แก้ไขตาล่างด้วยการศัลยกรรม
การศัลยกรรมแก้ไขบริเวณด้านล่างสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยงามให้ดวงตาขึ้นได้ ปัญหาที่พบได้บ่อยบริเวณตาล่าง เช่น ริ้วรอย ถุงใต้ตา เบ้าตา

ศัลยกรรมตา

ศัลยกรรมตา เป็นเสริมสร้างดวงตาให้สวยงาม มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีส่วนมากจะเน้นไปทางการเสริมชั้นตาและการเปิด-ปิดหัวตา เพื่อเสริมให้ดวงตาแลดูกลมโตและเรียวยาวขึ้น แต่ใช่ว่าการศัลยกรรมดวงตาจะมีเพียงการเสริมชั้นตาและการเปิด-ปิดหัวตาที่สามารถช่วยให้ดวงตาสวยงามขึ้นได้ การศัลยกรรมบริเวณด้านล่างของตาก็สามารถช่วยให้ดวงตาดูสวยขึ้นได้เช่นกัน

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

บริเวณตาล่างที่พบปัญหาได้บ่อย

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริเวณตาล่างมีปัจจัยจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น เพศ อายุและลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอด ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยบริเวณตาล่างและสามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดทำหัตถการเพื่อเสริมสร้างความงามให้กับดวงตา สามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบใหญ่ ดังนี้

1.ริ้วรอยใต้ดวงตา
ปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตาเป็นปัญหาที่สามารถพบได้กับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับเฉพาะผู้ที่มีอายุสูงมากเท่านั้น ปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตาที่รู้จักกันดี เช่น ริ้วรอยใต้ตา รอยตีนกา เป็นต้น สาเหตุของการเกิดริ้วรอยมีอยู่ด้วยกัน คือ
1.1 การแสดงอารมณ์
การแสดงอารมณ์เป็นเรื่องปกติในการดำรงชีวิต แต่ถ้ามีการแสดงอารมณ์มากเกินไป (Over Action) ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น และยิ่งมีการแสดงอารมณ์ที่ต้องใช้การทำงานของกล้ามเนื้อมาก เช่น การยิ้ม การหัวเราะ ขมวดคิ้ว ย่นจมูกหรือหน้าผาก การเลือบมอง การร้องไห้ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อที่บริเวณดวงตาเกิดริ้วรอยและรอยย่นได้

1.2 การโดนแสงแดดหรือแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
แสงแดดหรือแสงจากหน้าคอมพิวเตอร์มีอันตรายที่ช่วยกระตุ้นการเกิดริ้วรอยได้ เนื่องจากรังสีอัตราไวโอเล็ตที่อยู่ในแสดงแดดที่จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างอนุมูลลอิสระที่มีส่วนสำคัญในการทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ใต้ผิว ส่งผลให้ผิวเกิดความเสื่อมเร็วขึ้น รวมถึงแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือก็เป็นตัวกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระได้เช่นเดียวกับแสงแดด
1.3 อายุ
อายุนับเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการผลิตคอลลาเจนและอีสลาสตินจะมีน้อยลง ส่งผลให้ผิวหนังเกิดความเสื่อมซึ่งเป็นที่มาของริ้วรอยบนใบหน้าและรอบดวงตาด้วย ริ้วรอยรอบดวงตาจะเริ่มสังเกตได้เมื่อมีอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไปและจะชัดเจนเมื่ออายุเข้าช่วง 30 ปีตอนปลาย

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.ถุงใต้ตา (Baggy Eye Lid)
เมื่อมีอายุมากขึ้นลักษณะของโครงสร้างเบ้าตาและบริเวณ ตาล่าง จะมีการเปลี่ยนแปลงเกดขึ้น เนื่องจากมีการสะสมไขมันในส่วนของถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ดวงตามากขึ้น ก้อนไขมันที่สะสมอยู่ในถุงไขมันจะเริ่มจากการสะสมทีละน้อยทีละน้อย ซึ่งในช่วงแรกจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่เมื่อก้อนไขมันมีขนาดที่ใหญ่ถุงใต้ตาจะสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะมองมุมใด ถุงใต้ตาก็จะมีลัษณะที่เห็นได้เด่นชัด ถุงใต้ตาสามารถเติบโตมากขึ้นตามปริมาณของไขมันที่สะสมอยู่ในบริเวณดังกล่าว และ ถุงใต้ตา จะทำการถ่วงน้ำหนักตามแรงดึงดูดของโลก ดังนั้นเมื่อผิวหนังเกิดความเสี่อม ถุงใต้ตาจะมีลักษณะหย่อคล้อยได้อีกด้วย

3.เบ้าตาหมองคล้ำ
เบ้าตาที่เกิดขึ้นมีอยู่ด้วย 2 ลักษณะตามสาเหตุของการเกิด คือ
3.1เบ้าตาที่หมองคล้ำตามธรรมชาติ
การหมองคล้ำของเบ้าตาสามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุของความหมองคล้ำ คือ
1.การไหลเวียนของเลือดไม่ดี
ถ้าบริเวณ เบ้าตา มีการไหลเวียนของเลือดไม่ดี จะส่งผลให้เส้นเลือดดำมีการขยายตัวมากขึ้น ทำให้มีการคั่งค้างของเลือดดำในบริเวณดั่งกล่าว หรือการที่เส้นเลือดฝอยไม่แข็งแรงทำให้เลือดมีการซึมออกมาจากเส้นเลือดฝอย เป็นสาเหตุที่ทำให้บริเวณเบ้าตามีลักษณะหมองคล้ำ
2.ความผิดปกติของเม็ดสีผิว
บางครั้งที่บริเวณเบ้าตามีการสะสมของเม็ดสีผิวในปริมาณที่สูงกว่าบริเวณอื่น จึงส่งผลให้บริเวณเบ้าตามีสีเข้มแลดูหมองคล้ำได้
3. อาการแพ้
การแพ้สารเคมีที่อยู่ในเครื่องสำอางบางชนิด ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณเบ้าตาเกิดการอักเสบ ได้รับความระคายเคือง ทั้งจากปฏิกิริยาระหว่างสารเคมีกับผิว หรือการขยี้การถูเพื่อลดการระคาย ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เบ้าตาหมองคล้ำได้เช่นกัน
4. มลพิษจากสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่สามารถกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปทำให้เกิดการระคายเคืองที่บริเวณเบ้าตา เช่น แสงแดด ฝุ่น ควัน แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอมือถือจะทำให้ผิวที่บอบบางในบริเวณเบ้าตาได้รับการอักเสบหรือการระคายเคืองชนิดเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความหมองคล้ำตามมาได้

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

3.2เบ้าตาที่หมองคล้ำเนื่องจากการผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออก
การตัดเอา ถุงใต้ตา ออกมากจนเกินไป ไม่ว่าสาเหตุที่ทำให้ต้องผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออกจะมาจากอะไรก็ตาม ถ้ามีการผ่าตัดเอาถุงใต้ตาออกมาแล้ว ทำให้ผิวหนังที่บริเวณดังกล่าวมีการฝ่อตัวลงและเกิดการยุบตัวมากกว่าปกติ และยิ่งในช่วงที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอร่วมด้วยแล้ว จะส่งผลให้เบ้าตาดูลึก มีความหมองคล้ำมากขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาหลัก ๆ ที่ส่งผลให้เบ้าตาล่างดูไม่สวยงาม การศัลยกรรมสามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างได้ผล ซึ่งเราจะกล่าวถึงขั้นตอนการแก้ไขปัญหาและข้อดีข้อเสียของการแก้ไขว่าเป็นอย่างไรบ้าง
การแก้ไขปัญหาริ้วรอยใต้ดวงตา

การแก้ไขริ้วรอยใต้ดวงตาจะใช้วิธีการใดขึ้นอยู่กับลักษณะของริ้วรอยที่เกิดขึ้นว่ามีความตื้นหรือลึกมาน้อยเพียงใด ถ้าริ้วรอยมีลักษณะที่ไม่ลึกมากแล้ว จะทำการลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นโดยใช้เลเซอร์หรือการใช้ Botulinium toxin ทำการฉีดเข้าไปใต้ผิวเพื่อเติมเต็มช่องว่างทำให้ผิวหนังมีความเต่งตึงจึงสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้ เมื่อทำการลดเลือนริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้แล้ว แต่ด้วยปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยมีอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ฝุ่น ควัน ดังนั้นควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีประสิทธิภาพช่วยบำรุงผิวเพื่อความชุ่มชื่นให้กับผิวที่บริเวณ เบ้าตา รวมถึงการทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสีอัตราไวโอเลตเข้ามาทำลายเซลล์ผิวให้เกิดความเสื่อมขึ้น แต่ถ้าริ้วรอยบริเวณรอบดวงตามีขนาดที่ลึกและขนาดที่ใหญ่มาก การใช้เลเซอร์และการฉีดการใช้ Botulinium toxin ไม่สามารถช่วยลดริ้วรอยได้ทั้งหมด แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเอาหนังส่วนเกินออกและทำการเย็บหนังที่บริเวณดังกล่าวขึ้นใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเต็งตึง การผ่าตัดจะสามารถลดเลือนริ้วรอยได้ดีที่สุด

การศัลยกรรมแก้ไขบริเวณด้านล่างสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยงามให้ดวงตาขึ้นได้ ปัญหาที่พบได้บ่อยบริเวณตาล่าง เช่น ริ้วรอย ถุงใต้ตา เบ้าตา

การแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา

การแก้ปัญหาถุงใต้จะเน้นไปถึงการแก้ปัญหาที่สาเหตุของการเกิดถุงใต้ตา เนื่องจากถ้าสามารถแก้ได้ตรงจุดแล้ว จะสามารถทำให้ ถุงใต้ตา ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด การแก้ไขปัญหาแพทย์จะทำการวินิจฉัยจาก อายุ เพศ โรคประจำตัว ลักษณะของถุงใต้ตา ความหย่อนคล้อยของผิวหนังใต้ตา ซึ่งสามารถแบ่งแนวทางในการรักษาถุงใต้ตาได้ ดังนี้  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1.การผ่าตัดแก้ไขผ่านเยื่อบุตา
การผ่าตัด เยื่อบุตา ด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุน้อย มีปัญหาเกี่ยวกับถุงใต้ตาเท่านั้น ผิวหนังบริเวณรอบเบ้าตาหรือบริเวณถุงใต้ตาไม่มีการหย่อนยาน และผู้เข้ารับการผ่าตัดเยื่อบุตาไม่ต้องการให้มีรอยแผลเป็น ซึ่งวิธีการผ่าตัด คือ
การศัลยกรรมจะทำการผ่าตัดผ่านเยื่อบุตาที่บริเวณด้านล่าง ซึ่งจะทำการเปิดแผลที่บริเวณเยื่อบุตาด้านล่างโดยแผลที่เปิดจะมีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร แล้วจึงทำการเปิดเนื้อเยื่อเพื่อที่จะเข้าไปถึงบริเวณถุงไขมันที่อยู่บริเวณใต้ตา โดยแพทย์จะทำการย้ายถุงไขมันไปยังบริเวณที่มีลักษณะเป็นร่องลึกที่เป็นที่มาของความหมองคล้ำเมื่อมองจากด้านนอก หรือถ้าบริเวณใต้ตามีปริมาณไขมันที่ใหญ่มาก แพทย์จะนำถุงไขมันดังกล่าวออกมาเพื่อลดขนาดของถุงใต้ตาให้มีความพอดีกับดวงตา

ข้อดีของการผ่าตัดเยื่อบุตาวิธีนี้ คือ เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จแล้วจะไม่หลงเหลือรอยแผลเป็นภายนอกให้เห็น สามารถช่วยแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา ร่องน้ำตาหรือรอยคล้ำใต้ตาได้ทั้งหมด การผ่าตัดจะทำการฉีดยาชาเฉพาะที่ผู้ป่วยจึงใช้เวลาในการพักฟื้นเพียง 2-3 วัน อาการบวมที่เกิดขึ้นก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และการผ่าตัดแบบนี้ไม่ได้ทำการผ่าตัดเพื่อเอาหนังออกมาด้วย เพียงแค่เอาถุงไขมันที่อยู่ใต้ผิวออกมาเท่านั้น จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตาแหก ตาปลิ้นได้
ข้อเสียของการผ่าตัดเยื่อบุตา วิธีนี้ คือ แพทย์ผู้ทำการรักษาจะต้องเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดแผลขนาดเล็ก ที่มีความเสี่ยงเมื่อเกิดการเสียเลือดในปริมาณที่มาก ซึ่งการระงับการไหลของเลือดมีความสำคัญเพราะการเสียเลือดหมายถึงความบอบช้ำของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบุบริเวณดังกล่าว ถ้าผู้ป่วยมีการเสียเลือดมากจะทำให้ต้องพักฟื้นนานขึ้น และโอกาสที่แผลจะติดเชื้อจะสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นแพทย์ที่ทำการผ่าตัดการผ่าตัดแก้ไขผ่านเยื่อบุตาจึงต้องมีความชำนาญและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษนั่น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

2.การผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตาแบบการจัดเรียงไขมัน และมีแผลที่ด้านนอกของขนตา
การผ่าตัดแบบนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับ ถุงใต้ตา ร่วมกับการมีริ้วรอยใต้ดวงตา ผิวหนังบริเวณใต้ตาหย่อนยานหรือการมีร่องน้ำตาที่ลึก ซึ่งหลังจากทำการผ่าตัดแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นจะหายไปและสามารถอยู่ได้เป็นระยะเวลาที่นาน แต่ทว่าการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยจะมีรอยแผลเป็นเกิดขึ้นที่บริเวณชิดกับขนตา ซี่งในระยะแรกหรือ 3 เดือนแรก รอยแผลเป็นดังกล่าวจะเห็นชัดเจนมาก และจะค่อย ๆ จางหายไปในระยะต่อมา
ขั้นตอนการผ่าตัด แพทย์จะทำการเปิดแผลที่บริเวณขอบขนตาด้านล่าง และทำการเลาะเอาเนื้อเยื่อเพื่อเปิดทางไปยังบริเวณที่อยู่ของถุงไขมันที่อยู่ใต้ตา และทำการจัดการกับถุงไขมันดังนี้    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]
2.1 ถุงไขมันขนาดใหญ่
ในรายที่มีถุงไขมันขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการดึงถึงไขมันบางส่วนออกมาและทำการตัดออกไปเพื่อลดขนาดของถุงไขมันใต้ดวงตาให้มีขนาดเล็กลง เมื่อตัดถุงไขมันออกตามปริมาณที่ต้องการแล้วแพทย์จะทำการจัดแต่งเพื่อเพิ่มความตึงกระชับมากขึ้นให้กับกล้ามเนื้อของเปลือกตาล่าง และลดความโอกาสที่จะเกิดปัญหาถุงใต้ตาซ้ำขึ้นมาในอนาคต

2.2 ถุงไขมันขนาดเล็ก
ในรายที่มีขนาดถุงไขมันใต้ตาขนาดเล็กและมีร่องน้ำตาที่ค่อนข้างลึกมาก ผู้ป่วยที่มีถุงไขมันแบบไม่จำเป็นต้องทำการตัดถุงไขมัน แต่แพทย์จะทำการผ่าตัดและนำถุงไขมันใต้ตาทั้ง 3 กลุ่มออกมาและทำการเรียงหรือนำไปวางในส่วนที่ เบ้าตา หรือร่องน้ำตามีความลึกมากกว่าส่วนอื่น ๆ
ข้อดีของการผ่าตัดแบบนี้ คือ สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับถุงไขมันได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเอาถุงไขมันที่บริเวณใต้ตาออกมาทั้งหมด และสามารถนำถุงไขมันที่มีอยู่เดิมไปเติมในบริเวณที่มีปัญหาเบ้าตาและปัญหาร่องน้ำตำลึกได้ นอกจากนั้นยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวหนังและกล้ามเนื้อที่มีความหย่อนคล้อยให้กลับมาเต็งตึงได้บางส่วน
ข้อเสียของการผ่าตัด คือ ลักษณะของแผลเป็นที่เกิดขึ้นในบริเวณขอบขนตาจะเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงแรกและใช้ระยะเวลานานกว่ารอยแผลเป็นดังกล่าวจะจางหายไป

ถุงใต้ตา เกิดจากไขมันที่อยู่ในเบ้าตา ซึ่งมี 2 แบบคือ ถุงใต้ตาแท้ และถุงใต้ตาเทียม

การแก้ไขปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำ

การแก้ไขปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำก็เหมือนการแก้ไขปัญหาใต้ดวงตาแบบอื่น ที่เน้นไปทำการรักษาที่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำขึ้นมา ซึ่งการรักษาสามารถแบ่งออกได้เป็น ดังนี้

1.การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดแก้ไข ( Lower blephraroplasty with fat reposititioning technique )
การรักษาด้วยการผ่าตัดจะทำในผู้ป่วยที่มีปัญหา เบ้าตา หมองคล้ำร่วมกับอาการเบ้าตาลึก มีปัญหาผิวหนังบริเวณถุงใต้ตามีการหย่อนยาย ซึ่งแพทย์จะทำการกรีดเพื่อเปิดแผลและทำการจัดเรียงถุงไขมันใต้ตาให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสมดุล ซึ่งถ้าปริมษณไขมันในถุงไขมันใต้ตาไม่เพียงพอ แพทย์จะทำการปลูกถ่ายไขมัน ( Lipofillng  / Microfat transfer ) โดยการนำแผ่นเนื้อเยื่อไขมันมาปลูกร่วม ( Dermal fat graft ) ช่วยในการแก้ปัญหาเบ้าตาลึกโบ๋ หรือในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของเบ้าตาที่มีการยุบตัวหรือมีกระดูกโครงสร้างของตามีความผิดปกติ แพทย์จะต้องทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขรูปร่างของกระดูกในอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องจึงจะสามารถทำการปลูกถ่ายไขมันและแก้ไขปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำได้

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2.การรักษาด้วยวิธีการปลูกถ่ายไขมัน ( Lipofillng / Microfat transfer )
คือการปลุกถ่ายไขมันที่นิยมใช้เพื่อรักษาปัญหาเบ้าตาหมองคล้ำในผู้ที่ไม่มี ถุงใต้ตา และไม่มีรอยย่นใต้ตาเพียงเล็กน้อย ซึ่งการปลูกถ่ายไขมันจะทำให้บริเวณใต้ดวงตามมีความอิ่มตัวมากขึ้น ส่งผลให้ความหมองคล้ำที่เกิดขึ้นค่อย ๆ หายไป การรักษาด้วยวิธีจะเห็นผลชัดเจนหลังจากทำการรักษาไปแล้วประมาณ 4 เดือน เพราะร่างกายจะค่อยทำการเปลี่ยนแปลงไขมันที่นำมาปลูกถ่ายจนเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมดจะต้องอาศัยระยะเวลามากกว่า 4 เดือนนั่นเอง นอกจากการนำแผ่นเนื้อเยื่อไขมันมาปะที่บริเวณใต้ดวงตาแล้วยังมีการนำไขมันมาฉีดเข้าใต้ดวงอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือ การสกัดไขมันเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่เรียกว่า Nanofat หรือการนำไขมันไปผ่านกระบวนย่อยสลายให้มีขนาดที่เล็กลง เรียกว่า Stromal vascular fraction ( SVF ) ซึ่งไขมันที่ได้จากทั้งสองวิธีนี้สามารถนำมาฉีดเข้าสู่บริเวณใต้ดวงตาเพื่อให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีปริมาณไขมันที่มากขึ้น นับเป็นการปลูกถ่ายไขมันอีกแบบหนึ่งที่สามารถช่วยลดความหมองคล้ำได้เร็วขึ้นด้วย

การปลูกถ่ายไขมันจะได้ผลดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ที่ทำการรักษาด้วย เพราะว่าบริเวณรอบดวงตามีทั้งเส้นเลือดและเส้นประสาทเป็นจำนวนมาก หากแพทย์ทำการฉีดในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมแล้วก็จะส่งผลต่อเส้นเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ ซึ่งอันตรายถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว

3.การใช้เลเซอร์
การฉายแสงเลเซอร์เข้าสู่บริเวณเบ้าตาที่หมองคล้ำ แสงเลเซอร์จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเม็ดสีที่อยู่บริเวณใต้ตา ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวอ่อนลง และยังช่วยกระชับผิวหนังให้เต่งตึงด้วย การฉายแสงเลเซอร์จะในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาร่องตาลึก มีความหมองคล้ำแต่ไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด หรืออาจจะใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นก่อนแล้วจึงมาทำการฉายรังสีเพื่อลดความเข้มของสีผิวลงก็ได้เช่นเดียวกัน

4.การใช้ครีม
การใช้ครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดจะใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่นด้วย เพราะว่าความหมองคล้ำที่เกิดขึ้นแม้จะทำการผ่าตัดจนหายแล้วแต่ถ้าผิวหนังโดนทำลายก็จะสามารถกลับมาเป็นอีกได้ การใช้ครีมบำรุงผิวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับเซลล์ผิว ทำให้ผิวเต่งตึง ส่วนครีมกันแดดจะช่วยป้องกันรังสีอุตราไวโอเลตที่จะเข้ามาทำลายเซลล์ผิว จึงช่วยให้ผิวไม่เสื่อมปัญหาความหมองคล้ำจึงลดน้อยลง

[adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

5.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
นอกจากแสงแดดที่มีส่วนในการทำให้เบ้าตาหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยรอบดวงตาแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็มีส่วนในการเสื่อมของผิวหนังรอบดวงตา เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มน้ำน้อย การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทุกอย่างเป็นปัจจัยที่ทำให้เซลลืผิวหนังเกิดความเสื่อมได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสื่อมของผิวหนังจะต้องดูแลร่างกายให้ดี ด้วยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักและผลไม้สด พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่าวสม่ำเสมอ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์แต่พอดี ก็จะช่วยป้องกันความของผิวหนัง ลดการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาและเบ้าตาหมองคล้ำได้เป็นอย่างดี

เบ้าตาหมองคล้ำเป็นภาวะที่พบได้บ่อยกับคนทุกเพศทุกวัยเป็นมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นสาเหตุ เช่น การอดนอน พักผ่อนน้อย หรือมีโรคแฝง

อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการศัลยกรรมตา

การศัลยกรรมแก้ไขปัญหา ตาล่าง สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งบางวิธีจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อนำถุงไขมันบางส่วนออกมา ซึ่งการศัลยกรรมอาจจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ ดังนี้

1.ตาแหก ตาปลิ้น ( Ectropion )
คือ ภาวะที่หนังตาที่อยู่ด้านล่างมีการปลิ้นออกมาเกินจากเส้นขอบขนตา ทำให้สังเกตเห็นเนื้อเยื่อสีแดงที่อยู่ด้านในของตา ซึ่งเนื้อเยื่อที่ปลิ้นออกมาจะได้รับการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม ทำให้มีน้ำตาไหลและเนื้อเยื่อบุตาอักเสบได้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการตาแหก ตาปลิ้น คือ
1.1 การขาดความชำนาญของแพทย์
เมื่อแพทย์ขาดความชำนาญในการผ่าตัดบริเวณด้านล่างตาแล้ว ทำให้การประเมินปริมาณผิวหนังที่ต้องตัดออกมามากเกินหรือการเย็บที่ออกแรงดึงสูง ส่งผลกล้ามเนื้อโดนดึงหรือรั้งมากเกินไปจนทำให้ตาแหก ตาปลิ้นออกมาให้เห็น สาเหตุนี้นับเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในการเกิดอาการแทรกซ้อนแบบตาปลิ้น ตาแหก
1.2 อื่นๆ
นอกจากความชำนาญของแพทย์แล้ว ถ้าผู้ป่วยมีความพิการหรือได้รับอุบัติเหตุ หรือผู้สูงอายุที่มีภาวะตาล่างหย่อนยานมากกว่ากว่าภาวะตาโปน ( Exopthalmos ) หรือในผู้ที่สูบบุหรี่จัด รวมถึงคนที่เป็นโรคภูมิพ้ที่ส่งผลให้ตามีการระคายเคืองง่าย ( Sjogren’s syndrome ) ก็จะส่งผลให้แผลที่เกิดจากการผ่าตัดมีอาการบวมจนเกิดอาการตาแหก ตาปลิ้นเกิดขึ้นได้เช่นกัน ภาวะตาปลิ้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]
1.2.1 ภาวะเปลือกตาปลิ้นปลอม ( Psuedoextropion )
คือ ภาวะตาปลิ้นที่เกิดขึ้นไม่มาก ภาวะนี้จะเกิดหลังจากการผ่าตัดแล้วดวงตามีอาการระคายเคือง จากการที่มีน้ำหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ซึ่งภาวะตาปลิ้นแบบนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ทำการผ่าตัดแล้วประมาณ 1 เดือน และลักษณะตาที่ปลิ้นออกมาจะเห็นไม่ชัดเจน ภาวะตาปลิ้นแบบนี้สามารถรักษาได้ง่าย ดังนี้
• การนวดที่บริเวณแผลผ่าตัด
การนวดคลึงที่บริเวณใต้ตารวมถึงบริเวณตลอดแนวของแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัด การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดอาการบวมจึงลดลงได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้แผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดหายในระยะเวลาอันสั้น นอกจากการนวดคลึงแล้ว ผู้ที่ทำการผ่าตัดมาควรสวมแว่นตากันแดดกันลม
• การรับประทานยารักษาโรคภูมิแพ้
ภาวะตาปลิ้นสามารถเกิดขึ้นได้จากการที่มีอาการแพ้จนผิวหนังเปลือกตามีอาการบวมจึงมีอาการตาปลิ้นออกมา ดังนั้นเพื่อลดอาการระคายเคืองและอาการบวมของตา ผู้ป่วยควรรับประทานยารักษาโรคภูมิแพ้อย่างต่อเนื่องหลังจากทำการผ่าตัดและรับประทานจนแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดหายแล้ว
• การหยอดน้ำตาเทียม
ดารหยอดน้ำตาเทียมสามารถช่วยลดอาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นที่บริเวณดวงตา เพื่อช่วยลดอาการบวมของเปลือกตาที่ส่งผลให้ตาปลิ้นออกมา
• การติดแผ่นเทป
การติดแผ่นเทปเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยภาวะตาปลิ้นได้ แผ่นเทป ( Sterile strip / Micropore ) จะนำไปติดที่บริเวณแนวขอบตาล่าง โดยแผ่นเทปจะเข้าไปพยุงผิวหนังเปลือกตาที่บริเวณขอบตาล่างไม่ให้มีภาวะตาปลิ้นออกมาและยังช่วยให้ผิวหนังเปลือกตาประสานตัวได้เร็วขึ้นด้วย
1.2.2 ภาวะเปลือกตาปลิ้นจริง ( True ectropion )
คือ ภาวะที่ เปลือกตา มีการปลิ้นออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่อมองจากด้านนอก ซึ่งภาวะตาปลิ้นนี้แม้จะทำการรักษาแบบภาวะตาปลิ้นปลอมแล้วเปลือกตายังปลิ้นออกมาเหมือนเดิม การรักษาอาการตาปลิ้นจริงแพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อดึงมุมที่หางตาให้มีความตึงมากขึ้น ( Lateral Canthopexy ) การดึงจะทำการตึงจากส่วนของหัวตาไปยังบริเวณหางตา ซึ่งจะมีการย้ายผิวหนังจากบริเวณอื่นเข้ามาแก้ไข ( Skin graft )

2.อาการบวมและอาการเลือดคั่งหลังผ่าตัด ( Hematoma )
เป็นอาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีเลือดไหลมากหลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จแล้ว เลือดยังไม่หยุดไหลแม้แพทย์จะทำการเย็บปิดแผลเสร็จแล้ว ซึ่งอาการดังกล่าวที่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่เคยมีประวัติการรับประทานยาละลายลิ่มเลือดหรือผู้ที่มีประวัติเลือดหยุดไหลยาก การที่เลือดไหลออกมาหลังจากเย็บแผลแล้วจะส่งผลให้มีอาการบวมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณ ใต้ตา ในบางครั้งจะมีอาการบวมจนถึงโหนกแก้ม ซึ่งถ้าอาการบวมนี้เกิดขึ้นมากจะส่งผลให้กระทบต่อการมองเห็น แต่ถ้าปล่อยไว้เป็นเวลานานผู้ป่วยอาจจะตาบอดได้ แพทย์สามารถทำการรักษาด้วยการระบายเลือดออกจากบริเวณแผลด้วยการใช้สายยางขนาดเล็กจะช่วยลดอาการบวม

[adinserter name=”navtra”]

3.รอยแผลเป็นที่บริเวณขอบขนตาด้านล่าง (Lower Eye Lid Scar)
การผ่าตัดศัลยกรรม แก้ไขตา ล่างจะมีรอยแผลเป็นที่บริเวณขอบ ขนตาล่าง ที่ชัดเจนมากหลังจากที่ทำการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 1 เดือน รอยแผลจะค่อย ๆ จางไปจนประมาณ 6 เดือน รอยแผลที่เกิดขึ้นจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับผิวโดยรอบ

4.ตาคล้ำ หรืออาการห้อเลือด (Bruise / Echymosis)
หลังจากการผ่าตัดผิวที่บริเวณของตาด้านล่างจะมีการคล้ำซึ่งเกิดจากการที่คั่งค้างของเลือดที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งอาการห้อเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ แต่ถ้าต้องการให้หายเร็วขึ้น ต้องใช้การนวดคลึงที่บริเวณดังกล่าวรวมถึงการทาครีมบำรุงผิว หรือบางครั้งอาจต้องใช้การฉายเลเซอร์ช่วยลดอาการห้อเลือดดังกล่าว แต่ทว่าการฉายเลเซอร์จะได้ผลเต็มที่หลังจากการผ่าตัดไปแล้วมากกว่า 4 เดือน
การศัลยกรรม แก้ไขตา ล่างเป็นการแก้ปัญหาที่ช่วยให้ดวงตามีความงามมากขึ้น ก่อนที่จะทำการศัลยกรรมต้องศึกษาทั้งข้อดีและข้อเสียก่อนที่จะตัดสินใจก่อน รวมถึงแพทย์ที่เป็นผู้ทำการผ่าตัดก็ควรเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในการผ่าตัดเปลือกตาด้านล่าง เพื่อ ดวงตา ที่สวยงามส่งให้ใบหน้าดูดีมีมิติ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.