การเสริมสร้างสมองสำคัญกับวัยไหน

0
การเสริมสร้างสมองสำคัญกับวัยไหน
ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้นั้นเป็นช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี เพราะการพัฒนาสมองในช่วงวัยนี้จะพัฒนาได้ถึง 80 %
การเสริมสร้างสมองสำคัญกับวัยไหน
ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้นั้นเป็นช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี เพราะการพัฒนาสมองในช่วงวัยนี้จะพัฒนาได้ถึง 80 %

การทำงานของสมอง

ระบบประสาททารกเริ่มพัฒนาตั้งแต่ในครรภ์มารดา 22 วัน หลังตั้งครรภ์ และมองจะพัฒนาไปจนกระทั่งเป็นวัยรุ่น และมีการพัฒนาและซ่อมแซมในวัยผู้ใหญ่ พัฒนาการส่วนต่าง ๆ ในสมองมีระยะเวลาที่ต่างกัน พัฒนามากในช่วงมารดาตั้งครรภ์ได้ 32 สัปดาห์ จนถึงทารกอายุ 18 เดือน เนื้อสมองส่วนกลีบหน้าผากส่วนหน้าทำหน้าที่ในการคิดวิเคราะห์ขั้นสูงในช่วง 6 เดือนแรก และบางส่วนจะมีการพัฒนาไปจนถึงช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ พัฒนาการด้านอารมณ์ จะพัฒนามากในช่วง 3 ปีแรก ดังนั้นช่วงตั้งแต่มารดาตั้งครรภ์ถึง อายุ 3 ปีแรก เป็นช่วงที่สำคัญมากที่จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสมอง

เสริมสร้างสมองและสุขภาพให้ดีได้อย่างไร

สมองของเด็กหลังคลอดทุกคนจะแบ่งเป็น 2 ซีก คือ สมองซีกขวา ซึ่งเป็นส่วนจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์จะพัฒนาได้มากในช่วงวัย 4-7 ปี ส่วนสมองซีกซ้าย เป็นส่วนของการคิดที่เป็นเหตุผลจะพัฒนาในช่วง 9-12 ปี และสมองทั้งสองด้านจะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่อเด็กอายุ 11-13 ปี แต่สิ่งที่ทำให้เด็กแต่ละคนมีไอคิวที่ต่างกัน คือ วิธีการส่งเสริมการเรียนรู้ การอบรมเลี้ยงดู เซลล์สมองที่ไม่ได้เชื่อมโยงกันจะถูกทำลาย ซึ่งประสิทธิภาพของสมองส่วนนั้นก็จะขาดหายไป เช่น การคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

สารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง

1. ดีเอชเอ หรือ Docosahexaenoic acid (DHA)
เป็นกรดไขมันจำเป็น ชนิดไม่อิ่มตัวในกลุ่ม Omega-3 DHA ประโยชน์ของ DHA ในการพัฒนาสมองและสายตาของเด็กวัยรุ่น ช่วยพัฒนาสมองและสายตา ช่วยในการเรียนรู้ เสริมความจำ ช่วยป้องกันการเกิดโรคสมาธิสั้น เสริมให้มีสมาธิดีขึ้น ช่วยป้องกันปัญหาการเรียนรู้ช้า ทั้งการอ่านและการเขียน

2. เลซิติน (Lecithin) และ โคลีน (Choline)
สารโคลีนในเลซิตินจำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายจะนำโคลีนไปใช้ในกระบวนสร้างสารสื่อประสาท ใช้ในการสื่อสารข้อมูลต่างๆ ระหว่างเซลล์ประสาทและเนื้อเยื่อประสาท ช่วยเสริมพัฒนาการสมอง การพูด การเคลื่อนไหว ช่วยในการเรียนรู้ เสริมสร้างความจำที่ดี ควบคุมและส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ช่วยบรรเทาความเครียดที่เกิดขึ้นจากการเรียนหนังสือ

10 สารอาหารที่บำรุงสมอง

สมองเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานมาก โดยใช้พลังงานประมาณ20 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีในร่างกายดังนั้นสมองจึงต้องการเชื้อเพลิงที่ดีเพื่อรักษาสมาธิตลอดทั้งวัน

1. DHA&โอเมก้า 3 ช่วยบำรุงสมอง สายตา อีกทั้งเสริมสร้างการเชื่อมต่อของโครงข่ายใยประสาทของเซลล์สมอง พบในแซลมอน ปลาทู ทูน่า ปลาเฮอริ่ง ปลาซาร์ดีน อะโวคาโด ไข่แดง และธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่ว เมล็ดแฟลกซ์ เป็นต้น ซึ่งพืชตระกูลถั่วนี้ยังมีวิตามินอีช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์

2. ธาตุเหล็ก ช่วยนำออกซิเจนในเลือดไปเลี้ยงสมองและร่างกายให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ พบในตับ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว ผักคะน้า กะหล่ำปลี บร็อคโคลี และธัญพืช เป็นต้น

3. กรดอะมิโนจำเป็น เป็นหน่วยย่อยของโปรตีน เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาท ช่วยให้สมองทำงานได้ดี พบในเนื้อสัตว์ นม ไข่ และธัญพืช เป็นต้น

4. ไอโอดีน มีความสำคัญต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย การเจริญเติบโตของเซลล์สมอง ความจำ และสติปัญญาของเด็ก พบใน ปลาทู อาหารทะเล และนม เป็นต้น

5. วิตามินบี 12 ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง พบในอาหารทะเล ตับ ชีส นม และไข่ เป็นต้น

6. ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตมีโกโก้หรือที่เรียกว่าโกโก้ โกโก้มีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อสมอง ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ประสาทและหลอดเลือดในส่วนต่าง ๆ ของสมอง

7. เบอร์รี่
เบอร์รี่หลายชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์เป็นอาหารที่ดีต่อสมอง ช่วยลดการอักเสบและความเครียด ปรับปรุงการสื่อสารระหว่างเซลล์สมอง สารที่พบในพวกเบอร์รี่ได้แก่ แอนโธไซยานิน กรดคาเฟอิก คาเทชิน และเควอซิทิน และพบในผลไม้ เช่น สตรอเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ลูกเกดดำ หม่อน

8. พืชเต็มเมล็ด และ ธัญพืช
การรับประทานธัญพืชไม่ขัดสีจะได้รับวิตามินอีจากธรรมชาติอย่างแท้จริง เช่น ข้าวกล้องบาร์เล่ย์ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลเกรน พาสต้าโฮลเกรน เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ เฮเซลนัท ถั่วลิสง เป็นต้น

9. กาแฟ
คาเฟอีนในกาแฟช่วยเพิ่มความสามารถของสมองในการประมวลผลข้อมูล และเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์

10. อะโวคาโด
อะโวคาโดเป็นแหล่งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยบำรุงสมอง มีวิตามินและแร่ธาตุมากกว่า 20 ชนิด

ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมการเรียนรู้นั้นเป็นช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี เพราะการพัฒนาสมองในช่วงวัยนี้จะพัฒนาได้ถึง 80 %  และการรับประทานวิตามิน B, C หรือ E, เบต้าแคโรทีนหรือแมกนีเซียมเสริมอาจช่วยปรับปรุงการทำงานของสมองได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ปัญหาการขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพอย่างไร

0
ปัญหาการขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพอย่างไร
การขับถ่าย คือ กระบวนการขับถ่ายของเสียที่เหลือจากการที่ร่างกายดูดซับสารอาหารไปแล้ว และเหลือกากใยอาหาร ซึ่งจัดเป็นของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ
ปัญหาการขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพอย่างไร
การขับถ่าย คือ กระบวนการขับถ่ายของเสียที่เหลือจากการที่ร่างกายดูดซับสารอาหารไปแล้ว และเหลือกากใยอาหาร ซึ่งจัดเป็นของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการ

การขับถ่าย

การขับถ่าย (Excretion) คือ กระบวนการขับถ่ายของเสียที่เหลือจากการที่ร่างกายดูดซับสารอาหารไปหล่อเลี้ยงซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอแล้ว และเหลือกากใยอาหาร ซึ่งจัดเป็นส่วนเกิน หรือเป็นของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเสียในลำไส้ ซึ่งเป็นอาหารเก่าประกอบด้วยกากอาหารที่มีกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ในลำไส้จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ รวมถึงการปัสสาวะก็เป็นการขับถ่ายของเสียเช่นกัน เพราะร่างกายเราขับเอาน้ำเสียในร่างกายออกมาหากไม่ขับถ่ายออกมาหรือกลั้นปัสสาวะไว้นานๆ จะทำให้เกิดเป็นโรคนิ่วในไตหรือทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบและไตอักเสบได้

สาเหตุที่ทำให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ

1. รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้น้อยหรือไม่รับประทานเลย
2. ดื่มน้ำในแต่ละวันไม่เพียงพอ
3. พักผ่อนไม่เพียงพอ
4. ขาดการออกกำลังกายเป็นประจำ
5. มีความเครียด หรือ วิตกกังวล
6. รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาปฏิชีวนะ

ปัญหาการขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพอย่างไร

1. ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ รู้สึกเครียด เบื่ออาหาร ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ปวดหัว ปวดหลัง และแสบร้อนบริเวณหน้าอก
2. การออกแรงเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำยังก่อให้เกิดผลร้าย เช่น ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร หรือแผลปริรอบๆ ทวารหนัก
3. ทำให้ความดันในช่องทรวงอกเพิ่มขึ้น
4. ผู้ป่วยโรคหัวใจอาจเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
5. ความดันในลูกตาสูงขึ้นซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดตาและหู
6. เกิดไส้เลื่อนได้
7. กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานอ่อนแอ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
8. ลำไส้อุดตัน จนเกิดอาการ ปวดท้องมาก อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ไม่ผายลม และไม่ถ่ายอุจจาระ

วิธีแก้ปัญหาการขับถ่าย

1. กินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงในมือเช้า เช่น ผัก ผลไม้ น้ำลูกพรุนหรือนม โยเกิร์ต และขนมปังโฮลวีท รวมทั้งลดปริมาณการทานเนื้อลง
2. ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ซึ่งช่วงเวลาตั้งแต่ 05.00-07.00 น. เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการขับถ่ายมากที่สุด
3. ดื่มน้ำอุ่นตอนเช้า การดื่มน้ำอุ่นหลังตื่นนอนตอนเช้าโดยที่ยังไม่ต้องแปรงฟัน เพราะแบคทีเรียที่ดีจากเอนไซม์ในน้ำลายนี้ จะช่วยไปกระตุ้นให้ลำไส้ และระบบทางเดินอาหารให้ขับสิ่งตกค้างในลำไส้ออกมา
4. ไม่อั้นอุจจาระ เพราะการอั้นจะทำให้อุจจาระตกค้างหรือย้อนกลับมาสู่ลำไส้ใหญ่จนทำให้มีอาการท้องผูก
5. นวดลำไส้กระตุ้นการขับถ่าย คนที่มีปัญหาขับถ่ายยากแนะนำให้นวดกระตุ้นการขับถ่ายก่อนเข้านอน โดยนวดตรงท้องล่างซ้ายจนถึงกะเพาะ ทำเป็นเวลา 5 นาที
และนวดซ้ำตอนเช้าขณะนั่งในห้องน้ำ นวดบริเวณหน้าท้องแบบทวนเข็มนาฬิกาพร้อมแขม่วท้องสักครู่
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะทำให้มีการยืดเหยียดและหดของลำไส้ไปตามการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่ายเช่นกัน

ข้อดีของการขับถ่ายเป็นประจำ

1. ช่วยขับของเสีย หรือสารพิษออกจากร่างกาย
2. ช่วยลดกลิ่นปาก และกลิ่นกาย
3. ช่วยลดอาการร้อนใน
4. ช่วยลดการปวดเมื่อยเส้นเอ็น
5. ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และผิวหมองคล้ำ
6. ช่วยลดหน้าท้อง และส่วนเกินในร่างกาย
7. การมีระบบขับถ่ายปกติจะช่วยปัองกันโรคต่างๆได้

ความเร่งรีบในชีวิตประจำวันมีผลทำให้หลายคนต้องรับประทานอาหารที่ให้ความสะดวกและรวดเร็ว โดยอาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการเท่าที่ควร และได้รับกากใยไม่มากพอ ดังนั้นการดื่มน้ำ การรับประทานผักผลไม้ และเพิ่มพรีไบโอติกส์ให้ลำไส้เป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้สะดวกขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

5 สมุนไพร ยับยั้งแบคทีเรีย

0
5 สมุนไพร ยับยั้งแบคทีเรีย
แบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อโรคทำให้เกิดการการอักเสบติดเชื้อ จึงต้องมีการยับยังแบคทีเรียเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
5 สมุนไพร ยับยั้งแบคทีเรีย
แบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อโรคทำให้เกิดการการอักเสบติดเชื้อ จึงต้องมีการยับยังแบคทีเรียเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย

สมุนไพรยับยั้งแบคทีเรีย

สมุนไพรยับยั้งแบคทีเรีย ( Antibacterial Herbs ) คือสมุนไพรที่ทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับพืชสมุนไพรอย่างมากในด้านอุตสาหกรรมยา มาใช้ยับยั้งแบคทีเรีย ที่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม แบคทีเรียบางชนิดสามารถก่อโรคทำให้เกิดการการอักเสบติดเชื้อ ดังนั้นจึงต้องมีการยับยังแบคทีเรีย

สมุนไพรที่ยับยั้งแบคทีเรีย

จันทน์แปดกลีบ หรือโป๊ยกั๊ก ( Illiciumverum Hook.f. ) อยู่ในวงศ์ Illiciaceae มีสรรพคุณผลใช้ขับลมเป็นยากระตุ้น ขับเสมหะบำรุงธาตุ อาหารไม่ย่อย แก้ลม แก้ไอ แก้เกร็งต้านเชื้อแบคทีเรีย น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค คลายกล้ามเนื้อเรียบ แก้ปวดท้อง ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ ขับน้ำนม เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทางสุคนธบำบัด ใช้แก้ท้องอืดท้องเฟ้อช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน บรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์ โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบ

ฝาง ( Caesalpinia sappan L. ) อยู่ในวงศ์ Leguminnosae สรรพคุณในตำรายาไทยใช้แก่นต้มน้ำดื่มบำรุงโลหิต แก้ปอดพิการ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ยาฝาดสมาน แก้ท้องร่วง บิดธาตุพิการ แก้โลหิตออกทางทวารหนัก ขับเสมหะแก้ไอ ขับระดู เป็นยาบำรุงโลหิตสตรี แก้เลือดกำเดา แก้คุดทะราด (yaws) แก่นฝนกับน้ำเป็นยาทาภายนอกรักษาโรคผิวหนังบางชนิด ฆ่าเชื้อโรคขับหนอง และในตำราพระโอสถพระนารายณ์ระบุว่าเป็นยาแก้ความผิดปกติของธาตุน้ำ ประกอบด้วยเครื่องยาสองสิ่งคือ เปลือกมะขามป้อมและฝางเสน ปริมาณเท่ากัน ต้มน้ำกินแก้ท้องเสียและบิด

ยี่หร่าหรือเทียนขาว ( Cuminumcyminum L. ) อยู่ในวงศ์ Apiaceae มีสรรพคุณขับลมในลำไส้ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้นิ่ว ขับระดูขาว ผสมกับยาระบายแก้ปวดมวน ใช้เป็นยาฝาดสมานแก้ท้องเสีย บัญชียาจากสมุนไพรตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติจัดให้ยี่หร่าอยู่ในยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) และรักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร

สมอไทย ( Terminalia chebula Retz.varchebula ) อยู่ในวงศ์ Combretaceaeผลมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ แก้ลมป่วง แก้พิษร้อนใน แก้ลมจุกเสียด ลดไข้ รักษาอาการบิดท้องผูก บัญชียาจากสมุนไพรตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ัดให้สมอไทยอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร 2 ตำรับ ได้แก่ ยาถ่ายดีเกลือฝรั่ง และยาธาตุบรรจบ

อบเชย ( Cinnamomum spp. ) อยู่ในวงศ์ Lauraceae ใช้เปลือกต้มน้ำ มีสรรพคุณแก้ตับอักเสบ แก้ท้องเสีย ลำไส้เล็กทำงานผิดปกติขับพยาธิ บำรุงธาตุ แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต (fever)แก้ไอ แก้ไข้หวัด ลำไส้อักเสบ ท้องเสียในเด็ก บิด ท้องผูก บัญชียาจากสมุนไพรตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติจัดให้อบเชยอยู่ในยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหารกลุ่มยาขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้แก่ ยาธาตุอบเชย และนำมาใช้ในพิกัดยาไทยคือ พิกัดตรีธาตุ และพิกัดตรีอากาศผล

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสร้างอย่างไร

0
ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสร้างอย่างไร
การที่จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงได้นั้นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นการกิน การออกกำลังกาย
ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสร้างอย่างไร
การที่จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงได้นั้นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นการกิน การออกกำลังกาย

ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง (strong immune system) คือ การป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา สารพิษ และสารเคมีที่ผลิตโดยจุลินทรีย์ ประกอบด้วยอวัยวะ เซลล์ และโปรตีนต่างๆที่ทำงานร่วมกัน ดังนั้น ระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ในร่างกาย สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท 1.ระบบภูมิคุ้มกันปฐมภูมิ (Immune System) 2.ระบบภูมิคุ้มกันทุติยภูมิ (Adaptive imm­­­une system หรือ acquired immune)

8 วิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

การที่จะมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้นั้นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเราเองเป็นสำคัญนอกเหนือจากการรับประทานอาหารเสริมเพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ได้แก่ วิตามินบี6 วิตามินซี และวิตามินอี

1. การออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ อย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน เช่น เดิน วิ่งจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายแบบแอโรบิก สามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของคุณให้ต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายได้

2. ทานขนม นมอัดเม็ด และผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงให้น้อยลง โดยใช้สารให้ความหวานทดแทนที่ดีต่อสุขภาพที่มีวิตามินและแร่ธาตุ เช่น สตีวิโอไซด์จากหญ้าหวาน อีริไธทอล ซูคราโลส

3. ทานอาหารประเภทหมักดองในประมาณที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการย่อยอาหารและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โยเกิร์ต กิมจิ เทมเป้ หรืออาหารที่มีส่วนผสมของโปรไบโอติกส์ในทุกๆวัน

4. การได้รับวิตามินที่เพียงพอ เช่น วิตามินบี6 วิตามินซีมีส่วนในการป้องกันภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการทำงานของเซลล์และป้องกันความเครียด โดยทานส้ม สตรอเบอร์รี่ ผักโขม กีวี่ เกรปฟรุต และวิตามิดีสามารถเพิ่มการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้โดยการตากแดดยามเช้าเพียงวันละ 10-15 นาทีจะช่วยให้ผิวหนังผลิตวิตามินดีมากขึ้น

5. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายจะรักษาและฟื้นฟูเซลล์ภายในร่างกายได้อย่างเต็มที อย่างน้อย 7-9 ชั่วโมง ซึ่งมีความสำคัญต่อการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันและดีต่อสุขภาพทำให้สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อในอนาคตได้

6. การลดระดับความเครียดสะสม เพราะความเครียดส่งผลเสียต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายและลดจำนวนการผลิดเม็ดเลือดขาวที่สามารถต่อสู่กับการติดเชื้อได้ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดได้เช่นกัน

7. ฝึกการหายใจลึกๆ อย่างช้าๆ เป็นการเพิ่มออกซิเจนในเลือด ลดความดันโลหิตและเพิ่มประสิทธิภพการไหลเวียนของเลือด

8. การล้างมือบ่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 20 วินาที เป็นวิธีป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค และเชื้อไวรัสที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามควรสังเกตตนเองหากมีสัญญาณบ่งบอกว่าคุณเริ่มมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง เช่น รู้สึกอารมร์แปรปรวนบ่อยเป็นเวลานานซึ่งเกิดจากความเครียด มักเป็นหวัดติดเชื้อบ่อย ท้องเสีย ท้องผูกหรือมีก๊าซมากกว่าปกติ แผลหายช้า รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา ถ้ามีอาการเหล่านี้แสดงว่าภูมิคุ้มกันของคุณกำลังมีปัญหาไม่สามารถต่อสู่กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยนั่นเอง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

5 ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงาน

0
5 ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงาน
ในแต่ละวันของคนวัยทำงานจะพบกับความรีบเร่ง ความเครียด ซึ่งส่งผลกับสุขภาพร่างกาย และจิตใจเป็นส่วนมาก
5 ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงาน
ในแต่ละวันของคนวัยทำงานจะพบกับความรีบเร่ง ความเครียด ซึ่งส่งผลกับสุขภาพร่างกาย และจิตใจเป็นส่วนมาก

ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงาน

ในแต่ละวันของคนวัยทำงานมักเริ่มต้นด้วยการตื่นมาอย่างรีบเร่งเพื่อที่จะเดินทางไปทำงานให้ทันเวลา ต้องฝ่าฟันการจราจรทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งส่วนมากต้องทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง จึงเป็นสาเหตุที่คนวัยทำงานละเลยการดูแลสุขภาพ พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย เกิดริ้วรอยก่อนวัย  ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอครบถ้วน

ปัญหาสุขภาพคนวัยทำงานที่พบมาก

1. โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)
ออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยตรงกับพนักงานออฟฟิศร้อยละ 60 ด้วยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนทำงานที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับตัว จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือกดทับเส้นประสาทได้

2. โรคเครียด (Acute Stress Disorder)
โรคเครียดมักพบมากในวัยทำงานส่วนมากเกิดจากสาเหตุเรื่องงาน เรื่องเงิน และปัญหาในครอบครัว และปัจจุบันได้รับผลกระทบของ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ สุขภาพจิตย่ำแย่ นอนไม่หลับ ส่งผลให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมโดยเฉพาะผู้หญิง เช่น เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย ที่เป็นผลกระทบมาจากความเครียด

3. โรคอ้วน (Obesity)
โรคอ้วนเกิดจากคนในวัยทำงานมีการเคลื่อนไหวน้อย และมีความเครียดเข้ามาตลอดเวลา ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายต่างๆ เพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการรุนแรงของ COVID-19 ถึง 7 เท่า การทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วนเพียงพอจะช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น

4. โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
โรคความดันโลหิตสูงเกิดจาก2สาเหตุหลักคือ ข้อแรกเป็นผลต่อเนื่องมาจากโรคอ้วน สองเกิดจากคนวัยทำงานส่วนใหญ่ต้องทำงานภายใต้แรงกดดัน ทำให้เกิดอาการเครียด จนมีภาวะความดันโลหิตสูง และบางส่วนก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้

5. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อีกหนึ่งโรคยอดฮิตของคนวัยทำงาน สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้คนเกิดโรคนี้คือ เมื่อปวดปัสสาวะแล้วไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำน้อย หรือเลือกดื่มกาแฟแทนน้ำเปล่า ซึ่งพฤติกรรมที่ทำจนเกิดเป็นนิสัยแบบนี้ส่งผลให้เกิดโรคร้ายได้

วิธีแก้ปัญหาสุขภาพ อย่างง่ายๆ

พฤติกรรมการทานอาหารเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้สุขภาพดี หากทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งในวัยทำงานจำเป็นต้องทานอาหารที่ดีและครบถ้วนอยู่เสมอ

1. วิตามินและเกลือแร่รวม ซึ่งคนวัยทำงานต้องใช้ความคิดและพลังงานมาก ทำให้ขาดวิตามินและเกลือแร่ ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย รวมถึงการทานอาหารแบบจานด่วนที่มีโอกาสขาดวิตามินและเกลือแร่ได้ จำเป็นต้องเสริมด้วยสารอาหารให้ครบถ้วนจะช่วยป้องกันการขาดวิตามินและเกลือแร่ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย

2. วิตามินบี ช่วยป้องกันอาการมึนงง สมองตื้อ อ่อนเพลีย และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองให้ฉับไวมากขึ้นและปลอดโปร่ง สดชื่น และช่วยลดเครียดได้ด้วย

3. การดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารตรงเวลา งดการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า ควบคู่กันจะช่วยลดปัญหาสุขภาพในวัยทำงานให้หมดไป

สำหรับปัญหาสุขภาพของคนวัยทำงานเป็นปัญหาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆที่จะทำให้เกิดโรคได้ ดังนั้นจึงควรได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี และทานอาหารเสริมเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

6 สมุนไพรบรรเทาอาการปวด ลดไข้

0
6 สมุนไพร บรรเทาอาการปวด ลดไข้
สมุนไพรชนิดต่างๆ มีสรรพคุณทางยาบรรเทาปวด ลดไข้ เช่น ฟ้าทะลายโจร ขิง ลูกใต้ใบ บอระเพ็ด รางจืด หญ้าดอกขาว
6 สมุนไพร บรรเทาอาการปวด ลดไข้
สมุนไพรชนิดต่างๆ มีสรรพคุณทางยาบรรเทาปวด ลดไข้ เช่น ฟ้าทะลายโจร ขิง ลูกใต้ใบ บอระเพ็ด รางจืด หญ้าดอกขาว

สมุนไพรบรรเทาอาการปวด ลดไข้

สมุนไพรบรรเทาอาการปวด ลดไข้ (Herbal antipyretic) คือ สมุนไพรชนิดต่างๆ มีสรรพคุณทางยาสามารถบรรเทาและรักษาอาการต่างๆ เป็นที่ยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลาช้านาน แม้ว่าปัจจุบันจะมีความเจริญมากแค่ไหนสมุนไพรก็ยังคงมีความสำคัญกับวิถีชีวิตของคนไทย

สมุนไพรที่ช่วยลดไข้ บรรเทาปวด

สมุนที่มีสรรพคุณในการแก้ปวดหัว ตัวร้อน ลดไข้ ที่สามารถหาได้ง่ายและนำมาใช้ได้อย่างสะดวก มี 6 อย่างดังนี้

1. ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata)
ฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณทางยาหลายประการ สามารถแก้ไข้ทั่วๆ ไป เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ระงับอาการอักเสบ ไอ เจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิล หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ รักษาโรคผิวหนัง ฝี ท้องเสีย บิด แก้กระเพาะลำไส้อักเสบ เป็นยาขมเจริญอาหาร มีฤทธิ์ระงับการติดเชื้อหรือระงับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้ ฟ้าทะลายโจร เป็นพืชสมุนไพรไทยที่สามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ จะเด็ดใบมากินสดๆก็ได้ ตำให้แหลกแล้วต้มกินกับน้ำก็ดี หรือจะนำมาอบแห้งแล้วบดเป็นผงไว้ชงกับน้ำต้มสุขก็ได้เช่นกัน

2. ขิง (Ginger)
ขิง เป็นสมุนไพรที่ใช้แก้หวัด แก้ไข้ แก้หนาวสั่น แก้บาดทะยัก แก้โรคเรื้อน จัดได้ว่าขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น ที่มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้ปวดข้อ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดโคเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด ถ้านำขิงมาต้มกับน้ำตาลอ้อย (หรือน้ำตาลทรายแดง) จะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับ ทั้ง 2 ข้างจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัว และถ้าเอาขิงสดมาอมไว้ใต้ลิ้นจะช่วย บรรเทาอาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้ อาเจียนได้ดี

3. ลูกใต้ใบ (Seed under leaf)
ลูกใต้ใบ ทุกส่วนของต้นมีรสขม มีสารในกลุ่มของไกลโคไซด์ และอัลคาลอยด์ มีฤทธิ์ลดอาการไข้ทุกชนิด (ไข้หวัด ไข้ทับระดู ไข้จับสั่น) ระงับอาการปวด ลดการปวดบวม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้เป็นยารักษาอาการท้องเสีย และต้านการอักเสบ วิธีใช้คือนำรากของต้นลูกใต้ใบไปฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วดื่มแก้อาการต่างๆ หรือนำต้นสดประมาณ 1 กำมือมาต้มกับน้ำในปริมาณ 2 แก้วแล้วเคี่ยวต่อ ทิ้งไว้จนอุ่นแล้วค่อยๆจิบ

4. บอระเพ็ด (Heart leaved moonseed)
บอระเพ็ด มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ทุกชนิด แก้ร้อนใน ขับเหงื่อ เพียงนำบอระเพ็ดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเทใส่ขวดเพื่อนำมาหมัก จากนั้นใส่น้ำผึ้งลงไปให้ท่วม ไม่ควรปิดฝาแน่นมาก หมักทิ้งไว้ 7 วัน ถึงจะรับประทานได้ ควรรับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดไข้ บรรเทาอาการปวดหัว ตัวร้อน ลดอาการไอ และขับเสมหะได้

5. รางจืด (Thunbergia laurifolia)
รางจืด เป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์เย็นจนได้ชื่อว่าเป็น ราชาแห่งการถอนพิษ ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยแก้พิษ ขับสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ที่สำคัญควรดื่มรางจืดหรือรับประทานอย่างพอดี ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน

6. หญ้าดอกขาว (Cyanthillium cinereum)
หญ้าดอกขาวหรือหญ้าละออง จัดเป็นพืชที่หาได้ง่ายมีอยู่ทั่วไป รสเย็นขื่น มีสรรพคุณที่สามารถรักษาได้อย่างมากมายทั้ง บรรเทาอาการไข้ทับระดู ช่วยลดไข้ ไข้มาลาเรีย เป็นยาล้างปอดที่ดีจึงช่วยบรรเทาอาการไอ แก้เจ็บคอ ใช้รักษาอาการปวดได้ ทั้งปวดท้อง โรคกระเพาะ ปวดเมื่อย และปวดข้อ สามารถนำมาใช้ได้ทั้งต้น วิธีใช้สามารถนำทั้งต้นและใบไปต้มกับน้ำแล้วนำมาดื่ม

สมุนไพรมีสรรพคุณที่ช่วยบรรเทาอาการปวด ลดไข้ ซึ่งควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ และหากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการให้ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้รสเปรี้ยวฆ่ามะเร็งและเนื้องอก

0
มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้รสเปรี้ยวฆ่ามะเร็งและเนื้องอก
มะม่วงหาวมะนาวโห่ หรือ หนามแดงจัดเป็นผลไม้พื้นเมืองคล้ายเบอร์รี่ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี และธาตุเหล็ก
มะม่วงหาวมะนาวโห่ ผลไม้รสเปรี้ยวฆ่ามะเร็งและเนื้องอก
มะม่วงหาวมะนาวโห่ หรือ หนามแดงจัดเป็นผลไม้พื้นเมืองคล้ายเบอร์รี่ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี และธาตุเหล็ก

มะม่วงหาวมะนาวโห่

มะม่วงหาวมะนาวโห่ ( Karanda ) คือ ผลไม้ของชาวอินเดีย ซึ่งพบได้ทั่วไปในพื้นที่แห้งแล้งของประเทศอินเดีย มีการเพาะปลูกเป็นผลไม้มักนำผลมะม่วงหาวมะนาวโห่มาแปรรูปในเมนูต่างๆ เช่น มะม่วงหาวมะนาวโห่แช่อิ่ม มะม่วงหาวมะนาวโห่ปั่น แยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ น้ำผลไม้จากม่วงหาวมะนาวโห่ หรือไวน์ เป็นต้น

มะม่วงหาวมะนาวโห่ สรรพคุณ

มะม่วงหาวมะนาวโห่ คือ ผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยาอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินบี และธาตุเหล็ก ช่วยต้านอนุมูลอิสระและป้องกันรักษาภาวะโลหิตจางได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้มะม่วงหาวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย โดยเฉพาะฟีนอลิก แอนโทไซยานิน ฟลาโวนอยด์ กรดไตรเตอพีนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติ ดังนี้

  • ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ลดไข้
  • ต้านการอักเสบ
  • ต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ยับยั้งการเกิดมะเร็งและเนื้องอก
  • ยับยั้งการเกิดโรคเบาหวาน
  • บรรเทาอาการโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ต่อต้านไวรัส
  • ต่อต้านจุลินทรีย์
  • ใช้เป็นยาระบาย
  • รักษาอาการท้องร่วง ท้องเสีย
  • ใช้รักษาริดสีดวงทวาร
  • ขับไล่หนอนออกจากร่างกาย
  • ป้องกันรักษาเลือดคั่งในตับ
  • กระตุ้นความอยากอาหาร
  • ขับน้ำเหลืองเสีย
  • ใช้เป็นยาสมานแผล
  • รักษากรดไหลย้อน
  • สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ รักษาแผลในปาก
  • ป้องกันหรือรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

แหล่งกำเนิดของมะม่วงหาวมะนาวโห่

พบในประเทศอินเดีย มาเลเซีย ศรีลังกา พม่า จีน อินโดนีเซีย และไทย มีชื่อสามัญ Bengal Currants, Carandas plum, Karanda ชื่อท้องถิ่น มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่ หนามแดง ( ภาคกลาง ) หนามขี้แฮด ( เชียงใหม่ ) มะนาวโห่ ( ภาคใต้ ) มะม่วงหาว มะนาวโห่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Carissa carandas L. นิยมนำมารับประทานกันอย่างแพร่หลายทั้งกินดิบ และนำมาแปรรูป

ชื่อพื้นเมืองในภาษาอื่นของมะม่วงหาว มะนาวโห่ หรือ คารานด้า

มะม่วงหาว ชื่อภาษาอังกฤษ Karanda ( คารานด้า )
อังกฤษ : Benga l- currants, Carandas – plum, Karanda, Christ thorn, Christ’s thorn, Jasmine flowered carrisa, Karaunda, Karanda, black currants
อินเดีย: Korjatenga, Korja tenga, Karenja, karja tenga
เบงกาลี : Koromcha
จีน : Cu Huang Guo ( 刺黄果 )
เยอรมัน : Karandang, Karanda Wachsbaum
อินเดีย : karaunda ( करौदा ) garinga, gotho, karonda
อินโดนีเซีย : Karandan, Karendang
มาเลย์ : karaunda, keranda
เนปาล : Karodha
ปากีสถาน : Gerna, Karanda, Kakranda
โปรตุเกส : Carandeira
สเปน : Caranda

คุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงหาวมะนาวโห่

มะม่วงหาว ปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 75 แคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม
โปรตีน 0.5 กรัม
วิตามินเอ 40 IU
น้ำตาล 14 กรัม
วิตามินซี 38 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน 1.0 มิลลิกรัม
ไนอาซิน 2.0 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.3 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 16 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 260 มิลลิกรัม
ทองแดง 2.0 มิลลิกรัม

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ ม่วงหาว มะนาวโห่

มะม่วงหาวมะนาวโห่หรือหนามแดงผลไม้พื้นเมืองมีลักษณะคล้ายเบอร์รี่เป็นผลไม้ทรงพุ่มมีความสูงประมาณ 3-5 เมตร แหล่งกำเนิดแถบเทือกเขาหิมาลัยที่ระดับความสูง 300 ถึง 1800 เมตร

ลำต้น : ม่วงหาว มะนาวโห่เป็นไม้พุ่งทรงกลมลำต้นสูงประมาณ 3-5 เมตร แตกกิ่งจำนวนมากทุก
ส่วนมียางสีขาวเหมือนน้ำนม ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมยาว 2-5 เซนติเมตร ปลายหนามมีสีแดง
ใบ : ใบเดี่ยวเป็นไม้พุ่มผลัดใบ เรียงตรงข้าม รูปไข่กลับ ปลายใบมนหรือเว้าเข้าเล็กน้อยของต้นหนามแดง ใบมีก้านใบสั้นสีเขียวสดเรียงตรงข้ามรูปไข่หรือรูปไข่ยาว 4 ถึง 7.5 เซนติเมตรกว้าง 2.5 ถึง 4 เซนติเมตร สีเขียวเข้มผิวมันวาวที่ผิวด้านบนสีเขียวเข้ม และผิวใบด้านล่างสีเขียวออกขาว
ดอก : เป็นดอกขนาดเล็กออกเป็นช่อสั้นๆ ที่ปลายกิ่งมีขน ลักษณะดอกเป็นท่อยาวโคนกลีบเชื่อม
ติดกันสีชมพูแกมแดง กลีบดอกสีขาวมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ หอมตลอดวัน ออก
ดอกทั้งปี
ผล : มะม่วงหาวเป็นผลเดี่ยวออกรวมกันเป็นช่อ ผลรูปกลมรีหรือรูปไข่ ผลอ่อนที่ยังไม่สุกมีรสเปรี้ยว ผลมีสีขาวอมชมพูเนื้อข้างในสีขาว ผลดิบมีน้ำยางสีขาวเหนียวๆจำนวนมาก เรียกว่า “มะนาวโห่” หลังจากนั้นผลจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงเข้มขึ้น เรียกว่า “ มะม่วงหาว ” รสชาติของผลสุกจะออกหวาน เมล็ดมี 1 เมล็ด ติดอยู่ที่ส่วนปลายรูปไต ยาว 2.5-3 เซนติเมตร สีน้ำตาลอมเทา มีเปลือกแข็งหุ้ม
หนาม : ม่วงหาว มะนาวโห่มีหนามแหลมสีแดงจำนวนมาก หรือที่รู้จักต้นหนามแดงนั้นเอง
เมล็ดพันธุ์ : เมล็ดมีขนาดเล็กแบบทรงหยดน้ำสีน้ำตาลในหนึ่งผลจะมีประมาณ 5 – 10 เมล็ด ให้ผลผลผลิตช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่งเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนพบได้ทั่วไปในที่ราบและป่าละเมาะริมฝั่งแม่น้ำ ชอบดินที่ลึกอุดสมบูรณ์และมีการระบายน้ำได้ดี แต่ถ้าดินแฉะเกินไปจะมีการเจริญเติบโตของพืชมากเกินไปและให้ผลผลิตน้อยลง

ประโยชน์ของ มะม่วงหาว มะนาวโห่

  • ช่วยยับยั้งการเติบโตของโรคมะเร็งและเซลล์เนื้องอก
  • ช่วยลดความตื่นเต้นและลดความวิตกกังวล
  • ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง
  • ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอล
  • ช่วยปกป้องหัวใจโดยทำให้การไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ
  • ช่วยลดอาการเลือดออกภายในร่างกาย
  • ช่วยป้องกันโรคตับและโรคไต
  • เป็นยาแก้พิษของยาบางชนิด
  • ช่วยลดความเมื่อยล้า
  • ช่วยให้เจริญอาหาร
  • ช่วยลดน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วน
  • ช่วยรักษาโรคข้ออักเสบ
  • ช่วยในการบรรเทาอาการปวดศีรษะโรคไมเกรน
  • ช่วยรักษาหูด
  • ช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกาย
  • วิตามินเอมีประโยชน์ต่อดวงตา
  • ช่วยบำรุงกำลัง
  • ช่วยป้องกันโรคเครียด
  • ช่วยขับพยาธิ
  • ช่วยป้องกันโรคตับอักเสบ
  • ช่วยให้ผิวดีและช่วยป้องกันโรค
  • วิตามินซีที่อยู่ในมะม่วงหาวมะนาวโห่ช่วยปกป้องฟันและเหงือก
  • ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  • ช่วยยับยั้งการก่อตัวของสารพิษในร่างกาย
  • มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอย
  • ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร กระชับกระเพาะอาหาร
  • ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
  • ช่วยบรรเทาอาการคันตามผิวหนัง กลากเกลื้อน
  • ช่วยรักษาแผลจากโรคเบาหวาน
  • ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นขึ้น
  • ช่วยรักษาตาปลา
  • ช่วยรักษาแผลเนื้องอก
  • ช่วยรักษาโรคเท้าช้าง
  • ช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกจากเลือด
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยรักษาโรคเบาหวาน
  • ช่วยให้ร่างกายกระปรีกระเปร่า และทำให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น
  • ช่วยป้องกันพิษที่เกิดจากการใช้ยาพาราเซตามอล
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
  • ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ป้องกันผมร่วง
  • ช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน

องค์ประกอบทางเคมีมะม่วงหาว มะนาวโห่

จากการศึกษาพบว่าในมะม่วงหาว มะนาวโห่ หรือหนามแดง มีสารสำคัญประกอบด้วยฟีนอลิก แอนโทไซยานิน ฟลาโวนอยด์ กรดไตรเตอพีนอยด์ และวิตามินซี เนื่องจากเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง และมะนาวโห่ยังอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน เป็นสารสีม่วงแดงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าวิตามินซีหลายพันเท่า และที่สำคัญยังพบว่าในเนื้อมะม่วงหาวมะนาวโห่ยังมีสารในกลุ่มของ amorphous water – soluble polyglycoside ที่มีฤทธิ์ในการบำรุงหัวใจ ป้องกันตับอักเสบ และช่วยลดความดันโลหิตได้

การขยายพันธุ์มะม่วงหาวมะนาวโห่

โดยปกติการขยายพันธุ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1)ใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์ 2)การตอนกิ่งเมื่อต้นกล้าใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี จะเริ่มติดดอกออกผลแต่ยังไม่มาก

ข้อควรระวัง และ ผลข้างเคียงจากการใช้มะม่วงหาว มะนาวโห

  • ข้อควรระวัง ผลข้างเคียงจากการใช้มะม่วงหาว มะนาวโห่สำหรับคนปกติ
    ข้อควรระวังหากกินมะม่วงหาว มะนาวโห่ผลดิบมากเกินไป เนื่องจากมีรสเปรี้ยวทำให้เกิดความเป็นกรดในกระเพาะรู้สึกแสบร้อน และอาจมีเลือดออกผิดปกติในกระเพาะได้
  • มะม่วงหาวมะนาวโห่คนท้องกินได้ไหม ข้อควรระวังผลข้างเคียงสำหรับคนท้องหรือมีอาการแพ้ท้อง ไม่ควรกินมะม่วงหาวมะนาวโห่ เพราะมีคุณสมบัติช่วยขับเลือดอาจทำให้เสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้

อย่างไรก็ตามแม้มะม่วงหาวมะนาวโห่มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรมากมาย ส่วนที่ใช้คือทั้งต้นหนามแดง ใบสด ราก ผล แก่น เนื้อไม้ เมล็ด เปลือก ยอดอ่อน น้ำมันหอมระเหย และน้ำยาง มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรใช้รักษาโรคต่าง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

5 สมุนไพร เพิ่มภูมิคุ้มกันและต้าน COVID-19

0
สมุนไพรแต่ละชนิดมีฤทธิ์ร้อนฤทธิ์เย็นต่างกัน ซึ่งช่วยปรับสมดุลต่างๆในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับโควิด19
5 สมุนไพร เพิ่มภูมิคุ้มกันและต้าน COVID-19
สมุนไพรแต่ละชนิดมีฤทธิ์ร้อนฤทธิ์เย็นต่างกัน ซึ่งช่วยปรับสมดุลต่างๆในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับโควิด19

5 สมุนไพร เพิ่มภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับ COVID-19

การดูแลตนเองก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการเอาตัวรอดจากโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในตอนนี้ การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และต้องเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ให้แข็งแรงเพื่อต่อสู่กับเชื้อโรคเชื้อไวรัส เพื่อลดอาการติดเชื้อที่อาจรุนแรงลงได้ ดังนั้น สมุนไพรพื้นบ้านต่อไปนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ

สมุนไพรที่เพิ่มภูมิคุ้มกัน

ขิง (Ginger)
ประกอบด้วยสารจินเจอรอล (Gingerol) ที่มีสรรพคุณทางยาที่มีประสิทธิภาพใช้ได้ทั้งแบบขิงสด ขิงแห้ง ขิงบดผง หรือต้มดื่มแบบน้ำด้านการแพทย์แผนไทยมีการใช้ขิง เนื่องจากมีสรรพคุณทางยามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจได้หลายชนิด รวมถึงช่วยย่อยอาหาร ลดอาการคลื่นไส้ ช่วยป้องกันไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

กระเทียม (Garlic)
มีสารประกอบที่เรียกว่า แอลลิอิน (Alliin) เป็นตัวกระตุ้นการตอบสนองของเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายช่วยต่อสู่กับการติดเชื้อ และเพิ่มภูมิคุ้มกันเมื่อมีเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่นำไปสู่อาหารเป็นพิษ การกินกระเทียมจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น น้ำมันกระเทียมช่วยต้านการอักเสบของกล้ามเนื้อ ป้องกันความเสียหายของกระดูกอ่อนจากโรคข้ออักเสบ กระเทียมเป็นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่ช่วยขยายหลอดเลือด

เห็ดหลินจือ (Reishi)
มีสารอาหารมากกว่า 400 ชนิด ที่ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายรวมถึงสารสำคัญอย่าง เบต้ากลูแคน (Beta Glucan) คือ สารอาหารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างและกระตุ้นเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกันให้ตรวจจับและต่อสู้กับการติดเชื้อ โดยการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว ช่วยปรับและควบคุมระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายให้มีความสมดุล และที่สำคัญเห็ดหลินจือสามารถลดความเหนื่อยล้าเรื้อรังแม้แต่การพักผ่อนให้เพียงพอก็ไม่สามารถบรรเทาลงได้

โสม (Ginseng)
คือ สมุนไพรจีนมีประโยชน์ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันประกอบด้วยสารสำคัญสองชนิด ได้แก่ จินเซนโนไซด์ (Ginsenoside) และจินโทนิน (Gintonin) โสมมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ต่อสู้กับความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจรวมถึงช่วยเพิ่มพลังงาน

ดอกอิชิเนเชีย (Echinacea)
เป็นทั้งดอกไม้สมุนไพรที่มีกรดซิโคริก (Cichoric acid) สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและรักษาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ โรคจมูกอักเสบ โรคไซนัสอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคคอหรือต่อมทอนซิลอักเสบ โรคสายเสียง หรือกล่องเสียงอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ และโรคปอดอักเสบหรือปอดบวม ดอกอิชิเนเชียช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวทำให้ร่างกายสามารถต่อสู่ กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น

ผลไม้ตระกูลซิตรัส (Citrus Fruit)
ผลไม้ตระกูลซิตรัส หรือผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว เลมอน ส้มโอ ซึ่งจะมีวิตามินซีค่อนข้างสูงและช่วยป้องกันการเกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ และกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวให้ระบบภูมิต้านทานร่างกายแข็งแรงขึ้นได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

6 สมุนไพรลดเสมหะ

0
สมุนไพรใกล้ตัวบางชนิดสามารถช่วยลดเสมหะอาการแห้งและไอเสมหะ เช่น รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสขม จากผลไม้และสมุนไพร เป็นต้น
6 สมุนไพรลดเสมหะ
สมุนไพรใกล้ตัวบางชนิดสามารถช่วยลดเสมหะอาการแห้งและไอเสมหะ เช่น รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสขม จากผลไม้และสมุนไพร เป็นต้น

สมุนไพรลดเสมหะ

เสมหะ (Phlegm) คือ อาการที่เกิดจากการไอ หรืออาการไอเรื้อรังไม่หายสักที ก็อาจเกิดจากหลายสาเหตุอาการไอก็มีทั้งไอแห้งและไอเสมหะ วันนี้ Amprohealth มีสมุนไพรใกล้ตัวที่สามาถช่วยบรรเทาอาการไอและขับเสมหะได้มาฝากกันค่ะ

สมุนไพรบรรเทาอาการไอและขับเสมหะ

1. มะนาว (Lime)
มะนาวมี กรดซิตริก (citric acid) สรรพคุณช่วยลดการอักเสบ ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ทำให้เจ็บคอแล้ว ยังมีฤทธิ์ลดไข้ แก้กระหายน้ำ เมื่อชงดื่มกับน้ำอุ่น จะช่วยละลายเสมหะได้ ซึ่งสูตรมะนาวแก้ไอสามารถทำได้ดังนี้ คั้นน้ำมะนาว ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับเกลือ หรือละลายในน้ำอุ่นเล็กน้อย และจิบบ่อย ๆ

2. ขิง (Ginger)
ขิง สรรพคุณต้านการอักเสบ ผ่อนคลายเยื่อบุในทางเดินหายใจ ช่วยลดอาการไอ บรรเทาอาการไอแห้งบรรเทาอาการคลื่นไส้ วิงเวียน โดยมีวิธีทำสูตรขิงแก้ไอ คือ ให้ชงชาขิง หรือ น้ำขิง แล้วหั่นฝางขิงสดบางๆ ลงในถ้วยน้ำร้อน ทำให้เด็กกินอาจจะเติมน้ำมะนาวลงไปด้วย จะทำให้รสชาติดีขึ้นและทานได้ง่าย

3. มะขาม (Tamarind)
มะขาม มีสารสำคัญในเนื้อฝักมะขามแก่ คือ กรดทาร์ทาริก (tartaric acid) ช่วยบรรเทาอาการไอ อาการไข้ ชุ่มคอ ละลายเสมหะ สูตรวิธีทำมะขามแก้ไอมีดังนี้ รับประทานเนื้อฝักแก่ จิ้มทานกับเกลือ หรือ คั้นเป็นน้ำผสมกับเกลือแล้วค่อยๆ จิบ เพื่อช่วยบรรเทาอาการไอ

4. มะแว้งต้น/มะแว้งเครือ (Maweng Ton / Maweng Krua)
มะแว้งต้น/มะแว้งเครือ ปัจจุบันมะแว้งได้รับการพัฒนาจากองค์การเภสัชกรรมผลิตและจำหน่ายยาอมมะแว้ง สรรพคุณช่วยแก้ไอและชุ่มคอ ซึ่งสามารถทำในรูปแบบอาหารเป็นยาได้โดยใช้ผลสดตำกับน้ำพริกหรือใช้รับประทานเป็นผักเคียงกับน้ำพริก หรือใช้ผลมะแว้งสด 5-6 ผลล้างให้สะอาดเคี้ยว กลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมแล้วคายทิ้ง หรือใช้ผลสด 5-10 ผลโขลกพอแตกคั้นเอาแต่น้ำใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อย ๆ เวลาไอ

5. มะขามป้อม (Indian Gooseberry)
มะขามป้อม มีสารที่ละลายน้ำได้ มีฤทธิ์ช่วยละลายเสมหะเป็นส่วนประกอบในการทำยาแก้ไอ ช่วยบรรเทาอาการไอ วิธีทำมะขามป้อมแก้ไอ สามารถกินสด หรือต้มกับน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย จิบเพื่อแก้ไอ ขับเสมหะ

6. สับปะรด (Pineapple)
สับปะรด มีโบรมีเลน (Bromelain) มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยรักษาอาการไอ ละลายเสมหะ แต่ก็ไม่ควรกิน หรือ ดื่มน้ำสับปะรด มากเกินไป เพราะอาจเกิดผลเสียกับร่างกายมีน้ำตาลสูงได้ ซึ่งสูตรสับปะรดแก้ไอทำได้ดังนี้ ขั้นแรกคั้นน้ำสับปะรดสด เติมเกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ เพื่อให้ชุ่มคอ

หากใช้สมุนไพรแก้ไอขับเสมหะแล้วไม่หาย หรือไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะ อาจต้องพึ่งยาแก้ไอ ขับเสมหะ และไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการเพิ่มเติมด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

การสูดดมไอน้ำบำบัดโรคทางเดินหายใจ

0
การสูดดมไอน้ำบำบัดโรคทางเดินหายใจ
การสูดดมไอน้ำ คือ การหายใจเข้าด้วยไอน้ำทุกวันจะช่วยป้องกันไม่ให้เยื่อเมือกแห้งตั้งแต่แรก และยิ่งเมือกเหนียวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งขับออกได้ยากมากเท่านั้น
การสูดดมไอน้ำบำบัดโรคทางเดินหายใจ
การสูดดมไอน้ำ คือ การหายใจเข้าด้วยไอน้ำทุกวันจะช่วยป้องกันไม่ให้เยื่อเมือกแห้งตั้งแต่แรก และยิ่งเมือกเหนียวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งขับออกได้ยากมากเท่านั้น

การสูดดมไอน้ำ

การสูดดมไอน้ำ (Steam inhalation) คือ การหายใจเข้าด้วยไอน้ำทุกวันจะช่วยป้องกันไม่ให้เยื่อเมือกแห้งตั้งแต่แรก และยิ่งเมือกเหนียวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งขับออกได้ยากมากเท่านั้น การสูดหายใจในอากาศที่ร้อนประมาณ 40-60 องศาจะช่วยเพิ่มความชื้นทำให้เสมหะที่ติดอยู่ในปอดและทางเดินหายใจดีขึ้น นอกจากนั้นทำให้การขับเสมหะออกมาทำได้ง่ายขึ้น

ประโยชน์ของการสูดดมไอน้ำ

การสูดดมไอน้ำเป็นวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย หรือแพทย์ทางเลือก แนะนำให้ผู้ป่วยทำเป็นประจำเพื่อให้จมูกโล่ง หายใจได้สะดวกขึ้น รักษาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล อาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะ ซึ่งเกิดจากการไหลเวียนของอากาศในไซนัสที่ไม่ดีจากเยื่อบุจมูกที่บวมไปอุดกั้นรูเปิดของไซนัสในโพรงจมูก และทำให้การพ่นยาชนิดต่าง ๆ เข้าไปในจมูกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่วมกับการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือสามารถบรรเทาอาการโรคทางจมูก เช่น โรคไข้หวัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไซนัส โรคหืด นอกจากนั้นยังทำให้ทางเดินหายใจส่วนล่างโล่งขึ้น ช่วยลดการติดเชื้อทางเดินหายใจและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น

เตรียมอุปกรณ์การต้มน้ำสมุนไพร เพื่อการสูดไอน้้ำร้อน

1. เตรียมสมุนไพรสด ดังต่อไปนี้ กระชาย ขิง ตะไคร้ ข่า ผลมะกรูด หอมแดง สาระแหน่ กะเพรา ใบเตย และพิมเสนก้อน หรือแบบน้ำก็ได้
2. เตรียมน้ำสะอาด
3. เตรียมภาชนะที่มีปากกว้าง สำหรับใช้ต้มสมุนไพรทั้งหมด
4. เตรียมผ้าสะอาดผืนใหญ่ เพื่อนำมาคลุมศีรษะและภาชนะที่ต้มน้ำสมุนไพรจนเดือด

วิธีการต้มสมุนไพร เพื่อการสูดไอน้้ำร้อน

1. นำหม้อใส่น้ำสะอาดตั้งไฟ พร้อมกับใส่พิมเสนก้อนและสมุนไพรทั้งหมดที่เตรียมไว้ ปิดฝาต้มจนเดือด
2. ปิดไฟแล้วยกลงจากเตา เทน้ำสมุนไพรที่ต้มเสร็จใส่ภาชนะที่เตรียมไว้

การสูดดมไอน้ำสมุนไพรที่บ้านง่าย ๆ ด้วยตนเอง

การใช้ไอน้ำในการเปิดช่องจมูกทำเองได้ โดยการต้มน้ำร้อนและสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยแล้วเอนตัวลงไปเพื่อให้ใบหน้าอยู่เหนือภาชนะที่มีไอน้ำแล้วใช้ผ้าสะอาดผืนใหญ่คลุมศีรษะกับภาชนะที่มีไอน้ำนั้น แล้วสูดหายใจทางจมูกเข้าให้เต็มปอดทำซ้ำหลายครั้งติดต่อกัน การสูดไอน้ำร้อนควรทำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อสูดไอน้ำร้อนให้ยาสมุนไพรเข้าไปสัมผัสกับเยื่อบุจมูกได้มากขึ้นและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น

คำแนะนำ

การสูดดมไอน้ำสำหรับผู้ใหญ่ควรใช้ระยะเวลาประมาณ 20 นาที และเด็กสำหรับเด็กเล็กควรใช้ระยะเวลาประมาณ 10 นาที
แล้วพักชั่วคราวโดยเอาหน้าออกจากภาชนะ

ข้อควรระวัง

การสูดดมไอน้ำควรทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากไอน้ำอาจร้อนเกินไปอาจทำให้ใบหน้าแสบไหม้ได้ แนะนำควรทิ้งไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม