตัวไม่พองขึ้น จึงทำให้เรามักจะพบเห็นเนื้อเค้กแบบชิฟฟอนใน คัพเค้ก เค้กส้ม ชิฟฟอนกาแฟ ชิฟฟอนมะพร้าว ชิฟฟอนใบเตย หรือพวกเค้กหน้านิ่มทั้งหลาย (สูตรทำชิฟฟอนเค้ก)

ตอนนี้เราก็พอจะมีความรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเนื้อเค้กกันบ้างแล้วนะคะ ส่วนขั้นตอนของการทำเนื้อเค้กวันเกิดแบบต่างๆนั้นทำยังไงบ้างซึ่งเราก็มีสูตรการทำมาฝากกันค่ะ มีทั้ง บัตเตอร์เค้ก สปันจ์เค้ก และชิฟฟอน สนใจผงไส้ขนมที่อร่อย ทำง่าย สอบถาม/สั่งซื้อ ผงไส้ขนมสำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรชิฟฟอนเค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Chiffon Cake )

0
สูตรชิฟฟอนเค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Chiffon Cake )
ชิฟฟอนเค้ก ( Chiffon Cake ) เป็นเค้กที่เบานุ่มเกิดจากการผสมของเมอแรงที่ตีจากไข่ขาวจนขึ้นฟูผสมกับแป้งปริมาณมาก และใส่น้ำมันพืชแทนเนย
สูตรชิฟฟอนเค้ก เค้กวันเกิด และเคล็ดลับการอบเค้ก ( Chiffon Cake )
ชิฟฟอนเค้ก ป็นเค้กที่เบานุ่มเกิดจากการผสมของเมอแรงที่ตีจากไข่ขาวจนขึ้นฟูผสมกับแป้งปริมาณมาก และใส่น้ำมันพืชแทนเนย

ชิฟฟอนเค้ก

ชิฟฟอนเค้ก ( Chiffon Cake ) เป็นเค้กที่เนื้อนุ่มเหมือนผ้าชีฟอง ซึ่งเนื้อที่เบานุ่มของเค้กชิฟฟอนนั้นเกิดจากการผสมของเมอแรงที่ตีจากไข่ขาวจนขึ้นฟูกับส่วนผสมของแป้งปริมาณมาก และใส่น้ำมันพืชแทนเนย นอกจากนี้เนื้อเค้กสามารถปรับแต่งรสชาติได้หลากหลาย และยังมีปริมาณไขมันต่ำกว่าบัตเตอร์เค้ก

สูตรชิฟฟอนเค้ก ( Chiffon Cake )

ส่วนผสม (ขนาด 2 ปอนด์)

  • ไข่ไก่ ประมาณ 3 ฟอง (แยกไข่แดง และไข่ขาว)
  • น้ำตาลทราย 20 กรัม
  • น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 30 มิลลิลิตร
  • น้ำมันพืช 30 กรัม
  • แป้งเค้ก 50 กรัม
  • ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • แต่งกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  • เมอแรง (วิธีทำมีตอนท้ายบท)

วิธีทำชิฟฟ่อนเค้ก หรือเค้กวันเกิด

  • ตีไข่แดงกับน้ำตาลทรายจนเข้ากัน เติมนม น้ำมันพืช และแต่งกลิ่นตามชอบ แล้วตีต่อจนเข้ากัน
  • ใส่แป้งร่อนพร้อมผงฟู และเกลือลงไป ตีจนเข้ากัน แต่อย่านานมาก เพราะเค้กจะเหนียวได้
  • ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์จนเป็นฟองหยาบ แล้วค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไป โดยแบ่งใส่สัก 3 ครั้ง และเกลือ ตีจนตั้งยอดอ่อนถึงกลางอย่าตีจนตั้งยอดแข็ง เพราะเวลาเอาไปผสมกับส่วนของไข่แดงจะทำให้คนเข้ากันยากมากต้องใช้เวลาตะล่อมนาน ทำให้ฟองอากาศยุบตัวเยอะ ซึ่งจะทำให้เค้กไม่ฟู
  • ตักเมอแรงค์ไข่ขาว 1/3 ส่วนมาตะล่อมกับส่วนของไข่แดง ตะล่อมเบา ๆ จนเข้ากัน หลังจากนั้นก็ใส่เมอแรงค์ไข่ขาวส่วนที่เหลือลงไปจนหมด แล้วคนจนเข้ากันดี
  • เทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ เคาะไล่ฟองอากาศสัก 2-3 ครั้ง ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มลงในเนื้อเค้ก แล้ววนเป็นวงกลมเพื่อไล่ฟองอากาศอีที
  • นำไปอบบนถาดที่เทน้ำร้อนเตรียมไว้ที่อุณหภูมิ 150-160 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 60 นาที
  • พอครบเวลาก็เอาถาดรองน้ำออก แล้วอบไล่ความชื้นต่ออีก 5-7 นาที พอครบเวลาให้พักในพิมพ์สัก 5-10 นาที แล้วค่อยเอาออกจากพิมพ์ เอาออกมาพักต่อบนตะแกรงจนเย็นสนิท

เคล็ดลับการอบชิฟฟอนเค้กวันเกิด

  • ยกเค้กชิฟฟอนออกจากเตา สังเกตว่าหน้าเค้กจะฟูขึ้นเหนือขอบพิมพ์เล็กน้อยและเป็นสีน้ำตาลทอง ลองใช้นิ้วกดเบาๆ ถ้าเค้กคืนรูปทันทีแสดงว่าสุขได้ที่แล้ว
  • พักเค้กชิฟฟอนในพิมพ์สัก 5-10 นาที บนตะแกรงจนเย็นสนิทเพื่อให้เค้กเซตตัวและแกะออกจากพิมพ์ได้ง่าย

วิธีทำเมอแรงค์ (meringue)

1.ใช้หัวตีรูปตะกร้อตีไข่ขาวให้เข้ากัน (ลองยกหัวตีขึ้นถ้ารู้สึกว่าไข่ขาวค่อนข้างหนืดและไหลลงมาเป็นสายยาวแสดงว่าใช้ได้แล้ว) 2.จากนั้นปรับความเร็วสูงตีต่อจนขึ้นฟู เติมน้ำตาลลงไป 1 ส่วน 3 ตีผสมกันจนเกือบตั้งยอดอ่อน 3.ใส่แป้งเค้กลงไปใช้ตะกร้อมือตีต่อจนเนื้อเนียนเข้ากันดีเตรียมไว้ 4.ใส่น้ำตาลทรายอีกครึ่งส่วนตีต่อให้ตั้งยอดอ่อน 4.เติมน้ำตาลทรายที่เหลือตีต่อจนตั้งยอดแข็ง จากนั้นปรับความเร็วต่ำหรือใช้ตะกร้อมือคนเร็วๆ ให้เนื้อเนียนและขึ้นเงา

ข้อควรระวัง สำหรับการตีเมอแรงค์

1.ห้ามเติมน้ำตาลช้าเกินไปเมื่อไข่ขาวเริ่มขึ้นฟู เมื่อสังเกตเห็นฟองอากาศขนาดใหญ่ให้เติมน้ำตาลลงผสมทีละน้อย 2.ห้ามตีเมอแรงนานเกินไปจนเป็นก้อน เพราะจะทำให้เนื้อเค้กหยาบและแห้ง 3.หากวางทิ้งไว้นานจนหน้าเมอแรงค์แห้ง ให้แก้ด้วยการนำกลับไปตีให้เนื้อเนียนก่อนผสมกับเนื้อเค้ก เมนูชิฟฟ่อนเค้กนี้ถ้าได้ลองกินจะติดใจหลงรักกับเนื้อเค้กฟูนุ่มลื่นกลืนง่ายไม่ติดคอ ซึ่งหากชอบครีมก็ปาดเพิ่มลงไปความหนาตามชอบ หรือจะแต่งหน้าเบาๆเพื่อเป็นเค้กวันเกิดก็ได้ แต่ถ้าไม่ชอบกินครีมก็จัดเนื้อชิฟฟ่อนแต่งกลินตามชอบแบบจัดเต็ม รับรองว่ากินเพลินจนคำสุดท้ายแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม