4 พฤติกรรมและอาการประสาทจิตเวชที่เกิดจากสมองเสื่อม

0
4 พฤติกรรมและอาการประสาทจิตเวชที่เกิดจากสมองเสื่อม
อาการซึมเศร้าและวิตกกังวล เมื่อสมองเสื่อมเข้าสู่ระดับรุนแรงความวิตกกังวลก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าอาการซึมเศร้า
4 พฤติกรรมและอาการประสาทจิตเวชที่เกิดจากสมองเสื่อม
ประสาทหลอนทางการเห็น จะเห็นภาพต่างๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่นมีคนจะมาทำร้าย

สมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อมเป็นคำเรียกโดยรวมของโรคที่เกิดจากความเสียหายของสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วส่งผลกระทบต่อการกระทำ การแสดงออก ความคิดและการตัดสินใจของผู้ป่วย เมื่อเราลงรายละเอียดเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมกันอีกนิด ก็จะพบว่าภาวะสมองเสื่อมนี้ยังแตกแขนงไปได้อีกหลายประเภท ซึ่งนั่นหมายความว่าอาการของโรคก็จะแตกต่างกันไปด้วย บางกลุ่มของโรคแทบไม่แสดงอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนเลยในระยะแรกถึงระยะกลาง กว่าผู้ป่วยจะถูกพาตัวมารักษาก็เกือบจะเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว ในขณะที่บางกลุ่มของโรคก็แสดงอาการชัดเจนเลยตั้งแต่เริ่มต้นจึงทำการรักษาได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตามผลลัพธ์สุดท้ายของภาวะสมองเสื่อมก็คือทำให้เกิดการถดถอยของสมรรถภาพของสมองทำให้เกิดอาการทางจิตนั่นเอง

พฤติกรรมและประสาทจิตเวชอันเนื่องมาจากภาวะสมองเสื่อม หรือบีพีเอส ( Behavioral and Psychiatric Symptoms:BPS ) เป็นอีกหนึ่งอาการของภาวะสมองเสื่อมที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างโรคสมองเสื่อมกับโรคอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง เพราะสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออกนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกัน ทั้งในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และผู้ป่วยจิตเวชที่ไม่ได้มีภาวะสมองเสื่อม แต่เมื่อวินิจฉัยได้แน่นอนแล้วว่าเป็นอาการจิตประสาทที่เกิดจากความถดถอยทางสมรรถภาพของสมอง บีพีเอสจะกลายกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แพทย์ตีกรอบเพื่อระบุภาวะสมองเสื่อมได้แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นผลดีอย่างมากต่อการรักษาผู้ป่วยต่อไป

พฤติกรรมและประสาทจิตเวชอันเนื่องมาจากภาวะสมองเสื่อม หรือบีพีเอส ( Behavioral and Psychiatric Symptoms:BPS ) สามารถแบ่งลักษณะอาการเด่นๆ ได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอาการโรคจิต กลุ่มอาการผิดปกติทางอารมณ์ กลุ่มพฤติกรรมอันเนื่องมาจากสมองกลีบหน้าทำงานบกพร่อง และกลุ่มที่เกี่ยวกับปัญหาการนอนหลับ

โดยที่ในแต่ละกลุ่มไม่ได้มีเปอร์เซ็นต์ที่แน่ชัดว่ากลุ่มใดจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นได้มากกว่า ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งวัย ระดับความรุนแรงของความเสียหายในสมอง และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ แต่ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการอยู่ในกลุ่มไหนก็ล้วนสร้างปัญหาให้ผู้ดูแลทั้งสิ้น หลายรายเมื่อต้องรับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยไปนานๆ ก็จะรู้สึกเป็นภาระและเกิดโรคซึมเศร้าขึ้น แม้แต่ตัวผู้ป่วยเองอาการ BPS ก็กระตุ้นให้ความเสื่อมทางสมองทรุดหนักลงอีกหากไม่มีการจัดการทางความคิดหรือพฤติกรรมการแสดงออกที่ดีพอ

กลุ่มเสี่ยงที่เป็นอาการประสาทจิตเวช

1. กลุ่มอาการโรคจิต ( Psychotic Symptoms )

เป็นกลุ่มของอาการทางจิตประสาทของผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึ่งอาจจะคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคจิตหรือผู้ป่วยจิตเภท ( Schizophrenia ) แต่จะไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านการวินิจฉัยโรคและวิธีดำเนินการรักษา จุดที่ใช้สังเกตเพื่อแยกแยะผู้ป่วยโรคจิตเภทออกจากผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมก็คือ ในผู้ป่วยจิตเภทพบเจอลักษณะอาการที่อยู่ในกลุ่มอาการโรคจิตหลากหลายกว่า และพบได้ในผู้ป่วยจิตเภทตั้งแต่ช่วงระยะต้นๆ ในขณะที่เมื่อพูดถึงกลุ่มอาการโรคจิตในผู้ป่วยสมองเสื่อม ประเด็นที่เรามักจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษมีเพียง 2 ประเด็นเท่านั้น ก็คือ อาการหลงผิด ( Delusion ) และประสาทหลอน ( Hallucination ) ทั้งสองอย่างนี้พบได้น้อยมากในผู้ป่วยสมองเสื่อมระยะเริ่มต้น แต่กลับพบได้บ่อยมากในผู้ป่วยสมองเสื่อมระยะรุนแรง ลักษณะของอาการเป็นแบบขึ้นๆ ลงๆ ไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ว่าจะเกิดเมื่อไร อย่างไร

1.1 อาการหลงผิด ( Delusion ) เป็นความผิดปกติของระบบความคิด จุดเด่นของอาการกลุ่มนี้คือการมีความเชื่อที่ไม่เป็นจริง และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วย นั่นจึงเป็นต้นเหตุของปัญหาและความเครียดที่จะตามมาในส่วนของตัวผู้ป่วยเองและญาติที่ดูแลใกล้ชิด อาการหลงผิดยังสามารถแยกย่อยเป็นประเด็นต่างๆ ได้อีกดังนี้

  • อาการหลงผิดชนิดไม่วิตถาร ( Non-bizarre delusion ) : หมายถึงอาการหลงผิดแบบที่ยังพอเข้าใจได้ว่าผู้ป่วยกำลังคิดหรือวิตกกังวลเรื่องอะไร ได้แก่ มีความเชื่อว่ามีคนปองร้ายอยู่ตลอดเวลา ( persecutory delusion ) จึงระแวงและหวาดกลัวจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ บ้างมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นไม่ยอมก้าวออกจากบ้านอีกเลย เชื่อว่ามีคนปลอมตัวมาเป็นญาติหรือเพื่อนของตนของตน ( Capgras delusion ) ส่งผลให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการดูแล เพราะผู้ป่วยจะไม่ไว้วางใจคนใกล้ชิดและไม่ยอมให้เข้าถึงพื้นที่ส่วนตัวเลย เชื่อว่ามีคนแปลกหน้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน ( phantom boarder syndrome ) เชื่อว่าสมบัติถูกขโมย ( delusion of theft ) และเชื่อว่าคู่ชีวิตหรือคู่สมรสนอกใจ ( jealousy delusion ) อาการหลงผิดกรณีต่างๆ มีปัจจัยหนึ่งทางจิตวิทยาที่มีแนวโน้มในการเกิดระบุเอาไว้ด้วย นั่นคือเรื่องของความผูกพันธ์กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากๆ เช่น ผู้ป่วยที่รักคู่ชีวิตของตัวเองมากๆ ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดอาการที่เชื่อว่าคู่ชีวิตหรือคู่สมรสนอกใจ ( jealousy delusion ) หรือคนที่ยึดติดกับทรัพย์สิน เป็นคนหวงของ เป็นคนให้ความสำคัญกับเงินทองที่มีอยู่มาก ก็อาจเกิดอาการเชื่อว่าสมบัติถูกขโมย (delusion
    of theft) เป็นต้น
  • อาการหลงผิดชนิดวิตถาร ( bizarre delusion ) : หมายถึงอาการหลงผิดแบบที่แปลกประหลาด ไม่สามารถทำความเข้าใจได้โดยง่าย ไม่มีความเป็นไปได้ในโลกความจริงเลย

1.2 ประสาทหลอน ( hallucination ) อาการหลอนจะต่างกับอาการหลงผิดตรงที่ไม่ได้เกี่ยวกับระบบความคิด แต่เป็นความผิดปกติทางการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัส และการรับรส ผู้ป่วยอาจมีอาการประสาทหลอนแบบใดแบบหนึ่ง หรือมีอาการประสาทหลอนพร้อมกันหลายๆ แบบก็ได้เช่นกัน ลักษณะอาการสำคัญก็คือรับรู้ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งสามารถแยกเป็นกรณีต่างๆ ได้ดังนี้

  • ประสาทหลอนทางการเห็น ( Visual hallucination ) : การมองเห็นภาพต่างๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้น เช่น เห็นคนที่ตายไปแล้ว เห็นคนร้ายจะเข้ามาเอาชีวิต เห็นสีสันที่ผิดเพี้ยน เห็นสิ่งของเคลื่อนไหวได้เอง เป็นต้น
  • ประสาทหลอนทางการได้ยิน ( Auditory hallucination ) : คำที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ หูแว่ว เป็นการได้ยินเสียงแปลกๆ ที่คนอื่นไม่ได้ยินแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เช่น ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ได้ยินเสียงหัวเราะ โดยที่ไม่มีต้นเสียงที่แท้จริง เป็นต้น
  • ประสาทหลอนทางการรับกลิ่น ( Olfactory hallucination ) : การได้กลิ่นบางอย่างทั้งๆ ที่ไม่มีต้นตอของกลิ่น และผู้อื่นไม่ได้กลิ่นนั้น เช่น ได้กลิ่นเน่าเหม็น ได้กลิ่นน้ำหอม ได้กลิ่นอาหาร เป็นต้น
  • ประสาทหลอนทางการรับรส ( Gustatory hallucination ) : เป็นอาการเกิดรสชาติแปลกที่ลิ้น เช่น รสเปรี้ยว รสขม หรือแม้แต่รสชาติที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นรสแบบไหน เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ทานอาหารหรือมีสิ่งเร้าอื่นๆ
  • ประสาทหลอนทางการสัมผัส ( Tactile hallucination ) : การรู้สึกเหมือนโดนสัมผัสแต่ก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งไหนเลย เช่น รู้สึกเหมือนมีแมลงมาไต่ตามแขน รู้สึกเหมือนโดนจับ รู้สึกคันตามผิวหนังทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งเร้า เป็นต้น

2. กลุ่มอาการด้านอารมณ์ ( Mood Symptoms )

ผู้ป่วยสมองเสื่อมแม้จะไม่ได้สนใจเรื่องของพฤติกรรมและอาการทางประสาทจิตเวชเลย ก็จะมีความแปรปรวนทางอารมณ์อยู่แล้ว เนื่องจากความรู้สึกของคนที่เคยคิดและตัดสินใจได้อย่างดี กลับต้องมาเกิดความบกพร่องบางอย่างจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายดายเหมือนเดิม ก็จะเกิดความตึงเครียดอยู่แล้ว แต่เมื่อเราเจาะจงวิเคราะห์ที่ประเด็นของกลุ่มอาการด้านอารมณ์ ( mood symptoms ) ก็จะพบว่า สัญญาณเด่นที่เกิดในผู้ป่วยสมองเสื่อมซึ่งแสดงอาการให้เห็นก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะสมองเสื่อมเสียอีก นั่นก็คือ อาการซึมเศร้าและวิตกกังวล เมื่อสมองเสื่อมเข้าสู่ระดับรุนแรงความวิตกกังวลก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าอาการซึมเศร้า นอกจากนี้จะเป็นความเฉยเมย ขาดความกระตือรือร้นในสิ่งที่เคยชื่นชอบ เริ่มนับถือตัวเองน้อยลง เศร้าหมองได้ง่าย รู้สึกผิดกับเรื่องเล็กน้อย และท้ายที่สุดคืออยากฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง หากเทียบอาการซึมเศร้าที่เกิดในผู้ป่วยสมองเสื่อม ลักษณะการเกิดจะแสดงอาการบ่อยครั้งแต่ไม่หนักหนาเท่ากับคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ยิ่งกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าซึ่งเป็นผู้สูงอายุด้วยแล้ว ยิ่งต้องได้รับการรักษาและดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเกือบทั้งหมดจะมีพยาธิสภาพในสมองร่วมด้วย ได้แก่ ภาวะสมองเสื่อม และโรคหลอดเลือดสมอง

ปัจจุบันแม้ว่าจะยังไม่สามารถระบุแบบชัดเจนได้ว่ากลุ่มอาการด้านอารมณ์ที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยสมองเสื่อม จะเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของพยาธิสภาพในสมองส่วนไหน แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเกิดจาก hypometabolism ที่สมองส่วน frontal และ anterior cingulate gyrus หรืออาจเป็นที่สมองส่วน parietal และ right temporal region ก็ได้

3. กลุ่มอาการ Vegetative

กลุ่มนี้จะเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของสมองให้ด้านการรับรู้มิติสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือเชื่อมโยงกับ Visuospatial ที่ลดลง อาการที่แสดงออกมาจึงมีหลากหลายรูปแบบ มีตั้งแต่เกิดความกระวนกระวายใจ พลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีลักษณะของความก้าวร้าวที่เด่นชัด เช่น การแต่งกายที่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะอย่างรุนแรง ลุกเดินไปมาในยามวิกาล เคลื่อนที่ไปมาแบบไร้จุดหมาย ( Wandering ) ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกว่าต้องไป ต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรือต้องการอะไรกันแน่ จึงออกมาในรูปแบบที่ว่าลุกเดินไปก่อน ทำหรือแสดงออกไปก่อน เป็นต้น อาการเหล่านี้มักพบในผู้ป่วยสมองเสื่อมขั้นรุนแรง แต่ยังมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงดีอยู่ ไม่ได้มีโรคแทรกซ้อนทางกายมากนัก อาจพูดได้ว่าเป็นปฏิกิริยาที่พยายามกระตุ้นตัวเองของผู้ป่วยเพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวมากขึ้นนั่นเอง แต่จะต่างออกไปในผู้ป่วยสมองเสื่อมที่มีอาการเจ็บป่วยทางร่างกายร่วมด้วย กลุ่มนี้จะเปลี่ยนเป็นการถามซ้ำๆ พูดย้ำข้อความเดิม เรียกร้องความสนใจตลอดเวลา เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการนอนหลับที่ผิดปกติ วงจรการนอนหรือ Sleep-Wake Cycle ผิดแปลกไปจากปกติที่ควรเป็น ซึ่งหลายครอบครัวมองว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะร่างกายต้องการการพักผ่อนที่น้อยลง ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าร่างกายไม่จำเป็นต้องพักผ่อนมากเท่าเดิม แต่เป็นเพราะสุขภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์แข็งแรงเท่าเดิมต่างหากที่ทำให้วงจรการนอนนั้นเปลี่ยนแปลงไป หลายคนชอบงีบหลับในตอนกลางวัน และหลับยากในช่วงกลางคืน มีอาการหลับๆ ตื่นๆ จึงพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจมีอาการนอนกรนร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาทั้งต่อผู้ดูแลและตัวผู้ป่วยเอง เพราะฝ่ายผู้ดูแลก็บริหารเวลาลำบาก ร่างกายทรุดโทรม จิตใจหดหู่และตึงเครียด ฝ่ายผู้ป่วยเองก็กระตุ้นให้ภาวะสมองเสื่อมนั้นแย่ลงเรื่อยๆ

4 กลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับความบกพร่องของสมองกลีบหน้า

กลุ่มนี้เราอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่ แบบที่มีความก้าวร้างทั้งทางกายภาพและวาจา และแบบที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ หงุดหงิดได้ง่าย

  • การก้าวร้าวทางกายภาพและทางวาจา ( Physical and verbal aggression ) : ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมชอบกัด ข่วน เตะ ตี ทำลายข้าวของ ด่าทอ กรีดร้อง เป็นอาการที่เจอในผู้ป่วยสมองเสื่อมระดับรุนแรง เพราะเป็นช่วงที่มีความวิตกกังวลและความเครียดสูงมาก เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่าถูกล้ำเส้นความเป็นส่วนตัว ก็จะตอบโต้ด้วยความก้าวร้าวดังกล่าว และการแสดงออกจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นถ้าหากเดิมทีผู้ป่วยเป็นคนก้าวร้าวโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
  • การมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย และขาดความยับยั้งชั่งใจ ( Irritability and disinhibition ) : ประเด็นนี้ค่อนข้างอันตรายต่อตัวผู้ป่วยและผู้อื่นพอสมควร เพราะเมื่อขาดความยับยั้งชั่งใจแล้ว ผู้ป่วยจะไม่สามารถหักห้ามใจในอารมณ์ทางเพศได้ ลักษณะที่พบได้คือ การอวดอวัยวะเพศของตนเอง ( self-exposure of genitalia ) การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองบ่อยๆ ( compulsive masturbation ) พูดจาแทะโลมไปจนถึงล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น นอกจากนี้คือเจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา อาจจะส่งเสียงดังด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด หรือนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปเลยก็ได้

แนวทางในการรักษาอาการแบบไม่ใช้ยา

อาการซึมเศร้า : ส่งเสริมให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกด้อยค่าหรือหมดศรัทธาในตัวเอง สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และได้ทำในกิจกรรมที่ชื่นชอบ ยิ่งถ้าเป็นกิจกรรมที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวหรือคนที่รักก็ยิ่งดี

อาการเฉยเมย : ในเมื่อผู้ป่วยมักจะไม่สนใจสิ่งรอบตัว จึงต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออกไม่ใช่การแกล้งทำและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยในผู้ป่วยสมองเสื่อม ใช้ดนตรีเข้าช่วยในการกระตุ้นความรู้สึกและฝึกสมาธิในช่วงสั้นๆ

อาการประสาทหลอน : หมายรวมทั้งอาการหลอนในการมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัสและการลิ้มรส ให้ผู้ดูแลหมั่นสังเกตลักษณะอาการหลอนที่เกิดขึ้น ว่ามีสิ่งใดเป็นตัวกระตุ้นหรือไม่ แล้วจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้น เช่น การเห็นภาพหลอน ผู้ป่วยอาจจะมองเห็นไม่ชัดด้วยระยะสายตาที่เปลี่ยนไปและมีความวิตกกังวลอยู่ตลอด ก็ส่งผลให้เกิดภาพหลอนขึ้นได้ในบางจังหวะ แบบนี้ก็แก้ด้วยการหาแว่นตาหรือเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อช่วยให้การรับรู้ของผู้ป่วยดีขึ้น เป็นการลดอาการประสาทหลอนได้ทางหนึ่ง

ปัญหาการนอน : เริ่มจากปรับสภาพแวดล้อมของห้องนอนให้เหมาะสม ไร้เสียงดัง ไร้แสงสว่างรบกวน ไม่อุดอู้แออัด อากาศถ่ายเทได้สะดวก ส่วนในเวลากลางวันที่ไม่ใช่เวลานอนก็สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีกิจกรรมทำระหว่างวันมากขึ้น นอกจากนี้ก็เป็นการทานอาหารเสริมที่ช่วยเรื่องการนอนให้หลับสบายขึ้นได้

กล่าวโดยสรุปของการรักษาแบบไม่ใช้ยา หัวใจสำคัญคือเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมให้มาก ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยให้มากเป็นพิเศษ ตลอดจนต้องพาผู้ป่วยเข้าพบแพทย์เพื่อบำบัดอย่างสม่ำเสมอด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

ดวงตา ส่งผลต่อรูปลักษณ์และรูปลักษณ์ส่งผลต่อชีวิต

0
ดวงตาส่งผลต่อรูปลักษณ์และรูปลักษณ์ส่งผลต่อชีวิต
ตา เป็นอวัยวะสำคัญใช้รับแสงสะท้อนของร่างกาย ทำให้สามารถมองเห็น และรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว
ดวงตาส่งผลต่อรูปลักษณ์และรูปลักษณ์ส่งผลต่อชีวิต
ตา เป็นอวัยวะสำคัญใช้รับแสงสะท้อนของร่างกาย ทำให้สามารถมองเห็น และรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว

ดวงตา

ดวงตา บ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึก แววตาสามารถแสดงออกสื่ออารมณ์โกรธ ทั้งเศร้า เหงา ทุกข์ กังวล หรือแม้กระทั่งความรู้สึก ความสุข หรือเสียใจ

ดวงตา ในอุดมคติเป็นอย่างไร?

1. หางคิ้ว หางตา และปีกจมูกต้องอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน
2. หางตาเฉียงขึ้นเล็กน้อยจะดูสวยกว่าหางตาตรงและชั้นตาควรกว้าง 1 – 1.5 มิลลิเมตร จึงจะเป็นขนาดที่พอดี
3. ความยาวของ ดวงตา และระหว่างตาคือ 3 เซนติเมตร

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขนาดของ ดวงตา ในอุดมคติควรมีความยาวของดวงตาและระหว่างดวงตาเท่ากัน กล่าวคือดวงตาของสาวงามจะต้องมีความยาวดวงตาและระยะห่างระหว่างดวงตา 3 เซนติเมตรและระยะห่างระหว่างตา 2 ข้างนี้ จะต้องเท่ากับความกว้างของปีกจมูก

ถ้าหัวคิ้ว หัวตา และปิกจมูกอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน หางคิ้ว หางตา และปีกจมูกก็ควรอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันด้วย หางตาควรเฉียงขึ้นเล็กน้อย สูงกว่าหัวตาประมาณ 5 องศา ชั้นตากว้าง 1 – 1.5 มิลลิเมตร จึงจะถือว่าเป็นดวงตาที่สวยงามได้สมดุล

ดวงตาสวยมีลักษณะอย่างไร ?

1. ดวงตา สดใสเปล่งประกายเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้
การศัลยกรรม ดวงตา เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ เพราะดวงตาไม่สามารถปิดบังความรู้สึกได้ สิ่งที่สะท้อนมาจากดวงตาจึงบอกทุกอย่างในตัวของคนคนนั้น ดวงตาทำหน้าที่สำคัญในการสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ ตาตี๋เล็กและเปลือกตาบวมทำให้ดูไม่สดใสหรือดูง่วงนอน ส่วนหางตาชี้ขึ้นก็ทำให้ดูเป็นคนความรู้สึกไวและเถรตรง

ในทางตรงกันข้ามถ้าหากตาตกก็จะทำให้ดูเศร้าและขาดความมั่นใจ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มาโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาเรื่องการทำศัลยกรรมดวงตาว่าอยากให้ตาโตขึ้น การทำให้ ดวงตา โตขึ้นมีวิธีการหลักคือทำตาสองชั้น ผ่าเปิดหัวตาและผ่าเปิดหางตา การผ่าตัดทำตาสองชั้นจะทำให้ตาโตขึ้น 20% แต่คนส่วนใหญ่จะไม่พอใจเพียงแค่นี้และมักผ่าเปิดหัวตากับหางตาร่วมด้วย

เมื่อผ่าตัดเปิดหัวตา ตาจะดูโตขึ้นเพราะหนังตาที่เปิดบริเวณหัวตาถูกตัดออกไป โดยเฉพาะหากผ่าเปิดหางตาร่วมด้วย หลังจากผ่าตัดเปิดหางตาแล้วมีโอกาสถึง 50 – 70 เปอร์เซ็นต์ที่ผิวบริเวณหางตาจะสมานกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เพื่อแก้ปัญหาการผ่าเปิดหางตา ปัจจุบันใช้เทคนิคการผ่าเปิดหางตาแบบไม่ติด โดยใช้ไหมเย็บดึงหางตาบริเวณขนตาบนขึ้น 3 มิลลิเมตร โดยไม่ต้องผ่า หางตาจะยาวขึ้นและคงรูป โดยที่ไม่เห็นขอบตาสีแดงหรือรอยแผลเป็น และตาจะดูโตอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป

หากทำถุงใต้ตาเหมือนบาร์บี้ หนา 3 มิลลิเมตร ที่ขอบตาล่างร่วมด้วย ดวงตา จะดูโตและคมยิ่งขึ้น คนที่มีหนังตาหย่อนคล้อยจนบังลูกตา สามารถทำให้หนังตากลับมาตึงด้วยการผ่าตัดแก้ไขดวงตา ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นตาขาวมากขึ้น และทำให้ตาดูโต [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. ดวงตาแสนซนเหมือนตาแมว
การศัลยกรรม ดวงตา เหมือนตาแมว น่าจะยาวรีเหมือนแมวดูมีเสน่ห์และเซ็กซี่ ถ้าหากศัลยกรรมดวงตาให้เหมือนตาแมวจะต้องผ่าเปิดหัวตาร่วมด้วย การผ่าเปิดหัวตาเพื่อตัดหนังตาที่ปิดหัวตาออก จะช่วยให้ดวงตาดูยาวและสดใสขึ้น แม้ไม่ได้ผ่าตัดทำตาสองชั้น

3. ตาลูกหมาดูฉลาดแสนซน
การศัลยกรรม ดวงตา เหมือนตาลูกหมา ความประทับใจในดวงตาที่โตเกินปกติของตัวการ์ตูน ทำให้สาววัยใสทุกคนอยากมีตาโต ๆ แบบนั้นบ้าง ผู้ชายเกิน 70% ชอบผู้หญิงที่มีดวงตากลมเหมือนลูกหมาซึ่งเปี่ยมด้วยความรู้สึก ดวงตาแบบลูกหมาจึงยังเป็นที่ชื่นชอบ

การผ่าตัดศัลยกรรม ดวงตา เหมือนลูกหมา ก่อนอื่นต้องใช้วิธีทําตาสองชั้นแบบเย็บจุดเดียวหรือการกรีดให้เหมาะกับดวงตาของตัวเอง ชั้นตาต้องหนาคม ยิ่งปัจจุบันคนนิยมทำศัลยกรรมตาให้ดูคมขณะที่ยังดูอ่อนโยน ดวงตาใสซื่อแบบลูกหมาจะช่วยให้หน้าดูเด็กลงด้วย

การทำศัลยกรรมดวงตามีอะไรบ้าง

1. การเย็บหลายจุดแบบธรรมชาติ

วิธีศัลยกรรมตาสองชั้นให้ดูเป็นธรรมชาติด้วยการร้อยไหมเย็บที่ด้านในของหนังตาเพื่อสร้างชั้นตา ต่างจากการเย็บ 1 จุดด้วยการฝังปมไหมแบบวิธีเดิม

วิธีการเย็บหลายจุดนี้ช่วยแก้ไขข้อเสียของการเย็บ 1 จุดแบบเดิมที่ฝังปมไว้ใต้หนังตาเพื่อให้เกิดชั้นตา โดยจะสร้างชั้นตาให้ดูเป็นธรรมชาติด้วยการร้อยไหมเย็บยืดกล้ามเนื้อกับหนังตาเข้าด้วยกันเพียงแค่เจาะรูเล็ก ๆ จึงแทบจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ แต่เนื่องจากมีการเย็บภายนอกจึงมีโอกาสสูงที่ชั้นตาจะคลายออก ใช้เวลาผ่าเพียง 30 นาที และใช้ยาชาเฉพาะที่ จึงสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที และตัดไหมหลังจากผ่าตัด 3 – 5 วัน

การเย็บหลายจุดแบบธรรมชาติเหมาะกับใคร?
1. คนที่ต้องการตาสองชั้นที่ดูเป็นธรรมชาติ
2. คนที่ไม่ต้องการให้เห็นรอยเย็บเวลาหลับตา
3. คนที่มีหนังตาบางและหนังตาไม่ตก
4. คนที่ไม่อยากมีรอยแผลเป็น
5. คนที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน ๆ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2. การเย็บจุดเดียวอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้ทำศัลยกรรม

การเย็บจุดเดียวโดยไม่ต้องกรีดผิวหนัง ดูเป็นธรรมชาติและบวมน้อย วิธีนี้เรียกอีกชื่อว่า Scarless ทำได้โดยการฝังปมไหมสร้างชั้นตาขึ้นมา มีรอยรูเล็ก ๆ เพียงเล็กน้อยโดยไม่จำเป็นต้องกรีดผิวหนัง รอยแผลจึงเล็กและหายเร็วดูเป็นธรรมชาติ
วิธีเย็บจุดเดียวจะใช้แรงจากไหมทำให้เกิดชั้นตา เมื่อเวลาผ่านไปชั้นตามีโอกาสเปลี่ยนหรือคลายออก แต่สามารถผูกปมไหมในหนังตาใหม่ให้แน่นขึ้นอีกครั้ง เพียงเท่านี้ชั้นตาก็จะไม่คลายออก แม้หลังผ่าตัดแล้วก็ยังสามารถแก้ไขชั้นตาได้ จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้

วิธีการนี้จะใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 30 นาทีและใช้ยาชาเฉพาะที่ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันทีและไม่ต้องตัดไหม แต่คนที่มีไขมันที่หนังตาหนา มีโอกาสสูงที่ชั้นตาจะคลายออก จึงควรทำศัลยกรรมตาด้วยวิธีกรีดจะดีกว่า

การเย็บตาจุดเดียวเหมาะกับใคร

1. คนที่มีหนังตาบาง
2. คนที่มีชั้นตาหลายชั้น
3. คนที่มีตาสองชั้นเป็นบางครั้ง
4. คนที่ปกติติดเทปทำตาสองชั้น
5. คนที่มีหนังตาหย่อนคล้อยแต่ไขมันน้อย

3. การกรีดสร้างชั้นตาให้สวยเหมือนมีมาตั้งแต่เกิด

วิธีศัลยกรรมตาด้วยการกรีด

ทำโดยการกรีดเปิดหนังตาเพื่อเอาไขมันและกล้ามเนื้อที่ไม่จำเป็นออก จากนั้นจึงเย็บหนังแท้กับกล้ามเนื้อเปลือกตาเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดชั้นตา ชั้นตาที่ได้จะคมและชัดเจนสร้างความพอใจให้กับคนไข้

เนื่องจากวิธีนี้ต้องกรีดหนังตาจึงมีแผลใหญ่กว่าวิธีอื่น มักเกิดอาการบวมได้ง่าย แต่หากได้รับการผ่าตัดจากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะสามารถสร้างชั้นตาที่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังเกิดรอยแผลและอาการบวมน้อยด้วย การออกแบบชั้นตาจะวิเคราะห์จากรูปหน้าโดยรวม ผิวและรูปทรงของ ดวงตา รูปทรงจมูก ฯลฯ สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินรวมทั้งหนังตาที่หย่อนคล้อยได้ จึงได้ชั้นตาที่คมและเป็นธรรมชาติ  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เวลาผ่าตัด 1-1.30 ชั่วโมง และใช้ยาชาเฉพาะที่ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันที และตัดไหมหลังจากผ่าตัด 5-7 วัน นอกจากการผ่าตัดทำตาสองชั้นแล้วหากมีการแก้ไขรูปตา ผ่าเปิดหัวตาและหางตาร่วมด้วย คนไข้จะพอใจกับผลการผ่าตัดยิ่งขึ้น

การกรีดเหมาะกับใคร
1. คนที่ต้องการชั้นตาคมชัด
2. คนที่มีหนังตาหย่อนคล้อย
3. คนที่ต้องการแก้ไขชั้นตาหนาให้บางลง
4. คนที่มีเปลือกตาหนาและมีไขมันมาก

4. การกรีดแผลเล็กเพื่อให้ได้ชั้นตาที่ดูเป็นธรรมชาติ

รวมข้อดีของการเย็บจุดเดียวและการกรีดเข้าด้วยกัน
เป็นวิธีที่รวมข้อดีของการเย็บจุดเดียวกับการกรีดเข้าด้วยกัน โดยการกรีดแผลเล็ก ๆ บนผิวหนังยาว 1 – 2 มิลลิเมตร แล้วเอาไขมันและกล้ามเนื้อส่วนเกินออกเพื่อสร้างชั้นตา เมื่อเอาเนื้อเยื่อส่วนเกินออกมาเย็บผิวหนังกับกล้ามเนื้อเข้าด้วยกัน ชั้นตาจะไม่คลายง่าย แผลจะเล็กกว่าการกรีดมาก อาการบวมและแผลเป็นจึงน้อยลงด้วย คนที่มีไขมันหรือกล้ามเนื้อที่เปลือกตามาก หากทำศัลยกรรมตาด้วยวิธีเย็บจุดเดียวชั้นตาจะคลายออกง่าย การกรีดแผลเล็กจึงได้ผลดีมากกว่า
ใช้เวลาผ่าตัด 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และใช้ยาชาเฉพาะที่ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ทันที ตัดไหมหลังผ่าตัด 5 -7 วัน

การกรีดแผลเล็กเหมาะกับใคร
1. คนที่ต้องการฉันตาเป็นธรรมชาติ
2. คนที่มีหนังตาหนาและมีไขมันมาก
3. คนที่มักมีอาการตาบวมทุกเช้าเพราะไขมันที่เปลือกตา
4. คนที่ไม่อยากมีรอยแผลเป็นที่เปลือกตา    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

5. การผ่าเปิดหัวตา

ชาวตะวันออกมักมีหนังตาปิดบริเวณหัวตา (Mongolian Eyes) ซึ่งจะต่างจากชาวตะวันตก ทำให้รูปตาดูสั้นเกินไป ดูอึดอัด และตาดูห่างออกจากกัน ทั้งยังอาจทำให้ ดวงตา ดูดุด้วย แม้จะมีตาสองชั้นหรือทำศัลยกรรมตาสองชั้น แต่ถ้าไม่ผ่าเปิดหัวตาร่วมด้วย หนังตาจะตกลงและดูไม่เป็นธรรมชาติ

การผ่าตัดเปิดหัวตาจะช่วยแก้ไขดวงตาที่ดูอึดอัดและดุได้ ช่วยให้ดวงตาดูสดใสและโตขึ้น ดวงตายาวจะช่วยให้ดูสดชื่น แต่ข้อเสียของวิธีผ่าเปิดหัวตาคือเกิดแผลเป็นที่มองเห็นได้ชัด

การผ่าเปิดหัวตาเทคนิคใหม่จะช่วยให้รอยแผลเป็นอยู่ชิดและขนานไปกับเยื่อตา จึงไม่เห็นรอยแผลเป็น ดวงตายาวขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนโยนลง หากผ่าเปิดหัวตาร่วมกับการทำตา 2 ชั้นจะยิ่งได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจมากขึ้น ความกว้างของหว่างตา เมื่อผ่าเปิดหัวตาเอาหนังตาที่ปิดหัวตาออก ดวงตาก็จะยาวและดูสดชื่นขึ้น หัวตาจะมีลักษณะเหมือนกลีบดอกกล้วยไม้ ดวงตา อ่อนโยน ช่วยแก้ไขชั้นตาที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาขนตาทิ่มเข้าด้านใน และแก้ไขหัวตาล่างได้ด้วย

6. การผ่าเปิดหางตา

การผ่าเปิดหางตาเป็นการผ่าตัดขยายดวงตา ช่วยให้รูปตาที่สั้นดูยาวขึ้น เป็นวิธีผ่าตัดที่ไม่คำนึงถึงความลึกของเยื่อตา จึงไม่สามารถเย็บขอบของผิวหนังและเยื่อตาได้อย่างแม่นยำ เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านบนและล่างจะสมานกันอีก ทำให้หางตากลับมาชิดติดกัน

เป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันไม่ให้หางตาที่ผ่าขยายแล้วกลับมาชิดติดกันอีก ซึ่งต้องกำหนดความยาวของหางตาโดยคำนวณจากตำแหน่งของลูกตาดำและความกว้างของตาขาว และต้องตัดผิวหนังที่จะติดกันอีกครั้งออกให้หมด เพื่อแก้ไขข้อเสียที่ไม่ให้ผิวกลับสมานกันอีก การผ่าเปิดหางตาช่วยแก้ปัญหาตาเขได้ ดวงตาจะยาวขึ้น ดูโตและสดชื่นขึ้น

7. การทำถุงใต้ตา

กล้ามเนื้อรอบดวงตาจะหดตัวเวลายิ้ม ทำให้ถุงใต้ตาโป่งออกมา คนที่มีกล้ามเนื้อส่วนนี้น้อยจึงนิยมทำศัลยกรรมถุงใต้ตา ถุงใต้ตาช่วยให้ดูเด็กลงและน่ารัก เวลายิ้มจะดูสดใสร่าเริง การทำศัลยกรรมถุงใต้ตาทำได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็ม และการผ่าตัดเสริมชั้นหนังแท้เทียมควรปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แล้วเลือกวิธีที่เหมาะกับรูปตาของตัวเอง

การทำศัลยกรรมถุงใต้ตาด้วยการฉีดสารเติมเต็ม
การฉีดสารเติมเต็มเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ศัลยแพทย์จะฉีดสารเติมเต็มเข้าไปที่ถุงใต้ตาใช้เวลาประมาณ 10 นาที เนื่องจากใช้เวลาน้อยจึงเหมาะกับคนวัยทำงาน และไม่ต้องมีการกรีดเปิดผิวหนัง จึงไม่มีรอยแผลเป็น อาการบวม หรือความเจ็บปวดแต่อย่างใด หลังจากฉีดแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที

เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการฉีดสารเติมเต็มคือ การกะปริมาณและการออกแบบถุงใต้ตา หากฉีดมากเกินไป ถุงใต้ตาจะดูใหญ่ไม่เข้ากับใบหน้า แต่ถ้าหากน้อยเกินไปคนไข้ก็มักจะไม่พอใจกับผลที่ได้ ดังนั้น คนไข้จะต้องขอคำแนะนำจากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เพื่อออกแบบถุงใต้ตาให้เข้ากับดวงตา ความสูงของจมูก โครงหน้า รวมทั้งภาพลักษณ์เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของตัวเอง  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การศัลยกรรมเสริมถุงใต้ตาด้วยชั้นหนังแท้เทียม

ชั้นหนังแท้เทียมคืออวัยวะเทียมที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเลียนแบบเนื้อเยื่อผิวหนัง เมื่อเวลาผ่านไปชั้นหนังแท้เทียมจะไม่ถูกดูดซึมหรือมองเห็นทะลุผ่านผิวหนัง จึงใช้ในการผ่าตัดเสริมถุงใต้ตาแบบถาวร ควบคุมขนาดและความหนาได้ สามารถปรับให้เหมาะกับขนาดของดวงตาได้ง่าย

วิธีดูแลตัวเองหลังผ่าตัดศัลยกรรมดวงตา

1.ประคบเย็น 2 – 3 วันหลังผ่าตัด
2.งดใส่คอนแทคเลนส์ 4 สัปดาห์
3.งดติดขนตาปลอม 4 สัปดาห์
4.งดดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ 3 – 4 สัปดาห์หลังผ่าตัด
5.งดไปโรงอาบน้ำสาธารณะหรือห้องซาวน่า 4 สัปดาห์

ปัญหารอบดวงตา

แม้ ดวงตา จะสวยขึ้นจากการทำศัลยกรรมแล้ว การดูแลตัวเองจะยิ่งทำให้ดวงตาสวยยิ่งขึ้น อย่าหยุดความพยายามเพื่อความสวยเพียงแค่การศัลยกรรม ปัญหาหลักของรอบดวงตา คือ ตาบวม ใต้ตาหมองคล้ำและริ้วรอยรอบดวงตา

1. ตาบวม
ปัญหาหลักที่พบมากที่สุดคืออาการบวมเพราะเลือดไหลเวียนไม่ดี จึงเกิดอาการบวมน้ำบ่อยครั้ง ทำให้สูญเสียความยืดหยุ่น เกิดรอยคล้ำและริ้วรอยรอบ ดวงตา ตามมา สาเหตุเกิดจากดื่มน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวัน กินอาหารรสเค็มช่วง 2 ชั่วโมงก่อนนอน ดื่มน้ำก่อนนอนมากเกินไป หรือร่างกายขาดสารอาหาร ส่งผลให้กระบวนการเผาผลาญอาหารแปรปรวน เลือดไหลไปข้างบริเวณรอบดวงตาทำให้ตาบวมในที่สุด ต้องนวดเพื่อให้เลือดที่คั่งอยู่บริเวณใบหน้ากระจายไปที่ลำตัว

นวดกระตุ้นวนเป็นวงกลมบริเวณขมับ
เมื่อร่างกายขาดโปรตีนและธาตุเหล็กจะทำให้เกิดภาวะบวมน้ำเพื่อรักษาระดับเลือด คนที่มีอาการบวมน้ำง่ายควรลดปริมาณอาหารมื้อเย็นลง และกินอาหารที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น พยายามลดกินอาหารรสเค็มลงและกินอาหารที่มีโพแทสเซียมและซาโปนินซึ่งมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เพื่อขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย

สารอาหารที่ช่วยลดอาการบวมน้ำ
โพแทสเซียม (อะโวคาโด) โปรตีน (เนื้อปลาสีขาว) ธาตุเหล็ก (หอย หน่อไม้ฝรั่ง ผักใบเขียว และเหลือง) ซาโปนิน (โสม ถั่วแดง พืชตระกูลถั่ว) [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

รอยคล้ำใต้ตา
ผิวหนังรอบตานั้นบอบบางมาก ซึ่งบางเท่ากับกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งเลยทีเดียว ทำให้มองเห็นเส้นเลือดหรือรอยคล้ำบริเวณใต้ตาได้ง่าย ซึ่งดูไม่สวยและเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพอีกด้วย ถ้าเลือดไหลเวียนไม่ดีรอบ ดวงตา จะหมองคล้ำ นอกจากรอบดวงตาแล้วต้องกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดที่ใบหน้าและร่างกายด้วยจึงจะเห็นผล เช่น อบซาวน่าหรือนวดคลายกล้ามเนื้อทั่วตัวเป็นต้น หากนอนหลับไม่เพียงพอ เครียดและเหนื่อยสะสม จะยิ่งทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ดังนั้น จึงต้องนอนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมงและพยายามหลีกเลี่ยงความเครียด เมื่ออายุมากขึ้นผิวใต้ตาจะเริ่มหย่อนคล้อย เบ้าตาลึกลง ทำให้เกิดเงาใต้ตา จึงต้องบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าให้ยืดหยุ่น เพื่อดึงผิวใต้ดวงตาให้ตึง

การนวดลดใต้ตาหมองคล้ำทำได้ง่ายและสามารถทำได้บ่อยครั้ง โดยนวดจากขมับไล่มายังใต้ตา แล้ววนรอบ ดวงตา  นวดเบาๆ ซ้ำ 2 – 3 ครั้ง นอกจากนี้ควรประคบตาสัปดาห์ละครั้งด้วยผ้าคุณหนูร้อนสลับเย็น 3 – 4 ครั้ง โดยเตรียมผ้าขนหนูชุบน้ำ 2 ผืนบิดให้หมาด นำผืนหนึ่งไปอุ่นในไมโครเวฟ อีกผืนหนึ่งชุบน้ำเย็น การประคบร้อนสลับเย็นจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและลดรอยคล้ำใต้ตาที่แก้ไขยากได้

สิ่งสำคัญในการป้องกันรอยคล้ำใต้ตาอยู่ที่การทำให้เลือดสะอาด กรดโฟลิกช่วยให้เฮโมโกลบินในเลือดไหลเวียนดี และแก้รอยคล้ำใต้ตาได้ นอกจากนี้วิตามินซีก็ช่วยยับยั้งการเกิดเม็ดสีด้วย

สารอาหารที่ช่วยแก้รอยคล้ำใต้ตา
ธาตุเหล็ก ( หอย ตับ ) กรดโฟลิก ( หน่อไม้ฝรั่ง กีวี สาหร่าย กะหล่ำปลี ) วิตามินซี (พริกหวาน ส้ม)

ริ้วรอยรอบดวงตา
ริ้วรอยรอบ ดวงตา จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุ 20 ปีเป็นต้นไป จึงต้องเริ่มดูแลผิวอย่างเต็มที่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันริ้วรอย ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวรอบดวงตา และทาครีมกันแดดรอบดวงตาด้วยเมื่อมีอายุมากขึ้น ผิวรอบดวงตาจะค่อย ๆ สูญเสียความชุ่มชื้น

เมื่ออายุ 40 ปีผิวจะยิ่งแห้งมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากผลิตภัณฑ์สำหรับผิวรอบ ดวงตา แล้วควรทำมาสก์รอบดวงตาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ถ้ายังสังเกตเห็นริ้วรอยแม้ไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะแสดงว่าเป็นริ้วรอยลึก แก้ไขได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็มหรือทำเลเซอร์ยกกระชับ ร่วมกับการกินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี ถั่วเหลืองเพื่อเพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดน้อยลง และช่วยให้ผิวยืดหยุ่นมากขึ้น [adinserter name=”sesame”]

สารอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของริ้วรอยป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ส่วน Collagen คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายถึง 33 เปอร์เซ็นต์ เป็นโครงสร้างหลักในชั้นหนังแท้ร่วมกับอิลาสติน ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึงและยืดหยุ่น เราสามารถกินโปรตีนเพื่อเสริมคอลลาเจนที่ลดลงตามวัยได้

สารอาหารที่ช่วยลดริ้วรอย
วิตามินซี (ส้ม พริกหวาน) โปรตีน (ปลาแอนโชวี เนื้อวัว) คอลลาเจนและอิลาสติน (เต้าหู้ กระดูกอ่อน ปีกไก่ หนังหมู) เซราไมด์ (หัวบุก)

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

โรคสมองเสื่อมคนเป็นไม่รู้ คนรู้ไม่เป็น

0
โรคสมองเสื่อมคนเป็นไม่รู้ คนรู้ไม่เป็น
ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคความผิดปกติเกี่ยวกับสมองจะไม่มีทางทราบหรือยอมรับว่าตนเองป่วย
โรคสมองเสื่อมคนเป็นไม่รู้ คนรู้ไม่เป็น
ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคความผิดปกติเกี่ยวกับสมองจะไม่มีทางทราบหรือยอมรับว่าตนเองป่วย

โรคสมองเสื่อม

สมองเสื่อม ( Dementia ) คือ การเปลี่ยนแปลงของสมองผิดปกติและค่อยๆเสื่อมลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสมองก่อให้เกิดการลดลงของทักษะด้านความคิด สติปัญญา การเรียนรู้ อารมณ์ หรือการตัดสินใจ หากมีอาการของโรคสมองเสื่อมที่รุนแรงทำให้ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิมได้อีกเลย

กลไกการเกิดโรคสมองเสื่อม ผู้ป่วยจะเกิดอาการเจ็บป่วยประเภทหนึ่งที่น่าสนใจและสร้างความลำบากใจให้กับผู้เกี่ยวข้องไปพร้อมกันก็คือกลุ่มโรคที่ “ คนเป็นไม่รู้ คนรู้ไม่เป็น ” โดยมากจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของสมองและจิตใจ ซึ่งผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคความผิดปกติเกี่ยวกับสมองจะไม่มีทางทราบหรือยอมรับว่าตนเองป่วย ต้องอาศัยญาติพี่น้องหรือคนรอบข้างที่อยู่ใกล้ชิดช่วยสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และไม่ใช่แค่การสังเกตดูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องทำความเข้าใจกับพยาธิสภาพและผลกระทบจากการป่วยดังกล่าว เพื่อให้สามารถปรับตัวและพร้อมที่จะเป็นการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยในการรักษาและฟื้นฟู กลไกการเกิด dementia หรือ สมองเสื่อมค่อนข้างซับซ้อน ถึงแม้โรคเหล่านี้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทุกโรคแต่การบรรเทาไม่ให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้นก็เป็นการรักษาทางหนึ่งเช่นกัน โรคหรืออาการแสดงที่จัดอยู่ในประเภท “ คนเป็นไม่รู้ คนรู้ไม่เป็น ” ได้แก่ โรคสมองเสื่อม อาการบกพร่องในการจดจำ ( MCI ) โรคซึมเศร้า เป็นต้น

สาเหตุของภาวะสมองเสื่อม

สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการโรคสมองเสื่อม ได้แก่ โรคทางระบบประสาทเสื่อมรวมถึงโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคฮันติงตัน โรคหลอดเลือดสมอง ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม ความผิดปกติของหลอดเลือดส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดในสมอง การได้รับบาดเจ็บทางสมองเกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การหกล้ม การถูกกระทบกระแทกต่าง ๆ การติดเชื้อของกลางระบบประสาท รวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคเอชไอวี (HIV) การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เป็นต้น

ปัจจัยที่ทำให้สมองเสื่อม

  • อายุที่มากขึ้นมีผลต่อการพบภาวะสมองเสื่อม โดยมีรายงานว่าพบอัตราการป่วย 6-8% ในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และพบอัตราการป่วยที่ 30% ในผู้สูงอายุที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไป
  • กรรมพันธุ์ ในกรณีที่ครอบครัวเคยมีผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม หรือเคยมีประวัติเป็นโรคอื่นๆ เกี่ยวกับสมองมาก่อนก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนปกติทั่วไป
  • ติดสุราและยาเสพติดเรื้อรัง ทั้งแอลกอฮอล์และสารเสพติดมีผลต่อการกดการทำงานของระบบประสาทโดยตรงจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมในระยะยาวได้
  • สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก เช่น เกิดอุบัติเหตุ ถูกตี ถูกกระแทกอย่างแรง
  • หลอดเลือดในสมองเกิดความเสียหายหรืออุดตัน เช่น มีเลือดออกในสมอง ภาวะหลอดเลือดเสื่อมสภาพ มีไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น ซึ่งความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดในสมอง อาจเกี่ยวข้องกับความดันที่มาจากหัวใจด้วยก็ได้
  • ภาวะเนื้องอกในสมอง ถ้าเนื้องอกที่เกิดขึ้นนั้นมีผลกดการทำงานของเซลล์ประสาทในสมอง หรืออาจขัดขวางการทำงานก็จะกลายเป็นต้นตอของภาวะสมองเสื่อม
  • การได้รับสารพิษเป็นจำนวนมากหรือเป็นระยะเวลานาน เช่น ปรอท สารหนู สารคาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นต้น

ประเภทของภาวะสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อมเป็นการเรียกโดยรวมทางพยาธิสภาพ ซึ่งสามารถแยกออกได้หลายประเภทตามความรุนแรง อาการที่แสดง หรือบริเวณของสมองที่เสียหาย เช่น ภาวะสมองเสื่อมแบบอัลไซเมอร์ สมองเสื่อมจากหลอดเลือด โรคเลวี บอดี้ สมองเสื่อมบริเวณสมองส่วนหน้า และอื่นๆ เช่น

โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease ) เป็นโรคเกี่ยวกับสมองที่พบได้มากที่สุด เราอาจพูดรวมๆ ได้ว่าเป็นโรคสมองเสื่อมประเภทหนึ่ง แต่หากเจาะลึกในความเชื่อมโยงที่แท้จริง อัลไซเมอร์ไม่ใช่โรคสมองเสื่อมแต่เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคสมองเสื่อมในเวลาต่อมา โดยลักษณะของอัลไซเมอร์จะเกี่ยวข้องกับความสามารถในการจดจำ การนึกคิด โดยผู้ป่วยอาจจะเกิดการสูญเสียความสามารถในการจำ ( Mild cognitive impairment )  ในระยะแรกก่อนหรือไม่ก็ได้ ความผิดปกติของโรคสมองเสื่อมแบบอัลไซเมอร์คือการพบ plaque และ tangle ( การจับตัวเป็นก้อนมากผิดปกติในสมอง และกลุ่มเส้นใยที่พันกันยุ่งเหยิง ตามลำดับ )   

โรคสมองเสื่อมจากหลอดเลือด ( Vascular dementia ) เป็นภาวะที่เกิดจากหลอดเลือดในสมองเกิดความเสียหายและมีการอุดตันในหลอดเลือด ความรุนแรงและรูปแบบของอาการสมองเสื่อมขึ้นอยู่กับบริเวณสมองที่พบการเสียหายของหลอดเลือด โดยมีผลต่อความจำ การคิด และพฤติกรรมของผู้ป่วย โรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงก็เป็นสาเหตุโน้มนำให้เกิดสมองเสื่อมแบบนี้ได้เช่นกัน

โรคเลวี บอดี้ ( Lewy bodies dementia ) เป็นอาการสมองเสื่อมที่พบเลวี บอดี้ในสมอง เลวี เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อ alpha-synuclein ที่จับกันเป็นก้อนมากผิดปกติในสมอง มีผลต่อการคิด การเคลื่อนไหว พฤติกรรม และอารมณ์ อาจมีการเห็นภาพหลอน ( visual hallucination ) ร่วมด้วย โดยอาการสมองเสื่อมแบบเลวี บอดี้ สามารถพบร่วมกับการป่วยเป็นโรคพาร์กินสันได้

สมองเสื่อมจากความเสียหายบริเวณสมองส่วนหน้า ( frontotemporal disorders ) เป็นการสูญเสียเซลล์ประสาทที่อยู่ในสมองส่วนหน้า ( frontal lobe ) และสมองส่วนขมับ ( temporal lobe ) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิด พฤติกรรม และความสามารถทางการใช้ภาษา ดังนั้นเราจะเห็นผู้ป่วยมีอาการแสดงความไม่เหมาะสมในสังคม อารมณ์ไม่มั่นคงฉุนเฉียว ความสามารถในการทำงานหรือควบคุมร่างกายลดน้อยลง รวมไปถึงการสูญเสียทักษะในการจำชื่อคน และความหมายของสิ่งของที่เคยรู้จักด้วย

การวินิจฉัยโรคสมองเสื่อม

ผู้ป่วยสมองเสื่อมควรเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพียงความผิดปกติเบื้องต้นหรือรุนแรงแล้วก็ตาม แต่ในหลายๆ กรณีผู้ป่วยเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้หรือไม่ยอมรับว่าตนเองป่วย จึงเป็นหน้าที่ของคนรอบข้างที่ต้องคอยสังเกตความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย พร้อมกับรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ให้ได้ก่อน เน้นย้ำว่าหากสามารถทำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้แบบสมัครใจ ก็จะเป็นผลดีต่อการรักษาอย่างมากเลยทีเดียว สำหรับการวินิจฉัยโรคสมองเสื่อมสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับแนวทางของแพทย์และอาการของผู้ป่วยที่แสดงออก ดังนี้

การซักประวัติ ( History Taking ) ถือเป็นการวินิจฉัยเบื้องต้นเพื่อเก็บข้อมูลและเลือกแนวทางในการวินิจฉัยที่ต่อเนื่องต่อไป รวมถึงการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และอาจมีการประเมินผู้ป่วยด้วยแบบทดสอบ   

การตรวจเอกซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์ ( CT scan brain ) สามารถตรวจหาความผิดปกติในสมอง เช่น เลือดคั่ง เนื้อสมองที่ขาดเลือดมาเลี้ยง หรือเนื้องอก สำหรับข้อปฏิบัติในการเข้าตรวจ CT scan ทางเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจจะแจ้งกับทางผู้เข้ารับการตรวจก่อน เช่น การงดน้ำงดอาหาร ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารทะเล สารทึบแสง ( เนื่องจากผู้เข้าตรวจจะได้รับสารที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ในกระบวนการตรวจ )

การตรวจสมองด้วยเครื่องสนามแม่เหล็กกำลังสูง Magnetic resonance imaging ( MRI ) เป็นการตรวจโดยการส่งสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่สมองและนำมาแปลเป็นภาพให้เห็นอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ในการตรวจด้วยวิธี MRI จะได้ภาพที่มีความชัดเจนและละเอียดมากกว่าการตรวจด้วยวิธี CT scan อาการผิดปกติในสมองที่สามารถตรวจด้วยเครื่อง MRI ได้แก่ ความผิดปกติของหลอดเลือด สมองส่วนที่ฝ่อลีบ เนื้อสมองที่ตาย เป็นต้น

การรักษาโรคสมองเสื่อม

เมื่อผ่านขั้นตอนการวินิจฉัยอย่างละเอียดจนสามารถหาสาเหตุและประเภทของโรคสมองเสื่อมได้แล้ว แพทย์จะเป็นผู้กำหนดวิธีการรักษาโดยการรักษาแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ การรักษาแบบใช้ยา และไม่ใช้ยา ซึ่งทั้งสองวิธีไม่ได้บ่งบอกว่าวิธีการไหนดีกว่ากัน สำหรับการรักษาโดยการใช้ยา แพทย์จะจ่ายยาที่ช่วยลดการเสียหายของเซลล์ประสาท เช่น ยาที่ช่วยระงับการทำงานของเอนไซม์ acetylcholine-esterase inhibitor ( acetylcholine เป็นสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ในการช่วยส่งกระแสประสาท เมื่อทำงานเสร็จแล้วร่างกายจะมีการกำจัดออกโดยเอนไซม์ดังกล่าว ซึ่งการจ่ายยาช่วยระงับจะทำให้สารสื่อประสาท acetylcholine ทำงานได้นานมากขึ้น ) หรือยาที่ออกฤทธิ์ต้านการทำงานของตัวรับ NMDA ที่เยื่อหุ้มเซลล์ การรักษาด้วยยาไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้ผลมากน้อยเท่าใด อาจส่งผลให้อาการป่วยดีขึ้น แย่ลง หรือไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็ได้

การรักษาแบบไม่ใช้ยา สามารถทำได้ 2 แนวทางคือ การบริหารสมองซึ่งเป็นเสมือนการออกกำลังกายสมองได้แก่ การเล่นเกมปริศนาต่างๆ ฟังเพลงคลาสสิค อ่านหนังสือ ในอีกแนวทางหนึ่งก็คือ การดูแลสภาพแวดล้อมโดยรอบซึ่งมีผลต่อจิตใจและสุขภาพร่างกายของผู้ป่วย เช่น การทำห้องน้ำให้เป็นพื้นฝืดลดการลื่นล้มเวลาเข้าห้องน้ำ การพูดคุยที่สั้นและง่ายต่อความเข้าใจ หลีกเลี่ยงการซักถามอย่างละเอียดมากเกินไป การช่วยดูแลสุขภาพอนามัยของผู้ป่วย (การซักผ้า อาบน้ำ แต่งตัว) และที่สำคัญคือการทำความเข้าใจกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยสมองเสื่อม เพราะคนรอบข้างจำเป็นอย่างมากกับการรักษาและช่วยเยียวยาผู้ป่วย บางครั้งผู้ป่วยอาจแสดงอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียวหรือทำอะไรที่ดูไม่เหมาะสม ส่วนนึงเป็นเพราะความผิดปกติที่เกิดกับสมองและอีกส่วนหนึ่งเป็นความผิดปกติที่เกิดจากสภาพจิตใจของผู้ป่วยด้วยเช่นกัน

แนวทางการป้องกันโรคสมองเสื่อม

ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าสมองเสื่อมเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางสาเหตุสามารถป้องกันได้ด้วยการลดปัจจัยความเสี่ยง อย่างเช่น การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันและไขมันในเลือดสูง การลดหรืองดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ สารเสพติดทุกชนิด การได้รับสารอาหารและวิตามินบำรุงสมองที่เพียงพอ ทำกิจกรรมที่ช่วยลดความตึงเครียด การเข้าสังคม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม สิ่งเหล่านี้สามารถลดอัตราการเกิดโรคสมองเสื่อมได้ แต่ในกรณีที่ไม่สามารถป้องกันได้ เช่น การเสื่อมของเซลล์สมองตามอายุที่มากขึ้น แนวทางการป้องกันคือการเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ พึงระลึกไว้เสมอว่ายิ่งตรวจเจอเร็วเท่าไรก็สามารถหาแนวทางช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้มากเท่านั้น

อาหารบำรุงสมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม

1. กินธัญพืชไม่ขัดสีอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ
2. กินผักใบเขียว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 6 ครั้ง เช่น ผักเคล ผักโขม ผักเชียงดา ผักแพว บร็อคโคลี
3. กินผลไม้ตระกูลเบอรี่ เช่น มัลเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี่ แบล็คเคอร์แรนท์ บลูเบอร์รี่ มาเรียนเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ องุ่นม่วง
4. กินเนื้อแดงน้อยกว่า 4 ครั้งต่อสัปดาห์
5. กินผักตระกูลกะหล่ำ อย่างน้อยวันละ 1 มื้อ
6. กินปลา อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

สิว เรื่องที่ผู้หญิงทุกคนกังวลใจ

0
สิวเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนกังวลใจ
การอักเสบเรื้อรังของรูขนและต่อมไขมัน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ หัวขาว หรือหัวดำ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง หรือตุ่มเนื้อลึกใต้ผิวหนัง พบมากบริเวณหน้า
สิวเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนกังวลใจ
การอักเสบเรื้อรังของรูขนและต่อมไขมัน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ หัวขาว หรือหัวดำ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง หรือตุ่มเนื้อลึกใต้ผิวหนัง พบมากบริเวณหน้า

สิว

สิว ( Acne ) มักปรากฏบนใบหน้า หน้าอก หลัง หลังหู และบนศีรษะ สิวมีผลต่อวัยรุ่นประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ และในวัยทำงานประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ที่มีอายุ 20 – 40 ปี ช่วงอายุระหว่าง 11 ถึง 30 ปี เด็กผู้หญิงมักได้รับผลกระทบจากสิวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เด็กผู้ชายจะได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่า ซึ่งมีการไปพบแพทย์มากกว่าปัญหาผิวหนังอื่น ๆ แม้สิวที่เกิดขึ้นอาจไม่เป็นอันตรายแต่ทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจหรือเกิดรอยแผลเป็นแบบถาวรได้ สิวเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งประกอบด้วยรูขุมขน ต่อมน้ำมัน ต่อมไขมัน ที่อุดดันนำไปสู่การเกิดสิวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โฮนเพศชายเรียกว่า ( แอนโดรเจน ) ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้นทั้งเด็กชายและเด็กหญิงเพื่อให้ความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยปกติต่อมไขมันที่ผลิตนั้นจะเดินทางผ่านรูขุมขนไปยังผิวหนัง แต่อาจมีเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วตกค้างอยู่ในรูขุมขนจึงเกิดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียภายในรูขุมขนและเกิดการอักเสบของสิวได้ ประเภทของสิวที่พบมากที่สุด คือ สิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวหัวขาว สิวอักเสบ สิวเสี้ยน สิวตุ่มนูนแดง สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง สิวผด

สาเหตุของสิว

1. ระดับฮอร์โมนเพศที่เพิ่มสูงขึ้น เรียกว่า ” แอนโตรเจน ” เป็นฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นทั้งในเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงในช่วงวัยรุ่นอายุระหว่าง 11 ถึง 20 ปี อาจทำให้ต่อมไขมันขยายตัวและสร้างไขมันมากขึ้น
2. กรรมพันธุ์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงในการเกิดสิวสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่
3. การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในเด็กผู้หญิงทำให้เกิดสิวได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนเริ่มมีประจำเดือนประมาณ 2 ถึง 7 วัน
4. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ หรือการเริ่มหยุดยาคุมกำเนิด อาจทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน
5. ยาบางชนิด เช่น ยาแอนโดรเจน ยาลิเทียม และยาบาร์บิทูเรต เช่น
5.1. ยาแอนโตรเจน ( Androgen ) ออกฤทธิ์ยับยั้งฤทธิ์ฮอร์โมนเพศชาย ช่วยลดขนขาที่ดกดำ ช่วยลดอาการผมร่วงเนื่องจากฮอร์โมนเพศชาย
5.2. ยาลิเทียม ( Lithium ) ออกฤทธิ์ต่อสารเคมีและการทำงานในสมอง ใช้รักษาหรือป้องกันความผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งของโรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar disorder) ในช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการสึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา อารมณ์ดีผิดปกติ มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ สูงมาก
5.3. ยาบาร์บิทูเรต ( Barbiturate ) ออกฤทธิ์ต่อสมองถูกใช้เป็นยาคลายเครียด ความวิตกกัลวล ยานอนหลับ ใช้เป็นยาสลบก่อนนำคนไข้เข้ารับการผ่าตัด ปัจจุบันยาบาร์บิทูเรตได้รับความนิยมน้อยลงไปด้วยมีผลข้างเคียงมากกว่ายากลุ่มอื่นที่มีฤทธิ์ของการรักษาเหมือนกันมักใช้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
6. การหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติทําให้เกิดความหนาตัวของผิวหนังบริเวณรูขุมขนเกิดการสะสมของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูขุมขนอีกด้วย

ลักษณะของสิว

  • สิวอุดตัน ( Comedones ) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนอยู่ใต้ผิวหนังสัมผัสได้ด้วยมือไม่เกิดการอักเสบกดออกได้ยาก
  • สิวหัวดำ ( Blackhead appearance ) มีลักษณะเป็นก้อนไขมันเกิดขึ้นในรูขุมขนสีเข้ม หรือสีดำมักปรากฏบริเวณหน้าผาก แก้ม จมูก
  • สิวหัวขาว ( whiteheads ) มีลักษณะเป็นเม็ดขาวๆ เล็ก ๆ สิวหัวปิดมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.1 มิลลิเมตร
  • สิวอักเสบ ( Inflammatory acne ) มีลักษณะเป็นตุ่มสิวที่มีการอักเสบมีรอยผื่นบวมแดด หรือมีตุ่มหนอง
  • สิวเสี้ยน ( Trichostasis Spinulosa ) มีลักษณะคล้ายสิวอุดตันขึ้นเป็นต่อสีขาวหรือไขมันที่มีการแข็งตัวเมื่อสัมผัสกับอากาศ แต่ต่างกันตรงที่สิวเสี้ยนมักเกิดเป็นกระจุกบริเวณขนอ่อน ๆ อยู่พบมากบริเวณจมูก รอบปาก และใต้คาง เมื่อใช้มือสัมผัสรู้สึกเป็นหนามเล็กเป็นจำนวนมาก
  • สิวตุ่มนูนแดง ( Papule ) คือ สิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงขนาดเล็กกดเจ็บ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 – 3 มิลลิเมตร อาจมีเลือดคั่งไม่มีหนอง   
  • สิวหัวหนอง ( Purulent acne ) มีลักษณะเป็นตุ่มหนองของสิวมีของเหลวสีขาวอยู่ข้างในตรงหัวสิว มักเกิดบริเวณรูขุมขนที่มีการอุดตันเกิดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตาย
  • สิวหัวช้าง ( Acne Conglobata ) มีลักษณะเป็นตุ่มสิวที่มีอาการอักเสบชนิดรุนแรง มักพบเป็นก้อนแข็ง ๆ มีหนองและเลือดปนอยู่ภายใน พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป
  • สิวผด หรือ สิวเทียม ( Acne aestivalis ) มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ แข็ง ๆ มีขนาดเท่า ๆ กัน เหมือนผดทั่วไปส่วนใหญ่มักขึ้นบริเวณไรผม หน้าผาก คาง มักเห็นได้ชัดเจนเมื่อโดนแดดหรือเหงื่อออกมาก

สิ่งที่ทำให้ผิวระคายเคืองและอาจทำให้เกิดสิว

  • ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม สารฟอกขาว ที่ทำให้เกิดสิวสำหรับคนเป็นสิว ผิวแพ้ง่ายที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว ได้แก่ โฟมล้างหน้า น้ำหอม น้ำยาปรับผ้านุ่ม คลีนซิ่ง สีย้อมผม ยาสระผม ยาแต้มสิว ผงซักฟอก ยาย้อมผม น้ำยาซักผ้า ครีมอาบน้ำ สบู่ ครีมนวดผม น้ำยาซักผ้า โลชั่นน้ำหอม แป้งฝุ่น เจลใส่ผม เป็นต้น
  • อาหารบางชนิด เช่น อาหารทอด ผลไม้น้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์นม เบอร์เกอร์ ช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของน้ำตาลสูง ธัญพืชขัดสี เนื้อสัตว์ติดมัน เป็นต้น
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • น้ำอัดลมมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง
  • น้ำผลไม้สำเร็จรูปมักมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง
  • สารเคมีบางตัวที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว
  • มลภาวะทางอากาศที่มีสารเจือปนอยู่ในปริมาณที่สูงกว่าระดับปกติเป็นเวลานานพอที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ เช่น ฝุ่นละออง หมอกควัน ควันจากท่อไอเสีย เขม่าควันจากการเผาขยะ
  • ผิวหน้าถูหรือเสียดสีจากเสื้อผ้า
  • มือสัมผัสกับสิ่งสกปรก หรือสัตว์เลี้ยงเลียมือ เลียหน้า
  • การกินยาเตียรอยด์อาจทำให้เกิดอาการคล้ายสิวได้ 

อาหารที่ก่อให้เกิดสิว

  • อาหารจานเดียว
  • อาหารจานด่วน
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • อาหารประเภทไขมัน
  • อาหารที่มีน้ำตาลสูง
  • ผลิตภัณฑ์นม
  • อาหารทอด
  • เวย์โปรตีนผง
  • ช็อคโกแลต
  • ธัญพืชที่ผ่านการขัดสีขาวหรือแป้งสีขาวบริสุทธิ์
  • เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและโปรตีนจากสัตว์

การรักษาสิว

  • ทายาแต้มสิว เจลแต้มสิว
  • ใช้กรดซาลิไซลิกและกรดอะซีลิก เป็นกรดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • รับประทานยาปฏิชีวนะ สำหรับอาการสิวระดับปานกลาง และสิวที่มีความรุนแรง ซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าแบคทีเรียบริเวณผิวหนังส่วนเกิน และลดรอยแดง – ทาครีมแต้มสิวกลุ่มเรตินอยด์
  • กดหัวสิวอุดตันออก ทายาฆ่าเชื้อ
  • การบำบัดด้วยแสงเลเซอร์
  • ยาคุมกำเนิดเพื่อปรับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน

เคล็ดลับทั่วไปสำหรับการจัดการสิว

  • ควรล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย ก่อนการสัมผัสหน้า
  • ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
  • ใช้โฟมล้างหน้า สำหรับรักษาสิว   
  • สระผมทุกวันด้วยแชมพูสระผม ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม
  • อาบน้ำและทำความสะอาดผิวกายด้วยสบู่ที่ยับยั้งและป้องกันแบคทีเรีย
  • หลีกเลี่ยงการแกะ เกาหรือสัมผัสสิวโดยตรง
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน อาหารหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว

การรักษาหลุมแผลเป็นจากสิว

  • กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนเหมาะกับหลุมสิวตื้น ๆ หลุมสิวใหม่ หลุมแอ่งกระทะ
  • ทาครีมลบรอยแผลเป็น หรือครีมลดริ้วรอยที่มีส่วนผสม เช่น วิตามินอี, AHA, BHA
  • ทายากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Retin-A
  • ทานยากลุ่มที่สกัดจากอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น Roac-cutane, Acnotin, lsotretinoin
  • ฉายแสง LED เช่น Gentle Waves, Omnilux
  • ยิงเลเซอร์ lPL
  • ยิงเลเซอร์ Smooth Beam
  • ยิงเลเซอร์ Nd: YAG
  • รักษาด้วยคลื่นวิทยุ
  • รักษาด้วยการผลักวิตามินลงบนผิวหน้า เช่น Electroporation
  • กระตุ้นให้เซลล์ผิวด้านบนลอกออก ร่างกายจะซ่อมแซมด้วยการดันหลุมสิวให้ตื้นขึ้นเอง เหมาะกับหลุมสิวตื้น ๆ หรือลึกปานกลาง หลุมสิวแบบแอ่งกระทะ และหลุมกล่อง
  • ลอกผิวด้วยกรดผลไม้ AHA, BHA, PHA
  • แต้มกรด TCA
  • กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี Microdermabrasion
  • กรอผิวด้านบนด้วยเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นและความร้อนสูง เช่น CO2 ,Erbium YAG
  • ทำให้ผิวอักเสบเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองโดยสร้างเซลล์ใหม่ เหมาะกับหลุมสิวตื้นหรือลึกปานกลาง หลุมสิวทั้งแอ่งกระทะ หลุมกล่องและหลุมนกจิก
  • กรอผิวด้านบนด้วยเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นและความร้อนสูง เช่น CO2 , Erbium YAG
  • เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล เช่น Fraxel Restore, Fine Scan, Mosaic
  • เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ Fractional RF
  • เติมหลุมสิวด้วยสารเติมเต็ม เหมาะกับหลุมสิวตื้นหรือปานกลาง หลุมสิวแอ่งกระทะ
  • ฉีดฟิลเลอร์ ( Hyaluronic Acid )
  • ตัดพังผืดใต้ฐานหลุมสิว เหมาะกับหลุมสิวลึกปานกลางหรือลึกมาก หลุมสิวแบบกล่อง หลุมนกจิก และหลุมแอ่งกระทะ 
  • เทคนิค Subcision โดยใช้เข็มที่มีปลายเป็นใบมีดเจาะและตัดพังผืดใต้ฐานหลุมสิวออกไป
  • ศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว เหมาะกับหลุมสิวที่ลึกหรือกว้างมาก หลุมสิวแบบกล่องและหลุมนกจิก
  • ตัดรอยหลุม แล้วเย็บปิดให้ผิวหนังชิดกัน
  • นำผิวหนังส่วนอื่นมาปิดรอยหลุมสิว
  • กรีดผิวหนังเป็นวงรี แล้วเย็บปิด
  • ตัดหลุมสิวแล้วยกขึ้นมาให้ได้ระดับเดียวกับผิวหนัง

ซึ่งในแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดี ข้อเสียและข้อควรระวังที่แตกต่างกัน สำคัญที่สุดคือต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพราะหากพลาดไป รอยแผลเป็นจะตามมาหลอกหลอนเราไปอีกนานแสนนาน

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการล้างหน้า

ในวันสวยแบบธรรมชาติ ซึ่งทาแค่ครีมกันแดด ใช้ Cleansing Water สูตรน้ำตามด้วยคลีนเซอร์แบบเจล สำหรับคนผิวบอบบาง อุดตันและเป็น สิว ( Acne ) วันแต่งหน้าจัดเต็ม ควรใช้ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ทำความสะอาด ดังนี้

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง เช่น Cleansing Oil, Cleansing Water
  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางเฉพาะดวงตาและปาก (Eyes & Lips Remover)
  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าทั่วไป เช่น คลีนเซอร์ โฟม เจลล้างหน้า หรือสบู่สมุนไพรธรรมชาติ ก่อนล้างด้วย Cleansing Brush หรือแปรงทำความสะอาดผิวอีกครั้ง
  • คอตต้อนบัด สำลีและกระดาษทิชชูสำหรับใบหน้า
  • น้ำยาล้างตา
  • น้ำเกลือ Klean & Kare หรือโทนเนอร์

อย่างไรก็หากสิวมีอาการที่รุนแรงควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและหาวิธีรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคนตามขั้นตอนของแพทย์ เพื่อลดความรุนแรงของการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณผิวหนังและลดการเกิดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009

ถาม-ตอบ ปัญหาอาการเจ็บปวดเมื่อยล้าจากภาวะโรคออฟฟิศซินโดรม

0
ถาม-ตอบปัญหากล้ามเนื้อตึงรั้ง เจ็บปวด เมื่อยล้าโรคออฟฟิศซินโดรม
โรคออฟฟิศซินโดรมเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ
ถาม-ตอบปัญหากล้ามเนื้อตึงรั้ง เจ็บปวด เมื่อยล้าโรคออฟฟิศซินโดรม
โรคออฟฟิศซินโดรมเป็นอาการที่เกิดจากการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ

โรคออฟฟิศซินโดรม

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) หรือกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด คือ อาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืดอาการปวดในช่วงแรกที่ร่างกายรู้สึกจะเป็นอาการปวดที่รู้สึกเพียงชั่วครูแล้วจะหายไปเอง ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ขยับร่างกายเปลี่ยนอิริยาบทน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง เส้นประสาทส่วนปลายถูกกดทับทำให้ชาตามมือ แขน ซึ่งอาการปวดที่มีอาจจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น โดยในช่วงแรกอาการปวดจะเป็นแล้วสามารถหายได้เอง ต่อมาอาการปวดที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นนานขึ้นกว่าจะหาย จนในที่สุดอาการปวดที่เกิดขึ้นไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่หายต้องทำการผ่าตัดจึงจะสามารถทำให้หายปวดได้

อาการออฟฟิศซินโดรม

1. ปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน เช่น คอ บ่า ไหล่ สะบัก หรือปวดร้าวไปบริเวณใกล้เคียง รวมถึงอาการปวดล้า ซึ่งความรุนแรงจะเริ่มตั้งแต่น้อยจนถึงรุนแรงมาก
2. อาการทางระบบประสาท เช่น เหน็บ ชา เย็น วูบ ขนลุก เหงื่อออกบริเวณที่ปวด มึนงง หูอื้อ ตาพร่า
3. ระบบประสาทถูกกดทับ เช่น ชาบริเวณแขนและมือ หากเส้นประสาทถูกกดทับนานอาจเกิดอาการอ่อนแรง

การรักษาออฟฟิศซินโดรมที่นิยม

1. ยืดกล้ามเนื้อที่ถูกวิธีด้วยตัวเอง
2. กายภาพบำบัดด้วยอุปกรณ์กายภาพบำบัด
3. นวดแผนไทย
4. ฝังเข็ม
5. ยา

ถาม-ตอบ เกี่ยวกับอาการปวด สาเหตุและวิธีการแก้ไข

ทำไมถึงไหล่และคอมีอาการตึงเกิดขึ้น ?

คำตอบ ศีรษะของคนเราจะมีน้ำหนักประมาณร้อยละ 8 ของน้ำหนักร่างกาย ดังนั้นถ้าเรามีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม ศีรษะจะมีน้ำหนักประมาณ 5.6 กิโลกรัม กระดูกส่วนคอจะโค้งไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อที่จะทำหน้าที่รับน้ำหนักของศีรษะทั้งหมด และรักษาสมดุลของร่างกายอีกด้วย เวลาที่เราทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้โทรศัพท์เราต้องก้มหน้าเข้าหาหน้าจอเป็นเวลานาน ซึ่งการยื่นหน้าในลักษณะการใช้งานแบบนี้กระดูกส่วนคอจะต้องยืดตรงเพื่อส่งกะโหลกศีรษะไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ทำให้กระดูกคอตั้งเหยียดตรงซึ่งหมายถึงว่ากระดูกคอต้องทำงานหนักมากขึ้น

ซึ่งการเหยียดกระดูกคอเป็นเส้นตรงและการอยู่ในท่าเช่นนั้นเป็นเวลานานจึงทำให้เกิดอาการตึงที่ส่วนของไหล่และคอนั่นเอง

อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดเรื้อรัง?

คำตอบ รูปทรงตามธรรมชาติของกระดูกสันหลังคือมีรูปทรงเป็นรูปตัวเอส แต่เมื่อการดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทำให้กระดูกสันหลังมีรูปทรงที่เปลี่ยนไปจากรูปตัวเอสเป็นเส้นตรง ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกเกิดการกดทับเส้นประสาท เส้นเลือด หลอดเลือดหรือระบบน้ำเหลืองที่อยู่ภายในกระดูกสันหลัง ซึ่งการกดทับดังกล่าวที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้น ไม่ว่ากระดูกสันหลังที่ตำแหน่งเกิดการเคลื่อนย้ายจากตำแหน่งเดิมแม้เพียงจุดเดียวก็สามารถสร้างความเจ็บปวดเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ซึ่งความเจ็บปวดนี้จะเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง และจะหายได้ก็ต่อเมื่อกระดูกสันหลังตำแหน่งที่มีความผิดปกติกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมเท่านั้น

เมื่อเรารู้สึกว่าตามีอาการล้า ควรทำเช่นไร?

คำตอบ อาการตาล้าเกิดจากการที่เราใช้กล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตามากเกินไปส่งผลให้กล้ามเนื้อมีอาการตึง เครียด ซึ่งมักจะเกิดกับคนที่ต้องทำงานใช้สายตาจดจ้องกับแสงสว่างมากหรือคนที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

วิธีการแก้ไขปัญหาอาการตาล้าสามารถทำด้วยการประคบร้อนที่กล้ามเนื้อรอบดวงตา เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณรอบดวงตาและช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตาด้วย และการทำงานที่ต้องใช้ดวงตามาก ควรเว้นระยะการใช้ดวงตาด้วยการหลับตาเมื่อรู้สึกล้าที่ดวงตาเกิดขึ้น

นอกจากนั้นควรรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและสายตาเป็นประจำ เช่น วิตามินเอ เกลือแร่และแคลเซียม เป็นต้น และควรบริการกล้ามเนื้อดวงตาด้วยการกรอกสายตาไปมาอยู่เป็นประจำ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อรอบดวงตา

อาการหัวไหล่ติดไม่สามารถยกแขนขึ้นหรือยกแขนขึ้นได้ยากนั้นเกิดจากอะไร ?

คำตอบ ไหล่เป็นกระดูกโครงสร้างที่ประกอบด้วยกระดูกไหปลาร้า ( Clavicle ) , กระดูกสะบัก ( Scapula ) และกระดูกต้นแขน ( Humerus ) ซึ่งยึดไว้ด้วยกล้ามเนื้อมัดใหญ่ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราทำการเคลื่อนไหวหัวไหล่ด้วยท่าทางที่ผิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเอี้ยวตัวมากเกินไป ข้อไหล่ยึดติด การอักเสบของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ ข้อไหล่ การ กระแทกของข้อไหล่ด้วยความรุนแรงหรือการที่ขยับข้อไหล่เป็นเวลานานจนเยื่อหุ้มข้อไหล่เกิดอาการบวมและหนาขึ้นจึงทำให้เกิดอาการไหล่ติด

หรือการที่ทำงานด้วยท่าทางเดิมๆ เป็นระยะเวลานานไม่มีการขยับหัวไหล่ ข้อไหล่เลยก็สามารถทำให้เกิดอาการหัวไหล่ยึดได้เช่นกัน

ทำไมสะโพกถึงมีอาการปวดเกิดขึ้นได้ ?

คำตอบ สะโพกสามารถเกิดความเจ็บปวดได้ก็ต่อเมื่อกระดูกเชิงกรานมีรูปทรงที่ผิดปกติ อาการปวดนี้จะมีสองแบบคือ การปวดเพียงข้างใดข้างหนึ่งหรืออาการปวดสะโพกทั้งสองข้างพร้อมกัน ซึ่งอาการปวดสะโพกทั้งสองข้างพร้อมกันจะเกิดจากการผิดรูปของกระดูกเชิงกรานในแนวยาว แต่ถ้ามีอาการปวดที่ข้างใดข้างหนึ่งของสะโพกเพียงข้างเดียวแสดงว่ากระดูกเชิงกรานแนวขวางมีรูปทรงที่ผิดปกติ ซึ่งอาการปวดสะโพกเนื่องจากความผิดปกติของกระดูกเชิงกรานนี้เมื่อเกิดขึ้นเป็นเวลานานจะส่งผลให้กระดูกสันหลังมีอาการผิดรูปทรงได้ในเวลาต่อมา

นอกจากอาการปวดที่สะโพกจะเกิดขึ้นจากการที่กระดูกเชิงกรานมีความผิดปกติแล้วยังเกิดจากการที่กล้ามเนื้ออักเสบได้ด้วยเช่นกัน

ทำไมเราถึงรู้สึกว่าเวลาที่เดินไปข้างหน้าไม่เป็นเส้นตรง ?

คำตอบ การเดินในสภาวะที่กระดูกสันหลังมีรูปทรงตามธรรมชาติ เราจะเดินไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงทั้งการทรงตัวและเส้นทางการเดิน แต่ถ้ากระดูกสันหลังมีรูปทรงที่ผิดปกติไป จะทำให้มีการเดินลากเท้าหรือลงน้ำหนักไปที่ขาด้านใดด้านหนึ่งมากกว่าขาอีกด้าน ทำให้เรารู้สึกว่าการเดินของเราไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งสามารถสังเกตได้จากพื้นรองเท้าที่ใส่อยู่เป็นประจำว่ามีการสึกเท่ากันทั้งสองข้างหรือไม่ ถ้าพื้นรองเท้าทั้งสองข้างสึกไม่เท่ากันแสดงว่าเราเดินโดยที่กระดูกสันหลังไม่เป็นสันตรง ซึ่งอาจจะส่งผลให้กระดูกสันกลังเกิดการเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากกว่า และการที่กระดูกสันหลังเอียงนี้จะไม่มีความเจ็บปวดในระยะแรก แต่เมื่อปล่อยทั้งไว้เป็นเวลานานก็จะส่งผลต่อการแรงตัวได้ ทำให้กล้ามเนื้อในข้างที่มีการเอียงเกิดอาการอักเสบซึ่งเป็นที่มาของอาการปวดกล้ามเนื้อได้

ทำไมถึงรู้สึกเมื่อยมากแม้จะทำการเดินด้วยระยะทางสั้น ๆ ?

คำตอบ อาการเหนื่อยแม้เราจะทำกิจกรรมหรือทำการเดินเพียงระยะทางสั้น ๆ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าร่างกายของเราอ่อนแอ กล้ามเนื้อมีแต่ไขมันไม่มีกล้ามเนื้อที่ช่วยในการเดินจึงทำให้เหนื่อยง่าย แต่ถ้ามีอาการเมื่อยเฉพาะที่ในการเดิน นั่นแสดงว่าเกิดจากการที่กระดูกที่บริเวณดังกล่าวมีรูปทรงที่ผิดปกติทำให้กล้ามเนื้อที่ส่วนดังกล่าวมีอาการเมื่อยล้ามากกว่าที่บริเวณอื่น

อาการขาโก่ง มีความเกี่ยวข้องกับรูปทรงของกระดูกตั้งแต่กำเนิดหรือไม่ ?

คำตอบ อาการขาโก่งเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่กระดูกเชิงกรานมีรูปทรงที่ผิดปกติ

โดยกระดูกเชิงกรานจะมีการเปิดออกส่งผลให้ข้อต่อของสะโพกมีการบิดออกจากส่วนของลำตัว ทำให้บริเวณหัวเข่าต้องทำการกางออกเพื่อรองรับและสร้างสมดุลให้กับการทรงตัวของร่างกาย จึงเป็นที่มาของอาการขาโก่งนั่นเอง

หรือในทางกลับกันถ้าข้อต่อของสะโพกมีอาการบิดเข้าหาส่วนของลำตัวก็จะส่งผลให้ข้อเข้าบิดเข้ามาข้างใน ทำให้ขาโก่งเข้าหากัน ซึ่งเป็นลักษณะของอาการขาโก่งอีกแบบหนึ่งด้วย

อาการขาโก่งสามารถรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดหรือการทำไคโรแพรกติกเพื่อให้กระดูกเชิงกรานกลับมามีรูปทรงตามธรรมชาติได้

ทำไมหน้าท้องของคนเราจึงไม่ยุบแม้ว่าน้ำหนักจะลดลงก็ตาม

คำตอบ เมื่อน้ำหนักของเราลดลง แต่ในบางคนยังพบว่ายังมีหน้าท้องอยู่เหมือนเดิม ทำให้รูปร่างกลายเป็นคนท้องที่มีหน้าท้องยื่นออกมา ซึ่งที่จริงแล้วการที่มีหน้าท้องอาจจะไม่ได้มาจากการสะสมของไขมันหน้าท้องก็เป็นได้ แต่เกิดจากการที่กระดูกสันหลังมีความผิดปกติโดยมีการโค้งมาด้านหน้ามาก จึงทำให้หน้าท้องยื่นออกมา ดังนั้นไม่ว่าเราจะลดน้ำหนักมากเพียงไรก็ไม่สามารถที่จะลดหน้าท้องได้ นอกจากการทำให้กระดูกสันหลังกลับมามีรูปทรงตามธรรมชาติจึงจะทำให้หน้าท้องยุบลงไป

การที่หน้าอกมีความหย่อนคล้อยเนื่องจากอายุที่เพิ่มสูงขึ้นเพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่ ?

คำตอบ การที่หน้าอกมีความหย่อนคล้อยมีสาเหตุมาจากอายุที่สูงขึ้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เพราะอาการหน้าอกหย่อนคล้อยที่พบได้ในคนที่มีอายุน้อยก็สามารถพบได้เช่นกัน

ซึ่งสาเหตุของหน้าอกหย่อนคล้อยที่พบได้ในผู้ที่มีอายุน้อยพบว่ามีสาเหตุมาจากการที่การยืนหรือเดินด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การยืนหลังค่อม การนั่งงอหลัง การเดินก้มตัวห่อไหล่ เป็นต้น ซึ่งท่าทางดังกล่าวจะทำให้กล้ามเนื้อที่บริเวณหน้าอกไม่กระชับมีการหย่อนคล้อยไม่ได้รูปทรงที่สวยงาม

ดังนั้นถ้าเรามีการเราต้องการมีหน้าอกที่เต่งตึงได้รูปทรงที่สวยงาม เราต้องเดิน ยืน นั่งด้วยท่าทางที่อกผ่าย ไหล่พึ่งเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าอกมีความเต่งตึงได้รูป รวมถึงการออกกายบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกกระชับอยู่ตลอดเวลาก็สามารถช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อทำให้หน้าอกสามารถคงรูปทรงได้

ทำไมบริเวณคางจึงดูเหมือนมี 2 ชั้นทั้งๆ ที่น้ำหนักยังเท่าเดิม

คำตอบ การใช้กล้ามเนื้อในการยกใบหน้าขึ้น มีการเกร็งกล้ามเนื้อและคอ ทำให้ระบบน้ำเหลืองที่บริเวณคางทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการสะสมของเสียที่บริเวณคางจนเกิดเป็นคาง 2 ชั้นให้เห็นอย่างชัดเจน

หรืออีกสาเหตุหนึ่งก็เกิดจากการที่กล้ามเนื้อที่บริเวณคงมีความหย่อนคล้อยเนื่องจากการให้ใช้งานกล้ามเนื้อด้วยท่วงท่าที่ผิดปกติด้วย

ทำไมหุ่นของผู้หญิงหลังคลอดจึงไม่สวยเหมือนเดิม

คำตอบ ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องมาจากเวลาที่ผู้หญิงตั้งท้องนั้น กระดูกเชิงกรานจะมีการขยายขนาดเพื่อรองรับน้ำหนักของทารกที่อยู่ในครรภ์ ทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของกระดูกเชิงกรานได้ง่าย ส่งผลให้กระดูกสันหลังมีรูปทรงที่ผิดปกติตามมา ด้วย หรือแม้ฮอร์โมนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในระหว่างที่ตั้งครรภ์ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวเนื่องจากการรับประทานอาหาร ซึ่งส่วนหนึ่งจะเข้าไปบำรุงทารกในครรภ์แต่อีกส่วนหนึ่งจะอยู่ที่ร่างกายของมารดา ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้รูปร่างของผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลงไป

ซึ่งสามารถทำการแก้ไขได้โดยหลังจากที่คลอดบุตรออกมาแล้ว ให้ทำการกายบริหารเพื่อช่วยให้กระดูกเชิงกรานกลับมามีรูปทรงตามธรรมชาติก่อนที่จะตั้งครรภ์ โดยการทำไคโรแพรกติกร่วมกับการออกกำลังกายทั่วไป ก็จะสามารถช่วยให้คุณแม่หลังคลอดกลับมามีหุ่นสวยเหมือนเดิมได้

การที่ผิวมีอาการแห้งกร้านอยู่ตลอดนั้นเป็นเพราะพื้นฐานของผิวจริงหรือไม่

คำตอบ ผิวเป็นส่วนที่อยู่ภายนอกสุดของร่างกาย สุขภาพของผิวจะเป็นเช่นไรนั้น ขึ้นอยู่กับสุขภาพของร่างกาย การทำงานของระบบภายใน เช่น ระบบฮอร์โมน ระบบประสาท และระบบภูมิกันโรคของร่างกายว่าเป็นเช่นไร ซึ่งถ้าระบบต่าง ๆ ทำงานผิดปกติก็จะส่งผลให้ผิวหนังแห้ง หยาบกระด้างได้เช่นกัน

แต่อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวหนังแห้งกร้าน ก็คือการที่กระดูกสันหลังมีรูปทรงที่ผิดปกติ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการที่กระดูกสันหลังมีรูปทรงที่ผิดปกติจะทำให้ระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกันและระบบฮอร์โมนมีการงานที่ผิดปกตินั่นเอง เช่น การเกิดกดทับเส้นประสาทของกระดูกสันหลังที่ส่งผลให้ฮอร์โมนผิปกติ เป็นต้น

ดังนั้นการทำให้กระดูกสันหลังมีรูปทรงตามธรรมชาติ และการพักผ่อนให้เพียงพอก็ย่อมทำให้ผิวพรรณเปล่งหลั่ง เนียนนุ่มได้

ทำไมจึงมีอาการมือเท้าเย็นแม้ว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นแล้วก็ตาม

คำตอบ อาการมือเท้าเย็นเกิดขึ้นเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดที่บริเวณมือและเท้ามีปริมาณลดลงถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งอาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ จากความเครียด การอยู่ที่ที่มีอากาศเย็นนานหรือการเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคโลหิตจาง หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เป็นต้น

การป้องกันการเกิดออฟฟิศซินโดรม

1. ออกกำลังกายด้วยท่าที่เหมาะสมกับอาการอย่างสม่ำเสมอ เช่น การยืดกล้ามเนื้อให้เกิดความยืดหยุ่น
2. ปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น ปรับระดับโต๊ะและเก้าอี้ให้อยู่ในระดับที่นั่งทำงานในท่าที่สบาย รวมทั้งปรับจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา
3. ปรับเปลี่ยนอิริยาบทเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ระหว่างทำงานควรมีการยืดเหยียดร่างกายเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง

ดังนั้นการดูแลรักษากระดูกสันหลังให้คงรูปร่างตามธรรมชาตินับเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการทำให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรงปราศจากโรคภัย วันนี้คุณดูแลกระดูกสันหลังของคุณแล้วหรือยัง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สุรศักดิ์ ศรีสุข. ปวดไหล่ : พิมพ์ครั้งที่ 7 : กรุงเทพฯ : หมอชาวบ้าน, 2560. 48 หน้า

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5.

เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ

0
เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ
การจะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
เคล็ดลับการดูแลผิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ
การจะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน

การดูแลผิว

เพื่อที่จะให้ได้ผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยอย่างที่ใจปรารถนา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ดูแลผิว อย่างสม่ำเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่ผิวจะดูดีขึ้นมาทันทีราวปาฏิหาริย์ หลังจากที่ถูกปล่อยปละละเลยมานานแรมปี ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะใช้เวลานานสักเพียงใด เป็นเดือนเป็นปีหรือจะหลาย ๆ ปี ก็มีความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณบางอย่างที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะทำให้กลับมาเป็นปกติหรือกลับมาดูดีเช่นเดิมได้ เช่น ริ้วรอยที่ลึก การหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อที่มากเกินไป หรือสภาพผิวที่เสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากการโดนแสงแดดแผดเผาโดยปราศจากการดูแลมาเป็นเวลาแรมปี ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่มิอาจเยียวยาให้กลับมาดูดีได้ ( อย่างน้อยเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่ฟื้นฟูมาก็ไม่มีทางดูดีได้เหมือนเดิม ) เราจึงจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณของเราทุกวันและอย่างสม่ำเสมอก่อนที่จะสายเกินไป

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

แบบทดสอบผิวก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง

การเลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับประเภทผิวเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อการมีผิวสวยและอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว การพิจารณาประเภทของผิวอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก มีคนจำนวนไม่น้อยมีปัญหาผิวหน้ามากเกินกว่าที่จะวิเคราะห์หาประเภทของผิวที่แท้จริงได้ ในขณะที่คนอีกจำนวนไม่น้อยสับสน ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีสภาพผิวอย่างไรกันแน่ บางครั้งพบว่าผิวของตนแห้งมากเมื่อล้างหน้าเสร็จใหม่ ๆ แต่แล้วกลับมีน้ำมันผลิตออกมามากในเวลาต่อมา เพื่อที่จะทราบประเภทของผิวที่แน่นอน การขอคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เมื่อคุณได้ทราบประเภทที่แน่นอนของผิวของคุณแล้ว ทำให้สามารถกำหนดรูปแบบและวิธีการบำรุงรักษาผิวที่ถูกต้องและเหมาะสมได้สะดวกยิ่งขึ้นในคราวต่อไป สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นแบบทดสอบสภาพผิวที่จะทำให้ทราบถึงประเภทผิวอย่างคร่าว ๆ ซึ่งจะช่วยคุณในการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้บ้าง โดยให้ตอบ “ ใช่ ” ในคำตอบที่ตรงกับสภาพผิวของคุณ

ลำดับ สภาพผิว
1 ผิวมักมีตุ่มอักเสบ
2 ผิวแพ้ง่ายกว่าปกติ
3 ผิวด้าน หยาบ หมองคล้ำ
4 ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย
5 ผิวหยาบกร้าน
6 ผิวมีรูขุมขนกว้าง
7 ผิวคล้ำง่ายเวลาโดนแดดแรง ๆ
8 ผิวเป็นสีแดงเวลาเจอแสงแดด ลม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางชนิด
9 ผิวแต่งตึง ไม่มีถุงใต้ตาหรือริ้วรอยหย่อนยาน
10 ผิวเปลี่ยนแปลงสภาพได้ง่ายเวลาเจอความเครียด
11 ผิวลื่น ชุ่มน้ำ น่าสัมผัส
12 ผิวไวต่อการสัมผัส
13 ผิวสว่าง สดใส เต่งตึง และยืดหยุ่นดี
14 ผิวแห้ง และมันทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ผิวผสม
15 มีสิวเสี้ยนเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นอยู่บ่อย ๆ
16 ปรากฏริ้วรอยเล็ก ๆ ขึ้นๆ ขึ้นอยู่เต็มไปหมด
17 เมื่อออกแรงดึงผิว ผิวจะคลายตัวและกลับมาอยู่ในสภาพเดิมทันที
18 หน้าแดงเวลาเปลี่ยนแปลงอารมณ์

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ตอบ “ ใช่ ” 1-5 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวธรรมดา เป็นผิวที่ดูแลง่ายไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่อง การดูแลผิว มากนัก มีขนาดของรูขุมขนปานกลาง แต่บริเวณจมูกและคางอาจมีรูขุมขนกว้างอยู่สักหน่อย ยังผลให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีน้ำมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ผิวมีความยืดหยุ่นอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่แห้งหรือมันจนเกินไป ผิวเนียนเรียบ เกลี้ยงเกลา ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลหรือการบำรุงที่ยุ่งยากซับซ้อน ผิวมีความสว่างใสพอสมควรและจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ กล่าวคือในช่วงที่มีอากาศหนาวหรือแห้งแล้ง ผิวจะแห้งกร้านกว่าเดิมเล็กน้อย ในขณะที่อากาศร้อนอบอ้าวผิวจะมันยิ่งกว่าเดิม

ควรใช้วิธีการบำรุงผิวที่เรียบง่ายและสะดวกต่อการดูแลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำความสะอาดผิวใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่ 2 ครั้งต่อวัน หลีกเลี่ยงการใช้คลีนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สบู่ หรือสารซักฟอกที่รุนแรง ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณน้อย เมื่อต้องออกไปทำธุระกลางแจ้ง อย่าลืมทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสีอันตราย

ตอบ “ ใช่ ” 6-10 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวแห้ง ไม่ค่อยประสบปัญหาเรื่องสิว ผิวมีรูขุมขนที่เล็กมาก ผิวเนียนเรียบ ไม่มีปัญหาผิวมัน แต่มีปัญหาเรื่องผิวขาดความสดใส ไร้ชีวิตชีวา แห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น หลังจากทำความสะอาดจะรู้สึกแห้งตึง ผิวเป็นขุย และมีอาการคัน

การดูแลผิว แห้งควรทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีส่วนผสมของสบู่ แอลกอฮอล์ หรือสารซักฟอกที่รุนแรงและเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโลนิก และโซเดียมพีซีเอ ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูง หรือแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือแบบที่มีสารกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส

ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหนังเช่น Colloidal Oatmeal ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะช่วยรักษาผิวที่แห้งให้เนียนนุ่มชุ่มชื้นได้นานขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกที่รุนแรง และไม่ควรลืมทาครีมกันแดดทุกครั้ง เมื่อต้องออกไปข้างนอก หรือต้องเผชิญกับแสงแดดแรง ๆ เพื่อป้องกันความเสื่อมโทรมของริ้วรอยที่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

ตอบ “ ใช่ ” 10-14 ข้อ
ผิวของคุณเป็นผิวที่แพ้ง่าย เป็นผิวอีกประเภทหนึ่งที่ต้องได้รับ การดูแลผิว อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง สบู่แอลกอฮอล์ หรือมีสารซักฟอกที่รุนแรงต่อผิว ทำความสะอาดผิววันละ 1-2 ครั้ง หลังจากทำความสะอาด ทามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดบางเบาที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือเกิดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวได้ในที่สุด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เมื่อต้องการออกแดด ให้ทาครีมกันแดดชนิดบางเบา ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่คาดว่าจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น สารซักฟอกที่รุนแรง แอลกอฮอล์ สารกันบูด น้ำหอม สีสังเคราะห์ เป็นต้น หลีกเลี่ยงการใช้โทนเนอร์ เนื่องจากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่าง ๆ ใช้เครื่องสำอางที่ติดทนนานให้น้อยลง

หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารชะล้างที่รุนแรง หากต้องแต่งหน้า ควรเลือกเครื่องสำอางที่สามารถล้างออกได้ง่าย ๆ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่สามารถทดแทนผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองดังกล่าว เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ หรือน้ำแร่แทน

ตอบ “ ใช่ ” 15 ข้อขึ้นไป
ผิวของคุณเป็นผิวมัน เป็นผิวที่มีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันออกมามากเกินไป ควรทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก หรือกรดเอเอชเอ เนื่องจากจะช่วยลดการสร้างน้ำมันจากต่อมไขมันให้น้อยลง หากผิวมันมาก หลังจากทำความสะอาดตามปกติ ให้เช็ดผิวด้วยโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกและแอลกอฮอล์

หลีกเลี่ยงการทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะผิวของคุณมีน้ำและน้ำมันมากเกินพอแล้ว หากทามอยส์เจอไรเซอร์จะยิ่งเป็นการเพิ่มความมันให้แก่ผิวหน้า ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ในที่สุด ถ้าอยากใช้หรือจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ให้เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน

หากต้องออกไปข้างนอกหรือเผชิญกับแสงแดด อย่าลืมใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่มีผิวมันมาก ๆ หากทำตามขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้นแล้วพบว่าผิวยังมันอยู่เช่นเดิม ให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ ซัลเฟอร์ กรดอาเซเลอิก และเรตินอยด์ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

เคล็ดลับการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไรให้ผิวสวย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่านอกจากจะเลือกผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ผู้ใช้จำเป็นต้องรู้จักวิธีการทาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน เพราะหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของผิวพรรณ นอกจากกระบวนการทางเคมีและผิวแต่ละคนที่แตกต่างกันแล้ว วิธีทาครีมก็มีความสำคัญต่อความสวยงามของผิวด้วยเช่นกัน ด้วยวิธีการทาที่แตกต่างกัน ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์ที่แตกต่างกันแม้ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่ว่าจะเป็น ครีม เจล หรือโลชั่น จะมีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน อันได้แก่ สารออกฤทธิ์ ซึ่งอาจเป็นสารที่สกัดจากธรรมชาติหรือสารสังเคราะห์ก็ได้ ที่จะทำปฏิกิริยากับผิวและสารที่ไม่ออกฤทธิ์ ซึ่งจะเป็นสารที่ไม่ทำปฏิกิริยา แต่จะทำหน้าที่ในการป้องกันหรือส่งเสริมสารออกฤทธิ์ให้ทำปฏิกิริยากับผิวได้ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลิตภัณฑ์สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีและมากพอ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการเลือกซื้อและวิธีการทาผลิตภัณฑ์    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ขั้นตอนในการทาผลิตภัณฑ์ให้ได้ผลดีที่สุด

ความสามารถในการดูดซึมของผิวหนังจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิความชื้น สภาพแวดล้อม และปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะทำให้ส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ในครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ผิวได้มากที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสะอาดผิวก่อนทุกครั้งเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก หรือสารเคมีที่เคลือบอยู่บนผิว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดก่อนที่จะทำการ ดูแลผิว ทุกครั้ง ไม่ว่าจะทาครีม การมาสก์หน้า ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้ทำความสะอาดผิวก่อนทุกครั้ง ครีมบำรุงผิวจะซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดีที่สุดเมื่อคุณพึ่งอาบน้ำอุ่นเสร็จใหม่ ๆ เนื่องจากในช่วงนั้นผิวของคุณจะอุ่น มีความชุ่มชื้นและสะอาด ทำให้ครีมสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี

ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน และมีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่จะช่วยรักษาปริมาณน้ำที่อยู่ในผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม เนื่องจากครีมบำรุงผิวสามารถซึมซาบได้ดีเมื่อผิวอุ่น หากผิวของคุณเย็นให้ประคบผิวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นก่อน หลีกเลี่ยงการประคบผิวด้วยน้ำร้อน น้ำที่ร้อนเกินไปจะทำให้ผิวระคายเคืองได้รับความเสียหายและมีแนวโน้มที่จะเหี่ยวย่นได้เร็วอีกด้วย

หลังจากทำความสะอาดผิวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ซับน้ำส่วนเกินออก อย่าเช็ดผิวจนแห้ง ควรปล่อยให้ความชื้นหลงเหลืออยู่ที่ผิวบ้าง ทาครีมบำรุงผิวในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวจะซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีเมื่อมันถูกทำให้ละลาย

ผิวด้านบนสุดเป็นส่วนของหนังกำพร้าที่ตายแล้ว การปล่อยให้เซลล์ส่วนนี้เกิดการสะสมตัวจนหนา จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอย หยาบกร้าน และทำให้ความสามารถในการซึมซาบเข้าสู่ผิวของสารออกฤทธิ์ลดน้อยลงไปด้วย

วิธีผลัดเซลล์ผิวส่วนบนที่ขอแนะนำคือการขัดผิวเบา ๆ ด้วยสครับที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ เพราะเป็นวิธีที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย ราคาถูกและสามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกไปอย่างนิ่มนวล ทำให้ผิวสดใสแลดูอ่อนกว่าวัย

เมื่อต้องทาครีมให้ใช้วิธีลูบไล้อย่างเบามือด้วยนิ้วกลางและนิ้วนาง เนื่องจากเป็นนิ้วที่มีแรงกดน้อยที่สุด อย่าถูไปมาแรง ๆ หรือดึงผิวให้ตึงก่อนทา เมื่อทาเสร็จแล้ว ให้ใช้นิ้วมือตบผิวเบา ๆ เป็นเวลาครึ่งนาทีเพื่อกระตุ้นให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ปริมาณของครีมที่ใช้ในแต่ละครั้งควรมีปริมาณที่เหมาะสม หากน้อยเกินไปจะทำให้ผิวไม่ได้รับสารออกฤทธิ์อย่างเพียงพอ ทำให้ผิวไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเท่าที่ควร ในขณะที่การใช้ครีมที่มากเกินไปจะทำให้ผิวมันและเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในแต่ละครั้งควรเท่ากับผลเชอรี่ขนาดกลาง 1 ผล

เมื่อต้องทาครีมบนใบหน้า ให้แต้มครีม 5 จุด ได้แก่ หน้าผาก จมูก แก้มทั้ง 2 ข้างและคาง แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเกลี่ยครีมให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการถูแรง ๆ หรือถูกลับไปมาเพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดริ้วรอยตามมาได้
หากต้องทาครีมรอบดวงตาให้ใช้นิ้วนางแต้มครีมประมาณ 1 เม็ดถั่วเขียวไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา จะเริ่มจากหัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ตามความถนัด แล้ววนครีมรอบรอบดวงตาให้เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง อย่าถูกลับไปมา เพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้

สำหรับผิวกายให้ใช้ครีมในปริมาณที่พอเหมาะอย่าใช้มากหรือน้อยจนเกินไป ลูบไล้ครีมในทิศทางย้อนแรงโน้มถ่วงให้ทั่วตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างเบามือ จนรู้สึกว่าครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวดีแล้วจึงค่อยลงไปที่ส่วนขา

สำหรับคอ ให้ใช้ครีมปริมาณเท่าที่ใช้กับใบหน้า ลูบไล้เนื้อครีมในทิศทางย้อนแรงโน้มถ่วงให้ทั่วคอทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างเบามือ เพื่อชะลอการเกิดริ้วรอยจากแรงโน้มถ่วง

สำหรับขา ให้ใช้ครีมในปริมาณที่พอเหมาะ (ประมาณผลเชอรี่ขนาดกลาง 2 ผล) ลูบไล้ครีมให้ทั่วทั้งขา โดยเริ่มจากต้นขาก่อนแล้วค่อยไล่ลงไปที่หน้าแข้ง ทาอย่างเบามือ พึงระลึกไว้เสมอว่าเพื่อความเปล่งปลั่งสวยงามไร้ริ้วรอย จำเป็นต้อง ดูแลผิว ทุกส่วนด้วยความอ่อนโยนเน้นบริเวณหน้าแข้ง เนื่องจากเป็นบริเวณที่ต้องเจอสภาพแวดล้อมมากกว่าต้นขา จึงมีแนวโน้มที่จะแห้งกร้านได้ง่ายกว่า

สำหรับเท้า ควรใช้ครีมแต่พอประมาณ ทาทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า เนื่องจากเท้าเป็นจุดศูนย์รวมของปลายประสาท การนวดเบา ๆ บริเวณฝ่าเท้าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและช่วยสร้างความผ่อนคลายได้ดี

สำหรับแขน ให้เริ่มทาจากท้องแขนขึ้นไปอย่างเบามือ แล้วลูบไล้ขึ้นไปตั้งแต่ข้อมือไล่ไปจนถึงหัวไหล่

สำหรับมือ ให้บีบครีมประมาณ 1 ผลเชอรี่ขนาดกลาง ลูบไล้ครีมให้ทั่วมือ ทั้งฝ่ามือและหลังมือ นวดจากปลายนิ้วไปจรดโคนนิ้ว นวดทีละนิ้วใช้หัวแม่มือคลึงบนข้อต่อแต่ละข้อเป็นวงกลม หงายฝ่ามือขึ้น นวดฝ่ามือทีละครึ่งฝ่ามือจนทั่ว แล้วหมุนข้อมือไปมา 2-3 รอบ นอกจากจะช่วยบำรุงผิวที่มือแล้วการทำเช่นนี้ยังกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

สำหรับคนที่มีผิวแห้งและผิวบอบบาง ควรทามอยส์เจอไรเซอร์หลังอาบน้ำ ในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพราะนอกจากจะทำให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีแล้ว ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ได้อีกด้วย หากผิวแห้ง ให้พรมน้ำให้ผิวชื้นก่อนทาจะทำให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางมาก ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อครีมบำรุงผิวชนิดใด ๆ ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนเสมอ โดยการทาครีมที่ผิวทิ้งไว้สักพัก หากไม่พบอาการคันหรือรอยผื่นแดง หรืออาการผิดปกติใด ๆ ในบริเวณดังกล่าว จึงค่อยตัดสินใจซื้อ
สำหรับผู้ที่มีผิวผสม การใช้ครีมบำรุงผิวต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าผิวประเภทอื่น เนื่องจากผิวจะประกอบไปด้วยส่วนที่มันและแห้งรวมกันอยู่ หากไม่ระวังให้ดี ครีมที่ใช้อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาโดยไม่รู้ตัว หลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่มีความเข้มข้นสูงกับผิวบริเวณที่บอบบางและอาจทำให้ผิวเสียได้

สำหรับผู้ที่มีผิวมัน ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวเลยก็ว่าได้ แต่หากต้องการจะใช้จริง ๆ ให้เลือกชนิดที่บางเบา และปราศจากน้ำมันจึงจะดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ครีมดังกล่าวเพิ่มความมันให้แก่ผิว ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดสิวอุดตันได้ในเวลาต่อมา

สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ให้ใช้ครีมที่มีความเข้มข้นสูงและใช้ครีมกันแดด หากต้องออกไปกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว คุณอาจยังไม่แน่ใจว่าครีมที่คุณทาลงไปสามารถซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวของคุณได้อย่างล้ำลึกอย่างเต็มที่หรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ทราบว่าครีมดังกล่าวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ล้ำลึกและเต็มที่หรือไม่นั้น ให้สังเกตจากความรู้สึกของผิวหากรู้สึกเย็นซ่าหลังจากทาผลิตภัณฑ์บำรุงที่ทำมาจากธรรมชาติ นั่นก็หมายความว่าครีมดังกล่าว สามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นชั้นเป้าหมายที่ต้องการให้สารออกฤทธิ์ทำปฏิกิริยาเต็มที่แล้ว

เพื่อที่จะมีผิวที่สวยใสแลดูอ่อนกว่าวัยอย่างที่ใจปรารถนา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ ดูแลผิว อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันความเสียหายที่มิอาจเยียวยาให้กลับมาดูดีได้      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ตรวจสอบอายุของผิวสบายดีไหม

ประโยคที่ว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงเรามี 2 อายุ ซึ่งได้แก่ อายุจริงที่ซ่อนอยู่ใต้ผิว กับอายุที่ฟ้องด้วยริ้วรอย ดูเหมือนเป็นความจริงเพราะมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือว่าวัยสาวแต่สภาพของผิวกลับร่วงโรย เสื่อมโทรมจนน่าตกใจ ในขณะที่ผู้หญิงบางคนแม้ว่าจะมีอายุมากแล้วแต่กลับมีผิวที่เต่งตึงเรียบเนียน ไร้ริ้วรอยไม่ต่างอะไรจากเด็กสาวเลย ซึ่งมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อความร่วงโรยของผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็น โภชนาการ การพักผ่อน การออกกำลังกาย ความเครียด บุหรี่ แอลกอฮอล์ และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือแสงแดดและมลภาวะ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แสงแดดและมลภาวะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวร่วงโรยก่อนวัยอันสมควร หากเราไม่เคยเผชิญกับแสงแดดหรือมลภาวะที่เป็นพิษเลย ริ้วรอยเส้นแรกจะปรากฏเมื่อเราอายุ 50 ปี จากความจริงข้อนี้ทำให้เราทุกคนต่างตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนส่วนใหญ่ต่างพบว่าริ้วรอยที่ปรากฏนั้นมาก่อนช่วงเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงมาก ( บางรายอาจมีตั้งแต่ตอนวัยรุ่นเสียด้วยซ้ำ ) ริ้วรอยแต่ละเส้นที่ปรากฏบนผิวพรรณเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้เห็นถึงความร่วงโรยที่เกิดขึ้นกับผิวทั้งสิ้น

เนื่องจากวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบันเอื้ออำนวยต่อความเสื่อมโทรมของผิวพรรณมากยิ่งขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงจากต่างประเทศ แม้ว่าจะเป็นครีมที่มีประสิทธิภาพในการถนอมผิวที่ดีเยี่ยม แต่ผิวพรรณกลับเสื่อมโทรมลงอย่างน่าประหลาดใจ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าครีมบำรุงผิวอาจมีส่วนช่วยในการบำรุงและช่วยชะลอความร่วงโรยของผิวได้บ้างในระยะหนึ่ง แต่เป็นไปไม่ได้ที่ครีมเหล่านั้นจะป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยเมื่อเวลาอันสมควรมาถึง

อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาแพงที่ใช้อยู่นั้น จะกลายเป็นของมีค่าไปในทันที หากยังดำรงชีวิตอยู่บนความเสี่ยงที่เป็นต้นเหตุของความเสื่อมโทรมและริ้วรอยอยู่อย่างเคย นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวเสริมอีกว่า มีกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจําวันบางอย่างที่ส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของผิวอย่างรุนแรงโดยคาดไม่ถึงมาก่อน ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นโปรแกรมการบำรุงผิวใด ๆ ควรสำรวจตัวเองถึงปัจจัยเสี่ยงอันนำไปสู่ภาวะเสื่อมโทรม ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย

เพื่อที่จะทราบว่ามีความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของผิวเร็วกว่าปกติหรือไม่ให้ตอบคำถามต่อไปนี้ตามความเป็นจริง

ลำดับ ความเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของผิว
1 ฉันสูบบุหรี่เป็นประจำ
2 ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องแอร์
3 ฉันนอนดึกเป็นประจำ
4 ฉันอาบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หรือแทบจะทุกวัน
5 ในวันหนึ่ง ๆ ฉันต้องเผชิญกับแสงแดดเสียเป็นส่วนใหญ่
6 ฉันมักตื่นมากลางดึก
7 ฉันนอนไม่ค่อยหลับลึกหลับไม่สนิทบ่อย ๆ
8 ฉันไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
9 ฉันต้องแต่งหน้าทุกวัน
10 ฉันกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่
11 ฉันกินอาหารให้ถูกสัดส่วน
12 ฉันสัมผัสกับกระดาษหรือสิ่งพิมพ์บ่อย ๆ
13 ฉันไม่ค่อยมีเวลา ดูแลผิว ตัวเองสักเท่าไร
14 ฉันเข้านอนโดยไม่ได้ล้างหน้าอยู่บ่อย ๆ
15 ฉันรู้สึกเหนื่อยและเครียดกับการทำงานที่ทำเสมอ
16 ฉันรู้สึกว่ามีภาระมากเกินกว่าที่ฉันจะแบกรับได้
17 ฉันมาทำงานอยู่ท่ามกลางมลภาวะเสมอ
18 เมื่อตื่นนอน ฉันรู้สึกอ่อนเพลียหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่เสมอ
19 ฉันดื่มน้ำน้อย
20 ฉันรู้สึกว่าฉันมีริ้วรอยมากกว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน
21 ฉันชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง
22 ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายและเหน็ดเหนื่อยทุกครั้งที่วันจันทร์มาถึง
23 ฉันชอบกินขนมนมเนยและของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาล แป้งและเกลือสูง
24 ฉันไม่ค่อยชอบกินธัญพืชหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเมล็ดถั่วทุกชนิด
25 ฉันไม่มีแรงบันดาลใจในการกระตือรือร้นหรือมีพลังในการทำงาน
26 ฉันไม่สามารถระบายความทุกข์หรือความลำบากที่ฉันมีให้คนอื่นรับรู้ได้
27 ฉันมักอยู่ในสถานที่สกปรกมีควันพิษ ฝุ่นละออง และมีเสียงดังหนวกหู

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

หากคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ “ใช่” นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังทำร้ายผิวพรรณของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากคุณยังคงดันทุรังดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิม โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น นอกจากสุขภาพโดยรวมของคุณจะเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติแล้ว ผิวพรรณของคุณยังมีแนวโน้มที่จะร่วงโรยเร็วกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เพื่อหยุดยั้งกระบวนการเสื่อมโทรมและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณและสุขภาพ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่และหันมา ดูแลผิว ตัวเองให้มากขึ้น เอาใจใส่ในปัจจัยที่มีผลต่อความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอยให้มากขึ้นด้วยความใส่ใจที่มากขึ้น คุณจะพบว่าความเสื่อมโทรมที่เป็นอยู่จะได้รับการเยียวยาและสามารถฟื้นตัวได้ในเร็ววัน

ผิวของคุณแก่เร็วแค่ไหน

ความเสื่อมโทรมของผิวเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถชะลอได้ด้วยการปรนนิบัติผิวของเราอย่างถูกต้องและเหมาะสม กระบวนการเสื่อมโทรมตามธรรมชาติของผิวก็จะดำเนินไปอย่างช้าลง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือตารางแสดงลำดับความเสื่อมโทรมตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณ ด้วยการเปรียบเทียบอายุจริง คุณจะทราบว่าในขณะนี้ผิวพรรณมีลักษณะเป็นเช่นไร ริ้วรอยหรือความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควรเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้เราทราบว่าถึงเวลาแล้วที่ควรหันมาใส่ใจผิวพรรณอย่างถูกวิธีเสียที

อายุน้อยกว่า 15 ปี
สภาพผิว ผิวสวยใส เรียบเนียน กระชับเต่งตึงไม่หย่อนคล้อยและมีรูขุมขนเล็ก

อายุ 15-25 ปี
สภาพผิว มีความมันขึ้นประปราย รูขุมขนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มมีริ้วรอยตื้น ๆ เกิดขึ้นบ้างแต่เล็กน้อย

อายุ 25-45 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น ริ้วรอยเริ่มลึกกว่าเดิมเริ่มเกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา มีรอยย่นบริเวณหน้าผาก ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ผิวเริ่มหยาบขาดความชุ่มชื้น ในบางรายอาจพบสิวประปราย

อายุ 45-55 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น มีรอยบวมรอบ ๆ ดวงตา รูขุมขนขยายตัว มีริ้วรอยรอบดวงตาและแก้ม ความเปล่งปลั่งของผิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวเริ่มซีดเหลือง      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

อายุ 55 ปีขึ้นไป
สภาพผิว ร่องรอยแห่งวัยเพิ่มมากขึ้นและลึกยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ความกระชับเต่งตึงของผิวหายไป ผิวเริ่มหย่อนยาน มีรอยบวมใต้ตา มีกระและจุดด่างดำบนผิวหนัง ผิวใต้ตามีสีคล้ำลงเรื่อย ๆ ความเรียบเนียนของผิวหายไป รอยย่นที่คอ ผิวหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น มีรอยย่นรอบริมฝีปาก

เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างไรให้เหมาะกับผิว

เมื่อพูดถึงความร่วงโรยและความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิว ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับผิวนั้น เกิดจากปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก อาทิ แสงแดด มลภาวะในอากาศ การสูบบุหรี่ การใช้เครื่องสำอางและ การดูแลผิว ที่ผิดวิธี ในขณะที่ปัจจัยความเสื่อมโทรมที่มาจากภายใน ได้แก่ การเสื่อมของผิวตามกาลเวลา ฮอร์โมนที่ลดน้อยลง การหยุดสร้างเซลล์ผิวและการลดลงของภูมิคุ้มกันโรค ด้วยปัจจัยทั้งสองประการนี้ ผิวจะมีการเผชิญกับปัจจัยดังกล่าวมากขึ้น ผิวพรรณก็จะร่วงโรยมากกว่าคนอื่น ๆ วิธีที่จะรักษาความงามและความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้ให้ได้นานที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ให้มากที่สุด การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว ที่มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์ต่อผิวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการปรนนิบัติผิวที่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมบํารุงผิวมิได้หมายความว่าจะสามารถหยุดกระบวนการเกิดริ้วรอยได้อย่างถาวร กระบวนการเกิดริ้วรอยและความเสื่อมโทรมจะยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ว่าสารที่มีประโยชน์ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวมีส่วนช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าวให้ดำเนินไปได้ช้าลงเท่านั้น

มอยส์เจอไรเซอร์ ( Moisturizer )

มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ขั้นพื้นฐานที่ทุกคนมีและใช้กันเป็นประจำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถึงแม้มอยส์เจอไรเซอร์จะดีต่อสุขภาพผิวทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่มน่าสัมผัส ช่วยลดอาการระคายเคือง อาการแพ้ และลดการเกิดริ้วรอยอันเนื่องมาจากการมีผิวแห้ง แต่มอยส์เจอไรเซอร์กลับมิใช้ผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ มอยเจอร์ไรเซอร์เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวผสม ( ทาบริเวณแก้มทั้งสองข้างที่เป็นผิวแห้ง ) ร่วมไปจนถึงผู้ที่มีผิวธรรมดา ( เฉพาะช่วงอากาศแห้งหรือเฉพาะช่วงเวลาที่ผิวแห้งตึงเท่านั้น ) แต่กลับไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันและคนที่มีผิวธรรมดาทั่วไป ซึ่งการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ผิดวิธีและไม่เหมาะกับสภาพผิวก็อาจนำมาซึ่งผลเสียที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน

ปัจจุบันมีการผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ออกมาจำหน่ายมากมาย แต่ละยี่ห้อต่างก็มีการโฆษณาถึงสรรพคุณที่ดีต่อผิวพรรณและมีราคาที่แตกต่างกัน ในการเลือกซื้อมอยส์เจอไรเซอร์จำเป็นต้องดูที่ประเภทของผิวและชนิดของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ต้องการเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังต่อไปนี้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยเจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนม

เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน เนื่องจากน้ำและน้ำมันจะไปรวมตัวกันและจะแยกชั้นกันตลอดเวลา แม้ว่าจะพยายามเขย่าหรือผสมให้เข้ากันสักเพียงใดก็ตาม ซึ่งการเขย่าด้วยความแรงเป็นเวลานานพอสมควร น้ำและน้ำมันจะแตกตัวกลายเป็นเม็ดของเหลวเล็ก ๆ ลอยไปมาผสมกันอยู่ แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้สักพัก ของเหลวทั้ง 2 ชนิดก็จะแยกตัวออกจากกันอย่างชัดเจนเหมือนเดิม เมื่อผสมของเหลวทั้งสองให้เป็นเนื้อเดียวกัน จึงเป็นการเติมตัวประสานลงไป ตัวประสานจะทำหน้าที่ในการกระจายหยดน้ำและหยดน้ำมันให้รวมตัวเข้ากันเป็นเนื้อเดียว Moisturizer แบบน้ำนมจะมีประโยชน์ในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นที่ผิวเอาไว้ จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีผิวแห้ง ซึ่งจะมีการผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน

มอยส์เจอร์ไรเซอร์มีอยู่ 2 แบบ แบบที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่าน้ำ ซึ่งจะมีความเข้มข้นสูง และแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมากกว่าน้ำมัน ซึ่งจะมีความเบาบางมากกว่า คนที่มีผิวแห้งมาก ๆ จะเหมาะกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบแรก แต่จะไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน และผิวธรรมดาเพราะความเหนียวเหนอะหนะของมอยส์เจอร์ไรเซอร์อาจทำให้ผิวที่มีน้ำมันตามธรรมชาติอยู่แล้วเกิดการอุดตันและเกิดเป็นสิวในที่สุด

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบปราศจากไขมันหรือน้ำมัน

เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาและผิวมัน เนื่องจากผิวของคนเหล่านี้จะมีการผลิตน้ำมันและสารดูดซับความชื้นออกมาอย่างเพียงพอแล้ว แต่อาจมีบางช่วงที่ผิวเหล่านี้อาจต้องการสารให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น เช่น ในช่วงหน้าหนาวที่มีอาการแห้ง หรือผิวถูกน้ำชะล้างเป็นเวลานาน จนผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและแห้งตึง มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบปราศจากไขมันจะมีส่วนผสมของสารดูดซับความชื้น ( Humectants ) เช่น Collagen, Colloidal Oatmeal, Hyaluronic Acid, Glycerin, Sodium PCA และ Propylene Glycol ซึ่งเป็นสารที่ช่วยดักและกักเก็บโมเลกุลของน้ำให้อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนนุ่มโดยไม่มีน้ำมันส่วนเกินปรากฏให้เห็น

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบเคลือบผิว

ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำไว้ที่ผิว ด้วยการสร้างแผ่นฟิล์มบาง ๆ มาเคลือบผิวเอาไว้ ทำให้น้ำไม่สามารถระเหยออกจากผิว ส่วนผสมที่ทำหน้าที่ในการเคลือบผิว ได้แก่ ปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Vaseline, Dimethicone, Cyclomethicone, Mineral Oil และ Siloxanes เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำหน้าที่ในการเคลือบผิว จึงอาจทำให้เกิดปัญหารูขุมขนอุดตันจนเกิดปัญหาสิวและปัญหาผิวพรรณอื่น ๆ ตามมาได้ มอยส์เจอไรเซอร์แบบสครับผิวจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมากจนไม่สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนมได้ แม้ว่าคุณจะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบน้ำนมลงไปสักกี่ครั้ง ผิวของคุณก็ยังคงแห้งกร้านอยู่เช่นเดิม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อที่จะได้ประโยชน์จะมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดนี้ให้มากที่สุด เมื่ออาบน้ำอุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำส่วนเกินออก ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังหมาด ๆ อยู่ มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะสร้างฟิล์มบาง ๆ จัดเก็บอนุภาคของน้ำไว้ใต้ผิวทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัสเป็นเวลานาน    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบติดทนนาน

เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งมาก ๆ จนมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบธรรมดาไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้นานเป็นพิเศษ ( 1-2 ชั่วโมง ) ซึ่งทนนานและดีกว่ามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดธรรมดา และจำเป็นต้องทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ นอกจากจะมีส่วนประกอบของสารเก็บความชื้นแล้ว มอยส์เจอไรเซอร์ ชนิดติดทนนานยังมีส่วนผสมของสารสร้างความชื้น สารดูดความชื้นและสารเคลือบผิวบางประเภทเช่น (Sodium PSA), Glycerin, Dimethicone, Hyaluronic Acid, และ Colloidal Oatmeal

มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์

เนื่องจากปัจจุบันความต้องการในการลดริ้วรอยแห่งวัยและการมีใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยจากผลิตภัณฑ์ ดูแลผิว มีเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปกับความต้องการในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวพรรณ บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงมีการผสมสารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยและช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงลงไปในครีมบำรุงผิวด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยและป้องกันปัญหาผิวหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง

ผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสม ผิวทำการผลิตไขมันและสารดูดซับความชื้นออกมาในปริมาณที่มากพอ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นเพียงพออยู่แล้ว จึงควรหยุดใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แล้วหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยเพียงอย่างเดียว เพื่อป้องกันการมีน้ำมันบนผิวมากเกินไป สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งให้เลือกผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอยที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ในปริมาณที่มากพอสมควร เพื่อรักษาผิวพรรณให้ชุ่มชื่นเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยควบคู่ไปกับมอยส์เจอไรเซอร์ โดยให้ทาครีมลบเลือนริ้วรอยลงไปก่อน รอให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนหมด ( ประมาณ 2-3 นาที ) แล้วจึงค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์ตบท้ายเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ วิธีนี้จะทำให้ผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ ได้รับประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมลบเลือนริ้วรอยอย่างเต็มที่ในขณะที่ผิวพรรณคงความชุ่มชื้นเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

ในสภาวะปกติผิวของเราจะมีสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมันในตัวอยู่แล้ว โดยถูกควบคุมด้วยชั้นไขมันที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง แต่ด้วยปัจจัยบางประการ อันได้แก่ สภาพแวดล้อมและอายุที่เป็นตัวทำให้สมดุลดังกล่าวถูกทำลาย ยังผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งกร้านและแตกเป็นขุย ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะเป็นตัวปรับสมดุลดังกล่าว ให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่      [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ 3 กลุ่ม

Occlusive 
เป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการรักษาระดับน้ำในผิวมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ปิโตรลาทัม ( Petrolatum ) มิเนอรัลออย ( Mineral Oil ) ไซโครเมธิโคน ( Cyclomethicone ) ลาโนลิน ( Lanolin ) ทำหน้าที่ในการเคลือบผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาหรือผิวผสมหรือผิวที่ค่อนข้างมัน สำหรับสารออกฤทธิ์ที่ใช้กันมานานและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมมากที่สุดคือ ปิโตรลาทัม แต่มีข้อเสียคือ ทำให้เกิดอาการอุดตันของผิวได้ง่ายเช่นกัน

Emollient
ทำหน้าที่ในการเพิ่มความนุ่มลื่นให้แก่ผิว เช่น โจโจ้บาออย ( Jojoba Oil ) กลีเซอรีลสเตียเรต ( Glyceryl Stearate ) โพรไพลีนไกลคอล ( Propylene Glycol ) เป็นต้น แต่ไม่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวแต่อย่างใด เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งที่เมื่อสัมผัสผิวแล้วสากมือ

Humectant
ทำหน้าที่ในการเพิ่มน้ำให้แก่ผิว เช่น ยูเรีย ( Urea ) เจลาติน ( Gelatin ) กลีเซอริน ( Glycerin ) โซเดียมแล็ตเตต ( Sodium Lactate ) แอมโมเนียแล็กแตต ( Ammonium Lactate ) กรดไฮยาลูโรนิก ( Hyaluronic Acid ) เป็นต้น โดยจะดึงน้ำจากสิ่งแวดล้อมและจากชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้นเป็นเวลานาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวธรรมดาและผิวมัน

คลีนเซอร์ ( Clenser )

คลีนเซอร์มีหน้าที่ในการทำความสะอาดผิวพรรณ โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
Wipe off Cleanser
มีความเข้มข้นมาก ส่วนมากจะอยู่ในรูปของครีมเข้มข้นหรือน้ำมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง
Cleansing Wipe
มักอยู่ในรูปของผ้าเช็ดหน้า ผลิตมาเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน สามารถพกพาได้สะดวก ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ประจำวัน เพราะอาจมีสารเคมีตกค้างบนผิว หลังจากใช้แล้วให้ล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งเพื่อชะล้างสารเคมีที่ตกค้างออกให้หมด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]
Water Soluble
มักอยู่ในรูปของสบู่ก้อน โลชั่น ครีม เจล หรือโฟม ละลายน้ำและล้างออกด้วยน้ำสะอาดได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวมัน แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งที่ต้องการ การดูแลผิว เป็นพิเศษ
Eye Make-Up Remover
มีส่วนผสมของ Silicon หรือ Oil Bese ถูกออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคลีนเซอร์ที่ดีควรละลายน้ำได้ดี สามารถชะล้างสิ่งสกปรกและสารเคมีได้อย่างหมดจด โดยไม่เหลือสารอันตรายตกค้างอยู่บนผิวซึ่งอาจสะสมตัวจนก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมาภายหลัง

ควรเลือกคลีนเซอร์โดยยึดประเภทของผิวเป็นหลัก มีค่าความเป็นกรดด่างที่ใกล้เคียงกับค่าความเป็นกรดด่างตามธรรมชาติของผิว ( ประมาณ 4.5-5 ) ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ หลีกเลี่ยงคลีนเซอร์ที่ผสมสารเคมีอื่น ๆ ที่นอกจากสารทำความสะอาด เช่น สารสร้างความชุ่มชื้น สารเคมีที่ช่วยปิดรูขุมขนหรือสารที่ช่วยทำให้ผิวลื่น เรียบเนียน เพราะสารเคมีที่ตกค้างอาจก่อให้เกิดโทษต่อผิวในภายหลังได้

สครับ ( Scrub )

สครับหรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เมื่อแบ่งตามประเภทของสารขัดผิวแล้ว จะแบ่งออกเป็น 5 ประเภทได้แก่
1. ประเภทที่ใช้สารสครับ อาจทำมาจากถั่ว เมล็ดข้าวบด ซิลิคอน ( Silicon Bead ) หรือโพลียูริเธน ( Polyurethane Bead )
2. ประเภทที่ใช้สารเคมี ได้แก่ เอเอชเอ และบีเอชเอ
3. ประเภทเอนไซม์จากพืชผัก เช่น มะละกอหรือสับปะรด
4. ประเภทมาสก์ที่มีส่วนผสมของดินชนิดพิเศษ
5. ประเภทเครื่องมือต่าง ๆ เช่น แปรงหมุน ครีมกรอหน้าด้วยอัญมณี

สครับจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อยู่ด้านบนให้หลุดลอกออกไป เหลือเอาไว้แต่ผิวเกิดใหม่ที่สดใสและเปล่งปลั่ง สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์สดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเซลล์ผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว และขัดผิวอย่างเบามือ    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โทนเนอร์ ( Toner )

โทนเนอร์มีชื่อเรียกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเอสตริเจนต์ รีเฟรชเชนเนอร์หรือโทนิก ทำหน้าที่ในการขจัดคราบสิ่งสกปรก ไขมัน หรือสารเคมีที่ตกค้างหลังจากทำความสะอาดให้ออกไปอย่างหมดจด ช่วยลอกเซลล์ผิว ช่วยปรับค่าความเป็นกรดด่างของผิวหลังจากการล้างหน้า ทำให้ครีมบำรุงผิวสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวชั้นในได้ดีขึ้น

หากแบ่งตามความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เป็นส่วนผสมหลักแล้ว จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ รีเฟรชเชนเนอร์ แคลิฟายอิงโลชั่น และเอสตริเจนต์

แคลิฟายอิงโลชั่น ( Cali Fying Lotion )
เป็นโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ปานกลาง มีฤทธิ์ในการชะล้างไขมันที่เคลือบผิวออกไปบ้าง แต่ไม่รุนแรงมากจนทำให้ผิวแห้งเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวผสม

เอสตริเจนต์ ( Estringent )
มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เข้มข้นกว่าแคลิฟายอิงโลชั่น จึงทำให้มีฤทธิ์ในการชะล้างไขมันส่วนเกิน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมไปถึงสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิวได้มากกว่า เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน คนที่ประสบปัญหาต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป

รีเฟรชเชนเนอร์ ( Refreshener )
เป็นโทนเนอร์ที่เหมาะสำหรับผู้มีผิวแห้ง เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่เป็นสาเหตุของการแห้ง ระคายเคือง และแพ้ของผิว เนื่องจากปราศจากแอลกอฮอล์ที่จะคอยชะล้างน้ำมันที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตขึ้นมา ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล น่าสัมผัส

การดูแลผิว รอบดวงตา

อายครีมหรือครีมบำรุงรอบดวงตา ( Eye Cream ) มีประสิทธิภาพในการช่วยลดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากเส้นเลือดใต้ผิวรอบดวงตาหรือเม็ดสีใต้ผิวรอบดวงตา ช่วยลบเลือนริ้วรอยรอบดวงตา เนื่องจากมีสารออกฤทธิ์ที่ไปยับยั้งการเคลื่อนไหวซ้ำไปมาของกล้ามเนื้อรอบดวงตาอันเป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการบวมของถุงน้ำใต้ตา อันมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยทั่วไปแล้วอายครีมจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เจล ครีมน้ำนม และครีมเข้มข้น    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เจล
ทาเพื่อลดอาการบวมและลบเลือนริ้วรอยรอบดวงตาให้ค่อย ๆ จางหายไป มีประสิทธิภาพในการให้ความชุ่มชื้นและความเย็นแก่ผิวหนัง มีลักษณะบางเบา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน ซึ่งผิวจะมีกระบวนการผลิตน้ำมันออกมามากเกินพอ

ครีมน้ำนม
ช่วยมอบความชุ่มชื่นให้แก่ผิวรอบดวงตา และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน มีฤทธิ์ในการบำรุงผิวรอบดวงตา ช่วยลบเลือนริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวไม่แห้งมาก

ครีมเข้มข้น
มีลักษณะเป็นครีมข้นที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ เนื้อครีมที่มีประสิทธิภาพในการลบเลือนริ้วรอย รอยหมองคล้ำบริเวณผิวหนังรอบดวงตา มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง เนื่องจากมีความเข้มข้นและความมันสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ๆ

เดย์ครีม ( Day Cream )
ทำหน้าที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัสไม่หยาบกร้าน มีส่วนผสมของสารกันแดด ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอันตรายในยามกลางวันได้เป็นอย่างดี มีความบางเบาจึงเหมาะสำหรับทาตอนกลางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องทำกิจกรรมในระหว่างวันที่มีอากาศร้อนอบอ้าวหรือหนาวจนเกินไป หากใช้ครีมที่มีความเข้มข้น อาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายผิวได้ง่าย และอาจนำไปสู่ปัญหาผิวในเวลาต่อมา

ไนท์ครีม ( Night Cream )
มีคุณสมบัติเหมือนกับเดย์ครีมทุกประการ คือทำหน้าที่ในการมอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เนื้อครีมมีความเข้มข้นสูง มีส่วนผสมของอาหารผิวและสารออกฤทธิ์ในปริมาณที่มากกว่าเดย์ครีม เหมาะสำหรับกลางคืน เนื่องจากเป็นช่วงที่เราพักผ่อนทำให้ผิวหน้าได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ โดยทั่วไปแล้วเดย์ครีมกับไนท์ครีมไม่ค่อยต่างกันมากนัก ครีมทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันตรงที่เดย์ครีมจะมีส่วนผสมของสารกันแดด ในขณะที่ไนท์ครีมไม่มี เดย์ครีมจะมีความบางเบามากกว่าไนท์ครีม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เราสามารถใช้ครีมกระปุกเดียวกันได้ด้วยซ้ำ โดยไม่จำเป็นต้องแยกซื้อให้เสียเงินมากมาย เพียงแต่ว่าหลีกเลี่ยงการทาเดย์ครีมในช่วงกลางคืนเท่านั้น เพราะผิวอาจเกิดการระคายเคืองจากสารกันแดดที่ผสมอยู่ในครีมได้    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ครีมหน้าขาว ( Whitening Cream )

โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์ของการใช้ครีมหน้าขาว ดูแลผิว หน้ามีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ การทำให้ผิวขาวใสขึ้นและการทำให้สีผิวเสมอกัน ช่วยลดจุดด่างดำและทำให้ฝ้าจางลง ครีมหน้าขาวหรือไวท์เทนนิ่งครีมมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี โดยจะออกฤทธิ์ตั้งแต่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์การสร้างเม็ดสี ทำลายเอนไซม์ การสร้างเม็ดสี ต้านการกระจายตัวของเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้นแล้วมิให้กระจายไปตามเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ยังกระตุ้นมิให้เซลล์ผิวหนังพัฒนาไปเป็นจุดด่างดำ ให้หลุดลอกออกไปเร็วขึ้น

โดยทั่วไปแล้วสารออกฤทธิ์ที่นิยมใส่ลงไปในครีมหน้าขาวจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
1. สารยับยั้งระหว่างกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ แอสคอร์บิค เอซิด ( Ascorbic Acid ) แอสคอร์บิค เอซิด พาลมิเทต ( Ascorbic Acid Palmitate ) อาร์บูติน ( Arbutin ) อาเซเลอิก เอซิด ( Azelaic Acid )

2. สารยับยั้งหลังกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ เรติโนอิก เอซิด ( Retinoic Acid ) แล็กติก เอซิด ( Lactic Acid ) มิลค์ เอกซแทรคต์ ( Milk Extract ) ไลโนเลอิก เอซิด ( Linoleic Acid )

3. สารยับยั้งก่อนกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ ไฮโดรควิโนน ( Hydroquinone ) เตรติโนอิน ( Tretinoin )แต่อย่างไรก็ตามครีมหน้าขาวชนิดใดชนิดหนึ่งจะช่วยแก้ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำที่เกิดขึ้นในผิวชั้นตื้นตื้นเท่านั้น และการใช้ได้ผลดีหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาผิวที่เป็นอยู่ ส่วนผสมและปริมาณความเข้มข้นของสารที่ใช้ในครีม

ครีมชนิดหนึ่งอาจมีการโฆษณาว่ามีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ทำให้ผิวขาวขึ้น แต่ส่วนผสมดังกล่าวมีปริมาณความเข้มข้นไม่เพียงพอจนไม่อาจออกฤทธิ์เพื่อรักษาปัญหาดังกล่าวให้หมดไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาผิวดังกล่าวเกิดขึ้นในชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไปด้วยแล้ว ไม่ว่าครีมหน้าขาวชนิดนั้นจะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพดีและเข้มข้นเพียงใดก็ไม่สามารถรักษาอาการดังกล่าวให้หายดีดังเดิมได้

ครีมต่อต้านริ้วรอย ( Anti-aging Cream )

เป็นครีมที่ใช้ ดูแลผิว อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไรและดูเหมือนว่าจะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยเรื่อย ๆ อาจเป็นเพราะสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด นั่นก็คือความต้องการที่จะดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอนั่นเอง จึงทำให้ครีมต่อต้านริ้วรอยขึ้นแท่นเครื่องสำอางอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคเรียกต้องการมากที่สุด    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

โดยทั่วไปแล้วสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในครีมต่อต้านริ้วรอยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
สารกลุ่มวิตามิน
มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจนและขจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรม ความร่วงโรยของเซลล์และเนื้อเยื่อและการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยขจัดปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ อย่างได้ผลชัดเจน แต่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ตัวอย่างเช่น วิตามินอี วิตามินซี อัลฟาไลโปอิก เอซิด ( Alphalipoic Acid ) เรตินอล ( Retinal ) ไนอาซินาไมด์

สารออกฤทธิ์ที่สกัดจากธรรมชาติ
มีหน้าที่ในการขจัดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและการเกิดริ้วรอย มีฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดริ้วรอยมากกว่ารักษา เมื่อริ้วรอยนั้นเกิดขึ้นแล้ว จะออกฤทธิ์แบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ชัดเจนเหมือนสารกลุ่มแรก ตัวอย่างเช่น เคอร์คูมิน ( Curcumin ) กรีนที ( Green Tea ) เอลลาจิก เอซิด ( Ellagic Acid ) ไฮเปอร์ไรซิน (Hypericin)

สารที่ออกฤทธิ์ควบคุมเซลล์
ออกฤทธิ์ในการขจัดอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของความเสื่อมโทรมและความร่วงโรยของผิวพรรณมีฤทธิ์ในการต้านการเกิดริ้วรอย มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเสียมากกว่าตัวอย่าง เช่น

กลุ่มสารสกัดจากชีวภาพ จะทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณไปยังเซลล์ เพื่อยับยั้งการทำลายคอลลาเจนและเสริมสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ เพื่อยับยั้งกระบวนการเสื่อมโทรมและกระบวนการเกิดริ้วรอยให้เกิดขึ้นได้ช้าลง

กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งประสาท เป็นสารที่สกัดได้จากพืชหลายชนิด ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้มีมากขึ้น ยังผลให้ผิวพรรณเต่งตึงกระชับ ไม่เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย

ครีมยกกระชับผิว ( Lifting Cream )

มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับครีมยกกระชับผิวอย่างผิด ๆ พวกเขาเข้าใจว่าครีมยกกระชับผิวจะช่วยกระชับผิวที่หย่อนคล้อยของตนให้กลับมาเต่งตึงเหมือนเดิมได้ทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แท้จริงแล้วครีมยกกระชับผิวจะอาศัยหลักแรงตึงตัวของผิวในการกระชับผิวให้ตึงตัวแบบชั่วคราว ครีมยกกระชับผิวจะมีสารเคมีบางตัวซึ่งเป็นโพลิเมอร์ชนิดหนึ่งที่จะช่วยยกกระชับผิว ทำให้เกิดแรงตึงตัวคล้ายการใช้ไข่ขาวมาทาหน้า ไข่ขาวจะทำให้แรงตึงตัวอย่างเห็นได้ชัดแต่แรงตึงตัวที่ได้จากครีมเหล่านี้ จะเกิดเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ถาวรอย่างที่ใคร ๆ หลายคนเข้าใจกัน    [adinserter name=”sesame”]

โดยครีมดังกล่าวจะออกฤทธิ์ในการยกกระชับผิวให้เต่งตึงภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผิวจะกลับมาสู่สภาพเดิม ดังนั้น จึงต้องทำใหม่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าครีมยกกระชับผิวจะใช้ไม่ได้ผลถาวร แต่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่ามันเป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระชับเต่งตึงแบบง่าย ๆ และไม่ยุ่งยาก โดยในวันหนึ่งๆ สามารถทำใหม่ได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่ต้องการให้ผิวคงความเต่งตึงกระชับ ดังจะเห็นได้จากบางคนที่จำเป็นต้องเพิ่มความเต่งตึงให้แก่ผิว เช่น นางแบบหรือคนทำงานที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองก่อนออกไปทำงานนอกบ้าน ก็จะหันมาใช้ครีม ดูแลผิว ชนิดนี้ เนื่องจากสามารถทำให้ผิวกระชับเต่งตึงขึ้นจริงในเวลาอันสั้น แต่เมื่อสารที่ช่วยยกกระชับผิวหมดฤทธิ์ลงก็ต้องทำใหม่อีกครั้ง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

วิธีดูแลผิวหน้าเมื่อเป็นสิว

0
วิธีดูแลผิวหน้าเมื่อเป็นสิว
เลเซอร์สิว คือกระบวนการรักษาสิว โดยยิงแสงเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่เกิดสิวเพื่อรักษาสิวที่เกิดจากการติดเชื้อ
วิธีดูแลผิวหน้าเมื่อเป็นสิว
เลเซอร์สิว คือกระบวนการรักษาสิว โดยยิงแสงเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่เกิดสิวเพื่อรักษาสิวที่เกิดจากการติดเชื้อ

รักษาสิว

มารู้จักเลเซอร์ รักษาสิว แบบเวิร์คๆ สำหรับเลเซอร์แล้วมีหลายชนิดมาก ซึ่งสถาบันความงามแต่ละแห่งเรียกชื่อเลเซอร์เหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง การทำเลเซอร์ทุกชนิดจะได้ผลหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ ความยืดหยุ่นของผิวรวมถึงการตอบสนองของผิวต่อเลเซอร์ บางชนิดทำแล้วมีแผลแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า บางชนิดทำแล้วเนียนมากไม่มีรอยแผล แต่กว่าจะเห็นผลก็ใช้เวลานานฉะนั้น ก่อนทำเลเซอร์ต้องศึกษาให้ละเอียดก่อนว่าแบบไหนเหมาะกับความต้องการ งบประมาณและการใช้ชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด

เลเซอร์ชนิดที่ทำแล้วไม่มีแผล เช่น V-beam, Gentle YAG, Cynergy
ข้อดี หายไว กลับบ้านไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไปทำสวยมาไม่มีใครรู้ในระยะยาวผิวจะมีความแข็งแรงขึ้น
ข้อเสีย ค่าใช้จ่ายจะสูงตามระดับความสามารถของเลเซอร์ ต้องดูแลทะนุถนอมผิวเป็นอย่างดี อย่าให้โดนแดดในช่วงแรก เพราะผิวหน้าจะบอบบางเป็นพิเศษ

ชนิดของเลเซอร์ที่ รักษาสิว ได้ผลดี

E-MATRlX

เหมาะสำหรับการ รักษาหลุมสิว ตื้น ๆ ช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้ใบหน้าใสขึ้น เป็นการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงปล่อยพลังงานจากจุดเล็ก ๆ ลงไป แล้วแผ่ขยายเป็นมุมกว้างในชั้นหนังแท้ในลักษณะพีระมิด แผลบนผิวจึงมีขนาดเล็กมาก (เลเซอร์แบบอื่น ๆ ทำให้เกิดแผลกว้างด้านบน) และยังลดผลข้างเคียง เช่น ผิวคล้ำ เป็นต้น

ผลลัพธ์หลังการรักษา ประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลเมื่อเนื้อเยื่อและคอลลาเจนถูกกระตุ้นให้สร้างขึ้นมาใหม่ การดูแลผิวหลังทำ อาจเกิดสะเก็ดแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยตะแกรงบาร์บีคิว แต่จะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่วัน

ข้อดี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หลุมสิวตื้นขึ้น ใบหน้าเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลงใบหน้ากระจ่างใสขึ้น ที่สำคัญลดความเจ็บปวดไปได้มาก ระหว่างทำผิวจะรู้สึกอุ่น ๆ มีความปลอดภัยสูงเพราะผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ข้อเสีย ราคาจะค่อนข้างสูง ครั้งละประมาณ 15,000 บาท เนื่องจากหัวเลเซอร์ที่ใช้ยิงเป็นทองคำ ใช้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง

ข้อแนะนำ ถ้าหลุมสิวลึกมากอาจต้องทำ 3 – 6 ครั้ง และใช้วิธีอื่นร่วมด้วย แต่ก็ไม่ถึงกับหาย 100 เปอร์เซ็นต์

V-beam

สำหรับ รักษารอยแดงสิว จากการอักเสบ ปานแดง เส้นเลือดขอดและแผลเป็นคีลอยด์ พลังงานเลเซอร์นี้จะลงไปทำลายเส้นเลือดให้ฝ่อไปแล้วกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่

ผลลัพธ์หลังการรักษา หลังการรักษาประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ รอยแดงใหม่ ๆ จากสิวจะเริ่มจางลงไป 60 – 70 เปอร์เซอร์ ส่วนรอยสิวที่เป็นมาสักพักจะจางลงประมาณ 20 – 40 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงควรรีบทำตั้งแต่ที่เริ่มเป็นรอยแดงใหม่ ๆ รอยบุ๋มจากสิวก็จะตื้นขึ้นและมีขนาดเล็กลงบ้าง

การดูแลผิว หลังทำเลเซอร์นี้ เมื่อทำแล้วจะไม่มีแผล มีเพียงรอยบวมแดงเท่านั้น แต่จะเริ่มจางและหายไปในวันรุ่งขึ้น สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ แต่ไม่ควรให้ผิวโดนแสงแดดโดยตรง

ข้อดี รอยแผลสิวสด ๆ รอยแดงใหม่ ๆ จะจางไว เห็นผลดีมาก อย่างเร็วที่สุด 1 เดือนจะหายสนิท อย่างช้าไม่เกิน 3 เดือน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่เกิดสิวใหม่ให้เป็นรอยแดงเพิ่มอีก

ข้อเสีย ยิ่งเห็นผลไวราคาก็สูงตาม แต่ถ้ารอยแดงนั้นเกิดขึ้นนานจะเปลี่ยนเป็นรอยดำต้องใช้เลเซอร์ชนิดอื่นแทน รอยแดงจะจางลง 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงมีรอยแดงต้องทำเลเซอร์ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง

ข้อแนะนำ ควรทำเลเซอร์ 2 อาทิตย์ต่อครั้ง จะช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ถ้าใช้วิธีอื่น เช่น ทายา กินวิตามินเสริมร่วมด้วยจะยิ่งหายเร็ว

ดูแลผิวให้เวิร์คในช่วงวันนั้นของเดือน

“ทำไมช่วงนี้ผิวดี ทำไมช่วงนี้ผิวแย่ เพราะอะไรกัน ก็ใช้ครีมตัวเดิมนี่นา ทำไมเคยใช้ครีมตัวนี้แล้วไม่แพ้ แต่ตอนนี้แพ้ เกิดอะไรขึ้น” หนุ่มๆ สาวๆ หลายคนคงเคยเกิดปัญหานี้ แล้วรู้ไหมว่าวงจรการมาของประจำเดือนมีผลกับผิวของเราอย่างมาก

ฮอร์โมนเพศหญิงที่มีผลต่อร่างกายและผิวของเราในแต่ละเดือนคือ เอสโทรเจน (Estrogen) และโพรเจสเทอโรน (Progesterone) ฮอร์โมนสองตัวนี้คอยเนรมิตผิวเราให้สุขภาพดีหรืออ่อนแอสลับไปมา เลือกไม่ได้ด้วยว่าให้สุขภาพดีตลอดไป แต่อย่างน้อยเราก็จะได้หันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น

เรามาดูกันว่าในแต่ละเดือนนั้น เราจะเจอปัญหาผิวแบบไหนกันบ้าง ทั้งในช่วงที่ผิวมีสุขภาพดีถึงขีดสุดและผิวมีสุขภาพแย่ถึงขั้นสุด 

ช่วงผิวสุขภาพดี : ฮอร์โมนเอสโทรเจนสูง

คือ ช่วงที่ประจำเดือนหมดและร่างกายกำลังเตรียมการตกไข่ครั้งใหม่ ทุกคนจะปลาบปลื้มมาก เพราะเป็นช่วงที่ผิวแข็งแรงที่สุด สวยงาม เปล่งปลัง สิวเกิดได้ยากหรือขึ้นน้อย หากอยากทดลองผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ ๆ ต้องช่วงนี้เลย ผิวสามารถรับสารบำรุงทุกอย่างได้ดี ดูดซึมรวดเร็วและง่ายดาย ช่วงนี้ใช้ไวท์ เทนนิ่งจะเห็นผิวกระจ่างใสที่สุด

สครับผิวสัปดาห์ละ 1- 2 ครั้งเพื่อผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันรูขุมขน คนผิวมัน สิวมักจะขึ้นที่เดิมช่วงมีประจำเดือน ควรเตรียมผิวล่วงหน้า 3 วันก่อนผิวอ่อนแอ โดยแต้มยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (เชื้อสิว) หรือยาลดการอักเสบของผิว เช่น ยาตระกูล BP บริเวณจุดเดิมที่คิดว่าสิวจะขึ้น เพื่อลดการอุดตันของสิวและลดการเกิดสิว

ช่วงผิวอ่อนแอ : ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนสูง

คือ ช่วงหลังตกไข่และกำลังจะเริ่มมีประจำเดือนครั้งใหม่ ช่วงนี้สุขภาพผิวอ่อนแอ สิวมักขึ้นง่าย อักเสบง่าย และภูมิต้านทานผิวลดลงต่ำ หากจะลองผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ ๆ ควรหลีกเลี่ยงช่วงนี้ไปก่อน เพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวมากเกินปกติและรูขุมขนจะเล็กน้อยจึงเกิดการอุดตันได้ง่าย

คนผิวแห้งอาจจะชอบช่วงเวลานี้ เพราะผิวจะชุ่มชื้น มีน้ำมีนวล มีสิวอุดตันบ้าง สิวอักเสบบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะคาง รอบริมฝีปาก ส่วนคนผิวมันต้องไม่ปลื้มเป็นแน่เพราะหน้าจะมันมาก เกิดสิวง่ายมาก และจะมาแบบทะลักทลาย ช่วงนี้จึงควรทำความสะอาดผิวให้หมดจดอย่างทะนุถนอมและพิถีพิถัน และควรทาครีมกันแดดอย่าละเลยเป็นอันขาด เพราะผิวหน้าจะไวต่อแสงมาก ทำให้เมลานินสีเข้มเพิ่มปริมาณได้ง่าย จะเห็นฝ้า กระชัดขึ้น และจะขึ้นได้ง่าย อาจเลือกใช้ไวท์เทนนิ่งที่เหมาะสมกับสภาพผิว ควรแต่งหน้าบาง ๆ อย่าโบกหลายชั้นเป็นอันขาด

สำหรับคนผิวมันควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำมัน เพื่อไม่ให้อุดตันและเพิ่มความมันให้ผิวมากขึ้น ที่ฉลากจะระบุว่า Oil-free เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน ฉลากจะระบุว่า Non-Comedogenic ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันที่ฉลากระบุว่า Oil Control

คนผิวแห้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ฉลากอาจจะบุว่า Hypoallergenic, Dermatologist Tested, Fragrance-free, Alcohol-free ช่วงผิวแห้งกร้านขาดความชุ่มชื้น : ฮอร์โมนเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนต่ำทั้งคู่ คือ ช่วงมีประจำเดือน ผิวพรรณจะอ่อนแอมาก จึงไม่ควรลองผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวใหม่ ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นและควรเป็นชุดเดิมที่เคยใช้

การดูแลสภาพร่างกายทั้งก่อนมีประจำเดือนและระหว่างมีประจำเดือน

ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้ร่างกายสะสมน้ำไว้ ทำให้ตัวบวม ตาบวมบางคนก็หน้าบวม (ฝันร้ายที่เป็นจริงชัด ๆ) ร่างกายรู้สึกอึดอัด ผิวพรรณหมอง ไม่สดใส อิดโรย ปวดหลัง คัด/เจ็บหน้าอก

ลดอาการบวมน้ำโดยการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อขับเหงื่อและของเสียออกจากร่างกาย อาจใช้ความเย็นประคบได้บ้าง เช่น บริเวณดวงตา ลดอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และธัญพืชขัดสี เพราะกระตุ้นผิวอักเสบ ทำให้เซลล์เสื่อมและสิวขึ้นง่าย ควบคุมรสชาติอาหารไม่ให้เผ็ด เปรี้ยว หวาน มัน และเค็มมากเกินไป โดยเฉพาะรสเค็ม ดื่มน้ำให้มาก เลิกเครียด เพราะยิ่งเครียด ฝ้าที่มีอาจจะชัดขึ้น สิวขึ้น ผิวกร้านหมองได้ง่ายอีกด้วย

ควรทำความสะอาดผิวบริเวณน้องสาวให้ดี เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีและไม่ให้เกิดกลิ่นอับชื้น ซึ่งก่อให้เกิดเชื้อรา เชื้อโรค แบคทีเรียอันไม่พึงประสงค์ถ้าดูแลไม่ดีอาจเกิดการอักเสบ เป็นผื่นคันได้

5 Anti-Acne ltems

น้ำเกลือล้างแผล Klean & Kare : ใช้แทนโทนเนอร์ที่ส่วนใหญ่มีแอลกอฮอล์ซึ่งทำให้รูขุมขนกว้าง น้ำเกลือยังช่วยทำความสะอาดผิวที่อักเสบจากสิวได้อย่างอ่อนโยน หรือจะนำไปแช่เย็นแล้วชุบสำลีมาโปะหน้าก็กระชับรูขุมขนได้คะ ทำได้สารพัดทั้ง เช็ดตา ล้างตา ล้างจมูก ผสมผงพิเศษ เป็นต้น

ผงพิเศษ : มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ ช่วยสมานแผลสิว ทำให้แผลแห้งไว เมื่อโปะผงพิเศษผสมน้ำหรือน้ำเกลือบริเวณแผลสิวอักเสบที่มีหนอง หลังจากเอาหนองออกเรียบร้อยแล้ว แผลจะแห้งไวและรอยสิวไม่ค่อยมี 

ผลิตภัณฑ์แต้มสิว Madame Heng Ozzy Oil : เป็นน้ำมันสกัดที่ไม่อุดตันรูขุมขน ทำให้สิวอักเสบที่ไม่มีหัวยุบลงได้ ถ้าเป็นสิวหนอง หัวสิวจะหลุดออกเอง

Ezerra Cream : ครีมสำหรับทาผิวแห้ง รักษาหน้าที่เป็นผื่น รักษาสิวผด สิวอักเสบ ช่วยลดอาการระคายเคืองจากการแพ้สารเคมีบนใบหน้า

แปรงล้างหน้า KURON : ใช้ทุกวันคู่กับมูสเพื่อทำความสะอาดรูขุมขน และคราบที่เกาะอยู่ให้เกลี้ยงหมดจดในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากเช็ดเครื่องสำอางจนเกลี้ยง

การป้องกันสิวตั้งแต่เริ่มเป็นด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ดูแลสภาพผิวให้ชุ่มชื้นอย่างสมดุล ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิว “หน้าที่มีโอกาสเป็นสิวน้อยที่สุด คือหน้าที่มีผิวชุ่มชื้นสมดุลไม่แห้งและไม่มันจนเกินไป”

1. ล้างหน้าเพียงแค่ 2 รอบเท่านั้น คือ เช้าและเย็น อย่าล้างหน้าบ่อย

2. ดูแลบำรุงผิวให้มีน้ำหล่อเลี้ยงชุ่มชื้นอย่างพอดี เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว ผิวต้องไม่แห้ง ไม่มันจนเกินไป

เลิกใช้มือหรือผ้าสัมผัสหน้าระหว่างวัน ไม่ว่าจะแตะ ถู ลูบ คลำ เกา จิก โดยเฉพาะเล็บซึ่งเป็นตัวการร้ายกาจ

นอนก่อนสี่ทุ่ม เพราะหลังจากนี้โกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมาตอนที่เราหลับสนิท ผิวหน้าที่มีปัญหาจะได้รับการซ่อมแซม พร้อม ๆ กับคอลลาเจนที่เริ่มเดินเครื่องผลิตผิวอันละเอียดเต่งตึง แต่งหน้าติดทนมากขึ้น ผิวละเอียด รูขุมขุนกอดกันแน่น สิวยุบตัวเร็ว ที่เห็นได้ชัดคือแผลจากสิวจางลงเร็วมาก

ถ้าอยากมีผิวพรรณที่ละเอียด รูขุมขนแน่น ต้องออกกำลังกายเท่านั้น ซึ่งเป็นการดีท็อกซ์ให้กับร่างกาย เอาของเสียออกและลดไขมันที่เกาะตามผนังลำไส้ สามารถช่วยเรื่องผิวได้

ผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ เดือนละ 1 – 4 ครั้ง ถ้าจะสครับหน้า ควรลงสบู่หรือโฟมล้างหน้าเพิ่มความนุ่มนวลก่อน อย่าทา สครับเพียว ๆ ลงไปบนหน้า ควรเลือกใช้สครับที่มีเม็ดละเอียดไม่บาดผิว

เลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมกับกิจกรรม ถ้าอยู่บ้านเฉย ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้แบบที่มีค่า SPF สูง ๆ เพราะถ้าล้างออกไม่หมดจะทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน อย่ายุ่งกับสิวโดยการแกะ แคะ เกา เป็นอันขาด อาจจะทายาฆ่าเชื้อได้ หรือปล่อยให้มันหายเองตามธรรมชาติ

ควรเลิกกินอาหารที่ใส่น้ำตาล หรือกินให้น้อยที่สุด เพื่อลดการอักเสบของผิว นอกจากนี้ควรกินผัก เพื่อช่วยขจัดคราบไขมันบนผิวหนัง ช่วยขับของเสีย เป็นการดีท็อกซ์ผิวและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังหลั่งฮอร์โมนตัวดี นอกจากหุ่นจะดีแล้วผิวยังสุขภาพดีด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

รู้หรือไม่ว่าการนอนหลับช่วยชะลอวัยได้

0
รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้
การนอน คือ สภาวะที่ร่างกายหยุดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมรอบตัวและร่างกายจะอยู่นิ่งกับที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
รู้หรือไม่ว่าการนอนช่วยชะลอวัยได้
ก่อนนอนควรงดอาหารหรือของหวานซึ่งจะช่วยให้หลับสบายขึ้นและร่างกายก็มีการหลั่โกรทฮอร์โมนออกมาได้อย่างปกติ

การนอนหลับ

การนอนหลับ (Sleeping) คือ สภาวะที่ร่างกายหยุดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวและร่างกายจะอยู่นิ่งกับที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เช่น การพลิกตัว โดยในช่วงนี้ร่างกายจะทำการหยุดพักเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังและเซลล์ของอวัยวะที่เกิดการสึกหรอที่อยู่ภายในร่างกาย พร้อมทั้งช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายด้วย การนอน เป็นการพักผ่อนที่ดีสุดของร่างกาย ซึ่งการนอนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วง คือ

1. การนอนช่วง Non Rapid Eye Movement Sleep ( NREM Sleep ) คือ ช่วงการนอนหลับแบบที่มีการกลอกของลูกตาไปมาอย่างช้า การนอนในช่วงนี้มีความสำคัญในการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายมากที่สุดเพราะมีส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีมากขึ้น โดยมีการกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโต ( Growth Hormone ) ซึ่งการนอนในระยะนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

  • Stage 1 ( light sleep ) เป็นช่วงระยะก่อนที่จะหลับหรืออยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น ลูกตาจะมีการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ช่วงนี้มีระยะเวลาประมาณ 10 นาที โดยช่วงนี้จะเริ่มจากการหลับตาเพื่อตั้งใจที่จะนอน สมองจะเริ่มทำงานช้าลง แต่ช่วงที่เราจะยังรู้สึกตัวได้ง่ายและไม่รู้สึกงัวเงียเมื่อต้องตื่นมาจาก การนอน อาจจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า hypnic myoclonia
  • Stage 2 ( Beta Wave หรือ so-called true sleep ) เป็นช่วงที่นี้สมองจะทำงานน้อยน้อยลง ช่วงนี้สมองจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ยังทำงาน เช่น ต่อมทารามัส ซีราเบาคาเท็ค ที่ทำหน้าที่รับรู้สัมผัส รับรู้เสียง และส่วนที่หยุดการทำงาน จะเป็นสมองส่วนของสมองที่เกี่ยวกับความจำ ความดันและอุณหภูมิร่างกายมีการลดลงเพื่อเข้าอยู่โหมดการพัก ที่ระยะนี้ดวงตาจะหยุดเคลื่อนไหวและคลื่นไฟฟ้าของสมองจะมีลักษณะเป็นแบบ rapid waves เรียก sleep spindles ช่วงนี้จะระยะเวลาประมาณ 30 นาที
  • Stage 3-4 ( Delta Wave ) คือ ช่วงระยะเวลาหลับลึกหรือร่างกายเข้าสู่ภาวะที่หลับสนิท ช่วงนี้สมองจะมีการทำงานที่น้อยมาก คลื่นไฟฟ้าของสมองบางส่วนจะมีลักษณะเป็นแบบ delta waves และ Stage 4 ระยะนี้เป็นระยะที่หลับสนิทที่สุดคลื่นไฟฟ้าของสมองจะมีลักษณะเป็นแบบ delta waves ทั้งหมด Stage 3-4 ร่างกายจะปลุกให้ตื่นยากที่สุด เมื่อตื่นมาจะรู้สึกงัวเงีย ดวงตาและร่างกายจะไม่มีการเคลื่อนไหว ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีค่าที่สุดของ การนอนเพราะช่วงนี้มีการหลั่งโกรทฮอร์โมนหรือฮอร์โมนชะลอความแก่ออกมามากที่สุด

2.การนอนช่วง Rapid Eye Movement Sleep (REM Sleep) คือ ช่วง การนอน หลับที่มีการกรอกตาไปมาอย่างรวดเร็วมีระยะเวลาประมาณ 20 นาที ช่วงการหลับนี้เราจะมีความฝันเกิดขึ้นประมาณ 90 นาที หลังจากที่เรานอนหลับ และสมองจะมีการทำงานมากที่สุดแต่ร่างกายจะไม่สามารถขยับ ลักษณะของคลื่นสมองจะเหมือนคนตื่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็ว ชีพจรเต้นเร็ว กล้ามเนื้อไม่สามารถขยับ อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อคนตื่นช่วงนี้จะจำความฝันได้

เมื่อเราเข้านอนแล้วร่างกายจะเข้สู่การนอนใน Stage 1 Stage 2 Stage 3 Stage 4 และ REM Sleep แล้วจึงวนกลับไปที่ Stage 4 Stage 3 Stage 2 Stage 1 ซึ่งจะวนเวียนกันตลอดทั้งคืน

การนอนเป็นสภาวะที่ร่างกายหยุดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวและร่างกายจะอยู่นิ่งกับที่ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย

การนอนหลับเปรียบเหมือนการชาร์ตพลังงานให้กับร่างกาย ถ้าเรานอนหลับไม่เพียงพอร่างกายก็จะได้รับพลังงานที่ลดลง รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่ตื่นตัวและตอบรับกับสิ่งรอบตัวได้ไม่ดี รวมถึงการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ จะมีประสิทธิภาพการทำงานที่น้อยลงโดย เฉพาะการทำงานของสมองทั้งด้านการเรียนรู้และความจำ แต่ถ้าเรามีการนอนหลับอย่างเพียงพอจนสามารถชาร์ตพลังงานให้กับร่างกาได้อย่างเต็มที่ การทำงานของระบบภายในจะมีประสิทธิภาพที่ดี ส่งผลให้มีภูมิต้านทานโรคสูงและห่างไกลจากโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันต่ำ ช่วยเพิ่มความจำ การเรียนรู้ของสมองให้ดีขึ้น สามารถเผาพลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต แป้งและน้ำตาลให้เปลี่ยนไปเป็นพลังงานจนหมดจึงไม่หลงเหลือจนกลายเป็นไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ร่างกายจึงมีรูปร่างที่แข็งแรงสมส่วนปราศจากไขมันส่วนเกิน

ดังนั้นการนอนที่แบบมีคุณภาพจะส่งผลให้ร่างกายของเราแข็งแรงและสามารถช่วยในการชะลอวัยได้ แต่หลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการนอนที่มีคุณภาพ คิดว่าการนอนนานมาก ๆ หรือนอนวันละมากกว่า 8 ชั่วโมงจึงจะเป็นการนอนที่ดี แต่ที่จริงแล้วระยะเวลาการนอนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพของการนอนได้ทั้งหมด เพราะบางคนใช้เวลาในการนอนมากกว่า 8 ชั่วโมง เมื่อตื่นนอนกลับรู้สึกว่าร่างกายไม่สดชื่น รู้สึกอ่อนเพลียและง่วงนอนอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ในบางคนที่ใช้เวลาในการนอนเพียงแค่ 4-5 ชั่วโมง เมื่อตื่นกลับรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ประสาทสัมผัสรับรู้ตื่นตัวตลอดทั้งวัน สมองคิดได้ฉับไว จดจำและรียนรู้ได้ดี ทั้งที่นอนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าลักษณะของการนอนที่ปฏิบัติเป็นการนอนที่มีคุณภาพ ร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอมีการหลับลึกอยู่ใน Stage 3 Stage 4 มาก ร่างกายมีการผลิตโกรทฮอร์โมนออกมาในปริมาณที่สูง การนอนเช่นนี้จึงนับเป็นการนอนที่มีคุณภาพตามหลักเวชศาสตร์ชะลอวัย ซึ่งการนอนที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาได้มากที่สุด นับเป็นการนอนที่มีคุณภาพสูง

 

วิธีสร้างการนอนหลับที่มีคุณภาพเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง

  1. เวลาการนอน

โกรทฮอร์โมนจะสามารถหลั่งออกมาได้ในช่วงที่เรานอนตอนกลางคืนเท่านั้น นอกจากการนอนที่ต้องนอนให้อยู่ใน Stage 3 และ Stage 4 แล้ว ร่างกายจึงจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาแล้ว ช่วงเวลาในการนอนก็มีส่วนในการหลั่งของโกรทออร์โมนเช่นกัน เพราะว่าร่างกายของเราจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาในช่วงเวลาเที่ยงคืนถึง 01.30 นาฬิกาเท่านั้น ถ้าช่วงเวลานี้ร่างกายไม่หลับลึกก็จะไม่มีการหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา ดังนั้นเราควรเข้านอนในช่วงประมาณ 22.00 นาฬิกาหรือไม่ควรเกิน 23.00 นาฬิกา เพราะว่าเมื่อเราเข้านอนในระยะเวลาดังกล่าวแล้ว เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนร่างกายจะหลับเข้าสู่ Stage 3 และ Stage 4 พอดี ร่างกายจึงได้รับโกรทฮอร์โมนที่ผลิตออกมาในปริมาณที่สูงมาก ดังนั้นถ้าในช่วงเที่ยงคืนถึง 01.30 นาฬิกา เราไม่นอนหรือว่านอนหลับไม่ถึง Stage 3 และ Stage 4 อัตราการหลั่งของโกรทฮอร์โมนก็จะน้อยลง ซึ่งโกรทฮอร์โมนนี้เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่สำคัญในการเสริมสร้างความเจริญเติบโตและซ่อมแซม ฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอของร่างกายนอกจากนั้นในช่วงที่เรานอนร่างกายจะมีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายไม่มีกระบวนการเมตาบิลิซึมเกิดขึ้น จึงไม่ต้องนำพลังงานไปใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึม ( Metabolism ) แต่จะนำพลังงานจะส่งไปทำงานร่วมกับโกรทฮอร์โมนในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆ เพื่อให้เซลล์และอวัยวะกลับมามีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่จะทำงานในวันถัดไป การนอนกจึงสามารถช่วยสร้างความแข็งแรงและลดความเสื่อมของร่างกายซึ่งเป็นที่มาของความแก่ชรา

2. งดน้ำตาลก่อนนอน

การประทานอาหารจนอิ่มจึงจะเข้านอนได้ เพราะว่าถ้ารู้สึกหิวแล้วจะทำให้นอนไม่หลับ จึงต้องรับประทานอาหารก่อนเข้านอน แต่รู้หรือไม่ว่าการรับประทานอาหารก่อนเข้านอนในเวลากลางคืนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แก่เร็ว โดยเฉพาะอาหารที่ให้แป้ง น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในเลือดได้ เพราะว่าโกรทฮอร์โมนกับอินซูลินเป็นสารที่มีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นเมื่อเรารับประทานอาหารก่อนเข้านอนก็จะส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เมื่อมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงร่างกายก็จะทำการหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ซึ่งสมองไม่สามารถแยกได้ว่าฮอร์โมนที่อยู่ในร่างกายนั้นเป็นฮอร์โมนอินซูลินหรือโกรทฮอร์โมนกันแน่ ดังนั้นเมื่อถึงช่วงเที่ยงคืนแล้วมีปริมาณฮอร์โมนอินซูลินสูง แม้ว่าเราจะหลับสนิทมากแค่ไหน ร่างกายก็จะไม่ทำการสร้างโกรทฮอร์โมนออกมา ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายทำการผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมามากในช่วงหลังเที่ยงคืน ก่อนนอนหรือหลังเวลา 18.00 นาฬิกาเป็นเวลาที่เราไม่ควรรับประทาอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลผสมอยู่ เพื่อลดปริมาณน้ำตาลในเลือดให้น้อยลง การสร้างฮอร์โมนอินซูลินก็ลดลงตามไปด้วย ดังนั้นร่างกายจะทำการสร้างโกรทฮอร์โมนออกมาได้มาก ถ้ารู้สึกหิวก่อนนอนแนะนำให้รับประทานอาหารที่ให้น้ำตาลน้อย ย่อยง่าย เช่น เนื้ออกไก่ เนื้อปลา ผัก ผลไม้หรือน้ำผลไม้อุ่น ๆ ที่ไม่มีคาเฟอีนสักแก้วก่อนนอน ก็จะช่วยให้หลับสบายขึ้นและร่างกายก็มีการหลั่โกรทฮอร์โมนออกมาได้อย่างปกติอีกด้วย

3. สภาพแวดล้อมในการนอนที่ดี

สภาพแวดล้อมในการนอนช่วยให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะการหลับที่สนิทได้ง่ายนั้นห้องต้องมืดสนิทไม่แสงสว่างเข้ามารบกวนในเวลานอน เพราะความมืดจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนไฮโปรทาลามัส ( hypothalamus ) ให้ทำการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ( melatonin ) ที่มีหน้าที่ฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับของคนเรา โดยจะทำการช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย พร้อมทั้งทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย จึงทำให้ร่างกายรู้สึกง่วงและสามารถเข้าสู่การหลับลึกได้ง่าย แต่ถ้าห้องนอนมีแสงสว่างเข้ามากสมองไฮโปทาลามัส ( hypothalamus ) จะทำการผลิตเมลาโทนินน้อยลง ส่งผลให้นอนหลับไม่สนิท และภายในห้องนอนต้องระบายอากาศได้ดี มีอุณหภูมิที่เหมาะสม

การนอนเป็นสิ่งที่มนุษย์เราต้องปฏิบัติอยู่ทุกวันตลอดชั่วชีวิตเราใช้เวลากับการนอนไปเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นการนอนที่ถูกต้องมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็ง ระบบการทำงานมีสมดุลสามารถทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงในอนาคตได้แล้ว การนอนยังสามารถช่วยลดความเสื่อมซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายแก่ชราอีกด้วย การนอนที่มีคุณภาพตามหลักของศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) ยังสามารถช่วยชะลอวัยให้เราดูอ่อนเยาว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้คุณนอนได้ถูกต้องและมีคุณภาพแล้วหรือยัง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Japsen, Bruce (15 June 2009). “AMA report questions science behind using hormones as anti-aging treatment”. The Chicago Tribune. Retrieved 17 July 2009.

Stampfer, M., Hu, F., Manson, J., Rimm, E., Willett, W. (2000) Primary prevention of coronary heart disease in women through diet and lifestyle. The New England Journal of Medicine, 343 (1) , 16-23. Retrieved October 5, 2006, from ProQuest database.

ขอบคุณคลิปดี ๆ มีสาระจาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ.

7 ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด

0
7 ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด
ใบหน้าของแต่ละคนก็มีสภาพปัญหาที่แตกต่างกัน ควรเลือกทรงจมูกให้เข้ากับใบหน้าด้วยการปรึกษาหมอผู้เชี่ยวชาญ
7 ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด
จมูกทรงหยดน้ำ ลุคสวยใส ไม่โด่ง หรืองุ้มจนเกินไป แลดูเป็นธรรมชาติ

ทรงจมูก

ทรงจมูก ที่สาวๆ ต้องการหลังจากที่เรารู้วิธีการเสริมจมูก ข้อดี ข้อเสีย รวมถึงการดูแลตัวเองก่อนและหลังการไปเสริมจมูกกันมาแล้ว คราวนี้สาวๆก็คงจะอยากกำเงินไปให้คุณหมอรัวๆ แล้วบอกว่า “คุณหมอขาช่วยผ่าจมูกให้หนูหน่อยเถอะ” กัน  แล้วใช่ไหมล่ะคะ แต่ยังค่ะ ยังก่อน! ก่อนจะไป เราควรเลือกทรงจมูกให้เรียบร้อย เพื่อที่จะยื่นให้คุณหมอได้เลยว่า “หนูจะเอาแบบนี้!” เพื่อให้คุณหมอช่วยตกแต่งทรงจมูกให้ได้รูปตรงตามใจของเรามากที่สุด

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับเรื่องศัลยกรรมเสริมจมูก

  1. เสริมจมูกแบบไหน และอย่างไรดี ถึงจะปัง
  2. การเตรียมตัวเองก่อนไปเสริมจมูก
  3. วัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูก
  4. ซิลิโคนแต่ละแบบ มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร
  5. 7ทรงจมูกสุดฮิต ที่สาวไทยนิยมทำมากที่สุด

7ทรงจมูกที่ได้รับความนิยม

1. ทรงจมูก แบบหยดน้ำ
ถ้าอยากได้ลุคสวยใส ไม่โด่ง หรืองุ้มจนเกินไป แลดูเป็นธรรมชาติ ต้องแบบนี้เลย ทรงหยดน้ำ คลาสสิคที่สุด

2. ทรงจมูก แบบหยดน้ำปลายงุ้ม
การเสริมจมูกวิธีนี้ จะช่วยเสริมปลายจมูกของสาวๆ ให้ยาวขึ้น เหมาะกับคนที่มีเนื้อจมูกเยอะ
แต่ถ้าหากใครที่มีเนื้อน้อย ก็ไม่ต้องกังวลใจไป บอกคุณหมอได้ คุณหมอจะช่วยหาวิธีที่เหมาะสมในการยืดบริเวณปลายจมูกให้ค่ะ

3. ทรงจมูก แบบปลายพุ่ง
งานโด่ง งานพุ่งก็มา ใครอยากเสริมจมูกให้โด่งรับทรัพย์ต้องแวะทางนี้ค่ะ จมูกทรงปลายพุ่ง
การทำจมูกทรงนี้ เหมาะกับสาวๆ ที่จมูกสั้น หรือทู่แบน จะช่วยให้จมูกยาวขึ้น และใบหน้ามีความสมดุลมากยิ่งขึ้น เวลาทำ คุณหมอจะดูจากความยาวและความสูงของจมูกเป็นหลัก แต่ก็ไม่ควรให้ส่วนปลายแหลมเกินไป ควรเป็นแบบมนๆ จะดีกว่า

4. ทรงจมูก แบบตุ๊กตาบาร์บี้
ฟังชื่อแล้วนึกถึงตุ๊กตาบาร์บี้เลยใช่ไหมล่ะค่ะ ใช่แล้วค่ะ ทรงแบบนี้จะเรียกว่าทรงปลายเชิดก็ได้
หรือทรงบาร์บี้ก็ได้ คือ มีลักษณะที่ส่วนปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรูจมูก เสริมให้ดั้งโด่งขึ้นเห็นแล้วนึกถึงตุ๊กตาจริงๆเลยล่ะค่ะ เหมาะกับสาวๆ ที่มีบุคลิกมั่นใจในตัวเอง 

5. ทรงจมูก แบบสโลป
สำหรับสาวๆ ที่รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับทรงจมูกของตัวเอง เช่น รู้สึกว่ามันเอียงเกินไป หรือ ปลายจมูกงุ้มมากไป จะลองเสริมจมูกเป็นทรงสโลปธรรมชาติ วิธีนี้เป็นการเสริมจมูกแบบสวยเนียนตามธรรมชาติอีกวิธีหนึ่ง แต่จมูกจะโด่งขึ้นมาอีกนิด ดูไม่หลอกตา

6. ทรงจมูก แบบสโลปปลายเชิด
วิธีนี้ก็เน้นสวยแบบธรรมชาติเช่นกัน แต่เพิ่มความเก๋อีกนิด ตรงที่ปลายจมูกเชิดขึ้น ช่วยปรับบุคลิกให้มีความหวานซ่อนเปรี้ยวมากยิ่งขึ้น

7. ทรงจมูก แบบแกนเรียว ปลายหยดน้ำ
เชื่อว่าจมูกที่เรียว และโด่งขึ้นเป็นสัน คงจะเป็นทรงจมูกในฝันของสาวๆ หลายๆ คนแน่ๆ โดยเฉพาะถ้าตรงปลายจมูกเป็นทรงหยดน้ำเล็กน้อย ก็จะทำให้ใบหน้าของเราดูมี ลุคหวานขึ้น มีมิติ และช่วยทำให้ใบหน้าดูสมบูรณ์แบบ

อย่างไรก็ดี ใบหน้าของแต่ละคนก็มีสภาพปัญหาที่แตกต่างกันนะคะ ดังนั้น หากเราเลือก ทรงจมูกได้แล้ว ก็ควรนำไปปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญดูว่า รูปหน้าของเราสามารถเสริมจมูกให้เป็นทรงนี้ได้หรือไม่ หรือหากคุณหมอเห็นว่าควร ต้องตกแต่งเพิ่ม เช่น ควรตัดปีกจมูกด้วย จะได้เป็นข้อมูลให้เราได้ตัดสินใจ ถึงราคา ข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตค่ะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Duffy, D. (1998). “Injectable liquid silicone: New perspectives”. In Klein, A. W. Tissue Augmentation in Clinical Practice: Procedures and Techniques. New York: Marcel Dekker

Heidingsfeld, M. L. (1906). “Histopathology of paraffin prosthesis”. J Cutan Dis. 24: 513–521

ไหมละลาย ของวิเศษจากนางฟ้าใจดี

0
ไหมละลาย ของวิเศษจากนางฟ้าใจดี
ไหมละลายที่ใช้ในการศัลยกรรมร้อยไหม เรียกว่าไหมละลายแบบ PDO เป็นเทคโนโลยีการผลิตไหมเย็บแผลขั้นสูงเพื่อการยกกระชับผิวหน้าให้สวยไม่หย่อนคล้อย
ไหมละลาย ของวิเศษจากนางฟ้าใจดี
ในการศัลยกรรมร้อยไหม เรียกว่าไหมละลายแบบ PDO เป็นเทคโนโลยีการผลิตไหมเย็บแผลขั้นสูงเพื่อการยกกระชับผิวหน้าให้สวยไม่หย่อนคล้อย

ไหมละลาย

การร้อยไหม เป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึงและดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
โดยเป็นการใช้ ไหมละลาย สอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวกระชับตัวจากเดิมมากขึ้น

ไหมละลาย ของขวัญสุดแสนวิเศษจากนางฟ้าใจดี  แนวคิดการทำผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ชนิดต่างๆ  ล้วนมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับความเจ็บปวดจาก อุปกรณ์เหล่านั้นน้อยที่สุด  เพื่อประโยชน์ในการรักษาที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยม  และไม่มีผลข้างเคียงรวมถึงความเจ็บปวดอื่นๆที่จะตามมา

ไหมละลาย  เปรียบเทียบได้กับ  การเป็นผู้บุกรุกที่เข้ามาในร่างกายทั้งด้วยการแพทย์เพื่อรักษาโรคต่างที่อาจต้องอาศัยการผ่าตัดและการเย็บแผล หรือจะด้วยการนำเอา ไหมละลาย เข้าสู่ร่างกาย  เพื่อหวังผลอย่างอื่นและให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ความสวยงาม  เช่น การร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้า  ท้องแขน  เป็นต้น

แต่ไหมละลายผู้บุกรุกรายนี้  ไม่ได้มาเพื่อทำลาย  แต่ ตรงกันข้าม  การเข้ามาของ ไหมละลาย สร้างคุณค่ามากมายให้เกิดกับเจ้าบ้านอย่างร่างกายของเรา  จะมีผู้บุกรุกรายไหนที่ไม่ทำอันตรายกับเจ้าบ้าน  ไม่ต้องเสียเวลาในการกำจัดออก  เพราะมันสามารถที่หายไปได้ด้วยกระบวนการต่างๆของร่างกาย  และมันยังสามารถช่วยเหลือชีวิตของเราได้อย่างทันท่วงที  ใช้งานง่าย และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ไม่ทิ้งร่องรอยและความเจ็บปวดใดใดเอาไว้แม้แต่น้อย  และถือได้ว่าเป็นการพัฒนาทางการแพทย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด  แล้วอย่างนี้  จะเรียกไหมละลาย ว่าผู้บุกรุกได้อีกหรือ

ไหมละลาย เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เหมาะมากกับการใช้งานในด้านการศัลยกรรมโดยเฉพาะ  เนื่องจาก  ทุกการศัลยกรรมบนร่างกายย่อมไม่อยากทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้  เราตั้งใจทำศัลยกรรมก็เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องของร่างกาย  ถ้าสิ่งที่เข้ามาในร่างกายแล้ว  ไม่ได้สร้างความสมบูรณ์  ไม่ได้ทำให้จุดบกพร่องต่างๆของร่างกายดีขึ้น  เราก็ไม่รู้ว่าจะทำศัลยกรรมไปเพื่ออะไร ตั้งใจไปร้อยไหม  เสริมจมูก  และ เสริมหน้าอก  เพื่อให้สวยที่สุด  แต่ปรากฏว่าดันมีรอยเย็บตลอดแนวแผล  จะให้ไปบอกใครต่อใครว่า  โดนแมวข่วนมาค่ะ หน้าเลยตึงเป๊ะ  หน้าอกก็อึ๋มขึ้น  และจมูกโด่งขึ้นนิดหน่อย  คนฟังคงนึกภาพไม่ออกว่า  แมวข่วนท่าไหนเนี่ย  สวยเด้งมาเชียว  สามวันต่อมาสาวอกไข่ดาว ดั้งแหนบ  หน้าหย่อน ไปไล่จับแมวในวัดมาเลี้ยงเป็นแถว  หวังจะสวยขึ้นบ้าง

ข้อดีของไหมละลาย

  • สามารถละลายได้เอง โดยไม่ต้องตัดไหม
  • เส้นไหมมีความนุ่ม ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ไหมละลาย

ไหมละลายโดนน้ำได้หรือไม่ ?

ตอบ : โดยส่วนมากการใช้ ไหมละลาย ในการผ่าตัดทำศัลยกรรมจะเป็นแผลที่อยู่ในช่องปากดังนั้นไหมละลายจึงสามารถโดนน้ำได้

ไหมละลายอยู่ได้กี่วันถึงละลาย

ตอบ :  ซึ่งจะสลายหมดไปภายใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าชัวร์ ๆ เลย 2 เดือน

ไหมละลายต้องตัดไหม ?

ตอบ : ไม่จำเป็นต้องตัด เพราะแค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า สามารถละลายเองได้

ไหมละลายทำมาจากอะไร ?

ทำจากเส้นใยธรรมชาติและสังเคราะห์ขึ้นมา ที่ทำมาจากธรรมชาติก็เช่น Catgut อันนี้จะทำมาจากคอลลาเจน ในชั้น Submucosa ของลำไส้แกะหรือวัว

และตอนนี้สิ่งที่พูดถึงกันมากที่สุดในวงการศัลยกรรม  คือ การร้อยไหม ซึ่งเป็นตัวอย่างของการใช้ไหมละลายที่ชัดเจนที่สุด  ไหมละลาย ที่ใช้ในการศัลยกรรมร้อยไหม  เรียกว่าไหมละลายแบบ PDO เป็นเทคโนโลยีการผลิตไหมเย็บแผลขั้นสูงที่ทำขึ้นเพื่อ  การยกกระชับผิวหน้าให้สวยได้รูปไม่หย่อนคล้อย  โดยปกติไหมละลายตัวนี้  จะใช้ในงานเย็บเส้นเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่สำคัญๆ นอกจากจะเส้นเล็กและละลายได้ดีแล้ว  ตัวไหมยังปลอดภัย  ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบใดใดกับร่างกาย

วิธีการ ร้อยไหม

หมอจะใช้เข็มขนาดเล็กในการเย็บโดยการมาร์คโครงหน้าใหม่ที่ต้องการ  จากนั้นก็ ทำการเย็บ ไหมละลาย ในจุดที่มาร์คไว้เพื่อกำการยกกระชับหน้า เมื่อไหมละลายเข้าไปอยู่ในจุดที่ต้องการ  รอยแผลที่เกิดจากการเย็บจะทำปฏิกิริยากับร่างกาย เกิดเป็นการอักเสบ สิ่งที่เกิดกับผิวบริเวณนั้นจะมีเกล็ดเลือดและนิวโทรฟิลมาอยู่ในบริเวณนั้นมากมายและกระตุ้นให้เกิด โมโนไซท์ และไฟโบรบลาสต์ซึ่งส่งผลให้เกิดการผลิตคอลลาเจน อิลาสติน และแองจิโอเจเนซิส คอลลาเจน และยังมีกระตุ้นจากเข็มขนาดเล็กที่ใช้เกี่ยวเพื่อทำโครงหน้าใหม่  ยิ่งทำให้กระบวนการดังกล่าวเป็นผลดีต่อการรักษามากขึ้น

กระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยการร้อยหน้าด้วย ไหมละลาย  นอกจากจะทำให้ผิวหน้ากระชับแล้ว เป็นการปรับปรุงสภาพผิวด้วยวิธีทางธรรมชาติ  อันแสนแยบยลอีกด้วย ไหมละลายจะไม่ส่งผลให้เกิดการเจ็บหลังจากการทำ  ไม่ทิ้งร่องรอยของการทำ  และไม่มีผลข้างเคียงใดใดกับผิวหน้าและส่วนอื่นๆของร่างกาย   เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีเกิดย่อยสลายโดยกระบวนการของร่างกายอย่างยอดเยี่ยม  และเป็นไหมละลายที่มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพสูง  ซึ่งสามารถเข้ากันได้กับสภาพผิวหนังของทุกคน

วิธีที่ยกตัวอย่างมานี้  จะมีการฉีดยาชาเข้าสู่ผิวหน้าตั้งแต่ในขั้นตอนแรก  และทำการร้อยไหมจนกระทั้งเสร็จสิ้น  กระบวนการทั้งหมด  ซึ่งเราจะเห็นว่าในทุกขั้นตอนของการทำ  จะไม่มีช่วงไหนที่ผู้เข้ารับการทำจะเกิดความรู้สึกเจ็บได้เลย  และหลังจากยาชาหมดฤทธิ์  ด้วยความที่ไหมมีขนาดเล็กมาก  เราจึงแทบไม่มีความรู้สึกกับความเจ็บปวด  หากจะมีก็เป็นเพียงอาการระคายเคืองเล็กน้อย  ไม่มีการเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว และเมื่อทำเสร็จสามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที  มีข้อแม้อยู่เพียงว่า  ควรทานยาแก้อักเสบ  เพื่อป้องกันการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นได้   และผลลัพธ์หลังจากนี้เพียงไม่กี่วันผิวหน้าจะเริ่มมีปฏิกิริยาต่างๆเกิดขึ้น  พร้อมกันนี้หลังจาก ไหมละลาย ได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว  กระบวนการดูดซึมไหมละลายของร่างกาย  จะเริ่มทำงานและกระบวนการสร้างคอลลาเจนจะเห็นผลได้ชัดเมื่อผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน  และในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากทำ  ไหมทั้งหมดก็จะละลายและถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ร่างกายและจะอยู่ในสภาพนั้นได้นานประมาณ  2-3 ปี  ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาผิวหน้าอย่างต่อเนื่อง

ใครจะเชื่อว่าวิธีการรักษาและการศัลยกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นจากการใช้ ไหมละลาย เพียงเท่านั้น  เราเอาคุณสมบัติที่แสนพิเศษของไหมละลาย  มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในแง่ของความงาม  นับว่าเป็นการประยุกต์ใช้นวัตกรรมการผลิตไหมละลายให้มีประโยชน์มากกขึ้น  ร่วมกับการหลอกใช้กระบวนการต่างๆของร่างกายให้เป็นประโยชน์  ใน อนาคต  เราจะจะได้เห็นการใช้ ไหมละลาย ในรูปแบบอื่นๆและมันอาจจะสร้างความตื่นเต้นอะไรใหม่ๆให้กับวงการแพทย์และการศัลยกรรมได้อีกมากมายอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Osterberg, B; Blomstedt, B (1979). “Effect of suture materials on bacterial survival in infected wounds: An experimental study”. Acta Chir Scand. 145: 431.

Macht, SD; Krizek, TJ (1978). “Sutures and suturing – Current concepts”. Journal of Oral Surgery. 36: 710.

Dorland’s Medical Dictionary for Health Consumers. Copyright 2007

Miller-Keane Encyclopedia & Dictionary of Medicine, Nursing, and Allied Health, Seventh Edition.

Kirk, RM (1978). Basic Surgical Techniques. Edinburgh: Churchill Livingstone.