ตะไคร้ สมุนไพรกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกายและไล่ยุงได้

0
ตะไคร้ สมุนไพรกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกายและไล่ยุงได้
ตะไคร้ เป็นสมุนไพรที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทย มีลักษณะเป็นกอ กาบนอกสีเขียวและกาบในสีขาว ปลายใบแหลมสีเขียว มีกลิ่นหอมละมุน
ตะไคร้ สมุนไพรกลิ่นหอมละมุน ช่วยบำรุงร่างกายและไล่ยุงได้
ตะไคร้ เป็นสมุนไพรที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทย มีลักษณะเป็นกอ กาบนอกสีเขียวและกาบในสีขาว ปลายใบแหลมสีเขียว มีกลิ่นหอมละมุน

ตะไคร้

ตะไคร้ (Lemon-grass) เป็น สมุนไพรที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทย มีการนำตะไคร้มาใช้ประโยชน์มาตั้งแต่โบราณ เป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยามากมาย มีกลิ่นหอมละมุน จึงนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ไล่ยุง และนำมาทำเป็นน้ำตะไคร้เพื่อสุขภาพ เป็นพืชสมุนไพรที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีประโยชน์มากมายต่อร่างกายและช่วยแก้พิษต่าง ๆ ได้

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของตะไคร้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญว่า “Lemongrass” และ “Lapine”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคเหนือเรียกว่า “จะไคร้” ภาคใต้เรียกว่า “ไคร” กลุ่มกบฏเงี้ยวและจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “คาหอม” ชาวกะเหรี่ยงและจังหวัดแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ห่อวอตะไป่” ประเทศเขมรและจังหวัดปราจีนบุรีเรียกว่า “หัวสิงโต” คนทั่วไปเรียกว่า “ตะไคร้แกง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์หญ้า (POACEAE หรือ GRAMINEAE)

ลักษณะของตะไคร้

ตะไคร้ เป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้าที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินโดนีเซีย ศรีลังกา พม่า อินเดีย ไทย ในทวีปอเมริกาใต้ และคองโก ตะไคร้แบ่งออกเป็น 6 ชนิด ดังนี้

  • ตะไคร้กอ : ขึ้นเป็นกอ มีกาบใบที่เรียงอัดซ้อนกัน กาบนอกสีเขียวและกาบในสีขาว ปลายใบแหลมสีเขียว ดอกขนาดเล็กสีน้ำตาลแต่ออกดอกยากมาก
  • ตะไคร้ต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบเป็นใบเลี้ยงคู่ หลังใบสีเขียวและท้องใบมีสีขาวนวล เมื่อออกดอกใบจะกลายเป็นสีเหลืองและจะหลุดร่วงไป ดอกมีลักษณะเป็นช่อสั้น ๆ รวมกันเป็นกระจุกที่ซอกใบ มีสีขาวนวลหรือสีครีมและมีกลิ่นหอม ผลมีลักษณะกลมสีเขียว เมื่อแก่จัดเป็นสีม่วงเข้ม ผลมีกลิ่นหอมแรง รากเป็นระบบรากแก้ว
  • ตะไคร้หางนาค : เป็นไม้พุ่ม ใบเดี่ยวเรียวสลับกัน ออกดอกเป็นช่อขนาดเล็กใต้เส้นกลางใบ ผลเป็นรูปแคปซูลลักษณะกลม มีเมล็ด 3 เมล็ด
  • ตะไคร้น้ำ : เป็นไม้ยืนต้นหรือลำต้นแตกออกมาเป็นกอ ต้นมีลักษณะกลม รากเป็นฝอยรวมกันเป็นกระจุกใหญ่ ใบแคบและยาวสีเขียว
  • ตะไคร้หางสิงห์ : เป็นไม้พุ่ม ใบเดี่ยวเรียงสลับกันรูปขอบขนาน ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ มีสีขาวนวล ผลเป็นรูปทรงกลม
  • ตะไคร้หอม : เป็นพืชล้มลุกที่มีกลิ่นหอม มีทรงพุ่มเป็นกอ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบหยักถี่ ใบแข็งและมีผิวใบสาก ปลายใบยาวมีลักษณะโน้มลง ใบมีสีเขียวแกมเหลือง กาบใบเป็นส่วนหุ้มที่มองเป็นลำต้นเทียม มีสีเขียวแกมแดงหรือสีม่วง ออกดอกเป็นช่อยาวขนาดใหญ่

สรรพคุณของตะไคร้

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้นตะไคร้บำรุงธาตุไฟ ขับเหงื่อ เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยดับร้อนและแก้กระหาย
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยขับน้ำดีในการย่อยอาหาร ช่วยในการขับปัสสาวะ รักษาอหิวาตกโรค ต้นช่วยให้เจริญอาหาร สารสกัดจากตะไคร้มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ รากแก้อาการปวดท้องและอาการท้องเสีย หัวตะไคร้รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการขัดเบา แก้อาการปัสสาวะพิการและรักษาโรคนิ่ว น้ำมันหอมระเหยลดการบีบตัวของลำไส้
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการหวัดและอาการไอ บรรเทาอาการปวดท้อง แก้อาการปวดศีรษะ ใบสดรักษาอาการไข้ รากเป็นยาแก้ไข้เหนือและแก้อาการเสียดจุกหรือแน่นแสบบริเวณหน้าอก น้ำมันหอมระเหยบรรเทาอาการปวดและต้านเชื้อราบนผิวหนัง หัวตะไคร้แก้อาเจียนเมื่อนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น เป็นยารักษาเกลื้อน แก้อาการกษัยเส้นและแก้ลมใบ ต้นรักษาอาการหอบหืดและแก้ขับลม
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ใบสดรักษาความดันโลหิตสูง
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค หัวตะไคร้แก้โรคลมอัมพาต แก้โรคหนองในหากนำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • สรรพคุณด้านสมองและการคลายเครียด บำรุงสมองและเพิ่มสมาธิ ช่วยในการนอนหลับ บำรุงระบบประสาท
  • สรรพคุณด้านความงาม ต้นแก้ปัญหาผมแตกปลาย บำรุงผิว

ประโยชน์ของตะไคร้

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร นำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารอย่างต้มยำและอาหารไทยอื่น ๆ แปรรูปเป็นน้ำตะไคร้ ทำเป็นเครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย
2. เป็นส่วนประกอบของยา ทำเป็นยานวดได้
3. ประโยชน์ของกลิ่นตะไคร้ สารระงับกลิ่น ช่วยป้องกันแมลง ไล่ยุงและกำจัดยุง ต้นช่วยดับกลิ่นคาวหรือกลิ่นคาวของปลา เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จำพวกยากันยุงชนิดต่าง ๆ

วิธีทำน้ำตะไคร้หอม

1. นำตะไคร้ 1 ต้น มาล้างให้สะอาด แล้วนำมาหั่นเป็นท่อน ๆ จากนั้นทุบให้แตก
2. ต้มน้ำเปล่า 240 กรัม ให้เดือด แล้วใส่ตะไคร้ลงไป รอจนกระทั่งน้ำออกมาเป็นสีเขียว
3. ปิดเตาแล้วยกลง จากนั้นกรองเอาตะไคร้ออกแล้วเติมน้ำเชื่อม 15 กรัม ทำการคนแล้วดื่มได้ทันที

วิธีทำน้ำตะไคร้ใบเตย

1. นำตะไคร้ 2 ต้น มาทุบให้แหลกพอประมาณ แล้วใช้ใบเตย 3 ใบ มัดตะไคร้ไว้ให้เป็นก้อน
2. ใส่ตะไคร้และใบเตยลงไปในหม้อแล้วเติมน้ำ 1 – 2 ลิตร ต้มให้เดือดสักประมาณ 5 นาที
3. ใส่น้ำตาลแดง 2 ช้อนชา หรือไม่ใส่ก็ได้ สามารถเติมน้ำต้มใหม่ได้ 2 – 3 รอบ

คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้ขนาด 100 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของตะไคร้ขนาด 100 กรัม ให้พลังงาน 143 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 1.2 กรัม
ไขมัน 2.1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
เส้นใย 4.2 กรัม
แคลเซียม 35 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม
เหล็ก 2.6 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม 
ไทอามีน 0.05 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม
ไนอาซิน 2.2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
เถ้า 1.4 กรัม

ตะไคร้ เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่สำคัญต่อคนไทยมานาน ในสมัยก่อนมักจะนำตะไคร้มาทุบใช้ไล่ยุงและนำมาปรุงรสอาหาร สรรพคุณที่โดดเด่นเลยก็คือ แก้ไข้ บรรเทาอาการปวดต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหารและไล่ยุง ในปัจจุบันมีการนำตะไคร้มาใช้ในรูปแบบของน้ำดื่มสุขภาพมากกว่ารูปแบบอื่น ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

รู้หรือไม่ เพกาเป็นยาสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น

0
รู้หรือไม่ เพกาเป็นยาสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น
รู้หรือไม่ เพกามีสรรพคุณเป็นยาที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น
ต้นเพกา เป็นไม้ยืนต้น รูปร่างเป็นฝักแบนยาว ปลายฝักเรียวแหลมคล้ายรูปดาบ มีรสขม สรรพคุณเป็นยา

เพกา

เพกา (Broken Bones Tree) เป็นสมุนไพรที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่สรรพคุณของเพกานั้นน่าทึ่งไม่น้อย โดยเฉพาะในประเทศไทยที่นิยมใช้เพกาในรูปแบบของผัก แต่จริงๆ แล้วเพกามีคุณค่ามากกว่าที่คิด เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งจากราก เปลือกต้น ฝัก ใบ และเมล็ด จึงได้รับการขนานนามว่า “เพกาทั้ง 5” สมุนไพรชนิดนี้มีการใช้ประโยชน์และความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาโรคที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ เป็นสมุนไพรที่น่าสนใจและควรศึกษาเพื่อการนำไปใช้งานในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของเพกา

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oroxylum indicum (L.) Kurz
ชื่อสามัญ : เพกามีชื่อสามัญอยู่ 3 ชื่อ คือ “Broken bones tree” ชื่อที่สองคือ “Damocles tree” และอีกชื่อเรียกว่า “Indian trumpet flower”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคอีสานหรือในจังหวัดเลยเรียกว่า “ลิ้นฟ้า” ในจังหวัดกาญจนบุรีเรียกว่า “กาโด้โด้ง” จังหวัดแม่ฮ่องสอนหรือกะเหรี่ยงเรียกว่า “ดุแก ดอก๊ะ ด๊อกก๊ะ” จังหวัดนราธิวาสหรือประเทศมาเลเซียเรียกว่า “เบโด” ทางภาคเหนือเรียกว่า “มะลิ้นไม้ มะลิดไม้ ลิดไม้” และในประเทศจีนเรียกว่า “โชยเตียจั้ว”
ชื่อวงศ์ : วงศ์แคหางค่าง (BIGNONIACEAE)
ชื่อพ้อง : Arthrophyllum ceylanicum Miq. Arthrophyllum reticulatum Blume ex Miq. Bignonia indica L. Bignonia lugubris Salisb. Bignonia pentandra Lour. Bignonia quadripinnata Blanco Bignonia tripinnata Noronha Bignonia tuberculata Roxb. ex DC. Calosanthes indica (L.) Blume Hippoxylon indica (L.) Raf. Oroxylum flavum Rehder Spathodea indica 

ลักษณะของต้นเพกา

ลักษณะของต้นเพกาต้นเพกา เป็นไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมักจะพบขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในป่าเบญจพรรณและป่าชื้นทั่วไป
ใบ : ใบมีสีเขียวรูปทรงโค้งมน ปลายใบเรียวแหลม มีก้านใบสีเขียวค่อนข้างยาว มีใบประกอบเป็นแบบขนนก 3 ชั้น เส้นใบเป็นแบบตาข่าย โดยสีของผิวใบด้านบนเข้มกว่าผิวใบด้านล่าง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบกระจะ มีดอกย่อยประมาณ 20 – 35 ดอก กลีบดอกมีสีนวลแกมเขียว ที่โคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดงหรือม่วงด้านนอก มีลักษณะเป็นรูปแตร กลีบดอกหนาและขอบย่น ไม่มีพูหรือมีพูไม่เท่ากัน ด้านในของดอกมีขนหนาแน่น ดอกมักจะบานตอนกลางคืนและร่วงตอนเช้า มีกลิ่นสาบฉุน มักจะมีดอกและผลในกิ่งเดียวกัน
ผล : ผลมีรูปร่างเป็นฝักแบนยาว ปลายฝักเรียวแหลมจึงทำให้ผลมีลักษณะคล้ายรูปดาบ มักจะห้อยระย้าอยู่เหนือเรือนยอด เมื่อแก่ปลายฝักจะแตกออก ภายในฝักบรรจุไปด้วยเมล็ดสีขาวจำนวนมาก
เมล็ด : เมล็ดภายในฝักมีสีขาวเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่แท้จริงแล้วเมล็ดมีสีน้ำตาลอ่อนรูปทรงแบน เพียงแต่ถูกห่อหุ้มด้วยเยื่อบาง ๆ สีขาวเอาไว้ เป็นส่วนที่ช่วยให้เมล็ดปลิวล่องลอยไปตามลมได้ในระยะไกลจนสามารถแพร่พันธุ์ไปได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

การนำไปใช้ประโยชน์ของสมุนไพรเพกา

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร
– นำฝักอ่อนหรือยอดอ่อนของเพกามารับประทานเป็นผัก ด้วยการนำฝักอ่อนเผาไฟแรง ๆ จนเปลือกพองไหม้ จากนั้นขูดลอกเอาส่วนดำที่ผิวออกให้หมด แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นตามขวางก็สามารถนำมาจิ้มกับน้ำพริกได้ หรือนำมาเป็นเครื่องเคียงลาบก้อย นำมาใส่แกง คั่ว ยำ ผัดกับหมู หรือทำแกงอ่อมปลาดุกใส่ฝักเพกาแทนใบยอก็ย่อมได้เช่นกัน
– ชาวกะเหรี่ยงนำเปลือกต้นเพกามาสับให้ละเอียดแล้วนำไปเป็นส่วนประกอบของอาหารประเภทลาบ ทำให้ลาบมีรสขม
– ยอดและดอกอ่อนของเพกานิยมนำมาต้มหรือลวกแล้วรับประทานร่วมกับน้ำพริก ลาบ ก้อย ยำ หรือนำมาผัดใส่กุ้งยิ่งให้รสชาติเลิศเลอขึ้น หากนำมายำใส่กระเทียมเจียวก็มีรสชาติเยี่ยมยอดเช่นกัน
-เมล็ดเพกาผสมกับน้ำจับเลี้ยงทำให้มีรสชาติที่กลมกล่อมและช่วยให้ชุ่มคอ รู้สึกสดชื่น
2. เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูป ได้มีการพัฒนานำต้นเพกามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปของยาสมุนไพรสำเร็จรูปหรือที่เรียกว่า “แคปซูลเพกา”
3. อุตสาหกรรมต่าง ๆ นำเปลือกต้นเพกาไปใช้เนื่องจากเนื้อไม้ของเพกามีสีขาวละเอียด มีความเหนียว จึงเหมาะสำหรับนำมาใช้ทำงานแกะสลักต่าง ๆ และนำเปลือกของลำต้นเพกาที่ให้สีเขียวอ่อนมาใช้ทำสีย้อมผ้าอีกด้วย 

สรรพคุณของเพกา

1. สรรพคุณจากฝัก ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ป้องกันไข้หวัดหรืออาการเจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยทำให้มีเรี่ยวแรงและช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ

  • สรรพคุณจากฝักอ่อน ต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายหรือช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและช่วยชะลอวัย ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ เป็นยาบำรุงธาตุ มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ช่วยในการขับผายลม
  • สรรพคุณจากฝักแก่ มีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนในและกระหายน้ำได้

2. สรรพคุณจากเมล็ด บรรเทาอาการแน่นหน้าอก มีส่วนช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ตับและปอด เป็นยาขับถ่ายและช่วยระบายท้อง

  • ช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ด้วยการนำเมล็ดแก่เพกา 1.5 – 3 กรัม ลงในหม้อต้มน้ำ 300 มิลลิลิตร จนเดือดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มครั้งละ 1 แก้ว ในเวลา เช้า กลางวัน เย็น จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    สรรพคุณจากราก เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยเรียกน้ำย่อยและช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยแก้ไข้โรคสันนิบาตหรือที่เรียกกันว่า “โรคพาร์กินสัน” ช่วยแก้โรคบิดและรักษาอาการท้องร่วง
  • ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ ปวดบวมและอาการอักเสบ ด้วยการนำรากเพกาผสมกับน้ำปูนใสแล้วทาลดบริเวณที่มีอาการ

3. สรรพคุณจากใบ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับลมในลำไส้

  • บรรเทาอาการปวดไข้และอาการปวดท้องด้วยการใช้ใบเพกาต้มน้ำแล้วดื่ม
    สรรพคุณจากเปลือก
  • ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบเลี่ยนและรากหญ้าคารวมกัน 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละประมาณ 30 กรัม แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้วเล็ก ก่อนอาหารเช้าและเย็น
  • เป็นยาแก้ปวดหลังของม้า ด้วยการนำผงเปลือกมาผสมกับขมิ้นชัน

4. สรรพคุณจากเปลือกต้น ช่วยขับเลือดและดับพิษในโลหิต ช่วยบำรุงโลหิตและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต แก้อาการจุกเสียกแน่นท้อง แก้โรคบิดและรักษาอาการท้องร่วง ขับลมในลำไส้ ช่วยขับน้ำเหลืองเสียแล้วทำให้น้ำเหลืองกลับมาเป็นปกติ ลดการอักเสบและอาการแพ้ต่าง ๆ เป็นยาฝาดสมานหรือช่วยสมานแผล เปลือกต้นของเพกามีสารสกัดฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหนูทดลอง ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น

  • แก้ละอองไข้หรือโรคเยื่อเมือกในช่องจมูกอักเสบ ด้วยการนำเปลือกต้นมาตำผสมกับสุรา
  • ช่วยแก้อาการอาเจียนไม่หยุด ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกาตำผสมกับน้ำส้มที่ได้จากรังมดแดงหรือเกลือสินเธาว์
  • บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ ปวดบวมและอาการอักเสบ รากเพกาผสมกับน้ำปูนใสแล้วทาลดบริเวณที่มีอาการ
  • ช่วยรักษาฝีและลดอาการปวดฝี ด้วยการใช้เปลือกต้นนำมาฝนแล้วทารอบ ๆ บริเวณที่เป็นฝี
  • แก้อาการคัน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • เป็นยาแก้พิษสุนัขบ้ากัด ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกานำมาตำแล้วพอกบริเวณที่ถูกกัด
  • แก้โรคงูสวัด ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา เปลือกคูณหรือรากต้นหมูหนุนมาฝนแล้วใส่น้ำ ทาบริเวณที่เป็นอาการ
  • ช่วยแก้พิษซางได้ ด้วยการนำเปลือกต้นมาผสมกับสุรา
  • แก้โรคไส้เลื่อนหรือลูกอัณฑะเลื่อนลง ให้ใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตายและหญ้าตีนนก มาตำรวมกันให้ละเอียดแล้วนำไปละลายกับน้ำข้าวเช็ด จากนั้นใช้ขนไก่ชุบพาดแล้วนำมาทาลูกอัณฑะ เวลาทาควรทาขึ้นอย่าทาลง
  • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บที่องคชาตและลูกอัณฑะ ด้วยการใช้เปลือกต้นเพการวมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • แก้โรคมานน้ำหรือภาวะที่มีน้ำขังอยู่ในช่องท้องจำนวนมาก ด้วยการนำเปลือกต้นมาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
  • ทำให้ผิวหนังชาของหญิงคลอดบุตรที่ทนอาการอยู่ไฟไม่ได้และแก้ละอองขึ้นในปาก คอ และลิ้น หรืออาการฝ้าขาวที่ขึ้นในปาก ด้วยการนำเปลือกต้นตำผสมกับสุรา
  • ช่วยแก้เผ็ดและแก้เปรี้ยวได้ ด้วยการใส่เปลือกต้นผสมลงในอาหาร

5. สรรพคุณจากเพกาทั้ง 5 เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยแก้ไข้การไหลเวียนของลมและเลือด รักษาท้องร่วง ช่วยในการขับน้ำเหลืองเสียแล้วทำให้น้ำเหลืองเป็นปกติ เป็นยาฝาดสมานหรือช่วยสมานแผล

  • ช่วยรักษาอาการฟกช้ำ ปวดบวมและอาการอักเสบ ด้วยการนำรากเพกาผสมกับน้ำปูนใสแล้วทาลดบริเวณที่มีอาการ

เพกา ลิ้นฟ้า คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของยอดอ่อนเพกา 100 กรัม ให้พลังงาน 101 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โปรตีน 6.4 กรัม
ไขมัน 2.6 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 13 กรัม
วิตามินบี1 0.18 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 2.4 มิลลิกรัม
เถ้าและน้ำ

คุณค่าทางโภชนาการของฝักอ่อนเพกา 100 กรัม

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
วิตามินซี 484 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 8.3 กรัม
ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม
ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม
โปรตีน 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม
ไขมัน 0.5 กรัม
เส้นใย 4 กรัม

ข้อควรระวัง

1. หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทานเพราะมีฤทธิ์ร้อน อาจทำให้แท้งบุตรได้
2. เมล็ดแก่ห้ามกินดิบเด็ดขาดเพราะมีพิษ
3. ควรระวังในการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน (aspirin) วาฟาริน (warfarin) สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
4. เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้

เพกา เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้าน เนื่องจากฝักเพกามีวิตามินซีสูงมาก จึงทำให้เพกามีชื่อเสียงในด้านการป้องกันโรค ถือเป็นสมุนไพรประเภทยาเย็นที่สามารถนำส่วนประกอบของต้นมาทำเป็นยาได้ทุกส่วน ในประเทศไทยเรานิยมนำเพกามาจิ้มกับน้ำพริก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกของคนไทยเพียงแต่ว่าประเทศเราเป็นเพียงที่เดียวในโลกที่นำเพกามารับประทานในรูปแบบของผัก

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

พริก เครื่องเทศที่ทุกคนต้องรู้จัก รสจัดจ้านเผ็ดร้อนแต่สรรพคุณเยี่ยมยอด

0
พริก เครื่องเทศที่ทุกคนต้องรู้จัก รสจัดจ้านเผ็ดร้อนแต่สรรพคุณเยี่ยมยอด
พริก เครื่องเทศที่ทุกคนต้องรู้จัก รสจัดจ้านเผ็ดร้อนแต่สรรพคุณเยี่ยมยอด
พริก เครื่องเทศที่ทุกคนต้องรู้จัก รสจัดจ้านเผ็ดร้อนแต่สรรพคุณเยี่ยมยอด

พริก มีทั้งสีแดงและสีเขียว ซึ่งให้ความเผ็ดแต่ละชนิดต่างกัน ซึ่งคนไทยที่รับประทานพริกเป็นส่วนประกอบของอาหารเป็นประจำ

พริก

พริก (Chili ) เป็น พืชที่ทุกคนบนโลกต้องรู้จัก โดยเฉพาะคนไทยที่รับประทานพริกเป็นส่วนประกอบของอาหารเป็นประจำ ถือเป็นเครื่องเทศที่สำคัญอย่างมากต่อรสชาติของอาหาร ไม่ว่าจะในยุคอดีตหรือปัจจุบันก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อคนบนโลก พริกเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันว่ามีรสเผ็ด ซึ่งความเผ็ดนั้นมาจากสารที่ชื่อว่า “แคปไซซิน” (Capsaicin) เป็นสารที่ทนทานต่อความร้อนและความเย็นอย่างมาก ไม่ว่าจะต้มหรือแช่เย็นความเผ็ดของพริกก็ยังคงอยู่ พริกที่โด่งดังในประเทศไทยนั้น ได้แก่ พริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้า

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของพริก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capsicum frutescens L.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 7 ชื่อ คือ “Chili” “Pepper” “Sweet pepper” “Hot pepper” “Bird pepper” “Capsicum” และ “Paprika”
ชื่อวงศ์ : วงศ์โซลานาซีอี (SOLANACEAE)

ลักษณะของต้นพริก

พริก เป็นได้ทั้งพืชล้มลุก ไม้พุ่มและไม้ยืนต้นขนาดเล็กซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปของโลก
ราก : เป็นรากแก้วหยั่งลึกลงในดิน
ใบ : เป็นใบเลี้ยงคู่และใบเดี่ยว ใบแบนเรียบเป็นมัน มีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปสามเหลี่ยมคล้ายหอกซึ่งแตกต่างกันตามสายพันธุ์
ดอก : ดอกมักจะมีสีขาว เป็นดอกเดี่ยวมีรูปทรงวงล้อและรูประฆังซึ่งแตกต่างกันตามสายพันธุ์
เมล็ด : มีเมล็ดเกาะเรียงตัวอยู่แกนกลางของผลหรือรก มีรูปร่างกลมแบน

ความเผ็ดของพริก

ความเผ็ดของพริกมาจากสารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งพบมากที่สุดในแกนกลางของพริกไม่ใช่ส่วนเมล็ดหรือเปลือก มีฤทธิ์ทำให้เนื้อเยื่อเผาไหม้จึงเกิดความรู้สึก “เผ็ด” เวลารับประทาน หน่วยวัดความเผ็ดของสารแคปไซซินคือ Scoville Heat Units (SHU) พริกที่เผ็ดที่สุดในโลกมีชื่อว่า “พริกฮาบาเนโร”

การนำไปใช้ประโยชน์ของพริก

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ใช้ในการประกอบอาหารและปรุงแต่งอาหาร นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น พริกแห้ง พริกป่น พริกดอง ซอสพริก น้ำพริกต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค เป็นต้น
2. เป็นส่วนประกอบของยา ครีมและเจล แพทย์แผนจีนนำสารแคปไซซินในพริกมาใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงพลังหยาง มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริกออกมาในรูปแบบครีมหรือเจลเพื่อใช้ทาบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด เป็นต้น มีสกัดสารแคปไซซินมาทำเป็นเจลเพื่อใช้นวดลดเซลลูไลต์หรือสลายไขมัน
3. เป็นอาวุธป้องกันตัวจากภัยสังคม นำมาใช้เป็นสเปรย์พริกไทยในการป้องกันตัวได้

สรรพคุณของพริก

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอวัย เสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น มีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับร่างกาย
  • สรรพคุณด้านการคลายเครียด ช่วยให้อารมณ์ดีและสร้างสารแห่งความสุข (Endorphin) ทำให้ร่างกายตื่นตัว
    สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 บำรุงและรักษาสายตา รักษาเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ในบริเวณจมูก ลำคอ ปอดและเยื่อบุผนังช่องปาก อาการปวดฟันและเจ็บคอ
  • สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยกระตุ้นการเจริญอาหาร ช่วยในการดีท็อกซ์ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและนำธาตุอาหารไปใช้อย่างเป็นประโยชน์ ขับแก๊สในกระเพาะและช่วยให้อาหารย่อย มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ บรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูกและลดเสมหะ บรรเทาอาการไอ บรรเทาอาการหายใจติดขัดจากไข้หวัด ไซนัสหรือโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ บรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดเส้นเอ็น บรรเทาอาการอักเสบของผิวหนังและข้อต่ออักเสบ
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค รักษาโรคลักปิดลักเปิด ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งและความเผ็ดของพริกมีส่วนช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว บรรเทาอาการของโรคเกาต์
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกายทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดลดลง ลดอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน ช่วยสลายลิ่มเลือด ช่วยลดความดันโลหิตและเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น เสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงและเพิ่มการยึดตัวของผนังหลอดเลือด ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น
  • สรรพคุณด้านอื่น ๆ ป้องกันเมือกเสียจับตัวกันในร่างกาย

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของพริกขี้หนูและพริกชี้ฟ้าที่นิยมในประเทศไทย 100 กรัม ให้พลังงาน 103 กิโลแคลอรี

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
ไขมัน 2.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 19.9 กรัม
ใยอาหาร 6.5 กรัม
โปรตีน 4.7 กรัม
แคลเซียม 45 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 85 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 2.5 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 11,050 I.U.
วิตามินบี1 (ไธอะมีน) 0.24 มิลลิกรัม
วิตามินบี2 (ไรโบเฟลวิน) 0.29 มิลลิกรัม
วิตามินบี3 (ไนอะซีน) 2.10 มิลลิกรัม
วิตามินซี 70 มิลลิกรัม

ข้อควรระวัง

1. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารไม่ควรรับประทานพริกหรืออาหารรสจัด เพราะพริกจะไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร
2. ผู้ที่มีอาการสำลักง่ายอย่างเด็กหรือผู้สูงอายุไม่ควรรับประทานพริก
3. ผู้บริโภคควรรับประทานพริกป่นที่สะอาด ไม่มีเชื้อรา และหลีกเลี่ยงพริกป่นตามร้านอาหารหรือพริกซองที่อาจจะมีสารอะฟลาทอกซินปนอยู่ ซึ่งเป็นสารที่ก่อเชื้อราได้ดี หากรับประทานในปริมาณมากจะเกิดมะเร็งตับได้

พริก เป็นเครื่องเทศที่มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีความเผ็ดไม่เท่ากัน พริกที่คนไทยคุ้นเคยที่สุดคงจะเป็นพริกขี้หนู บางคนรับประทานพริกมาทั้งชีวิตแต่ไม่รู้สรรพคุณของความเผ็ดร้อน พริกถือเป็นตัวยาที่มีวิตามินเอและวิตามินซีสูง แต่ก็ต้องพึงระวังเพราะรสจัดของพริกอาจจะทำให้ระบบอาหารแปรปรวนได้หากรับประทานในปริมาณมาก สรรพคุณที่โดดเด่นของพริกเลยก็คือช่วยการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยในการขับถ่ายคล่อง และช่วยในการกระตุ้นความอยากอาหารได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

แมงลัก สมุนไพรสำหรับคนลดน้ำหนัก แถมช่วยเรื่องการขับถ่ายคล่องอีกด้วย!

0
แมงลัก สมุนไพรสำหรับคนลดน้ำหนัก แถมช่วยเรื่องการขับถ่ายคล่องอีกด้วย!
ต้นแมงลักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโหระพา มีกลิ่นหอมใช้ประโยชน์ได้ทั้งเมล็ดและใบ
แมงลัก สมุนไพรสำหรับคนลดน้ำหนัก แถมช่วยเรื่องการขับถ่ายคล่องอีกด้วย!
ต้นแมงลักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโหระพา ใบเขียวอ่อนมีกลิ่นหอมใช้ประโยชน์ได้ทั้งเมล็ดและใบ

แมงลัก

แมงลัก (Sweet basil) คือพืชที่มีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของแมงลักที่นำมารับประทาน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งเมล็ดและใบ ต้นแมงลักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโหระพา แต่ใบแมงลักจะมีขนาดเล็กกว่า ในประเทศไทยมีแมงลักสายพันธุ์หลักเพียงหนึ่งเดียวคือ “ศรแดง” นอกนั้นจะเป็นพันธุ์ทางและพันธุ์ผสม สมุนไพรแมงลักเหมาะสมสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือผู้ที่มีปัญหาในเรื่องการขับถ่าย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของแมงลัก

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum × africanum
ชื่อสามัญ : แมงลักมีชื่อสามัญหลัก ๆ ทั้งหมด 4 ชื่อ โดยชื่อแรกที่ถูกตั้งคือ “Hoary basil” ซึ่งคำว่า “hoary” แปลว่าผมหงอก โดยตั้งตามต้นแมงลักที่มีลักษณะขนอ่อน ๆ สีขาวที่บริเวณก้านใบและยอดอ่อน มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Hairy basil” ในภายหลังได้เปลี่ยนชื่อสามัญเป็น “Lemon basil” ซึ่งตั้งตามลักษณะกลิ่นหอมของใบแมงลักที่มีกลิ่นคล้ายคลึงกับเลมอน ในประเทศไทยมีชื่อเรียกตามแมงลักศรแดงของไทยว่า “Thai lemon basil”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “แมงลักหรือมังลัก” ภาคเหนือเรียกว่า “ก้อมก้อข้าว” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “อีตู่”
ชื่อวงศ์ : วงศ์กะเพราและโหระพา (LABIATAE or LAMIACEAE)
ชื่อพ้อง : Ocimum canum Sims

ลักษณะของแมงลัก

แมงลัก เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเฉลี่ย 1 – 2 ปี มีลักษณะคล้ายคลึงกับต้นกะเพรา แต่ต่างกันตรงที่กลิ่นและใบ แมงลักมีกลิ่นหอมอยู่ทุกส่วนของต้น
ใบ : เป็นใบเดี่ยว ใบเรียงตรงข้ามเป็นคู่ ๆ ตัวใบมีลักษณะกลมรี ปลายใบแหลม ขนที่ใบนิ่ม และใบมีสีเขียวอ่อน
ดอก : ดอกออกเป็นช่อตามบริเวณปลายกิ่งหรือยอด ช่อดอกอาจเป็นช่อเดี่ยวหรือแตกออกเป็นช่อย่อย ๆ ดอกจะบานจากข้างล่างขึ้นข้างบน ดอกย่อยจะออกรอบก้านช่อเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีดอกย่อย 6 ดอก แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 3 ดอก โดยดอกที่อยู่ตรงกลางและช่อดอกย่อยที่อยู่ชั้นล่างสุดของก้านช่อดอกจะบานก่อน กลีบดอกมีสีขาวแบ่งเป็น 2 ปาก กลีบร่วงง่าย เกสรตัวผู้มีความยาวกว่ากลีบดอก ดอกของแมงลักจะคงทนและอยู่ได้นาน
ผล : ผลมีสีน้ำตาลเข้มและขนาดเล็ก ภายในผลมีเมล็ด 4 เม็ด เรียกว่า “เมล็ดแมงลัก” มีลักษณะกลมรีและมีสีดำ

การนำไปใช้ประโยชน์ของสมุนไพรแมงลัก

แมงลัก สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งใบและเมล็ด
ใบแมงลัก : ใบมักจะมีกลิ่นฉุน นำมาใช้ประกอบอาหารในเครื่องแกงต่าง ๆ หรือนำมารับประทานกับขนมจีน นอกจากนั้นยังนำไปสกัดน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมสบู่และเครื่องสำอาง หรือใช้ในการแต่งกลิ่นอาหาร
เมล็ดแมงลัก : เมล็ดมักจะนำมาใช้ทำเป็นขนมหรือนำไปผสมกับเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำขิง น้ำใบเตย นอกจากนั้นยังเป็นยาระบายและอาหารเสริมลดความอ้วนได้อีกด้วย     

ประโยชน์ของใบและเม็ดแมงลัก

ประโยชน์ในการลดน้ำหนัก

1. เม็ดแมงลัก ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล สามารถเปลี่ยนคอเลสเตอรอลส่วนเกิน (LDL) ในร่างกายไปเป็นกรดน้ำดี แล้วขับกรดน้ำดีออกจากร่างกายได้ ในส่วนคอเลสเตอรอลที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ได้ถูกเปลี่ยนใด ๆ (HDL)
2. เม็ดแมงลักไม่ทำให้เกิดพลังงานในร่างกายจึงสามารถควบคุมปริมาณอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ โดยทานก่อนรับประทานอาหารหรือทานเป็นอาหารก็ย่อมได้เช่นกัน มีวิธีการชงด้วยการนำเม็ดแมงลักประมาณ 2 ช้อนชาแล้วแช่ในน้ำ 1 แก้วใหญ่ จากนั้นทิ้งไว้จนพองตัวเต็มที่ ซึ่งเม็ดแมงลักสามารถพองตัวได้มากถึง 45 เท่า สามารถรับประทานด้วยการผสมกับน้ำร้อนหรือผสมกับน้ำผึ้งก็ได้เช่นกัน

ประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายและระบบทางเดินอาหาร

1. ช่วยให้ขับถ่ายสะดวก เป็นยาระบาย กระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการทานเม็ดแมงลักก่อนนอน เมื่อตื่นมาตอนเช้าจะทำให้การขับถ่ายมีประสิทธิภาพและตรงเวลา
2. เม็ดแมงลัก ช่วยล้างลำไส้และช่วยเรื่องอุจจาระตกค้าง
3. ใบแมงลักสด ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ มีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้

ประโยชน์ในการรักษาโรค

1. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจหากรับประทานอย่างสม่ำเสมอ
2. ช่วยดูดซึมน้ำตาลในร่างกายให้ลดลง เหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน
3. ใบแมงลักต้ม ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือทางเดินอาหาร
4. ช่วยรักษาโรคกลากเกลื้อนหรือโรคเกลื้อนน้ำนม โดยใช้ใบแมงลักสดประมาณ 10 ใบ นำมาตำแล้วผสมน้ำเล็กน้อย จากนั้นทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 1 ครั้ง ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
5. ช่วยรักษาโรคประจำเดือนมาผิดปกติให้กลับมาปกติ
6. ช่วยรักษาโรคหลอดลมอักเสบ ลดอาการเกร็งของหลอดลม

ประโยชน์ในการบรรเทาอาการต่าง ๆ

1. ใบแมงลักช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะหรืออาเจียนได้
2. ใบแมงลักมีสรรพคุณในการช่วยขับเหงื่อ
3. ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้
4. บรรเทาอาการปวดฟัน
5. ใบแมงลักบดผสมน้ำแล้วหยอดหู แก้อาการปวดหู หูตึง
6. แก้หวัด แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ไอเรื้อรัง

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ดแมงลักขนาด 100 กรัม ให้พลังงาน 420 กิโลแคลอรี

  • คาร์โบไฮเดรต 54 กรัม
  • โปรตีน 15 กรัม
  • ไขมัน 16 กรัม
  • กากใยอาหาร 54 กรัม

คุณค่าทางโภชนาการของใบแมงลักขนาด 100 กรัม ให้พลังงาน 32 แคลอรี

  • แคลเซียม 350 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 36 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 4.9 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 10,666 มิลลิกรัม
  • ไทอามีน 0.3 มิลลิกรัม
  • ไรโบเฟลวิน 0.14 มิลลิกรัม
  • ไนอะซิน 1 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 78 มิลลิกรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 11.1 กรัม
  • โปรตีน 2.9 กรัม
  • ไขมัน 0.8 กรัม
  • กากใยอาหาร 2.6 กรัม

โทษของใบและเม็ดแมงลัก

1. ไม่ควรทานแทนอาหารทุกมื้อเพราะจะทำให้เกิดโรคขาดสารอาหาร ดังนั้นผู้ที่อยากลดน้ำหนักควรที่จะควบคุมอาหารการกินและควบคุมการรับประทานเม็ดแมงลักด้วย
2. หากรับประทานเกินปริมาณที่ควรจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
3. ไม่ควรทานพร้อมกับการกินยา เพราะเม็ดแมงลักจะไปยับยั้งการดูดซึมของร่างกายต่อยาชนิดนั้น ทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้ไม่ดีและน้อยลง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือไปแย่งซีนยานั่นเอง
4. ไม่ควรทานในขณะที่เม็ดแมงลักยังพองตัวไม่เต็มที่ มิฉะนั้นจะทำให้เม็ดแมงลักจับตัวกันเป็นก้อนและอุดตันในลำไส้จนเกิดอาการท้องผูกตามมาได้
5. เม็ดแมงลักไม่มีคุณภาพหรือไม่ได้มาตรฐาน อาจก่อให้เกิดเชื้อราได้ เมื่อมีเชื้อราก็จะผลิตสารพิษอย่างอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง

เม็ดแมงลัก เหมาะสำหรับคนลดน้ำหนักหรือคนที่ไม่ชอบกินผัก ในต่างประเทศได้มีวิจัยว่า ใบแมงลักมีสารจำพวกสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ดังนั้นแมงลักเหมาะสมอย่างมากสำหรับสาว ๆ ที่อยากหุ่นดี อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายหากทานอย่างถูกวิธี ควรรับประทานหลังอาหารเย็นประมาณ 3 ชั่วโมง ทั้งนี้ผลตอบรับอาจจะต้องใช้เวลาไประยะหนึ่ง เนื่องจากร่างกายจะมีการปรับตัวต่อสมุนไพรธรรมชาติ ไม่เหมือนกับการกินยาลดความอ้วนที่ให้ผลทันทีแต่มีผลเสียตามมามากมาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อัญชัน เป็นยาบำรุงเลือด ละลายลิ่มเลือดและป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ

0
อัญชัน เป็นยาบำรุงเลือด ละลายลิ่มเลือดและป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ
อัญชัน ส่วนมากมักจะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มและแต่งสีอาหารให้สวยงาม หรือนำมาสระผม เขียนคิ้วเพื่อเสริมความงาม
อัญชัน เป็นยาบำรุงเลือด ละลายลิ่มเลือดและป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ
อัญชันสีม่วง ฝักคล้ายรูปดาบ ส่วนมากมักจะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มและแต่งสีอาหารให้สวยงาม หรือนำมาสระผม เขียนคิ้วเพื่อเสริมความงาม

อัญชัน

อัญชัน (Butterfly pea) เป็น พืชที่คนทั่วไปรู้จักกันอย่างกว้างขวาง เป็นดอกที่มักจะนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มหรือนำมาตกแต่งกลิ่น ดอกอัญชันมักจะมีสีขาว สีฟ้าหรือสีม่วง ส่วนตรงกลางดอกจะมีสีเหลืองและมีรูปทรงคล้ายหอยเชลล์ เป็นไม้เลื้อยที่มีถิ่นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ ส่วนมากมักจะปลูกกันในประเทศเขตร้อน อัญชันถือเป็นดอกที่สวยงามและเป็นที่นิยมแต่สิ่งที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ว่าอัญชันมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกายโดยเฉพาะสรรพคุณในการช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น เพราะมีสารที่ชื่อว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) อยู่ภายในดอก

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของอัญชัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Clitoria ternatea L.
ชื่อสามัญ : อัญชันมีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Blue pea” ชื่อที่สองคือ “Butterfly pea”
ชื่อท้องถิ่น : ภาคกลางเรียกว่า “อัญชัน” ภาคเหนือเรียกว่า “เอื้องชัน” ส่วนในจังหวัดเชียงใหม่เรียกว่า “แดงชัน”
ชื่อวงศ์ : วงศ์ถั่ว Fabaceae (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)

ลักษณะของอัญชัน

อัญชัน เป็นไม้เลื้อยล้มลุกที่มักจะเลื้อยพันตามต้นไม้ต้นอื่น มีลักษณะเป็นเถากลมเล็กเรียวยาวและมีขนนุ่มปกคลุมอยู่ มักจะพบได้ทั่วไปในป่าโล่งแจ้งหรือในที่กึ่งร่ม อย่างเช่นป่าเบญจพรรณในพื้นล่างไปจนถึงป่าดิบเขาสูง
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปรีแกมขอบขนานหรือรูปรีแกมไข่กลับ ปลายใบแหลม โคนใบมน ที่ผิวใบด้านล่างมีขนหนาปกคลุม ใบบางมีสีเขียว
ดอก : อัญชันเป็นดอกเดี่ยว ซอกใบมีลักษณะคล้ายฝาหอยเชลล์ออกเป็นคู่ตามซอกใบสีน้ำเงิน สีฟ้าม่วงหรือสีขาว กลีบดอก 5 กลีบ ตรงกลางกลีบมีสีเหลืองหม่น ขอบสีขาวและออกดอกตลอดปี
ผล : ออกเป็นฝักแบนยาว โค้งเล็กน้อย ปลายฝักเป็นจะงอยแตกเป็น 2 ฝา จนดูคล้ายกันรูปดาบ ฝักอ่อนมีสีเขียวแต่ถ้าฝักแก่จะมีสีน้ำตาลอ่อน
เมล็ด : เมล็ดเป็นรูปไตสีดำประมาณ 6 – 10 เมล็ด

การนำไปใช้ประโยชน์ของอัญชัน

1. เป็นส่วนประกอบของอาหาร ส่วนมากมักจะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มน้ำอัญชันเพื่อใช้ดับกระหายหรือนำมาตากแห้งเพื่อดื่มแทนชา นำดอกอัญชันมาจิ้มกับน้ำพริกหรือชุบแป้งทอด น้ำดอกอัญชันนำมาใช้ทำเป็นสีผสมอาหาร ในมาเลเซียนำไปหุงกับข้าวจนทำให้ข้าวมีสีฟ้า
2. เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ เป็นส่วนผสมของครีมนวดผมหรือยาสระผม
3. เป็นยาปลูกผม ใช้เป็นยาปลูกผมหรือปลูกขน ช่วยให้ผมดกดำเงางามยิ่งขึ้น ในสมัยก่อนหญิงสาวได้มีการนำอัญชันมาเขียนคิ้วให้ดำขลับอีกด้วย
4. ปลูกต้นอัญชันประดับบ้านเสริมความงาม

สรรพคุณของอัญชัน

  • สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เสริมสร้างภูมิต้านทานและเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
  • สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย ช่วยในการบำรุงสมองและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น ดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
  • สรรพคุณด้านป้องกันโรค ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง 
  • สรรพคุณด้านระบบขับถ่าย อัญชันมีคุณสมบัติในการช่วยล้างสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย แก้อาการปัสสาวะพิการ เมล็ดอัญชันเป็นยาระบายแต่อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้ รากและใบเป็นยาขับปัสสาวะ
  • สรรพคุณด้านประสาทสัมผัสทั้ง 5 น้ำที่คั้นจากใบหรือดอกของอัญชันช่วยบำรุงสายตาและเพิ่มความสามารถในการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น แก้อาการตาฟางและตาแฉะ ดอกอัญชันมีสรรพคุณป้องกันโรคต้อกระจก ต้อหินและตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน รากอัญชันเมื่อถูกับน้ำฝนสามารถนำมาหยอดตาและหูได้ หากถูกับฟันสามารถรักษาอาการปวดฟันและทำให้ฟันแข็งแรงได้
  • สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ แก้อาการฟกช้ำและแก้อาการเหน็บชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า
  • สรรพคุณด้านความงาม ช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยแห่งวัย ดอกอัญชันช่วยรักษาอาการผมร่วง มีส่วนช่วยให้ผมดกดำเงางามยิ่งขึ้น

วิธีทำน้ำดอกอัญชัน

น้ำดอกอัญชัน
1. นำดอกอัญชันสด 100 กรัม มาล้างให้สะอาด จากนั้นนำดอกอัญชันไปต้มในน้ำจนเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 3 นาทีแล้วกรองดอกอัญชันขึ้นจากหม้อ
2. เตรียมน้ำเชื่อมด้วยการนำน้ำตาลทราย 500 กรัม ละลายในน้ำ 500 กรัม
3. นำน้ำดอกอัญชันที่เตรียมไว้มา 1 ถ้วย น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มาผสมรวมกันก็เป็นอันเสร็จสิ้น

น้ำพันช์
1. นำน้ำดอกอัญชันเตรียมไว้ครึ่งถ้วย นำน้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำเชื่อม 6 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวครึ่งถ้วย และน้ำโซดาเย็นประมาณ 1 ขวด มาผสมรวมกันก็เป็นอันเสร็จสิ้น

น้ำชา
1. นำดอกอัญชันที่ตากแห้งแล้วประมาณ 25 ดอก จากนั้นนำมาชงในน้ำเดือด 1 ถ้วยแล้วดื่ม

ข้อควรระวัง

1. ผู้ป่วยโลหิตจางห้ามรับประทานดอกอัญชันเด็ดขาด
2. ไม่ควรดื่มน้ำสมุนไพรใด ๆ ชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี
3. ไม่ควรดื่มน้ำสมุนไพรในอุณหภูมิที่ร้อนจัดหรือมีอุณหภูมิเกิน 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป เพราะอาจจะทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันได้ และอาจดูดซับสารก่อมะเร็งและสารอื่น ๆ ได้ง่าย 

อัญชัน เป็นดอกที่มีสีม่วงสวยงามและสามารถนำมาดื่มได้ คนไทยในปัจจุบันนิยมดื่มน้ำอัญชันกันพอสมควร อีกทั้งยังเป็นดอกที่มีส่วนผสมในผลิตภัณฑ์จำพวกสบู่หรือแชมพู ถือเป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอุตสาหกรรม สรรพคุณที่โดดเด่นของอัญชันเลยก็คือช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ซึ่งเลือดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก การรับประทานหรือดื่มน้ำอัญชันเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนรักสุขภาพทั้งหลาย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โหระพา พืชสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคย แต่มีสรรพคุณมากกว่าที่รู้กันทั่วไป

0
โหระพา พืชสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคย แต่มีสรรพคุณมากกว่าที่รู้กันทั่วไป
โหระพา พืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ในทางยาและประกอบอาหารและเครื่องดื่ม ต้านอนุมูลอิสระและลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
โหระพา พืชสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคย แต่มีสรรพคุณมากกว่าที่รู้กันทั่วไป
โหระพา พืชสมุนไพรใช้ประโยชน์ในทางยาและประกอบอาหารและเครื่องดื่ม ต้านอนุมูลอิสระและลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

โหระพา

โหระพา (Basil) เป็น พืชสมุนไพรที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เป็นพืชที่มีการนำใบมาใช้เป็นยาและประกอบอาหาร หรือนำมาประกอบกับเครื่องดื่ม เช่น น้ำสับปะรดปั่นโหระพา ถือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน แต่โหระพามีสรรพคุณมากกว่าที่รู้กันทั่วไป มีสารอาหารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งเป็นสารเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ภายในโหระพามีเบต้าแคโรทีนมากถึง 452.16 ไมโครกรัม เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและพบว่าสามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ เป็นสารที่พบมากในผักและผลไม้ มีส่วนช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่โหระพายังมีสรรพคุณอื่น ๆ อีกมากมาย

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของโหระพา

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum Linn.
ชื่อสามัญ : มีชื่อสามัญ 2 ชื่อ คือ “Sweet basil” และ “Thai basil”
ชื่อท้องถิ่น : ชาวกะเหรี่ยงและแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “ห่อกวยซวย ห่อวอซุ”
ชื่อวงศ์ : LABIATAE หรือ LAMIACEAE

ลักษณะของโหระพา

โหระพา เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียและแอฟริกา และเป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย
ใบ : มีรูปร่างแบบรูปไข่ปกติ ใบจะเรียงตัวแบบตรงกันข้ามกัน ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อย มีสีเขียวอมม่วง
ดอก : มีขนาดเล็กและออกเป็นช่อ ดอกมีทั้งสีม่วง แดงอ่อน และสีขาว

สรรพคุณของโหระพา

โหระพามีสรรพคุณมากมายและเป็นพืชที่ไม่ได้มีประโยชน์แค่ใบเท่านั้น แต่เมล็ดยังสามารถนำมาแช่น้ำให้พองแล้วรับประทานเป็นยาแก้บิดได้อีกด้วย

รูปแบบสรรพคุณของโหระพา

1. สรรพคุณในรูปแบบน้ำมันโหระพา เป็นน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากใบโหระพา มีสรรพคุณที่สำคัญคือ แก้จุกเสียดแน่นท้อง ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยให้สบายท้องมากขึ้น มีกลิ่นหอมหวาน มีคุณสมบัติช่วยให้สงบ มีสมาธิ ลดอาการซึมเศร้า แต่มีข้อควรระวังในการใช้น้ำมันโหระพาคือ ทำให้เกิดอาการแพ้ง่าย สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยง
2. สรรพคุณในรูปแบบยาสมุนไพร ใบสดของโหระพามีสรรพคุณแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลมจากลำไส้ หากนำใบมาต้มแล้วดื่มจะแก้ลมวิงเวียน ช่วยย่อยอาหาร แก้หวัด ขับเหงื่อ มีสรรพคุณต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ใช้ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบหรือแผลอักเสบ ใช้ปรุงร่วมกับน้ำนมราชสีห์เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมสำหรับมารดา เป็นต้น

สรรพคุณของโหระพาในด้านต่าง ๆ

1. สรรพคุณด้านเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยป้องกันความเสียหายในร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
2. สรรพคุณด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ช่วยในการเจริญอาหาร ช่วยในการย่อยอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี ช่วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาระบาย ช่วยในการขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้อาการบิด แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ช่วยให้เด็กหายปวดท้องด้วยการดื่มแทนยาขับลม เป็นยาขับปัสสาวะ
3. สรรพคุณด้านเลือดในร่างกาย มีส่วนในการช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มีฤทธิ์ในการช่วยลดคอเลสเตอรอลและแผ่นคราบพลัคในกระแสเลือด แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
4. สรรพคุณด้านการคลายเครียด ช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ และช่วยลดอาการซึมเศร้า
5. สรรพคุณป้องกันโรค มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยรักษาโรคตาแดง ต้อตาหรือมีขี้ตามาก ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัสต่าง ๆ
6. สรรพคุณด้านผิวหนังและความงาม ช่วยขับหัวสิวและต้านการเจริญเติบโตของเชื้อสิว ใช้เป็นยาพอกเพื่อดูดซับสารพิษออกจากผิวหนังได้ รักษาอาการผดผื่นคันหรือมีน้ำเหลือง รักษาแผลหรือมีหนองเรื้อรัง แก้อาการฟกช้ำจากการกระทบกระแทกหรืองูกัด ใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอางบางชนิด
7. สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการ รักษาอาการเหงือกอักเสบเป็นหนอง ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ แก้อาการวิงเวียนศีรษะ ช่วยแก้หวัดและช่วยในการขับเหงื่อ ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน แก้อาการสะอึก เป็นยาบรรเทาอาการผึ้งต่อย ช่วยคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยรักษาอาการข้ออักเสบหรือแผลอักเสบ บำบัดรักษาโรคเข่าเสื่อม
8. สรรพคุณด้านอื่น ๆ ใช้ฆ่ายุง ไร และแมลงได้ อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นยาบำรุงสุขภาพทางเพศอีกด้วย

โหระพามาปรุงอาหารหรือรับประทานสดได้กับหลายเมนู สรรพคุณทางยาหรือในรูปแบบอาหารเสริมควรระมัดระวังในด้านขนาดการใช้ หากทานมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำลง และไม่ควรรับประทานน้ำมันสกัดจากโหระพาหรือส่วนลำต้นของโหระพาต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากมีสารเอสตราโกล (Estragole) อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคมะเร็งตับ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ประโยชน์ของหัวปลี และเมนูอาหารจากหัวปลีกล้วย

0
ประโยชน์ของหัวปลี และเมนูอาหารจากหัวปลีกล้วย
หัวปลี หรือ ปลีกล้วย เป็นดอกของต้นกล้วยทุกสายพันธุ์ มีคุณสมบัติทางยาสมุนไพร นิยมนำมาทำเป็นอาหารรับ กินได้ทั้งดิบและปรุงสุก
ประโยชน์ของหัวปลี และเมนูอาหารจากหัวปลีกล้วย
หัวปลี หรือ ปลีกล้วย มีคุณสมบัติทางยาสมุนไพร นิยมนำมาทำเป็นอาหารรับ กินได้ทั้งดิบและปรุงสุก ลวก ต้ม ผัก แกง ทอด

หัวปลี

หัวปลี หรือ ปลีกล้วย ( Banana flower ) คือ ส่วนที่เป็นดอกของต้นกล้วย ซึ่งกล้วยทุกสายพันธุ์เมื่อเจริญเติบโตเต็มจะเริ่มออกปลี หรือหัวปลี ซึ่งมีคุณสมบัติทางยาสมุนไพรกล้วยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนทั้งลำต้นอ่อน ปลี ผลกล้วย และใบตอง เต็มไปด้วยใยอาหารนิยมนำมาทำเป็นอาหารรับประทานได้ทั้งดิบและปรุงสุก และที่สำคัญหัวปลีกล้วยอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม โพแทสเซียม ทองแดง แมกนีเซียม และธาตุเหล็ก ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายหลายอย่าง

หัวปลี ประโยชน์และสรรพคุณ

  • ช่วยแก้อาการแพ้ท้อง
  • ช่วยป้องกันอาการท้องผูก
  • ป้องกันภาวะซึมเศร้า
  • ช่วยแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
  • ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำนมในแม่ตั้งครรภ์และแม่ให้นมบุตร
  • ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว และลดอาการตกเลือดหลังคลอด
  • ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค
  • ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้
  • ช่วยเพิ่มฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกาย
  • ช่วยกระตุ้นการดูดซึมกลูโคสทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลง
  • ช่วยควบคุมเบาหวาน
  • ช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น
  • ช่วยให้นอนหลับง่าย และลดความวิตกกังวล
  • ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และมะเร็ง
  • ช่วยลดความเครียดในเซลล์ และชะลอความแก่ชรา
  • ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและปัญหาทางเดินปัสสาวะ
  • ช่วยเพิ่มระดับธาตุเหล็ก
  • ช่วยลดน้ำหนัก

หัวปลี คุณค่าทางโภชนาการ

หัวปลี 100 กรัม ให้พลังงาน 28 แคลอรี่

  • โปรตีน 1.6 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 9.9 กรัม
  • ใยอาหาร 5.7 กรัม
  • แคลเซียม 56 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 73.3 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 56.4 มิลลิกรัม
  • ทองแดง 13 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 553.3 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 48.7 มิลลิกรัม
  • วิตามินอี 1.07 มิลลิกรัม
  • เถ้า 0.9 กรัม

หัวปลี เมนูอาหารง่าย ๆ เพื่อสุขภาพ

  • ห่อหมกหัวปลี
  • ลาบหัวปลี
  • แกงคั่วหัวปลี
  • หัวปลีต้มกะทิ
  • หัวปลีทอดมัน
  • ไข่เจียวหลีปลี
  • ต้มข่าไก่หัวปลี
  • น้ำขิงหัวปลี 
  • หัวปลีลวกจิ้มนํ้าพริก
  • ต้มยำไก่หัวปลี
  • ยำปลากระป๋องใส่หัวปลี
  • หัวปลีชุบแป้งทอด

หัวปลี ปลีกล้วย ไม่เพียงแค่อร่อย แต่ยังได้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลาย เหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเพราะมีใยอาหารสูงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูโดนเฉพาะเมนูหัวปลีต้มกะทิปลาทูสด หรือจะเป็นลวกจิ้มน้ำพริกก็อร่อยไม่แพ้กัน หัวปลีหรือปลีกล้วยนั้นมีเกือบแทบทุกบ้านที่ปลูกกล้วยไว้ หรือจะหาซื้อตามตลาดก็ได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ผักวอเตอร์เครส สลัดน้ำ สมุนไพรพื้นบ้านป้องกันมะเร็ง

0
วอเตอร์เครส สลัดน้ำ ผักที่รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิดที่สำคัญต่อร่างการ โดยเฉพาะการรักษาโรคมะเร็ง
ผักวอเตอร์เครส สลัดน้ำ สุดยอดสมุนไพรพื้นบ้านป้องกันมะเร็ง
วอเตอร์เครส สลัดน้ำ ผักที่รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิดที่สำคัญต่อร่างการ โดยเฉพาะการรักษาโรคมะเร็ง

ผักวอเตอร์เครส

ผักวอเตอร์เครส (Watercress) คือ ผักใบเขียวที่มีสารอาหารมากมายจัดอยู่ในวงศ์กะหล่ำปลี มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Nasturtium officinale บางคนเรียกสลัดน้ำ แพงพวยหรือเยลโลเครส โดยลักษณะทางพฤษศาสตร์ใบกลมขอบใบหยักสีเขียวเข้ม มีรสชาติเผ็ดเล็กน้อย ลำต้นตรงสีเขียว ผักชนิดนี้ชอบน้ำปลูกง่ายและเจริญเติบโตเร็ว สลัดน้ำวอเตอร์เครสมี 2 สายพันธุ์หลักที่นิยมปลูกเพื่อนำมารับประทาน ได้แก่ พันธุ์สีเขียวกับพันธุ์สีแดง ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรพื้นบ้านมีคุณค่าทางสารอาหารสูง 

คุณค่าทางโภชนาการของวอเตอร์เครส

วอเตอร์เครส 100 กรัม ให้พลังงาน 11 แคลอรี่
ไขมัน 0.1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม
โปรตีน 2.3 กรัม
แคลเซียม 120 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 330 มิลลิกรัม
โซเดียม 41 มิลลิกรัม
วิตามินและแร่ธาตุของวอเตอร์เครส 100 กรัม
วิตามินเอ 63%
วิตามินซี 71%
วิตามิน B6 = 5%
แมกนีเซียม 5%
เหล็ก 1%

ประโยชน์ต่อสุขภาพของวอเตอร์เครส

  • อุดมไปด้วยวิตามินเอ หรือที่เรียกว่าเรตินอล ซึ่งมีความสำคัญต่อการมองเห็น
  • วิตามินเอช่วยรักษาอวัยวะภายในร่างกายให้แข็งแรง
  • วิตามินเคช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
  • วิตามินเคช่วยควบคุมการหมุนเวียนของกระดูก
  • วิตามินซีช่วยเพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกัน
  • วิตามินซีเพิ่มการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ
  • วิตามินซีช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก
  • ช่วยผลิตคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพ
  • เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์ลดอนุมูลอิสระในร่างกาย
  • ลูทีนและซีแซนทีนมีความสำคัญต่อดวงตาและป้องกันดวงตาความเสียหายจากแสงสีน้ำเงิน
  • ช่วยลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
  • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็งหลายชนิด
  • ช่วยลดความเสี่ยงเซลล์ถูกทำลายจากมะเร็ง     
  • ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังได้
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในพลาสมาได้
  • ช่วยลดความดันโลหิตโดยการเพิ่มไนตริกออกไซด์ในเลือด
  • ช่วยให้พัฒนาการของทารกในครรภ์หรือตัวอ่อนแข็งแรง
  • ช่วยบำรุงสเปิร์มและลดปัญหาเซ็กส์เสื่อม

คำแนะนำ ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการกินวอเตอร์เครส

การกินวอเตอร์เครสในปริมาณมากอาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนหรือส่งผลเสียต่อไต ควรกินผักวอเตอร์เครสแต่พอดีและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการกินวอเตอร์เครส

  • เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
  • ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
  • ผู้ป่วยโรคไต
  • ผู้ที่แพ้ผักตระกูลกะหล่ำ และผู้มีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำไม่ควรทานวอเตอร์เครสสดๆ เพราะจะไปยับยั้งฮอร์โมนจนเกิดปัญหาคอพอก หรือเสี่ยงต่อมะเร็งไทรอยด์
  • หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือแท้งบุตรได้ ส่วนหญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรก็ควรบริโภควอเตอร์เครสด้วยความระมัดระวัง เพราะปัจจุปันยังไม่มีหลักฐานยืนยันความปลอดภัยของผักชนิดนี้อย่างชัดเจน

การกินวอเตอร์เครสเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ต้องกิน 5 ทัพพีต่อสัปดาห์ จึงจะให้ผลลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง บางคนกินวอเตอร์เครสแล้วรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มลิ้นนั่นคือ สารพีอีไอทีซีเริ่มออกฤทธิ์ โดยสามารถทานได้ทั้งสดและสุกจากการนำไปประกอบอาหารต่าง ๆ ตามชอบ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส Streptococcus Pneumoniae

0
โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส Streptococcus Pneumoniae
เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียพบได้ในทารก ไวรัสหรือแบคทีเรียสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสละอองน้ำลายจากผู้ที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย
โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส Streptococcus Pneumoniae
เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียพบได้ในทารก ส่งผลกระทบทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจทั้งโรคปอดบวม

โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส

โรคนิวโมคอคคัส ( Streptococcus Pneumoniae ) คือ การติดเชื้อแบคทีเรียพบได้ในทารก เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปีรวมถึงผู้สูงอายุ ไวรัสหรือแบคทีเรียสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสละอองน้ำลายจากผู้ที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่งผลกระทบทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจทั้งโรคปอดบวม noo-muh-KOK-uhl เกิดจากแบคทีเรีย Streptococcus pneumoniae โรคหลอดลมอักเสบ โรคหูน้ำหนวก ภาวะโลหิตเป็นพิษ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบด้วย

อาการของโรคนิวโมคอคคัส

ปัจจัยเสี่ยงหลักของการติดเชื้อโรคนิวโมคอคคัส

แพทย์เตือนว่าทุกคนสามารถติดเชื้อโรคนิวโมคอคคัสหรือเป็นโรคปอดบวมได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่เสี่ยงสูง ได้แก่ ทารก เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ใหญ่ที่มีมากกว่า 65 ปี ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กระยะยาว รวมถึงเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอาการป่วยบางอย่างเช่น โรคหัวใจเรื้อรัง โรคปอด โรคไตหรือตับ เบาหวาน หรือความเจ็บป่วยที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เอชไอวี และมะเร็งบางชนิด เป็นต้น

การวินิจฉัยโรคนิวมคอคคัส

การตรวจหาแบคทีเรียสเตรปโทคอคคัส หรือที่เรียกว่าแอนติเจนในปัสสาวะ C polysaccharide ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของผนังเซลล์แบคทีเรีย สามารถตรวจพบได้ในของเหลวในร่างกาย นำมาผ่านกระบวนการเพาะเชื้อแบคทีเรีย

การรักษาโรคนิวโมคอคคัส

ทางการแพทย์จะรักษาตามอาการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีผลกับโรคปอดบวม     

วิธีป้องกันโรคนิวโมคอคคัส

วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสนิวโมคอคคัส (pneumococcal vaccine) ปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนจากส่วนประกอบของเชื้อไวรัส Streptococcus pneumoniae คุณสมบัตของวัคซีนเพื่อป้องกันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม polysaccharide (PPV) และวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม (PCV) เมื่อฉีดวัคซีนเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส และสามารถป้องกันการเกิดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อที่อาจทำให้เสียชีวิตได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคคลั่งผอม อันตรายที่แฝงมากับความผอม

0
โรคคลั่งผอม เป็นพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงการกินอาหารทีมี ไขมัน น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต เพราะกลัวว่าจะอ้วน
โรคคลั่งผอม อันตรายที่แฝงมากับความผอม
โรคคลั่งผอม เป็นพฤติกรรมที่หลีกเลี่ยงการกินอาหารทีมี ไขมัน น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต เพราะกลัวว่าจะอ้วน

โรคคลั่งผอม

โรคคลั่งผอม (Anorexia nervosa) คือ พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติพยายามหลีกเลี่ยงจำกัดการกินอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตมากเพราะกลัวอ้วน กังวลอยู่กับน้ำหนัก รูปร่างของตัวเองส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งหนุ่มๆสาวๆ หลายคนก็คงอยากจะมีหุ่นที่ดี หุ่นเฟิร์ม หุ่นสวยเป๊ะจึงหาวิธีลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน มักพบในกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 20 ปี

อาการของโรคคลั่งผอม

  • ปวดหัว เวียนหัว
  • นอนไม่หลับ
  • รู้สึกเหนื่อยล้า
  • อาการเบื่อทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ หรือขาดสารอาหาร
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • หัวใจเต้นช้าลง
  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • เลือดไหลเวียนไม่ดี
  • ผิวแห้ง ผมร่วง หรือผมบาง
  • สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • หน้ามืด หรือเป็นลม
  • ร่างกายที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
  • มีอาการกลัวน้ำหนักขึ้นมาก
  • มีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ
  • สนใจแต่เรื่องอาหารลดน้ำหนัก วิธีลดน้ำหนัก กำหนดแคลอรี่ในอาหารที่ทาน
  • ออกกำลังกายมากเกินไป
  • รู้สึกว่าตนเอง “อ้วน” และวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา
  • น้ำหนักตัวน้อยกว่ามาตรฐาน
  • หลังทานอาหารเสร็จจะทำให้ตนเองอาเจียน หรือรับประทานยาระบายอันตรายและผลข้างเคียงของโรคคลั่งผอม
  • กล้ามเนื้อรีบเล็ก
  • กระดูกเปราะ กระดูกพรุน
  • ร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลียง่าย
  • มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
  • มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือโรคโลหิตจาง
  • ปัญหาเกี่ยวกับสมองและเส้นประสาท เช่น รู้สึกสับสน ความจำเสื่อม ความจำสั้น และสมาธิสั้น
  • ภาวะขาดน้ำ
  • ไตวาย
  • ฮอร์โมนเอสโตรเจน/เทสโทสเตอโรน/ไทรอยด์ลดลง
  • เสี่ยงภาวะมีบุตรยาก
  • เสี่ยงภาวะซึมเศร้า
  • เสี่ยงต่อการเสียชีวิต

แนวทางการรักษาโรคคลั่งผอม

  • ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
  • พูดคุยกับจิตแพทย์เพื่อปรับทัศนคติและปรับสภาพจิตใจ ให้รู้สึกผ่อนคลาย
  • ครอบครัวต้องเข้าใจภาวะที่คนไข้เป็น และให้กำลังใจเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
  • แพทย์จะพิจารณาใช้ยารักษา เช่น ยารักษาซึมเศร้า ลดความวิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ เพื่อให้คนไข้ผ่อนคลาย และน้ำหนักตัวกลับมา

หากพบว่าคนในครอบครับมีพฤติกรรมลดการกินอาหารผิดปกติเป็นเวลานาน หรือเลือกกินอาหารที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ โรคคลั่งผอม เป็นความผิดปกติทางจิตที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงแนะนำให้ไปพบแพทย์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม