เนรมิตจมูกสวยเข้ารูปทรงด้วยศัลยกรรม
การศัลยกรรมเสริมจมูกทำให้มีดั้งที่สูงและโด่ง ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติและคมเข้ม

ศัลยกรรมจมูก

การศัลยกรรมเสริมจมูก ช่วยให้คนมีรูปลักษณ์ได้ตามที่ต้องการ การ ศัลยกรรมจมูก เพิ่มความงามมีตั้งแต่การเสริมเล็กน้อยจนกระทั้งการผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างกระดูกของใบหน้า แต่สำหรับบางคนที่มีโครงสร้างของใบหน้าที่สวยงามสมส่วนอยู่แล้ว แต่องค์ประกอบบางอย่างมีลักษณะที่ไม่สมส่วน เช่น จมูก ปาก คิ้ว จึงจำเป็นต้องทำการศัลยกรรมเพื่อ ปรับเปลี่ยนรูปร่างของอวัยวะเหล่านั้น เพื่อที่โครงสร้างโดยรวมของใบหน้าจะดูโดดเด่นน่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยมาในคนไทยก็คือ ลักษณะของจมูกที่แบนไม่มีกระดูกดั้งสูงเหมือนกับชาวตะวันตก ดังนั้นจึงนิยมทำการเสริมจมูกให้มีดั้งที่สูงและโด่งส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติ คมเข้มมากขึ้น    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การผ่าตัดแต่งจมูก ( Rhinoplasty ) หรือ Nose job คือ การผ่าตัดเพื่อทำการตกแต่งจมูก

การผ่าตัดตกแต่งเสริมจมูก

1. การผ่าตัดเพื่อเสริมจมูก ( Augmentation Rhinoplasty )
การผ่าตัด ศัลยกรรมจมูก เพื่อเพิ่มให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น สำหรับจมูกที่มีลักษณะแบน มีดั้งจมูกน้อยหรือไม่มีดั้งจมูกเลย โดยสามารถสังเกตได้เมื่อทำการมองจากทางด้านข้างสามารถมองผ่าเห็นดวงตาอีกข้างได้โดยไม่มีดั้งจมูกมาบดบัง หรือในคนที่มีจมูกขนาดเล็กก็สามารถทำการเสริมให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น

2. การผ่าตัดเพื่อลดขนาดจมูก ( Reduction rhinoplasty )
คือ การผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อลดขนาดขอจมูกที่มีขนาดใหญ่ไม่สมส่วนให้มีขนาดที่เล็กลง ซึ่งการผ่าตัดแบบนี้มักทำในคนต่างชาติแทบยุโรปที่มีจมูกขนาดใหญ่แต่กำเนิด โดยเฉพาะชาวยุโรปผิวขาว การผ่าตัดส่วนมากจะทำการผ่าตัดลดขนาดของปุ่มที่นู่นขึ้นบริเวณสันจมูก (Hump) โดยการผ่าตัดเอากระดูกที่บริเวณสันจมูกออกไป ทำให้จมูกดูเรียบเนียนไม่มีปุ่มของสันจมูกนูนขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด

นอกจากการผ่าตัด ศัลยกรรมจมูก ทั้งสองแบบนี้แล้ว ยังมีการผ่าตัดอีกแบบหนึ่งที่เน้นการตกแต่งปรับรูปร่างองค์ประกอบของจมูกมากกว่าที่จะสนใจขนาดของจมูก เพราะบางครั้งจมูกมีขนาดที่พอดี ดั้งสูงได้ระดับแต่ว่ามีขนาดรูจมูกที่กว้างหรือปีกจมูกใหญ่บานหรือจมูกที่มีรูปทรงคล้ายลูกชมพู การปรับรูปร่างทำได้ด้วยการตัดเนื้อบางส่วนออกก็ทำให้รูปทรงจมูกสวยได้แล้ว [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

การผ่าตัดเสริมจมูกที่นิยมทำกันในประเทศไทย

กลุ่มคนในประเทศแถบเอเชีย เช่น คนไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนมากจะมีจมูกที่มีขนาดเล็ก แบนไม่มีดั้ง ที่บริเวณปลายจมูกไม่โด่งพุ่งขึ้นมา จึงนิยมทำการเสริมจมูกแบบผ่าตัดเพื่อเสริมจมูก (Augmentation Rhinoplasty) เป็นส่วนใหญ่ เพื่อที่จะทำให้จมูกมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ดั้งจมูกโด่งเป็นสันคมชัด ปลายจมูกพุ่งขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติสวยมากขึ้น การผ่าตัดเสริมจมูกที่นิยมทำกันในประเทศไทยมีสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันตามลักษระของแผลที่ทำการผ่าตัด (Approach) คือ

1. การผ่าตัดแบบปิด (Close Rhinoplasty หรือ Endonasal Rhinoplasty)
คือ การผ่าตัดเพื่อเสริมจมูกโดยที่ทำการเปิดแผลภายในรูจมูก ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นแผลจากการผ่าตัดจากภายนอกได้

2. การผ่าตัดแบบเปิดหรือเปิดปลาย การผ่าจมูกแบบเปิด ( Open rhinoplasty หรือ Open approach หรือ Open tip rhinoplasty  )
คือ การผ่าตัดที่มีการเปิดแผลจากด้านในของจมูกและมีการเปิดแผลด้านนอกร่วมด้วย ซึ่งการเปิดแผลด้านนอกจะทำการเปิดผ่านแกนที่อยู่ระหว่างรูจมูก ( Transcolumella incision ) การเปิดแผลนี้เพื่อที่จะทำการเชื่อมไปยังแผลที่อยู่ด้านรูจมูกที่อยู่อีกข้างหนึ่ง ซึ่งศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะสามารถทำการถลกหนังที่จมูกเพื่อที่จะได้เห็นโครงสร้างกระดูกภายในของจมูกได้ทั้งหมด ทำให้การผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนลักษณะและรูปร่างจมูกทำได้ง่ายขึ้น การผ่าตัดแบบนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสูงเพราะมีความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นได้ง่าย จึงต้องใช้ความชำนาญในการเย็บแผลที่สูงมากนั่นเอง

การแบ่งวิธีปรับโครงสร้างของจมูก

ลักษณะของการผ่าตัดไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าแพทย์จะทำการศัลยกรรมจมูก รูปแบบใดบ้าง เพราะการผ่าตัดทั้งสองแบบ สามารถทำการเสริมจมูกได้ทั้งสองรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญและความต้องการของแพทย์ที่ทำการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดเสริมจมูกนอกจากจะแบ่งตามลักษณะของบริเวณที่ทำการเปิดแผลแล้วยังสามารถแบ่งตามวิธีปรับโครงสร้างของจมูกดังนี้  [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1. การเสริมจมูกด้วยการนำวัสดุมาวางไว้บริเวณด้านบนของจมูก ( On-top augmentation )
คือ การเสริมจมูก ให้สูงขึ้นหนาขึ้น วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีตั้งแต่วัสดุสังเคราะห์ เช่น ซิลิโคน หนังเทียม ( Acellular der matrix ) หรือวัสดุธรรมชาติที่นำมาจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น กระดูกอ่อนหลังหู กระดูกอ่อนซี่โครง กระดูกอ่อนโพรงจมูก กระดูกแข็ง เนื้อที่ทำหน้าที่หุ้มกล้ามเนื้อ (Fascia) ไขมัน ผิวหนังที่มีไขมันติดอยู่ (Dermal fat graft) เป็นต้น โดยการนำวัสดุดังกล่าวมาวางเสริมบนกระดูกจมูกที่มีอยู่แล้วให้สูงขึ้น คล้ายกับการเสริมหลังคาบ้านให้มีความหนาและสูงขึ้น

2. การเสริมจมูกโดยการปรับโครงสร้างภายในจมูก ( Structure integrated augmentation )
คือ การปรับลักษณะโครงสร้างที่อยู่ภายในของจมูกใหม่เพื่อให้ได้รูปร่างของจมูกตามต้องการ เนื่องจากโครงสร้างภายในของจมูกต่างส่งผลต่อลักษณะที่แสดงออกมาภายนอกเมื่อทำการปรับโครงสร้างภายในแล้วย่อมส่งผลต่อลักษณะภายนอกด้วย เช่น การปรับปลายจมูกให้มีลักษณะที่พุ่งสูงขึ้นด้วยการยืดกระดูกที่บริเวณปลายกระดูก จะส่งผลให้จมูกมีลักษณะที่เล็กลง ปีกจมูกและรูจมูกแคบลงด้วย การเสริมจมูก ด้วยวิธีนี้ก็เปรียบเสมือนกับการยืดเสาบ้านให้สูงเพิ่มขึ้นเพื่อให้ตัวบ้านแลดูโปร่งสูงและโดดเด่นมากขึ้น จมูกที่ได้จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในจะกลมกลืนกับใบหน้าแลดูเป็นธรรมชาติ

การผ่าตัด เสริมจมูก ทั้งแบบ On-top augmentation และแบบ Structure integrated augmentation สามารถทำการผ่าตัดทั้งแบบเปิดและแบบปิด ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและความชำนาญของแพทย์เป็นหลัก ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัดแบบปิดสำหรับการเสริมแบบ On-top เพราะง่าย มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ส่วนการปรับลักษณะโครงสร้างภายในของจมูกจากภายใน แพทย์จะทำการผ่าตัดแบบเปิด เพราะว่าการผ่าตัดแบบเปิดจะเห็นลักษณะโครงสร้างภายในได้ทั้งหมดและสะดวกต่อการตัดต่อ ตัดแต่งกระดูกได้ง่ายอีกด้วย ซึ่งการผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างจมูกไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดเสมอไป เพราะถ้าต้องการผ่าตัดปรับโครงสร้างจมูกที่ไม่ซับซ้อนก็สามารถผ่าตัดแบบปิดได้ ซึ่งเรียกการผ่าตัดแบบนี้ว่า การปรับโครงสร้างแบบแอนโด ( Endorhinoplasty หรือ Endonasal rhinoplasty ) [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

3. การเสริมจมูกที่บริเวณส่วนปลาย
วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งเสริมจมูกส่วนปลายโดยมากจะใช้กระดูกอ่อน ( Cartillage ) ที่มาจากอวัยวะอื่นของร่างกายผู้ที่ต้องการเสริมจมูกเอง เพื่อลดความเสี่ยงในการต่อต้านสิ่งแปลมของร่างกาย และกระดูกอ่อนที่นำมาใช้เมื่อผ่านไประยะเวลหนึ่งร่างกายจะทำการประสานเข้ากับกระดูกอ่อนของจมูกที่มีอยู่เดิมแล้วได้ง่าย ส่งผลให้ลักษณะของจมูกที่เสริมไว้จะคงอยู่ได้ยาวนานกว่าการเสริมด้วยวัสดุสังเคราะห์

4. การเสริมจมูกที่บริเวณสันจมูกจนถึงบริเวณระหว่างตา
การเสริมจมูกที่บริเวณนี้จะใช้วัสดุสังเคราะห์ชนิดต่าง ๆ เช่น ซิลิโคน Gore-tex เป็นต้น การเสริมจมูกที่บริเวณสันจมูกจนถึงบริเวณดั้งจมูกสามารถทำได้ในทุกเพศทุกวัย และมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยเฉพาะการทะลุมีโอกาสที่พบได้น้อยมาก ต่างจากการเสริมดั้งจมูกที่บริเวณส่วนปลายที่มีโอกาสทะลุขึ้นออกมาได้มากกว่า

การศัลยกรรมจมูกทำให้มีดั้งที่สูงและโด่ง ส่งผลให้ใบหน้าดูมีมิติและคมเข้ม

ข้อควรคิดก่อนการเลือกผ่าตัดเพื่อทำการเสริมจมูก

1. การผ่าตัดเสริมจมูกจากบริเวณด้านบนจะสามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าการปรับโครงสร้างภายในของจมูก

2. การผ่าตัดเสริมจมูกจากบริเวณด้านบนจะเกิดผลดีกับผู้ที่มีโครงสร้างกระดูกอ่อนที่ส่วนของปลายจมูกมีความแข็งแรง บริเวณปลายจมูกมีรูปร่างที่สวยงาม ไม่สั้นหรือแหงนมาก

3. การผ่าตัดเสริมจมูกจากบริเวณด้านบนเหมาะกับคนที่ต้องการเสริมส่วนของสันจนถึงบริเวณระหว่างตา

4. คนที่มีปลายจมูกอ่อนเมื่อกดลงไปแล้วปลายจมูกนิ่มไม่ควรทำการเสริมปลายจมูกด้วยวัสดุสังเคราะห์เพราะจะทำให้จมูกเกิดการผิดรูปร่างได้    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

5. จมูกที่มีสันเชิดขึ้น ปลายจมูกยาวงุ้มหรือปลายจมูกแบน สันจมูกมีขนาดใหญ่ มีโหน่งสูง หรือมีการผ่าตัดแล้วเกิดอาการแทรกซ้อนมาก่อน ไม่ควรทำการผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างภายใน

6. ควรเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญในการผ่าตัดปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้านใน

7. ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเปลี่ยนโครงสร้างภายในมีราคาสูงกว่าการผ่าตัดเสริมด้านบน

8. การผ่าตัดสามารถแก้ไขได้แต่มีความยากมากกว่าจะสามารถแก้ไขให้ได้ตามต้องการ ดังนั้นควรศึกษาให้ดีและทำเพียงครั้งเดียว

9. ควรเลือกลักษณะจมูกให้เหมาะสมกับรูปหน้ามากกว่าการเลือกตามแฟชั่น และทำความเข้าใจกับแพทย์ก่อนทำการผ่าตัดให้ดีเพื่อให้จมูกที่มีรูปทรงตามที่ต้องการ

วัสดุที่นำมาใช้เสริมจมูก

การ ศัลยกรรมจมูก ส่วนมากจะเลือกใช้วิธีการเสริมจมูกจากด้านบนมากกว่าการปรับโครงสร้างของจมูกจากทางด้านใน เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ความเสี่ยงน้อย ค่าใช้จ่ายน้อย ระยะเวลาในการพักฟื้นไม่มาก
สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญในการเสริมจมูกก็คือวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก ซึ่งเราสามารถแบ่งวัสดุที่นำมาเสริมจมูกได้ดังนี้

1. เนื้อเยื่อทางชีวภาพ (Biologic Material)
คือ เนื้อเยื่อที่นำมาจากอวัยวะของคนไข้เอง ( Autologus graft ) ซึ่งการเลือกใช้เนื้อเยื่อเป็นวิธีที่ให้การยอมรับกันมาเนื่องจากร่างกายจะไม่มีปฏิกิริยาในการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม และมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้น้อยมาก และเมื่อระยะเวลาผ่านไปเนื้อเยื่อที่นำเสริมเข้าไปร่างกายก็จะทำการสมานจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งเนื้อเยื่นที่นิยมนำมาใช้กันมากคือ กระดูกอ่อน ซึ่งกระดูกอ่อนที่นำมาใช้มีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วนคือ

1.1 กระดูกอ่อนที่อยู่ภายในจมูกและกระดูกอ่อนจากบริเวณผนังกั้นของจมูก ( Septum cartilage ) และกระดูกอ่อนที่มาจากบริเวณส่วนปลายของจมูก ( Alar cartilage ) ในคนที่มีจมูกขนาดใหญ่สามารถนำกระดูกอ่อนที่มีอยู่ใยจมูกส่วนอื่นมาทำการเสริมจมูกด้านบนได้    [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

1.2 กระดูกอ่อนที่มาจากบริเวณใบหู ( Conchal cartilage หรือ Ear cartilage )
เนื่องจากใบหูประกอบไปด้วยกระดูกอ่อนที่มีขนาดใหญ่ และกระดูกอ่อนที่นำมาจากใบหูนับเป็นกระดูกอ่อนที่มีคุณสมบัติที่ดี จึงนิยมนำมาเสริมจมูกโดยเฉพาะการเสริมจมูกส่วนปลายเพื่อป้องกันการทะลุที่บริเวณปลายจมูกได้เป็นอย่างดี บางครั้งยังนำกระดูกอ่อนจากใบหูมาสับให้ละเอียดสำหรับนำไปฉีดเป็นฟิลเลอร์ที่มาจากธรรมชาติได้เช่นกัน
การผ่าตัดนำกระดูกอ่อนจากใบหูจะทำได้ด้วยการฉีดยาชาเข้าไปที่บริเวณใบหูที่ต้องการตัดกระดูกอ่อน และทำการตัดกระดูกอ่อนออกมา ซึ่งการผ่าตัดนี้จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ต่อการผ่าตัดหู 1 ข้าง ซึ่งปริมาณกระดูกอ่อนที่ใช้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะของกระดูก การนำกระดูกอ่อนมาจากใบหูเป็นวิธีที่ดีแต่ก็มีข้อจำกัดเนื่องจากกระดูกอ่อนจากใบหูมีในจำนวนที่จำกัดอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานในการเสริมจมูกได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีจมูกแบน เล็กมาก

1.3 กระดูกอ่อนที่มาจากส่วนของซี่โครง ( Costal cartilage หรือ Rib cartilage )
ซี่โครงของเราจะประกอบด้วยกระดูกส่วนที่แข็งและกระดูกอ่อน ซึ่งกระดูกอ่อนจะอยู่ในบริเวณด้านในที่กลางหน้าอกที่ต่อมาจากหัวนม กระดูกที่บริเวณนี้จะมีหน้าที่ในการเชื่อมระหว่างกระดูกหน้าอกและกระดูกซี่โครงเข้าด้วยกัน
การผ่าตัดจะนำกระดูกอ่อนสามารถทำการผ่าตัดเพื่อนำกระดูกอ่อนทั้งแท่งหรือเพียงบางส่วนมาทำการเสริมจมูกได้ ซึ่งปริมาณกระดูกอ่อนที่ได้จากกระดูกส่วนซี่โครงนี้มีปริมาณที่สูงมากเพียงพอต่อการเสริมจมูกทั้งหมดและยังเป็นกระดูกอ่อนที่มีความแข็งแรงอีกด้วย แต่ก็มีข้อเสียอยู่ว่ากระดูกอ่อนที่นำมาเสริมจมูกมีโอกาสที่จะวาร์ป ( Warping ) ได้หลังจากที่ทำการ เสริมจมูก และการสับเพื่อนำมาใช้แทนฟิลเลอร์จะต้องทำการสับอย่างละเอียดจริง ๆ เพราะถ้าไม่ละเอียดแล้วจะส่งผลให้ผิวหนังมีลักษณะขรุขระได้

การผ่าตัดนำกระดูกอ่อนที่บริเวณซี่โครงมาใช้ต้องอาศัยความระมัดระวังสูงเพราะมีความเสี่ยงในการเกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อที่หุ้มปอดได้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้และการผ่าตัดเอากระดูกอ่อนส่วนนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูง ต้องพักรักษาตัวนานเพราะจัดเป็นการผ่าตัดใหญ่จึงไม่นิยมนำกระดูกอ่อนส่วนนี้มาใช้ในการเสริมจมูกมากนัก
กระดูกอ่อนแต่ละส่วนที่นำมาใช้จะมีทั้งข้อดีและข้อด้อยต่างกันไปขึ้นอยู่กับส่วนของกระดูกอ่อนที่นำมาใช้ ซึ่งแพทย์จะทำการพิจารณาถึงความเหมาะสมแล้วจึงทำการเลือกกระดูกอ่อนมาใช้ [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2. ผิวหนังแท้ ( Dermal graft )
คือ การผ่าตัดนำหนังแท้ที่จากส่วนอื่น ๆ ของร่างกายนำมาใช้ในการ เสริมจมูก โดยการตัดหนังให้มีรูปร่างคล้ายกับลูกรักบี้ และทำการเย็บปิดแผลให้เป็นเส้นตรงในบริเวณที่ตัดหนังออกมา ซึ่งส่วนที่นิยมตัดหนังแท้มาคือส่วนที่อยู่กับกับกระดูกก้นกบ เนื่องจากที่ส่วนนี้หนังแท้จะมีความหนามากกว่าส่วนอื่น และรอยแผลที่เกิดขึ้นก็สังเกตเห็นได้ยาก เมื่อได้หนังแท้มาแล้วแพทย์จะทำการตัดหนังกำพร้าที่อยู่ด้านนอกออกไป เหลือไว้เพียงแต่หนังแท้เพื่อนำไปเสริมตามส่วนต่าง ๆ ของจมูกที่ได้วางแผนไว้
การใช้หนังแท้เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมปลายจมูกที่มีหนังของจมูกบานออก ทำให้จมูกมีความหนามากขึ้นหรือการนำหนังแท้ไปเสริมที่สันจมูกเพื่อให้สันจมูกดูสูงข้นประมาณ 2-3 มิลลิเมตร วิธีมีข้อเสียคือเมื่อผ่านไประยะหนึ่งหนังที่นำมาเสริมอาจจะฝ่อตัวลงทำให้จมูกมีขนาดเท่าเดิมก่อนทำการเสริมได้ในระยะเวลาอันสั้น

3. ผิวหนังแท้ติดไขมัน ( Dermal fat graft )
คือการนำหนังแท้ที่มีไขมันติดอยู่มาทำการเสริมจมูก ซึ่งวิธีการทำจะเหมือนกับการนำหนังแท้มาใช้ในการเสริมจมูกทั้งหมด เพียงแต่มีการนำไขมันติดมาด้วยเท่านั้นเอง ซึ่งหนังแท้ติดไขมันนี้สามารถฝ่อได้เช่นเดียวกับการนำหนังแท้มาเสริมเพียงอย่างเดียว

4. เยื่อที่หุ้มกระดูกและเยื่อที่หุ้มกล้ามเนื้อ ( Periosteum and Fascia )
การนำเยื่อที่หุ้มกระดูกและเยื่อที่หุ้มกล้ามเนื้อมีอยู่ด้วยการ 2 แบบ คือ

4.1 การนำมาใช้คลุมซิลิโคนเพื่อป้องกันไม่ให้มีการทะลุของซิลิโคนออกมา ซึ่งได้ผลไม่ดีนักยังมีการทะลุของซิลิโคนออกมาได้

4.2 การนำมาห่อกระดูกอ่อนที่สับละเอียดเพื่อป้องกันการไหลของกระดูกอ่อนไปยังส่วนที่ไม่ต้องการได้ เหมาะกับคนไข้ที่มีจมูกเล็ก

การศัลยกรรมเสริมจมูกส่วนมากจะเลือกใช้วิธีการเสริมจมูกจากด้านบนมากกว่าการปรับโครงสร้างของจมูกจากทางด้านใน

เนื้อเยื่อจากบุคคลอื่นที่สามารถนำมาใช้ในการเสริมจมูก

1. กระดูกอ่อนจากศพผู้บริจาค ( Human cadaveric cartilage )
กระดูกอ่อนเป็นชิ้นส่วนของอวัยวะที่มีการกระจายตัวของผิวติดอยู่น้อยมาก ดังนั้นการนำกระดูกอ่อนมาจากบุคคลเพื่อนำมาใช้ในการเสริมจมูกจึงมีความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาการต่อต้านของร่างกายน้อยมาก แต่ทว่าการนำกระดูกอ่อนจาบุคคลอื่นมาทำการเสริมจมูกพบว่าหลังจากเสริมไปแล้วประมาณ 4 ปีขึ้นไปกระดูกอ่อนดังกล่าวจะเกิดการสลายตัวไปเองตามธรรมชาติไม่เหมือนกับกระดูกอ่อนที่มาจากภายในตัวของคนไข้เอง [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

2. ผิวหนังแท้จากศพผู้บริจาค ( Human cadaveric Dermal )
ผิวหนังแท้ที่นำมาจากศพผู้บริจาคอื่นจะต้องนำไปผ่านกระบวนการเพื่อกำจัดเซลล์ที่มีอยู่ในผิวหนังทั้งหมดออกไปให้หมดเสียก่อน จนผิวหนังแท้เหลือแต่โครงสร้างที่ไม่มีเซลล์เนื้อเยื่อหลงเหลืออยู่ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่าวิธีนี้ว่า ADM หรือ Acellular dermal matrix หรือที่รู้จักในนาม “หนังเทียม”

3. เนื้อเยื่อจากสัตว์
โดยปกติแล้วการนำเนื้อเยื่อจากสัตว์เข้ามาใส่ในร่างกายมนุษย์ทำไม่ได้ แต่จะทำได้เมื่อนำเนื้อเยื่อมาผ่านกระบวนการ ADM ให้กลายเป็นหนังเทียมเสียก่อน จึงจะสามารถนำมาใช้ในการ เสริมจมูก ได้
ซึ่งทั้งหนังเทียมที่มาจากสัตว์และมนุษย์ล้วนแต่มีความอ่อนนุ่มจึงไม่เหมาะกับการนำมาเสริมจมูกให้มีความสูงมากขึ้นได้แต่ในรายผู้ป่วยที่มีการเสริมจมูกด้วยวัสดุสังเคราะห์มานานจนปลายจมูกบาง ควรที่จะทำการเสริมจมูกด้วยหนังเทียมจึงจะดีที่สุด

4. วัสดุสังเคราะห์ ( Alloplasty mcterial )
คือ วัสดุที่ทำการสังเคราะห์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับการพิสูจน์และได้มาตรฐานว่าสามารถนำมาใช้ในการเสริมจมูกได้ วัสดุสังเคราะห์นั้น หาง่าย ราคาไม่สูงมาก ประหยัดเวลาในการผ่าตัดเสริมจมูก เพราะทำการผ่าตัดที่บริเวณจมูกเพียงที่เดียวไม่จำเป็นต้องไปผ่าตัดเอากระดูกอ่อนหรือหนังแท้มาจากส่วนอื่นของร่างกาย แต่ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน เนื่องจากวัสดุที่ผ่านการสังเคราะห์มาถ้ามีเชื้อโรคติดมาด้วยแล้ว โอกาสที่จะมีการติดเชื้อก็จะสูงมาก และเมื่อไปในร่างกายแล้วร่างกายจะสร้างพังผืดออกมาคลุมรัดวัสดุดังกล่าวไว้ เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งลักษณะจมูกที่เสริมไว้จะมีขนาดที่เล็กลง หรืออาจมีการทะลุออกมาของวัสดุสังเคราะห์ได้ถ้าส่วนที่ทำการเสริมมีผิวหนังที่บาง ซึ่งวัสดุสังเคราะห์ที่นิยมนำมา เสริมจมูก คือ

4.1 ซิลิโคน ( Silicone )
เป็นวัสดุทีนิยมนำมาใช้ในการเสริมจมูกมากที่สุด เนื่องจากมีราคาไม่สูงมาก หาง่าย สามารถปรับรูปร่างได้ตามต้องการด้วยการเหล่าและยังมีระดับความแข็งให้เลือกอีกด้วย และเมื่อทำการใส่ไปในจมูกแล้วจะไม่ประสานเป็นเนื้อเดียวกับเน้อเยื่อของร่างกาย จึงสามารถถอดออกมาแก้ไขรูปร่างได้อีก      [adinserter name=”ศัลกรรมความงาม”]

4.2 PTFE ( Polytetrafluoroethylene )
เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่มีการใช้ในการศัลยกรรมหลอดเลือดมาก่อน ในการทำหลอดเลือดเทียมเพื่อผ่าตัดทำบายพาสหลอดเลือดหรือการนำหลอดเลือดเทียมเพื่อใช้ในการฟอกไต มีชื่อเรียกว่า กอร์เท็กซ์ ( Gore-Tex ) มีรูพรุนขนาดเล็ก ดังนั้นเมื่อทำการเสริมแล้วร่างกายจะทำการสร้างเนื้อเยื่อแทรกเข้าไปในรูพรุนดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถถอดออกมาเพื่อปรับเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งได้เหมือนกับซิลิโคน มีความแข็งเท่ากับความแข็งปานกลางของซิลิโคน มีราคาสูงกว่าซิลิโคนแต่มีปฏิกิริยาต่อต้านกับร่างกายน้อยมาก

4.3 เม็ดพอร์ ( Medpor หรือ Hight density porous polyethylene material )
เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง นำมาใช้ในการเสริมกระดูกโครงสร้างของใบหน้าในผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุ ตัววัสดุมีรูพรุนจำนวนมาก เมื่อนำมาเสริมจมูกร่างกายจะทำการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดแทรกตัวเข้าไปในรูพรุนดังกล่าวทำให้วัสดุติดแน่นกับตำแหน่งที่ต้องการได้เป็นอย่างดี แต่ถ้ารูปร่างของจมูกไม่ต้องตามต้องการแล้วการแก้ไขจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากวัสดุมีการยึดด้วยพังผืดเป็นจำนวนมาก ร่างกายไม่มีปฏิกิริยาการต่อต้านกับเม็ดพอร์ จึงลดความเสี่ยงในการต่อต้านได้เป็นอย่างดี

การเลือกใช้วัสดุเพื่อนำมาทำการเสริมจมูก ขึ้นอยู่กับความชำนาญและความถนัดของแพทย์เป็นส่วนมาก ซึ่งซิลิโคนนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะสามารถปรับรูปร่างได้ด้วยการเหล่า เพราะรูปทรงจมูกของแต่ละคนนั้นต่างกันลักษณะของวัสดุที่นำมาเสริมก็จะมีรูปร่างที่ต่างกันตามไปด้วย การใช้ซิลิโคนที่สามารถเหล่าจึงเป็นการกำหนดรูปร่างได้ดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเสริมด้วยซิลิโคนที่ไม่มีการยึดติดหรือมีการสร้างพังผืดขึ้นมายึดติดก็จะทำให้มีโอกาสที่ซิลิโคนดังกล่าวจะทะลุออกมาที่บริเวณปลายจมูกเนื่องจากการเสียดสีของซิลิโคนกับผิวหนังจะทำให้ผิวหนังที่ปลายจมูกค่อย ๆ บางลงบางลงจนไม่ทำให้ซิลิโคนทะลุออกมาได้ภายใน 4-5 ปีเท่านั้น แต่ถ้าใช้ PTFE หรือเม็ดพอร์การทะลุจะลดน้อยลงและจะเกิดขึ้นเมื่อผ่านไปประมาณ 30-40 ปี เมื่อทราบถึงวัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูกกันแล้ว สิ่งต่อมาที่ควรคำนึงถึงก็คือรูปร่างของจมูกที่สวยงามว่าควรมีลักษณะอย่างไร

[adinserter name=”sesame”]

รูปทรงจมูกที่สวยงามนั้นไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องมีจมูกที่เป็นทรงเดียวกันทั้งหมดถึงจะสวยได้ เพราะคนเรามีรูปทรงใบหน้าที่ต่างกัน ดังนั้นรูปทรงของจมูกที่เหมาะสมกับใบหน้าก็จะต่างกันตามไปด้วย ทำให้ผู้ป่วยจะต้องทำความเข้ใจกับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดเสียก่อนว่าต้องการจมูกที่มีรูปทรงอย่างไร เพราะการสื่อสารว่าต้องการจมูกรูปทรงอย่างไรจะช่วยให้ผู้ป่วยได้ทรงจมูกที่ตรงใจ แต่การสื่อสารในบางครั้งก็เกิดความผิดพลาดทำให้รูปทรงของจมูกหลังจากการผ่าตัดไม่ได้อย่างที่ต้องการ ซึ่งปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถสร้างแบบจำลองรูปทรงจมูกที่จะเกิดขึ้นให้เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารและตอบสนองความต้องการของคนไข้ได้เป็นอย่างดี และลดความผิดพลาดของลักษณะจมูกที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย
การศัลยกรรมที่ดีต้องมีองค์ประกอบทั้งวัสดุที่ใช้ในการ เสริมจมูก สถานบริการที่มีความสะอาดและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัด องค์ประกอบเหล่านี้จะสามารถช่วยให้จมูกที่ทำการศัลยกรรมออกมาสวยงาม รับกับใบหน้า ดังกับเนรมิตทรงจมูกด้วยเวทมนต์

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

สมาคมแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย. สวยให้สุด หยุดที่ศัลยแพทย์ตกแต่ง : กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอล พริ้น จำกัด,2561.