ปากกระจับ | ปากบาง | ปากปีกนก

0
รีวิวปากกระจับ | ปากบาง | ปากปีกนก
ปากกระจับ หรือ ปากปีกนก เป็นรูปปากที่ดูสวยงามนั้นจะทำให้รูปปากมีความอ่อนหวานชวนมีสเน่ห์
รีวิวปากกระจับ | ปากบาง | ปากปีกนก
ปากกระจับ หรือ ปากปีกนก เป็นรูปปากที่ดูสวยงามนั้นจะทำให้รูปปากมีความอ่อนหวานชวนมีสเน่ห์

ปากกระจับ

เรามั่นใจว่าหลายคนคงอาจจะรู้สึกว่า การมีริมฝีปากหนานั้น จะต้องสร้างปัญหาให้ชีวิตอย่างแน่นอน ถึงขนาดที่ว่า บางคนไม่กล้าออกที่จะพรีเซนต์งานหน้าที่ประชุม ไม่กล้าถ่ายรูป หรือไม่กล้าพูดจากับคนที่ไม่สนิทสนม ซึ่งปัญหาเหล่านี้นั้น ได้ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจ แต่ในปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก ซึ่งการจะแก้ไขปากให้บางลงหรืออยากจะให้เป็น ปากทรงกระจับ ที่ได้รูปสวย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป โดยทางแพทย์จะพยายามซ่อนแผลเป็นเพื่อให้อยู่ในเนื้อเยื่ออ่อน ทำให้มองไม่เห็นแผลเป็นเวลาเรายิ้ม 

ซึ่งการตกแต่งริมฝีปากเพื่อให้ได้รูปนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับเนื้อปากเดิมด้วย ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งแพทย์จะทำการประเมินดูรูปปากของคนไข้ก่อน โดยอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ ที่อยู่บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นตา จมูก คิ้ว โหนกแก้ม หน้าผาก คาง รวมถึงโครงสร้างของฟันด้วย นั่นก็เพื่อให้ริมฝีปากบนและล่างได้สัดส่วนที่พอเหมาะ รับกับใบหน้าของคนไข้ เพื่อความเป็นธรรมชาติที่สุด

ซึ่งรูปปากที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้คือการมี ปากกระจับ หรือ ปากปีกนก เพราะการมีรูปปากที่ดูสวยงามนั้นจะทำให้รูปปากมีความอ่อนหวานชวนมีสเน่ห์ ซึ่งในรูปทรงปากบางและปากกระจับนั้น ทำให้การศัลยกรรมปากบางหรือ ปากกระจับ นั้น ต้องกระทำการโดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางที่เป็นการตกแต่งริมฝีปากเท่านั้น

นั่นก็เพื่อให้ดูเป็นความกระจับที่เพิ่มขึ้นเพื่อความสวยงามที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งการทำ ศัลยกรรมปากบาง หรือ ปากกระจับ นั้น จะสามารถช่วยในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยในการสร้างความมั่นใจให้กับคนที่กำลังประสบปัญหาที่เผชิญอยู่ ซึ่งจะมีคนไข้บางรายเพียงเท่านั้นที่จะมีริมฝีปากหรือรูปปากที่ไม่ได้สัดส่วน ดังนั้น คนไข้จึงควรและจำเป็นที่จะต้องพบศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางด้วยตัวของท่านเองก่อน เพื่อให้แพทย์ผู้ทำดูว่าเหมาะแก่การตกแต่งริมฝีปากหรือไม่

เราบอกแล้วว่าการทำ ศัลยกรรมปากบางที่เป็นที่นิยมนั้น มักจะนิยมทำในหลุ่มคนไข้ที่มีริมฝีปากหนาซึ่งไม่รับกับใบหน้า และการทำศัลยกรรมปากกระจับนั้น ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบนค่อนข้างหน้า และมีรูปทรงไม่สวยงาม ซึ่งการทำปากกระจับนั้นก็จะทำให้คุณดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้แล้วยังสามารถช่วยในการแก้ไขลักษณะริมฝีปากที่มี ความผิดรูป ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีเนื้องอก มีการติดเชื้อ และมีการอักเสบทำให้ริมฝีปากนั้นบวมหนา จนกลายเป็นแผลเป็น

การเตรียมตัวก่อนทำปากกระจับ

ซึ่งการเตรียมตัวก่อน ศัลยกรรมปากกระจับ นั้น สิ่งแรกที่คุณลูกค้าจะต้องทำ คือการแจ้งประวัติการแพ้ยา ยาและอาหารเสริมที่กำลังรับประทาน รวมถึงโรคประจำตัว ประวัติการผ่าตัดให้กับแพทย์ได้ทราบ และจะต้องนำยาที่รับประทานประจำมาให้แพทย์ประเมินด้วย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการงดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด วิตามินกลุ่ม เอ อี และซี สมุนไพร  น้ำมันปลา เมล็ดองุ่น ใบแปะก๊วย โสม ในช่วง 2 สัปดาห์ ก่อนรับบริการ 

สำหรับการดูแลช่องปาดก่อนการผ่าตัดก็จะรวมไปถึง การแปรงฟันให้สะอาดก่อนการผ่าตัด ต้องทำการเตรียมปากให้ชุ่มชื้นเช่นการบำรุงริมฝีปาก ก่อนการผ่าตัด 2 สัปดาห์ นั่นก็เพื่อให้แผลที่มีนั้นหายดีอย่างรวดเร็วหลังการผ่าตัด และที่สำคัญที่สุดคือ งดสูบบุหรี่ก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์

นั่นก็เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและระยะการบวมที่อาจจะนานกว่าปกติ งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ตอนช่วงระหว่างผ่าตัด ไม่ควรใช้เครื่องสำอางใดๆ เพราะมันจะทำให้ยากแก่การเช็ดออกก่อนผ่าตัดและการไม่แต่งหน้ายังช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วย ที่สำคัญคือไม่ควรใส่คอนเทคเลนส์ขณะเข้ารับการผ่าตัด รวมไปถึงการใส่ของมีค่าที่เป็นโลหะเช่น แหวน กำไล ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ นาฬิกา ก็ไม่ควรสวมใส่ขณะเข้ารับการผ่าตัด ที่สำคัญสุดๆคือ ห้ามขับรถกลับที่พักตามลำพัง

นอกจากนี้ สิ่งที่คุณจะต้องปฏิบัติตามยังมีอีก ไม่ว่าจะเป็น การเตรียมเสื้อเชิ้ตหลวมๆ ที่มีกระดุมหน้า นั่นก็เพื่อง่ายต่อการถอดและสวมใส่ รวมไปถึงควรใส่รองเท้าส้นเตี้ย และคุณไม่ต้องอดอาหาร แต่ควรรับประทานอาหารไม่ให้อิ่มเกินไป หากพบว่าตัวเองเป็นหวัด ไอ หรือป่วย คุณจะต้องงดการผ่าตัดในช่วงเวลาดังกล่าว และที่สำคัญที่สุดนั้นคือ ควรทำใจให้สบาย และอย่าวิตกกังวลให้มากเกินไป

ขั้นตอนการผ่าตัดศัลยกรรมปากกระจับ

รีวิวทำปากกระจับ ซึ่งเป็นข้อมูลจากลูกค้าท่านนึงเปิดเผยว่า การทำปากกระจับนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก

  • ฉีดยาชาด้านในริมฝีปาก
  • เริ่มวาดปากตามแบบที่ต้องการ
  • แพทย์ทำการตัดบริเวณปากด้านใน หรือจุดที่ทำการวางตำแหน่งไว้
  • แพทย์ทำการเย็บปิดบาดแผล
  • ระยะเวลาการผ่าตัดที่ใช้นั้นอยู่ที่ 30-45 นาทีโดยประมาณ 

ทำปากกระจับเจ็บไหม ?

เจ็บเฉพาะตอนฉีดยาชาตั้งแต่ตอนแรก หลังจากนั้นไม่เจ็บเลย

ทำปากกระจับใช้เวลาเท่าไร
ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที

ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นทันทีหลังการผ่าตัดนั้น คือ หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ อาจมีอาการบวมหรือปวดอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาระงับปวด อาจกินติดต่อกันใน 1-3 วันแรก รวมทั้งใช้การประคบเย็นด้วย เพื่อลดอาการบวม

หลังจากการทำปากกระจับ

สิ่งที่คุณควรปฏิบัติตัวหลังศัลยกรรมปาก ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด ปาก ด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด 3 วันแรก  งดการแปรงฟัน และจะต้องทำความสะอาดด้วยยาของทางคลินิกทาบริเวณแผล และ 3 วันแรก ประคบเย็นบริเวณรอบปาก และควรทานอาหารเหลวหรืออาหารอ่อน ที่มีรสจืด ควรดื่มน้ำมากๆ โดยใช้หลอด และที่สำคัญจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ทุกอย่าง นั่นก็เพื่อให้คุณปลอดภัยและมีรูปปากที่สวยอย่างมาก

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Heidingsfeld, M. L. (1906). “Histopathology of paraffin prosthesis”. J Cutan Dis. 24: 513–521.

Duffy, D. (1998). “Injectable liquid silicone: New perspectives”. In Klein, A. W. Tissue Augmentation in Clinical Practice: Procedures and Techniques. New York: Marcel Dekker

3 วิธีปลูกผม Follicular Unit Extraction ( FUE ) ถาวร แบบธรรมชาติ

0
3วิธีปลูกผม FUE ถาวร แบบธรรมชาติ
ผมร่วงที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ที่เกิดจากโรคบางชนิด เช่น ไทรอยด์ การผ่าตัดรังไข่ หรือช่วงตั้งครรภ์
3วิธีปลูกผม FUE ถาวร แบบธรรมชาติ
ผมร่วงแบบแอนโดรจีนิค เกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนดีเอชที ทำให้กระเปราะของรากผมนั้นมีขนาดเล็กลง

การปลูกผม 

การปลูกผม ( Hair Transplantation ) เป็นหนึ่งในการศัลยกรรมผิวหนังเพื่อแก้ไขปัญหาศีรษะล้าน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้ผมของตัวผู้เข้ารับการปลูกผมมาใช้ในการปลูกผม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มี ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน เรามีอีกหนึ่งทางเลือกให้คุณ นั่นคือการ ปลูกผม แต่ที่หลายคนสงสัย ก่อนที่เราคิดว่าจะปลูกผมที่ไหนดี เราไปดูก่อนดีกว่าว่าสาเหตุใดบ้างที่จะทำให้ผมร่วง ผมบาง หรือ ศีรษะล้านก่อนวัยอันควร  

สาเหตุที่ทำให้ ผมร่วง ผมบาง

1.สารเคมี สารเคมีอยู่กับเราในทุกครั้งที่เราเข้าร้านทำผมหรือแม้แต่อยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น การดัด ย้อม ฟอก ทำสี ซึ่งถ้าคุณทำบ่อยๆ หรือใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน นั่นก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดการสะสมของสารเคมี ดังนั้นเมือ่ไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่า ผมเริ่มบางลง หรือมีอาการร่วงเป็นหย่อมๆ ให้ทำการหยุดใช้ไปปรึกษาแพทย์ในทันที นอกจากนี้ การ การทานยาบางชนิด หรือผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาด้วยการให้คีโม ก็สามารถทำให้ผมร่วมด้วยเช่นกัน

2.ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เห็นที่เห็นได้บ่อย เช่นกลุ่มคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น ไทรอยด์ การผ่าตัดรังไข่ ที่อาจจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับฮอร์โมน นั่นจึงอาจเป้นตุที่ทำให้ผมร่วง รวมถึงระยะช่วงตั้งครรภ์ และหลังคลอด เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนสูง ก็อาจจะทำให้เกิดอาหารผมร่วง แต่ผมในกรณีนี้ ฮอร์โมนจะกลับสู่ภาวะปกติได้ ใน 3-6 เดือน หากฮอร์โมนเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง

3.พันธุกรรม เรามั่นใจว่าหลานคนคงทราบว่า พันธุกรรมก็เป็นส่วนสำคัญทีเดียว โดยเฉพาะในเพศชาย แต่ถึงอย่างนั้นผู้หญิงก็เป็นเช่นกัน โดยผมร่วงแบบแอนโดรจีนิค ( androgenic alopecia ) นั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน แต่สามารถพบทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมน ดีเอชที ( DHT – dihydrotestosterone ) ทำให้กระเปราะของรากผมนั้นมีขนาดเล็กลง และจะทำให้ผมที่ขึ้นใหม่นั้นมีเส้นเล็กและบางลง ซึ่งก็จะทำให้ผมไม่แข็งแรง ไม่หนา และบางลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีการขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย

นอกจากสาเหตุทั้ง 3 ที่ว่ามาแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วยทางร่างกาย และจิตใจ การขาดสารอาหารหรือได้รับอาหารที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งวิธีที่พอจะช่วยลดอาการผมบาง และลดความเสี่ยงที่จะหัวล้านในอนาคตนั้น การพบแพทย์จึงเป็นหนทางที่ดีอีกหนึ่งทางที่จะช่วยไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ

หากถามหาการแก้ไขปัญหาหัวล้านด้วย วิธีการปลูกผม นั้น เราคิดว่าในบางรายที่เกิดการผมบางเพราะเคมีบางชนิด หรืออาจจะเป็นความผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งเส้นผมที่ร่วงไปนั้นก็จะสามารถกลับขึ้นมาใหม่ได้ หลังจากหยุดการรับเคมี หรืออยู่ในสภาวะฮอร์โมนสมดุล แต่ในรายที่หัวล้านจากกรรมพันธุ์ การปลูกผมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

หากถามว่าปลูกผมที่ไหนดี สิ่งแรกที่ควรจะพิจารณาคือวิธีการปลูกผมของแต่ละที่และแต่ละชนิดกันก่อน เราไปดูดีกว่าว่า ปลูกแบบไหนดีกว่ากัน

วิธีการปลูกผม 

ซึ่งวิธีการต่างๆจะแบ่งออกเป็น 4 แบบได้แก่

แบบที่ 1 เรียกว่าการตัดหนังศีรษะ หรือ FUT ย่อจาก Follicular Unit Transplantation หรือ Strip Technique

เทคนิคนี้ถือเป็นเทคนิคปลูกผมในยุคแรกๆ ประมาณ 10 ปี ถือเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กแพทย์จะทำการตัดหนังศีรษะที่อยู่บริเวณท้ายทอย จากนั้นจะเย็บแผลประกบกัน ในรายที่ปลูกจำนวนมาก จะใช้ลวดในการเย็บเพื่อช่วยประกบแผล จากนั้น ก็จะนำผมที่ได้มาทำการแบ่งเป็นกอ และก็จะนำกอผมนั้น ไปปลูกที่บริเวณที่ต้องการ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้มีแผลที่เห็นได้ชัด และเป็นแนวยาวตามรอยผ่าตัด ต้องใช้เวลาพักฟื้นที่ยาวสักหน่อย เพื่อต้องรอให้บาดแผลที่เย็บนั้นปิดสนิท และนอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ในปัจจุบันจึงไม่ค่อยนิยม

( จริงๆวิธีปลูกผม ทุกวิธี ก็ดีทั้งหมดแหละ ที่เหลือ ก็ต้องอยู่กับแพทย์ ว่ามีความเชี่ยวชาญพอหรือไม่ )

แบบที่ 2 การเจาะกอผม หรือเรียก FUE ย่อจาก Follicular Unit Extraction

ซึ่งถือว่าเป็นการการพัฒนาในรุ่นต่อมาในการปลูกผม โดยการใช้เครื่องมือที่มีปลายเหมือนหลอดขนาดเล็ก ทำการวางคร่อมกอผม และทำการเจาะกดทีละกอ จากนั้นก็ใช้คีมปลายแหลม คีบผมขึ้นมาพร้อมเซลล์รากผม แล้วก็นำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ ซึ่งจะบอกว่า ข้อดี คือ ไม่ต้องผ่าตัด ก็คงจะไม่ใช่ เพราะถ้าเป็น surgery ยังไงก็ถือว่าเป็นการผ่าตัดอยู่ดี  แต่การปลูกผมด้วยวิธีนี้ สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่างๆที่อาจจะเกิดจากการติดเชื้อ แต่เนื่องด้วยระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น

การปลูกผม จะค่อนข้างใช้เวลาที่นานมาก ขั้นตอนการดึงผมจากด้านหลังจะใช้เวลาประมาณ 2-3  ช.ม และใช้เวลาในการปลูกอีก ประมาณ 2 ช.ม

# ส่วนสีขาวๆ ที่เห็น มันอาจจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ความจริงคือ มันเป็นอาหารของเส้นผม เดียวสักพักมันก็จะแห้งไปเอง

เนื่องจากต้องเจาะด้วยมือทีละกอ ซึ่งจะทำให้คุณภาพเซลล์รากผมลดลง นอกจากนี้ การกดเจาะที่อาจจะไม่เชี่ยวชาญนัก อาจทำให้กอผมช้ำ และไม่ได้คุณภาพ และเนื่องด้วยราคาของอุปกรณ์ที่ค่อนของสูง ทำให้โรงพยาบาลในหลายๆที่ ไม่นิยมที่จะใช้วิธีนี้ เพราะเป็นการลงทุนกับอุปกรณ์เพิ่ม

การปลูกผมแบบ FUE จะเห็นผลภายในกี่เดือน :  คำตอบคือ จะเห็นผลแบบชัดเจนประมาณ 8-10 เดือน

คำถามที่พบเจอบ่อยในการปลูกผมแบบ ( Follicular Unit Extraction ) FUE 

  1. สามารถย้อม สระ ไดร์ ตัดผม ได้หรือไม่ !

ตอบ : สามารถทำได้ตามปกติเลย เพราะผมที่ใช้ เป็นผมจริง ดังนั้นไม่ต้องห่วง

2. ผมที่ถูกดึงมาใส่ข้างหน้า ส่วนมากมาจากจุดไหน ?

ตอบ : บริเวณท้ายทอย จะใช้ประมาณ 2,000 – 5,000 เส้น

3. ตอนปลูกผมเจ็บไหม ?

ตอบ : เจ็บเฉพาะตอนที่ฉีดยาชาเพียงอย่างเดียว ที่เหลือ ฟิน ๆ สบายมาก

แบบที่ 3 แขนกลปลูกผม หรือเรียก Robot Hair Transplant

ซึ่งแบบนี้เป็นการพัฒนาล่าสุดของการปลูกผม ซึ่งจะสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านระยะเวลา และลดขนาดของแผลที่เกิดจากการปลูกผมในรูปแบบดั่งเดิมได้ ซึ่งเทคนิคนี้จะมีเจ้าแขนกลที่จะมาช่วยในการเจาะกอผม ซึ่งจะทำหน้าที่ควบคู่กับทีมปลูกผม โดยแพทย์จะทำการประเมินความลาดเอียง ความลึก รวมถึงขนาดของกอผม และจากนั้นจะใช้แขนกลช่วยในการเจาะผม โดยแขนกลนี้จะสามารถทำการปรับความแรง ความลึก และยังช่วยดูดผมให้ออกมาได้เลยในทันทีที่เจาะ ถือเป็นการลดขั้นตอนในการเจาะผม

ด้วยวิธีนี้ จะทำให้รอยเจาะผมนั้น หายสนิทใน 1-2 วัน และเมื่อไม่มีแผลก็จะยิ่งลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการปลูกขนส่วนอื่นได้อีกด้วย เช่น การปลูกคิ้ว ปลูกหนวด ปลูกไรขน ปลูกขน หรือหน้าอก

แบบที่ 4 โดยใช้หุ่นยนต์เต็มรูปแบบ ( the ARTAS ® Robotic Procedure )

การพัฒนาล่าสุดของการ ปลูกผม คือ หุ่นยนต์ปลูกผมที่เรียก ARTAS เป็นหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เจาะผม โดยก่อนจะเริ่มปลูกผม คนไข้จะต้องถูกล็อคกับเครื่องมือ เพื่อไม่ให้มีการขยับศีรษะ จากนั้นเจ้าเครื่องนี้จะทำการประเมินและทำการเลือกกอผม แล้วเจาะออกมาทีละกอ

เนื่องจากเป็นเครื่องมือรุ่นแรก การเจาะด้วย ARTAS นั้น จึงยังมีความล่าช้ากว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมอีกมากเพื่อความแม่นยำ และความเร็วที่เพิ่มขึ้น การปลูกผมด้วย ARTAS ยังทำให้เกิดแผลเป็นที่กว้างกว่าแบบแขนกลที่ 1.0 มิลลิเมตร ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการใช้งาน ทั้งเครื่องมือยังมีราคาสูงมาก ทำให้ราคาในการปลูกผมด้วยวิธีนี้สูงกว่าปกติ

เมื่อเรารู้แล้วว่า แต่ละที่มีบริการแบบไหน เมื่อเราทำการเทียบวิธีการทำและข้อดีข้อเสียแล้ว เราก็จะสามารถเลือกร้านที่ช่วยทำให้การปลูกผมของเราสมบูรณ์และไม่มีผลข้างเคียงได้แล้ว หวังว่าบทความ 3วิธีปลูกผม FUE ถาวร แบบธรรมชาติ คงถูกใจเพื่อนๆทุกคนนะครับ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง 

เอกสารอ้างอิง

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9.

ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ

0
ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ !
โบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่มท็อกซินเอเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากคลอสตริเดียมโบโทลินั่ม
ฉีดโบท็อกซ์ อันตรายไหม ก่อนจะทำต้องรู้อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ !
โบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่มท็อกซินเอเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากคลอสตริเดียมโบโทลินั่ม

ฉีดโบท็อกซ์

การ ฉีดโบท็อกซ์ ( Botox ) ช่วยยกกระชับปรับรูปหน้า และคนสมัยนี้ก่อนจะทำอะไรจะศึกษาข้อมูลอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจ จึงมีหลายคนตั้งคำถามว่า การฉีดโบท็อกนั้น มีอันตรายหรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งวันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน

โบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่มท็อกซินเอเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากคลอสตริเดียมโบโทลินั่มซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ การ ฉีดโบท็อก นั้น ถ้าฉีดในปริมาณที่พอดี ก็มีส่วนช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ในยุคแรกแพทย์จึงนำมาฉีดลดอาการตาเข แล้วแพทย์สังเกตว่าริ้วรอยรอบดวงตาลดลง จนเป็นที่มาของการฉีดโบท็อกซ์เพื่อปรับรูปหน้านั่นเอง ใครอยากจะทำโบท็อกซ์ต้องมาศึกษาข้อมูลกันก่อน

ฉีดโบท็อกซ์อันตรายไหม

นี่คงเป็นอีกคำถามที่หลายคนยังกังขาและพยายามที่จะค้นหาคำตอบว่า ฉีดโบท็อกซ์ นั้นปลอดภัยมากแค่ไหน ต้องบอกเลยว่า ยังไม่มีการรายงานถึงอันตรายเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์เลย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ถ้าจะให้ดี ต้องใช้ตัวยาที่มีคุณภาพ ฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะว่า ถ้าหากเลือกไม่ดี อาจมีผลข้างเคียงได้ นั่นคือ หลับตาไม่สนิท ตาผิดรูป ปากเบี้ยว เป็นต้น แต่ถ้าตัวยาที่ใช้มีคุณภาพ และดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรเลย

ทำใจยอมรับความเสี่ยง: แต่ส่วนตัวคิดว่า ทุกอย่างมันก็ความเสี่ยงอยู่ในตัวทั้งนั้นแหละ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตก็เถอะ โดยเฉพาะ การฉีด botox กับ หมอกระเป๋า หมอกระปี๋ กับ ธุรกิจความงาม ( ที่ไม่งาม ) เพราะตายกันมาเยอะแล้ว ก็อยากจะเตือนคนที่กำลังตัดสินใจไปทำด้วยนะ ถ้าไม่รู้ว่าจะไปฉีดโบท็อกซ์ ที่ไหนดี ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก pantip เอาก็แล้วกัน

ฉีดโบท็อกซ์ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง

สำหรับใครที่อยาก ฉีดโบท็อกซ์ นั้น ก็ควรจะเรียนรู้ไว้บ้างว่า การฉีดสารนี้ช่วยในเรื่องของการทำให้ใบหน้าเรียว ลดริ้วรอย ทำให้ตีนกาลดลง หน้าดูเด็กขึ้นด้วย โดยโบท็อกนั้นจะสามารถฉีดเข้าเส้นที่หน้าผาก ตีนกา ร่องแก้ หรือตรงเส้นรอยยิ้ม คิ้ว หรืออาจจะฉีดร่วมกับคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวก็ได้ ฉีดโบท๊อกดีไหม ก็ต้องแล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละท่าน

3 ตำแหน่งต้องห้าม! ที่ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์”

จุดแรกที่เราไม่ควร ฉีดโบท็อกซ์

1.หางคิ้วด้านนอก : เพราะว่าในบริเวณนี้จะมีเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ในการยักคิ้ว ในกรณีที่เราฉีดเข้าไป จะทำให้การส่วนนั้นถูกใช้งานได้น้อยลง ผลที่ตามมาก็คือ จะทำให้หางคิ้วหล่น ซึ่งจะทำให้เราดูหน้าเศร้าตลอดเวลา

2.บริเวณเปลือกตา : จะมีเส้นประสาทในส่วนของการกระพริบตา ซึ่ง บอกเลยว่าอันตรายมาก เพราะอาจจะทำให้ ตาตก งั้นจำเอาไว้เลยว่า จุดนี้ เป็นจุดที่ควรระวังมากที่สุด ฉีด botox ทั้งที จะฉีดทำไมให้ตาปิดละ จริงไหม ?

3.มุมปาก ร่องแก้ม : จุดๆนี้ จะมีกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้ม ยิ้มส่วนบนคือร่องแก้ม ยิ้มอีกส่วนนึงคือมุมปาก ในกรณีที่ฉีดไป จะมีโอกาสทำให้ปากตก ทำให้หน้าของเราบึ้ง ตลอดเวลา

การเตรียมตัวก่อนการฉีดโบท็อกซ์

ต้องตรวจเช็คร่างกายตนเองก่อนว่าคุณมีความพร้อมที่จะเข้ารับการ ฉีดโบท็อกซ์ แค่ไหน เช่น ตัวคุณนั้นต้องไม่มีโรคประจำตัว ถ้ามีต้องปรึกษาแพทย์ก่อนว่าเป็นโรคนี้จะฉีดได้ไหม และถ้าตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่ควรฉีดเด็ดขาดเลย และที่สำคัญคุณควรจะหยุดทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอี น้ำมันปลา โสม หรือสมุนไพรที่ทำให้ร่างกายร้อนประมาณ 2-3 วันก่อนฉีด และอย่าลืม และห้ามกินยาแก้อักเสบหรือแอสไพรินก่อนการฉีดยา 1 อาทิตย์

เลือกฉีดโบท็อกซ์ ฉีดได้บริเวณไหนบ้าง และจะดูแลรักษาได้อย่างไร

เราสามารถ ฉีดโบท็อกซ์ ได้ทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และกล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งก็มีข้อปฏิบัติที่แตกต่างกัน กล้ามเนื้อมัดใหญ่นั้นได้แก่ กล้ามเนื้อกราม และน่อง โดยหลังการฉีด 2 วัน งดดื่มแอลกอฮอล์เลยเด็ดขาด จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้โบท็อกซ์ที่ฉีดไปย่อยสลาย หลังจากฉีดอาจเกิดรอยแดงหรือบวมในจุดที่ฉีดแต่จะหายไปเอง ภายใน 1 วัน และหากคุณนั้นทานวิตามินอีหรือแอสไพริน น้ำมันปลา ฯลฯ อาจทำให้เกิดรอยช้ำได้ แต่ว่าจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์

กล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ บริเวณหน้าผาก หางตา และระหว่างคิ้ว ตัวยาจะออกฤทธิ์ใน 1 อาทิตย์ หลังจากฉีดแล้ว 4 ชั่วโมง ยังไม่ควรนอนราบหรือนอนตะแคง เพราะว่า การกระจายตัวของยาอาจผิดตำแหน่งจากที่แพทย์คาดไว้ และต้องคอยบริหารกล้ามเนื้อที่ฉีดบ่อยๆด้วย เช่น ถ้าฉีดกรามก็ควรเคี้ยวหมากฝรั่งบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่แพทย์ว่าจะให้เคี้ยวนานเท่าไร ในสองอาทิตย์ ไม่ควรอบไอน้ำ อบซาวน้ำ หรือทำไออนโต เพราะจะส่งผลต่อสารโบท็อกซ์ได้ แต่ว่ายังสามารถอาบน้ำอุ่น ไดร์ผม โดนแดดที่ไม่จัดได้ และหลังจากทำ 1 อาทิตย์ก็สามารถแต่งหน้า ทาแป้งได้ตามปกติ

ฉีดโบท็อกซ์ต้องฉีดซ้ำไหม อยู่ได้นานเท่าไร

สำหรับการ ฉีดโบท็อกซ์ นั้น จะอยู่ได้อีก 4-5 เดือน หลังจากนี้จะต้องฉีดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเพื่อความสวยเราก็ยอมทุ่ม จริงไหม

ค่าใช้จ่ายในการฉีดโบท็อกซ์

ความจริงแล้วค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่หลักหมื่นขึ้นไปขึ้นอยู่กับตัวยาและผลลัพธ์ที่การฉีดโบท็อกซ์นั้น สามารถฉีดได้ตามสถาบันเสริมความงาม เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้า จะมีการทำโปรโมชั่นลดราคา ซึ่งจะเหลืออยู่ที่หลักพันเท่านั้นเอง ก็แล้วแต่ว่า คุณนั้นจะเลือกทำกับสถาบันเสริมความงามที่ไหนก็ได้ แต่ว่าต้องเลือกที่มีคุณภาพมาตรฐาน ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

โบท็อกซ์แท้ ดูยังไง

ใครที่คิดอยากจะ ฉีดโบท็อกซ์ ก็ขอให้ศึกษารายละเอียดให้ดี เพื่อประกอบการตัดสินใจให้ดี แต่รับรองว่าผลข้างเคียงมีน้อยมาก ๆ แถมฟื้นตัวได้เร็ว สวยเร็ว ราคาไม่แพงแบบนี้ ก็น่าทำนะ

ฉีดโบท็อกที่ไหนดี

การ ฉีดโบท็อกซ์, ยกกระชับหน้า, ร้อยไหม ไม่ว่าอะไรก็ตามที่นำสารเข้าร่างกาย ควรพิจารณาถึงผลกระทบทั้งผลดีและผลเสีย ที่สำคัญต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นคนปฏิบัติการ ควรใช้บริการฉีดโบท็อกที่มีมาตรฐาน เช่น โรงพยาบาล และ สถานพยาบาลชั้นนำ https://www.vsquareclinic.com/tips/what-is-botox/

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Pacik PT (December 2009). “Botox treatment for vaginismus”. Plastic and Reconstructive Surgery. 124 (6): 455e–56e. doi:10.1097/PRS.0b013e3181bf7f11. PMID 19952618.

Long H, Liao Z, Wang Y, Liao L, Lai W (February 2012). “Efficacy of botulinum toxins on bruxism: an evidence-based review”. International Dental Journal. 62 (1): 1–5.
Felber ES (October 2006). “Botulinum toxin in primary care medicine”. The Journal of the American Osteopathic Association. 106 (10): 609–14. PMID 17122031.
Stavropoulos SN, Friedel D, Modayil R, Iqbal S, Grendell JH (March 2013). “Endoscopic approaches to treatment of achalasia”. Therapeutic Advances in Gastroenterology. 6 (2): 115–35. doi:10.1177/1756283X12468039. PMC 3589133 Freely accessible. PMID 23503707.

ดูดไขมัน Water Jet ด้วยพลังงานน้ำอ่อนโยน ไม่ต้องดมยา

0
ดูดไขมัน Water Jet ด้วยพลังงานน้ำอ่อนโยน ไม่ต้องดมยา
วอเตอร์ เจ็ท ไลโป (Water Jet Liposuction) เป็นวิธีการดูดไขมันที่ใช้พลังงานน้ำเพื่อทำการแยกเซลล์ไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง เซลล์ไขมันมีสภาพสมบูรณ์ ไม่ตาย และสามารถนำไขมันไปใช้ประโยชน์ได้
ดูดไขมัน Water Jet ด้วยพลังงานน้ำอ่อนโยน ไม่ต้องดมยา
วอเตอร์ เจ็ท ไลโป (Water Jet Liposuction) เป็นวิธีการดูดไขมันที่ใช้พลังงานน้ำเพื่อทำการแยกเซลล์ไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง

ดูดไขมัน พลังน้ำ ( Water Jet )

สาวๆ ในปัจจุบันนั้น มองหาวิธีการกำจัดไขมันที่ไม่จำเป็นให้ออกไปจากร่างกาย นั่นก็เพื่อที่คุณจะได้มีสัดส่วนที่สวยงาม และวิธีการ ดูดไขมันพลังน้ำ ( Water Jet ) นี้ยังได้รับความนิยมมากขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น มีความก้าวหน้าไปมาก ทำให้มีอาการบาดเจ็บน้อย แผลก็เล็ก ทั้งยังไม่ต้องพักฟื้นนาน

ดูดไขมัน ในรูปแบบต่างๆ

ซึ่งแน่นอนว่า มีวิธีการดูดไขมัน ที่มีการออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาสัดส่วนมากมาย หลักการนั้นก็ใกล้เคียงกันคือทำลายไขมันหรือทำให้ไขมันแตกตัวให้เป็นของเหลว แล้วจึงทำการดูดไขมันออก ซึ่งอาจจะทำพลังงานต่างๆมาช่วย ไม่ว่าจะเป็น พลังงานอัลตร้าโซนิค เลเซอร์ พลังคลื่นวิทยุ หรือแม้แต่การฉีดสารละลายไขมันบางชนิด ก็มีส่วนช่วยให้ไขมันตายและแตกตัวเป็นของเหลว นั่นก็เพื่อให้ไขมันนั้น สามารถดูดออกได้

หากพูดถึงการ ดูดไขมัน ที่มีอยู่ทุกวันนี้ บอกเลยว่ามีด้วยกันกันมากมาย แต่แบบที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ วิธีการดูดไขมัน แบบ วอเตอร์ เจ็ท ไลโป ( Water Jet Liposuction ) ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการดูดไขมันที่ใช้พลังงานน้ำเพื่อทำการแยกเซลล์ไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง เพื่อทำให้เซลล์ไขมันนั้นมีสภาพสมบูรณ์ ไม่ตาย และไขมันก็ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ นั่นก็เพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมร่างกายในจุดต่างๆ อาทิเช่น เติมหน้าอก

หลักการทำงานของ Water Jet Lipo นั้นถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการดูดไขมันที่บอกเลยว่าอ่อนโยนและมีการบาดเจ็บน้อยมาก ที่สำคัญไม่ต้องนอนโรงพยาบาลและไม่ต้องดมยาด้วย แต่อาจจะมีการให้ยาชาเฉพาะจุดเท่านั้น ทำให้ความเสี่ยงรวมถึงค่าใช้จ่ายลดลงมาก การดูดไขมันแบบวอเตอร์ เจ็ท ก็ไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนวิธีเดิมๆ ที่จะส่งผลให้เซลล์บอบช้ำ ระหว่างที่ทำการดูดก็ไม่มีอาการบวม ทำให้แพทย์เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และจะทำให้สร้างสัดส่วนได้อย่างที่ต้องการ  ซึ่งการใช้พลังงานจากน้ำ จะมีความอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อข้างเคียงเสียหาย แผลจึงหายในเวลาที่รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน หลังการทำนั้นมีเพียงรอยช้ำและบวมเล็กน้อย นี่จึงทำให้กลายเป็นวิธี ดูดไขมัน ยอดนิยมในปัจจุบัน

การดูดไขมันนั้น ไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่การดูดไขมันจะดูดไขมันเฉพาะที่ เพื่อทำการลดสัดส่วนของร่างกายให้ สวยงาม และการดูดไขมัน จะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน

Water Jet ในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ ถือเป็นนวัตกรรมสำหรับการดูดไขมันที่ก้าวล้ำด้านเทคโนโลยีรวมทั้งประสิทธิภาพ จึงทำให้การดูดไขมันนั้น กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ความสามารถในการสร้างสรรค์ความสวยงามอย่างไม่มีข้อจำกัด ทั้งยังไม่ต้องวางยาสลบ และยังใช้เพียงการให้ยาชาเฉพาะจุด ทำให้แผลเล็ก และการดูดนั้นมีความนุ่มนวล เพราะใช้พลังน้ำที่มีความอ่อนโยนแต่มีประสิทธิภาพการทำงานสูง ช่วยในการแยกไขมันให้ออกจากเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ไม่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังได้รับความบอบช้ำ ทั้งยังสามารถเอาไขมันออกได้มาก   

มีความเจ็บน้อย สามารถฟื้นตัวเร็ว และที่สำคัญนั้นไม่ทำให้เกิดพังผืด มีผิวเรียบเนียนหลังจากการ ดูดไขมัน  ทั้งนี้ไขมันที่ถูกแยกออกจากเนื้อเยื่อที่เราบอกว่ายังเป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์คุณภาพสูง พลังน้ำที่อ่อนโยนนั้นทำให้เซลล์ไขมันยังคงมีชีวิต และยังคงเต็มไปด้วยสเต็มเซลล์ที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการที่เราจะนำไปเติมเต็มส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเสริมหน้าอก สะโพก ฉีดปรับแต่งรูปหน้า ปรับแต่งรูปหน้าที่ไม่สมดุล ทดแทนฟิลเลอร์ หรือ ช่วยฟื้นฟูสุขภาพจากภายใน ให้เกิดการซ่อมสร้างเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น ยืดเวลาการเสื่อมสภาพของอวัยวะต่างๆ ก็สามารถทำได้

หากถามว่า ทำไมจะต้องเป็นการ ดูดไขมันพลังน้ำ ( Water Jet ) บอกเลยว่า ศัลยแพทย์นั้นจะสามารถควบคุมการเลาะไขมันได้อย่างแม่นยำ ราวงานประติมากรรม ทั้งนี้ยังสามารถสร้างสรรค์สัดส่วนให้เป็นไปตามที่ต้องการ โดยไม่ทิ้งปัญหาผิวคลื่นการแก้ไขพลังน้ำมีความอ่อนโยน ไม่ทำให้เกิดพังผืด การอักเสบ ทำให้ผิวของสาวๆที่มาดูดไขมันมีความเรียบเนียน และ หมดกังวลในเรื่องของร่องรอยตกค้าง มีความเจ็บน้อยและฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนคนไข้ก็สามารถกลับไปทำงานและใช้ชีวิตตามปกติได้

ประสิทธิภาพของเครื่อง Water Jet รุ่นใหม่นั้น มีพลังน้ำที่นุ่มนวลซึ่งได้รับการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพในการจัดการไขมันอย่างอ่อนโยน มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถคัดแยกไขมันออกจากเนื้อเยื่อโดยเท่านั้น แต่ยังไม่ทำให้เซลล์เส้นประสาท หรือเส้นเลือดบอบช้ำอีกด้วย แม้แต่เซลล์ไขมันเองก็ไม่บอบช้ำ จึงถือว่าเป็นความสำเร็จและความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการย้ายเซลล์ไขมัน

การ ดูดไขมัน แบบ Water Jet นี้ ถือเป็นครั้งแรกของเทคโนโลยีการดูดไขมันที่สามารถสกัดเอาสเต็มเซลล์ได้ไปพร้อมๆกับการดูด ซึ่งทำให้ได้สเต็มเซลล์ภายในระบบปิด และไม่มีการเคลื่อนย้าย  สเต็มเซลล์ที่ได้ก้จะมีคุณภาพมากขึ้น และมีความสะดวก ปลอดภัย ทั้งยังใช้เวลาไม่มาก ทั้งยังใช้เวลาที่รวดเร็วไม่เกิน 2 ชั่วโมง

จึงบอกเลยว่า การดูไขมัน แบบ Water Jet นั้น จึงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะทำให้คุณสามารถได้รู้ร่างที่ดี แต่อย่างลืมว่า หลังจากการที่ทำการดูดไขมันแล้วนั้น คุณจะยังต้องทำการดูแลสุขภาพ ทั้งการออกกำลังกายและเรื่องอาหารการกิน และ อย่าลืมว่า หลังจากดูดไขมันแล้วต้องมีการใส่เสื้อผ้าที่กระชับตลอดเวลาหลังจากดูดไขมันหนึ่งเดือน เพื่อให้เนื้อบริเวณที่ถูกดูดไขมันกระชับมากขึ้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

results of the National Thai Food Consumption Survey. Nutrients. 2, 60-74.

ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย

ดูดไขมัน Power Assisted Liposuction

0
ดูดไขมัน Power Assisted Liposuction
Power Assisted Liposuction เป็นเครื่องมือที่ใช้ทุ่นแรง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ช่วยในการ ดูดไขมันที่บริเวณต้นแขน หรือต้นขา โดยเครื่องมือจะมีการเพิ่มความถี่ของเข็มที่ใช้ดูดไขมัน เหมือนกับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้า
ดูดไขมัน Power Assisted Liposuction
Power Assisted Liposuction เป็นเครื่องมือที่ใช้ทุ่นแรง โดยเครื่องมือจะมีการเพิ่มความถี่ของเข็มที่ใช้ดูดไขมัน เหมือนกับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้า

ดูดไขมัน Power Assisted Liposuction

บทความนี้เราจะมาเริ่มต้นกับคำถามที่ว่า การผ่าตัด ดูดไขมัน นั้นคืออะไร เราจะมาอธิบายกันง่ายๆว่า การ ดูดไขมันนั้น คือการกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็จะมีการรักษาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เลเซอร์ การอัลตร้าซาวด์ หรือวิธีการดูดไขมันแบบดั้งเดิม ซึ่งแน่นอนว่าการ ดูดไขมัน นั้นจะต้องกระทำคู่ไปกับกับการ

ผ่าตัดศัลยกรรมหน้าท้อง ซึ่งรับประกันได้เลยว่าจะเป็นผลกาารผ่าตัดที่สมบูรณ์สุดๆ การดูดไขมันนั้นสามารถทำให้คุณได้รับร่างกายที่คุณต้องการได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งการดูดไขมันคุณจะได้รับการกระทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีวิธีการที่ก้าวหน้าพร้อมทั้งอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย นั่นก็เพื่อที่คุณจะได้รับผลในระดับที่พอใจสูงสุดของคุณ

ดูดไขมัน ในรูปแบบต่างๆ

ซึ่งหลักการในอดีตของการ ดูดไขมัน นั้น ทางศัลยแพทย์จะทำการสร้างท่อขึ้นที่บริเวณพื้นผิวของชั้นไขมันเพื่อทำการดูดเซลล์ไขมันให้ออกโดยผ่านหลอดเลือดดำ ทั้งนี้หลังจากการผ่าตัดแล้วเสร็จ บริเวณที่มีการดูดไขมันออก ก็จะยากที่จะกลับมาเป็นสภาพเดิม

ซึ่งแน่นอนวันนี้ เราจะมาแนะนำให้ได้รู้จักกับ วิธีที่เป็นวิทยาการล่าสุด โดยมีการใช้หลักการพื้นฐานแบบ SAL แต่ตัวท่อของการดูดแบบนี้ จะมีความพิเศษนั่นก็คือ ที่ปลายท่อนั้นจะมีการสั่นเข้าออกด้วยมอเตอร์ซึ่งจะช่วยในการดูดไขมัน และวิธีการดุดไขมันแบบนี้ เราเรียกกันว่า Pal หรือ Power Assisted Liposuction เป็นเครื่องมือที่ใช้ทุ่นแรง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ช่วยในการ  “ ดูดไขมัน ” ที่บริเวณต้นแขน หรือต้นขา โดยเครื่องมือนี้จะมีการเพิ่มความถี่ของเข็มที่ใช้ดูดไขมัน ซึ่งคล้าย ๆ กับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้า จึงจะทำให้การดูดไขมันในส่วนที่ยากที่สุดของร่างกายให้ออกมาอย่างง่ายขึ้น ซึ่งการดูดไขมันปีนี้ จะสามารถใช้ร่วมกับ วิธีดูดไขมันแบบ Bodytite ได้

คำอธิบาย ของการ ดูดไขมัน แบบ PAL ( Power-assisted liposuction ) เป็นการดูดไขมันแบบใช้การสั่นสะเทือน ซึ่งใช้หลักการเหมือนกับการดูดไขมันด้วยท่อ เป็นการนำไขมันที่ออกมาด้วยท่อดูดอัตโนมัติเรียกได้ว่าง่ายดายที่เดียว แม้เซลล์ที่อยู่ลึกก็สามารถนำออกมาได้ในปริมาณที่ค่อนข้างมาก ซึ่งการดูดแบบ Pal นั้นจะสามารถทำงานได้ผลดีกับบริเวณหน้าท้องและไขมันบริเวณรอบเอว

การดูดไขมันแบบพาวเวอร์  ( Power – assisted liposuction ) นี้ คือการทำงานแบบแทนที่จะใช้แรงมือ แต่เราจะมาใช้แรงจากเครื่องแทน เพื่อช่วยให้ทำให้แพทย์ทำงานและเหนื่อยน้อยลง โดยเฉพาะที่รอบสะดือ ทั้งยังช่วยให้ประหยัดเวลาในการดูดไขมันอีกด้วย

การดูดไขมันแบบ PAL, Power-assisted liposuction นั้น ด้วยหลักการเดียวกับ SAL ที่จะทำการ ดูดไขมัน ออกด้วยมอเตอร์ ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการแยกชั้นของไขมัน ทำให้การแก้ปัญหาไขมันที่สร้างตัวอยู่ในเวลาอันสั้น สามารถใช้ได้กับบริเวณหน้าท้อง หรือไขมันรอบเอว

สำหรับข้อมูลในการผ่าตัดนั้น การผ่าตัดจะใช้เวลา ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับบริเวรของผิวหน้าและไขมัน แน่นอนว่า อาจจะต้องมีการใช้ยาสลบบ้าง ซึ่งก่อนการผ่าตัด คุณลูกค้าจำเป็นต้องมีการอดอาหารประมาณ 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด ใช้ระยะเวลาในการตัดไหมประมาณ 14 วัน หลังจากการผาตัด ซึ่งแน่นอนว่าไม่จำเป็นที่คุณจะต้องนอนโรงพยาบาล ส่วนหลังการผ่าตัดนั้น คุณจะต้องระวังเรื่องการอาน้ำ ซึ่งให้เว้น บริเวณที่เพิ่งมีการผ่าตัดมา และที่สำคัญที่สุดหลังจากการผ่าตัดดูดไขมันคือ การใส่ชุดกระชับสัดสวน ซึ่งคุณควรใส่ตลอดเวลาเป็นเวลาหนึ่งเดือน และใส่เฉพาะเวลาอยู่ที่บ้านหรือนอนหลับในเดือนถัดไป แต่ไม่ควรหลงลืมที่จะใส่มัน

หากมีคำถามว่าการดูดไขมันเหมาะสำหรับคนกลุ่มใด คำตอบคือ กลุ่มคนที่มีไขมันส่วนเกินบริเวณ แขน หน้าท้อง ขา หรือคนที่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มคนที่มีไขมันเฉพาะส่วนซึ่งไม่สามารถเผาผลาญได้ด้วยการออกกำลังกาย และยังเป็นคนที่ต้องการให้มีร่างกายที่กระชับและได้ส่วน

แน่นอนว่าการ ดูดไข มันทุกวิธีนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งวิธีการดูดไขมันด้วยวิธี Pal ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกัน เราไปดูกันว่าข้อดี และข้อเสียของการดูดไขมันด้วยวิธี Palมีอะไรกันบ้าง

เริ่มต้นกันที่ข้อดี อย่างที่เราได้บอกไป ว่าเครื่อง Pal หรือ Power Assisted Liposuction นั้น สามารถดูดไขมันในส่วนที่ยากให้ออกมาได้ง่าย ทั้งยังช่วยให้แพทย์ประหยัดเวลาอีกด้วย นอกจากนี้การดูดด้วยเครื่อง Pal ยังไม่ทำให้ผิวหนังมีการบอบช้ำมาก

ส่วนข้อเสียนั้นก็คือ เครื่อง Pal นั้น จะมีเสียงดังรบกวนมาก เพราะการทำงานของมอเตอร์ แม้ว่าขณะนี้หลายบริษัทได้ผลิตเครื่องที่มีเสียงเบาลงกว่าเดิมมาก อีกทั้งเจ้าเครื่อง Pal นี้ยังมีราคาค่อนข้างสูง เพราะ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ต้นทุนการดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา สูงขึ้นตามไป

ไม่ว่าจะใช้วิธีการ ดูดไขมัน แบบใด ผลที่ได้รับจะดีก็ต่อเมื่อผิวหนังบริเวณนั้นยังมีคุณภาพดีและพอที่จะหดรัดตัวเองให้รับกับชั้นไขมันที่หายไปได้ ความหนาของผิวหนังที่เล็กลง ก็ต้องมีความราบเรียบเป็นธรรมชาติด้วย ซึ่งศัลยแพทย์จะอาศัยผ้าหรือยางยืดลักษณะต่างๆ ที่จะช่วยพันรัดอวัยวะส่วนที่ดูดตั้งแต่ดูดไขมันเสร็จใหม่ๆไปจนถึงหลังทำเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน เพื่อให้ผิวหนังเหนือชั้นที่ถูก ดูดไขมัน ไปได้ยึดติดกับชั้นใต้ผิวหนังอย่างดี และหลังจากหนึ่งเดือนก็ยังต้องใช้ต่อ อย่างที่บอกไว้ ยิ่งถ้าเพิ่มการดูแลตัวเองและออกกำลังไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้มีความกระชับสวยงามเพิ่มไปอีก และการดูดไขมันก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

ดูดไขมัน Smart Lipo มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร

0
ดูดไขมัน Smart Lipo มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร
Smart Lipo เป็นวิธีการดูดไขมัน โดยใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อเป็นตัวช่วยในการสลายไขมันก่อนทำการดูดออก แผลที่เปิดมีขนาดเล็กเท่าปลายปากกา
ดูดไขมัน Smart Lipo มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร
Smart Lipo เป็นวิธีการดูดไขมัน โดยใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อเป็นตัวช่วยในการสลายไขมันก่อนทำการดูดออก แผลที่เปิดมีขนาดเล็กเท่าปลายปากกา

ดูดไขมัน ( Smart Lipo )

ไขมันส่วนเกิน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสาวๆ คงไม่ใช่เรื่องของภายนอก เช่น เสื้อผ้าหน้าผม หรือเป็นเครื่องแต่งตัวอื่นๆ แต่เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ภายในร่างกายก็คือไขมันส่วนต่างๆ ซึ่งหลายคนเลือกที่จะอยู่กับมันโดยไม่สรรหาวิธีจัดการไขมัน เพราะคิดว่ามันไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย เพราะวิวัฒนาการ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) สมัยนี้นั้น มีความสิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้

การ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลไว ซึ่งหลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบว่าปัญหานั้นคืออะไร แต่ก็มีอีกหลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็พอจะทราบแล้วว่า ปัญหาที่เราว่านั้นเป็นปัญหาใหญ่จริง ซึ่งปัญหานั้นก็คือ การดูดไขมัน นั่นเอง

ดูดไขมัน ในรูปแบบต่างๆ

ปัญหาใหญ่ในเรื่องของไขมันส่วนเกินที่อยู่ในส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งเรามั่นใจว่าคุณสาวๆยากที่จะสามารถลดไขมันนั้นได้ด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น การอดอาหาร การออกกำลังกาย ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องเป็นปัญหาใหญ่ของคนจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีที่ทำให้การลดไขมันได้ผลดีที่สุดและแน่นอนที่สุด นั่นก็คือการ ดูดไขมัน  เนื่องจากเป็นวิธีการนำไขมันที่เราไม่ต้องการออกไปจากร่างกายได้อย่างแท้จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็เพิ่งจะมีวิธีการที่ก้าวหน้า ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเมื่อไม่นานมานี้เอง

โดยสำหรับวิธีการดูดไขมันแบบต่างๆ นั้น ได้มีความพยายามในการคิดค้นกันมาตลอดตั้งแต่ในทศวรรษปี 1970 โดยมีการใช้ท่อเล็กๆ (cannula) มาใช้ในการดูด แต่การ ดูดไขมัน ในช่วยนั้นๆ ก็ถือว่ายังมีผลข้างเคียงอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งยังมีแผลใหญ่ และยังต้องพักฟื้นนาน และหลังทำแล้ว อาจจะทำให้ผิวไม่อาจเรียบ และผิวเป็นคลื่น ทำให้คนส่วนใหญ่ที่อยากจะเอาไขมันออกจากตัวนั้นถึงกับต้องคิดหนัก

แหล่งที่มา Smart Lipo

จนกระทั่งช่วงหลังปี 1994 ได้มีการค้นพบวิธีใช้พลังงานเลเซอร์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการสลายไขมันก่อนทำการดูดออก หรือที่เรียกดันว่า Laser-assisted liposuction (LAL) จึงทำให้เกิด ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการดูดไขมัน เพราะทำให้เกิดการบาดเจ็บน้อยมาก ทั้งแผลก็เล็กไม่ต้องพักฟื้นนาน โดยมีการใช้ท่อขนาดเล็กเท่าหัวปากกา และใช้ยาชาเฉพาะจุด ทำให้เจ็บน้อย ที่สำคัญคือหลังการดูดไขมันแล้วยังได้ผิวที่เรียบเนียน นั่นจึงทำให้การดูดไขมันนั้น เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างมากมาจนถึงปัจจุบัน บอกเลยว่าสิ่งกล่าวมานั้นจึงเป็นสิ่งที่จะสามารถแก้ไขปัญหาไขมันสะสมได้ ไม่ว่าพื้นที่เล็กขนาดใด อย่างเช่นคาง คอ ต้นแขน ซึ่งก็ไม่ทำให้เกิดแผลเป็น แถมยังได้สัดส่วนและผิวที่สวยงามไปพร้อมๆกันอีกด้วย

เช่นเดียวกับ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) ซึ่งเป็นวิธีดูดไขมัน โดยใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อเป็นการช่วยในการสลายไขมันก่อนทำการดูดออก หรือ Laser-assisted liposuction (LAL) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด เพราะเป็นวิธีที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย มาตั้งแต่มีวิธีการดูดไขมันโดยใช้พลังงานเลเซอร์ที่ช่วยสลายไขมันเกิดขึ้น ถือเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง และยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา

Smart Lipo มีการทำงานอย่างไร

ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) เป็นการดูดไขมันที่ต้องใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อเป็นตัวช่วยในการทำการสลายไขมัน ก่อนที่จะดูดออก ซึ่งแผลที่เปิดก็มีขนาดเล็กมาก โดยมีขนาดเท่าปลายปากกา โดยแผลจึงเรียบเนียนเสมอกัน แม้ทำการลูบสัมผัสก็ไม่ให้ความรู้สึก จึงเหมาะกับพื้นที่เล็กๆ ที่ต้องการงานที่มีความประณีตมาก เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียน เช่นบริเวณคาง คอ ใบหน้า และต้นแขน ซึ่งในบางกรณีทีไขมันไม่มาก แพทย์ก็อาจจะทำการพิจารณาไม่ดูดไขมันออกแต่ให้ร่างกายดูดซึมและขับถ่ายออกตามช่องทางขับของเสียปกติ

หากพูดถึงผลกระทบของ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) เราต้องอธิบายอีกครั้งว่า Smartlipo  นั้น เป็นวิธีการดูดไขมันกึ่งการผ่าตัด ที่มีแผลขนาดเล็ก จึงมีการใช้ยาชาเฉพาะพื้นที่เท่านั้น ไม่มีความรู้สึกเจ็บมาก ไม่ต้องมีการดมยา และยังไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ซึ่งใช้เวลาในการดูดไขมันประมาณ 1-2 ช.ม.เท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนของพื้นที่ที่ทำการดูดไขมัน

ซึ่งเนื่องจากการบาดเจ็บน้อย และแผลขนาดเล็ก จึงทำให้การฟื้นตัวของคุณนั้นใช้เวลาที่น้องลง ซึ่งหลังทำอาจจะมีมีรอยช้ำ หรืออาการบวมเล็กน้อย ซึ่งคุณก็ควรใช้ผ้าพันหรือรัดไว้ ในบริเวณที่ทำการดูดไขมันออกเอาไป นั่นก็เพื่อให้ผิวเรียบเนียนให้ได้อยู่ในระนาบเดียวกันได้เร็วขึ้น ซึ่งคุณจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตหรือทำกิจกรรมได้ตามปกติ ก็จะช่วงภายใน1-2 วันหลังทำ

การดูดไขมันชนิดนี้ สามารถเห็นผลการรักษาได้ตั้งแต่หลังทำ 1สัปดาห์  และคุณก็จะค่อยๆเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นใน 3-6 เดือน เนื่องจากการดูดไขมันเป็นการนำไขมันออกจากร่างกาย ซึ่งคือการกำจัดไขมันได้อย่างถาวร ซึ่งผลจากการ ดูดไขมัน จึงคงอยู่ได้อย่างยาวนาน ตราบเท่าที่คุณมีการดูแลสุขภาพอยู่สม่ำเสมอ และจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จ่อร่างกาย ขยันออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการดูแลสุขภาพของตัวท่านเองนั้น จะส่งผลช่วยให้ไขมันที่มีนั้น ไม่สามารถกลับมาอีกนั่นก็เพื่อความสวยงามของรูปร่างคุณ บอกเลยว่า การดุดไขมันนี้ ถึงเป็นเรื่องที่น่าทำอย่างมาก เพราะใช้เวลาไม่มาก ไม่เจ็บตัวที่สำคัญทำให้สวยและดูดี โดยไม่เสียเวลามาก รับรองว่าสวยเช้งอย่างที่ต้องการแน่ๆ

ผมหวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่กำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ การ ดูดไขมัน ( Smart Lipo ) กันนะครับ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

ดูดไขมันแบบ Body Tite แผลเล็กพร้อมกระชับผิวได้ภายในตัว

0
ดูดไขมันแบบ Body Tite แผลเล็กพร้อมกระชับผิวได้ภายในตัว
Body Tite เป็นการใช้พลังงาน RF (Radio Frequency) ดูดไขมัน โดยการส่งผ่านท่อขนาดเล็ก Cannula ขนาด 1-3 mm
ดูดไขมันแบบ Body Tite แผลเล็กพร้อมกระชับผิวได้ภายในตัว
การดูดไขมัน เป็นการจัดการกับไขมันส่วนเกิน เพื่อให้มีหุ่นและร่างกายที่กระชับสวยงาม

ดูดไขมันแบบ Body Tite

สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการจัดการกับไขมันส่วนเกิน เพื่อให้มีหุ่นและร่างกายที่กระชับสวยงาม แต่ไม่รู้ว่าจะสรรหาวิธีไหนมาจัดการกับมัน เพราะไม่ว่าจะเลือกออกกำลังหรือลดอาหารก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ซ้ำร้ายยังทำให้รู้สึกว่าที่ทำลงไปไมได้มีผลอะไรเลย จนบางทีอาจจะทำให้ไขมันเพิ่มมากขึ้นไปอีก จนสาว ๆ เริ่มเครียดแล้วว่า จะทำอย่างไรกับไขมันส่วนเกินนั้นดี บทความนี้ เราจึงอยากจะแนะนำวิธีใหม่ ๆ ที่บางทีเหล่าสาว ๆ ก็ไม่ได้นึกถึง นั่นก็คือ การ ดูดไขมัน ซึ่งการดูดไขมันนั้น เป็นการที่เราจะทำการดูดไขมันส่วนเกินในบริเวณนั้น ๆ ที่คุณสาวๆต้องการซึ่งก็จะมีหลากหลายวิธี และหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นกับการ ดูดไขมัน body tite 

สำหรับการ ดูดไขมันแบบ Body Tite นี้ ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ใช้ในการดูดไขมัน ซึ่งมีการได้รับการพัฒนาโดยทีมแพทย์ที่ร่วมมือกับทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความเป็นมืออาชีพจากสถาบันวิจัยเกี่ยวกับการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งในปัจจุบันนั้น ถือเป็นที่ได้ยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ว่า Body Tite นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ใช้ในด้านการดูดไขมัน เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้สลายไขมันเพื่อเตรียมให้พร้อมต่อการดูดแล้ว ยังเป็นการทำให้เนื้อผิวที่มีการหย่อนยานกลับมากระชับ

ซึ่งหลักการการทำงานนั้น จะเป็นการใช้พลังงาน RF ( Radio Frequency ) โดยการส่งผ่านท่อขนาดเล็ก Cannula ขนาด 1-3 mm  ซึ่งเป็นท่อที่มีขนาดเล็กมากๆ ทั้งยังไม่ทำให้เกิดแผลใหญ่ โดยเมื่อนำ Body Tite นั้น เข้าไปสู่ชั้นไขมัน ก็จะทำให้ไขมันละลายเป็นน้ำ จากนั้นก็จะทำการดูดไขมันส่วนนั้นทิ้งไป จึงทำให้การดูดไขมันแบบ Body Tite นี้ เห็นผลได้จริงจังชัดเจน และยังให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด โดยทำให้สามารถดูดไขมันออกได้ในปริมาณมาก แถมหลังการ ดูดไขมันแบบ Body Tite นั้น ยังไม่ก่อให้เกิดพังผืดรัดตัว ยิ่งผิวที่อยู่ตรงบริเวณดูดไขมันนั้น จะมีความเรียบเนียนกระชับ เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นวิธีที่อ่อนโยนแล้ว หัวของคลื่นที่ทำความร้อนนั้นจะยังสามารถช่วยให้ผิวหนังส่วนบนกระชับไปในตัวอีกด้วยระหว่างการทำ

ซึ่งหากจะถามว่า การดูดไขมันด้วยวิธีอย่าง body tite นี้ เหมาะสมกับใคร โดยก่อนหน้านี้ เราอธิบายไปแล้วว่าการ ดูดไขมันแบบ Body Tite นั้น สามารถสลายไขมันส่วนเกินไปพร้อมๆกับการดูดออกได้ การดูดไขมันนี้จึงเหมาะกับ คนมีปัญหาไขมันส่วนเกินซึ่งมีการสะสมไว้เป็นปริมาณมาก คนที่ปัญหาด้านสรีระไม่สมส่วน ซึ่งคุณจะสามารถเลือกทำได้ ในจุดที่คุณรู้สึกกังวล เช่น ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก ต้นขา น่อง ซึ่งการดูดไขมันแบบ Body Tite จะสามารถเห็นผลชัดเจน และไม่จำเป็นต้องทำซ้ำ ซึ่งการ ดูดไขมันแบบ Body Tite จะทำให้คุณสามารถเห็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนที่ลดลงภายหลังจากการรักษาไปแล้วประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งหลังจากที่ทำการดูดไขมันส่วนเกินนั้น จะมีอาการบวมช้ำและ ระบมที่น้อยกว่าการดูดไขมันแบบอื่น

สำหรับการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการดูไขมันนั้น ก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่เข้าใจเพราะสามารถทำได้ดังต่อไปนี้

  1. เข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถอธิบายให้คุณฟังได้ว่า การดูดไขมันเป็นอย่างไร
  2. แพทย์จะทำการประเมิน ว่ามีบริเวณไหนบ้างที่จะต้องจัดการ พร้อมให้คำแนะนำ รวมถึงอธิบายขั้นตอนต่างๆ นา ๆ เพื่อให้ได้รับความเข้าใจการรักษา รวมถึงวิธีการดูแลตัวเองในช่วงหลังทำการดูดไขมัน
  3. ผู้ที่ต้องการดูดไขมันจะต้องทำการนัดหมาย วัน เวลา ที่จะสะดวกในการเข้ารับการรักษา
  4. ซึ่งแพทย์ก็จะทำการรักษาด้วยเครื่อง ดูดไขมันแบบ body tite ซึ่งจะทำในส่วนที่ได้ตกลงกันไว้แล้วกับคนไข้ และจะต้องเป็นการรักษาในวันที่คนไขพร้อมที่สุด
  5. แพทย์จะทำการนัดเพื่อเป็นการติดตามผลการรักษาหลังทำไปแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์

ซึ่งหลังจากที่มีการทำการดูดไขมันเรียบร้อยแล้ว คุณยังต้องมีการดูแลตัวเองและควรปฎิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด ซึ่งสิ่งที่ควรทำก็จะมีดังต่อไปนี้

  1. คุณไม่ควรทำให้แผลที่ไปดูดไขมันนั้น โดนน้ำหรือเปียกชื้นจนกว่าแผลจะปิดสนิท
  2. คุณจะต้องใส่ชุดที่มีความกระชับต่อเนื่อง ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนแรกหลังทำการดูดไขมัน
  3. คุณจำเป็นจะต้องรับประทานยาที่แพทย์สั่งให้จนครบเพราะประโยชน์ของคุณเอง
  4. สุดท้ายคุณจำเป็นจะต้องเข้าพบแพทย์หลังทำการรักษา ตามกำหนดที่ได้รับ ดังนั้น คุณควรจะปฎิบัติตามที่คุณหมอแนะนำทุกประการ

หากถามว่า ทำไมจึงต้องเลือกการ ดูดไขมมันแบบ body tite หากที่อธิบายไป เราก็จะมาย้ำกันอีกที ตรง นี้ สำหรับการดูดไขมันแบบ Body Tite นั้น นอกจากจะเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้ว ยังสามารถ Coagulation ห้ามเลือดไปได้ด้วย ในขณะที่ทำการดูดไขมัน และเพื่อลดการสูญเสียเลือดในระหว่างการรักษา ไขมันยังสามารถสลายพร้อมดูดออกมาได้โดยมีเลือดเจือปนมาในปริมาณน้อย เมื่อเทียบกับเทคโนโลยี การ “ดูดไขมัน” แบบอื่นๆ ซึ่ง การดูดไขมัน body tite จะทำให้แผลมีขนาดเล็ก รอยช้ำน้อย พักฟื้นไม่นาน เหมือนการดูดไขมันแบบเดิมๆ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

ดูดไขมัน Vaser Liposelection ( VASER )

0
ดูดไขมัน Vaser Liposelection
เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการจัดการกับไขมันซึ่งมีความปลอดภัยสูง ด้วยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียง (Ultrasound) ซึ่งอยู่ในระดับความถี่ ซึ่งจะไปทำลายเฉพาะเจาะจงกับเซลล์ไขมันในชั้นไขมัน
ดูดไขมัน Vaser Liposelection
VASERเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีการปล่อยพลังงานคลื่นเสียง (Ultrasound) ซึ่งอยู่ในระดับความถี่ ซึ่งจะไปทำลายเฉพาะเจาะจงกับเซลล์ไขมันในชั้นไขมัน

ดูดไขมัน Vaser Liposelection ( VASER )

ไขมัน เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไขมันนี้ เรียกว่าเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำให้หุ่นของสาวๆ จากที่สวยดูดีนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นความย้วย อ้วน บอกเลยว่าทำให้ความสวยที่มีนั้นหมดลงไปทันที แต่ทั้งนี้ ด้วยนวัตกรรมที่ทัน สมัยในปัจจุบัน ทำให้คุณสาวๆที่มีไขมันสะสมในตัวนั้นหมดกังวลไป  เพราะเรามีนวัตกรรมการดูดไขมันมาคอยรองรับบริการ เพื่อไม่ให้คุณต้องกังวล นั่นก็คือ การ ดูดไขมัน แบบ Vaser หรือ การสลายไขมันด้วยอัลตราซาวด์

ดูดไขมัน ในรูปแบบต่างๆ

ดูดไขมัน แบบ Vaser คืออะไร

การดูดไขมันแบบเวเซอร์  Vaser Liposelection ( VASER )

นั้น ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการจัดการกับไขมันซึ่งบอกเลยว่ามีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นการดูดไขมันบางส่วนเพื่อทำให้ร่างกายกระชับได้รูป ซึ่งหลักการของเจ้า Vaser คือการปล่อยพลังงานคลื่นเสียง (Ultrasound) ซึ่งอยู่ในระดับความถี่ ซึ่งจะไปทำลายเฉพาะเจาะจงกับเซลล์ไขมันในชั้นไขมันเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ก้อนไขมันกลายเป็นของเหลวแล้วดูดไขมันออก

จากนั้นก็ดูดไขมันที่เหลวแล้วออกมาจากร่างกาย แต่จะไม่ได้ทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียงอย่างเส้นเลือดและเซลล์ประสาทบริเวณรอบๆ ได้รับความเสียหายหรือถูกกระทบกระเทือนไปด้วย ซึ่งเป็นการช่วยลดการเกิดรอยฟกช้ำและบวมหลังการรักษา จะทำให้แผลหายเร็ว ทั้งยังช่วยให้คนไข้ฟื้นตัวได้เร็ว เนื่องจากเราทำการดูดเฉพาะเพียงเซลล์ไขมันเท่านั้น แน่นอนว่าเนื้อเยื่อคอลลาเจนที่ทำหน้าที่พยุงผิวเอาไว้จะไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย ทำให้เกิดความเสี่ยงการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนน้อยลงด้วย ซึ่งถือว่าให้ผลการรักษาที่รวดเร็วและชัดเจน ซึ่งบางคนสังเกตได้ในระยะ 1-2 วันหลังทำ ว่าสัดส่วนมีการลดลงมาก

ดูดไขมัน Vaser Liposelection ( VASER ) เหมาะกับใคร

VASER เป็นการดูดไขมันที่เหมาะกับคนที่มีไขมันส่วนเกิน ที่กำจัดยากมาก เพราะไม่ว่าจะออกกำลังกายเท่าไหร่ก็ไม่มีทางลดลงซักที โดยเฉพาะส่วนหน้าท้อง สะโพก ต้นขา ซึ่ง Vaser สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย เช่น บริเวณใต้คาง โหนกบริเวณหลังต้นคอ ท้องแขน หลัง เอว ซึ่งบางคนก็จะมีปัญหาที่บริเวณเข่าที่จะมีก้อนไขมันปูดออกมา ก็สามารถกำจัดได้ด้วย VASER  ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการกำจัดไขมันที่ปลอดภัย รวดเร็ว และยังเจ็บปวดน้อย ทั้งยังเห็นผลจากการรักษาในครั้งเดียว บอกเลยว่า Vaser Liposelection ( VASER ) นั้น ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย (อย.) ว่ามีประสิทธิภาพที่ดีและความปลอดภัย

ซึ่ง VASER นั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยในการแก้ปัญหาเรื่องความร้อนที่อาจจะเผาไหม้ ซึ่งสามารถช่วยโดยการลดพลังงานความร้อนที่เกิดจากการปล่อยคลื่นเสียง (Ulttrasound) ลงประมาณถึง 50 % ซึ่งขั้นตอนการ ดูดไขมันด้วย VASER ก็มีด้วยกันมากมาย โดยเริ่มที่

ในการวินิจฉัยครั้งแรก แพทย์จะสอบถามถึงสิ่งที่คนไข้ต้องการว่าอยากให้รูปร่างออกมาแบบไหน อาจขอดูรูปของคนที่เคยทำมาแล้วเพื่อช่วยในการประกอบการตัดสินใจ จากนั้นแพทย์จะอธิบายถึงวิธีการรวมไปถึงขั้นตอนในการดูดไขมัน รวมไปถึงระบุถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น รวมไปถึงผลลัพธ์หลังการรักษา ข้อจำกัดของการดูดไขมัน รวมไปถึงค่าใช้จ่าย และการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังจากการรักษา จนเมื่อถึงวันนัด ทางทีมแพทย์จะทำการตรวจร่างกายเพื่อตรวจดูสภาพความยืดหยุ่นของผิวหนัง ซึ่งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงตำแหน่งที่ไขมันสะสม คนไข้ควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็น โรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา ฯลฯ ให้แพทย์ทราบ

ซึ่งสำหรับขั้นตอนในการ ดูดไขมันด้วย VASER นั้น โดยบริเวณที่จะทำการสลายไขมันจะถูกเติมด้วยน้ำเกลือชนิดพิเศษและยาชาเข้าไป เพื่อช่วยให้ไม่เจ็บ ทั้งยังลดการช้ำ และการเสียเลือด โดยหลังจากนั้นแพทย์ก็จะใช้เครื่อง VASER ซึ่งจะมีหัวขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตรใส่เข้าไปผ่านทางผิวหนัง เพื่อให้หัว VASER นั้นสัมผัสกับก้อนไขมันที่จะสลายโดยตรง จากนั้นปล่อยคลื่นเสียง (Ultrasound) เพื่อทำลายเฉพาะเจาะจงที่เซลล์ไขมัน ซึ่งทำให้ไขมันที่เป็นก้อนนั้นสลายตัวแล้วกลายเป็นของเหลว และเพื่อให้ถูกดูดออกมากอย่างง่ายดาย ซึ่งการดูดไขมันนั้นจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ต่อ 1 จุด เมื่อทำการดูดออกตามที่ต้องการแล้ว ผิวหนังจะถูกเย็บปิด 1 เข็ม ซึ่งแทบมองไม่เห็นเลย โดยหลังการรักษานั้นจะมีรอยช้ำและบวมเพียงเล็กน้อย ซึ่งคนไข้สามารถกลับบ้านได้ทันที หรือสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 3 – 7 วัน

โดยปกติแล้วนั้น หลังจากดูดไขมันเสร็จ อาจจะมีรอยช้ำบ้าง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำการแนะนำให้ใช้ผ้ายืดพันบริเวณที่ได้ทำการดูดไขมันแล้ว นั่นก็เพื่อช่วยลดอาการบวมและกระชับกล้ามเนื้อ ซึ่งการดูดไขมันด้วย Vaser Liposelection ( VASER ) นั้น จะใช้ระยะเวลาพักฟื้นน้อยกว่าการดูดไขมันแบบเดิม ซึ่งหลังจากดูดไขมันด้วย VASER และประมาณ 3 สัปดาห์คนไข้จะเริ่มก็จะเริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง และจะทำให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำประมาณ 3 – 6 เดือน หลังการดูดไขมันแล้วควรงดออกกำลังกายประมาณ 1 เดือน และให้กลับมาออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อในบริเวณที่ดูดไขมันออกไปนั้น มีความแข็งแรงขึ้น เท่านี้ก็จะทำให้รูปร่างกระชับเพรียวสมส่วน แต่สำหรับผิวหนังของคนที่มีอายุมากจะมีความหย่อนยาน ดังนั้น การดูดไขมันในกลุ่มของคนที่อายุยังน้อยจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า

ดูดไขมัน Vaser Liposelection ( VASER ) ต้องใช้ยาสลบไหม ?

แล้วแต่ลูกค้าเลย ว่าจะสะดวกแบบไหน จะใช้ยา หรือ จะเป็นยาชาก็ได้ แต่สมัยนี้คนส่วนใหญ่จะเลือกวิธี ฉีดยาชาแทน เพราะว่ามันปลอดภัยมากกว่า แถมไม่เจ็บอีกด้วย

ซึ่งนอกจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เข้ามาจะช่วยทำให้การดูดไขมันนั้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น และสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณมีรูปร่างที่สัดส่วนตามที่ต้องการ คือเทคนิคการดูดไขมันซึ่งทำโดยแพทย์ที่มีฝีมือและความชำนาญ ดังนั้น การเลือกศัลยแพทย์จึงทำให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมกันนี้สถานพยาบาลที่มีความพร้อมของเครื่องมือทางการแพทย์ ก็จะทำให้ผลลัพธ์ที่เราได้หลังการรักษาออกมาเป็นที่พึงพอใจ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12 Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults.

5 วิธีการดูดไขมัน ต้นแขน+ต้นขา สลายไขมันให้หายได้ภายในพริบตา

0
5 วิธีการดูดไขมัน ต้นแขน+ต้นขา สลายไขมันให้หายได้ภายในพริบตา
การดูดไขมันด้วยวิธี Bodytite การใช้พลังงาน RF (Radio Frequency) ยิงใส่ชั้นลึกของผิวหนังไขมัน ทำให้ไขมันสลายเป็นของเหลวก่อนจะดูดไขมันออกมา
5 วิธีการดูดไขมัน ต้นแขน+ต้นขา สลายไขมันให้หายได้ภายในพริบตา
การดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet เป็นการใช้พลังงานน้ำเข้าไปแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง และไขมันมีสภาพสมบูรณ์ นำมาใช้ประโยชน์ต่อได้

ดูดไขมัน

รวมข้อมูลการ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser, Bodytite, Water Jet ฯลฯ

สำหรับคนที่ศึกษาเรื่องการดูดไขมันต้นแขน ต้นขามาในระดับหนึ่งคงรู้แล้วว่าการ ดูดไขมัน จะมีวิธีหลัก ๆ ด้วยกันอยู่ 5 วิธี ได้แก่ Vaser, Bodytite, Water Jet, Smart Lipo และ Pal ซึ่งแน่นอนค่ะว่าแต่ละวิธีนั้นจะมีรายละเอียดที่ต่างกันออกไป วันนี้ทางเราจึงขออาสามาเจาะลึกวิธีการดูดไขมันทั้ง 5 วิธีนี้มาให้เพื่อน ๆ ประกอบการ พิจารณากันนะคะ

1. การดูดไขมันด้วยวิธี Vaser

การ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser นั้นจะเป็นการ ดูดไขมัน ด้วยการใช้เครื่องมือในการช่วยค่ะ โดยจะปล่อยพลังงานคลื่นเสียงหรือที่เรียกกันแบบเท่ ๆ ว่า Ultrasound ในระดับความถี่ที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมัน ทำให้ไขมันกลายเป็นของเหลว จากนั้นจึงใช้เครื่องมือดูดไขมันที่เป็นของเหลวออกมา

วิธีดูดไขมันด้วยต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser นี้จะทำให้เซลล์ผิวหนังได้รับการกระทบกระเทือนน้อยมากค่ะ ลดการเกิดรอยฟกช้ำได้อย่างดี แถมยังทำให้แผลหลังจากดูดไขมันต้นแขน ต้นขา หายเร็วอีกด้วย

ข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยวิธี Vaser

นอกจากวิธีการ Vaser จะสามารถ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขาได้แล้ว วิธีนี้ยังสามารถใช้ได้แทบทุกส่วนของร่างกายเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น หน้าท้อง สะโพก ใต้คาง หรือแม้กระทั่งโหนกบริเวณหลังต้นคอ ซึ่งระหว่าง ดูดไขมันด้วย Vaser นั้นจะมีอาการเจ็บเพียงนิดเดียวค่ะ และหลังจากดูดเสร็จก็จะไม่มีแผลหรือบวมอะไรมาก นอกจากนี้ยังใช้เวลาพักฟื้นไม่นานอีกด้วยนะคะ ส่วนข้อเสียของการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser คือ อาจมีน้ำคั่งหลังดูดไขมันได้ค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลอะไรมากเพราะแพทย์สามารถรักษาได้ด้วยการเจาะออก

การดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser เหมาะกับใคร

อย่างที่ได้บอกไปข้างบนค่ะ ว่าการ ดูดไขมันด้วยวิธี Vaser จะสามารถดูดไขมันได้เฉพาะส่วน เช่น ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น ซึ่งการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Vaser นี้จะเหมาะกับคนที่สลายไขมันยากค่ะ เช่น คนที่ออกกำลังกายเท่าไหร่ไขมันก็ไม่ยุบ เป็นต้น

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม: ดูดไขมัน Vaser ดียังไงพร้อมข้อดีและข้อเสีย

2. การดูดไขมันด้วยวิธี Body tite

การดูดไขมัน ด้วยวิธี Body tite คือ การใช้พลังงาน RF (Radio Frequency) ยิงใส่ชั้นลึกของผิวหนังไขมัน ทำให้ไขมันสลายเป็นของเหลวก่อนจะถูกดูดออกมาค่ะ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือเป็นการปล่อยคลื่นไฟฟ้าในระดับความถี่ที่เหมาะสมและคลื่นความร้อนเพื่อไปสลายไขมันนั่นเองค่ะ

2.1 ข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยวิธี Body tite

นอกจากความร้อนจากการ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Body tite จะช่วยสลายไขมันได้แล้ว ยังทำให้ผิวหนังกระชับ ลดการเสียเลือดได้อีกด้วยนะคะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่ดูดไขมันด้วยวิธี Body tite นั้นจะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์ และมีรอยช้ำเล็กน้อยเพียงแค่ 1 – 2 มิลลิเมตร ส่วนข้อเสียของการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Bodytite นั้นคือเรื่องของราคาค่ะที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิธีการอื่น ๆ แถมยังสลายไขมันตรงบริเวณที่เป็นพังผืดแน่น ๆ ได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

2.2 การดูดไขมันด้วยวิธี Body tite เหมาะกับใคร

แน่นอนค่ะว่าการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Body tite นั้นจะเหมาะกับคนที่มีไขมันส่วนเกินในปริมาณมาก นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะส่วนอีกด้วยค่ะ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้วคนที่เหมาะสมกับวิธี Body tite นั้นจะไม่ค่อยต่างกับวิธี Vaser ค่ะ แต่ที่ต่างกันจริง ๆ ก็คือการดูดไขมันด้วยวิธี Body tite นั้นจะเหมาะกับคนที่ต้องการกระชับผิวหนังเป็นพิเศษค่ะ

ถ้าหากใครอยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนี่เลย ดูดไขมันแบบ Body Tite แผลเล็กพร้อมกระชับผิวได้ภายในตัว

3. การดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet

การ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยพลังงานความร้อนก็มีแล้ว คราวนี้มาถึงการดูดไขมันด้วยการใช้พลังงานน้ำกันบ้างค่ะ ใช่แล้ว! การดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet นั้นจะเป็นการใช้พลังงานน้ำเข้าไปแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง ส่งผลให้เซลล์ไขมันดังกล่าวมีสภาพที่สมบูรณ์ค่ะ ทำให้นำมาใช้ประโยชน์ต่อได้อีกทีหนึ่ง

3.1 ข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet

อย่างที่บอกไปค่ะว่าการ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Water Jet นี้ทำให้ไขมันมีสภาพที่สมบูรณ์นำไปใช้ต่อได้ เช่น การสกัดเป็นสเต็มเซลล์เพื่อซ่อมแซมร่างกาย หรือ การนำไขมันไปศัลยกรรมเสริมหน้าอกต่อ เป็นต้น ซึ่งการศัลยกรรมด้วยไขมันตัวเองนั้นถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากวิธีหนึ่งค่ะ เพราะเนื้อเยื่อจะปรับตัวให้เข้ากันได้ง่าย ส่วนข้อเสียของการ ดูดไขมัน ต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Water Jet นั้นคืออาจมีน้ำหรือไขมันตกค้างได้ค่ะ แต่ยังไงก็ตามสามารถระบายออกได้หลังผ่าตัดเสร็จค่ะ

3.2 การดูดไขมันด้วยวิธี Water Jet เหมาะกับใคร

แน่นอนค่ะว่าการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ด้วยวิธี Water Jet นั้นจะเหมาะกับคนที่ต้องการนำไขมันที่สมบูรณ์ไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ต่อ แต่ยังไงก็ตามคนที่ไม่มีแผนจะนำไขมันไปใช้อีกรอบก็สามารถใช้วิธี Water Jet ได้นะคะ เพราะวิธีนี้ไม่ทำให้เนื้อเยื่อบอบช้ำ แผลหายเร็ว และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานค่ะ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : ดูดไขมัน Water Jet ด้วยพลังงานน้ำ

4. การดูดไขมันด้วยวิธี Smart Lipo

การ ดูดไขมัน ด้วยวิธี Smart Lipo นั้นจะใช้เลเซอร์ในการสลายเซลล์ไขมันค่ะ โดยจะยิงเลเซอร์เข้าไปก่อน หลังจากนั้นจึงนำไขมันออกมา ซึ่งวิธี Smart Lipo นี้จะเป็นการดูดไขมันกึ่งผ่าตัดค่ะ ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แต่จะไม่เจ็บมาก และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลด้วย

4.2 ข้อดี ข้อเสีย ของการดูดไขมันด้วยวิธี Smart Lipo

การดูดไขมันด้วยวิธี Smart Lipo นั้นจะใช้เวลาพักฟื้นไม่นานค่ะ ได้ผิวที่เรียบเนียน นอกจากนี้ยังเห็นผลได้เร็วหลังจากทำเพียงแค่ 1 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ 3 – 6 เดือน หากควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ส่วนข้อเสียของการ ดูดไขมันด้วย Smart Lipo ก็คือวิธีนี้จะดูดไขมันได้น้อยค่ะ อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถ อ่านต่อได้ที่นี่ : ดูดไขมัน Smart Lipo มี ข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร

ดูดไขมัน Smart Lipo

4.3 การดูดไขมันด้วยวิธี Smart Lipo เหมาะกับใคร

อย่างที่บอกไปการ ดูดไขมัน ด้วยวิธี Smart Lipo นั้นจะดูดไขมันได้น้อยค่ะ ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่ไขมันไม่มากนัก เช่น มีไขมันที่ต้นแขน บริเวณคาง คอ หรือ ใบหน้า

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลเพิ่มเติม : ดูดไขมัน Smart Lipo

5. การดูดไขมันด้วยวิธี Pal

ต้องขอเกริ่นอย่างงี้ก่อนนะคะว่า Pal หรือ Power Assisted Liposuction เป็นเครื่องมือทุนแรงที่แพทย์ใช้ช่วยในการ  “ดูดไขมัน” ต้นแขน ต้นขาค่ะ โดยเครื่องมือนี้จะเพิ่มความถี่ของเข็มดูดไขมัน คล้าย ๆ กับการสั่นของแปรงสีฟันไฟฟ้าค่ะ ซึ่งจะทำให้ดูดไขมันในส่วนที่ยากให้ออกมาง่ายขึ้นค่ะ สามารถใช้ร่วมกับวิธีดูดไขมันแบบ Bodytite ได้

 

5.1 ข้อดี ข้อเสีย การดูดไขมันต้นด้วยวิธี Pal

อย่างที่เราได้บอกไปข้างบนค่ะ ว่าเครื่อง Pal หรือ Power Assisted Liposuction นั้นสามารถดูดไขมันในส่วนที่ยากให้ออกมาได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยแพทย์ประหยัดเวลาอีกนะคะ นอกจากนี้การดูดด้วยเครื่อง Pal ยังทำให้ผิวหนังมีการบอบช้ำน้อยลงอีกด้วย ส่วนข้อเสียนั้นก็คือถ้าเป็นเครื่อง Pal แบบเก่าจะมีเสียงดังรบกวนมากค่ะ นอกจากนี้เครื่อง Pal ยังมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้ต้นทุนการดูดไขมันต้นแขน ต้นขา สูงขึ้นตาม

5.2 การดูดไขมันด้วยวิธี Pal เหมาะกับใคร

แน่นอนค่ะว่าการดูดไขมันด้วยเครื่อง Pal นั้นเหมาะกับคนที่มีไขมันที่ดูดออกยาก ซึ่งถ้าไปหาแพทย์แล้วพบว่าไขมันที่ต้องการดูดนั้นไม่ยากมากก็ใช้เพียงแค่วิธี Bodytite ธรรมดา ๆ ก็ได้ค่ะ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม : ดูดไขมัน ด้วยวิธี PAL

เป็นยังไงบ้างคะกับ 5 วิธีการดูดไขมัน ที่ทางเราหยิบมานำเสนอ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลของเรานั้นจะช่วยเพื่อน ๆ ในการตัดสินใจดูดไขมันต้นแขน ต้นขา ได้ในระดับหนึ่งนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Stegmann TJ (December 1998). “FGF-1: a human growth factor in the induction of neoangiogenesis”. Expert Opin Investig Drugs. 7 (12)

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

results of the National Thai Food Consumption Survey. Nutrients. 2, 60-74.

ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย

คำถามที่พบบ่อยเรื่องการเสริมหน้าอก

0
คำถามที่พบบ่อยเรื่องการเสริมหน้าอก
เสริมหน้าอก ควรเสริมขนาดไม่เกิน 300 CC หรือ ดูจากรูปร่างสรีระของผู้ที่ต้องการ
คำถามที่พบบ่อยเรื่องการเสริมหน้าอก
เสริมหน้าอก ควรเสริมขนาดไม่เกิน 300 CC หรือ พิจารณาจากรูปร่างสรีระของผู้ที่ต้องการเสริมหน้าอก

ความลับที่ไม่ลับ สำหรับ คำถามที่พบบ่อยมากที่สุดสำหรับการ ศัลยกรรม เสริมหน้าอก หากใครกำลังติดปัญหาหรือมีเรื่องกังวลใจ แนะนำให้เข้ามาอ่านเลย

ไปทำนมมา จะให้นมลูกได้ไหม ?

สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ  ( สามารถบีบเก็บน้ำนมด้วยมือหรือปั้ม ได้ )

อายุที่เหมาะสมในการทำหน้าอก

จริงๆ การ เสริมหน้าอก สามารถทำได้ตั้งแต่ อายุ 18 ปี ขึ้นไปครับ แต่ถ้าจะให้ดีเลย อายุ 22 ปี กำลังดี เพราะถ้าหากว่าเราทำนมตอนที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต อาจจะทำให้ ร่างกายมีปัญหาได้

ทำนมพักฟื้นกี่วัน

อันนี้มันก็มีอยู่หลายปัจจัยนะ ขึ้นอยู่กับ อายุด้วย ยิ่งถ้าทำกับคนอายุน้อยๆ ก็มีโอกาสที่จะหายเร็วกว่า โดยส่วนมากที่ แผลจะหาย ก็ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ถือว่าเพียงพอ

แต่ก็ยังมีอีกหลายกรณี ที่ยังทำให้เจ็บอยู่ เพราะเนื่องจาก ถ้าคนไข้เป็นคนรูปร่างเล็ก ผอมบาง ผิวหนังบริเวณหน้าอกน้อย แผลก็จะตึงมาก ทำให้รู้สึกเจ็บปวด

ระยะเวลาการผ่าตัดเสริมหน้าอก

ใช้เวลาโดนประมาณ 2-3 ช.ม

เสริมหน้าอกต้องวางยาสลบไหม ?   

อันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นความต้องการของลูกค้าที่เข้ามา ทำนม ว่าจะเลือกแบบไหน

แต่ส่วนใหญ่ที่นิยมกันก็คือ การวางยาสลบนั่นเอง แต่ถ้าใครกลัว ก็สามารถ ทำแบบยาชาได้นะ แต่อาจจะเจ็บนิดนึง

ต้องอดอาหารด้วยไหม

  • 8 ช.ม หลังจากทำการผ่าตัด

ต้องนอนโรงพยาบาลไหม

  • ไม่จำเป็น

ตัดไหมเมื่อไหร่

  • 7 วันหลังจากผ่าตัด

บริเวณที่จะผ่าใส่วัสดุเสริมหน้าอก

มีอยู่ ประมาณ 4 จุดใหญ่ ๆ ซึ่งการใส่แต่ละประเภท ก็จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากจะเอาไว้หลบพวกรอยแผลเป็น

  • สะดือ
  • แผลรอบปานนม
  • ใต้ราวนม
  • ใต้รักแร้

ขึ้นเครื่องบินแล้ว ทำให้ซิลิโคนเสริมอกแตก จริงหรือ ?

เสริมหน้าอกแล้ว ควรเสริมขนาดเท่าไรดี

อันนี้ ที่อยากแนะนำเลยก็คือ ขนาดไม่เกิน 300 CC แต่จะบอกแบบนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ต้องดูอีกหลายปัจจัย เช่น รูปร่างของผู้ที่ต้องการ เสริมหน้าอก ว่ามีขนาดเท่าไร ในกรณีที่ ใส่แบบไม่สมดุล มันก็จะขาดความเป็นธรรมชาติไปเลย ดูยังไงก็ดูไม่สวย

รูปทรงของวัสดุที่ต้องการเสริม

  • ทรงหยดน้ำ
  • ทรงกลม

ประเภทผิวซิลิโคนมีอะไรบ้าง ?

  • แบบหยาบ
  • แบบเรียบ

ถุงซิลิโคนมีอยู่กี่ชนิด 

ถุงน้ำเกลือ และ เจลลี่

ควรเสริมซิลิโคนแบบไหนระหว่างผิวเรียบ กับผิวขรุขระ?

ตอนนี้ที่กำลังนิยมเลยก็คือ ซิลิโคนแบบผิวทราย ไม่ต้องนวดมาก อันนี้ก็อยู่กับ หมอที่ศัลยกรรมด้วย

อายุซิลิโคนเสริมหน้าอก อยู่ได้กี่ปี ?

ประมาณ 10 – 15 ปีขึ้นไป อันนี้ก็แล้วแต่ละประเภท ซิลิโคน แต่ส่วนใหญ่ที่นิยมเสริมนมกัน จะอยู่ประมาณนี้

กรณีที่ไม่พอใจอยากแก้ไขรูปทรง

ต้องรอไปอีกประมาณ 6 เดือน – 1 ปี  ถึงจะทำการแก้ไขรูปทรงใหม่ได้

เสริมหน้าอกมีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งเต้านม ได้มากขึ้น

  • ไม่มีผลกระทบต่อการเกิดมะเร็ง

เป็นยังไงกันบ้าง หวังว่าคงจะได้คำตอบในสิ่งที่อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องการ เสริมหน้าอก นะครับ สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อน เดียวมีอะไรอัพเดทจะมาแจ้งให้ทราบกันนะครับ จมูกอะเรื่องเล็ก หน้าอกเล็กสิเรื่องใหญ่

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. ต้านมะเร็งเต้านม : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2554.

แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข. 100 เรื่องน่ารู้ มะเร็งในผู้หญิง : กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2556.