วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ

0
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำมาเป็นส่วนประกอบในยาคุมกำเนิด
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ยาคุมกำเนิด

การคุมกำเนิดเป็นการวางแผนอนาคตของครอบครัวและตนเองได้เป็นอย่างดี เพราะการคุมกำเนิดที่ดีสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการได้ 100% ซึ่งการคุมกำเนิดมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งการผ่าตัดทำหมันที่เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวรหรือการใช้อุปกรณ์และการใช้ยาเพื่อทำการคุมกำเนิดที่เป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว ซึ่งการใช้ ยาคุมกำเนิด จัดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมใช้เพื่อคุมกำเนิดมากที่สุด เนื่องจากประหยัด ไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดและสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงสุดถึง 99%

ยาคุมกำเนิด ( Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill หรือ Pill )

ยาคุมกำเนิด ( Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill หรือ Pill ) คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ( Progesterone ) ชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมาจากระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำมาเป็นส่วนประกอบในยาคุมกำเนิด ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ยาคุมกำเนิดมีการแบ่งตามส่วนประกอบของฮอร์โมนที่ใช้เป็นส่วนผสมได้ 2 แบบ คือ

  1. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดียว ( Minipill ) คือ ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) เพียงชนิดเดียว

2. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ( Combined pill ) คือ ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโทรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) อยู่ด้วยกัน

กลไกการทำงานของฮอร์โมนที่มีอยู่ในยาคุมจะมีการทำงานในการคุมกำเนิด

1. ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่

โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเข้าไปยับยั้งทำงานของต่อมใต้สมองในการหลั่งฮอร์โมน Follicle stimulating hormone ( FSH ) ซึ่งฮอร์โมน FSH เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่ในการกระตุ้นไข่ที่บริเวณรังไข่ให้มีการเจริญเติบโตจนกระทั้งไข่สุก ดังนั้นเมื่อร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมน FSH น้อยลง ย่อมส่งผลให้ไข่หยุดการเจริญเติบโตและไม่มีไข่สุกเกิดขึ้น เมื่อไม่มีฮอร์โมน Follicle stimulating hormone ย่อมไม่มีไข่ที่เจริญเติบโตพร้อมที่จะได้รับการปฏิสนธิเกิดขึ้นนั่นเอง

2. ยับยั้งการตกไข่

ฮอร์โมนโปรเจสตินจะทำหน้าที่ในการยับยั้งการทำงานของต่อมใต้สมอง ( Pituitary gland ) ในการผลิตฮอร์โมน Luteinizing hormone ( LH ) ที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่หรือไข่สุกให้ตกออกจากรังไข่ หรือที่เรียกว่าการตกไข่ เมื่อไม่มีฮอร์โมน LH เข้าไปกระตุ้นไข่ที่สุกแล้วก็จะไม่สามารถตกลงมาที่บริเวณท่อนำไข่ได้ จึงไม่สามารถได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิได้ 

3. ปรับลักษณะของมูกที่ปากช่องคลอด

มูกช่องคลอด ( Cervical Mucus, CM ) ที่สภาวะปกติจะมีลักษณะที่เหนียวข้นเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ปากมดลูกได้ แต่ในสภาวะที่ร่างกายมีการตกไข่เกิดขึ้น มูกที่บริเวณปากช่องคลอดจะเปลี่ยนไปเป็นมูกไข่ตก ( Fertile Cervical Mucus ) ซึ่งมีลักษณะเหลวและลื่นเพื่อทำให้ตัวอสุจิสามารถเคลื่อนตัวผ่านเข้าสู่ช่องคลอดและมดลูกได้ง่ายขึ้น แต่ฮอร์โมนโปรเจสตินจะส่งผลให้มูกที่บริเวณปากช่องคลอดคงลักษณะที่เหนียวข้นไม่เปลี่ยนเป็นมูกไข่ตก จึงสามารถป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิสามารถเดินทางเข้าไปสู่ภายในมดลูกเพื่อทำการปฏิสนธิได้

4. ปรับลักษณะของผนังมดลูก

ฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจนตินจะมีคุณสมบัติทำให้เนื้อเยื่อบุมดลูก ( Endometrial ) มีลักษณะที่ไม่เหมาะสม กับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิกับตัวอสุจิแล้ว ทำให้ไข่ไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนได้

ยาคุมกำเนิด คือ ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์ขึ้นมา

การรับประทานหรือการใช้เพื่อคุมกำเนิด

นอกจากการแบ่งยาคุมกำเนิดตามส่วนประกอบของฮอร์โมนแล้ว ยังสามารถแบ่งยาคุมตามลักษณะการรับประทานหรือการใช้เพื่อคุมกำเนิดได้ ดังนี้   

1. ยาคุมกำเนิดชนิดกิน สามารถออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.1 ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมน คือ ยาคุมกำเนิดชนิดกินจะมีเป็นยาคุมกำเนิดทั้งที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเดียวและฮอร์โมนรวม ซึ่งการรับประทานจะต้องรับประทานทุกวันอย่างต่อเนื่องจึงจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมนมีลักษณะเป็นเม็ดกลมขนาดเล็ก โดยทั่วไปจะมีสีขาวหรือสีเหลือง บรรจุบนแผงยา จำนวนเม็ดยาจะมี 21 และ 28 เม็ด โดยยาจำนวน 21 เม็ดแรกจะบรรจุฮอร์โมนไว้ด้านใน แต่สำหรับยาที่บรรจุ 28 เม็ดนั้น ยาเม็ด 21 เม็ดแรกจะบรรจุฮอร์โมนเช่นเดียวกับยาคุมที่มี 21 เม็ด แต่ยาเม็ดที่ 22-28 จะเป็นแป้งหรือแป้งผสมวิตามินสำหรับบำรุงร่างกายเท่านั้น

ขั้นตอนการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฮอร์โมน 

  1. เริ่มรับประทานเม็ดแรกในวันที่เริ่มมีประจำเดือนวันแรกหรือภายใน 5 วันหลังจากที่เริ่มมีประจำเดือน

2. ภายในระยะเวลา 7 วันแรกที่เริ่มรับประทานยาคุม ยังมีอัตราเสี่ยงที่จะสามารถตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นหากมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นควรมีการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใส่ถุงยางอนามัย เป็นต้น

3. ควรรับประทานยาคุมกำเนิดเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายมีระดับที่สม่ำเสมอกันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เป็นต้น และป้องกันการลืมรับประทานยาคุมกำเนิดอีกด้วย

4. หากลืมรับประทานยา 1 วัน ในวันถัดไปให้รับประทานยาร่วมกัน 2 เม็ดหรือในรับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ก่อนที่จะรับประทานยาในวันต่อไป

5. หากลืมรับประทานยา 2 เม็ดหรือ 2 วัน ให้ทำการรับประทานยาตอนเช้า 1 เม็ดและตอนเย็น 2 เม็ด

6. หากลืมรับประทานยา 3 เม็ดหรือ 3 วันติดต่อกัน แสดงว่ายาคุมกำเนิดที่รับประทานอยู่นั้นไม่สามารถช่วยป้องกันการคุมกำเนิดได้แล้ว ให้ทำการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นแทน และเริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดแผงใหม่ในวันที่ 1-5 ของประจำเดือนรอบถัดไป

7. สำหรับผู้ที่เลือกรับประทานยาคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ด เมื่อยาหมดแผงให้เว้นระยะ 7 วันก่อนแล้ววันที่ 8 จึงเริ่มรับประทานยาคุมแผงต่อไปได้ แต่ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ดสามารถรับประทานยาแผงต่อไปได้ทันทีหลังจากรับประทานยาเม็ดที่ 28 หมดแล้ว 

1.2 ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฉุกเฉิน

คือ ยาคุมกำเนิดที่รับประทานหลังจากมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นแล้ว แผงยาจะบรรจุยาสองเม็ด มีลักษณะเป็นเม็ดขนาดเล็กสีขาวภายในตัวยาจะประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ที่มีปริมาณสูงมาก โดยฮอร์โมนโปรเจสตินจะเข้าไปยับยั้งการตกไข่และปรับสภาพของเนื้อเยื่อบุผนังมดลูก ( Endometrial ) ให้ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของไข่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 80% การใช้ยาคุมฉุกเฉินจะมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงและอันตรายสูงกว่าการกินยาคุมปกติ เช่น การมีเลือกออกที่บริเวณปากช่องคลอด เป็นต้น

ขั้นตอนการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดกินแบบฉุกเฉิน 

1.ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์หรือไม่เกิน 48 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ และรับประทานยาเม็ดที่ 2 หลังจากที่รับประทานยาเม็ดแรกไปแล้ว

2.ควรรับประทานยาทั้งสองเม็ด การรับประทานยาเพียงเม็ดเดียวจะทำให้ความสามารถในการป้องกันการตั้งครรภ์ลดลง 50%

2. ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด ( Injectable Contraceptives )

คือ ยาคุมกำเนิดที่ทำการฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อที่ภายในร่างกายได้โดยตรง โดยส่วนมากแพทย์จะทำการฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อที่บริเวณสะโพก ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามระยะเวลาคงอยู่ของตัวยา คือ

2.1 ยาคุมกำเนิดแบบฉีดทุก 1 เดือน

เป็นยาคุมกำเนิดที่ทำการฉีดทุก 28-30 วัน คล้ายกับการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน แต่การฉีดจะทำการฉีดยาคุมกำเนิดเพียงครั้งเดียวต่อเดือนไม่ต้องทำการฉีดทุกวัน ซึ่งยาคุมกำเนิดแบบฉีดรายเดือนประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) และฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) เป็นยาที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อด้อยของยาฉีดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 1 เดือน โดยฮอร์โมนที่อยู่ตัวยาคุมกำเนิดแบบฉีดจะอยู่ในรูปเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ( Medroxyprogesterone ) ปริมาณ 25 มิลลิกรัมผสมอยู่กับเอสทราดิอัล ไซพิโอเนท ( Estradiol Cypionate ) ที่มีปริมาณ 5 มิลลิกรัม การฉีดยาคุมแบบ 1 เดือน ร่างกายจะมีประจำเดือนมาแบบปกติทุกเดือน 

2.2 ยาคุมกำเนิดแบบฉีดทุก 3 เดือน

คือ ยาคุมกำเนิดที่สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนต่อการฉีดยาหนึ่งครั้ง ยาคุมกำเนิดชนิด 3 เดือนประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจนตินเพียงชนิดเดียว ซึ่งฮอร์โมนที่นำมาใช้จะอยู่ในรูปเมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ( Medroxyprogesterone ) โดยฮอร์โมนโปรเจนตินจะเข้าไปยับยั้งการตกไข่และเพิ่มความเหนี่ยวของเมือกให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอสุจิเข้าสู่มดลูกได้ จึงลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี การฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนประจำเดือนบางเดือนอาจจะมาหรือบางเดือนอาจจะไม่มาก็ได้ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างไร

การฉีดยาคุมต้องทำการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดยาคุมกำเนิดได้

3. ยาฝังคุมกำเนิด ( Contraceptive Implant )

คือ ยาคุมกำเนิดที่สามารถคุมกำเนิดได้ด้วยการฝังเข้าสู่ร่างกาย โดยยาคุมกำเนิดชนิดฝังเป็นยาคุมกำเนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) โดยบรรจุฮอร์โมนโปรเจสติน ( Progestin ) ไว้ภายในแท่งหรือวัสดุที่มีรูปร่างคล้ายหลอดผิวนิ่ม สามารถยืดหยุ่นและหลอดของยาคุมกำเนิดชนิดฝังจะไม่เกิดการสลายตัว ขนาดของหลอดมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 มิลลิเมตรและมีความยาวประมาณ 4-4.3 เซนติเมตร การใช้ยาทำได้โดยการฝังแท่งยาเข้าสู่ร่างกายไว้ที่บริเวณใต้ท้องแขนของผู้หญิงในด้านมือข้างที่ไม่ถนัด เพราะจะมีการใช้งานแขนด้านนั้นน้อยกว่าด้านที่ถนัด ซึ่งการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้

ขั้นตอนการฝังแท่งยาคุมกำเนิด คือ

  1. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการฝังให้สะอาด

2. ทำการฉีดยาชาและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ

3. ทำการผ่าเปิดแผลขนาดประมาณ 3 – 5 เซนติเมตร ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ที่บริเวณท้องแขนซึ่งอยู่ระหว่างรักแร้และข้อศอก 

4. ทำการวางแท่งยา แล้วจึงทำการปิดแผล

หลังจากทำการผ่าตัดเพื่อฝังแท่งยาคุมกำเนิดแล้ว ที่บริเวณท้องแขนอาจจะมีรอยเขียวช้ำเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่รอยช้ำที่จะเกิดขึ้นจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์หลังจากทำการผ่าตัด เมื่อทำการฝั่งแท่งยาคุมเข้าสู่ร่างกายแล้ว ฮอร์โมนโปรเจสตินที่อยู่ภายในแท่งยาคุมกำเนิดจะค่อย ๆ ไหลออกมาจากแท่งยาคุมและซึมเข้าสู่ร่างกายที่ละน้อย โดยฮอร์โมนโปรเจสตินจะเข้าไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน Luteinizing hormone ( LH ) ที่ช่วยกระตุ้นไข่ให้ไข่สุกให้เกิดการตกไข่ ทำให้ร่างกายไม่สามารถทำการตกไข่ออกมาเพื่อปฏิสนธิกับตัวอสุจิได้ จึงสามารถป้องกันการตกไข่ได้เป็นอย่างดี

การฝังยาคุมกำเนิดได้ตั้งแต่ 3 -5 ปี ขึ้นอยู่กับความต้องการระยะเวลาในการคุมกำเนิด ซึ่งการฝังแท่งยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 99% และเมื่อต้องการยกเลิกการคุมกำเนิดก่อนระยะเวลาหมดอายุของแท่งยาคุมกำเนิดที่ทำการฝังไว้ ก็สามารถผ่าตัดนำแท่งยาคุมกำเนิดออกมาจากท้องแขนได้ เมื่อทำการผ่าตัดนำแท่งยาคุมออกมาแล้วก็สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ ข้อดีของการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง คือ ไม่ต้องกลัวลืมที่จะกินยาเพราะเมื่อฝังไปแล้วฤทธิ์ของยาจะคงอยู่ตามระยะเวลาของยาที่กำหนด ไม่ต้องกลัวว่าผลของยาจะผิดพลาดจนเกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น

5.แผ่นแปะคุมกำเนิด

คือ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม โดยการนำฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจนตินมาบรรจุไว้บนแผนแปะ ซึ่งแผ่นแปะคุมกำเนิดมีขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 2 นิ้ว โดยแผ่นแปะคุมกำเนิดจะทำการปล่อยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินออกมาและซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะยับยั้งการตกไข่ ปรับสภาพของมดลูกให้ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของไข่และลดโอกาสการผ่านของตัวอสุจิเข้าสู่มดลูก ซึ่งแผ่นแปะสามารถช่วยคุมกำเนิดได้มากถึง 90-99%

ขั้นตอนใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด

  1. ทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการแปะแผ่นคุมกำเนิด

2. ทำการแปะแผ่นคุมกำเนิดที่ผิวหนังบนร่างกาย เช่น บริเวณสะโพก ต้นแขนหรือหน้าท้อง 

3. แผ่นแปะ 1 แผ่นจะสามารถคุมกำเนิดได้ 7 วัน เมื่อแปะแผ่นครบ 7 วันแล้วจึงทำการแกะแผ่นแปะออก พร้อมทั้งทำการแปะแผ่นคุมกำเนิดแผ่นใหม่ต่อทันที การแปะจะต้องแปะติดต่อกัน 27 วันหรือ 3 สัปดาห์ติดต่อกัน แล้วจึงหยุดแปะแผ่น 7 วัน

อาการข้างเคียงที่พบจากการใช้ยาคุมกำเนิด

การใช้ยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์อย่างได้ผลก็จริง แต่ก็มีอาการข้างเคียงที่สร้างผลกระทบต่อร่างกายอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนของร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาการข้างเคียงที่พบจากการใช้ยาคุมกำเนิด ดังนี้

  1. ประจำเดือนมาแบบผิดปกติ

2. มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ เต้านมคัดตึง และมีอารมณ์แปรปรวน

3. อาการคลื่นไส้อาเจียน

4. เต้านมเกิดอาการคัดตึง

5. อารมณ์เกิดการแปรปรวน

6. น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น

7. ปากช่องคลอดแห้ง ความต้องการทางเพศลดลง

อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะมีอาการมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละบุคคล บางคนใช้ยาคุมกำเนิดชนิดเดียวกัน แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นต่างกัน ดังนั้นการใช้ยาคุมกำเนิดควรเลือกให้เหมาะกับสภาพร่างกายของตนเอง ซึ่งการเลือกยาคุมกำเนิดผู้ใช้ต้องทำการใช้ยาคุมกำเนิดก่อน ถ้าเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่ต้องการแล้วให้ทำการเปลี่ยนไปใช้ยาคุมกำเนิดชนิดอื่นแทนจนกว่าร่างกายจะไม่เกิดอาการข้างเคียงเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดนั่นเอง

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการตั้งครรภ์แล้วการคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาจึงนับเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้ผลดีและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก แต่ถ้าต้องการให้การคุมกำเนิดได้ผล 100% ควรที่จะต้องมีการใช้อุปกรณ์ช่วยในการคุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัย ห่วงคุมกำเนิด ร่วมด้วยจึงจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 100% ซึ่งการใช้อุปกรณ์ช่วยคุมกำเนิดนอกจากจะสามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้วยังสามารถลดความเสี่ยงในการติดโรคที่เกิดทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

All US women aged 15-44 Mosher WD, Martinez GM, Chandra A, Abma JC, Willson SJ (2004). “Use of contraception and use of family planning services in the United States: 1982-2002”. Adv Data (350): 1–36. PMID 15633582.

“Birth Control Pills – Birth Control Pill – The Pill”.Hatcher, Robert A.; Nelson, Anita (2004). “Combined Hormonal Contraceptive Methods”. In in Hatcher, Robert A. (ed.). Contraceptive Technology (18th rev. ed. ed.). New York: Ardent Media. pp. pp. 391–460. ISBN 0-966-49025-8.

ริมฝีปากแห้งรักษาอย่างไร

0
วิธีการใช้ยาคุมกำเนิดแบบต่างๆ
ริมฝีปากแห้ง เกิดจากการที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นน้อย ส่งผลให้ริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุย
ริมฝีปากแห้งรักษาอย่างไร
ครีมบำรุงเหล่าที่ออกแบบมาเพื่อรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากโดยเฉพาะจะช่วยลดการสูญเสียน้ำที่ริมฝีปากและช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับริมฝีปาก

ริมฝีปากแห้ง

ริมฝีปากเป็นผิวหนังส่วนที่ต่างจากผิวหนังส่วนอื่น เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้จะไม่มีต่อมน้ำมันที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังเหมือนผิวหนังที่บริเวณอื่นของร่างกาย แต่ริมฝีปากจะได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำลายที่ออกมาจากต่อมน้ำลายภายในปาก และริมฝีปากเป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับสิ่งต่างรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งเป็นอากาศ อาหาร แสงแดด สายลม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ริมฝีปากเกิดความผิดปกติขึ้น และความผิดปกติที่สามารถพบได้บ่อยกับริมฝีปาก คือ ภาวะริมฝีปากแห้ง หรือภาวะปากแห้งเนื่องจากปริมาณน้ำลายเกิดขึ้นน้อย ( Xerostomia ) คือ การที่ต่อมน้ำลายมีระบบการทำงานที่ผิดปกติ ต่อมน้ำลายทำการการผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำลายภายในปากน้อยกว่าปริมาณการสูญเสียความชุ่มชื้นออกไป ส่งผลให้เกิดภาวะริมฝีปากแห้ง แตกและลอกออกมาเป็นขุยนั่นเอง

ใบหน้าเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนต้องพบเห็น ใบหน้าช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับคนเรา ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในการสร้างเสน่ห์ รวมถึงริมฝีปากของเราด้วย ริมฝีปากมีลักษณะอ่อนนุ่ม สามารถเคลื่อนไหวเพื่อทำหน้าที่ในการรับอาหารและใช้ในเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารออกมาเป็นคำพูด นอกจากนั้นริมฝีปากของเรายังเป็นอวัยวะที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของร่างกายได้อีกด้วย นั่นคือริมฝีปากของผู้ที่มีสุขภาพดีจะมีริมฝีปากที่แลดูฉ่ำน้ำ เปล่งปลั่งและมีสีชมพูอ่อนจนถึงสีแดงคล้ำ โดยผู้ที่มีสีผิวเข้มจะมีริมฝีปากสีแดงคล้ำ ส่วนผู้ที่มีผิวขาวจะมีริมฝีปากสีชมพู

สาเหตุที่ทำให้การทำงานของต่อมน้ำลายผิดปกติ

1.ร่างกายขาดน้ำ

ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำร้อยละ 60 ซึ่งในแต่ละวันร่างกายจะทำการขับน้ำออกมาในรูปของเสีย เช่น ปัสสาวะ เหงื่อ เป็นตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อทดแทนปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องสูญเสียไประหว่างวัน ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่น้อยกว่าปริมาณน้ำที่สูญเสียไป ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำ ทำให้ริมฝีปากแห้ง นอกจากการดื่มน้ำที่ไม่เพียงพอแล้ว ภาวะร่างกายขาดน้ำยังสามารถเกิดขึ้นได้จากกรณีที่ร่างกายมีการสูญเสียน้ำในปริมาณที่มาก ๆ อย่างเฉียบพลัน เช่น เกิดอาการท้องเสีย เสียเลือดมาก อาเจียน เป็นไข้ เป็นต้น ก็สามารถส่งผลให้เกิดริมฝีปากแห้งได้เช่นเดียวกัน

2.สภาพสิ่งแวดล้อม

ช่วงฤดูร้อน ที่มีอุณหภูมิสูง ร่างกายต้องทำการขับเหงื่อออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที และในฤดูหนาว อากาศมีความชื่นน้อย ทำให้ความชื้นในร่างกายระเหยออกมาสู่ภายนอก เมื่อร่างกายสูญเสียความชื้นและน้ำในปริมาณสูง โดยเฉพาะส่วนของริมฝีปากที่ต้องกระทบกับอากาศจากภายนอกอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้ริมฝีปากเกิดภาวะปากแห้งและลอกเป็นขุยได้ หรือแม้แต่การอยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนอากาศเย็นมาก ๆ ก็จะทำให้อากาศมีความชื้นน้อยจนส่งผลให้ริมฝีปากแห้งได้เช่นเดียวกัน

3.การเลียริมฝีปาก

การเลียริมฝีปากหลายคนคิดว่าเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก แต่ที่จริงแล้วผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะการเลียริมฝีปากบ่อยมาก ๆ จะทำให้ริมฝีปากแห้งแตกได้ เนื่องจากในน้ำลายมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารอยู่ ดังนั้นเมื่อน้ำลายมาอยู่บนริมฝีปากเอนไซม์ดังกล่าวก็จะทำการปฏิกิริยากับออกซิเจนและโปรตีนที่อยู่ในริมฝีปากทำให้ริมฝีปากแห้ง 

4.การสูบบุหรี่

บุหรี่ประกอบด้วยสารที่เป็นพิษอยู่หลายชนิด ซึ่งสารดังกล่าวจะส่งผลให้การทำงานของต่อมน้ำลายเกิดความผิดปกติ ทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาได้น้อยลงจึงส่งผลให้เกิดอาการปากแห้งได้

5.การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

เมื่อร่างกายได้รับแอลกอฮอล์เข้าไป ร่างกายจะต้องทำการขับออกจากร่างกายเพื่อรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างของร่างกายให้สมดุล ซึ่งการขับแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่ร่างกายจะต้องใช้น้ำเป็นตัวช่วย โดยการขับจะขับอยู่ในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ ดังนั้นเมื่อมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากและไม่มีการดื่มน้ำเปล่าเลย ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำทำให้เกิดริมฝีปากแห้งได้

6.ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง

คนส่วนมากชอบดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ว่าคาเฟอีนที่ดื่มจะเข้านอกจากจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองรับรู้แล้วยังเข้าไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนกลางที่มีหน้าที่ในการขับน้ำออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายมีการขับน้ำออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระมากกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อเราดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากจะให้ร่างกายปัสสาวะบ่อย จึงทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกิดภาวะริมฝีปากแห้งได้

7.การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์รุนแรง

ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่ใช้อยู่ทั่วไปจะมีส่วนของฟลูออไรด์ แอลกอฮอล์และสารเคมีผสมอยู่ เช่น สารที่ทำให้เกิดฟอง สารที่ทำให้เกิดรสชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้ามีปริมาณที่สูงหรือร่างกายเกิดอาการแพ้แล้ว จะทำให้ผิวหนังบริเวณ เกิดอาการแพ้ ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณริมฝีปากเกิดภาวะแห้งได้

8.แพ้เครื่องสำอาง

ปัจจุบันนี้ผู้หญิงและผู้ชายบางกลุ่มนิยมที่จะแต่งหน้ากันมากขึ้น โดยเฉพาะการทาลิปสติกบนริมฝีปากเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แม้ไม่ได้แต่งหน้าทั้งหมดขอเพียงแค่ทาริมฝีปากด้วยลิปสติกเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ซึ่งลิปสติกที่ใช้มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด บางชนิดมีส่วนผสมของสารเคมีที่ไม่เหมาะสมกับริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากเกิดอาการแพ้จนริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุยได้   

9.ผลข้างเคียงจากการใช้ยา

การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกในกลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน ( Antihistamines ) ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก ( Tricyclic Antidepressants ) ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาคลายกล้ามเนื้อ ยารักษาอาการทางจิต ( Antipsychotics ) ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ( Anyiemetics ) เป็นต้น ซึ่งยาดังกล่าวจะเข้าไปทำให้การทำงานของต่อมน้ำลายมีความผิดปกติ ทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาน้อยลง รวมถึงอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในผู้ที่ป่วยที่ทำการรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายรังสีหรือการให้ยาเคมีบำบัด โดยเฉพาะการรักษามะเร็งที่ส่วนของศีรษะและลำคอ เนื่องจากรังสีที่ฉายเข้าไปนั้นจะเข้าไปทำลายเซลล์ที่บริเวณต่อมน้ำลายอาจถูกทำลายได้ ซึ่งเซลล์ที่ถูกทำลายบางส่วนจะสามารถฟื้นฟูและกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ในภายหลัง แต่ถ้าได้รับปริมาณรังสีในปริมาณที่สูงเซลล์ก็จะโดนทำลายอย่างถาวร ทำให้ต่อมน้ำลายไม่สามารถทำการผลิตน้ำลายได้มากเท่าปกติ และยาเคมีบำบัดก็จะทำให้น้ำลายมีลักษณะที่เหนียวและข้นมากขึ้นด้วย

10.โรคประจำตัว

โรคบางชนิดที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมน้ำลายในการผลิตน้ำลายทำให้มีการผลิตน้ำลายออกมาได้น้อยลงจึงทำให้ริมฝีปากแห้งได้ เช่น โรคเบาหวาน ( Diabetes ) โรคหลอดเลือดในสมอง โรคพาร์กินสัน ( Parkinson’s disease ) โรคซิสติกไฟโบรซิส ( Cystic Fibrosis ) โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease ) โรคความดันโลหิตสูง ( Hypertension ) โรคโลหิตจาง ( Anemia ) โรคข้ออักเสบ ( Arthritis )

ริมฝีปากแห้ง เกิดจากการที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาน้อยกว่าปกติ จึงทำให้บริเวณริมฝีปากได้รับความชุ่มชื้นน้อย ทำให้แตกและลอกเป็นขุย

การรักษาให้ริมฝีปากชุ่มชื้น

โดยส่วนมากแล้วอาการริมฝีปากแห้งที่พบได้บ่อยจะเกิดจากพฤติกรรมการดื่มน้ำน้อย การเลียริมฝีปากบ่อยเกินไป การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน ดังนั้นการรักษาอาการริมฝีปากแห้งที่เกิดขึ้นจึงมักมุ่งเน้นไปที่ต้นเหตุของอาการที่ทำให้ริมฝีปากแห้งเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการรักษาที่ตรงจุดจะสามารถทำให้ริมฝีปากสามารถกลับมาชุ่มชื่นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการรักษาให้ริมฝีปากชุ่มชื้นสามารถทำได้ดังนี้   

1.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย คือ น้ำเปล่าสะอาดที่มีอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นกว่าอุณหภูมิทั่วไป หลายคนสงสัยว่าแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าร่างกายต้องการน้ำในปริมาณเท่าใด ซึ่งปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวันสามารถคำนวณได้จากสูตร ดังนี้

ปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวัน = น้ำหนักตัว ( กิโลกรัม ) / 2 x 2.2 x 30 หน่วยเป็นมิลลิลิตร

ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมจะต้องดื่มน้ำต่อวันประมาณ 50 / 2 x2.2×30 = 1,650 มิลลิลิตร หรือ 1.65 ลิตร นั่นหมายความว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 1.6 ลิตรต่อวันจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั่นเอง การดื่มน้ำที่ดีควรดื่มสะอาดเท่านั้น โดยทำการดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอน 1-2 แก้ว หลังมื้ออาหารครั้งละ 1 แก้ว และระหว่างมื้ออาหารอย่างน้อย 1 แก้ว หรือจะทำการดื่ม 1 แก้วทุก 1 ชั่วโมงก็ได้ แต่ห้ามดื่มครั้งละมากๆ หรือดื่มครั้งเดียวตามปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน เพราะว่าร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำที่ดื่มเข้าไปใช้ได้หมดและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำเกินในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นการดื่มสะอาดอย่างต่อเนื่องเป็นการดื่มน้ำที่ดีสุดที่ช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอและร่างกายสามารถนำน้ำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

2.ลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

เมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากเกิดภาวะแห้งหรือรู้สึกกระหายน้ำ ไม่ควรดับความกระหายด้วยการดื่มเครื่องดื่มที่มีการปรุงแต่งกลิ่น สี รสหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ แต่ควรดื่มน้ำสะอาดแทน และควรลดหรืองดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ให้น้อยลงในแต่ละวัน เพื่อลดการขับน้ำออกจากร่างกายให้น้อยลง

3.ทาครีมบำรุงริมฝีปาก

หลายคนเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้ง มักจะทำการเลียริมฝีปากเพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื้น แต่การเลียริมฝีปากจะทำให้ปากชุ่มชื้นได้เพียงช่วงสั้น ๆ แต่กลับจะทำให้ริมฝีปากแห้งได้ในระยะยาว ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งเกิดขึ้นให้ทาครีมบำรุงที่ออกแบบมาเพื่อรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากโดยเฉพาะ เช่น ลิปบาล์ม ( Lip balm ) ออยล์ ( Oil ) น้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติ ( Natural Oils ) ปิโตรเลียมเจล ( Petroleum jelly ) ขี้ผึ้ง ( Beeswax ) เป็นประจำทุกวัน ครีมบำรุงเหล่านี้จะเข้ามาลดการสูญเสียน้ำที่บริเวณริมฝีปากและช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนังที่บริเวณริมฝีปาก จึงช่วยลดภาวะริมฝีปากแห้งได้เป็นอย่างดี 

4.หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง

ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีลมพักแรงและแสงแดดจัด เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง ยิ่งสายลมและแสงแดดในช่วงฤดูหนาวที่อากาศมีความชื้นน้อยมาก จะยิ่งทำให้ริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นจนทำให้ริมฝีปากแห้ง แตกและลอกเป็นขุยได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในสภาพอากาศดังกล่าวให้ทาปากด้วยครีมบำรุงริมฝีปากที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและมีส่วนผสมที่สามารถกันแดดเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากได้

5.การรับประทานอาหาร

ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินตามธรรมชาติสูง โดยเฉพาะวิตามินบีและวิตามินเอที่มีส่วนในการเสริมสร้างเคราติน ( Keratin ) ที่มีหน้าที่ในการลดอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่อยู่ในแสงแดดและช่วยลดการการระเหยของน้ำจากผิวหนังที่บริเวณริมฝีปาก เช่น ธัญพืชไม่ขัดขาวอย่าง ข้าวกล้อง ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี คะน้า และถั่วเปลือกแข็ง เช่น พวกเมล็ดอัลมอนด์ ถั่วลิสง มะม่วงหิมพานต์ พีแคน รวมถึงปลาแซลมอน ไข่ไก่ มะม่วง สัปปะรด กีวี ลูกพืช บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี สตอเบอร์รี ผักปวยเล้ง และเนื้อไก่ ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและน้ำอยู่ในปริมาณที่สูง วิตามินและแร่ธาตุที่ได้รับจากอาหารจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบการสร้างเคราตินให้มีการสร้างเซลล์เคราตินที่ทำให้มีเซลล์ผิวที่บริเวณริมฝีปากมีความแข็งแรง สามารถรักษาความชุ่มชื้นภายในเซลล์และลดการสูญเสียน้ำของเซลล์ให้น้อยลง และยังช่วยให้ร่างกายแข็งลดความเสี่ยงในติดเชื้อที่บริเวณต่อมน้ำลาย ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตน้ำลายเกิดขึ้นน้อยลงได้อีกด้วย

6.เปลี่ยนยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก

ควรเลือกใช้ยาสีฟันมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ในสัดส่วน 1,350 -1,500 ppm และควรเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ผสมอยู่ เพื่อลดการสูญเสียความชุมชื้นของริมฝีปาก เนื่องจากการได้รับปริมาณฟลูออไรด์และแอลกอฮอล์ที่บริเวณริมฝีปากที่มากเกินไป

จะเห็นว่าการรักษาและป้องกันไม่ให้ริมฝีปากแห้งนั้น สามารถทำการรักษาและป้องกันได้ด้วยตนเองเพียงแค่ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างผักและผลไม้มาก ๆ ลดการสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใช้ครีมทาบำรุงริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง อาการริมฝีปากแห้งก็จะสามารถหายไปได้เองในระยะเวลาอันสั้น เพียงเท่านี้เราก็สามรรถเปลี่ยนริมฝีปากที่แห้ง แตก ลอกเป็นขุยที่น่ารังเกียจให้กลายเป็นริมฝีปากที่ชุ่มชื้น เปล่งปลั่งน่ามองอยู่กับตัวเราไปตลอดได้แล้ว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Bork, Konrad (1996). Diseases of the oral mucosa and the lips (English ed.). Philadelphia, Pa. [u.a.]: Saunders. p. 10. ISBN 9780721640396.

Cohen, Bernard A. (2013). Pediatric Dermatology (Fourth ed.). Elsevier Health Sciences. p. Chapter 9.2. ISBN 9781455737956.

Archived March 20, 2012, at the Wayback Machine.
“Journal of the American Academy of Dermatology”, Volume 56, Issue 2, Pages AB94 – AB94

เมคอัพคอนเซ็ปต์ สวยสั่งได้

0
เมคอัพคอนเซ็ปต์ สวยสั่งได้
เมคอัพ คือ เครื่องสำอางซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างสดใสเสมอกัน ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและผิวที่มีปัญหาและช่วยให้บุคลิกภาพชัดเจนขึ้น
เมคอัพคอนเซ็ปต์ สวยสั่งได้
เมคอัพ คือ เครื่องสำอางซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างสดใสเสมอกัน ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและผิวที่มีปัญหาและช่วยให้บุคลิกภาพชัดเจนขึ้น

เมคอัพ

ผู้หญิงเปรียบเสมือนเพชรที่รอการเจียรนัย และ เมคอัพ มีส่วนช่วยให้ผู้หญิงเปล่งประกายเจิดจรัส เมคอัพ คือ เครื่องสำอางซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างสดใสเสมอกัน ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องบนใบหน้าอย่าง รอยแดงจากสิว รอยหมองคล้ำใต้ตา หรือผิวที่มีปัญหา ช่วยให้เห็นความแตกต่างของบุคลิกภาพชัดเจนและโดดเด่นและช่วยสะท้อนความเป็นตัวตนได้อีกด้วย

เมคอัพสไตล์สาวฝรั่ง

ช่วงนี้การแต่งหน้าสไตล์ฝรั่งกำลังฮิตในหมู่ชาวไทยและชาวเอเชียเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นผิวสีไหนก็สามารถเนรมิตให้เป็นวัยรุ่นฝรั่งได้ง่ายๆ
1.ทาเซรั่มหรือครีมบำรุงที่ใช้เป็นประจำให้ทั่วใบหน้า
2.ทาไพรเมอร์เพื่อพรางรูขุมขนและทำให้เครื่องสำอางติดทนนานขึ้น
3.ลงรองพื้นหรือcushion สีเข้มกว่าผิวหน้า 1-2 เบอร์เพื่อให้ได้สีแทนตามแบบฝรั่ง แนะนำให้ใช้เป็นแบบเนื้อแมทเพื่อให้ได้ลุคเรียบเนียนและไม่เหนอะหนะ
4.คอนทัวร์ ใช้สีบรอนเซอร์ที่ไม่หลอกตาหรือหลอกตาจากสีผิวมากเกิน โดยเน้นโทนสีน้ำตาลส้มคอนทัวร์ให้ทั่วบริเวณกรอบหน้า แก้มส่วนล่างและสันจมูก เพื่อให้มีโครงหน้าคม เรียวและมีมิติ
5.ใช้ดินสอเขียนคิ้วให้โก่งและเส้นบาง แต่เส้นคมชัด หางคิ้วไม่ยกสูงเกินไป
6. ใช้คอนซีลเลอร์เก็บรายละเอียดและไฮไลท์โหนกคิ้วเพื่อเพิ่มแสง
7.ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มคัดเบ้าตาให้ฟุ้ง และกรีดอายไลเนอร์เส้นหนาที่ขอบตาด้านบนตวัดหางเล็กน้อย
8.จากนั้นปัดมาสคาร่า และต่อขนตาเพื่อให้ดวงตาดูกลมโตและโดดเด่น
9.ปัดแก้มโดยเน้นสีโทนธรรมชาติ เช่นสีนู้ดชมพู และสีพีชเบาๆบริเวณโหนกแก้มด้านบน
10.ไฮไลท์ให้ใช้แบบโกลวๆ ฉ่ำๆแผนเนื้อชิมเมอร์กากเพชร จะช่วยให้ผิวดูมีสุขภาพดี ไม่หลอกตา โดยเน้นบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง กระจับปากด้านบน และสันจมูก
11.ลิปสติกให้ใช้แบบเนื้อแมทสีนู้ดโทนน้ำตาล ชมพู และส้ม เพื่อให้ติดได้ทนนาน
12.คอนแทคเลนส์ที่ใช้ให้เน้นสีน้ำตาลอ่อน สีเทาเข้ม หรือฟ้าอมเทาตามธรรมชาติของสีตาสาวยุโรป-อเมริกา เพื่อให้ดวงตากลมโต สดใส และดูน่าสนใจ

เมคอัพมีระดับด้วยสีประกายทอง

เวลาออกมาช้อปปิ้งไม่ใช่แค่ต้องเขียนรายการสั่งของที่ต้องซื้ออย่างละเอียดเท่านั้น แต่การสร้างเมคอัพสไตล์นักช้อปที่ดูชาญฉลาดและสุภาพเพื่อให้เจ้าของร้านต้อนรับและดูแลอย่างดีก็ถือเป็นเรื่องจำเป็น สีทองที่เข้ากับผิวอย่างเป็นธรรมชาติและให้ความโออ่าสง่างามอย่างพอดีนั้นเป็นสีที่เหมาะที่สุดสำหรับนักช้อปตัวยงซื้อมีสไตล์เป็นของตัวเอง

1.ทาอายแชโดว์ชนิดครีมสีทองบรอนซ์อ่อนๆให้ทั่วเปลือกตา
2.ทำกราเดชั่นด้วยการทาอายแชโดว์สีน้ำตาลบรอนซ์ทับบังบังอีกที
3.ใช้แปรงปลายฟองน้ำทาอายแชโดว์สีทองประกายมุกบนและใต้ดวงตาให้เชื่อมต่อกัน
4.เขียนขอบตาด้วยดินสอ 2 ชนิด ขั้นแรกค่อยๆเขียนขอบตาด้านในด้วยอายไลเนอร์ชนิดดินสอสีดำ จากนั้นก็ทำกราเดชั่นและเขียนขอบตาด้วยดินสอสีน้ำตาลทองแดง
5.ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีทองเขียนขอบตาล่างด้านใน ทำให้ดวงตาดูลึก และให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากสโมกกี้อาย
6.ดัดขนตาให้โค้งงอนแล้วปัดมาสคารา
7.ใช้แปรงด้ามใหญ่ทาแป้งเฉดดิ้งทำคอนทัวร์บนใบหน้า
8.ทาลิปกลอสโทนสีนู้ดสร้างความละเอียดอ่อน

ถึงแม้เมคอัพสีทองและสีน้ำตาลบรอนจะไม่ฉูดฉาด แต่ก็สามารถสร้างความสง่างามที่ดูหรูหราได้ระดับ เทรดดิ้งที่คอนทัวร์บนใบหน้าดูมีชีวิตชีวา

เมคอัพคอนเซ็ปต์ตุ๊กตาบาร์บี้แสนน่ารัก

เมื่อเห็นตุ๊กตาบาร์บี้ทีไรก็นึกถึงสีชมพู สีชมพูเป็นสีที่ใกล้ชิดและสนิทสนมกับสาวๆที่สุด แต่ปัญหาคือจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ดูเหมือนเด็กน้อยเกินไป ลองแต่งรูปน่ารักๆที่ดูละเอียดอ่อนด้วยการเล่นโทนสีชมพูหลากหลายที่ให้ทั้งความรู้สึกอ่อนโยนและเก๋ไก๋
1.ทาอายแชโดว์สีชมพูอ่อนให้ทั่วเปลือกตาเป็นบริเวณกว้าง
2.ทาอายแชโดว์สีลาเวนเดอร์ที่มีสปาร์คลิ่งละเอียดเล็กผสมอยู่จนถึงบริเวณเส้นตาสองชั้น
3.เขียนขอบตาด้วยดินสอสีม่วงอ่อนไลแล็ก
4.เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดลิควิดให้ดูคม
5.เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอสีชมพูขาว

6.ทาอายไลน์เนอร์ชนิดลิควิดที่มีกลิตเตอร์ที่ขอบตาล่าง
7.ดัดขนตาแล้วปัดมาสคาร่าถ้าปัดตรงกลางให้มากหน่อยจะทำให้ดวงตาดูกลมโตน่ารัก
8.ถ้าบัตรออนสีเบบี้พิ้งค์ที่โซนแอ๊ปเปิ้ลให้เป็นวงกลม
9.ทาลิปสติกแบบเต็มๆที่ด้านในของริมฝีปากแล้วใช้นิ้วเบลนด์ให้ทั่ว ทำอย่างนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูเป็นธรรมชาติ

การแต่งหน้าแบบนี้ให้ความรู้สึกสดชื่นสบายๆของสีชมพูมากกว่าหวานอบอุ่น สีลาเวนเดอร์ที่มีสีม่วงจะปนอยู่เข้ากันได้ดีกับสีชมพูอ่อน ดังนั้นแม้จะทำให้ดูร่าเริงและมีชีวิตชีวา แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกแบบนีออน ถือเป็นตัวเลือกที่มีรสนิยมสำหรับคนที่ชื่นชอบสีชมพูในหน้าร้อน

เมคอัพ คือ เครื่องสำอางซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างสดใสเสมอกัน ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและผิวที่มีปัญหาและช่วยให้บุคลิกภาพชัดเจนขึ้น

เมคอัพสวย 360 องศา ใต้แสงไฟ

วันที่ไปคลับต้องแต่งหน้าให้สุดเหวี่ยงถึงจะทำให้คนตะลึงแตกต่างจากเดิม 360 องศา เวลาที่ต้องการจะจัดภายใต้แสงไฟอ่านเรื่องสไตล์การแต่งหน้าสีสันฉูดฉาด แต่ความเป็นจริงแล้วการแต่งหน้าแรงๆที่รูระยิบระยับแพรวพราวนั้นถึงจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่เสมอไป คุณต้องหาสไตล์การแต่งหน้าที่ช่วยเผยเอกลักษณ์และเข้ากับแฟชั่นได้อย่างลงตัว
1.หลังจากลงเมคอัพเบส ใช้แปรงทาแป้งชิมเมอร์ประกายมุกละเอียดให้ทั่วใบหน้า
2.ทาอายแชโดว์มุกสีบลูเกรย์ให้ทั่วเปลือกตา ถ้าต่อลงมาถึงขอบตาล่าง เวลาทาอายแชโดว์สีเข้มต้องใช้แปรงปลายฟองน้ำจึงจะทาแล้วดูคมชัดสะอาดตา
3.ใช้อายแชโดว์สีดีปเกรย์ทำกราเดชั่นใต้เส้นขอบตาสองชั้น หากทาอายแชโดว์มุกแบบทูโทนเวลาที่แสงไฟตกกระทบสีของอายแชโดว์จะเปลี่ยนแปลงไป ดูลึกลับน่าค้นหา
4.ใช้อายไลเนอร์ชนิดลิคขวิดสีดำเขียนขอบตา สีดำเขียนขอบตาโดยเขียนให้เชื่อมกับขอบตาล่างและเขียนให้ดูคม
5.หากทาชิมเมอร์ไลเนอร์ที่ขอบตาล่าง ทุกครั้งที่กระพริบตาจะดูระยิบระยับ ให้ทาอายไลเนอร์ผสมชิมเมอร์ที่ขอบตาบนและล่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะช่วยให้ดูโดดเด่นใต้แสงไฟ
6.ติดขนตาปลอมให้ขนตาดูยาวและหนากว่าปกติ โดยติดเพียงครึ่งไปของความยาวเปลือกตา หรือไม่ก็ตัดขนตาปลอมออกเป็น 2-3 ส่วน และติดเป็นจุดจุดไปจะดูสวยกว่า
7.เฉดดิ้งให้ใบหน้าดูคม 
8.ทาลิปสติกสีนู้ด เพื่อให้เมคอัพดูพอเหมาะกำลังดีไม่มากจนเกินไป

เมคอัพสไตล์มาดแมน ลุยๆ

แต่งรูปแมนๆด้วยสีโมโนโทน หลีกเลี่ยงสีสันให้มากที่สุด และแรเงาบนใบหน้าเล็กน้อย โดยเน้นเฉพาะคิ้ว จะทำให้ดูทันสมัยและเก๋ไก๋ การผสมผสานชั้นเยี่ยมระหว่างสีโทนเย็นและเฉดดิ้งคมๆจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ของสาวทำงานที่เปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
1.ทาคิ้วด้วยอายโบรแชโดว์สีน้ำตาล แล้วใช้ดินสอเขียนคิ้วสีเดียวกันเขียนทับให้ดูเป็นธรรมชาติ
2.ทาอายแชโดว์สีน้ำตาลเบจเนื้อแมตต์ห้ทั่ว จากนั้นทาอายแชโดว์สีเบจอ่อนๆบริเวณใต้โหนกคิ้ว ทำให้ดูสะอาดตา
3.ใช้ดินสอสีน้ำตาลเข้มเขียนขอบตาบนให้ดูเป็นธรรมชาติและเขียนขอบตาล่างให้เชื่อมต่อกัน ทำกราเดชั่นด้วยการทาอายแชโดว์สีน้ำตาลทองแดงบนเส้นอายไลเนอร์บางๆ
4.ปัดมาสคาร่าสีน้ำตาลดำ แล้วใช้นิ้วดัดขนตาให้งอนขึ้น
5.ใช้แป้งเฉดดิ้งสีแซนด์เบจ เน้นโครงหน้าให้คมชัด ปัดแก้มขึ้นไปตามแนวทแยง
6.ทาลิปสติกโทนสีนู้ด พยายามลดสีแดงธรรมชาติของสีริมฝีปากดั้งเดิมให้มากที่สุด หากทาลิปสติกสีนู้ดไม่ผสมมุกจะสร้างจุดเด่นให้คิ้ว และจะทำให้ดูเป็นผู้หญิงชิคๆที่รู้จักสร้างสมดุลบนใบหน้า

เมคอัพกับคืนดินเนอร์สุดหรู

ลุคปาร์ตี้มื้อเย็น มันต้องเผยให้เห็นความระยิบระยับหรูหรามีระดับ จึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคการแต่งหน้าขั้นสูง นอกจากนั้นควรมีทัศนคติเชิงบวกที่เข้ากับการแต่งหน้าและเสื้อผ้าที่สง่างาม

1.ใช้ดินสอเขียนคิ้วเขียนให้บางและประณีต นอกจากจะทำให้ดูฉลาดแล้ว ยังให้ความรู้สึกของเทรนด์เรโทรอีกด้วย
2.ใช้ปลายนิ้วทาครีมแชโดว์มุกสีเทาแล้วแต้มบนเปลือกตาให้ทั่ว
3.ทาอายแชโดว์เพิ่ม ใช้อายแชโดว์แบบผงที่ผสมระหว่างสีเทา สีม่วง และประกายของโอปอจนส่องประกายแปลกตา ทาบางๆที่ขอบตาล่างด้วย   
4.เขียนขอบตาด้วยดินสอสีเทา
5.เน้นดวงตาให้คมชัดด้วยอายไลเนอร์ผสมชิมเมอร์แบบลิควิดสีดำสปาร์เคิล เวลากระพริบตาจะทำให้ดวงตาระยิบระยับ ดูสง่างามและมีเสน่ห์
6.ทำกาเรชั่นโดยทาอายแชโดว์สีเทาเข้มที่บริเวณหางตา ทำให้ดวงตาดูลึก
7.เขียนขอบตาล่างทับแนวขนตาด้วยอายไลเนอร์ดินสอสีเทาประกายมุก ดัดขนตาให้โค้งงอนและปัดมาสคารา
8.ทาบลัชออนสีชมพูกุหลาบบางๆที่สวนแอปเปิ้ล ถ้าไฮไลท์ประกายมุกละเอียดที่โซน T และโซน C
9.ทาลิปกลอสสีชมพูให้ริมฝีปากดูเรียบเนียน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559

แต่งหน้าในวันพิเศษๆ

0
แต่งหน้าในวันพิเศษๆ
การแต่งหน้า เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับผู้หญิงที่ยากจะแยกออกจากันได้ ซึ่งความสวยงามจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีและเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้น
แต่งหน้าในวันพิเศษๆ
การแต่งหน้า เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับผู้หญิงที่ยากจะแยกออกจากันได้ ซึ่งความสวยงามจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีและเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้น

การแต่งหน้า

เทรนด์ การแต่งหน้า เป็นสิ่งที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่ผู้หญิงอย่างเราต้องตามเทรนด์ให้ทัน เพราะผู้หญิงกับความสวยงามเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้จริงๆ ถึงแม้วว่าจะเป็นคนที่ไม่สนใจเครื่องสนใจเครื่องสำอางเลยก็ยังต้องมีอย่างน้อยซักชนิดบนใบหน้า ซึ่งยิ่งเป็นวันพิเศษหรือโอกาสที่ต้องไปพบผู้คนมากหน้าก็ต้องแต่ให้ดูดีและเหมาะสมกับวันสำคัญนั้นๆด้วยนะคะ และจะขอเสนอแนวทางการแต่งหน้าให้ทุกคนไปปรับใช้ตามความต้องการและโอกาสกันค่ะ

การแต่งหน้าในวันพิเศษๆ

สวยใสไม่แย่งซีนเจ้าสาว

งานแต่งของเพื่อนถือเป็นอีเวนต์ที่ต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ภายนอกมากที่สุด แม้ว่าในวันนั้นคู่บ่าวสาวจะเป็นตัวเอกของงานก็ตาม แต่ความสนใจของหนุ่มสาวโสดที่มาร่วมงานนั้นอยู่ที่อื่น บางทีลึกๆในใจเพื่อนเจ้าสาวเองก็อยากได้รับความสนใจมากกว่าตัวเจ้าสาวเสียด้วยซ้ำ ในโอกาสนี้หัวใจอยู่ที่การสร้างโลกซึ่งดูอ่อนโยนและเรียบง่ายแทนสไตล์ที่ดูเยอะจนเกินไป
1. ทาแป้งตลับให้ทั่วใบหน้าจนไม่เหลือบริเวณที่มีความมันวาว
2. แต่งคิ้วให้เรียบร้อย แล้วทาอายแชโดว์โทนสีพาสเทลลงบนเปลือกตาให้ทั่ว ทาทาบริเวณใต้โหนกคิ้วด้วยอายแชโดว์โทนสีสว่างขึ้นมาหน่อยจะทำให้คิ้วดูโดดเด่นสะอาดตา
3. เขียนขอบตาให้ชัดด้วยอายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีเนวีบลู อายไลเนอร์สีนี้ให้ความรู้สึกสว่างสดใสและงดงาม
4. ดัดขนตาให้งอนขึ้นแล้วปัดมาสคาร่าสีดำชนิดที่ช่วยเพิ่มความยาวขนตา
5. ถ้าบลัชออนสีชมพูธรรมชาติประกายมุกบริเวณสวนแอปเปิ้ล
6. ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอแต่งบริเวณรอบรอบริมฝีปากให้ดูสะอาด เหยียดริมฝีปากเพื่อทำรอยหยักรูปหัวใจกลางริมฝีปาก และทาลิปสติกสีชมพู จะช่วยให้ดูสดใส

สวยมั่นในวันที่ต้องดึงดูดความสนใจในที่ประชุม

ผู้นำเสนองานที่ต้องดึงดูดความสนใจผู้ฟังด้วยวาทะศิลป์อันน่าประทับใจ แต่สิ่งที่ต้องใส่ใจมากพอพอๆกับการเตรียมเอกสารนำเสนอคือ การแต่งหน้าที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ด้านสติปัญญาและความมั่นใจของคุณให้ดูโดดเด่นขึ้น การใช้สีโทนกลางๆที่ดูสงบและสบายสบายแทนสีฉูดฉาดนั้นเป็นตัวเลือกที่ดี
1. เขียนคิ้วด้วยสีที่ใกล้เคียงกลับสีผมหรือสีตา หากรูปคิ้วบางหรือดูโย่ๆแค่ทำให้รูปคิ้วตรงหรือเป็นเหลี่ยมมุมก็จะทำให้ดูเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ
2. ทาอายแชโดว์สีเพอร์เพิลบราวน์อ่อนๆ บนเปลือกตาแล้วไฮไลท์บริเวณโหนกคิ้วด้วยสีชมพูซีดประกายมุก
3. ใช้ดินสอ 2 สีเขียนขอบตาให้เป็นเส้นหนา เติมพื้นที่ระหว่างขนตาด้วยดินสอสีดำ แล้วใช้ดินสอสีเทาเขียนทับอีกที การเขียนตาสองสีทำให้ดูเป็นธรรมชาติและประณีตกว่าการเขียนด้วยดินสอชนิดเดียว
4. ใช้อายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีน้ำเงินเข้มวาดเส้นบางๆให้ติดกับแนวขนตา
5. ทาบลัชออนสีน้ำตาลพีช ถ้าปัดไปตามแนวทแยงที่โซนแอปเปิ้ลจะทำให้ภาพลักษณ์ดูสดใสมีชีวิตชีวา
6. ทาลิปสติกสีน้ำตาลพีชประกายมุกละเอียด เพื่อทำให้ริมฝีปากดูสงบเย็นและมีมิติในเวลาเดียวกัน

สวยหวานโรแมนติกในวันออกเดต

ความประทับใจครั้งแรกก็ไม่สำคัญเท่าเวลาไปนัดบอด ว่ากันว่าผู้ชายจะตกหลุมรักผู้หญิงภายใน 3 วินาที มาลองมัดใจฝ่ายตรงข้ามให้อยู่หมัดด้วยสายตาที่อ่อนโยนและการแต่งหน้าสไตล์โรแมนติก จำไว้ว่าภาพลักษณ์ความเป็นผู้หญิงสามารถดึงดูดใจใช้ได้มากกว่าภาพลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่งและปราดเปรียว
1. แต่งตาให้สดใสน่ารักด้วยการทาอายแชโดว์สีลาเวนเดอร์นุ่มนวลอย่างเบาบางทั้งบนและใต้ดวงตา
2. ปัดมาสคาร่าและติดขนตาปลอม เลือกขนตาปลอมที่ยาวกว่าขนตาธรรมชาติเล็กน้อย ตาเท่านั้น ถ้าตัดขนตาปลอมออกเป็น 2 ถึง 3 ส่วนแล้วติดให้แนบกับคนตา หรือไม่ก็ติดบริเวณหางตาเท่านั้น จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติเหมือนคนตาตัวเองจริงๆ
3. ทาอายไลน์เนอร์ชนิดลิควิดผสมชิมเมอร์อย่างบางเบาที่ขอบตาล่าง เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ ทุกครั้งที่กระพริบตาจะดูเป็นประกายมีเสน่ห์ เวลาที่ต้องการให้ดูมีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ให้เลือกอายไลเนอร์ใสไร้สีและมีชิมเมอร์ หลีกเลี่ยงชนิดที่ระยิบระยับมากเกินไป
4. ถ้าบลัชออนสีชมพูบริเวณสวนแอปเปิ้ลเพื่อให้แก้มดูสดใส
5. ไฮไลท์บริเวณโซน T โซน T และโซนสามเหลี่ยมเพื่อให้ภาพรวมดูน่ารัก
6. ทาลิปกลอสสีชมพูอ่อนเพื่อให้ริมฝีปากดูแวววาวและมีน้ำมีนวล

การแต่งหน้า เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับผู้หญิงที่ยากจะแยกออกจากันได้ ซึ่งความสวยงามจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีและเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้น

แต่งหน้าสวยเด่นเมื่อถ่ายรูปติดบัตร

สามารถแก้ไขจุดบกพร่องที่ไม่น่าพึงพอใจได้ด้วยโปรแกรมโฟโต้ช็อปได้ แต่ถ้าถ่ายรูปโดยไม่แต่งหน้าเลยแม้แต่น้อย ก็รับประกันไม่ได้ว่ารูปที่ออกมาจะน่าพึงพอใจหรือเปล่า โดยเฉพาะรูปถ่ายที่ใช้ติดใบสมัครงานต้องใส่ใจภาพลักษณ์ที่ออกมาเป็นพิเศษ ยิ่งการถ่ายรูปทำให้เห็นข้อบกพร่องของโครงหน้าหรือใบหน้าที่ไม่สมมาตรเด่นขึ้นมามากเท่าไหร่ การแต่งหน้าเพื่อปกปิดจุดบกพร่องให้มากที่สุดและทำให้ตาหูจมูกปากดูโดดเด่นขึ้นก็ยิ่งสำคัญมากเท่านั้น

1. แต่งตาให้คมด้วยอายไลเนอร์แบบแปรงสีดำ สิ่งสำคัญคือการวาดคิ้วทั้งสองข้างให้เท่ากัน
2. ทาโน้ตแชโดว์โทนสีเบจบริเวณหัวตาและดั้งจมูกเพื่อช่วยให้ดั้งจมูกดูโด่ง
3. ใช้แป้งคอนทัวร์จัดการกับหน้าผากและแนวผม
4. ใช้แปรงเฉดดิ้งบริเวณโหนกแก้มและคาง ลองทำหน้ารูปตัววีแบบคมๆ
5. ทาบลัชออนสีชมพูที่แก้มให้ดูมีชีวิตชีวา
6. ไฮไลท์บริเวณโซน T และใต้ดวงตา เพื่อทำให้ใบหน้าดูสว่างสดใสและดูมีมิติอย่างเป็นธรรมชาติ
7. ถ้าลิปสติกสีพีชโทนเย็นให้ริมฝีปากชุ่มชื้นและเรียบเนียน

สวยใสๆแบบธรรมชาติในวันสำเร็จการศึกษา

วันรับปริญญา ถือเป็นหนึ่งวันสำคัญที่สาวๆ ขอสวยมั่นใจให้ถึงที่สุด เป๊ะทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ซึ่งโอกาสสำคัญแบบนี้ก็ต้องมีการถ่ายภาพความทรงจำเก็บไว้
1. ลงครีมแดดเลือกที่ SPFสูงกว่า35pa+++ จากนั้นใช้เป็นไพร์เมอร์ ซึ่งมีส่วนช่วยเบลอรูขุมขนและทำให้เมคอัพติดทนยาวนานกว่าเดิม
2. ลงรองพื้นโดยเลือกสีที่ตรงกับสีผิวซึ่งถ้าเป็นคนที่หน้าขาวกว่าคอ ให้เลือกเบอร์ที่เข้มกว่าผิวหน้า1ระดับ เพื่อให้เสมอกับผิวตัว
3. ใช้คอนซิลเลอร์สีสว่างกว่าผิว1ระดับ ปกปิดรอยดำ รอยสิว รอยแดง หรือรอยคล้ำใต้ตา
4. เก็บกรอบหน้าด้วยการคอนทัวร์เนื้อครีมให้ทั่วกรอบหน้า และปีกจมูก เพื่อให้ดูมีดั้งพุ่ง
5. เพื่อความติดทนนานของสีแก้มจะใช้เป็นครีมบลัชในการทาไปที่พวงแก้ม ซึ่งให้เลือกใช้โทนสีที่ดูสุภาพ เช่นสีส้มนม
6. ทาทับด้วยแป้งพัฟผสมรองพื้น เพื่อให้เมคอัพติดแน่น
7. คอนทัวกรอบหน้าและปีกจมูกด้วยบรอนเซอร์แบบฝุ่น ซึ่งให้เลือกใช้ที่เป็นเนื้อแมท เพื่อความสุภาพ
8. เขียนคิ้วด้วยผลิตภัณฑ์เขียนคื้วแบบเจลเพื่อความติดทนนาน ข้อควรระวังคือ พยายามอย่าเขียนทรงคิ้วหนา ทู่ ตรง หรือโก่งจนเกินไป และอย่าเขียนคิ้วสีน้ำตาลอ่อน
9. แต่งตาด้วยการลงไพร์เมอร์ตา หรือใช้เป็นอายแชร์โดวเนื้อลิควิดแบบมีสี เพื่อให้สีอายแชร์โดวแบบฝุ่นติดทนนานและสีชัดสวยขึ้น

10. โทนการแต่งตา พยายามเลือกโทนสีน้ำตาล หรือทอง เพราะเป็นโทนสีที่สุภาพ และคัดเบ้าด้วยสีน้ำตาลเข้ม
11. เพิ่มความโดดเด่นของดวงตาด้วยอายแชร์โดวสีทองเนื้อชิมเมอร์ละเอียด ทาลงบริเวณกลางตา เพื่อเชื่อมต่อสีของเบสเปลือกตาและที่คัดเบ้าตา
12. เกลี่ยสีให้สวยงามด้วยแปรงสะอาดๆ เพื่อให้สีกลืนกัน และปัดมาสคาร่าเพิ่มความหนา ที่สำคัญพยายามเลือกแบบกันน้ำ
13. กรีดไลนเนอร์เส้นบางๆตามรูปตา
14. ล๊อคสีแก้มที่ลงด้วยครีมบลัชให้ติดทนนานด้วยการลงที่ปัดแก้มแบบฝุ่นทับซึ่งแนะนำให้เลือกโทนสีส้ม หรือพีช เพื่อให้ลุคดูสุภาพ
15. สีปากให้ลงTint ก่อน และตามด้วยลิปสติคสีนู้ดชมพู

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.

แต่งตาอย่างไรให้ดูสวยดึงดูดใจ

0
แต่งตาอย่างไรให้ดูสวยดึงดูดใจ
ดวงตา คือสื่อที่แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆกับผู้ที่สบตาด้วยได้ ซึ่งถ้าดวงตาสวยก็จะทำให้ยิ่งน่าดึงดูดใจ
แต่งตาอย่างไรให้ดูสวยดึงดูดใจ
ดวงตา คือสื่อที่แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆกับผู้ที่สบตาด้วยได้ ซึ่งถ้าดวงตาสวยก็จะทำให้ยิ่งน่าดึงดูดใจ

ดวงตา

ดวงตา คือสื่อที่แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ซึ่งถ้าดวงตาสวยและดูเด่นก็จะสามารถทำให้ผู้ที่สบตารับรู้ความรูสึกได้ การเปลี่ยนสีสันหรือสไตล์การเขียนขอบตาก็สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของคุณได้ หากมองให้ลึกลงไปถึงลักษณะของดวงตา และเลือกที่จะทำอายเมคอัพเพื่อสร้างความแตกต่างให้ดวงตาแล้ว ความมั่นใจก็จะเกิดขึ้น มุมมองจะเปลี่ยนแปลงไป แม้กระทั่งรูปร่างของคุณก็จะดูแตกต่างออกไปด้วย ยิ่งเป็นคนที่ดวงตาแบนและไร้มิติมากเท่าไร ประสิทธิภาพของอายเมคอัพก็จะน่าทึ่งมากขึ้นเท่านั้น แค่มีอายแชโดว์และอายไลเนอร์เพียงไม่กี่ชิ้น กับมาสคารา ก็สามารถเผยเสน่ห์ในแบบที่ตัวคุณเองไม่เคยรู้มาก่อน

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สิ่งสำคัญที่ต้องมีสำหรับอายเมคอัพ

มาสคาราคิ้ว
ทำให้ขนคิ้วเรียงตัวสวย ดูหนาและช่วยรักษารูปคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ สำหรับคนที่คิ้วหนาอยู่แล้วแค่มีมาสคาร่าปัดคิ้วก็ทำให้คิ้วดูสวยงามเป็นระเบียบได้

อายโบรว์แชโดว์
( ที่เขียนคิ้วชนิดฝุ่น) และ แปรง เป็นแชโดว์ที่ใช้สำหรับคิ้วโดยเฉพาะ อายโบรว์แชโดว์ช่วยแต่งคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติได้มากกว่าดินสอเขียนคิ้ว ดังนั้นเวลาทาอายโบรว์แชโดว์จำเป็นต้องใช้แปรงขนหนาและสั้น

    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กรรไกรแต่งคิ้ว
เพื่อตัดแต่งคิ้วให้ดูสวยเป็นทรง ควรใช้กรรไกรที่ไม่บางเกินไปหรือมีปลายแหลมคม ควรใช้กรรไกรที่ไม่โค้งและแบนเรียบสม่ำเสมอ

ที่ดัดขนตา
ใช้ดัดขนตาให้โค้งงอนเข้ากับลักษณะของดวงตาโดยไม่ใช้ขนตาปลอม และไม่ทำให้ดวงตาระคายเคือง สำหรับคนดวงตาโปนมักจะใช้ที่ดัดขนตาแบบโค้งใหญ่ สำหรับดวงตาสั้นหรือชี้ขึ้น (หรือชี้ลง) ให้ใช้ที่ดัดขนตาอันเล็กดัดขนตาเป็นส่วนๆไป

มีดกันคิ้ว
เป็นใบมีดโกนที่ใช้สำหรับแต่งคิ้วโดยเฉพาะ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยที่สุดโดยไม่ทำให้ผิวหนังบาดเจ็บหรือระคายเคือง

ที่แปรงคิ้วและแปรงหัวเกลียว
ขนที่แปรงคิ้วจะสั้นและแข็งและเอียง ไว้ใช้สร้างมิติให้กับคิ้ว วัสดุที่ใช้จะเป็นขนสังเคราะห์และขนธรรมชาติ เพื่อตกแต่งคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ และใช้แปรงหัวเกลียวจัดแต่ทรงให้เข้ารูป

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดินสอเขียนคิ้ว
ควรลงดินสอบริเวณกรอบคิ้วก่อนแล้วจึงใช้แปรงปัดให้เนื้อของดินสอกระจายออกทั่วคิ้วจะทำให้คิ้วดูเป็นธรรมชาติและไม่แข็งทื่อ ที่สำคัญควรเลือกสีให้เข้ากับสีผมของตัวเอง ข้อดีคือติดทนนาน เหมาะสำหรับเวลาที่ต้องแต่งหน้าเพิ่มเติมหรือบริเวณที่คิ้วมีช่องว่าง

อายแชโดว์
เครื่องสำอางค์ที่ใช้ปัดทาบนเปลือกตาใต้คิ้ว เพื่อให้เกิดมิติความลึกของตาให้ดูเด่นและมีเสน่ห์

อายไลเนอร์ชนิดเจล/ลิควิด
หากต้องการเน้นเส้นอายไลเนอร์ให้เขียนแบบเจล ใช้ง่ายและไม่เลอะ แต่ถ้าอยากได้เส้นอายไลเนอร์ที่บางและดูเป็นธรรมชาติให้เลือกแบบลิควิด

อายเบส
เป็นเบสแชโดว์สีสว่างที่ช่วยให้อายแชโดว์มีเนื้อสีแน่นและติดทนนาน จำเป็นสำหรับคนที่รอบดวงตาดำคล้ำ ควรเลือกสีที่สว่างกว่าสีผิวเพียงเล็กน้อยจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด หากมีดวงตาที่ดูบวมให้เลือกสีที่ใกล้เคียงกับโทนสีผิว

มาสคาราขนตา
ปัดแล้วทำให้ขนตาดูหนา และในบางครั้งก็ทำให้ขนตางอนยาวด้วย ลองเลือกใช้แปรงและมาสคาร่าชนิดต่างๆตามความยาวและความหนาของขนตา

อายไลเนอร์ชนิดดินสอ
เป็นเครื่องสำอางที่ใช้สำหรับเน้นดวงตา จะใช้เขียนบริเวณรอบรูปทรงของตาเพื่อสร้างความหลากหลายในมุมมองของดวงตาที่จะทำให้ดูโตขึ้น

สิ่งต้องทำในการเมคอัพ

1. กันคิ้วและเขียนคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ
ก่อนกันคิ้วให้สังเกตใบหน้าตัวเองอย่างละเอียด และลองดูให้ดีๆว่ารูปคิ้วแบบใดที่เข้ากับรูปหน้า เหมาะสมกลมกลืนกับหูตาจมูกปากของตัวเองที่สุด จัดการส่วนที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อรักษาลักษณะเฉพาะและความงามของรูปคิ้วดั้งเดิมของตัวเองไว้

1.1 คิ้วเปลี่ยน ภาพลักษณ์ก็เปลี่ยนตาม
พอรูปคิ้วเปลี่ยนก็เปลี่ยนอารมณ์สี่แสดงของใบหน้าไปด้วย การปรับแต่งรูปคิ้วเป็นหลักการแต่งหน้าที่สำคัญซึ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์บนใบหน้า

ใบหน้ากลม
เขียนคิ้วให้ยาวและโค้งสูงเล็กน้อย แล้วเติมคิ้วให้เข้มและกว้างพอประมาณ ถ้าไฮไลท์บริเวณโหนกคิ้วใต้ส่วนโค้งนั้นให้ดูสว่างขึ้น ช่วยให้ละสายตาจากโหนกแก้มใหญ่ๆได้

ใบหน้ายาว/ใบหน้าสามเหลี่ยม
เขียนคิ้วให้โค้งเล็กน้อยจนเกือบเป็นแนวเส้นตรงและเขียนให้หนาหน่อย หากเพิ่มระยะห่างระหว่างคิ้วทั้งสองข้างขึ้น ใบหน้ายาวๆจะดูสบายๆผ่อนคลายขึ้น

ใบหน้ารูปไข่
เขียนคิ้วให้เฉียงขึ้นเล็กน้อย ให้ตำแหน่งหัวคิ้วเริ่มจากหัวตาโดยให้เลยเข้ามาข้างหน้าเล็กน้อย ห่างคิ้วให้อยู่ที่จุดเชื่อมห่างตาและจมูก

ใบหน้าที่หางคิ้วชี้ขึ้น
ตกแต่งบริเวณส่วนโค้งของแนวคิ้วให้โค้งเป็นวงกลม

ใบหน้าที่หางคิ้วตก
ตกแต่งบริเวณหางคิ้วที่ตกลงมามากเกินไป แล้วเขียนหางคิ้วให้ชี้ขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1.2 กันคิ้วครั้งแรกในชีวิต
ถ้าหากไม่มั่นใจในการกันคิ้วครั้งแรก ให้ช่างช่วยกันคิ้วให้สมัยนี้มีร้านกันคิ้วที่ช่วยจัดคิ้วอย่างมืออาชีพ หากมีคิ้วที่ได้รูปสวยแล้ว การรักษารูปคิ้วนั้นก็ไม่ยากอะไร ให้ใช้อายโบรว์แชโดว์เขียนคิ้วให้ดูคมชัด

  • ทาสกินโทนเนอร์บริเวณผิวรอบรอบๆคิ้ว
  • สังเกตใบหน้าและรูปคิ้วของตนเองให้ดี ก่อนจะตัดสินใจว่าจะแต่งคิ้วทรงไหน
  • ใช้หวีสำหรับคิ้วหวีไปทิศทางที่ขนคิ้วงอกขึ้น บริเวณหัวคิ้วให้หวีจากล่างขึ้นบน จากตรงกลางจนถึงหางคิ้วให้หวีไปข้างๆให้เป็นระเบียบ ใช้กรรไกรเล็มขนคิ้วยาวยาวๆที่โผล่ออกมานอกหวีออก
  • ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอเขียนโครงรูปคิ้วที่ต้องการ หากใช้คอนซิลเลอร์ชนิดนี้เขียนรูปคิ้ว จะลบออกหรือเขียนใหม่ก็ทำได้ง่ายดาย
  • ใช้มีดกันคิ้วกันขนที่อยู่นอกเส้นคอนซีลเลอร์ออก กันไปตามทิศทางของขนคิ้ว
  • ฉีดมิสต์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

เหตุผล 3 ประการที่ไม่ควรใช้แหนบถอนคิ้ว

1.หากใช้แหนบเป็นระยะเวลานานจะทำให้ผิวหนังเสียความยืดหยุ่นได้ การใช้ในระยะสั้นอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่หากผิวหนังเสียความยืดหยุ่นแล้วจะไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ผิวกลับมามีสภาพอย่างเดิมได้อีก

2.บริเวณกลางหน้าผากของคุณจะเกิดริ้วรอยลึกตอนที่ทนความเจ็บปวดเวลาถอนโดยที่ไม่รู้ตัว

3.บางครั้งอาจเกิดบาดแผลหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้เวลาที่ขนคิ้วขึ้นมาใหม่ แนวขนคิ้วจะหงิกงอและเว้าแหว่งได้ง่าย

การเขียนคิ้วให้มีมิติ

1.ตกแต่งรูปคิ้ว
หวีขนคิ้วตามแนวเส้นขน แล้วใช้กรรไกรแต่งคิ้วเร็มเส้นขนที่อยู่นอกเส้นที่วาดไว้

2.ใช้อายโบรว์แชโดว์เขียนคิ้วโค้ง
ใช้แปรงขนสั้นแบนทาอายโบรว์แชโดว์ โดยเริ่มจากบริเวณที่มีเส้นขนขึ้นน้อยๆก่อน    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3.เติมช่องว่างในแนวคิ้วให้เต็ม
ใช้ดินสอเขียนคิ้วเขียนเติมบริเวณที่โล่งๆเป็นพิเศษ ด้วยเวลาเขียนให้แต้มเป็นจุดๆ

4.จัดระเบียบแนวขนคิ้ว
ใช้มาสคาราคิ้วแปรงไปตามทิศทางที่ขนคิ้วขึ้น จะทำให้คิ้วดูมีมิติขึ้น

2. เคล็ดลับในการเปลี่ยนลุคด้วยอายแชโดว์
ลองเปลี่ยนสีอายแชโดว์ไปตามสไตล์ในแต่ละวันเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า อายแชโดว์มีหลายแบบมากพอๆกับเสื้อผ้าเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นอายแชโดว์แบบสปาร์คลิ่ง แบบคลาสสิค หรือแบบเนื้อครีม อีกทั้งยังมีหลากหลายสีจนคิดไม่ถึง

อายเบสแต่งรูปตาให้ดูเด่นชัด
การลงอายเบสเหมือนกับการลงเมคอัพก่อนลงรองพื้น อายเบสจะช่วยให้สีของอายแชโดว์ไม่ผิดเพี้ยนไปจากสีจริง โดยเฉพาะคนที่มีดวงตาหมองคล้ำหรือกำลังอยู่ในช่วงมีประจำเดือนซึ่งทำให้เห็นรอยคล้ำใต้ตาชัดกว่าปกติ หากไม่มีอายเบสอาจจะใช้อายแชโดว์สีพาสเทลแบบไม่ผสมมุก หรืออาจใช้คอนซีลเลอร์แบบลิควิดโทนสีเหลืองแทน สิ่งที่ควรระวังคือหากเลือกสีอายเบสที่มีโทนสีต่างกับอายแชโดว์อาจทำให้ดูสกปรกได้ และหากเป็นไปได้ควรเลือกสีอายเบสแบบครีม เพราะจะช่วยให้อายแชโดว์ติดทนนานมากขึ้น ซึ่งเริ่มทาอายแชโดว์จากแนวขนตาและค่อยๆเกลี่ยเข้าด้านบนเหมือนวาดรูปพระจันทร์เสี้ยว ค่อยๆเกลี่ยอายแชโดว์อย่างเบามือจนเรียบเสมอเท่ากัน
กรณีคนที่ตาหลบใน พื้นที่ระหว่างคิ้วกับดวงตาแคบ ควรเลือกใช้เบสผสมมุก ให้ทาเพียงบริเวณเบ้าตา
กรณีคนที่มีตาโปน พื้นที่ระหว่างคิ้วกับดวงตากว้าง ควรเลือกใช้เบสที่ไม่มีมันวาว และทาอายเบสลงบนเปลือกตาจนถึงบริเวณโหนกคิ้ว

การทาอายแชโดว์ให้มีมิติ

ส่วนใหญ่แล้วค่อนเอเชียมีตาสองชั้น ดังนั้นการเพิ่มมิติให้ดวงตาจะทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้น

  • ทาครีมที่สีสว่างและมีโทนสีเดียวกับอายแชโดว์ลงเป็นอายเบสให้ทั่วบริเวณเปลือกตา
  • ทาอายแชโดว์ลงบนเปลือกตาโดยเริ่มจากบริเวณแนวขนตาและค่อยๆเกลี่ยขึ้นไปช้าๆให้เป็นวงกลม
  • ลงอายแชโดว์สีสว่างบริเวณ คิ้วและหัวตา
  • ทาอายแชโดว์สีเข้มบริเวณ ⅓ ของหางตา หากทาอายแชโดว์ในแนวทแยงขึ้นไปจะทำให้ดูเป็นก้อนบริเวณโหนกคิ้วได้ จึงควรทาอายแชโดว์บริเวณหางตาโดยเขียนวนเป็นวงกลม    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3. การเลือกสีอายแชโดว์สำหรับมือใหม่
การเลือกสีอายแชโดว์นั้นเป็นเรื่องยากเสมอ กฏข้อแรกคือห้ามยึดติดกับสีดำเดิมๆ ต้องการที่จะเปิดใจลองอะไรใหม่ๆเพื่อเปลี่ยนสไตล์ของคุณ สำหรับมือใหม่ควรเริ่มต้นจากการเลือกสีที่เข้ากับสีผิวหน้าของตนเองและทำความคุ้นเคยกับสไตล์ใหม่ๆ

สีผิว

1. ผิวแดง/ผิวที่มีสิว
ควรเลือกใช้สีเทาเข้ม สีอะควาบลู สีมิ้นต์ สีลาเวนเดอร์ หรือสีโทนสดใส ถึงแม้ว่าสีผิวจะแดงก็ควรเลือกอายแชโดว์สีโทนเย็น

2. ผิวคล้ำ
ควรเน้นสีที่มีความแวววาว ไม่ว่าจะเป็นโทนสีลาเวนเดอร์หรือสีชมพู โทนสีสำหรับหน้าร้อนที่ชวนให้นึกถึงการอาบแดดอย่างสีพีช สีโกลเด้นเพิร์ล หรือสีบรอนซ์ทอง

3. ผิวขาว
ควรเลือกใช้โทนสีร้อนเพื่อเพิ่มสีสันให้ใบหน้า สีพีชอ่อน สีชมพู สีน้ำตาล หรือสีเบจ

การแต่งหน้าให้เข้ากับแว่น ก่อนเลือกกรอบแว่นต้องสังเกตตัวเองก่อนว่ามีรูปคิ้วลักษณะใด หากเป็นคนที่มีคิ้วเข้มและหนาควรหลีกเลี่ยงแว่นตากรอบหนา ในทางตรงกันข้าม หากโดยรวมแล้วไม่มีส่วนไหนที่ดูโดดเด่นควรเลือกกรอบแว่นที่ดูโดดเด่นแทน

ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นกรอบแว่นแบบไหนก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้อายแชโดว์สีสว่างสดใส สำหรับสาวแว่นนั้น แค่เพียงกรีดอายไลเนอร์ให้เสียบคอมแล้วปัดมาสคารา แต่ถ้าอยากทาอายแชโดว์ อย่าลืมดูว่ากรอบแว่นกับสีอายแชโดว์เข้ากันหรือเปล่า โดยปกติแล้วควรเลือกโทนสีธรรมชาติเท่านั้น

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สีผม
การเปลี่ยนสีผมช่วยเปลี่ยนลุคได้มากและเป็นการหาสไตล์ใหม่ๆให้ตัวเอง สีที่ไม่เคยใช้ก่อนหน้านี้อาจเป็นสีที่เข้ากับเราได้ แม้กระทั่งอายไลเนอร์ที่ไม่เคยใช้มาก่อนก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ลองเปลี่ยนสีผมและอายเมคอัพดู

  • ผมสีดำ
    หากคนผิวขาวย้อมผมสีดำจะทำให้ความรู้สึกเฉียบคมและดูถือตัว หากผมตรงและยาวไม่ว่าจะทาอายแชโดว์สีอะไรก็เข้ากันได้หมด แต่ด้วยสีผมที่เข้มอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้อายแชโดว์หลายสี เพียงแค่ทาอายแชโดว์สีเทาเป็นอายเบสแล้วเขียนอายไลเนอร์ และไม่ว่าจะเป็นอายไลเนอร์สีเทาเข้มหรือโทนสีดำโมโนโทนเพียงแมตซ์ สีอายไลเนอร์ให้เข้ากับสีคิ้วก็จะดูสวยแจ่มได้ นอกจากนั้นลิปสติกสีแดงยังเหมาะกับคนที่มีผมดำยาวตรงเป็นอย่างมาก
  • ผมสีน้ำตาลแดง
    หากคุณเป็นคนที่มีลักษณะแข็งกร้าวหรือมีสีผิวที่ค่อนข้างคล้ำเมื่อย้อมผมสีน้ำตาลประกายแดง และทำผมบ๊อบดัดหรือดัดผมซอย จะทำให้ดูเป็นคนกระตือรือร้นขึ้นมา ผมสีนี้เข้ากันได้ดีกับเมคอัพแบบธรรมชาติ และเพิ่มลูกเล่นด้วยอายแชโดว์ผสมมุก
  • ผมสีส้มทองแดง
    ผมสีนี้ช่วยให้มีภาพลักษณ์ที่ดูสดชื่นและกระตือรือร้น อีกทั้งยังเหมาะกับเสื้อผ้าสีสันสดใส ผิวสีแทน และเมคอัพสีสว่างสดใส การใช้อายแชโดว์โทนสีน้ำตาลประกายส้มรวมทั้งการกันคิ้วให้เข้ารูปจะช่วยเพิ่มดีกรีความชิคขึ้นไปอีก สีอายแชโดว์ที่เข้ากับผมสีส้มทองคือ สีนูทรัลพีช สีส้ม สีทองอ่อนๆ และสีบรอนซ์ ส่วนสีที่จะช่วยให้ดวงตาคุณสว่างสดใสคือโทนสีมิ้นและสีไอซี่บลู
  • ผมสีน้ําตาลธรรมชาติ
    เป็นสีผมยอดนิยมสำหรับคนส่วนใหญ่ การทาอายแชโดว์สีเบจหรือสีเทาอ่อนบริเวณหางตาและเขียนอายไลเนอร์สีน้ำเงินจะให้ความรู้สึกเป็นเด็กสาว ผมสีนี้เข้าได้กับอายแชโดว์หลายโทนสีที่มีประกายทอง
  • ผมสีน้ำตาลทอง
    ผมสีนี้ให้ความรู้สึกของสาวเมืองหลวงที่มีความทันสมัย ใช้อายแชโดว์สีโกลด์เมทัล หรือแต่งแบบสโมกกี้อายเพื่อเพิ่มความโดดเด่น เนื่องจากสีผมนั้นอ่อนอยู่แล้ว ดังนั้นการลงสีบริเวณดวงตาให้เด่นชัดจึงไม่มีปัญหาอะไร หากดัดผมเป็นลอนจะช่วยเพิ่มความสง่างามได้

4.เขียนอายไลเนอร์ให้คม
อายไลเนอร์นั้นมีหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นชนิดลิควิด ชนิดแปรง อายไลเนอร์เนื้อแป้งที่ต้องใช้แปรงทา อายไลเนอร์ชนิดดินสอ และเจลอายไลเนอร์

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • อายไลเนอร์ชนิดลิควิด
    เขียนให้เส้นบางและคมชัดได้ รวมทั้งเขียนตา 2 ชั้นบางๆที่หลบเข้าด้านในได้โดยไม่ไหลเลอะ จึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับมือใหม่จำเป็นต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับอายไลเนอร์ชนิดนี้ หากใช้อายไลน์เนอร์ชนิดดินสอเขียนโครงก่อนแล้วค่อยใช้ชนิดลิควิดเขียนตาม จะช่วยลดความผิดพลาดได้
  • อายไลเนอร์ชนิดดินสอ
    เป็นอายไลเนอร์ที่ใช้ง่ายสำหรับมือใหม่ ถึงจะบอกว่าเลอะง่าย แต่สมัยนี้ก็มีอายไลเนอร์ชนิดดินสอแบบกันน้ำออกวางขายมากมาย หากทาอายแชโดว์ทับจะช่วยป้องกันไม่ให้อายไลเนอร์เลอะได้ในระดับหนึ่ง
  • อายไลเนอร์เนื้อเจล/ครีม
    เป็นอายไลเนอร์ที่เลอะยากและสามารถปรับความหนาของเส้นได้ ต้องใช้แปรงชนิดพิเศษเขียนจึงค่อนข้างยุ่งยาก ถึงแม้จะไม่มีตาสองชั้นหรือไม่ได้ทาอายแชโดว์ แต่หากเน้นดวงตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดนี้แล้ว สามารถออกแบบดวงตาได้ตามที่ต้องการ
  • อายไลเนอร์ชนิดแปรง
    ผสมสารสีดำเนื้อจึงไม่ค่อยเหนียว มีคุณสมบัติที่ทาได้บางและเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ดวงตาดูคมชัด
  • อายไลเนอร์ชนิดแป้ง
    สามารถใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำแทนได้ อายไลเนอร์ชนิดนี้เหมาะกับการเขียนเส้นให้ดูเป็นธรรมชาติ และใช้กับการแต่งหน้าแบบสโมกกี้อายที่ต้องเขียนเส้นให้ดูฟุ้งนิดหน่อย
  • อายไลเนอร์แบบดินสอชนิดทูโทน
    สีดำ+สีน้ำตาล, สีดำ+สีม่วง หรือสีดำ+สีน้ำเงิน การใช้อายไลเนอร์สีดำร่วมกับสีอื่นจะได้สีที่ดูเป็นธรรมชาติ จุดสำคัญคือ ต้องวาดเส้นสีดำให้ชิดกับแนวขนตา และเขียนสีอื่นบนแนวอายไลเนอร์สีดำเพื่อไล่สี ก่อนจะเกลี่ยให้เข้ากัน การรวมสองสีเข้าด้วยกันแบบนี้ทำให้ตาดูโต และเป็นธรรมชาติกว่าการวาดอายไลเนอร์สีดำบางๆเพียงเส้นเดียว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การเขียนอายไลเนอร์

1. ทาอายแชโดว์

2. ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอเขียนขอบตา
ใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอเขียนขอบตาตามที่ต้องการ โดยเขียนให้ชิดกับแนวขนตามากที่สุด

3. เติมอายไลเนอร์ด้านในเปลือกตา
เติมอายไลเนอร์บริเวณขนตากับเปลือกตาด้านในอย่าให้เห็นช่องว่าง

4. ทาอายไลน์เนอร์ชนิดลิควิดทับ
กรณีของคนที่มีตาสองชั้นหรือมีเนื้อเปลือกตาเยอะ
อายไลเนอร์อาจไหลเยิ้มลงมาได้ง่าย หากเขียนอายไลเนอร์ชนิดลิควิดหรือเจลทับลงบนอายไลเนอร์ชนิดดินสอ จะช่วยให้อายไลเนอร์ติดทนนานขึ้น ซึ่งในขั้นตอนนี้ควรวาดอายไลเนอร์ให้ชิดกับเส้นขนตาให้มากที่สุด

5. ทาแป้งบริเวณใต้ตา
ใช้แปรงแตะแป้งแล้วกดเบาๆบริเวณใต้ตาและรอบดวงตา จะช่วยให้อายไลเนอร์ไม่ไหลเยิ้มลงมาติดบริเวณใต้ตา

การเขียนอายไลเนอร์ที่เหมาะสำหรับตัวเอง

ดวงตาทั้งสองข้างห่างกัน
ให้เริ่มเขียนอายไลเนอร์แบบดินสอหรือแบบเจลจากบริเวณที่ห่างจากหัวตาออกไปประมาณ 1 มิลลิเมตรจะช่วยให้ช่องว่าระหว่างดวงตาทั้งสองข้างดูแคบลง

ดวงตาโปน
หลังจากเขียนอายไลเนอร์สีดำหรือสีเข้มเข้มแล้วให้ใช้อายแชโดว์โทนสีเดียวกับสีอายไลเนอร์ทาทับ และถ้าเขียนอายไลเนอร์ที่ขอบตาบนและล่างให้เชื่อมต่อกันจะทำให้ดวงตาดูมีมิติมาก

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ดวงตาที่หางตาชี้
บริเวณหางตาที่ลากเป็นเส้นตรงในระดับเดียวกับดวงตา จากนั้นเขียนอายไลเนอร์ที่ขอบตาล่าง บริเวณด้านบนของเส้นอายไลเนอร์จะเกิดส่วนที่เป็นรูปสามเหลี่ยม ในส่วนนี้ให้ใช้อายแชโดว์ เบลนด์ให้เต็ม

หากดวงตาทั้งสองข้างอยู่ไม่ห่างกันมากนัก
อยากเขียนอายไลเนอร์ที่ขอบตาล่างทั้งหมด แต่เขียนแค่ ⅓ เท่านั้น และไม่ต้องวาดหางตาออกไป เขียนให้เส้นขอบตาล่างและขอบตาบนเชื่อมต่อกัน

ดวงตาที่หางตาคล้ำหรือตาชั้นเดียว
ให้ทาอายแชโดว์มุกสีเรียบเรียบๆลงบนเปลือกตา แล้วค่อยเขียนอายไลเนอร์ที่ขอบตาบนให้หนา ส่วนขอบตาล่างนั้นใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีขาว เขียนทับไม่ให้เห็นสีผิว จะทำให้ดวงตาดูสดใสมากขึ้น

เติมสีสันให้ขอบตาล่าง
การเขียนขอบตาล่างด้วยสีสันต่างๆนั้นจะให้ความรู้สึกแบบใหม่ และในขณะเดียวกันก็ทำให้ดูเหมือนกำลังใส่คอนแทคเลนส์สีอยู่ สำหรับดวงตาที่เห็นเส้นเลือดในตาชัดให้เขียนขอบตาล่างด้วยสีน้ำเงินหรือม่วงจะช่วยให้ดวงตาดูสว่างสดใสขึ้น

5.ขนตางอนสวยด้วยมาสคารา
มาคารา คือ อาวุธลับของหญิงสาวที่ทำให้ขนตาที่ยาวเรียงสวยเป็นแพหนา ช่วยให้ดวงตาเด่นชัดมากขึ้นและทำให้บรรยากาศรอบข้างชวนหลงใหล โดยเฉพาะสาวตะวันออกนั้นมีขนตาที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง มาสคาราจะช่วยให้ขนตาโค้งงอนและดวงตาดูโดดเด่นมากขึ้น

การเลือกใช้มาสคารา

  • Lash Defining Mascara
    มาสคาราประเภทนี้จะเป็นแบบครบสูตร เหมาะสำหรับคนที่อยากให้คนตาทั้งยาวและหนา (ส่วนมากจะเป็นแบบชนิดกันน้ำ)         [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
  • Long Lash Mascara
    มาสคาร่าประเภทนี้จะช่วยเพิ่มความยาวของขนตา หากเป็นคนที่ขนตาหนาแต่ขนตาสั้น จะช่วยทำให้ขนตาดูยาวขึ้นและตาโตขึ้นได้ (ควรปัด 2 รอบ และหากจะปัดรอบ 3 ให้ปัดเฉพาะปลายขนตาเท่านั้น)
  • Non Clumping Mascara
    มาสคาร่าประเภทนี้ขนตาจะไม่จับเป็นก้อน ไม่เป็นขาแมงมุม ขนตาดูเป็นธรรมชาติ
  • Volum Mascara
    มาสคาร่าประเภทนี้เหมาะสำหรับคนที่มีขนตายาวแต่ไม่หนา มาสคาราประเภทนี้จะช่วยเพิ่มความหนาให้ขนตา ถึงแม้จะไม่ได้เขียนอายไลเนอร์ แต่แค่ปัดมาสคาราชนิดนี้ก็จะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้นได้
  • Curling Mascara
    มาสคาร่าประเภทนี้เหมาะสำหรับขนตาที่ไม่โค้งงอนหรือขนตาตก มาสคาราประเภทนี้จะช่วยให้ขนตาโค้งงอนและอยู่ได้นาน

การปัดมาสคาราอย่างมือโปร

  • ดัดขนตา3 จังหวะ โดยให้ทิศทางของที่ดัดขนตาเอียงลง 45 องศา
  • ปัดมาสคาราโดยเริ่มจากโคนขนตา ปัดไปในทิศทางแนวนอน
  • ปัดมาสคาราอีกรอบ ครั้งนี้ปัดจากล่างขึ้นบนตั้งแต่โคนขนตา ควรปัดมาสคาราให้เท่ากันทุกเส้น การปัดมาสคาร่าจากคนขนตาจะช่วยทำให้ขนตาดูแข็งแรง หากต้องการเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษให้ปัดมาสคาราเพิ่มขึ้น เช่น ถ้าอยากให้ดวงตาดูเรียวยาวให้ปั่นบริเวณหางตาเพิ่ม ถ้าอยากให้ดวงตาดูกลมให้ปัดตรงกลางตาเพิ่ม
  • ใช้ส่วนปลายของแปรงปัดมาสคาราปัดขนตาล่างโดยตั้งแปลงขึ้น
  • เมื่อมาสคาร่าแห้งแล้ว ให้ใช้นิ้วชี้กดให้เส้นขนตาโค้งงอน วิธีนี้ช่วยให้ขนตางอนสวยและป้องกันไม่ให้มาสคาร่าไหลเยิ้มลงมา แม้จะโดนน้ำก็ตาม

การติดขนตาปลอม

การติดขนตาปลอมบริเวณหางตาโดยให้เหลือขนตาจริงไว้ข้างละประมาณ 2 มิลลิเมตร จะทำให้ขนตาดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

  • ดัดขนตา
  • แบ่งขนตาปลอมออกเป็น 3 ส่วนเท่าเท่ากัน แต่ในกรณีที่จะติดขนตาโดยไม่แบ่งออกเป็นส่วนๆ ให้กับความยาวของแนวเส้นขนตาตัวเองกับขนตาปลอม ก่อนจะตัดส่วนปลายที่เกินออก
  • ทากาวลงบนขนตาปลอมบางๆก่อนจะเป่าเบาๆให้กาวแห้งลงเล็กน้อย วิธีนี้ทำให้ขนตาปลอมติดแน่นมากขึ้น
  • ติดขนตาเส้นๆที่หัวตา ติดขนตาเส้นยาวที่หางตา ควรติดกับขนตาจริงให้แนบสนิทเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ ในกรณีที่ลูกตาสั้น ให้ติดขนตาปลอมเส้นยาวแค่ที่หางตา เพราะแค่นั้นก็ทำให้ดวงตาดูสวยโดดเด่นได้แล้ว
  • การถอดขนตาปลอมออก การถอดขนตาปลอมโดยดึงออกจากขนตาเลยจะทำให้ผิวบริเวณนั้นระคายเคืองได้ เนื่องจากขนตาปลอมถูกติดตั้งไว้กับคนตาจริง นอกจากนั้นแล้วยังอาจทำให้ขนตาจริงร่วงติดออกมาด้วย จึงต้องระวังให้ดีอย่าดึงขนตาปลอมออกมาทันที แต่เวลาถอดให้เทอายรีมูฟเวอร์ลงบนสำลีล้างเครื่องสำอาง แปะไว้บนดวงตาประมาณ 10 วินาทีก่อนแล้วค่อยๆถูกๆ เมื่อกาวละลายหมดแล้วขนตาปลอมจะหลุดออกมาเองพร้อมกับเครื่องสำอางรอบดวงตา

แต่งหน้าอย่างไรไม่ให้เสียเวลา

  • รองพื้นสำรอง
    ใช้รองพื้นชนิดแป้งแบบบางๆเพื่อแก้ไขโทนสีผิวหรือไม่ก็ใช้ไพรเมอร์กับบีบีครีม เพื่อความรวดเร็ว
  • ใช้มาสคาร่าแทนอายไลเนอร์
    หากไม่มีเวลามากพอ ให้ดัดขนตาให้โค้งงอนและปัดมาสคาราเพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ดวงตาดูเด่นชัดขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งอายไลเนอร์
  • บลัชออน
    ทำบลัชออนที่แก้มให้เป็นสีชมพูระเรื่อก็ทำให้ดูโดดเด่นและอ่อนเยาว์ได้
  • ส่วนที่หมองคล้ำ
    การปรับโทนสีของใบหน้าเป็นเรื่องที่ต้องให้ความพยายามเป็นอย่างมากในช่วงที่มัเวลาไม่มาก ดังนั้นการปรับรอยคล้ำใต้ตาให้สว่างขึ้นนั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ใช้คอนซีลเลอร์กับไฮไลท์ในการปรับโทนสีผิวใต้ดวงตาก็สามารถปรับใบหน้าให้ดูสว่งได้ในพริบตา
  • เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดครีม
    ผลิตภัณฑ์ชนิดครีมช่วยได้มากหากไม่มีเวลาแต่งหน้า เพียงแค่ใช้มือเกลี่ยเนื้อครีมเบาๆให้ทั่ว เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

Perfect Quick makeup สวยทันใจใน 5 นาที

  • ทาอายเบส
    ทาอายเบสแบบครีมผสมมุกจังๆลงบนเปลือกตา
  • ทาไฮไลต์
    ทาครีมไฮไลท์บริเวณโซน 4 และโซน T
  • ปัดแก้ม
    ใช้ครีมบลัชออนแตะเบาเบาๆบริเวณโหนกแก้ม
  • เติมลิปสติกให้ปากชุ่มชื้น
    ใช้นิ้วแตะลิปสติกเนื้อครีมลงบนริมฝีปากและธรรมะเบาๆให้ทั่ว
  • ปัดมาสคารา
    หลังจากเขียนอายไลเนอร์และเขียนขอบตาล่างเรียบร้อยแล้วค่อยปัดมาสคารา

กระเป๋าแต่งหน้าสไตล์ Club Queen

แต่งหน้าได้ผลิตภัณฑ์ความงามน้อยชิ้นที่สุด เตรียมกระเป๋าเครื่องสำอางค์ใบเล็กๆที่ใส่เครื่องสำอางได้ 4-5 ชิ้น

1. กระดาษซับมัน
ไม่ต้องตบแป้งตลับบ่อยๆก็ได้เพียงใช้กระดาษซับน้ำมันส่วนเกินออก ผิวก็ดูสะอาดสะอ้านขึ้นมาก เวลาไปคลับก็พกใส่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงไว้สักแผ่น 2 แผ่น หากนำสำลีก้านไปด้วยซักสองสามอันการเตรียมการแต่งหน้าเพิ่มก็เสร็จเพียงเท่านี้

2. ลิปกลอส
เวลาไปเที่ยวคลับส่วนใหญ่หมดเวลาไปกลับการอยู่ในห้องที่มีอากาศแห้งแห้งให้เติมลิปกลอสแบบชิมเมอร์หรือไม่ก็สปาร์คลิ่งที่ชุ่มชื้นมากๆ นอกจากริมฝีปากจะใช้ชื่อแวววาวตามแสงไฟที่ตกกระทบแล้ว ยังชุ่มชื้นจนน่าจุบอีกด้วย ให้เลี่ยงสีเข้มเข้มที่ต้องส่องกระจกแล้วค่อยทานอย่างระมัดระวัง ลิปกลอสสีใสที่ทาได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องส่องกระจกนี่แหละปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3.แป้งอัดแข็งผสมชิมเมอร์
ปิดท้ายการแต่งหน้าไปคลับด้วยแป้งชิมเมอร์หากทาเบาๆให้ทั่วใบหน้า เวลาอยู่ใต้แสงไฟจะดูเปล่งประกายระยิบระยับ แม้เวลาจะผ่านไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นคราบหรือต้องแต่งหน้าเพิ่ม

4.น้ำหอม
คลับนั้นไม่ใช่สถานที่ที่มีกลิ่นหอมอย่างแน่นอน มีตั้งแต่กลิ่นบุหรี่ไปจนถึงกลิ่นเหงื่อ ในที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างนี้ หากคุณเผยกลิ่นหอมสดชื่นออกมาดัชนีความมีเสน่ห์ของคุณจะพุ่งปรี๊ด หากเป็นผู้หญิงที่มีรสนิยมเวลาไปคลับต้องพกน้ำหอมไว้ข้างกายเสมอ

5.ลูกอมรสมิ้นต์
พกลูกอมมิ้นที่ช่วยกำจัดกลิ่นแอลกอฮอล์ที่หลงเหลือในปากเราไว้ลองเลือกมิ้นหวานๆกลิ่นพีชหรือไม่ก็กลิ่นช็อคโกแลต เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะได้พบเจอใครบ้างในคลับ

จัดกระเป๋าความงามยามเดินทาง

1 แบ่งพื้นที่ในกระเป๋าเป็น 3 ส่วน
กระเป๋าเครื่องสำอางที่มีช่องเดียวนั้นเวลาใส่เครื่องสำอางค์ทั้งหมดไว้รวมกันเพราะจะหยิบมาใช้ก็ลำบาก อีกทั้งยังมีโอกาสที่เครื่องสำอางจะแตกหักได้อีกด้วย แต่ถ้าแบ่งไว้ 3 ส่วนได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้า ก็ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องสำอางที่มีน้ำหรือส่วนประกอบจะเสียหาย

2 ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ยามฉุกเฉิน
เวลาเดินทางในหน้าร้อน สเปรย์กำจัดยุงหรือเครื่องสำอางที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นชนิดเจลและมิสต์นั้นเป็นสิ่งจำเป็น การเดินทางในหน้าหนาวนั้นต้องเตรียมครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์และบอดี้บัตเตอร์ เวลาที่เดินมากๆก็อาจเกิดรอยข่วนที่เท้าได้ จึงต้องเตรียมขี้ผึ้งสมานแผลไปด้วย เวลาเดินทางโดยเครื่องบินนานๆเซลล์ผิวเสื่อมสภาพอาศหลุดลอกออกมา หรือสิวอาจจะขึ้นก็ได้ จึงห้ามลืมเอกซ์โฟลิเอเตอร์เด็ดขาดเด็ดขาด

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3 สิ่งเสริมความงามบนเครื่องบิน
บนเครื่องบินพื้นที่พิเศษที่มีความแห้งและความต่างของอุณหภูมิมากที่สุด อย่าละเลยดูแลผิว ทั้งมิสต์ ลิปบาล์ม และ แฮนด์ครีม สวนน้ำหอมกลิ่นแรงๆอาจรบกวนผู้โดยสารคนอื่น ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวกายที่มีกลิ่นอ่อนๆ และห้ามบอกว่าไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าตอนนั่งอยู่บนเครื่อง ให้แต่งเมคอัพเบสให้น้อยที่สุดโดยใช้ทินมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา แล้วเลือกแต่งดวงตา แก้ม หรือริมฝีปาก ส่วนใดส่วนหนึ่งอย่างเบาเบาๆสไตล์เจ็ตเซตที่แต่งน้อยๆ

4 ใช้เวลาสบายๆกับเครื่องสำอางสำหรับสปา
การตีฟองในอ่างอาบน้ำหรือการทำสปาอโรม่าที่บ้านนั้นแสนจะยุ่งยาก แต่ถ้าไปเที่ยวแล้วไม่ได้ทำสปาและก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย นอกจากจะหาโอกาสเพลิดเพลินแบบสุดๆกับบรรยากาศแปลกตาแล้ว ต้องเตรียมเครื่องสำอางสำหรับทำสปาที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจให้หายเหนื่อยล้าได้ อย่าลืมเตรียมแฮร์มาสก์สำหรับเส้นผมที่ถูกรังสี UV ทำร้ายไปด้วย

จัดกระเป๋าใบน้อยไว้ใช้ในยามเดินทาง

  • ลิปพาเล็ตต์
    ที่มีสีลิปสติกที่ใช้บ่อยๆ 2 3 สี
  • ครีมกันแดด
    เตรียมครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ
  • อายรีมูฟเวอร์
    ลบเครื่องสำอางบริเวณดวงตาให้สะอาดอยู่เสมอ ผิวรอบดวงตาจะได้ไม่เปลี่ยนสี
  • อายไลเนอร์แบบเบจ
    ถ้าใช้อายไลเนอร์แบบกันน้ำที่ไม่เปรอะเปื้อนไม่ว่าจะไปเล่นน้ำที่ไหนดวงตาก็จะดูสดใสอยู่เสมอ
  • แปรงหวีผม
    เตรียมไว้ใช้หวีผมนั่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่แปรงจัดแต่งทรงผมก็จำเป็นเหมือนกัน   [adinserter name=”sesame”]
  • แปรงแต่งหน้า
    ถ้าอยากแต่งหน้าให้ดูแวววาวอย่างเป็นธรรมชาติ ให้หันมาใช้แปรงแทนทับกันดีกว่า ต้องเตรียมแปลงทาแป้งและแปรงทาอายแชโดว์ไปด้วย
  • มาคารา
    ถ้าแต่งหน้าแบบจัดเต็มเวลาไปเที่ยวจะทำให้ดูบ้านนอกได้ มาโชว์ผิวธรรมชาติให้โดดเด่นแล้วใช้เพียงมาสคาร่า
  • เจลว่านหางจระเข้
    เวลาเดินทางถ้าผิวไม่ขึ้นมาแทนที่จะใช้เครื่องสำอางที่อ้างสรรพคุณในการบรรเทาอาการแสบร้อนของผิว ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลผิวไหม้โดยตรงอย่างเจลว่านหางจระเข้
  • มิสต์ว่านหางจระเข้
    ในช่วงหน้าร้อนพ่นตามร่างกายด้วยมิสต์ที่มีส่วนประกอบของว่านหางจระเข้ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการแสบร้อน ให้ทั่วหนังศีรษะและใบหน้าที่ร้อนหรือไหม้เพราะแสงแดด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: อยากสวยต้องกล้าแต่ง : แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

แต่งหน้าอย่างไรให้ดูอ่อนกว่าวัย

0
แต่งหน้าอย่างไรให้ดูอ่อนกว่าวัย
การแต่งหน้าทำให้ดูสวยและอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าแต่งหน้าผิดวิธีก็สามารถทำให้ดูสูงวัยขึ้นได้

เทคนิคการแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติและอ่อนวัย

แต่งหน้าอย่างไรให้ดูอ่อนกว่าวัย
การเขียนคิ้วให้ฟูและหนาจะทำให้ได้ลุคแบบเด็กๆ ส่วนคนที่มีคิ้วน้อยแต่อยากมีคิ้วสวยและเป็นธรรมชาติก็ให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคิ้วชนิดฝุ่นจะช่วยได้

หน้าดูอ่อนวัย

ตอนที่เป็นเด็กๆเราจะมีผิวที่นุ่มลื่น น่าสัมผัส แต่เมื่อโตขึ้นผิวก็เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม และการดำเนินชีวิต หากเราเลือกใช้ชีวิต โดยใส่ใจในเรื่องสุขภาพ ปัญหาผิวที่หยาบกร้าน ก็จะบรรเทาเบาบางลง ทำให้ หน้าดูอ่อนวัย ซึ่งวิธีที่เห็นผลได้ทันใจสุดคือเครื่องสำอาง แม้จะไม่ใช้วิธีที่ถาวรแต่ก็ทำให้รู้สึกมั่นใจได้

ตัวช่วยสร้างความอ่อนวัย

1. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

การเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ โดยเลือกใช้แบบที่มีส่วนผสมของครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป และควรเลือกใช้เครื่องสำอางอื่นๆเป็นแบบสูตรที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย เช่น รองพื้น ลิปสติก ลิปไลน์เนอร์ ฯลฯ

2. ใช้รองพื้นสูตรน้ำชนิด light-reflecting

เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดที่มีการเติมพิกเมนต์ที่จะช่วยให้ใบหน้าดูสว่างสดใสและเรียบเนียน โดยให้ใช้ฟองน้ำเกลี่ยรองพื้นแทนการใช้มือจะช่วยให้ใบหน้าดูเป็นธรรมชาติและใช้แป้งฝุ่นทาทำอีกรอบ

3. หลีกเลี่ยงการใช้กลิตเตอร์

กลิตเตอร์อาจช่วยเพิ่มประกายวิ้งบนใบหน้า แต่มันก็ช่วยเน้นริ้วรอยต่างๆให้ดูชัดขึ้นเช่นกัน ซึ่งไม่เหมาะกับการแต่งหน้าให้ดูอ่อนวัย แต่ถ้าชอบให้มีประกายแนะนำให้ใช้เป็นอายแชโดว์ที่ผสมชิมเมอร์แบบเนื้อครีม

4. ใช้อายไลน์เนอร์สีขาว

การแต่งหน้าให้ดูอ่อนวัยนั้นไม่ควรแต่งดวงตาให้ดูดุจนเกินไป โดยเปลี่ยนจากการทาอายไลเนอร์สีดำหรือสีน้ำตาลที่ขอบตาล่างมาเป็นสีขาวแทนหรือสีสว่างๆแทนสีเข้มๆ จะช่วยให้ใบหน้าดูสว่างและดูไร้เดียงสา   

5. ทำคิ้วให้ฟูและหนา

การเขียนคิ้วให้ฟูและหนาจะทำให้ได้ลุคแบบเด็กๆ ส่วนคนที่มีคิ้วน้อยแต่อยากมีคิ้วสวยและเป็นธรรมชาติก็ให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคิ้วชนิดฝุ่นจะช่วยได้

6. บลัชออน

การปัดบลัชออนที่แก้มให้เป็นธรรมชาติ จะช่วยให้ใบหน้าดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาสดใสขึ้น

7. ดัดขนตา

การดัดขนตาเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ดูเด็ก เพราะการมีดวงตาที่กลม ดูสดใส เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์ วิธีดัดขนตาง่ายๆ เพียงนำที่ดัดขนตาวางให้ใกล้ขอบตามากที่สุดโดยระวังอย่าให้หนีบโดนเนื้อรอบๆ และกดค้างไว้ 15 วินาที

8. เขียนขอบปาก

ให้เขียนขอบปากก่อนลงลิปสติก โดยเลือกสีที่เป็นสีเดียวกับลิปสติก ซึ่งการเขียนขอบปากนอกจากจะช่วยให้ทาลิปสติกได้ๆแล้ว ยังช่วยทำให้ริมฝีปากเป็นรูปทรง อวบอิ่ม เซ็กซี่ และดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

การแต่งหน้าทำให้ดูสวยและอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าแต่งผิดวิธีก็สามารถทำให้ดูสูงวัยขึ้นได้

การแต่งหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ในทุกโอกาส

1.แต่งหน้าให้ดูใสๆเหมือนไม่ได้แต่ง

การแต่งหน้าแบบนี้สามารถแต่งได้ทุกวัน ทุกโอกาส และยังเหมาะกับทุกสีผิว ซึ่งการแต่งหน้าแบบนี้ต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกรองพื้น ทินต์มอยส์เจอไรเซอร์ หรือรองพื้นชนิดลิควิดเนื้อบางเบานั้น ทำให้ผิวทั้งดูใสและแวววาว

  • ทาอายโบรว์แชโดว์สีที่กลมกลืนกลับสีคิ้วของตัวเองมากที่สุดบางๆ
  • ทาเปลือกตาให้ทั่วด้วยอายแชโดว์ชนิดครีมสีเบจอ่อนๆ
  • ทาบลัชออนชนิดครีมสีชมพู จะช่วยให้แก้มดูเป็นธรรมชาติเหมือนเวลาเขินจนแก้มแดง
  • เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดดินสอบางๆใกล้ๆกับแนวขนตา
  • ดัดขนตาให้งอนขึ้นและปัดมาสคารา
  • ทาลิปสติกประกายมุกเนื้อละเอียดเพื่อให้ความวาวอย่างเป็นธรรมชาติ ลิปสติกที่มีประกายมุกมากหรือลิปกลอสที่มีความวาวมากๆไม่เหมาะที่จะใช้แต่งหน้าแบบนู้ด

2.แต่งหน้าให้กระจ่างใสมีออร่าส่องประกาย

การแต่งหน้าด้วยสีที่สร้างภาพลักษณ์ที่บริสุทธิ์และกระจ่างใสเท่าสีขาวนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ โดยเริ่มจากการจับคู่โทนสีพาสเทล สีขาว แล้วค่อยๆพัฒนาทักษะในการใช้สีไปเรื่อยๆ สิ่งที่ต้องระวังคือ ไม่จำเป็นต้องใช้เบสสีขาวที่สว่างกว่าโทนสีผิวตัวเองมากจนเกินไป โดยเฉพาะสำหรับคนผิวคล้ำ อาจใช้ผลิตภัณฑ์เบสที่สว่างกว่าโทนสีผิวเดิมของตัวเองประมาณ 1 โทน เพื่อให้ใบหน้าดูขาวนวลเด่นเพียงอย่างเดียว

  • หลังลงเมคอัพเบสแล้ว ให้ใช้แปรงด้ามใหญ่ปัดแป้งฝุ่นเนื้อละเอียดให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ
  • เขียนคิ้วด้วยดินสอหรืออายโบรว์แชร์โดว์สีเดียวกับสีผม
  • เขียนขอบตาด้วยดินสอสีน้ำตาล สีขอบตาต้องดูนุ่มนวลเพื่อให้ดูสะอาดบริสุทธิ์
  • ใช้ดินสอสีขาวเขียนขอบตาล่างด้านใน ทำให้ดวงตาดูโตและใส ลูกตาดำดูเด่นชัด
  • ใช้แปรงทาอายแชโดว์สีชมพูอ่อน (หรือสีลาเวนเดอร์) ให้ทั่วเปลือกตาอย่างบางเบา หากใช้อายแชโดว์ผสมมุกสีสว่างทาบริเวณหัวตา จะทำให้ดวงตาดูสว่างสดใสขึ้น
  • ปัดมาสคาราสีน้ำตาลเข้มให้ขนตาโค้งงอน
  • ทาไฮไลท์บริเวณโซนสามเหลี่ยมใต้ดวงตาเพื่อปรับให้ดูสว่างขึ้น
  • แต่งริมฝีปากนู้ดด้วยลิปสติกสีเบจ 2 ชนิด ทาลิปสติกเนื้อเนียนนุ่มให้ทั่วริมฝีปาก และแต้มลิปสติกที่มีกลิตเตอร์บริเวณกลางฝีปากล่าง

3.แต่งหน้าให้ดูสดชื่นราวกับฤดูใบไม้ผลิด้วยโทนพาสเทล

สีพาสเทลที่ให้ความรู้สึกของสาวแรกรุ่นได้มากกว่าสิ่งอื่นใด คือ ลาเวนเดอร์ มิ้นต์ พีช พิ้งค์ เบบี้บลู การทาอายแชโดว์สีมิ้นต์อ่อนๆเป็นบริเวณกว้างรอบดวงตา และทาแก้มสีแอปริคอท ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความสดชื่นและอ่อนหวาน

  • ทาอายแชโดว์สีขาวเบาๆเพิ่มให้ทั่ว ไปจนถึงใต้โหนกคิ้ว เน้นหัวตาขอบและตาล่างด้วย
  • เขียนคิ้วด้วยดินสอหรืออายโบรว์แชโดว์สีเดียวกับสีผม อย่าเขียนคิ้วเป็นเหลี่ยมเกินไป
  • ใช้แปรงทาอายแชโดว์สีมิ้นต์ให้ทั่วเปลือกตา
  • เขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์ชนิดลิควิดสีน้ำตาล เขียนสีน้ำตาลที่ขอบตาจะทำให้ดูอ่อนโยน และดูมีชีวิตชีวาอีกด้วย
  • ทาบลัชออนสีแอพพลิคอตบริเวณโซนแอ๊ปเปิ้ลเพื่อให้ดูมีเสน่ห์และน่ารัก
  • ดัดขนตาให้โค้งงอน และปัดมาสคารา ถ้าต้องการดวงตาดูกลมให้ปัดมาสคาร่าหลายๆครั้งบริเวณกลางขนตา
  • เลือกลิปสติกสีธรรมชาติที่เข้ากับสีมิ้นต์ หรือถ้าทาเป็นสีแดงมากก็ทารองพื้นให้ทั่วก่อนเพื่อลดความแดงลง

การแต่งหน้าทำให้ดูสวยและอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าแต่งผิดวิธีก็สามารถทำให้ดูสูงวัยขึ้นได้ ถ้าอยากมีใบหน้าที่ดูเด็กลงลองนำเทคนิคต่างๆไปปรับประยุกต์ใช้ให้เข้ากับ โอกาสต่างๆ เสื้อผ้าหลากสไตล์พิธีการต่างๆ หรือวันสบายๆกันดูนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: อยากสวยต้องกล้าแต่ง : แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

แต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กด้วยเฉดดิ้ง ไฮไลต์ และบลัชออน

0
แต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กด้วยเฉดดิ้ง ไฮไลต์ และบลัชออน
การใช้เทคนิคการแต่งหน้าอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว จะสร้างภาพลวงตาให้ใบหน้าดูเล็กและเรียวได้โดยไม่ต้องเจ็บปวดในการผ่าตัด
แต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กด้วยเฉดดิ้ง ไฮไลต์ และบลัชออน
การใช้เทคนิคการแต่งหน้าอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว จะสร้างภาพลวงตาให้ใบหน้าดูเล็กและเรียวได้โดยไม่ต้องเจ็บปวดในการผ่าตัด

การแต่งหน้า

มีผู้หญิงมากมายกังวลเกี่ยวกับรูปหน้าของตัวเอง และต้อง การแต่งหน้า ให้ดูเรียวเล็กความจริงใบหน้าชาวเอเชียก็ไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับชาวตะวันตกแล้วถือว่าโครงหน้าที่ค่อนข้างแบนและดั้งที่ไม่โด่งเลยทำให้ใบหน้าดูใหญ่ เพื่อทำความคุ้นเคยกับวิธี คอนทัวร์ เฉดดิ้ง ไฮไลท์ และปัดแปรง แม้แต่ใบหน้าที่กรมโตเหมือนพระจันทร์เต็มดวงก็สามารถทำให้ดูเล็กพอเหมาะ มีมิติ และดูคมขึ้นได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
คนที่มีใบหน้ากลมกลมๆ และตาหูจมูกปากเล็กๆ จึงสนใจทำรูปหน้าให้เรียวบางและมีมิติเป็นพิเศษ
การคอนทัวร์และเฉดดิ้ง ไฮไลท์ รวมทั้งปัดบลัชออน ถ้าใช้เทคนิคเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ก็จะสร้างภาพลวงตาให้ใบหน้าดูเล็กและเรียวได้ด้วยตัวเอง จึงไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดในการตัดกระดูกบนเตียงผ่าตัดอันน่ากลัว

ไอเท็มที่จำเป็นในการแต่งหน้าให้มีมิติและเล็กเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้

1.บลัชออน
หรือที่เรียกว่าที่ปัดแก้ม เป็นผลิตภัณฑ์แต่งหน้าที่ช่วยเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้แก้ม ควรหาบลัชออนโทนสีที่ทาแล้วอารมณ์ดีไว้ซัก 2-3 ชิ้น สาวๆมักจะใช้สีบลัชออนที่เข้ากับสีลิปสติก

2.โน้สแชโดว์
ใช้เพื่อทำให้จมูกโด่งขึ้น เลือกชนิดเนื้อแมตต์ไม่มีประกายมุก และเลือกสีที่ช่วยสร้างเฉดเงาให้โทนสีผิว

3.แปรงเฉดดิ้ง
แป้งอัดแข็งโทนสีเข้มเล็กน้อย เพื่อทำให้ใบหน้าดูเรียวบาง

4.แปรงคอนทัวร์
แป้งเนื้อแมตต์ไม่ผสมมุก สีเดียวกับสีผมและดวงตา หลีกเลี่ยงสีดำเข้ม ต้องหาเนื้อแป้งที่ติดทนนานและเบลนได้ดี รวมทั้งต้องใช้แปรงที่ไม่ทำให้แป้งพุ่งกระจายด้วย

5.ไฮไลท์
ชนิดครีมหรือแป้งที่สว่างในการแต่งหน้า ซึ่งที่ทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาและมีมิติ ชนิดแป้งนั้นจะต้องมีอนุภาคที่เล็กมาก ถ้าได้อย่างบางเบาและเห็นผลชัดเมื่อปัดแค่ทีสองที

  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1. การแต่งหน้าเพื่อปกปิดหน้าผากที่ไม่สวยด้วยแป้งคอนทัวร์

การคอนทัวร์ หรือการเฉดดิ้ง คือการสร้างเงาให้แก่ใบหน้า ช่วยส่งเสริมโครงหน้าแก้ไขจุดที่เราไม่ต้องการให้มีความโดดเด่นน้อยลง โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสีเข้มกว่าสีผิวประมาณ 2-3 เฉด และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อแมตต์
ซึ่งคอนทัวร์ เป็นการแต่งหน้าเพียงไม่กี่ขั้นตอนก็แปลงโฉมได้ เพียงแค่จัดระเบียบหน้าผากและไรผมก็ทำให้ใบหน้าดูเล็กลง ดังนั้นหากกังวลว่ามีหน้าผากกว้างหรือหน้าผากรูปตัว M รวมทั้งแนวผมที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบและช่วยทำให้โครงหน้าดูเด่น

ข้อแนะนำในการคอนทัวร์

1. ค่อยๆทาทีละน้อยๆหลายครั้ง
ถ้าคอนทัวพลาดอาจทำให้ผงแป้งฟุ้งกระจายจนเปื้อนใบหน้า หรือไม่ก็ทำให้แป้งจับตัวเป็นก้อนได้ ค่อยๆทาเพิ่มทีละน้อยๆจะปลอดภัยกว่า เวลาทาให้ขยับมือเร็วๆเป็นวงกว้าง

2.เลือกสีที่คล้ายกับสีผม
ชาวตะวันออกควรเลือกแป้งคอนทัวร์สีน้ำตาลเข้มที่ใกล้เคียงกับสีผม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์สีดำเข้มหรือมันวาวจนเกินไป

3.ทำกราเดชั่นโดยเริ่มจากผมมายังใบหน้า
ในกรณีที่หน้าผากโค้งเป็นรูปตัวเอ็มให้เริ่มทำกราเดชั่นตั้งแต่บริเวณที่มีผมเยอะก่อนแล้วค่อยๆทำกราเดชั่นมาทางหน้าผาก ถ้าทำเยอะเกินไปอาจทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ ควรทำกราเดชั่นถึงบริเวณไรผมอ่อนๆเท่านั้น

การจัดการแนวผม
1.เก็บผมขึ้นไปข้างบน ตรวจสอบบริเวณมุมทั้งสองของหน้าผาก
2.ทาแป้งแล้วลองปัดดู 1 ครั้ง
3.เติมแป้งตั้งแต่พื้นที่ด้านในระหว่างเส้นผมมาทางใบหน้า ทำกราเดชั่นมาทางไรผมเล็กๆตรงมุมหน้าผากให้ดูเป็นธรรมชาติ
4.ค่อยๆใช้แปรงทาตามแนวผมไล่ลงมา
5.ใบหน้าจะดูเรียวบางขึ้น หากทำไรผมที่ตกลงมาบริเวณหูให้มีสีเข้ม โดยเติมแป้งบริเวณนั้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การคอนทัวร์ หรือการเฉดดิ้ง คือการสร้างเงาให้แก่ใบหน้า ช่วยส่งเสริมโครงหน้าแก้ไขจุดที่เราไม่ต้องการให้มีความโดดเด่นน้อยลง

2. การแต่หน้าสร้างมิติสวยด้วยไฮไลท์

การไฮไลท์ คือการสร้างแสงให้แก่ใบหน้า เพื่อเน้นในจุดที่ต้องการให้โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสีอ่อน มีชิมเมอร์หรือประกายมุก เพื่อให้สะท้อนกับแสงที่ตกกระทบ ข้อดีที่สำคัญที่สุดคือทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาและดูเนียนเรียบขึ้นมาก อีกครั้งอย่างให้ภาพลักษณ์ที่สว่างสดใส และยังช่วยปรับโครงหน้า เช่น เปลี่ยนหน้าผากแบนแบนหรือจมูกเล็กๆให้เป็นหน้าผากนูนและจมูกโด่งได้ ไฮไลท์เป็นไอเท็มชิ้นพิเศษที่ใช้ทาบริเวณที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ หรือจะเลือกใช้แบบประกายมุกเนื้อละเอียดผสมก็ได้
หากอยากดูสะอาดตาก็เลือกใช้แป้งไฮไลท์เนื้อแมตต์ แต่ถ้าอยากได้ลุคแวววาวแบบชิคชิคก็ให้เลือกใช้ครีมที่ผสมมุกอนุภาคเล็ก สำหรับใต้ดวงตาให้ทางไฮไลท์ไม่ผสมมุก สำหรับโซน C และโซน T ให้ทาไฮไลท์ผสมมุก

ทําไฮไลท์ที่ดีที่สุด 3 แห่ง
ใต้ดวงตา
เวลาที่ต้องการกำจัดรอยคล้ำรอบดวงตา และสีหน้าที่ดูเหนื่อยล้า ให้เพิ่มความสว่างใต้ดวงตาด้วยไฮไลท์ จะช่วยให้ดวงตาดูสดใสและผ่อนคลายมากขึ้น เลือกสีไฮไลท์ที่สว่างกว่าโทนสีผิว และถ้าไม่อยากให้ตาดูบวมให้เลือกใช้ชนิดไม่มีประกายมุก

โซน T
ทำให้สันจมูกโด่งขึ้น หน้าผากดุนนูนขึ้น และทำให้ใบหน้าโดยรวมดูมีมิติขึ้น

โซน C
ช่วยปกปิดริ้วรอยรอบดวงตา และทำให้ใบหน้าด้านข้างดูเรียวบาง นอกจากนี้ ถ้าทายไร้มุกเนื้อละเอียดที่โซนซีจะช่วยลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาได้อย่างเป็นธรรมชาติ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การไฮไลท์
ควรใช้ขนแปรงปลายเฉียงและตัดมุมในการไฮไลท์ ซึ่งเหมาะจะใช้สร้างมิติใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะลักษณะของขนแปรงแทรกซ้อนไปตามส่วนโค้งเว้าบนใบหน้าได้ดี

ไฮไลท์ชนิดครีม
ช่วยให้โครงหน้าดูโดดเด่นและในขณะเดียวกันก็ดูชุ่มชื้น แต่ควรใช้ปริมาณน้อยที่สุด แล้วทาบริเวณที่ต้องทาอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าแล้วอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะต่างจากชนิดผงที่ใช้แปรงทาได้อย่างง่ายดาย ต้องใช้ไฮไลท์ชนิดครีมก่อนทาแป้ง เพื่อทำให้ผิวชุ่มชื้นและเรียบเนียน ส่วนชนิดอัดแข็งนั้นให้ใช้หลังจากทาแป้งแล้วจากนั้นจึงปัดบลัชออนทับ

ถ้าพิจารณาผิวของชาวตะวันออกแล้วจะพบว่า
โดยทั่วไป ไฮไลท์โทนไวท์พีชหรือไวท์พิ้งที่ใกล้เคียงกับโทนสีผิวของชาวตะวันออกนั้นใช้งานค่อนข้างๆ นอกจากนี้ชาวตะวันออกยังมีผิวบาง ผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบาและมีอนุภาคเล็กซึ่งช่วยทำให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ

มากเกินไปก็เหมือนขาด
ลงไฮไลท์มากเกินไปจะทำให้ใบหน้าดูใหญ่ หรือไม่ก็เมื่อเวลาผ่านไปอาจเลอะเทอะได้ จึงต้องไฮไลท์อย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมมุกมากเกินไปจะมีความแวววาวเกินควรจนดูไม่เป็นธรรมชาติ ควรเลือกไฮไลท์ที่สว่างกว่าทนผิวตนเอง 2-3 โทนและมีมุกผสมอยู่เล็กน้อย

3. พวงแก้มสวยดั่งพวงดอกไม้ด้วยบลัชออน

หลังจากที่แต่งใบหน้าให้ดูเล็กและสวยคมแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือ การเติมความมีชีวิตชีวาด้วยบลัชออนแก้มที่เปล่งปลั่งอย่างพอเหมาะแสดงถึงความงดงามขอและสุขภาพที่ดี รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์อีกด้วย แค่ลองปัดบลัชออนดูครั้งเดียวก็สามารถคืนชีวิตชีวาให้ใบหน้าที่เหนื่อยล้าและหมองคล้ำได้ราวกับร่ายมนต์ หากยังไม่ชินกับการใช้บลัชออนแล้วล่ะก็ลองทำตามกฎต่อไปนี้ดู

สีลิปสติกกับบลัชออนควรกลมกลืนกัน
โดยทั่วไปแล้วหากเลือกสีลิปสติกและสีบลัชออนเหมือนกัน จะช่วยตัดปัญหาเรื่องการจับคู่สีได้ และทำให้สีริมฝีปากและสีแก้มไม่ขัดกัน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ยิ้มเข้าไว้เวลาปัดแก้ม
ถ้าบลัชออนอย่างเบามือโดยวนเป็นวงกลมตรังโซน Apple ที่โดนกลมเหมือนไข่ไก่เวลาที่เรายิ้มกว้าง

เบลนด์บลัชออนสองสีเข้าด้วยกัน
ใช้สีชมพูหรือสีพีชบริเวณที่ยื่นออกมามากที่สุดบนแก้มทั้งสองข้าง ถ้าทำกราเดชั่นสีชมพูโทนพาสเทลละมุนละไม โดยเริ่มจากบริเวณดังกล่าวออกมาโดยรอบด้วยแล้วเราก็จะดูเป็นธรรมชาติและดูนุ่มนวลขึ้นมาก

การทำบลัชออนชนิดครีมให้ดูเป็นธรรมชาติ
เวลาที่แต่งหน้าให้ดูชุ่มชื้นหรือต้องการความรู้สึกแบบหน้าสด บลัชออนชนิดครีมจะเหมาะกว่า ส่วนเวลาที่อยากแต่งรูปน่ารักไร้เดียงสา ให้เลือกแบบทินต์หรือเจลที่ไม่ผสมมุก หากผิวหน้าแห้งหรือมีจุดด่างดำ ให้ทาครีมบลัชออนผสมมุก ถ้าโดยใช้ 2-3 นิ้วแต้มเบาเบาๆเป็นวงกว้าง

การเลือกสีบลัชออน หากทาบลัชออนแล้วทำให้ผิวดูสุขภาพดีและให้ความรู้สึกสดชื่น สีนั้นคือสีที่เหมาะกับคุณ ถ้าจะให้แนะนำสีที่ปัดแล้วไม่ค่อยจะผิดพลาดก็เป็นสีชมพูพีช แซนด์พิ้ง สีน้ำตาลพีช สีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นนั้นจะปลอดภัยกว่าสีที่ซีดจนเกินไป ในกรณีที่มีผิวออกแดงๆถ้าเลือกโทนสีพาสเทลอย่างสีลาเวนเดอร์หรือสีไอซิ่งจะทำให้ดูสุขุมขึ้น

เทคนิคการปัดบลัชออนตามโครงหน้า

ใบหน้ายาว
ทาบลัชออนเป็นแนวเฉียงเล็กน้อย โดยปัดออกมาทางด้านนอกของแก้ม ทาเป็นแนวนอน เริ่มจากจุดที่ตรงกับหางตาและปลายจมูก บัสออนที่เหลือให้ทาบางๆที่ปลายจมูก

ใบหน้ากลม
คนที่มีใบหน้ากลมมักจะดูเป็นคนสบายๆ ให้ปัดบลัชออนเป็นแนวทะแยงขึ้นไป 45 องศา จากปลายจมูกไปจนถึงบริเวณกลางดวงตา

ใบหน้าที่เห็นโหนกแก้มชัด
คนที่มีโหนกแก้มยื่นออกมานั้น ต้องทำบริเวณนี้ให้ดูกลมที่สุดจึงจะดูอ่อนโยน ทำได้โดยปัดบลัชออนเป็นวงกลมบริเวณแก้มที่ยื่นออกมาเหมือนไข่ไก่เวลายิ้ม    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การไฮไลท์ คือการสร้างแสงให้แก่ใบหน้า เพื่อเน้นในจุดที่ต้องการให้โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสีอ่อน มีชิมเมอร์หรือประกายมุก

4. ดั้งโด่งง่ายๆด้วยโน้สแชโดว์

ส่วนใหญ่เวลาที่คนเราไม่พอใจส่วนใดบนใบหน้า จมูกมักจะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ หากไม่นับรวมศัลยกรรมตาสองชั้นที่ทำได้ง่ายๆแล้วเราก็ การศัลยกรรมที่ผู้หญิงจำนวนมากคิดจะทำสักครั้งหนึ่งคือศัลยกรรมจมูก หากใช้โน้สแชโดว์ร่วมกับเทคนิคเฉดดิ้งจะช่วยแต่งจมูกให้สวยโด่งได้โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม และยังเปลี่ยนภาพลักษณ์อย่างเห็นได้ชัด

การเฉดดิ้งเสริมปลายจมูกและทำดั้งโด่ง
แบ่งความยาวจมูกออกเป็น 3 ส่วนนับตั้งแต่หัวคิ้วจนถึงใต้จมูก ใช้แปรงแต้มโน้สแชโดว์แล้วทาบริเวณ 1 / 3 ของจมูกด้านบน เน้นดั้งจมูกโดยทาบริเวณด้านข้างของดั้งจมูกทั้งสองข้างเชื่อมไปจนถึงหัวคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ จากนั้นใช้โน้สแชโดว์ที่เหลือติดแปรงปัดบริเวณ 1 / 3 ของจมูกด้านล่าง ให้ปัดเบาๆลงมาทั้งสองข้าง บริเวณวงกลมตรงปีกจมูกอาจจะดูคล้ำลง แต่จะช่วยเสริมปลายจมูกให้ดูเด่นขึ้น

การเลือกแปรงและโน้สแชโดว์
ควรเลือกที่เข้มกว่าโทนสีผิวประมาณ 1 โทน และเลือกชนิดที่มีมุกผสมอยู่ไม่มากนัก แปลงที่เล็กเกินไปจะทำให้เหลือคราบทิ้งไว้ ควรเลือกใช้แปรงขนาดกลางที่เป็นขนแปรงธรรมชาตินุ่มกำลังดี

เทคนิคเฉดดิ้งตามลักษณะจมูก

จมูกกลมเป็นกระเปาะ
จมูกแบบนี้ทำให้หน้าดูบานออก ให้ทาโน้สแชโดว์ปิดทับบริเวณปีกจมูกเบาๆ เพื่อเสริมดั้งจมูก และทาโน้สแชโดว์เบาๆบริเวณข้างจมูกด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้จมูกดูเป็นสันขึ้นมา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

จมูกยาว
ใช้โน้สแชโดว์ทาเพื่อแรงเอาตั้งแต่บริเวณรอยต่อระหว่างร่องริมฝีปากบนกับใต้จมูกไปจนถึงปลายจมูก เพียงทาไฮไลท์บริเวณพื้นที่รูปตัว T สั้นๆตรงกึ่งกลางหน้าผาก แล้วเน้นบริเวณจมูกส่วนล่างเท่านั้น จมูกยาวก็จะดูสั้นลง

จมูกงุ้ม
ให้ทาโน้สแชโดว์เล็กน้อยเริ่มตั้งแต่บริเวณใต้จมูกจนถึงปลายจมูก ตรงกลางสันจมูกบริเวณที่ยื่นออกมาให้ทาเบาๆในแนวนอนเพื่อสร้างความแตกต่าง

จมูกเล็กและสั้น
ไฮไลท์ยาวๆบนสันจมูก จากนั้นทาโน้สแชโดว์ข้างจมูกทั้งสองข้างเป็นเส้นตรงยาว ถ้ายาวลงมาจนถึงด้านล่าง

5. การทำใบหน้าให้เล็กลงด้วยตนเอง

สาวๆตะวันออกส่วนใหญ่มีใบหน้ากลมแบนมาตั้งแต่เกิดถ้าไม่ยอมรับสภาพก็ทำศัลยกรรม แต่ใบหน้าสามารถจะดูเรียวบางและคมได้แบบไม่เจ็บตัวด้วยแปรงแต่งหน้า ลองใช้เทคนิคเฉดดิ้งและไฮไลท์ที่เหมาะสมในการแต่งหน้าแบบ Small Face make up ที่จะทำให้ใบหน้าดูเล็กลงอย่างน่าอัศจรรย์
ขั้นตอนการทำใบหน้าให้ดูคมและเรียวเล็ก

จัดการแนวผม

เริ่มจากปิดเหลี่ยมหน้าผากตามแนวผมด้านข้างเพื่อทำให้ใบหน้ารูปไข่ ใช้แป้งคอนทัวร์ทาโดยเริ่มบริเวณเส้นผมไล่ออกมาทางด้านใบหน้าท้าทับจนไม่เห็นรอยต่อ

ทำกราเดชั่น

ใช้แปรงเฉดดิ้งทำกราเดชั่นเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ และมองไม่เห็นรอยต่อระหว่างใบหน้ากับแนวผม    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เฉดดิ้งบริเวณกรามและลำคอ

เฉดดิ้งเป็นแนวกว้างจากบริเวณหูไล่ลงมาตามกราม ปัดเบาๆจนไม่เห็นรอยต่อ หากปัดไล่ลงมาตามแนวลำคอจะช่วยให้คอดูเรียวเล็กลงและน่ารัก

ปัดบลัชออน

ใช้บลัชออนปัดวนเป็นวงกลมที่บริเวณโซนแอ๊ปเปิ้ลเล็กน้อย

ไฮไลท์โซน T

สำหรับใบหน้ายาวให้ไฮไลท์เป็นรูปตัว T สั้นๆ สำหรับใบหน้ากลมหรือใบหน้าที่จมูกสั้นให้ทำไฮไลท์รูปตัว T ยาวๆมาจนถึงปลายจมูก สำหรับคนที่คางสั้นให้ไฮไลท์ที่ใต้คางด้วย คนที่คางยาวอยู่แล้วก็ไม่ต้องทำ

ทำดวงตาให้สว่างขึ้น

หากไฮไลท์ที่โซนสามเหลี่ยมและโซน C บนใบหน้าจะทำให้ดูสว่างสดใสขึ้น

ตามเทรนการแต่งหน้าอย่างมีรสนิยม

แบรนด์เครื่องสำอางและเหล่าเมคอัพอาร์ติสท์ล้วนได้รับแรงบันดาลใจในแต่ละฤดูกาลมาจากแคทวอล์ค เวทีแฟชั่นของปารีส มิลาน นิวยอร์ก และลอนดอน ซึ่งเทรนการแต่งหน้านางแบบชาวตะวันตกนั้นสามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้กับใบหน้าของชาวเอเชียได้ง่ายๆ

อายไลเนอร์ชนิดดินสอสี

หากใช้อายไลเนอร์ชนิดดินสอสีฟ้าหรือสีน้ำเงินเขียนขอบตาบนหรือขอบตาล่างทับแนวขนตา จะทำให้ลูกตาดำถูกล้อมกรอบด้วยประกายสีเงินกลายเป็นลูกที่ดูใหม่แปลกตา หรือไม่ก็ใช้ดินสอสีน้ำตาลหรือดินสอสีดำเหมือนสีตาร่วมกับดินสอสีอื่นๆแต่งดวงตาแบบทูโทน ใช้ดินสอสีดำเขียนโครงก่อน แล้วใช้ดินสอสีอื่นๆทำกราเดชั่น [adinserter name=”navtra”]

ลงเมคอัพเบส

ผิวหนังแบบเป็นประกายแวววาวใต้แสงสปอร์ตไลท์ ให้ผสมเมคอัพเบสมุกกับรองพื้นทาบางๆให้ทั่ว แต่ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมมุกมากจนเกินไปนอกจากจะดูเฉิ่มเชยแล้วยังทำให้ใบหน้าดูใหญ่ขึ้นด้วย หากอยากโชว์ผิวที่ไม่มันเงาสไตล์เฟรนช์แบบเก๋ๆให้ค่อยๆทารองพื้นที่ไม่ผสมมุกให้ทั่ว แล้วใช้แปรงด้ามใหญ่ทาแป้งฝุ่นเนื้อละเอียดเบาๆให้ทั่วใบหน้า เพียงเท่านี้ก็แต่งผิวให้ดูมีเทรนด์ได้อย่างง่ายดาย

ลิปสติกสีสันฉูดฉาด

ลิปสติกสีแรงๆ อย่างสีชมพูหรือสีแดงกำลังมาแรงบนแคทวอล์ค แต่หากแต่งหน้าแบบจัดเต็มแล้วยังทาลิปสติกสีฉูดฉาดด้วยนั้นถือว่ามากเกินไป จึงควรระวังให้ดีเพราะจะทำให้ดูเฉยเฉยเหมือนย้อนกลับไปยุคทศวรรษ 1980 หากทาลิปสติกสีฉูดฉาดก็ควรเผยผิวที่ดูสะอาดให้มากที่สุด และเลือกลิปสติกสีแดงๆที่ช่วยขับสีเสื้อผ้าจะดีกว่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: อยากสวยต้องกล้าแต่ง : แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

รอยตีนกาแก้ไขอย่างไร

0
รอยตีนกาแก้ไขอย่างไร
รอยตีนกา เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอยย่นบริเวณหางตา มีลักษณะเป็นเส้นที่มีเกิดขึ้นที่บริเวณหางตาและกระจายขยายวงกว้างออกไปบริเวณรอบ ๆ หางตา
รอยตีนกาแก้ไขอย่างไร
รอยตีนกา เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอยย่นบริเวณหางตา มีลักษณะเป็นเส้นที่มีเกิดขึ้นที่บริเวณหางตาและกระจายขยายวงกว้างออกไปบริเวณรอบ ๆ หางตา

รอยตีนกา

รอยตีนกา หรือริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณหางตา ( Crow’s feet ) เป็นริ้วรอยที่ผู้หญิงหรือแม้แต่ผู้ชายบางคนก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นบนใบหน้า เพราะทำให้ใบหน้าแลดูแก่มากขึ้น การเกิดรอยตีนกาก็ไม่สามารถหลีกหนี้ให้พ้นได้ ซึ่งรอยตีนกา คือ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอยย่นบริเวณหางตา มีลักษณะเป็นเส้นที่มีเกิดขึ้นที่บริเวณหางตาและกระจายขยายวงกว้างออกไปบริเวณรอบ ๆ หางตา รอยตีกาสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีอายุน้อยและผู้ที่มีอายุมาก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยตีนกาบนใบหน้ามีดังนี้ 

สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยตีนกาบนใบหน้า

1.อายุ

เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) เกิดขึ้นน้อยลง เนื่องจากปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) ที่ลดลง ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้น ( skin hydration ) และเพิ่มปริมาณคอลลาเจนภายในผิวหนัง โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเข้าไปช่วยเพิ่มปริมาณ type I procollagen mRNA และ type I procollagen protein และช่วยเพิ่มกระบวนการสร้าง transforming growth factor beta ( TGF- β ) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้าง fibroblasts ที่เป็นสารตั้งต้นในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินภายในร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogen ) น้อยลง คอลลาเจน ( Collagen ) ที่มีหน้าช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความหนาแน่นและช่วยให้ผิวมีความเรียบตึง และอีลาสติน ( Elastin ) ที่มีหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น พร้อมทั้งช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยมีปริมาณน้อยลง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินไปทดแทนส่วนที่สูญเสียไปได้อย่างเพียงพอ ทำให้บริเวณใต้ผิวหนังเกิดช่องว่างขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังที่อยู่ด้านบนมีการยุบตัวลงไปอยู่ในช่องว่างดังกล่าวแทนซึ่งเป็นที่มาของริ้วรอยและรอยตีนกานั่นเอง ดังนั้นเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นริ้วรอยก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่วนมากแล้วรอยตีนกาจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุย่างเข้า 30 ปี

2.การแสดงอารมณ์

การแสดงอารมณ์ที่รุนแรงและชัดเจนของใบหน้า เช่น การโกรธ การหัวเราะ การยิ้ม การขมวดคิ้ว การเลิกคิ้ว เป็นการทำให้เกิดริ้วรอยตีนกาได้ เนื่องจากการแสดงสีหน้าเพื่อบ่งบอกอารมณ์ของตนเองจะทำให้กล้ามเนื้อที่บริเวณใบหน้าเกิดการหดตัวขึ้น ซึ่งในช่วงแรกริ้วรอยและรอยตีนกาที่เกิดขึ้นจะเกิดเพียงชั่วคราวในขณะที่ทำการแสดงสีหน้าอารมณ์เท่านั้น แต่ถ้ามีการแสดงอารมณ์เช่นนั้นต่อเนื่องเป็นประจำแล้ว รอยตีนกาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวก็จะกลายเป็นรอยตีนกาที่คงอยู่ถาวร แม้ว่าไม่แสดงอารมณ์รอยตีนกาก็ยังปรากฏให้เห็นชัดเจน

3.พักผ่อนไม่เพียงพอ

การนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด การนอนควรนอนในช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. จนถึง 06.00 น. และควรนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันจะดีที่สุด เพราะการนอนในช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone/GH ) ที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมเซลล์ที่เกิดการสึกหรอให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไป โดยเฉพาะการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน การนอนพักผ่อนในช่วงเวลาดังกล่าวจึงทำให้ริ้วรอยเกิดขึ้นน้อยลง แต่ถ้าทำการพักผ่อนน้อยและเข้านอนช้ากว่า 24.00 น. แล้ว โอกาสที่ร่างกายจะทำการหลั่งโกรทฮอร์โมนเพื่อนำมาซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายมีน้อยมาก จึงทำให้เกิดริ้วรอยตีนกาได้มากขึ้นนั่นเอง

4.การสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้มาก เนื่องจากบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดแดงที่ทำหน้าที่นำสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ภายในร่างกายเกิดการตีบเล็กลง เส้นเลือดจึงไม่สามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ที่บริเวณหางตาได้ ทำให้เซลล์ที่บริเวณหางตาอ่อนแอและเหี่ยวแห้ง นอกจากนั้นสารนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่ยังสามารถเข้าไปยับยั้งการสร้างคอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) ได้มากถึง 40 % จึงทำให้ใบหน้าเกิดรอยตีนกามากกว่าคนที่มีอายุเท่ากันแต่ไม่ได้สูบบุหรี่อีกด้วย และสารนิโคตินยังมีส่วนในการกระตุ้นกระบวนการผลิตเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( matrix metalloprotenase หรือ MMPs ) ที่มีหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจนให้มีปริมาณที่มากขึ้น เมื่อเอนไซม์ชนิดนี้เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ปริมาณของคอลลาเจนลดลง

5.แสงแดด

แสงแดดประกอบด้วยรังสียูวีเอและยูวีบีที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในผิวชั้นในได้ รังสียูวีที่อยู่ในแสงแดดเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสามารถซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังชั้นในและทำการเปลี่ยนอยู่ในรูปของอนุมูลอิสระที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานของ Mitogen-Activated Protein ( MAP ) Kinase ให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง Mitogen-Activated Protein ( MAP ) Kinase มีหน้าที่ในการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( Matrix Metalloprotenase หรือ MMPs ) ที่ทำหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจน ส่งผลให้ปริมาณเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนสภายในร่างกายเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงการย่อยสลายคอลลาเจนมากขึ้น ส่งผลให้ช่องว่างที่บริเวณใต้ผิวมีเพิ่มขึ้นจึงทำให้ริ้วรอยตีนกามีปริมาณเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6.ความเครียด ( Oxidative stress )

เมื่อร่างกายเกิดความเครียดจากการทำงาน การเดินทาง การได้รับมลพิษเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูง เช่น ควันรถ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ร่างกายมีปริมาณสารอนุมูลอิสระ ( Free radical หรือ Reactive Oxygen species, ROS ) ภายในร่างกายสูงขึ้น โดยสารอนุมูลอิสระที่อยู่ภายในร่างกายจะเข้าไปยับยั้งกระบวนการสร้างคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวและกระตุ้นการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( MMPs ) ที่ย่อยสลายคอลลาเจน ส่งผลให้การสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นน้อยกว่ากระบวนการทำลายคอลลาเจน จึงทำให้รอยตีนกาเกิดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

รอยตีนกา คือ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นบริเวณรอยย่นบริเวณหางตา มีลักษณะเป็นเส้นที่มีเกิดขึ้นที่บริเวณหางตาและกระจายขยายวงกว้างออกไปบริเวณรอบ ๆ หางตา

การรักษารอยตีนกา

นอกจากอายุที่นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดรอยตีนแกแล้ว แสงแดด ความเครียดและการแสดงอารมณ์ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยตีนกามากขึ้น รวมถึงมลภาวะที่อยู่รอบตัวที่เต็มไปด้วยสารอนุมูลอิสระที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของเราแล้วจะเข้าไปขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ร่างกายสร้างได้น้อยลงและช่วยเพิ่มการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( Matrix Metalloprotenase หรือ MMPs ) ที่มีหน้าที่ในการย่อยสลายคอลลาเจนและอีลาสตินให้มีปริมาณมากขึ้น ซึ่งเราสามารถทำการรักษารอยตีนกาที่เกิดขึ้นได้ดังนี้

1.การทาครีมลบรอยตีนกา

การทาครีมที่ช่วยลบรอยตีนกาจะช่วยลบเลือนรอยตีนกาเป็นประจำสามารถช่วยลดรอยตีนกาที่เกิดขึ้นให้ค่อย ๆ จางลงได้ โดยปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาครีมลดเลือนรอยตีนกาเกิดขึ้นมากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในการลบรอยตีนกาที่เกิดขึ้น ซึ่งสารหลายชนิดที่สามารถช่วยลดรอยตีนกาได้ เช่น กรดไฮยาลูรอน ( Hyaluronic Acid ) ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและช่วยต่อต้านการสร้างอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากแสงแดด หรือครีมที่มีสาวนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากองุ่น สารสกัดจากชาเขียว สารสกัดจากกาแฟ เป็นต้น การทาครีมบำรุงผิวเพื่อลบรอยตีนกาเหมาะสำหรับรอยตีนกาที่มีความลึกไม่มากนัก 

2.การฉีดโบท็อกซ์ ( Botox )

การฉีดโบท็อกซ์ ( Botox ) หรือสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ( Botulinum toxin A ) เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกิดการหดตัวให้มีการคลายตัวทำให้รอยตีนกาที่เกิดขึ้นจากการแสดงอารมณ์จนกล้ามเนื้อเกิดการหดตัวกลับมาเรียบตึงได้เหมือนเดิม โดยสารชนิดนิวโรท็อกซิน ( Neurotoxin ) ที่อยู่ในสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ( Botulinum toxin A ) จะเข้ายับยั้งการทำงานของเส้นประสาทอะซิทิลคอลีน ( Acetylcholine ) ที่มีหน้าที่ปล่อยสารสื่อประสาทควบคุมการยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นประสาทอะซิทิลคอลีนไม่สามารถทำการปล่อยสารสื่อประสาทออกมาได้ กล้ามเนื้อที่หดตัวอยู่จึงเกิดการคลายตัวและกลับมาเรียบตึง หลังจากที่ทำการฉีกแล้วประมาณ 7 วัน รอยตีนกาที่มีอยู่จะหายไป การฉีดโบท็อกซ์จะคงอยู่เพียง 6-8 เดือนเท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องฉีดเพิ่มตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดจึงจะทำให้รอยตีนกาที่เกิดขึ้นหายไปได้ และการฉีดต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

3.การฉีดฟิลเลอร์ ( FILLER )

ฟิลเลอร์ ( FILLER ) คือ สารไฮยารูโรนิก แอซิต ( Hyaluronic acid หรือ HA ) ที่ได้มาจากสารสกัดธรรมชาติ จัดเป็นสารเติมเต็มที่ทำการฉีดเข้าสู่บริเวณช่องว่างที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังเพื่อช่วยเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เป็นการลดรอยตีนกาอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นสารที่มีความปลอดภัยสูง ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หลังจากฉีดฟิลเลอร์ประมาณ 7 วัน รอยตีนกาก็จะหายไปเพราะฟิลเลอร์จะเข้าไปอยู่ในช่องว่างที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนังแทนคอลลาเจนและอีลาสตินที่สูญเสียไปตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวหนังกลับมาเต่งตึงเรียบเนียนเหมือนเดิม การฉีดฟิลเลอร์จะคงอยู่ได้นานเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ ส่วนมากจะนิยมใช้ฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราวที่มีผลอยู่ได้ประมาณ 4- 6 เดือนเพราะมีความปลอดภัยสูงที่สุด

4.การฉายแสงเลเซอร์ ( Laser )

การฉายแสงเลเซอร์เข้าไปสู่บริเวณหางตาสามารถช่วยลบรอยตีนกาแบบระยะสั้น โดยแสงเลเซอร์จะเข้าไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่หมดอายุให้หลุดลอกออกมาแล้ว ยังเข้าไปกระตุ้นการบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ใต้ผิวให้มีการผลิตมากขึ้นเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไป ทำให้รอยตีนกาที่เกิดขึ้นหายไป ผิวหนังกลับมาเต่งตึงดังเดิม ซึ่งการฉายแสงเลเซอร์จะสามารถลบรอยตีนกาได้ประมาณ 3-4 เดือนต่อการฉายหนึ่งครั้ง

5.การผ่าตัดเพื่อลบรอยตีนกา

การผ่าตัดเพื่อลบรอยตีนกาหรือการผ่าตัดยกคิ้ว เป็นการผ่าตัดที่สามารถช่วยลดรอยตีนกาที่บริเวณหางตาที่ได้ผล โดยจะทำการฉีดยาชาไปที่บริเวณหางตา ทำการเปิดแผลยาว 4-5 เซนติเมตร เพื่อดึงผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณหางตาให้ตึง และตัดผิวหนังและกล้ามเนื้อส่วนเกินออกไปแล้วจึงทำการเย็บปิดแผล ซึ่งรอยแผลที่เกิดขึ้นจะทำการเย็บซ่อนที่บริเวณขมับที่มีเส้นผมปิดบังอยู่ ซึ่งการผ่าตัดจะสามารถลบรอยตีนกาได้ระยะยาวหลายปีเลยทีเดียว

การป้องกันรอยตีนกา

จะพบว่าการรักษารอยตีนกานั้นเป็นการรักษาแบบชั่วคราวไม่มีวิธีการที่สามารถรักษารอยตีนกาให้หายไปได้ตลอดชีพ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นผิวหนังก็จะมีความเสื่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อรักษารอยตีนกาให้หายแล้ว เราควรที่จะทำการป้องกันรอยตีนกาไม่ให้กลับมาเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งการป้องกันสามารถช่วยชะลอการเกิดรอยตีนกาและช่วยยืดอายุของการลบรอยตีนกาให้คงอยู่บนใบหน้าของเราให้นานขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษารอยตีนกาและช่วยให้ใบหน้าอ่อนเยาว์นานขึ้นอีกด้วย ซึ่งการป้องกันรอยตีนกาสามารถทำได้ดังนี้

1.เลือกรับประทานผักผลไม้

ผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม โดยสารต้านอนุมูลอิสระนี้จะเข้าไปจับตัวกับอนุมูลอิสระที่อยู่ภายในร่างกายและขับออกจากร่างกาย ทำให้ไม่สามารถเข้ามารบกวนการทำงานของระบบการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้ รวมถึงลดการสร้างเอนไซม์เมทริกซ์เมทัลโลโปรตีเนส ( Matrix Metalloprotenase หรือ MMPs ) ให้มีปริมาณน้อยลงด้วย และน้ำในผักผลไม้ยังสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ได้อีกด้วย

2.การพักผ่อนให้เพียงพอ

ร่างกายจะสามารถฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอได้ในขณะที่ทำการนอนหลับสนิท โดยเฉพาะการนอนในช่วงกลางคืนตั้งแต่ 22.00 น. – 6.00 น. ดังนั้นการพักผ่อนตามเวลาดังกล่าวจะทำให้รอยตีนกาเกิดขึ้นได้น้อยนั่นเอง 

3.หลีกเลี่ยงรังสียูวี

รังสีอัตราไวโอเลตหรือรังสียูวีที่มีอยู่ในแสงแดดหรือแม้แต่แสงจากเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือต่างก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดรอยตีนกาทั้งสิ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงรังสียูวีไม่ให้สัมผัสและซึมเข้าสู่ผิวหน้าด้วยการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ใส่หมวกและแว่นตากันแดด เมื่อจำเป็นต้องออกกลางแจ้งจะช่วยลดการซึมเข้าสู่ผิวของรังสียูวีได้เป็นอย่างดี

4.ทาครีมบำรุงผิว

การทาครีมบำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว เป็นการป้องกันการเกิดรอยตีนกาอย่างได้ผล ซึ่งในปัจจุบันนี้มีการพัฒนาครีมหลายชนิดขึ้นมาเพื่อป้องกันการเกิดรอยตีนกา เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของสารไฮยาลูรอนิค ( Hyaluronic Acid ) หรือมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารสกัดจากชาเขียว เมล็ดกาแฟ เป็นต้น การครีมที่ดีต้องทำการนวดบริเวณหางตาร่วมด้วย เพื่อให้ครีมสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้น และยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่บริเวณหางตา ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อซึ่งเป็นที่มาของรอยตีนกาได้อีกด้วย

การป้องกันรอยตีนกาตามวิธีข้างต้นสามารถป้องกันไม่ให้เกิดรอยตีนกาก่อนวัยอันควรอย่างได้ผล และยังช่วยเพิ่มระยะเวลาการกลับมาของรอยตีนกา ทำให้ใบหน้าเรียบเนียนปราศจากรอยตีนกายาวนานขึ้น เมื่อทำการรักษารอยตีนการรวมกับการป้องกันอย่างต่อเนื่อง ที่นี้เราก็จะมีใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ปราศจากรอยตีนกาไปอีกหลายปี

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Wang-Michelitsch, Jicun; Michelitsch, Thomas (2015). “Tissue fibrosis: a principal evidence for the central role of Misrepairs in aging”. arXiv:1505.01376 Freely accessible.

Sarifakioglu, Nedim; Terzioglu, A.; Ates, L.; Aslan, G. (2004). “A New Phenomenon: ‘Sleep Lines’ on the Face”. Scan J Plast Reconstr Surg Hand Surg. 38 (4): 244–247. doi:10.1080/02844310410027257.

บำรุงริมฝีปากให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น

0
บำรุงริมฝีปากให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น
การรักษาริมฝีปากให้เรียบเนียนและชุ่มชื้นนั้นไม่ยากเลย แค่หมั่นทาลิปบาล์มที่อุดมไปด้วยวิตามินและมอยเจอร์ไรเซอร์จนทุกๆคืนก่อนเข้านอนเป็นนิสัย
บำรุงริมฝีปากให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น
การรักษาริมฝีปากให้เรียบเนียนและชุ่มชื้นนั้นไม่ยากเลย แค่หมั่นทาลิปบาล์มที่อุดมไปด้วยวิตามินและมอยเจอร์ไรเซอร์จนทุกๆคืนก่อนเข้านอนเป็นนิสัย

บำรุงริมฝีปาก

บำรุงริมฝีปาก ด้วยลิปสติก ลิปสติก ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องสำอางธรรมดาๆอย่างที่คิด แต่เป็นสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งหน้า สมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่นั้นเวลาที่ส่องดูโต๊ะเครื่องแป้งของคุณแม่เรามักจะหยิบลิปสติกขึ้นมาเป็นอันดับแรกสุด เพราะสีลิปสติกทำให้ภาพลักษณ์ของคนเปลี่ยนไป สีสันของแต่ละวันนั้นจะแตกต่างกันไปตามสีลิปสติกที่เลือก จากภาพลักษณ์บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเป็นยั่วยวน จากเซ็กซี่เป็นฉลาดเฉลียว จากเย็นชาเป็นกระตือรือร้น ลิปสติกสามารถบำรุงริมฝีปาก ให้เปลี่ยนภาพลักษณ์ได้จากหน้ามือเป็นหลังมือในเวลาสั้นๆ

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ไอเท็มสำหรับริมฝีปากนั้นเรียบง่ายแต่การเลือกสีลิปสติกไม่ง่ายเลย

1.ลิปบาล์ม

จุดเริ่มต้นของริมฝีปากชุ่มชื้นและสุขภาพดี ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องใช้ลิปบาล์ม ในขั้นตอนของการบำรุงริมฝีปากควรซื้อลิปบาล์มที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนริมฝีปากและทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นไว้ด้วยซักชิ้น

2.ลิปสติกสี

ลิปสติกมีหลายประเภท ทั้งลิปกลอส ลิปทินต์ ลิปไลเนอร์ และชนิดอื่นๆ แนะนำให้เลือกซื้อลิปสติกสีที่ชอบไว้หลายๆชิ้นเพื่อจะได้เข้าชุดต่างๆในแต่ละวัน

3.แปรงทาปาก

แม้แต่ความแตกต่างของขอบริมฝีปากเส้นบางๆก็สามารถกำหนดภาพลักษณ์ของเราได้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่งดงามแล้ว แปรงทาปากคือสิ่งจำเป็น

4.เอกซ์โฟลิเอเตอร์สำหรับริมฝีปาก

เป็นไอเท็มที่ใช้กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนริมฝีปาก

5.คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอ

ใช้แต่งขอบริมฝีปาก ข้อดีคือทำให้ลิปสติกดูสวยและไม่เลอะเทอะ

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การดูแลริมฝีปากให้ชุ่มชื้นดูน่าจูบ

  • มาทาลิปบาล์มทุกวันกันเถอะ
    ถึงแม้ว่าจะเผยผิวสวยสมบูรณ์แบบและทาลิปสติกสีสันชวนลุ่มหลงก็ตาม แต่หากเล็ก 10 บาทดูบวมแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เร็ว 10 บาทเรียบเนียนและชุ่มชื้นไม่เพียงจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจในการแต่งหน้า แต่ยังทำให้ภาพลักษณ์ดูผ่อนคลายด้วย เคล็ดลับในการรักษาริมฝีปากให้เรียบเนียนและชุ่มชื้นนั้นไม่ยากเลย แค่หมั่นทาลิปบาล์มทุกวันจนเป็นนิสัย ทุกๆคืนก่อนเข้านอนให้ทาลิปบาล์มที่อุดมไปด้วยวิตามินและมอยเจอร์ไรเซอร์ บางครั้งการใช้มาสก์สำหรับริมฝีปากชนิดแผ่นก็ยิ่งดี
  • ใส่ใจกับการกำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพบนริมฝีปาก
    เวลาที่ไม่มีเอกซ์โฟลิเอเตอร์สำหรับกำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพบนริมฝีปาก ให้ป้ายวาสลีนบนแปรงสีฟันสำหรับเด็กแล้วขัดริมฝีปากอย่างเบามือ จุ่มผ้านุ่มนุ่มๆในน้ำอุ่นแล้วแตะเบาๆลงบนริมฝีปาก ก่อนจะหาน้ำผึ้งซึ่งอุดมไปด้วยความชุ่มชื้น ห้ามดึงขุยที่ปากออกมาเด็ดขาด และห้ามเลียริมฝีปากด้วย
  • ป้องกันริ้วรอยที่ปากกันดีกว่า
    สิ่งที่ผู้หญิงทั้งหลายกว่ากันมากที่สุดเมื่ออายุมากคงหนีไม่พ้นริ้วรอยที่ปากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งเวลาที่ทาลิปสติกจะยิ่งทำให้เห็นริ้วรอยง่ายขึ้นไปอีก ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันริ้วรอยไว้แต่เนิ่นๆ หลังจากล้างหน้า ควรบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้นและมันนวดริมฝีปากอยู่เสมอ เวลาทาอายครีมก็ให้ใช้อายครีมทาบริเวณรอบรอบริมฝีปากและคอยนวดไปด้วยจะช่วยป้องกันริ้วรอยรอบริมฝีปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดริมฝีปาก
    ในวันที่ดื่มเครื่องดื่มจำพวกวายหรือเครื่องดื่มที่มีสี ตอนล้างหน้าเราอาจจะไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่วันต่อมาอาจพบว่าสีของเครื่องดื่มที่ดื่มไปนั้นยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก หากทาลิปบาล์มหรือลิปกลอสก่อนดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้จะทำให้สีของเครื่องดื่มติดที่ริมฝีปากน้อยลง นอกจากนั้นในวันที่ทาลิปสติกสีเข้มมากๆควรใช้คลีนซิ่งล้างทำความสะอาดริมฝีปากให้หมดจดด้วย หากใช้เมคอัพรีมูฟเวอร์หรืออายรีมูฟเวอร์ควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดออกอย่างเบามือ

สนุกกับริมฝีปากด้วยประเภทของลิปสติกต่างๆ

ลิปสติกสีที่เข้ากับคนและค้นทาแล้วรู้สึกดีนั่นแหละคือลิปสติกที่คนต้องการ ลองเปลี่ยนสีรถสติไปตามอารมณ์และสไตล์ในแต่ละวันของคุณ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ลิปสติกเนื้อเชียร์
เป็นลิปสติกที่มีคุณสมบัติระหว่างลิปสติกธรรมดากับลิปกลอส มีเม็ดสีผสมอยู่ในลิปสติกประเภทนี้ไม่มาก เมื่ออยู่ในแท่งอาจดูมีสีเข้ม แต่ทาบนริมฝีปากแล้วจะได้สีอ่อนกว่าที่เห็น เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ชอบลิปสติกสีจัด และอยากให้ริมฝีปากดูเนียนสวยอย่างเป็นธรรมชาติ

ลิปชิมเมอร์
เป็นลิปสติกที่ผสมมุก ทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ดูฉ่ำ และแวววาว ข้อดีคือให้สีที่นุ่มนวลและเหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณริมฝีปาก

ลิปสติกชนิดครีม
เป็นลิปสติกที่มีความชุ่มชื้นและให้สีที่เด่นชัด จะมีเม็ดสีที่บางเบามากกว่า และไม่มันวาวมากจนเกินไป ไม่ทำให้ปากแห้ง หากคุณชอบลิปสติกที่ให้สีสดใสหรือชอบลิปสติกที่มีความแวววาว ลิปสติกประเภทนี้เหมาะกับคุณที่สุด

ฟรอสตี้ลิปสติก
เป็นลิปสติกที่มีเนื้อสีเข้มข้น มีประกายมุกและมีส่วนผสมของกริตเตอร์ ทาแล้วริมฝีปากจะดูเปล่งปลั่งสดใสและมีประกาย แต่ไม่มันวาวจนเกินไป

ลิปกลอส
เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ทาบนปากให้ความชุ่มชื้นและมีความแวววาวแต่ติดไม่ทน สีอ่อนๆ เจือจาง มีทั้งเป็นแบบเหลวหรือแบบก้อนในตลับจึงอาจทำให้ต้องทาซ้ำหลายรอบ

ลิปสเตน ลิปทินต์
ลิปสเตนมีจุดกำเนิดมาจากผลิตภัณฑ์แบบลิควิดและเจล มีเม็ดสีผสมอยู่ จึงให้สีที่เป็นธรรมชาติเหมือนกับสีที่ติดริมฝีปากเด็กเวลากินขนมหวาน ลิปสติกประเภทนี้จะไม่เหมือนกับลิปสติกทั่วไปหรือลิปกลอสที่มีเนื้อลื่นลื่นๆ ในกรณีที่ริมฝีปากซีดหรือไม่รู้ทน สีของริมฝีปากตนเอง ให้ทาลิปสเตนเป็นเบสรองไว้ก่อน ทาลิปกลอสหรือลิปสติก เพราะจะช่วยให้สีดูสดขึ้น

ลิปสติกเนื้อแมตต์
ลิปสติกประเภทนี้มีความเข้มข้นของเนื้อสีชัดมากที่สุด เป็นลิปสติกเนื้อด้านที่ไม่มีความมันวาว ทาแล้วจะแห้ง ติดทนนานและอยู่ได้ทั้งวัน สำหรับสาวๆที่มีปัญหาปากแห้งอาจจะไม่เหมาะ เพราะจะทำให้ตกร่อง และเป็นคราบ แนะนำให้ทาลิปบาล์มที่ริมฝีปากให้หนาและชุ่มชื้นก่อนทาลิปสติก  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ลิปไลเนอร์
ลิปไลเนอร์ หรือดินสอเขียนขอบปาก ใช้สำหรับเน้นขอบและเรียวปากให้ชัดขึ้น มักจะใช้เป็นสีที่ใกล้เคียงกับลิปสติก โดยใช้วาดขอบก่อนลงลิปสติก จะช่วยให้ริมฝีปากสวยและคมชัดมากขึ้น

สีของลิปสติกช่วยปรับสีผิว

หากผิวมีรอยแดง
ควรหลีกเลี่ยงโทนสีแดง และเลือกใช้โทนสีชมพูอ่อน พีชอ่อน หรือโทนสีกลางกลางประเภทสีนู้ดหรือสีเบจ จะช่วยกลบเกลื่อนไม่ให้เห็นรอยแดงได้

หากผิวซีดเหมือนคนป่วย
ควรเลือกใช้โทนสีอุ่นอุ่นที่ให้ใบหน้าดูมีสีสัน เช่น สีน้ำตาลแดง สีชมพูแดง หรือสีชมพูพีช เป็นต้น

หากสีผิวหมองคล้ำ
ควรเลือกใช้ลิปสติกแบบเนื้อแมตต์สีฮ็อตพิ้งค์ สีพีช สีส้ม หรือโทนสีแดงสด จากนั้นควรทาลิปกลอสทับด้วย

ปกปิดจุดบกพร่องด้วยลิปสติก

หากคนมีริมฝีปากใหญ่และหนา
หากเลือกทาลิปสติกเนื้อแมทโทนสีธรรมชาติ คุณเองก็จะมีริมฝีปากที่น่าหลงใหลเหมือนแองเจลิน่า โจลี ได้เช่นกันสีที่ควรหลีกเลี่ยงคือสีแดงๆที่ดึงดูดสายตาผู้คน

หากคุณมีเส้นขอบปากเลือนรางไม่ชัดเจน
ใช้ลิปอายไลเนอร์แบบดินสอหรือลิปคอนซีลเลอร์วาดรูปปากให้สวยงามก่อนจะทาลิปสติกผสมมอยส์เจอไรเซอร์และลิปกลอสทับ จะช่วยให้ลิปสติกติดทนนานและเพิ่มความอวบอิ่มได้ในเวลาเดียวกัน

หากคุณมีริมฝีปากบางเล็ก
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ผสมมุกหรือแบบกลอส ลิปสติกเนื้อเชียร์จะช่วยให้ริมฝีปากเล็กๆดูสวยน่ารักขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หากคนมีขนาดริมฝีปากบนและล่างไม่เท่ากัน
ใช้ลิปสติก 2 สีที่มีโทนสีใกล้เคียงกัน สีสว่างให้ใช้กับริมฝีปากที่บาง และทาสีเข้มบริเวณริมฝีปากที่หนา การใช้ลิปสติก 2 โทนนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูสวยขึ้นมาทันที

ลิปสติก 3 ชนิดที่ต้องมีไว้

1.ลิปกลอสแบบเอกซ์ตรีม หากมีริ้วรอยบริเวณริมฝีปากหรือริมฝีปากบาง ลิปประเภทนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มขึ้น

2.ลิปสติกโทนกลางๆ การทาลิปสติกโทนสีธรรมชาติที่มีประกายมุกเล็กน้อยนั้นทำให้คุณดูเจิดจรัสได้

3.ลิปทินต์และลิปบาล์ม ใช้ได้ทุกวันอย่างหายห่วง ควรพกลิปสติกโทนสีเดียวกับสีริมฝีปากธรรมชาติของตนเองไว้ด้วย

เคล็ดลับ 5 ประการในการทาลิปสติกให้ออกมาดูดี

1. หากใช้ดินสอเขียนขอบปากเขียนออกไปด้านนอกให้หนากว่าเส้นขอบปากเดิมเพียง 1 มิลลิเมตร ก็ทำให้ริมฝีปากมีวอลลุ่มและดูอวบอิ่มได้
2. ถ้าลิปสติกสีสดใสบางๆบริเวณด้านในของขอบริมฝีปากเท่านั้น จากนั้นให้ใช้นิ้วเบลนด์ลิปสติกเพื่อให้ดูน่ารักและเป็นธรรมชาติ
3. เวลาทาลิปสติกสีแมตต์ ให้ทารองพื้นสีอ่อนๆทับริมฝีปากก่อน จากนั้นค่อยทาลิปสติกเพิ่มความคมชัด เวลาทาลิปสติกสีสันฉูดฉาดอย่างสีชมพูสดหรือสีนีออน ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้
4. ถ้าอยากคงความแวววาวเหมือนลิปกลอสเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูคม ให้ทาลิปทินต์ ก่อนทาลิปสติกเนื้อบางเบาหรือนุ่มลื่น
5. ถึงแม้จะเป็นลิปสติกสีแดงเหมือนกัน แต่คนผิวคล้ำให้ทาสีม่วงแดง คนผิวขาวทาสีแดงสด สีม่วงแดงให้ความรู้สึกเซ็กซี่ ส่วนสีแดงสดนั้นให้ความรู้สึกคลาสสิก

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เบสเมคอัพสำหรับริมฝีปาก 3 ขั้นตอน

1.ทาลิปบาล์ม หากไม่ชอบความเหนอะหนะให้ใช้ลิปสติกแบบแท่ง หากต้องการความชุ่มชื้นให้ใช้แบบครีมหรือแบบบางเนื้อนุ่ม

2.ตกแต่งรอบริมฝีปาก ใช้คอนซิลเลอร์จัดการกับบริเวณรอบริมฝีปาก ขอบปากที่ไม่ชัดเจน และริ้วรอยรอบริมฝีปาก

3. ใช้แป้งหยุดยึดเมคอัพเบส ใช้แป้งฝุ่นกดแป้งปกปิดบางๆ และทำให้สีลิปสติกติดทนนาน

การแต่งขอบปากให้สวยได้รูปด้วยลิสติก

โดยปกติแล้ว เส้นขอบปากที่อยากเป็นรูปหัวใจ เส้นขอบปากด้านในที่เป็นเส้นตรง เวลาหุบปาก ริมฝีปากที่หนากำลังดี มุมปากที่ยกสูงเล็กน้อย ลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นริมฝีปากที่สวยงาม แต่สำหรับคนที่ริมฝีปากบาง หนา ขอบริมฝีปากไม่ชัด หรือให้อยากเป็นรูปหัวใจ

ริมฝีปากบาง

ทำริมฝีปากบางให้ดูอวบอิ่ม
ใช้ลิปสติกชนิดดินสอเขียนขอบริมฝีปากด้านนอกแล้วไล่เข้ามาในด้านในอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นทาคอนซีลเลอร์รอบรอบเส้นลิปสติกให้ดูสะอาดตา แล้วใช้ลิปกลอสหรือลิปสติกเนื้อมันวาวทาริมฝีปากให้เต็ม จะช่วยให้ริมฝีปากดูมีวอลลุ่ม
ทำริมฝีปากใหญ่หนาให้ดูคม
ขณะที่ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอแต่งขอบปาก ให้จำไว้ว่าต้องลดขนาดริมฝีปากลงมาเพียง 1 มิลลิเมตร ใช้ลิปสติกเนื้อแมตต์โทนสีธรรมชาติตกแต่งให้ดูเป็นธรรมชาติ จะทำให้ริมฝีปากที่น่าหนักใจนั้นดูดีขึ้น
ทำริมฝีปากที่หมองคล้ำให้ดูสะอาดตา
ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ สีริมฝีปากก็ดูไม่สว่างสดใสและริมฝีปากดูบ้านออกด้านข้าง ให้ใช้ดินสอคอนซีลเลอร์แต่งบริเวณรอบริมฝีปากที่หมองคล้ำ จากนั้นทาลิปสติกโทนสีธรรมชาติตามแต่บรรยากาศ

ริมฝีปากรูปหัวใจ

ทำริมฝีปากรอยหยักแหลมให้ดูกลม ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอเขียนขอบปากบริเวณรอยหยักด้านบนทั้งสองด้านให้โค้งเป็นวงกลมต่ำๆ

หากริมฝีปากไม่มีรอยหยัก ให้ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอเขียนริมฝีปากด้านบนให้เหมือนรอยหยักด้านบนของรูปหัวใจ

แต่งริมฝีปากให้ดูแนบเนียน

เวลาที่จัดแต่งรูปริมฝีปาก ให้ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดดินสอโทนสีเดียวกับสีผิว เพื่อให้ลิปสติกทั้งติดแน่นและทนทาน หากใช้ดินสอเขียนขอบปาก ต้องเลือกลิปสติกสีเดียวกันจึงจะดูเป็นธรรมชาติ

ลิปสติกสีชมพูเผยความน่ารักของหญิงสาว

สีชมพูก็เป็นสียอดฮิต ที่ไม่เคยตกเทรนด์แม้แต่ครั้งเดียว แถมยังเป็นสีที่ดูน่ารักอยู่เสมอ และเป็นสีที่เลือกใช้ได้โดยไม่รู้สึกหนักใจ มีลิปสติกสีชมพูเพียงแท่งเดียวก็เปลี่ยนลุคได้อย่างสิ้นเชิง โดยขึ้นอยู่กับวิธีการทา สี และเนื้อลิปสติก

ริมฝีปากสีชมพูน่ารักส่องแสงแวววาว

  • แต่งเมคอัพเบสแบบเปลือยผิวหน้าชุ่มชื้น
  • ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดลิควิดสีสว่างทาขอบปากและปกปิดริ้วรอยโดยรอบ แล้วแต่งริมฝีปากให้ดูเป็นรูปหัวใจ
  • ใช้ลิปกลอสแต้มๆริมฝีปาก นอกจากจะทำให้ดูเด็กแล้วยังทำให้ริมฝีปากดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย
    หากใช้อายไลน์เนอร์ชนิดดินสอสีขาวเขียนขอบตาด้านล่างจะให้ความรู้สึกของสาวน้อยไร้เดียงสาและดูสะอาดตา

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ริมฝีปากชมพูสีชิคติดเทรนด์

  • แต่งเมคอัพเบสแบบผิวแกลมบรอนซ์
  • ทาแป้งฝุ่นบนริมฝีปากบางๆ เพื่อให้สีลิปสติกติดทนทาน
  • ทาลิปสติกฮ็อตพิ้งค์เนื้อแมตต์ด้วยแปรงทาลิปสติกเพื่อให้ริมฝีปากดูชัดสะอาดตา และให้ความรู้สึกละเอียดอ่อน
    ถ้าเขียนขอบตาล่างด้วยอายไลเนอร์ชนิดดินสอสีทองจะให้ลุคสวยคม

ลิปสติกแดงคลาสสิคตลอดกาล

ลิปสติกสีแดงเป็นที่ต้องการของสาวๆทุกยุคทุกสมัยทุกแห่งหน การทาลิปสติกสีแดงในชีวิตประจำวันนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ลิปสติกสีนี้ยังเป็นไอเทมคลาสสิคตลอดกาลที่ขาดไม่ได้ เป็นเพราะว่าเพียงทาลิปสติกสีแดงก็เปลี่ยนลุคคุณให้อยู่ในลุคงานปาร์ตี้ที่แสนยอดเยี่ยม ลูกสาวสีแดงสง่างามหรือลูกสาวโลลิต้าเซ็กซี่ที่ดูเย็นชาได้

ริมฝีปากแดงน่ารักอ่อนเยาว์

  • ลงเมคอัพเบสแบบผิวสะอาดใสไร้จุดด่างดำ
  • ทาลิปสติกสีแดงยั่วยวนเนื้อชุ่มชื้นโดยการแต้มเป็นจุดจุดให้ทั่วริมฝีปาก
  • ใช้นิ้วแตะเกลียดลิปสติกจนกระทั่งสีลิปสติกซึมซาบทั่วริมฝีปากอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ถ้าลิปกลอสให้ริมฝีปากดูแวววาว
    เวลาลงเมคอัพเบสให้ใช้ทินต์ที่ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือรองพื้นแบบน้ำเพื่อให้ผิวดูกระจ่างใส และควรใช้แป้งให้น้อยที่สุด

ริมฝีปากสีแดงเข้มสไตล์สาวยุคใหม่

  • ลงเมคอัพเบสแบบผิวเนียนนุ่มที่มีความแวววาว
  • ใช้คอนซีลเลอร์แต่งรอบริมฝีปาก
  • ขีดเส้นแบ่งบริเวณกลางริมฝีปาก จากนั้นขึ้นโครงลิปสติกโดยเริ่มจากมุมปากมายังตรงกลาง
  • ค่อยๆใช้แปรงเติมลิปสติกให้ทั่วริมฝีปาก
    ผิวที่แต่งจนสวยสมบูรณ์ได้รองพื้นและแป้ง เมื่อทาลิปสติกสีแดง ถึงแม้จะดูเซ็กซี่ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกเรียบร้อยด้วย

การรักษาริมฝีปากให้เรียบเนียนและชุ่มชื้นนั้นไม่ยากเลย แค่หมั่นทาลิปบาล์มที่อุดมไปด้วยวิตามินและมอยเจอร์ไรเซอร์จนทุกๆคืนก่อนเข้านอนเป็นนิสัย

การทำความสะอาดใบหน้าสำคัญตั้งแต่ต้นจนจบ

เตรียมผิวยามเช้าให้ชุ่มชื่นและสดชื่น
ถ้าไม่ใช้กลางฤดูร้อนที่หน้ามันอย่างรุนแรงหรือมีผิวธรรมชาติที่ค่อนข้างมัน ในตอนเช้าให้ลดการใช้โฟมล้างหน้าหรือสบู่แล้วล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น เพราะน้ำมันที่ผลิตขึ้นมาตามธรรมชาติและดองกันคืนถือเป็นปราการธรรมชาติที่ช่วยรักษาผิวให้ชุ่มชื้น หัวใจสำคัญของการล้างหน้าในตอนเช้าคือ การกำจัดฝุ่นและน้ำมันส่วนเกินออกเพื่อให้แต่งหน้าได้สวย ถ้าผิวในยามเช้าที่เซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกมาจนไม่เนียนเรียบ ให้ใช้สารทำความสะอาดที่อ่อนโยนไร้สารกระตุ้น หรือเอกซ์โฟลิเอเตอร์ หลังจากใช้เอกซ์โฟลิเอเตอร์แล้ว อย่าลืมดูแลเรื่องความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นด้วย

ล้างให้สะอาดเอี่ยมถึงร่องรูขุมขน
การล้างหน้าในยามกลางคืนเป็นการปลดปล่อยผิวที่ทนทุกข์ทรมานกับเครื่องสำอางและสารตกค้างจากมลพิษหลากหลายชนิดมาตลอดทั้งวัน และนอกจากนั้นเรายังต้องทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวเป็นประจำทุกวัน ซึ่งยิ่งทำให้เราต้องทำความสะอาดรูขุมขนให้สะอาดมากขึ้นเป็นพิเศษ อันดับแรกกำจัดเครื่องสำอางออกให้หมดจดด้วยคลีนซิ่งมิลค์ เจล หรือออยล์ และต้องปิดท้ายด้วยการใช้โฟมหรือสบู่ ทำความสะอาดหน้าซ้ำสอง หลังจากกำจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ในผิวออกหมดจดแล้ว ต้องแทนที่สิ่งนั้นด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์และสารบำรุงผิว ใช้ปลายนิ้วกดนวดให้ทั่วเพื่อให้ครีมบำรุงซึมซาบสู่ชั้นผิวจนกว่าผิวจะซึมซับความชุ่มชื้นจากสกินแคร์ได้ ผิวที่ซึมซับสารอาหารนั้นจะได้รับการฟื้นฟูอย่างยอดเยี่ยมในช่วงกลางคืน

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตาอย่างหมดจด
ถ้าไม่ลบสโมคกี้อายหรืออายไลเนอร์สีเข้มออกให้ถูกวิธี สีผิวบริเวณรอบดวงตาจะค่อยๆเปลี่ยนไป ทำความสะอาดรอบดวงตานั้นจึงต้องพิถีพิถันและอ่อนโยน ห้ามขยี้ตาแรงๆ การทำความสะอาดมาสคาราชนิดกันน้ำให้สะอาดหมดจดนั้น ให้ใช้อายรีมูฟเวอร์ซึ่งเป็นน้ำยาทำความสะอาดรอบดวงตาโดยเฉพาะ เทใส่สำลีสำหรับลบเครื่องสำอางให้ชุ่ม แล้ววางไว้บนเปลือกตาลาว 10 วินาทีจากนั้นค่อยๆเสร็จลงมาด้านล่างอย่างอ่อนโยน แล้วก็เช็ดขึ้นไปตามแนวขนตาหลายๆครั้ง สำหรับบริเวณแนวขนตาด้านในนั้นให้ใช้สำลีก้านจุ่มอายรีมูฟเวอร์แล้วเช็ดบริเวณเส้นขนตาจะลบออกได้ง่ายขึ้น

แนะนำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวต่างๆ

1. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ไร้สารกระตุ้นและช่วยปลุกผิวให้ตื่นขึ้นอย่างสดชื่น

  • Herbal Soap สบู่สมุนไพรจากธรรมชาติที่ผลิตจากกลีเซอรีนบริสุทธิ์ ปราศจากน้ำหอมและสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวซึ่งจะไม่เป็นอันตรายต่อผิวพรรณ สามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างอ่อนโยน เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและช่วยบำรุงผิวในตัว ใช้ได้กับทุกสภาพผิวหรือผิวบอบบางแพ้ง่าย
  • Clarins Water Comfort One-Step Cleanser น้ำที่สกัดจากลูกพีช ทำความสะอาดผิวได้อย่างอ่อนโยน และช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง
  • Fresh Cucumber Cleansing Foam Foam cleanser โฟมคลีนเซอร์กลิ่นแตงกวาอ่อนๆ ทั้งอ่อนโยนและสดชื่น เหมาะสำหรับผิวมัน
  • Kiehl’s Foaming Non-Detergent Washable Cleanser Cleanser ที่อ่อนโยนและสดชื่น เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวมัน

2. เมคอัพรีมูฟเวอร์สำหรับดวงตาที่ระคายเคืองได้ง่าย

  • Lancôme Bi-Facil ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์จากธรรมชาติปริมาณมาก เนื้อผลิตภัณฑ์นุ่มและอ่อนโยน
  • VIDIVCI Professional Lip & Eye Remover ลบเครื่องสำอางหนักหนักได้ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง อีกครั้งยังคงความชุ่มชื้นไว้
  • Kiss Me Active Girl Mascara Remover ใช้แปรงจุ่มรีมูฟเวอร์แล้วปัดไปตามขนตา จะช่วยลบเรือนเครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น

3. ทำความสะอาดให้มีประสิทธิภาพสูงและช่วยให้ผิวผ่อนคลาย

  • VIDIVICI Creamy Soft Cleanser คลีนเซอร์ชนิดแป้ง ทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก กระชับรูขุมขน และจัดการกับเซลล์ผิวเสื่อมสภาพทั้งหมดในขั้นตอนเดียว
  • Shu Uemura White Recovery EX+ Brightening Cleansing Oil คลีนเซอร์ชนิดออยล์ ทำความสะอาดผิวได้อย่างยอดเยี่ยม และทำให้ผิวขาวกระจ่างใส
  • Kanebo Moist up Wash ผลิตภัณฑ์ชนิดน้ำนมที่มีฟองนุ่ม ช่วยขจัดสารตกค้างในผิวและเซลล์ที่เสื่อมสภาพ

การแต่งหน้าให้ผู้ชาย

Tip1

ผู้ชายมักให้ความสำคัญกับการดูแลสภาพผิว สิ่งสำคัญคือการแต่งผิวให้เป็นธรรมชาติ ถึงแม้จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่สว่างกว่าโทนผิวตัวเองเล็กน้อยก็ทำให้มองเห็นความแตกต่างได้ จึงต้องพยายามพูดพูดให้ผู้ชายเลือกหารองพื้นมาทาใบหน้าบ้าง ผู้ชายที่กังวลเกี่ยวกับรอยสิวหรือตำหนิบนใบหน้า และคิดว่าการใช้รองพื้นปกปิดรอยต่างๆ เป็นเรื่องอันตรายนั้น เราต้องทำให้เข้าใจว่านั่นเป็นเรื่องที่ทำได้และเห็นผลจริง การทารองพื้นอย่างบางเบาให้ทั่วและใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดจุดด่างดำนั้นจะดูเป็นธรรมชาติ

แนะนำรองพื้น

• VIDIVICI I Platinum White Dewy Glow Liquid Compact
หลังจากทาแล้วทำให้รู้สึกผิวนุ่มสบายเหมือนฝ้าย จึงไม่ต้องทาแป้งเพิ่ม เนื่องจากเป็นรองพื้นชนิดอัดแข็งใช้มือทาก็ได้ จึงค่อนข้างสะดวก เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นโปรดของสไตลิสท์ของยุนกีที่บอกว่า ถ้าไม่มีชิ้นนี้ก็จะไม่ออกจากบ้านเลยทีเดียว

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

Tip2

ผู้ชายก็อยากมีผิวสะอาดสุขภาพดี สิ่งสำคัญที่สุดที่สุดคือครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์รักษาความชุ่มชื้น เพราะผู้ชายต้องโกนหนวด ผิวจึงหยาบกร้านและแห้งง่าย ต้องทาโลชั่นหรือครีมผสมมอยเจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้า นอกจากนี้พวกผู้ชายมักทำกิจกรรมกลางแจ้ง จึงต้องรู้ถึงอันตรายของรังสียูวีไว รังสีที่ว่านี้คือผู้ร้ายที่ทำให้ผิวแก่กว่าวัยและเกิดจุดด่างดำต่างๆ ดังนั้นต้องเตรียมครีมกันแดดเอาไว้จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง

แนะนำเครื่องสำอางพื้นฐาน

  • Laneige Homme I Aqua Active Sleeping Pack
    มาร์คมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ชนิดเจลบางเบาที่คือความชุ่มชื้นและความมีชีวิตชีวาให้ผิวที่เหนื่อยล้าจากความเครียดในขณะหลับ
  • L’Oréal Paris Men Expert I White Activ Oil Control Moisturizer
    Moisturizer บำรุงผิวมันและปรับสีผิวที่หมองคล้ำลงเพราะไขมันบนผิวหนังมีมากเกินให้ดูเนียนนุ่มและกระจ่างใส เป็นโลชั่นที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้รู้สึกสดชื่นตลอดทั้งวัน
  • Mise en scéne I Men Sebum Control BB Cream SPF 12 PA++
    โลชั่นสีเนื้อบางเบาและไม่มันวาว ทำหน้าที่เป็นโลชั่นกันแดดไปพร้อมพร้อมกับช่วยปกปิด

Tip3

ผู้ชายจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับการแต่งคิ้ว คิ้วทำหน้าที่เหมือนหลังคาของใบหน้า แนะนำให้แต่งคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติ แต่อย่าแต่งมากจนเกินไป ควรแต่งให้ดูสะอาดตาด้วยการเล็มขนด้านล่างที่ดูรกรุงรังก็พอ หลังจากนั้นใช้ดินสอเขียนคิ้วเติมบริเวณที่ไม่มีขนคิ้วหรือไม่ก็ปัดมาสคาร่าสำหรับคิ้วให้คิ้วดูหนาขึ้น เพียงเท่านี้ก็แจ้งเกิดหนุ่มหล่อที่ดูสะอาดและมาดแมนได้แล้ว

แนะนำผลิตภัณฑ์สำหรับคิ้ว
ถ้าใช้ดินสอเขียนคิ้วจนเข้มอาจจะทำให้ดูตลกและแปลกได้ มาสคาร่านั้นจะช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ขนคิ้วทีละเส้นอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับคิ้วตัวเองจริงๆ และยังทำให้ดูมีคิ้วเยอะและเข้มอีกด้วย เธอเป็นไอเท็มที่ควรมีไว้
– VIDIVICI I Perfect Eyebrow Mascara
ชนิดเจลใสที่มีสีน้ำตาลอ่อนเจืออยู่ ใช้แปรงจุ่มเนื้อเจลแล้วปัดไปตามทิศทางของขนคิ้ว

Tip4
ริมฝีปากมีบทบาทสำคัญต่อภาพลักษณ์ภายนอก ผู้ชายที่มีหรือฝีปากคล้ำหรือแห้งแตกจะดูอ่อนพญาและอาจดูไม่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแฟนหนุ่มทำงานที่ต้องพบปะผู้คนใหม่ๆแล้วล่ะก็ ควรจะให้ลิปบาล์มเป็นของขวัญ แล้วแนะนำให้ทาบ่อยๆ แทนที่จะเลือกลิปบาล์มแบบครีม ก็เลือกแบบแท่งที่บางเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะ ช่วงกลางวันก็ใช้ได้โดยไม่รู้สึกลำบากใจ

การทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า

ถ้าอยู่ๆสิวขึ้นโดยไม่มีสาเหตุจนแต่งหน้าไม่สวยแล้วเรา ก่อนที่จะโทษเครื่องสำอางหรือผิวให้ลองตรวจสอบสภาพอุปกรณ์แต่งหน้าก่อน เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสกับเครื่องสำอางโดยตรง หากสกปรกหรือหมักหมมมากก็จะเป็นที่สะสมของแบคทีเรีย ถ้าไม่ได้จัดการและทำความสะอาดอย่างถูกต้องเป็นประจำทุกวันหรือทุกสัปดาห์ อุปกรณ์เหล่านั้นจะกลายเป็นยาพิษสำหรับผิวได้

ฟองน้ำสำหรับรองพื้น
เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรองพื้นชนิดลิควิด เหมาะกับใช้ในเวลาเร่งรีบ เนื้อรองพื้นจึงซึมเข้าไปข้างใน จึงทำความสะอาดให้หมดจดได้ยาก โดยเฉพาะรองพื้นด้วยแล้ว ถือเป็นเครื่องสำอางที่ทำให้เชื้อโรคสะสมได้ง่ายที่สุดในบรรดาเครื่องสำอางทั้งหมด ( ฟองน้ำสำหรับรองพื้นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ถ้าทำความสะอาดจะทำให้แข็งหรือลุ่ยได้ แทนที่จะทำความสะอาดแล้วนำมาใช้ได้อีกครั้ง แนะนำให้ใช้กรรไกรตัดบริเวณที่ใช้แล้วทิ้ง แล้วเก็บส่วนที่เหลือที่สะอาดไว้ใช้ครั้งต่อไป )

แปรงทาแป้งและแปรงทาบลัชออน
เพราะเป็นแปรงที่ต้องสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ชนิดแป้งจึงไม่ค่อยสะสมเชื้อโรค แต่ก็ไม่ควรเก็บในที่ที่มีความชื้นสูง ควรทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง ( ผสมน้ำยาทำความสะอาดที่มีค่าเป็นกลางหรือน้ำยาทำความสะอาดแปรงโดยเฉพาะลงในน้ำอุ่นแล้วทำความสะอาดแปรง หรือล้างด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน หากต้องการรักษาความนุ่มของแปรงไว้ให้ล้างแปรงในน้ำผสมน้ำยาปรับผ้านุ่ม ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำออกจากแปรงจนหมด แล้วตากให้แห้งในที่ร่มซึ่งมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก )

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

แปรงทาอายไลเนอร์และแปรงทาปาก
แปลงเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ง่ายที่สุด ใช้แค่เพียงครั้งเดียว เครื่องสำอางก็จับติดเป็นก้อนแข็งได้ โดยเฉพาะแปรงทาปากต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเวลาใช้เติมลิปสติกอาจมีเศษอาหารติดไปด้วย แปรงทาอายไลเนอร์ก็เหมือนกัน อาจทำให้ตาติดเชื้อได้ จึงต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ ( ทุกวันก่อนใช้แปรง ให้ใช้กระดาษทิชชูหรือสำลีที่ใช้กับเครื่องสำอางจมน้ำยาทำความสะอาดแปรงในปริมาณที่พอเหมาะแล้วเช็ดทำความสะอาดแปรงเบาเบา จากนั้นใช้กระดาษทิชชูแผ่นใหม่จัดแต่งทรงแปลงแล้วเช็ดน้ำยาออก รอให้แห้งแล้วจึงนำไปใช้ หรือจะใช้ อายรีมูฟเวอร์ก็ได้ ควรใช้แชมพูหรือน้ำยาทำความสะอาดที่มีค่าเป็นกลางทำความสะอาดแปลงเหล่านี้ แล้วใช้น้ำอุ่นล้างออกสัปดาห์ละครั้ง )

พัฟฟ์ทาแป้ง
พัฟฟ์ทาแป้งเป็นอุปกรณ์ที่ทำจากผ้าที่มีขนอ่อนนุ่ม ใช้ทาแป้งฝุ่นหรือป้งอัดแข็ง จึงมีโอกาสสัมผัสกับอากาศอยู่บ่อยๆ ฝุ่นขนาดเล็กจึงเข้าไปติดอยู่ข้างในได้ง่าย แป้งกับพัฟฟ์ต้องเก็บแยกกัน และถ้าซื้อพัฟฟ์หลายๆชิ้นมาใช้ควรจะเก็บไว้ในกระเป๋าที่มีซิป ( แช่พัฟฟ์ในน้ำที่ผสมน้ำยาทำความสะอาดพัฟฟ์โดยเฉพาะ หรือน้ำอุ่น ประมาณ 5-10 นาที นาทีแล้วบีบทำความสะอาดเบาๆ จากนั้นใช้น้ำล้างทำความสะอาด แล้วตากให้แห้งในที่ร่ม ซึ่งมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ถ้าไม่มีน้ำยาทำความสะอาดพัฟฟ์โดยเฉพาะก็ใช้โฟมล้างหน้าแทน )

ที่ดัดขนตา
ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางจึงติดเชื้อโรคได้ง่าย ควรใช้อายรีฟมูฟเวอร์เช็ดทำความสะอาดบริเวณครีมที่ใช้หนีบอย่างสม่ำเสมอ และก่อนใช้ให้ตรวจสอบจนแน่ใจว่ายางด้านในไม่แต่เป็นรอย เพื่อให้ได้เกิดอุบัติเหตุในการดัดขนตา และเปลี่ยนยางรองทุก 2-3 เดือน

การเก็บรักษาเครื่องสำอางตามฤดูกาล

ถ้าหากอยากใช้เครื่องสำอางประเภทที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่ใช้ในฤดูร้อน หรือรองพื้นชนิดครีมที่ใช้ในฤดูหนาวในปีต่อไปด้วยแล้วเราก็ เพียงเก็บรักษาเครื่องสำอางเหล่านั้นให้ดีๆ เพราะฤดูกาลเวียนมาใหม่ก็นำออกมาใช้อีกครั้ง ก้อนเก็บรักษาให้ทำความสะอาดบริเวณฝา ปากขวด หรือขอบกระปุกเครื่องสำอาง จากนั้นปิดฝาให้สนิท ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วเก็บในกระเป๋าซิป หากนำกระเป๋าซิปนี้ไปเก็บไว้ในตู้เย็นสำหรับเก็บเครื่องสำอาง หรือวางไว้ในตู้เย็นธรรมดาในช่องใส่ผลไม้ ปีต่อไปก็นำออกมาใช้ได้อย่างสบายใจ

[adinserter name=”navtra”]

วันหมดอายุของเครื่องสำอาง

  • ประเภทสกินแคร์พื้นฐาน
    3 ปีหากยังไม่เปิดใช้หรือ 1 ปีหลังเปิดใช้แล้ว
  • รองพื้นและเมคอัพเบส
    2-3 ปีหากยังไม่เปิดใช้ หรือ1½ ปีหลังเปิดใช้แล้ว ห่างเนื้อเครื่องสำอางตกตะกอนแยกชั้น จับตัวเป็นก้อนหรือเปลี่ยนสี ต้องทิ้งสถานเดียว
  • ลิปสติกและลิฟกลอส
    2 ปีหลังเปิดใช้แล้ว ลิปสติกตอบสนองต่ออุณหภูมิได้ไว จึงควรเก็บรักษาในที่เย็น ใช้ลิปกลอสให้หมดภายใน 6 เดือน และใช้กระดาษทิชชูเช็ดบริเวณปลายปลอกทุกครั้ง
  • มาสคารา
    2-3 ปีหากยังไม่เปิดใช้ หรือ 6 เดือนหลังเปิดใช้แล้ว เป็นเครื่องสำอางที่มีอายุการใช้งานสั้นที่สุด ถ้าจุ่มมาสคาราน้อยครั้ง แปรงมาสคาราก็จะแข็งน้อยลงด้วย
  • อายแชโดว์
    5 ปีหลังเปิดใช้แล้ว ถ้าเป็นชนิดครีมควรใช้ให้หมดภายใน1½ ปี
  • แชมพูสระผมและครีมนวดผม
    3 ถึง 5 ปีหากยังไม่เปิดใช้หรือ 1 ปีหลังเปิดใช้แล้ว เพราะวางไว้ในที่ที่ความชื้นสูง หลังจากใช้เสร็จต้องปิดฝาให้สนิทและทำความสะอาดฝาจนเป็นนิสัย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ลีคยองมิน : เขียน; ชนามาศ เพ็งสมบูรณ์: อยากสวยต้องกล้าแต่ง : แปล จาก My sweet makeup recipes อยากสวยต้องกล้าแต่ง : กรุงเทพฯ : Steps อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2558.

ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าผากและไรผม

0
ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าผากและไรผม
การมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูปช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการมีไรผมที่ดกหนาทำให้ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย
ทำไมต้องศัลยกรรมหน้าผากและไรผม
การมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูปช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการมีไรผมที่ดกหนาทำให้ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

หน้าผาก ไรผม

เวลาที่เรานึกถึง การศัลยกรรม ตกแต่งเพื่อเสริมความงามบนใบหน้า อันดับแรกๆ ที่นึกถึงก็จะมีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ไล่ไปตั้งแต่เสริมจมูก ดวงตา ริมฝีปาก รูปหน้า รวมไปถึงการจัดการกับส่วนเกินต่างๆ เช่น เหนียงใต้คาง ถุงใต้ตา เป็นต้น แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะติดอันดับความนิยมในการศัลยกรรมด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือ ส่วนบริเวณ หน้าผาก ไรผม หากเป็นการแต่งหน้าแบบมืออาชีพจะมีการ Shading เพื่อสร้างกรอบหน้าตรงส่วนของหน้าผากและระบายสีเพิ่มความเข้มให้กับแนวไรผม เพราะการมีหน้าผากอันอวบอิ่มได้รูป ไม่กว้างหรือแคบเกินไป

ช่วยเสริมให้มิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญการมีไรผมที่ดกหนาเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์ที่หลายคนต้องการด้วย การทำศัลยกรรมบริเวณ หน้าผาก กับแนว ไรผม จึงคล้ายๆ กับการยืดผมถาวรหรือดัดขนตาถาวรนั่นเอง เมื่อผ่านงานศัลยกรรมไปแล้วก็ไม่ต้องใช้เมคอัพเข้ามาช่วย ประหยัดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ซึ่งเป้าหมายหลักของการทำก็คือสร้างกรอบหน้าที่ดีที่สุดสำหรับคนๆ นั้นขึ้นมา ยิ่งถ้าได้รูปหน้าในอุดมคติซึ่งก็คือหน้ารูปไข่ก็ยิ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างที่สุดนั่นเอง

ผู้ที่เหมาะกับการศัลยกรรมหน้าผากและไรผม

อย่างแรกเลยก็ต้องเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจริงๆ หรือเป็นความต้องการที่มากขึ้นก็ตามแต่ เดี๋ยวเราจะเจาะไปทีละประเด็น ดังนี้

คนที่มีหน้าผากแบน : โดยปกติแล้วส่วนของ หน้าผาก เมื่อมองด้านข้างจะต้องเห็นเป็นเส้นโค้งนูนต่ำ ตั้งแต่แนว ไรผม มาจรดแนวคิ้ว ใครที่มีหน้าผากแบนก็จะทำให้ใบหน้าขาดมิติที่ดีไป มองแล้วไม่มีชีวิตชีวา ซ้ำร้ายถ้าเป็นหนักมากก็จะดูแข็งจนน่ากลัวไปเสียอีก การปรับแต่งด้วยการเสริมส่วนโค้งให้กับหน้าผากจึงเหมาะกับคนกลุ่มนี้

คนที่มีหน้าผากนูนมากไป : ไม่ใช่แค่คนที่ส่วนของ หน้าผาก แบนราบเท่านั้นที่มีปัญหา คนที่มีหน้าผากนูนโค้ง แต่มากเกินกว่าปกติก็ถือเป็นปัญหาด้วยเช่นเดียวกัน หลายคนกลายเป็นปมเนื่องจากถูกล้อเลียนบ่อยครั้งก็มี เพราะยังไงเสียหน้าผากนูนก็มองเห็นถึงความผิดปกติได้ง่ายกว่าหน้าผากแบน กรณีนี้ก็ต้องใช้การกรอหน้าผากส่วนเกินออกไป

คนที่มีหน้าผากแคบมากไป : คนที่มีหน้าผากแคบส่วนใหญ่ก็มาจากลักษณะทางพันธุกรรมนั่นเอง เราสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการเสริมหน้าผากเข้าไปเพิ่มด้วยหลากหลายวิธี แล้วแต่ว่าต้นทุนในส่วน หน้าผาก ของใครมีเท่าไร จะทำอย่างไรถึงจะคุ้มค่าและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากที่สุด

คนที่มีแนวไรผมอยู่สูงกว่าปกติ : อันนี้เป็นลักษณะที่มีมาตั้งแต่เกิด เมื่อ ไรผม อยู่สูงก็ทำให้ดูคล้ายคนศีรษะล้าน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้อยู่ดี โดยเฉพาะในผู้หญิง หากมีแนวไรผมอยู่สูงก็จะยิ่งสังเกตเห็นได้ง่ายกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้นจึงต้องแก้ไขด้วยการศัลยกรรมไรผมด้วยการปลูกผมเพิ่มอีกที่ด้านหน้า พร้อมกับการออกแบบแนวกรอบหน้าไปพร้อมกัน

คนที่มีปัญหาศีรษะล้าน : นี่เป็นอีกกรณีที่ต่างไปจากก่อนหน้านี้ เพราะเดิมทีมีผมดกดำดีอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีปัญหาเส้นผม ทำให้ผมเริ่มบางขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดด้านหน้าก็ไม่มีผมขึ้นมาให้เห็นอีกเลย แบบนี้การศัลยกรรม ไรผม ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่จะต้องไม่ใช่เป็นรูปแบบที่มีอาการหนักมาก เช่น ผมบางไปมากกว่าครึ่งศีรษะแล้ว แบบนั้นก็จะปลูกผมที่จริงจังมากกว่านี้ และต้องผ่านการวิเคราะห์กันก่อนด้วยว่าจะแก้สถานการณ์ได้มากน้อยแค่ไหน

วิธีการศัลยกรรมหน้าผาก

เมื่อเจาะจงมาที่กรณีของการศัลยกรรม หน้าผาก แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในรูปแบบใดก็ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้เองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเลือกการศัลยกรรมในรูปแบบไหน จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจวิเคราะห์และแนะนำแนวทางที่เป็นไปได้เสียก่อน เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งรูปแบบของการศัลยกรรมหน้าผากก็มีหลากหลายวิธี ดังต่อไปนี้

1. เสริมหน้าผากด้วยการฉีดไขมัน : วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ใช้เวลาน้อยและไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมายนักก่อนการทำศัลยกรรม ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นตัวก็รวดเร็วด้วย เหมาะกับคนที่ไม่ได้มีส่วนเว้าของ หน้าผาก มากเท่าไรนัก กระบวนการจะเริ่มที่การดูดไขมันจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แล้วนำมาฉีดเข้าที่บริเวณหน้าผาก ข้อดีคือไม่มีอาการแพ้อย่างแน่นอน เพราะเป็นไขมันจากตัวผู้เข้ารับการรักษาเอง แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อยคือ มีโอกาสที่จะเกิดเป็นลอนคลื่นได้หากไขมันมีการจัดเรียงและสลายตัวไม่เท่ากัน ทำให้ต้องแก้ไขด้วยการทำซ้ำอีกเพื่อปรับให้หน้าผากเรียบสวย หลังจากฉีดแล้วก็อาจมีอาการบวมบ้างเล็กน้อย

2. เสริมหน้าผากด้วยการฉีดฟิลเลอร์ : ไม่ใช่แค่การลดเลือนริ้วรอยเท่านั้นที่เราใช้ประโยชน์จากฟิลเลอร์ การศัลยกรรม หน้าผาก เราก็ใช้ด้วยเหมือนกัน โดยจะเป็นสารฟิลเลอร์ประเภทที่มีความคล้ายกับคอลลาเจน เรียกว่า HA มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1 ปี มีข้อดีตรงที่ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก อาการบวมช้ำหลังการทำน้อยมาก หลายคนไม่ต้องพักฟื้นเลยหลังการทำ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติได้ทันที แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่าสาร HA นั้นมีอายุประมาณ 1 ปี ดังนั้นจึงต้องกลับมาเติมซ้ำเมื่อครบกำหนด และหากดูแลโดยผู้ที่ไม่ชำนาญพอก็จะทำให้เป็นลอนคลื่นได้เช่นเดียวกับการฉีดไขมัน นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะอุดตันหลอดเลือดบริเวณนั้นได้ด้วย

3. เสริมหน้าผากด้วยการผ่าตัดแล้วเสริมซิลิโคน : วิธีนี้แทบจะเป็นแนวทางพื้นฐานในงานด้านศัลยกรรมอยู่แล้ว เช่นเดียวกับการเสริมคางหรือเสริมจมูก วิธีการก็เริ่มจากตรวจสอบลักษณะของหน้าผากเดิม แล้วเทียบความเป็นไปได้กับหน้าผากใหม่ที่ต้องการ จากนั้นพิมพ์แบบซิลิโคน ซึ่งคล้ายคลึงกับการทำฟันปลอม ต้องใช้วัสดุปูนปลาสเตอร์เป็นต้นแบบ แล้วส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบต่อ ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ประมาณเกือบเดือนกว่าจะได้ซิลิโคนมา หลังจากนี้ก็เป็นกระบวนการผ่าตัด โดยตัดตามแนวคาดผมแล้วสอดซิลิโคนเข้าไป ข้อดีคือการันตีได้ว่า หน้าผาก ใหม่สวยได้รูปอย่างแน่นอน แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ต้องเตรียมตัวนาน แถมยังมีรอยแผลที่ต้องดูแลต่อไปอีก

4. เสริมหน้าผากด้วยการผ่าตัดแล้วเสริมซีเมนต์เทียม : กรณีนี้ฟังชื่อแล้วแอบน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะเราจะเคยชินว่าซีเมนต์นั้นเป็นของแข็งที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับการศัลยกรรมอวัยวะส่วนที่มีความอ่อนนิ่มได้ จริงๆ แล้วซีเมนต์เทียมที่ว่านี้ถูกใช้มาอย่างยาวนานแล้วในผู้ป่วยโรคสมอง ใครที่มีความจำเป็นต้องตัดกะโหลกบางส่วนออกไป ก็จะทดแทนด้วยการใส่ซีเมนต์เทียมเข้าไปนี่เอง ในส่วนของการศัลยกรรม หน้าผาก ก็จะผ่าตัดตามแนวคาดผมแล้วใส่ซีเมนต์เทียมเข้าไป แน่นอนว่าไม่ต้องรอเวลาก่อนการผ่าตัดนานเท่ากับการใช้ซิลิโคน แต่มีข้อเสียหลายอย่าง ตั้งแต่ทำการปรับผิวให้เรียบได้ยาก อาการบวมช้ำจากบาดแผลถือว่ามากที่สุด ในช่วงหลังๆ วิธีนี้จึงนิยมใช้เพื่อแก้งาน หรือใช้กับผู้ป่วยในอุบัติเหตุต่างๆ มากกว่าที่จะเป็นเรื่องความสวยความงาม

การศัลยกรรมหน้าผาก หรือศัลยกรรมไรผม ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขและระดับความปลอดภัยที่จะทำได้

การเตรียมตัวและขั้นตอนการผ่าตัด

เมื่อพิจารณาดูรูปแบบของการศัลยกรรมหน้าผากแล้ว หลายคนอาจจะเทใจไปที่การผ่าตัดมากกว่า ดังนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจเพิ่มเติมก่อนว่า หากเลือกแก้ปัญหาด้วยการผ่าตัดแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด : รายละเอียดของการเตรียมตัวก็จะคล้ายคลึงกับการผ่าตัดอื่นๆ ได้แก่ งดยาในกลุ่มลดการอักเสบ งดการทานอาหารเสริม วิตามิน และยาสมุนไพร วางแผนสำหรับระยะเวลาที่ต้องพักฟื้นเอาไว้ด้วย หากทำงานประจำก็ต้องมีแจ้งลางานอย่างน้อยประมาณ 6 วัน หากมีโรคประจำตัวอะไรให้รีบแจ้งแพทย์ผู้ดูแลเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดในระหว่างการผ่าตัด และสุดท้ายอย่าลืมมองหาคนดูแลในวันที่เข้ารับการผ่าตัดและช่วงแรกของการพักฟื้นด้วย

ขั้นตอนการผ่าตัด : เป็นการผ่าตัดที่จำเป็นต้องวางยาสลบ ดังนั้นจึงต้องงดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัด 6 ชั่วโมงขึ้นไป แนวของการกรีดเปิด หน้าผาก จะอยู่ห่างจาก ไรผม ไม่มากนัก และเป็นแนวกรีดช่วงสั้นๆ เพียงแค่ 3-4 เซนติเมตรเท่านั้น เมื่อใส่วัสดุเสริมเรียบร้อยก็เย็บปิด อาจมีอาการข้างเคียงจากยาสลบบ้างเล็กน้อย ซึ่งจะหายได้เองโดยธรรมชาติ

การมี หน้าผาก อันอวบอิ่มได้รูป ไม่กว้างหรือแคบเกินไป ช่วยเสริมหน้าผากให้มีมิติของความสวยงามนั้นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และการมีไรผมที่ดกหนาเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนเยาว์อีกด้วย

การศัลยกรรมไรผม

มาถึงส่วนของการศัลยกรรม ไรผม กันบ้าง หลังจากที่ผ่านการวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าสามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ด้วยการศัลยกรรมไรผมได้จริง ก็ต้องมาเลือกกันว่าสนใจการรักษารูปแบบไหน เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจากรูปแบบที่เลือกมีค่าสูงหรือต่ำแค่ไหน และคุ้มค่าไหมกับการลงทุนเพื่อรักษาในแต่ละครั้ง ซึ่งการศัลยกรรมไรผมก็มีให้เลือกหลากหลายวิธีไม่แพ้กับการศัลยกรรมหน้าผากเลยแม้แต่น้อย

1. เสริมส่วนไรผมด้วย FUE (Follicular Unit Extraction) : วิธีนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมมาก เพราะไม่ต้องผ่าตัดและไร้รอยแผลเป็น FUE คือการย้ายเซลล์รากผมของผู้เข้ารับการรักษาเอง จากบริเวณหนึ่งมาฝังรากลงที่หนังศีรษะอีกบริเวณหนึ่ง โดยส่วนใหญ่ก็จะใช้เซลล์รากผมจากท้ายทอย เนื่องจากเป็นโซนที่ผมจะมีสุขภาพแข็งแรงมากที่สุด ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีปัญหาในเรื่องเส้นผมหรือไม่ ทีมแพทย์จะใช้เข็มเจาะขนาดเล็ก เจาะลงไปในหนังศีรษะตรงท้ายทอย เพื่อเก็บเอาเซลล์รากผมออกมาเก็บไว้ แล้วปลูกลงไปใหม่ในบริเวณที่ต้องการด้วยเข็มเจาะขนาดเล็กเช่นเดิม หลังจากนั้นก็รอเวลาให้เซลล์ได้ฟื้นตัวและยึดติดกับหนังศีรษะ เส้นผมที่ปลูกลงไปใหม่ก็จะเติบโตได้เหมือนกับเส้นผมเส้นอื่นๆ วิธีนี้ค่อนข้างใช้เวลาในการทำพอสมควร เพราะเป็นงานที่ต้องการความประณีตสูงมาก หากคนทำไม่ชำนาญหรือไม่ใส่ใจมากพอ เซลล์รากผมก็จะเสียหาย ไม่สามารถใช้การได้ในทุกกรณี

2. เสริมส่วนไรผมด้วย FUT หรือ Strip Harvest Technique : นี่เป็นมาตรฐานการศัลยกรรมเกี่ยวกับการปลูกผม ซึ่งมีความยุ่งยากในการทำมากกว่าแบบแรก แต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในบ้านเราและในต่างประเทศ วิธีการก็คือใช้การตัดเอาชิ้นของหนังศีรษะที่มีเส้นผมแข็งแรงสมบูรณ์ดี มาปลูกใหม่ในพื้นที่ที่ต้องการ โดยรูปแบบการตัดจะกรีดเป็นเส้นบางๆ แล้วเอามาเรียงใหม่ทีละเส้น จากนั้นก็เพียงแค่รอเวลาให้เซลล์รากผมฟื้นตัวและกลับมาทำงานได้ตามปกติ หลังการทำจำเป็นต้องสวมผ้าคาดศีรษะเอาไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อป้องกันอาการบวมจากการอักเสบของศีรษะและใบหน้า การทำศัลยกรรมด้วย FUT หรือ Strip Harvest Technique จำเป็นอย่างมากที่จะต้องควบคุมดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดรอยแผลเป็นที่ไม่น่าดูเท่าไร และเส้นผมก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่เสียหายมากกว่าส่วนที่ใช้งานได้

หลักใหญ่ใจความของการศัลยกรรม ไรผม ก็จะเป็น FUE กับ FUT นี่เอง แต่ว่ายังมีการแบ่งแยกย่อยลงในอีกในแต่ละอัน เช่น การปลูกผมแบบ FUE ที่แบ่งเป็นแบบ Slit Grafts และแบบ Micro-Grafts เป็นต้น ดังนั้นถ้าต้องการรู้ลึกในรายละเอียดว่าทำอย่างไรได้บ้างก็ต้องปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละที่ เพราะเทคนิคเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของอุปกรณ์ในโรงพยาบาลนั้นๆ ด้วย

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นการศัลยกรรม หน้าผาก หรือศัลยกรรม ไรผม ก็ต้องอยู่บนเงื่อนไขและระดับความปลอดภัยที่จะทำได้ อย่าเห็นแก่ราคาค่ารักษาที่ถูกจนเกินไป เพราะผลที่ได้จะไม่คุ้มกับที่เสียไปอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

The Grand Plastic Surgery. ไบเบิลศัลยกรรมเกาหลี.กรุงเทพฯ:อมรินทร์เอลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2559.