ทำความรู้จักกับหอมแดง สมุนไพรที่คนไทยต้องเคยกิน!

0
10 ประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ของหอมแดงเพื่อสุขภาพ
หอมแดง เป็นพืชตระกูลกระเทียม หัวหอม และกุยช่าย ในหอมแดงสดมีเอนไซม์อัลลิเนส ซึ่งใช้ในการต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรีย
10 ประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ของหอมแดงเพื่อสุขภาพ
หอมแดง หอมหัวเล็ก หอมแกง เป็นพืชตระกูลกระเทียม หัวหอม และกุยช่าย มีเอนไซม์อัลลิเนส ซึ่งใช้ในการต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรีย

หอมแดง

หอมแดง (Shallot) คือ พืชในวงค์ตระกูล AMARYLIDACEAE ที่มีทั้งกระเทียม หัวหอม และกุยช่ายมีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ถือเป็นพืชชนิดหนึ่งที่สำคัญอย่างมากต่อคนไทย และเป็นส่วนประกอบในอาหารไทยมากมาย ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักหอมแดงอย่างแน่นอน ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันเป็นอย่างดีว่าหอมแดงมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่บางคนอาจจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านใดบ้าง นอกจากจะสำคัญต่อสุขภาพแล้วหอมแดงถือเป็นพืชที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในไทยและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทางภาคเหนือในประเทศไทยเราถือเป็นแหล่งเพาะปลูกหอมแดงที่มีคุณภาพและโด่งดัง โดยเฉพาะจังหวัดศรีสะเกษ ในหอมแดงสดมีเอนไซม์อัลลิเนส (alliinase) เป็นสารประกอบกำมะถันปริมาณสูงจากธรรมชาติ ซึ่งใช้ในการต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันโรคหวัด คัดจมูก ช่วยรักษาการติดเชื้อและอาการแพ้ระบบทางเดินหายใจ เช่น เจ็บคอ มีเสมหะ ปวดหัว และแพ้อาหารบางชนิด รวมถึงสารสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นฉุนของหัวหอมแดง คือ Propenedisulphide ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดไขมันในเส้นเลือดและลดน้ำตาลกลูโคสในเลือด

รู้จักกับชื่อต่าง ๆ ของหอมแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium ascalonicum L.
ชื่อสามัญ : หอมแดงมีชื่อสามัญว่า “Shallot”
ชื่อท้องถิ่น : ชื่อทางภาคกลางเรียกว่า “หอมแกง หอมไทย หอมเล็ก หอมหัว” ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกว่า “ผักบั่ว” ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า “หอมหัวขาว หอมบัว หอมปั่ว” ส่วนภาคใต้เรียกว่า “หอมแกง”
ชื่อวงศ์ : วงศ์พลับพลึง (Amaryllidaceae)
ชื่อพ้อง : Allium carneum Willd., Allium fissile Gray, Allium hierochuntinum Boiss., Porrum ascalonicum

ลักษณะของหอมแดง

หอมแดง เป็นพืชที่มีลำต้นสั้นและฝังอยู่ใต้ดิน
ใบ : ใบเป็นลักษณะยาวกลม ผิวเรียบและตั้งตรงขึ้นฟ้า แต่ละต้นจะมีใบประมาณ 5 – 8 ใบต่อต้น
ราก : เป็นรากฝอยขึ้นบริเวณก้นของหัวหอม
ดอก : ดอกมีลักษณะเป็นช่อคล้ายร่ม ประกอบไปด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอก 6 กลีบ มีสีขาวอมม่วง มักจะออกดอกในช่วงฤดูร้อน
หัวหอมแดง : หัวมีลักษณะกลมสีม่วงอมแดง ประกอบด้วยหัวเล็ก ๆ อยู่รวมกันหลายหัว มีเปลือกบาง ๆ ห่อหุ้มอยู่ภายนอก เนื้อภายในจะมีสีม่วงอ่อน

คุณค่าทางโภชนาการของหอมแดง

หอมแดง  100 กรัม ให้พลังงาน 72 แคลอรี่ (Kcal)
สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
โซเดียม 12 มิลลิกรัม
ไขมันทั้งหมด 0.1 กรัม
ไขมันอิ่มตัว 0 กรัม
คอเลสเตอรอล 0 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 334 มิลลิกรัม
คาร์โบไฮเดรต 17 กรัม
โปรตีน 2.5 กรัม
น้ำตาล 8 กรัม
ไฟเบอร์ หรือใยอาหาร 3.2 กรัม
วิตามินเอ 4 IU
แคลเซียม 37 มิลลิกรัม
วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 21 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม
วิตามินบี6 0.3 มิลลิกรัม

10 ประโยชน์ที่ของหอมแดงเพื่อสุขภาพ

หอมแดงสดอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการทั้งรสชาติเผ็ดและกลิ่นฉุน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งใยอาหารที่ดีและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น อัลลิซิน (allicin) เควอซิติน (quercetin) และเปปไทด์ (Peptide) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีคุณสมบัติต้านไวรัสและแบคทีเรีย

1. หอมแดงเต็มไปด้วยเปปไทด์และโปรตีน ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น ไข้หวัด คัดจมูก เจ็บคอ
2. บำรุงหัวใจให้แข็งแรง โดยการลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีและป้องกันการสะสมของไขมัน (คราบพลัค) เกาะที่ผนังหลอดเลือดแดง หอมแดงยังสามารถลดอาการของโรคหัวใจได้
3. ป้องกันโรคอ้วน และน้ำหนักเกิน เนื่องจากเอทิลอะซิเตทในหอมแดงช่วยป้องกันการก่อตัวของไขมันส่วนเกิน ดังนั้นการกินหอมแดงสดหรือใส่ในอาหาร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
4. ป้องกันโรคเบาหวาน จากการวิจับพบว่าสารประกอบฟลาโวนอยด์ในหอมแดงมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากการยับยั้งการสลายตัวของอินซูลินในตับ รวมถึงควบคุมการผลิตอินซูลินของร่างกายและช่วยรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ดี
5. ช่วยบรรเทาและรักษาอาการแพ้ หอมแดงมีคุณสมบัติต้านไวรัสและต้านเชื้อแบคทีเรีย หากเป็นหวัดการกินหอมแดงสามารถช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก เจ็บคอ และช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้
6. กระตุ้นการทำงานของสมองสูง
7. ช่วยป้องกันและชะลอการเกิดปัญหาสายตา ในหอมแดงมีวิตามินเออยู่มากซึ่งช่วยรักษาสายตาและลดโอกาสการเกิดต้อกระจกได้
8. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ในหัวหอมมีสารเคมีเอทิลอะซิเตทช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากหัวหอมมีคุณสมบัติต้านการอักเสบช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
9. หอมแดงที่มีธาตุเหล็กและทองแดงสูง สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการขยายหลอดเลือดในร่างกาย โดยการกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
10. หัวหอมและกระเทียมมีเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย การอักเสบ ไวรัส และการติดเชื้อทั้งที่พบได้บ่อยและอาการรุนแรง

แนะนำเมนูอาหารใส่หอมแดง

  • ไข่ตุ๋นหมูสับหอมแดง
  • ไข่เจียวหอมแดง
  • ยำปลากระป๋องใส่หอมแดง
  • ลาบหมูใส่หอมแดง
  • ยำไข่เค็มโรยหอมแดง

ข้อควรระวัง

1. ไม่ควรรับประทานหอมแดงมากจนเกินไปหรือรับประทานบ่อยครั้งเพราะทำให้ผมหงอก มีกลิ่นตัว ตาฝ้ามัว ฟันเสีย และอาจทำให้มีอาการหลงลืมง่ายไปจนประสาทเสียได้
2. น้ำจากหอมแดงมีสารกำมะถันซึ่งทำให้แสบตา แสบจมูก และผิวหนังอาจมีอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อนได้ จึงไม่ควรทาใกล้บริเวณที่ผิวบอบบาง

เนื่องจากหัวหอมแดงอุดมไปด้วยกรดโฟลิก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าโดยการลดระดับโฮโมซิสเทอีนในร่างกาย ดังนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในอาหารไทยหลากหลายเมนู มีกลิ่นที่ค่อนข้างแรงแต่เมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึกโล่งจมูก ถือเป็นพืชที่นิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณมากมายและเป็นสมุนไพรที่คนไทยต้องเคยกิน ไม่ว่าจะกินสดหรือจากส่วนประกอบในเมนูอาหารต่าง ๆ สรรพคุณที่โดดเด่นของหอมแดงเลยก็คือช่วยเผาผลาญอาหารในร่างกาย เป็นยาถ่าย บำรุงเลือดและช่วยแก้หวัดได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ฝอยทอง ขนมไทยมงคล พร้อมสูตรทำแบบดั้งเดิม

0
ฝอยทอง ขนมไทยมงคล พร้อมสูตรทำแบบดั้งเดิม
สูตรขนมฝอยทอง ขนมไทยมงคล
ขนมฝอยทอง เป็นขนมที่มีลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย

สูตรขนมฝอยทอง ขนมไทยมงคล

ฝอยทอง (Golden Thread) เป็นขนมต้นตำรับจากโปรตุเกสที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยเส้นฝอยสีทองอร่าม ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด นำมาหยดลงในน้ำเชื่อมเดือดจนได้เส้นที่บางและเงางาม คนโปรตุเกสมักรับประทานฝอยทองคู่กับขนมปัง อาหารจานหลักที่มีเนื้อสัตว์ หรือใช้เป็นส่วนประกอบของขนมเค้กเพิ่มความหวานละมุน ขนมชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากเมืองอาไวรู ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของโปรตุเกสและมีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรมการทำขนมแบบดั้งเดิม

ความเป็นมาของขนมฝอยทอง

ความเป็นมาของขนมฝอยทองขนมฝอยทอง เป็นขนมมงคลของไทยจากหลักฐานมีการริเริ่มในสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบการถ่ายทอดโดยท้าวทองกีบม้ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น ฝอยทองลักษณะเป็นเส้นเล็กฝอย ๆ สีเหลืองทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ดแล้วนำเคี่ยวในน้ำเชื่อมจะมีกลิ่นหอมของใบเตย และน้ำลอยดอกมะลิ ฝอยทองมีการเผยแพร่
ความรู้ให้กับคนไทยในประเทศไทยพร้อมกับขนมทองหยิบและขนมทองหยอด มีรูปลักษณ์โดดเด่นรวมถึงรสชาติที่อร่อย หอมกลิ่นดอกไม้จากธรรมชาติ กลิ่นอบควันเทียน มักนำมาใช้ประกอบในพิธีมงคลต่าง ๆ หรือมอบเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญแทนคำอวยพรให้ร่ำรวยมีเงินมีทอง

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทอง

  • อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทองไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต
  • กระทะทองเหลือง
  • ถาดรองน้ำเชื่อม
  • กรวยโลหะ
  • ดอกมะลิสด
  • ตะแกรง
  • ใบเตยสด

ส่วนผสมขนมฝอยทอง
1. ไข่เป็ด 5 ฟอง (เฉพาะไข่แดง)
2. ไข่ไก่ 5 ฟอง (เฉพาะไข่แดง)
3. น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง
4. น้ำลอยดอกมะลิ 1 1/2 ถ้วยตวง
5. ไข่น้ำค้าง 2 ช้อนโต๊ะ (ไข่ขาวส่วนที่เป็นน้ำใสๆ ที่ติดอยู่กับเปลือกด้านบน)
6. น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
7. เทียนอบ 1 ชิ้น
8. ไม้แหลม (สำหรับตักและพับฝอยทองในกระทะ)
9. กรวยทองเหลืองหรือกรวยใบตอง (สำหรับโรยไข่ในกระทะ)
10. ใบเตย 3-5 ใบ (มัดรวมกัน)

วิธีทำขนมฝอยทอง

1. ทำน้ำเชื่อม โดยการนำน้ำลอยดอกมะลิ เทน้ำตาลในกระทะทองเหลือง แล้วยกตั้งไฟโดยใช้ไฟปานกลาง รอจนเดือด
2. ใช้ไข่ไก่และไข่เป็ด เลือกเอาเฉพาะไข่แดง นำออกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออกตีไข่แดงให้เข้ากัน
3. ผสมไข่แดง ไข่น้ำค้าง และน้ำมันพืช คนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
4. นำส่วนผสมไข่แดงใส่ลงไปในกรวย และนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลือง
ประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่สุกจึงใช้ไม้แหลมสอยขึ้นและพับให้เป็นแพตามต้องการวางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำเชื่อม
5. จัดใส่จาน เสิร์ฟเป็นของว่างทานเล่นในวันสบายๆ

เคล็ดลับ : ถ้าต้องการฝอยทองเส้นเล็กให้ยกกรวยสูงจากน้ำเชื่อม แต่ถ้าต้องการฝอยทองเส้นใหญ่ ก็ให้ถือกรวยต่ำ ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมฝอยเงิน ขนมไทยมงคลเสริมความร่ำรวย

0
สูตรขนมฝอยเงิน ขนมไทยมงคลเสริมความร่ำรวย
ขนมฝอยเงิน หรือ ไข่ในรัง เป็น ขนมไทยที่หาทานได้ยากเนื่องจากไข่น้ำค้าง ปัจจุบันทำจากไข่ขาวซึ่งหาได้ง่าย ความอร่อยอยู่ที่ไข่ขาวจะต้องไม่มีกลิ่นคาว
สูตรขนมฝอยเงิน ขนมไทยมงคลเสริมความร่ำรวย
ขนมฝอยเงิน หรือ ไข่ในรัง เป็น ขนมไทยที่หาทานได้ยากเนื่องจากไข่น้ำค้าง ปัจจุบันทำจากไข่ขาวซึ่งหาได้ง่าย ความอร่อยอยู่ที่ไข่ขาวจะต้องไม่มีกลิ่นคาว

ขนมฝอยเงิน

ขนมฝอยเงิน (Silver thread) หรือ ไข่ในรัง คือ ขนมไทยที่หาทานได้ยากเนื่องจากไข่น้ำค้างที่เป็นส่วนประกอบหลักมีน้อยมาก (ไข่ขาวส่วนนอกที่มีลักษณะค่อนข้างเหลว และใสกว่าไข่ขาวชั้นใน) มักทานคู่กันกับขนมฝอยทองเชื่อกันว่ากินแล้วจะเสริมโชคลาภและความร่ำรวย ในปัจจุบันขนมฝอยเงินทำจากไข่ขาวซึ่งหาได้ง่าย ความอร่อยอยู่ที่ไข่ขาวจะต้องไม่มีกลิ่นคาว โดยแบ่งน้ำเชื่อมออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ใช้สำหรับโรยไข่ขาวลงไปในน้ำเชื่อม ส่วนที่ 2 นำน้ำเชื่อมมาเจือจางแล้วใส่ขิงทุบห่อด้วยผ้าขาวบางใส่ลงไปในน้ำเชื่อมเพื่อดับกินคาว จะได้กลิ่นดอกมะลิในน้ำเชื่อมเป็นการเพิ่มความอร่อย หอม หวานให้กับขนมฝอยเงินตามสูตรโบราณ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมฝอยทอง

  • ไม้แหลม ยาวประมาณ 1 ฟุต
  • กระทะทองเหลือง
  • ถาดรองน้ำเชื่อม
  • กรวยโลหะ
  • ดอกมะลิสด
  • ตะแกรง
  • ขิงแก่สด

ส่วนผสมขนมฝอยทอง

1.ไข่เป็ด 5 ฟอง (เฉพาะไข่ขาว)
2.ไข่ไก่ 5 ฟอง (เฉพาะไข่ขาว)
3.น้ำตาลทราย 2 ½ ถ้วยตวง
4.น้ำเปล่า 500 กรัม
5.ขิงแก่หั่นแว่น 3-5 ชิ้น
6.น้ำลอยดอกมะลิ 400 กรัม

วิธีทำขนมฝอยทอง

1. ตอกไข่ขาวลงในถ้วยแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
2. นำกะทะตั้งไฟเทน้ำเปล่าแล้วน้ำตาลทราย ขิงหั่นลงไป (เพื่อทำน้ำเชื่อมอ่อน) คนจนน้ำตาลละลายจนหมดยกลง (พักไว้)
3. นำกะทะตั้งไฟเทน้ำลอยดอกมะลิแล้วน้ำตาลทรายลงไป (เพื่อทำน้ำเชื่อมเข้มขน) ตั้งไฟต้มจนน้ำเชื่อมเดือด
4. ใส่ไข่ขาวลงไปในกรวยแล้วนำไปโรยในน้ำเชื่อมที่เดือด (ใช้ไฟกลาง) วนให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20-30 รอบต่อชิ้น จากนั้นยกกรวยขึ้น ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาทีจนไข่ขาวสุกลอยขึ้นมาจึงใช้ไม้แหลมตักเส้นฝอยเงินขึ้นมา นำเส้นฝอยเงินที่ได้ใส่ลงในน้ำเชื่อมแบบอ่อนที่เตรียมไว้
5. หลังจากนั้นใช้ไม้แหลมตักขึ้นแล้วม่วนให้มีลักษณะคล้ายรังไหมกลมยาว
6. จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

ฝอยเงินเป็นเมนูขนมไทยมงคลที่นิยมเสิร์ฟคู่กับฝอยทอง เชื่อว่าเมื่อกินแล้วจะเสริมโชคลาภและความร่ำรวย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมหม้อแกง ขนมไทยโบราณยอดนิยม 

0
ขนมหม้อแกง ขนมไทยโบราณยอดนิยม 
ขนมหม้อแกง เป็น ขนมไทยที่ได้รับความนิยมในโบราณ ใช้หม้อดินในการทำขนม และมีหลายสูตร เช่น หม้อแกงถั่ว หม้อแกงไข่ หม้อแกงเผือก และหม้อแกงเม็ดบัว
ขนมหม้อแกง ขนมไทยโบราณยอดนิยม 
ขนมหม้อแกง เป็น ขนมไทยที่โบราณ ใช้หม้อดินในการทำขนม และมีหลายสูตร เช่น หม้อแกงถั่ว หม้อแกงไข่ หม้อแกงเผือก และหม้อแกงเม็ดบัว

ขนมหม้อแกง

ขนมหม้อแกง (Thai Mung Bean Custard) คือ ขนมไทยชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ริเริ่มโดยชาวต่างชาติมีชื่อว่า คุณท้าวทองกีบม้า หรือ มารีกีมาร์ เป็นผู้สอนให้คนไทยซึ่งเป็นลูกหลานคนเมืองเพชรเดิมใช้หม้อดินในการทำขนมหม้อแกง ซึ่งมีหลายแบบเรียกชื่อตามส่วนผสมสูตรดั้งเดิม เช่น ขนมหม้อแกงถั่ว ขนมหม้อแกงไข่ ขนมหม้อแกงเผือก ขนมหม้อแกงเม็ดบัว และขนมหม้อแกงฝอยทอง จากการสันนิษฐานว่า “กีมาร์ ” มีส่วนประกอบหลักเผือกนึ่ง ถั่วนึ่ง ไข่เป็ด น้ำตาลโตนด กะทิ แป้งข้าวเจ้า

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับทำขนมหม้อแกงถั่ว

  • เครื่องปั่น
  • ถาดฟอยล์ขนาด 25 เซ็นติเมตร
  • ไมโครเวฟ

ส่วนผสม ขนมหม้อแกงถั่ว

  • ถั่วเขียวซีกนึ่งบดละเอียด 200 กรัม
  • ไข่เป็ด (ขนาดใหญ่) 5 ฟอง
  • ใบเตย 5 ใบ
  • น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
  • หัวกะทิ 400 กรัม
  • หอมแดงเจียว 50 กรัม
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำขนมหม้อแกงถั่ว

1. ตอกไข่เป็ดทั้งหมดลงในกะละมังสแตนเลสก้นลึก
2. ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปทั้งหมด แล้วนำใบเตยมาขยำกับไข่และน้ำตาลให้เป็นเนื้อเดียวกัน
3. แล้วเติมกะทิลงให้ขยำให้เข้ากัน นำไปกรองด้วยผ้าขาวบางเตรียมไว้
4. นำถั่วเขียวซีกที่นึ่งแล้วมาบดให้ละเอียดเทใส่หม้อ หลังจากนั้นนำส่วนผสมที่กรองเรียบร้อยแล้วมาเทใส่ลงไปคนให้เข้ากัน ยกตั้งไฟคนให้พอเข้นๆ แล้วปิดไฟ
5. ตักส่วนผสมที่ถาดฟอยล์ประมาณ 3 ส่วน 4 (ไม่ต้องเต็มถาด) ใช้ไม้จิ้มฟันคนไม่ให้มีฟองอากาศ
6. นำไปอบด้วยไมโครเวฟ โดยวอมเตาอบก่อน 5-10 นาที ใช้อุณหภูมิ 180 องศา (ใช้ไฟบน-ล่าง) ตั้งเวลา 30 นาทีหรือจนกว่าขนมจะสุก
7. ยกออกจากเตาไมโครเวฟ รอให้เย็นแล้วตักหอมเจียวโรยหน้า พร้อมเสิร์ฟ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมจีนอาหารไทยยอดนิยม

0
ขนมจีนทำด้วยแป้งเข้าเจ้าเป็นเส้นกลม ๆ สีขาว มีทั้งแป้งสด แป้งหมัก และอบแห้ง นิยมกินกับน้ำพริก น้ำยา น้ำเงี้ยว ไตปลา ตำซั่ว ยำขนมจีน และมีผักเคียง
เส้นขนมจีน (Thai Rice Noodles)
ขนมจีนทำด้วยแป้งเข้าเจ้าเป็นเส้นกลม ๆ สีขาว มีทั้งแป้งสด แป้งหมัก และอบแห้ง นิยมกินกับน้ำพริก น้ำยา น้ำเงี้ยว ไตปลา และมีผักเคียง

ขนมจีน

ขนมจีน (Thai Rice Noodles) คือ อาหารคาวชนิดหนึ่ง ทำด้วยแป้งเป็นเส้นกลม ๆ นิยมกินกับน้ำยา(กะทิ/ป่า) น้ำพริก น้ำพริก เขียวหวาน น้ำเงี้ยว ไตปลา เคียงกับส้มตำ ตำซั่ว หรือ ยำขนมจีน เป็นต้น ซึ่งร้านขนมจีนได้รับความนิยมจากคนไทยทุกเพศทุกวัย มีร้านขายขนมจีนทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งข้างถนนจนขึ้นไปในห้างสรรพสินค้า

ประวัติความเป็นมาของชื่อขนมจีน

ขนมจีนมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขนมจีนเป็นอาหารดังเดิมของชาวมอญหรือรามัญที่เข้ามาตั้งรกรากในไทย โดยชาวบ้านเรียกเจ้าแป้งกลมๆ ที่ทำจากข้าวแล้วจัดเรียงเอาไว้เป็นกลุ่มๆ ขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือนี้ว่า คนอมจิน ซึ่งในภาษามอญ คำว่าคนอม แปลว่า จับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ส่วนจิน แปลว่า สุก ต่อมาคนไทยเราได้เรียกเพี้ยนมาเป็น ขนมจีน ทำให้เกิดสมมุติฐานตามมาอีกว่าดั้งเดิมทีเดียวขนมจีนเป็นอาหารมอญ แล้วจึงแพร่หลายไปสู่ชนชาติอื่นๆ ในสุวรรณภูมิ รวมทั้งคนไทย ซึ่งรับเอาวัฒนธรรมการกินขนมจีนเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานบวช งานเลี้ยง มักจะมีการทำขนมจีนกินกันมาตั้งแต่โบราณกาล และในสมัยก่อนน่าจะเป็นแป้งหมักเท่านั้น ส่วนน้ำแกงที่ราดจะเป็นน้ำยากะทิ และมีเครื่องเคียงผักสดต่างๆ

ชื่อขนมจีนประจำท้องถิ่น

ชื่อเรียกขนมจีนตามภูมิภาคในประเทศไทย

ภาคกลาง : เรียกว่า ขนมจีน
ภาคเหนือ : เรียกว่า ขนมเส้น หรือข้าวเส้น หรือข้าวหนมเส้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เรียกว่า ข้าวปุ้น
ภาคใต้ : เรียกว่า โหน้มจีน นมปันเจ๊าะ หรือนมรูย หรือนมเวง

ชื่อเรียกขนมจีนนานาชาติ

พม่า : โมนฮีนกา
ลาว/อีสาน : ข้าวปุ้น
กัมพูชา : นมปันเจ๊าะ
เวียดนาม : บุ๋น

เส้นขนมจีนในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 3 ชนิด

1. เส้นขนมจีนแป้งหมัก
เป็นเส้นขนมจีนที่นิยมทำทางภาคอีสาน เส้นมีสีคล้ำออกน้ำตาล เหนียวนุ่ม และเก็บไว้ได้นานกว่า ไม่เสียง่าย เส้นมีขนาดเล็กกว่าเส้นขนมจีนแป้งสด วิธีทำเส้นขนมจีนแป้งหมักจะใช้ข้าวสารข้าวเจ้าล้างให้สะอาดแช่น้ำไว้ 1 คืน หลังจากนั้นใช้ผ้าสะอาดเทข้าวใส่ลงไปปิดให้สนิท ใสในตระกร้าที่มีรูระบายน้ำได้ดีตั้งไว้ในที่ร่มประมาณ 2-5 วัน (ต้องรอน้ำทุกเช้า-เย็น เพื่อให้เมล็ดข้าวเปื่อยยุ่ย) พอครบกำหนดให้นำข้าวที่หมักแล้วมาโม่หรือบดค่อยๆ เติมน้ำลงไปด้วย พักให้แป้งตกตะกอนประมาณ 2 คืน เทน้ำทิ้งเอาเฉพาะแป้งแล้วทำการไล่น้ำออกอีกครั้งโดยเทแป้งใส่ผ้าใช้ครกหินที่มีน้ำหนักทับไว้ 2 วัน (ต้องล้างถุงผ้าทุกวันป้องกันเชื้อรา) เมื่อครบกำหนดให้ปั้นแป้งขนาดประมาณ 15 – 20 เซ็นติเมตร แล้วนำไปต้มในน้ำเดือด (ให้แป้งด้านนอกสุก แต่ด้านในยังขาวอยู่) นำแป้งที่ต้มเสร็จแล้วมาด้วยให้เป็นเนื้อเดียวกันค่อยๆ เติมน้ำเปล่าลงไปนวดต่อให้เข้ากันจนหมด ขั้นตอนสุดท้ายน้ำหม้อขนาดใหญ่หน่อย ตั้งน้ำให้เดือดจัด และเตรียมกะละมังที่ใส่น้ำอุณหภูมิปกติประมาณ 3 ส่วน 4 พอน้ำเดือดให้บีบแป้งโรยเป็นวงกลมไปด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นจนหมด 1 ครั้ง (รอจนเส้นสุกสังเกตได้เส้นจะลอยขึ้นมา) ให้ตักขึ้นไปใส่ในกะละมังน้ำ

2. เส้นขนมจีนแป้งสด
เส้นมีมีลักษณะเป็นสีขาว อุ้มน้ำ ตัวเส้นนุ่ม เส้นมีขนาดใหญ่กว่าขนมจีนแป้งหมัก และเหนียวน้อยกว่า เก็บได้ไม่นาน วิธีทำขนมจีแป้งสดจะใช้การผสมแป้งข้าวเจ้า ไม่ต้องแช่ข้ามคืน สามารถนำมานวดในเครื่องนวดแป้งได้เลย หลังจากนวดแป้งแล้วจะเทแป้งใส่กระบอกทองเหลือง มีรูเจาะไว้ที่ปลายด้านหนึ่ง เมื่อกดแป้งเข้าไปในกระบอก เส้นขนมจีนก็จะไหลออกจากปลายกระบอก เป็นเส้นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 – 1.5 มิลลิเมตร เมื่อได้เส้นแล้วก็ทำต้มในน้ำร้อนเดือดเพื่อทำความสะอาด แล้วนำมาราดด้วยน้ำสะอาดอีกทีหนึ่ง เส้นขนมจีนที่ได้ จะจัดเรียงเอาไว้เป็นกลุ่ม ๆ ขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือ บางถิ่นเรียก จับ หรือ หัว เมื่อเรียงในจานสำหรับรับประทาน จะใส่ประมาณ 3-4 จับ และ การเลือกซื้อขนมจีนแป้งสด ควรเลือกที่ทำใหม่ๆ เส้นจับวางเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่ขาด ไม่มีกลิ่นเหม็นแป้ง ไม่มีเมือก ควรนำมานึ่ง ก่อนกิน

3. เส้นขนมจีนอบแห้ง หรือเส้นขนมจีนกึ่งสำเร็จรูป
เป็นการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยยืดอายุการเก็บรักษาเส้นขนมจีนแบบดั้งเดิมให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น โดยใช้เส้นขนมจีนสดมาอบแห้งด้วยพลังงานสะอาด ปราศจากวัตถุกันเสีย ปราศจากมลพิษ ฝุ่นควันและแมลง ทำให้ได้เส้นขนมจีนที่มีคุณภาพดี เหนียวนุ่ม สะอาด ปลอดภัย และที่สำคัญหาซื้อง่าย ราคาไม่แพง ส่งออกจำหน่ายต่างประเทศได้สะดวก

ไม่ว่าเส้นขนมจีนแบบไหน ก็ยังคงเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งนิยมทานกับ น้ำพริก น้ำยา แกงไตปลา น้ำเงี้ยว แกงเขียวหวาน หรือจะทานเคียงกับส้มตำ หรือทำเป็นยำขนมจีน หรือจะแปรรูปด้วยการนำไปทำให้แห้งแล้วนำมาทอดเป็นอาหารทานเล่นก็มี

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น 

0
แกงกะหรี่เป็นอาหารที่ใช้ส่วนผสมของเครื่องเทศหรือสมุนไพรโดยทั่วไป ได้แก่ ขมิ้นบด ยี่หร่า ผักชี ขิง และพริกสดหรือแห้ง
สูตรแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น
แกงกะหรี่เป็นอาหารที่ใช้ส่วนผสมของเครื่องเทศหรือสมุนไพรโดยทั่วไป ได้แก่ ขมิ้นบด ยี่หร่า ผักชี ขิง และพริกสดหรือแห้ง

แกงกะหรี่

แกงกะหรี่ (Curry) คือ อาหารยอดนิยมในญี่ปุ่นที่ทำเองที่บ้านค่อนข้างบ่อย ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นหรือ “kare raisu” (カレーライス) มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Japanese Curry ซึ่งได้รับความนิยมพอ ๆ กับราเมน แกงกะหรี่มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียดินแดนแห่งเครื่องเทศจากนั้นก็เริ่มแพร่หลายไปยังอังกฤษและเดินทางจากสหราชอาณาจักรไปยังญี่ปุ่น ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1800 โดยกะลาสีเรือชาวอังกฤษที่เรืออับปางในทะเลได้ถือมาเพียงคนเดียวเดิมเป็นสตูว์แบบตะวันตกผสมกับผงกะหรี่ เนื่องจากอาหารญี่ปุ่นมีรสเผ็ดน้อยกว่าอาหารอินเดียมากคนญี่ปุ่นไม่ชินกับการกินอาหารรสเผ็ดแกงในญี่ปุ่นจึงมีมีรสหวานมากกว่าแกงกะหรี่สไตล์อินเดีย มักประกอบด้วยผลไม้ น้ำผึ้ง หรือแม้แต่น้ำตาล มันฝรั่ง แครอท หัวหอมใหญ่ เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ หรือเนื้อแกะเป็นต้น

ผงแกงกะหรี่

ผงแกงกะหรี่อินเดียเรียกได้ว่าขึ้นชื่อในเรื่องเครื่องเทศที่ค่อนข้างเผ็ดร้อนผงแกงกะหรี่ของอินเดียมีส่วนผสมหลายชนิดทั้งหัวหอม ขิง กระเทียม กระวาน อบเชย กานพลู เมล็ดผักชี เมล็ดยี่หร่า พริกไทยดำ มะเขือเทศ พริกแห้ง ขมิ้น ผักชีสดสับสำหรับโรยหน้าเป็นต้น ซึ่งเป็นเอกลักษณะโดยเฉพาะสีเหลืองที่ทุกคนคุ้นตา ขมิ้นเป็นสมุนไพรกระตุ้นความอยากและช่วยให้เจริญอาหาร เมื่อยกกระทะตั้งไฟแล้วใส่น้ำมันพืชใส่เครื่องแกงกะหรี่ลงไปผัดด้วยไฟอ่อนสักพัก เพื่อให้ได้กลิ่นหอมของเครื่องเทศออกมาให้มากที่สุด หลังจากนั้นนำเนื้อสัตว์ลงไปผัดในน้ำซอสที่เข้มข้นเคี่ยวทิ้งไว้ให้น้ำซอสซึมผ่านเข้าไปในเนื้อสัตว์ ปรุงรสแกงกะหรี่ให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมได้ลิ้มรสความเป็นเครื่องเทศเน้นๆ สไตล์อาหารอินเดียแบบดั้งเดิมเสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลิร้อนๆ

นอกจากนั้นยังมีแกงกะหรี่สำเร็จรูปมีให้เลือกมากมาย เนื่องจากมีร้านอาหารญี่ปุ่นหลายแห่งและสถานประกอบการที่เน้นเฉพาะแกงกะหรี่เท่านั้น ทำให้การเตรียมเครื่องแกงที่บ้านง่ายขึ้นมากจึงกลายเป็นหนึ่งในอาหารประจำบ้านในญี่ปุ่นสามารถปรุงรับประทานได้บ่อย ๆ แทบทุกวัน

ความหมายชื่อแกงกะหรี่แต่ละแบบ

  • Rice Kare คือ อาหารที่เสิร์ฟแบบข้าวที่ราดด้วยแกงกะหรี่แล้ว
  • Kare Rice คือ อาหารที่เสิร์ฟแบบแยกภาชนะข้าวกับแกงกะหรี่ออกจากกัน

คุณค่าทางโภชนาการแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น

แกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น100 กรัม ให้พลังงาน 275 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 25 กรัม
โปรตีน 20 กรัม
ไขมัน 11 กรัม
โคเลสเตอรอล 95 มิลลิกรัม
โซเดียม 635 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 603 มิลลิกรัม
ใยอาหาร 3 กรัม
น้ำตาล 9 กรัม
วิตามินเอ 5539 IU
วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
แคลเซียม 40 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 2 มิลลิกรัม

ส่วนผสมแกงกะหรี่ไก่ญี่ปุ่น

  • อกไก่ 450 กรัม
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • พริกไทยดำบด 2 ช้อนชา
  • หัวหอมใหญ่ 2 หัว
  • มันฝรั่ง 1-2 หัว
  • ขิงขูด 50 กรัม
  • กระเทียมบด 5 กลีบ
  • น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำซุปไก่ 4 ถ้วย
  • แอปเปิลสด 1 ลูก (ปอกเปลือก)
  • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผงแกงกะหรี่ 1 ห่อ
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
  • ต้นหอมซอย (สำหรับโรยหน้าแกงกะหรี่)

วิธีทำแกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นใน 4 ขั้นตอนง่ายๆ

1.ตั้งหม้อให้ใช้ไฟกลางเทน้ำมันพืชลงไปในหม้อรอให้ร้อน และผัดส่วนผสมเป็นชิ้นลงไปทั้ง เนื้อไก่ แครอท หัวหอมใหญ่ มันฝรั่ง
2.เติมน้ำซุปไก่ลงไปในหม้อเคี่ยวจนส่วยผสมนิ่มเทผงกะหรี่ลงไป (หลังจากน้ำซุปเริ่มเดือดประมาณ 15 นาที)
ปรับลดไฟกลางเป็นไฟต่ำ
3.ปรุงรสด้วยแอปเปิ้ลขูด ขิงขูด กระเทียมบด น้ำผึ้ง เกลือป่น ซีอิ๊วขาว ซอสมะเขือเทศเคี่ยวประมาณ 20 นาที
(ไม่ต้องคนบ่อย) ใช้ไฟอ่อนจนซอสข้นขึ้น แล้วปิดไฟยกลงตักราดข้าวสวยโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย พร้อมเสิร์ฟ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ อาหารไทยยอดนิยม

0
ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำยาปลานิล คือ อาหารคาวแบบเส้นชนิดหนึ่งที่นิยมกันมากในประเทศไทยทั่วทุกภูมิภาค มีทั้งแบบขนมจีนน้ำยาป่า และขนมจีนน้ำยากะทิ ซึ่งเป็นเครื่องแกงเต็มไปด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำยาปลานิล คือ อาหารคาวแบบเส้นชนิดหนึ่ง มีทั้งแบบขนมจีนน้ำยาป่า และขนมจีนน้ำยากะทิ ซึ่งเต็มไปด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ

ขนมจีนน้ำยาปลานิล (khanohm jeen namya pla nil) คือ อาหารคาวแบบเส้นชนิดหนึ่งที่นิยมกันมากในประเทศไทยทั่วทุกภูมิภาคเหมาะสำหรับคนมีเวลาหรืออยู่บ้าน เนื่องจากขนมจีนน้ำยานั้นมีขั้นตอนการทำและต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่างมากค่อยข้างยุ่งยากสำหรับคนไม่มีเวลา

ขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิเป็นหนึ่งในอาหารไทยที่ไม่เพียงแต่ให้รสชาติที่อร่อยเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางยาในส่วนผสมสมุนไพรอีกด้วย เมื่อนำเครื่องแกงที่เป็นสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกันแล้ว เติมกะทิลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติความเข้มข้นในน้ำยาขนมจีนรอให้น้ำยาขนมจีนเดือด ใส่เนื้อปลานิลที่คัดเนื้อแน่นๆ ลงไปต้มด้วยไฟปานกลางจากนั้นใส่ใบมะกรูดลงไปจะสัมผัสถึงกลิ่นน้ำมันหอมระเหยสามารถดับกลิ่นคาวของปลานิลได้เป็นอย่างดี หากทานร่วมกับผักสดหรือผักลวกยิ่งเพิ่มความอร่อยให้กับขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิได้อย่างลงตัว

ชนิดขนมจีนน้ำยา

น้ำยาขนมจีนมีด้วยกันอยู่ 2 แบบ ขนมจีนน้ำยาป่า และขนมจีนน้ำยากะทิ ในเครื่องแกงประกอบไปด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิด เช่น กระชายขาว ข่า หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด และตะไคร้ รวมถึงผักเครื่องเคียง ถั่วฝักยาว แตงกวา ถั่งงอก กระหล่ำปลี ใบแมงลัก ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว หัวปลี ถั่วพู ยอดกระถิน ฝักกระถินอ่อน มะระลวก ผักบุ้งลวก อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

จากผลสำรวจพฤติกรรมการรับประทานผักและผลไม้ของคนไทยปี 2562 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าคนไทย อายุ 15 ปีขึ้นไป รับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด 400 กรัมต่อวัน ถึงร้อยละ 65.5 ส่งผลทำให้มีกากอาหารตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นจำนวนมาก และเกิดการเน่าเปื่อยกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคทางเดินอาหารผิดปกติ มะเร็งลำไส้ อ้วนง่าย

คุณค่าทางโภชนาการขนมจีนน้ำยาปลานิล

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีกว่าในขนมจีนน้ำยาปลานิลมีสมุนไพรอยู่หลายชนิด อาทิ
กระชายขาว ข่า หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด และตะไคร้ ในขนมจีนน้ำยาปลานิล ให้พลังงาน 526 แคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
ไขมัน 18.4 กรัม
โซเดียม 2910 มิลลิกรัม
คลอเรสเตอรอล 67 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 653 มิลลิกรัม
ใยอาหาร 5.1 กรัม
น้ำตาล 3.8 กรัม
โปรตีน 31.1 กรัม
วิตามินดี 14%
วิตามินเอ 35.54%
วิตามินซี 23.985%
วิตามินบี6 14.92%
วิตามินเค 51.95%
วิตามินเอ 1.39%
เหล็ก 22.44%
แคลเซียม 9.92%
วิตามินบี12 38.36%
ซิงค์ 12.475%
ไทอามิน 10.925%
ไนอาซิน 12.51%
ฟอสฟอรัส 36%
แมกนีเซียม 18.54%
ไรโบพลาวิน 10.935%

ส่วนผสมการทำขนมจีนน้ำยาปลานิลกะทิ

เนื้อปลานิลต้มสุกโขลกละเอียด 500 กรัม
พริกแห้ง 10 – 20 เม็ด (มากน้อยตามความชอบ)
พริกจินดาแดง 10 เม็ด
หอมแดงหั่นหยาบ 10 กรัม
กระเทียม 10 กรัม
ตะไคร้ซอย 3 กรัม
ข่า หั่นแว่น 3 กรัม
กระชายซอย 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
น้ำปลาอย่างดี 2 – 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 – 2 ช้อนชา (หากทำขนมจีนน้ำยาป่าไม่ต้องใส่)
กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ช้อนชา
ผงปรุงรส 3 ช้อนโต๊ะ
ตีนไก่ 500 กรัม
เลือดก้อนหั่นชิ้น 2 ก้อน
ต้นหอมหั่นยาว (ตามความชอบ)
หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง (หากทำขนมจีนน้ำยาป่า ให้เปลี่ยนเป็นน้ำปลาร้าต้มสุกแทน)

หมายเหตุ การทำน้ำยาขนมจีนมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ
วิธีที่1 การนำเครื่องแกงสดมาต้มให้สุกแล้วนำไปโขลก หรือปั่นให้ละเอียง (ใส่เนื้อปลาต้มสุกโขลกทีหลัง)
วิธีที่2 การนำเครื่องแกงสดโขลกร่วมกันกับเนื้อปลาต้มสุก

วิธีทำน้ำยาขนมจีนปลานิล (แบบต้มเครื่องแกง)

1. ตั้งน้ำให้เดือดต้มลูกชินและตีนไก่ให้สุกก่อน โดยใส่ตระไคร้ใบมะกรูดเพื่อดับกลิ่นคาว พักไว้
2. ตั้งน้ำให้เดือดแล้วใส่เกลือป่นใส่เครื่องแกงท้้งกระชาย พริกแห้ง ใบมะกรูด ข่า หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ต้มทุกอย่างให้สุก นำปลานิลลงไปต้มให้สุกประมาณ 15-20 นาที หลังจากนั้นตักขึ้นพักไว้ให้เย็น แล้วนำไปเนื้อปลาไปแกะโขลกให้ละเอียด เตรียมไว้
3. นำเครื่องแกงที่ต้มสุกมาโขลกให้เข้ากัน โดยแบ่งเป็น 3 รอบ ให้ตำหอมแดง กระเทียมให้เข้ากันดีก่อน แล้วค่อยนำกระชายขาวมาตำต่อให้ละเอียด แล้วนำพริกแห้ง ข่า ตะไคร้ ตำรวมกันให้เข้ากันดีเติมน้ำลงไปประมาณ 2 ถ้วยตวงไม่ต้องมากคนให้เข้ากันแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำแกงเท่านั้น
4. นำน้ำแกงลงไปผสมกับเนื้อปลาที่เตรียมไว้
5. เทน้ำเปล่าลงในหม้อตั้งไฟใส่กะทิ ใบมะกรูดลงไปเพื่อความหอม รอให้เดือดใส่น้ำแกงที่ผสมเนื้อปลานิล ตีนไก่ ลูกชิ้น และเลือกก้อนหั่นลงไป รอให้เดือดอีกครั้งปรุงรสด้วยเกลือป่น กะปิ น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ผงปรุงรส ใส่กระชายซอย ต้นหอมซอยเป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำขนมจีนน้ำยากะทิปลานิล

อย่างไรก็ตามการกินผักที่มีเส้นใยอาหารให้เพียงพอในแต่ละวันกินได้ทั้งแบบผักสด ผักลวกกินเป็นผักเครื่องเคียงขนมจีนน้ำยาปลานิลก็อร่อย แถมมีประโยชน์ต่อสุขภาพจะช่วยลดปัญหาการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ ช่วยย่อย ปรับระบบการขับถ่ายให้เป็นปกติ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และที่สำคัญช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ขนมจีนน้ำพริก อาหารไทยยอดนิยม

0
ขนมจีนน้ำพริก อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำพริก เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง กะทิ น้ำตาลปิ๊บ ถั่งลิสงคั่ว ถั่วเขียวซีกคั่ว พริกแห้ง น้ำมะขามเปียก มะกรูด ที่ให้รสหวาน หอม มัน
ขนมจีนน้ำพริก อาหารไทยยอดนิยม
ขนมจีนน้ำพริก เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง กะทิ น้ำตาลปิ๊บ ถั่งลิสงคั่ว ถั่วเขียวซีกคั่ว พริกแห้ง น้ำมะขามเปียก มะกรูด ที่ให้รสหวาน หอม มัน

ขนมจีนน้ำพริก

ขนมจีนน้ำพริก (Khanohm jeen namprik) คือ อาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง สันนิษฐานกันว่า ขนมจีนเป็นอาหารของคนมอญ คนมอญเรียกขนมจีนว่า “คนอมจิน” หมายถึงทำให้สุกแล้วจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน นิยมรับประทานกับผักสด ผักลอก คำว่าขนมจีนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศจีนแต่อย่างใด ซึ่งขนมจีนน้ำพริกนั้นประกอบด้วยเส้นเรียกว่า เส้นขนมจีน และน้ำพริกที่มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ กะทิ น้ำตาลปิ๊บ ถั่งลิสงคั่ว ถั่วเขียวซีกคั่ว พริกแห้ง น้ำมะขามเปียก มะกรูด เป็นสูตรโบราณที่นิยมทำรับประทานกันทุกภูมิภาคของไทย

เคล็ดลับ : เพิ่มความอร่อยของขนมจีนน้ำพริกที่ขาดไม่ได้คือขั้นตอนการเจียวหอมแดงให้ใช้ไฟอ่อน และคั่วถั่วลิสงให้สุกทั่วทุกเมล็ดแล้วนำไปตำหรือปั่นให้ละเอียด แม้ว่ารสชาติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของอาหารทุกจานก็จริงอยู่ แต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ เครื่องเทศ การปรุงรสสามารถทำให้ขนมจีนน้ำพริกมีกลิ่นเย้ายวนชวนรับประทานมากยิ่งขึ้น

ส่วนผสมทำน้ำพริกขนมจีน

  • กุ้งสด 700 กรัม
  • ถั่วเขียวซีกคั่ว 400 กรัม
  • ถั่วลิสงคั่ว 150 กรัม
  • น้ำมะขามเปียก 100 กรัม
  • น้ำตาลปิ๊บ 1 กิโลกรัม
  • น้ำมะนาว 50 กรัม
  • มะกรูดหันครึ่ง 3 ลูก
  • น้ำปลา 1 ถ้วย
  • น้ำต้มสุก ½ ถ้วย
  • เกลือ ½ ช้อนชา
  • พริกแห้ง 20 เม็ด
  • กระเทียม 300 กรัม
  • หอมแดง 150 กรัม
  • รากผักชี 5 ราก
  • กะทิ 2 กิโลกรัม
  • ผักชีหั่น ½ ถ้วย
  • พริกทอดสำหรับโรยตกแต่ง

วิธีทำน้ำพริกขนมจีนสูตรโบราณ

1. แกะเปลือกกุ้งออกให้หมด แล้วนำไปลวกให้สุกโขลกให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
2. คั่วถั่วเขียวซีก ถั่วลิสง และพริกแห้ง นำไปตำหรือปั่นไม่ต้องละเอียดมาก
3. หั่นหอมแดง กระเทียม รากผักชี แบ่งหอมแดง กระเทียม พริกแห้งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่1 แล้วนำหอมแดง และกระเทียม ไปคั่วในกระทะให้พอสุก (นำมาโขลกให้ละเอียด)
ส่วนที่ 2 นำหอมแดง กระเทียม และพริกแห้งส่วนที่เหลือไปเจียวในน้ำมัน (จะให้หอมแดงหรือกระเทียมเจียวก็ได้เหมือนกัน) ให้สีสันสวยงามแล้วตักออกพักไว้
4. นำกะทิใส่หม้อตั้งไฟให้เดือดพอแตกมันเล็กน้อยประมาณ 3 นาที แล้วยกลงพักไว้
5. ใส่ถั่วคั่วบดทั้ง 2 อย่างลงในหม้อกะทิคนให้เข้ากัน นำมาตั้งไฟอ่อนเติมน้ำลงไปพร้อมกับกุ้งค่อยคนเลื่อยๆระวังไหม
6. ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำตาลปิ๊บ เกลือป่น พริกป่น คนให้เข้ากันพอเดือดแล้วยกลง
6. เครื่องโรยหน้าขนมจีนน้ำพริก มะกรูดหันครึ่ง พริกคั่ว หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว และผักชี

ขนมจีนน้ำพริกมักนิยมขายคู่กับขนมจีนน้ำยา ทานพร้อมกับผักเคียง เช่น ผักดิบ ผักสด ผักดอง หรือไข่ต้ม ตามชอบซึ่งได้รับความนิยมทุกเพศทุกวัย ซึ่งมีร้านขายมากมายทั้งร้านเล็กและใหญ่ ข้างถนนจนขึ้นไปในห้างสรรพสินค้า 

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรขนมเทียน หรือขนมนมสาว (ไส้เค็ม ไส้หวาน)

0
สูตรขนมเทียน หรือขนมนมสาว (ไส้เค็ม ไส้หวาน)
ขนมเทียน หรือขนมนมสาว เป็น ขนมไหว้เจ้าชนิดหนึ่งที่เป็นตัวแทนแห่งความรุ่งเรือง ห่อด้วยใบตองเป็นรูปพีระมิด นิยมทำในเทศกาลตรุษจีน และสารทจีน
สูตรขนมเทียน หรือขนมนมสาว (ไส้เค็ม ไส้หวาน)
ขนมไหว้เจ้าที่เป็นตัวแทนแห่งความรุ่งเรือง ห่อด้วยใบตองเป็นรูปพีระมิด นิยมทำในเทศกาลตรุษจีน และสารทจีน

ขนมเทียน

ขนมเทียน หรือ ขนมนมสาว ( Ka Nhom Tian ) คือ ขนมไหว้เจ้าชนิดหนึ่งที่เป็นตัวแทนแห่งความรุ่งเรือง เพราะมีความหมายว่า ความสว่างรุ่งเรืองดังแสงเทียน ขนมทำด้วยแป้งข้าวเหนียวใส่ไส้เค็มที่ทำด้วยถั่วเขียวนึ่งกวนกับพริกไทย เกลือ และไส้หวานที่ทำด้วยมะพร้าวขูดกวนกับน้ำตาลทราย นำมาห่อด้วยใบตองเป็นรูปพีระมิดแล้วนึ่งสุก นิยมทำในเทศกาลตรุษจีน และสารทจีน ปัจจุบันมีการปรับสูตรให้หลากหลาย เช่น ไส้มันม่วง ไส้เห็ดหอม ไส้เค็ม ไส้หวาน ขนมเทียนเม็ดสาคู ขนมเทียนแก้ว

สูตรขนมเทียน

สูตรขนมเทียนไส้เค็ม

วิธีทำไส้เค็ม

1. ล้างถั่วเขียวซีกเราะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท
2. โขลกกระเทียมกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ
3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่น และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้

สูตรขนมเทียนไส้หวาน

วิธีทำไส้หวาน

1. ใส่น้ำเปล่าและน้ำตาลปี๊บใส่ภาชนะใช้ไฟปานกลาง เคี่ยวจนแตกฟอง
2. ใส่มะพร้าวทึนทึกลงไปกวน ประมาณ 10-15 นาที จนเหนียว และแห้งจนปั้นเป็นก้อนได้ แล้วพักไว้

สูตรขนมเทียนแก้ว

วิธีทำตัวขนมเทียน

1. นำน้ำตาลปี๊บไปละลาย ใส่ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนละลาย ปิดไฟแล้วพักทิ้งไว้จนเย็น
2. นวดผสมแป้งข้าวเหนียวดำกับน้ำตาลปี๊บที่ละลายไว้จนเข้ากันดี เตรียมไว้
3. ตัดใบตองเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้า ตัดมุมให้มนเล็กน้อย เช็ดด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อย ขนมจะได้ไม่ติดใบตอง
4. จับใบตองให้เป็นทรงกรวย ใส่ไส้ที่ปั้นไว้ลงไป ตักส่วนผสมแป้งใส่ จากนั้น พับเก็บสอดเหลี่ยมมุมของใบตองให้เรียบร้อย เป็นรูปสามเหลี่ยม เรียงลงในชุดนึ่ง
5. นำขนมไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือดพล่าน นึ่งนานประมาณ 30 นาที จนขนมสุก ปิดไฟ นำออกจากชุดนึ่ง พักให้เย็น พร้อมเสิร์ฟ

เคล็ดลับการห่อ

ควรนำใบตองไปตากแดดเพื่อไม่ให้ใบตองแตกตอนห่อ และใช้น้ำมันพืชทาใบตองเล็กน้อยก่อนห่อ เพื่อตัวขนมจะได้ไม่ติดใบตอง

ส่วนมากจะหาทานได้เฉพาะเทศกาล หากเพื่อนๆอยากทานก็สามารถทำเองได้ตามสูตรนี้เลยค่ะ หรือลองปรับเปลี่ยนประยุกต์มาใส่กระทง หรือ ใช้แป้งถั่วเขียวทำเป็นตัวขนมกันดูคะ สั่งซื้อ ผงไส้ขนมกึ่งสำเร็จรูป คลิ๊ก @ Desserts Mate หรือสอบถาม 085-509-6624 

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สูตรโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก (Yogurt Chiffon Cake)

0
สูตรโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก (Yogurt Chiffon Cake)
โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก เป็นเค้กที่เนื้อนุ่ม เบา เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ซึ่งใช้โยเกิร์ตเป็นตัวหลักในการทำชิฟฟ่อนเค้ก
สูตรโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก (Yogurt Chiffon Cake)
โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก เป็นเค้กที่เนื้อนุ่ม เบา เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ซึ่งใช้โยเกิร์ตเป็นตัวหลักในการทำชิฟฟ่อนเค้ก

โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก

โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก ( Yogurt Chiffon Cake ) คือ เค้กที่เนื้อนุ่ม เบา เนื้อเนียนนุ่มละลายในปาก ซึ่งใช้โยเกิร์ตเป็นตัวหลัก

ขั้นตอนการทำโยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก

ส่วนผสมที่ 1

  • แป้งเค้ก 40 กรัม
  • แป้งข้าวโพด 25 กรัม
  • เกลือ 1/8 กรัม
  • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 200 กรัม
  • ไข่แดงเบอร์ 1 จำนวน 4 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 60 กรัม
  • วานิลลา 1 ช้อนชา
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
  • น้ำมันคาโนลา 50 กรัม

ส่วนผสมที่ 2

  • ไข่ขาวเบอร์ 1 จำนวน 4 ฟอง
  • ครีมทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 40 กรัม

วิธีทำ โยเกิร์ตชิฟฟ่อนเค้ก

(ขั้นแรก)
1. เทแป้งเค้ก แป้งข้าวโพด และเกลือลงในตะแกรงร่อนแป้งคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นเทไข่แดง น้ำตาลทราย  น้ำมะนาว น้ำมันคาโนล่า ขั้นตอนต่อไปเทโยเกิร์ตแล้วตีให้เข้ากัน

(ขั้นที่ 2)
1. นำไข่ขาว ครีมทาร์ทาร์ น้ำตาลทรายเทลงไปในชามส่วนผสมอีกใบ (แบ่งเทน้ำตาล 2-3 ครั้ง ) ตีด้วยเครื่องจนเมอแรงค์ตั้งยอดอ่อน
2. ตักส่วนผสมที่ 2 ค่อยๆใส่ในส่วนผสมที่ 1 ผสมให้เข้ากันดีจนเนียน
3. เทลงในแม่พิมพ์ชิฟฟ่อน 20 เซนติเมตร นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 150 ℃ เป็นเวลา 40 นาที
4. คว่ำทันทีหลังจากนำออกจากเตาอบ ทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อเค้กเย็นนำออกจากแม่พิมพ์

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม