มาเริ่มดูแลสมองของคุณ ป้องกันโรคสมองเสื่อมตั้งแต่วันนี้

0
สมองเป็นส่วนที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรกของร่างกาย มีหน้าที่ควบคุมระบบทั้งหมด จึงจำเป็นต้องดูแลให้แข็งแรงและพร้อมทำงาน
ดูแลสมองของคุณตั้งแต่วันนี้
สมองเป็นส่วนที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรกของร่างกาย มีหน้าที่ควบคุมระบบทั้งหมด จึงจำเป็นต้องดูแลให้แข็งแรงและพร้อมทำงานเสมอ

สมองเสื่อม

สมองเสื่อม (Dementia) เกิดจากความผิดปกติของสมองทำให้สูญเสียความทรงจำบางส่วนหรือทั้งหมดไป อาการของโรคสมองเสื่อม โดยทั่วไปแล้วมักพบการสูญเสียความทรงจำช่วงสั้นๆ รู้สึกหงุดหงิด โมโห ซึมเศร้าและปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ หากคนในครอบครัวมีอาการบ่งชี้ถึงโรคสมองเสื่องควรรีบนำตัวไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคให้แน่ชัดอีกที อย่างไรก็ตามการรักษาโรคสมองเสื่อมต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลจากสมาชิกในครอบครัว

ปกติโรคอัลไซเมอร์จะเกิดกับผู้สูงอายุ เพราะเซลล์สมองเสื่อม ตามธรรมชาติของสังขารร่างกาย แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกันที่เกิดในกลุ่มวัยกลางคน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีการดำเนินโรคที่รวดเร็วกว่าผู้สูงอายุมาก เพียงไม่นานอาการจากโรคอัลไซเมอร์ก็จะรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เริ่มจากมีปัญหาต่อหน้าที่การงาน มีปัญหากับคนรอบข้าง และมีปัญหาต่อตัวเองในที่สุด

โรคเกี่ยวกับสมองเกือบทั้งหมดมีต้นเหตุของโรคที่หลากหลาย และมีการดูแลรักษาที่แตกต่างไปในรายบุคคล โดยจะเป็นไปในลักษณะของการรักษาร่วมไปกับการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง หากรูปแบบการรักษาเดิมไม่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจก็จะเปลี่ยนการรักษาไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสม หรือแม้แต่การรักษาเดิมให้ผลดีมากก็ยังต้องพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบการรักษาไปสู่ขั้นต่อไปอยู่ดี เพราะสมองเริ่มมีภาวะที่ต่างไปจากเดิมแล้วนั่นเอง

การรักษาและบำบัดผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับสมองส่วนใหญ่ จะเป็นการรักษาระดับของโรคให้คงที่หรือชะลอความเสื่อมให้ช้าลงเท่านั้น ไม่อาจย้อนกลับให้มีสมองที่มีศักยภาพเท่าเดิมได้

ตัวช่วยหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการใช้ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างสารพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม หรือ Epigenetics เป็นการศึกษาการทำปฏิกิริยาของ DNA กับสารโมเลกุลเล็กๆ ในเซลล์ ทำให้เกิดการทำหรือไม่ทำบางอย่างขึ้น การแสดงออกของยีนจะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อมที่มากระทบอยู่เสมอ แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนลำดับหรือรหัสของพันธุกรรม ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายก็คือ เมื่อต้นไม้ได้รับแสงแดดและน้ำมากขึ้น นั่นหมายถึงสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ต้นไม้ก็เติบโตได้เร็วขึ้น ออกดอก ออกผลมากขึ้น เป็นการแสดงออกของยีนที่มีผลมาจากสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมเดิม หมายถึง ต้นไม้ไม่ได้เกิดการกลายพันธุ์ไปเป็นต้นไม้ชนิดอื่นนั่นเอง และทฤษฎีนี้ก็มีผลต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรวมถึงมนุษย์ด้วย เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน เซลล์และระบบร่างกายของมนุษย์ก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่แพทย์นำมาใช้เพื่อให้คำแนะนำในการปรับปรุงพฤติกรรมหรือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมร่วมกับการรักษาด้านอื่นๆ ให้กับผู้ป่วยทางสมองอยู่เสมอ หัวใจสำคัญก็คือเราสามารถใช้หลักการเดียวกันนี้ดูแลสมองของเราให้แข็งแรงสมบูรณ์ได้ตั้งแต่ต้น ไม่จำเป็นต้องรอให้เจ็บป่วยก่อนแต่อย่างใด

เทคนิคการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมเพื่อการดูแลสมอง

สมองก็เหมือนกับอวัยวะอื่นๆ ต้องดูแลให้แข็งแรงและพร้อมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ จึงจะเรียกว่าเป็นการดูแลสมองอย่างถูกต้อง ต่อไปนี้คือแนวทางในการปฏิบัติเพื่อดูแลสมอง

1. น้ำสะอาดคือสิ่งสำคัญ : ส่วนประกอบของสมองมีน้ำอยู่มากถึง 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองเป็นส่วนที่ต้องการน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ไม่มีวันขาดน้ำได้เลย หากสมองได้รับน้ำไม่เพียงพอ เซลล์สมองก็เหี่ยว ของเหลวที่เป็นสาระสำคัญต่างๆ ก็หนืดข้นจนไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลกระทบให้สมองทำงานได้ช้าลงมาก จะกลายเป็นคนคิดอ่านช้า หรือไม่มีความคิด ไม่มีไอเดียในการทำงานต่างๆ จึงต้องดื่มน้ำสะอาดให้มากพอในแต่ละวัน

2. ไขมันก็จำเป็น : นอกจากส่วนของน้ำแล้ว สมองก็ยังประกอบไปด้วยไขมัน เพราะหากจะมองดีๆ สมองก็คือก้อนไขมันที่มีเส้นประสาทจำนวนมากนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ไขมันทั้งหมดบนโลกที่จะดีต่อสมอง จำเป็นต้องเลือกไขมันดีเท่านั้น เช่น ไขมันปลา นมถั่วเหลือง น้ำมันพริมโรส เป็นต้น เหล่านี้จะช่วยให้สมองชุ่มชื้นและมีการทดแทนไขมันส่วนที่สึกหรอด้วยไขมันดีๆ อยู่เสมอ เซลล์สมองจึงไม่เสื่อมสภาพ

3. ระวังน้ำตาล : น้ำตาลเป็นสารอันตรายที่ร้ายแรงมากกว่าสารพิษบางตัวเสียอีก แต่เรารับน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายกันไม่น้อยเลยในแต่ละวัน ถ้าถึงจุดที่น้ำตาลในเลือดสูงมากก็จะมีผลต่อสมองทันที เพราะเลือดที่อุดมไปด้วยน้ำตาลนั้นจะต้องถูกส่งไปหล่อเลี้ยงสมอง สารแอมีลอยด์ ( Amyloid ) ซึ่งเป็นสารประเภทโปรตีนที่ทำให้เกิดความผิดปกติในเซลล์ก็จะพากันสะสมในสมองมากขึ้น

4. ออกกำลังกาย : นี่คือยาวิเศษสำหรับทุกโรคอยู่แล้ว แต่หากเจาะจงไปที่สมอง การออกกำลังกายอย่างถูกต้องและเพียงพอจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเลี้ยงสมองที่เรียกว่า Brain-derived Growth Factor ( BDGF ) ออกมาจำนวนมาก เป็นสารที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเร่งให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์สมองมากขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านี้เมื่อการออกกำลังกายนั้นเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ จะมีการหลั่งสาร Brain-derived neurotrophic factor ( BDNF ) ออกมาด้วย ตัวนี้เป็นกลุ่มโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการแตกแขนงของเซลล์ประสาทและเส้นทางเชื่อมต่อ จึงส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้และการจดจำ 

5. ทำสมาธิเป็นประจำ : ระหว่างวันที่เราทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ คลื่นในสมองจะเต้นเร็วและแรงมาก เมื่อนอนจนเข้าสู่ช่วงของการหลับลึกจึงจะมีคลื่นสมองที่นิ่งสงบ เราเรียกช่วงคลื่นนี้ว่า Theta เป็นคลื่นที่ผ่อนคลายที่สุด จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นมากในช่วงนี้ รวมทั้งระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะสมดุล สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างเต็มที่ด้วย แต่เชื่อหรือไม่ว่าในแต่ละคืนที่เรานอน ไม่ใช่ว่าจะเข้าสู่ช่วงหลับลึกได้เสมอไป หากวันไหนตื่นมาแล้วยังรู้สึกอ่อนเพลีย นั่นแสดงว่าไม่ได้ผ่านช่วงหลับลึกเลย สมองจึงไม่ได้ผ่อนคลายและร่างกายไม่ได้ฟื้นตัว การทำสมาธิเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 10 นาที เป็นการปรับคลื่นสมองให้อยู่ช่วง Theta เช่นเดียวกับการหลับลึก จึงเป็นอีกทางเลือกที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองนิยมใช้กัน

6. หายใจให้ถูก : เราหายใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งช่วงที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หายใจแบบผิดๆ มาตลอด ทำให้ร่างกายได้ปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอและส่งผลกระทบต่อสมองด้วย เพราะสมองของมนุษย์ใช้ออกซิเจนมากถึงร้อยละ 25 เปอร์เซ็นต์ การฝึกหายใจให้ถูกจึงเป็นการดูแลสมองที่ดีมากทางหนึ่ง ลักษณะการหายใจที่ถูกต้องคือต้องหายใจเข้าแล้วท้องป่องออกมาเล็กน้อย ไม่ใช่ให้ส่วนอกขยาย และไม่ใช่การยกตัวหรือยกไหล่ เมื่อหายใจออกท้องก็ต้องยุบลง หากทำได้แบบนี้เราจะรับออกซิเจนเข้าไปได้อย่างเต็มที่

7. ฝึกสมองให้รอบด้าน : ธรรมชาติของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย เมื่อไม่เกิดการใช้งานเท่าที่ควร นานวันเข้าก็จะหดเล็กหรือเสื่อมสภาพไป สมองก็เช่นเดียวกัน เราจึงต้องกระตุ้นให้สมองทำงานครบทุกด้านอยู่เสมอ ด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในทุกวัน อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ได้ เช่น ทานอาหารแบบใหม่ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ เป็นต้น เล่นเกมส์ที่พัฒนาสมองอย่างพวกที่ต้องใช้ความจำหรือการเชื่อมโยง จับกลุ่มพูดคุยเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงทำกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะในการเคลื่อนไหวร่างกายด้วย

8. จัดสมดุลอาหาร : การเสริมสร้างสมองต้องการส่วนประกอบจำพวกสารอาหารที่หลากหลายและสมดุล ตัวหลักที่ขาดไม่ได้คือน้ำ ไขมันและโปรตีน ดังนั้นจึงต้องทานอาหารให้ครบทุกหมู่ตามหลักโภชนาการ และต้องมีปริมาณที่เหมาะสมในทุกประเภท หากกลุ่มใดที่ไม่สามารถทานได้ก็ให้หาอาหารเสริมมาทดแทน หรือมองหาวัตถุดิบทำอาหารอย่างอื่นซึ่งให้สารอาหารใกล้เคียงกันมาชดเชยได้

9. ระวังอาหารมื้อเย็น : หากเราทานมื้อเย็นหนักไป ร่างกายจะต้องกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงาน ยิ่งปริมาณอาหารมาก ก็ต้องย่อยเป็นเวลานาน ดังนั้นตลอดทั้งคืนที่นอนหลับร่างกายจะไม่ได้พักผ่อนเลย เพราะยังต้องทำการย่อยอาหารอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีทางได้เข้าสู่ช่วงของการหลับลึก และช่วงคลื่น Theta ที่ดีต่อสมองก็จะไม่เกิดด้วย อาหารมื้อเย็นจึงต้องเป็นอะไรที่ย่อยได้ง่าย เน้นเมนูที่เป็นผักเยอะหน่อย ลดแป้งกับเนื้อให้น้อยลง 

10. หมั่นจัดการกับความเครียด : ทันทีที่เครียดร่างกายจะหลั่งสารแห่งความเครียด หรือ Stress Hormone ออกมา เช่น แอดรีนาลิน ( Adrenalin ) คอร์ติซอล ( Cortisol ) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อในทุกส่วนของร่างกาย เพิ่มความดันโลหิต ทำลายสมองส่วนที่เกี่ยวกับการเก็บความจำ และแน่นอนว่าส่งผลร้ายต่อร่างกายและสมองในระยะยาวด้วย จึงต้องคอยจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ด้วยการหาทางระบายออกหรือเปลี่ยนโฟกัสไปหาสิ่งที่รู้สึกสดชื่นแจ่มใสมากกว่า

อาหารบำรุงสมองป้องกันโรคสมองเสื่อม

แปะก๊วย : อาหารขึ้นชื่ออันดับหนึ่งที่ถูกยกให้เป็นอาหารทรงพลังในการบำรุงสมอง แปะก๊วยคือพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณเสริมสร้างความจำได้ดีมาก ป้องกันความเสื่อมและการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ทั้งยังป้องกันการอักเสบและมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือแปะก๊วยไม่ได้เป็นยารักษาโรคความเสื่อมของสมองแต่อย่างใด เพียงแค่ช่วยบำรุงให้สมองแข็งแรงตั้งแต่ตอนที่สมองยังปกติดีอยู่เท่านั้น และต้องทานในปริมาณที่พอดีจึงจะเป็นประโยชน์

น้ำมันปลา : ในเมื่อสมองมีไขมันเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ น้ำมันปลาที่ประกอบไปด้วยกรดไขมันประเภทโอเมก้า 3 และเป็นไขมันดี จึงเป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสมองแน่นอน มีงานวิจัยและทฤษฏีที่ยืนยันแล้วว่าโอเมก้า 3 ช่วยลดความเสื่อมสภาพของสมองได้จริง ช่วยป้องกันเซลล์ประสาทและลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดด้วย เราสามารถเลือกทานได้ทั้งแบบที่เป็นอาหารเสริมและแบบที่เป็นการนำเนื้อปลามาปรุงอาหาร

ไข่ : วัตถุดิบประจำบ้านที่หลายคนมองข้ามไป แต่ไข่เป็นอาหารมหัศจรรย์ที่ทานได้ทุกเพศทุกวัยและยังมีประโยชน์ที่ครบถ้วน ล่าสุดมีการตรวจพบสารโคลีน ( Choline ) ในไข่ไก่ ซึ่งเป็นสารที่จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี มีบทบาทสำคัญต่อร่างกายหลายอย่าง ได้แก่ เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นสารตั้งต้นของการสร้างสารสื่อประสาทที่ใช้ในการส่งกระแสประสาท ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และจดจำของสมอง นอกจากราคาถูก ทานง่าย และปรุงได้หลายรูปแบบแล้ว ยังสามารถทานได้ทุกวันอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

ท่าบริหาร 17 ท่า ทำแค่วันละ 5 นาที แก้อาการกระดูกผิดรูปทรงได้

0
ท่าบริหาร 17 ท่า ทำแค่วันละ 5 นาที แก้อาการกระดูกผิดรูปทรงได้
อาการกระดูกหลังผิดรูปเกิดขึ้นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เกิดจากมีการใช้งานกระดูกสันหลังมาก การออกกำลังกายเป็นการฟื้นฟูกระดูกสันหลังกลับสู่รูปทรงแบบธรรมชาติ
ท่าบริหาร 17 ท่า ทำแค่วันละ 5 นาที แก้อาการกระดูกผิดรูปทรงได้
อาการกระดูกหลังผิดรูปเกิดจากมีการใช้งานกระดูกสันหลังมาก การออกกำลังกายเป็นการฟื้นฟูกระดูกสันหลังกลับสู่รูปทรงแบบธรรมชาติ

อาการ กระดูก ผิดรูป

อาการกระดูกผิดรูป เป็นอาการที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุระหว่าง 10-15 ปีการเกิดกระดูกผิดรูปทรงสามารถเกิดขึ้นได้มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กในวัยนี้กระดูกสันหลังยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ แต่มีการใช้งานกระดูกสันหลังมาก การทำกิจกรรมประจำวัน ทั้งการวิ่ง การกระโดด และเด็กมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเพราะมีความระมัดระวังน้อย จึงส่งผลให้กระดูกสันหลังเกิดการผิดรูปทรงขึ้นได้

เมื่อเรารู้สึกปวดหลัง หลายคนจะคิดว่าอาการปวดหลังเกิดจากกล้ามเนื้อเกิดความตึงเครียด ต้องทำการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการปวด ไม่ว่าจะนวดน้ำมันหรือนวดแผนโบราณขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละบุคคล เมื่อทำการนวดผ่านไปสักพักอาการปวดดังกล่าวก็กลับมาอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ การนวดเป็นการกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แต่ทว่าอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่เกิดจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อเสมอไป บางครั้งอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นอาจเกิดเนื่องจากการที่กระดูกสันหลังเริ่มมีอาการกระดูกสันหลังผิดรูปทรงแล้วก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นต่อให้เราทำการนวดมากเท่าใด อาการปวดหลังก็จะไม่สามารถหายสนิทได้ และเมื่อมีอาการหนักมากหรือปวดหลังจนมากจนไม่สามารถทนได้จึงจะไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา แต่ทว่าเมื่อเข้าไปทำการรักษาอย่างจริงจัง อาการปวดหลังที่เกิดจาก อาการกระดูกผิดรูป ก็มีอาการที่ค่อนข้างหนักแล้ว ต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับการกินยาหรือฉีดยาเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาอาการปวดหลังให้หายขาดได้
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า อาการปวดหลังที่เกิดจากอาการกระดูกสันหลังผิดรูปทรงสามารถรักษาได้ด้วยตนเอง เพียงแต่การรักษาต้องเริ่มรักษาตั้งแต่อาการปวดหลังอยู่ในระยะเริ่มต้นจนถึงระยะที่มีความรุนแรงปานกลางเท่านั้น ซึ่งวิธีการนี้เป็นการฟื้นฟูกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานให้กลับเข้าสู่รูปทรงที่ถูกต้องตามธรรมชาติจึงเป็นวิธีการที่ป้องกันอาการปวดหลังให้หายขาดได้

วิธีการที่ช่วยฟื้นฟูด้วยท่าทางที่ช่วยให้กระดูกสันหลังกลับเข้ารูปทรงตามธรรมชาติ

การออกกายบริหารสำหรับการฟื้นฟู กระดูกสันหลัง เป็นท่ากายบริหารที่มีขั้นตอนง่าย ๆ สามารถทำเองหรือทำร่วมกับเพื่อนก็ได้เช่นกัน ในการออกกายบริหารมีข้อปฏิบัติดังนี้

1. มีวินัย การออกกายบริหารเพื่อฟื้นฟูกระดูกสันหลังให้กลับเข้าสู่รูปร่างตามธรรมชาติต้องทำอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือ ทำทุกวันอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผลการพัฒนาของกระดูกสันหลังว่าเริ่มกลับเข้าสู่รูปทรงตามธรรมชาติแล้ว และอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นย่อมลดลงอย่างชัดเจน

2. ไม่จำกัดเวลา การออกกายบริหารไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะทำเพียงแค่ 5 นาทีหรือมากกว่า 10 นาทีก็มีผลที่ไม่ต่างกัน เพราะว่าการที่กระดูกสันหลังจะกลับเข้าสู่รูปทรงตามธรรมชาติได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอของการปฏิบัติมากกว่าระยะเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติกายบริหาร

3. ปฏิบัติเป็นกลุ่ม การออกกายบริหารควรมีเพื่อนในการออกกำลังกาย เพื่อลดความเบื่อในการทำการบริหาร เนื่องจากท่ากายบริหารเพื่อฟื้นฟูกระดูกสันหลังให้กลับเข้าสู่รูปทรงตามธรรมชาตินั้น ท่าทางที่ปฏิบัติจะต้องปฏิบัติอย่างช้า ๆ ห้ามปฏิบัติอย่างรวดเร็ว เพื่อทีจะค่อยทำให้กระดูกเคลื่อนที่เข้าที่เดิม แต่ถ้าปฏิบัติกายบริหารด้วยความรวดเร็วจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อการฟื้นฟูกระดูก จากการที่ต้องปฏิบัติด้วยความเชื่องช้าผู้ปฏิบัติจึงเกิดอาการเบื่อหน่ายในการออกกายบริหารได้ง่าย แต่ถ้ามีเพื่อนในการปฏิบัติหรือปฏิบัติเป็นหมู่คณะ ความรู้สึกเบื่อหน่ายในการออกกายบริหายก็จะลดน้อยลง ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติต่อเนื่องจนกระดูกสันหลังกลับเข้าสู่รูปทรงตามธรรมชาติและอาการปวดหลังที่เป็นอยู่ก็จะหายขาดได้

4. ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ ท่ากายบริหารเพื่อฟื้นฟู กระดูกสันหลัง สามารถปฏิบัติได้ทั้งที่ใช้และไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยในการปฏิบัติขึ้นอยู่กับความถนัดและความต้องการของผู้ปฏิบัติ ว่าต้องการใช้อุปกรณ์ในการปฏิบัติหรือไม่ แต่ว่าบางท่าทางในการบริหารจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ในการปฏิบัติ ซึ่งผู้ปฏิบัติก็ควรที่จะใช้อุปกรณ์ในการปฏิบัติด้วยจึงจะได้ผลดีในการออกกายบริหารนั่นเอง

อุปกรณ์ที่ใช้ในการออกกายบริหารที่ช่วยให้สามารถฟื้นฟูกระดูกสันหลัง

1. หมอน
ท่ากายบริหารบางท่าจำเป็นต้องใช้หมอนรองที่บริเวณใต้คอ หมอนที่ใช้ควรโค้งพอดีกับช่วงคอ ไม่สูงหรือต่ำกว่าช่องว่างระหว่างของมากเกิดไป เพราะจะส่งผลให้กระดูกคอต้องรับน้ำหนักมาก ปัจจุบันนี้มีการออกแบบหมอนให้พอดีกับช่วงคออยู่หลายแบบ ผู้ปฏิบัติสามารถเลือกซื้อได้ตามความพอใจ แต่ถ้ายังไม่มีหมอนก็สามารถใช้ผ้าขนหนูที่นุ่มทำการม้วนและนำมาวางรองบริเวณใต้คอทดแทนได้เช่นกัน

2. เบาะรอง ( Exercise Mats )
เบาะรองสำหรับทำกายบริหารเพื่อฟื้นฟูกระดูกสันหลังจะต้องไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป ซึ่งเบาะที่นำมาทำการบริหารสามารถใช้เบาะเล่นโยคะได้เช่นกัน คุณสมบัติของเบาะรองออกกำลังกาย คือ เนื้อแน่น นุ่มไม่ยุบจนแบน มีความยืดหยุ่น ทนทาน สามารถกันน้ำได้ ไม่เป็นสะสมของฝุ่นและเชื้อราที่เกิดขึ้นเนื่องจากเหงื่อที่ออกในขณะที่ออกกำลังกาย

2.1 ความหนา เบาะรองที่นิยมนำมาใช้จะมีความหนาประมาณ 2-8 มิลลิเมตร ซึ่งความหนาที่ดีสำหรับการใช้งานก็คือ ความหนาที่ 6-8 มิลลิเมตร เนื่องจากสามารถช่วยรองรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในขณะที่ออกกำลังได้มากขึ้นแต่ห้ามทำท่ากายบริหารบนเบาะที่มีความหนาและนุ่มมาก ๆ เพราะจะเสี่ยงให้ กระดูกสันหลัง เกิดอาการบาดเจ็บได้เนื้อ

2.2 ลักษณะของผิวสัมผัส ผิวสัมผัสหรือความหนึบของเบาะรองจะต้องมีความฝืดเพื่อช่วยป้องกันการลื่นไถลในขณะที่ออกกำลังกาย รับแรงกระแทกได้ดี

2.3 ขนาด โดยปกติเบาะออกกำลังกายจะมีขนาดที่เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว แต่สำหรับคนสูงควรเลือกเบาะที่มีความยาวมากกว่าความสูงของตัวเองเล็กน้อย เพื่อที่เวลาที่ต้องออกกำลังกายในท่านอนจะได้ทำได้อย่างสะดวก

2.4 ทำความสะอาดได้ง่าย เบาะออกกำลังกายควรทำจากวัสดุที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย ไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ฝุ่น ไรฝุ่น เช่น Latex Rubber EVA TPE เป็นต้น

3. แผ่นยางยืด (Body Control Band หรือ BCB)

แผ่นยางยืดสำหรับออกกำลังกายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์มาเพื่อช่วยในการบริหารกล้ามเนื้อและข้อต่อโดยเฉพาะ ซึ่งแผ่นยางยืดสำหรับออกกำลังกายแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน คือ

3.1 ระดับ 1 สำหรับผู้ที่ต้องการแรงต้านน้อย ผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกายหรือคนที่ยังไม่ออกกายบริหารมาก่อน และต้องการลองเล่น แบบนี้เหมาะสำหรับการใช้ฟื้นฟู กระดูกสันหลัง หรือใช้ในการทำกายภาพบำบัด

3.2 ระดับ 2 สีนี้จะมีแรงต้านสูงกว่าระดับ 1 เหมาะสำหรับผู้ที่มีแรงมาก เมื่อใช้แผ่นยางยืดในระดับ 1 แล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้ออกกำลังกายเลย ควรที่จะเพิ่มแรงต้านมาอยู่ในระดับนี้แทน

3.3 ระดับ 3 สีนี้จะมีแรงต้านสูงแรงต้านมาก สามารถรับน้ำหนักตัวผู้ปฏิบัติได้มาก และผู้ที่ต้องการออกกำลังกายอย่างหนัก

ท่ากายบริหารที่สามารถช่วยฟื้นฟูกระดูกสันหลังให้กลับเข้าสู่รูปทรงตามธรรมชาติได้

เมื่อเรามีอุปกรณ์พร้อมสำหรับการออกกายบริหารแล้ว ท่ากายบริหารที่สามารถช่วยฟื้นฟูกระดูกสันหลังให้กลับเข้าสู่รูปทรงตามธรรมชาติได้ มีดังนี้  

1. ท่านอนหงายบิดสะโพก

เริ่มจากนำแผ่นยางยืดมารัดที่บริเวณสะโพก เพื่อช่วยให้กระดูกเชิงกรานสามารถกลับเข้าสู่ลักษณะเดิมตามธรรมชาติได้เร็วขึ้น วิธีการรัดแผ่นยางยืดที่สะโพกให้รัดต่ำกว่าสะดือประมาณ 5 เซนติเมตร โดยที่ปลายทั้งสองข้างของแผ่นยางยืดต้องมีความยาวเท่ากัน ทำการพันทบรอบสะโพก 1 ทบ และขยับปมให้พอดีไม่แน่นหรือหลวมเพื่อที่จะได้ทำท่ากายบริหารได้อย่างคล่องแคล่ว

นอนหงายโดยมีหมอนรองที่บริเวณสะโพก นำมือทั้งสองข้างมาจับที่หมอน พร้อมทั้งชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นด้านบน โดยที่เข่าและเท้าทั้งสองข้างอยู่แนบชิดกัน

  • ทำการบิดสะโพกไปด้านขวาพร้อมกับหายใจ อยู่ในท่านี้ 5 วินาที หายใจออกและกลับสู่ท่าเริ่มต้น
  • ทำการบิดสะโพกไปด้านซ้ายพร้อมกับหายใจเข้า อยู่ในท่านี้ 5 วินาที หายใจออกและกลับสู่ท่าเริ่มต้น

2. ท่ายืนหมุนโพก

ทำการรัดแผ่นยางยืดที่บริเวณสะโพก ยืนกางขากว้างเท่ากับความกว้างของหัวไหล่ มือวางที่บริเวณสะโพก ทำการหมุนสะโพกไปด้านขวาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหมุนได้ แต่ศีรษะต้องอยู่นิ่ง ห้ามหมุนศีรษะตามการหมุนสะโพก หมุนสะโพกกลับมาท่าเริ่มต้น และหมุนสะโพกไปทางด้านซ้ายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหมุนได้โดยที่ศีรษะนิ่ง

3. ท่านอนคว่ำบิดสะโพก

เริ่มจากการรัดแผ่นยางที่สะโพก ทำการนอนคว่ำกับพื้นลำตัวแนบกับพื้น แขนทั้งสองข้างวางแนบลำตัว ขาทั้งสองข้างแนบกัน ทำการปิดปลายเท้าข้างขวาและซ้ายเข้าหากัน ทำการค่อย ๆ บิดสะโพกไปด้านขวา โดยที่ไม่ต้องเคลื่อนลำตัวตามไปด้วยนับ 1-10 แล้วจึงบิดสะโพกกลับมาที่ท่าเริ่มต้น และสลับบิดสะโพกไปทางด้านซ้าย นับ 1-10 แล้วบิดสะโพกกลับไปที่ทท่าเริ่มต้น ทำสลับกันข้างละ 20 ครั้ง

4. ท่านั่งทำการคุกเข่ากับพื้นเพื่อกระชับสะโพก

เริ่มจากการรัดแผ่นยางที่สะโพก นั่งคุกเข่าโดยให้เข่าและข่าช่วงล่างวางราบอยู่บนพื้น นำแผ่นยางที่มัดบริเวณสะโพกมาคล้องที่บริเวณหัวเข่า และใช้มือทั้งสองข้างดึงแผ่นยางขึ้นช้า หายใจเข้า หายใจออกพร้อมกับค่อย ๆ ปล่อยแรงดึงแผ่นยาง ทำสลับดึง ปล่อย 10 ครั้ง ความยืดหยุ่นของแผนยางยึดจะช่วยดึงผ่อนคลายและดึงกล้ามเนื้อที่บริเวณแผ่นหลัง 

5. ท่านอนคว่ำเพื่อแอ่นเชิงกราน ( ท่านี้ต้องมีผู้ช่วยในการปฏิบัติ )

เริ่มจากผู้ปฏิบัติทำการนอนคว่ำ แขนวางแนบลำตัว ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง ผู้ช่วยให้นั่งในตำแหน่งที่ตรงกับสะโพกของผู้ปฏิบัติ ผู้ช่วยนำแขนไปกอดรอบสะโพกและล็อคให้แน่น และค่อย ๆ ใช้ฝ่ามือกดเข้าที่บริเวณร่องของหลุ่มที่อยู่ระหว่างสะโพกทั้งสอง ทำการยกเข่าขึ้นให้เป็นแนวตรงให้สูงที่สุดเท่าที่ผู้ปฏิบัติจะสามารถทนได้ ไม่จำเป็นต้องยกให้สูงมาก ๆ เท่านั้น เพราะการยกสูงจนเกินไปจะทำให้รู้สึกปวดได้ อยู่ในท่านี้ 5 วินาทีจึงลดสะโพกลงอยู่ในท่าเริ่มต้น

6. ท่านอนหงายดันเทียบหัวเข่า ( ท่านี้ต้องมีผู้ช่วยในการปฏิบัติ )

เริ่มจากนอนหงายโดยที่มีหมอนมาหนุนศีรษะ ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมา ผู้ช่วยปฏิบัติให้นั่งบริเวณปลายเท้าหลังเข่าของผู้ปฏิบัติที่ชันขึ้นมาและใช้มือทั้งดันเข่าของผู้ปฏิบัติช้า เริ่มจากออกแรงน้อย ๆ แล้วค่อยเพิ่มแรงดันขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนตัวผู้ปฏิบัติก็ตอ้งออกแรงต้านแรงผลักของผู้ช่วย สลับกันออกแรงพลักและผ่อนแรง ทำซ้ำ 5 รอบ

7. ท่าทำการหมุนสะบัก

ทำการผูกแผ่นยางยืดที่บริเวณหัวไหล่ ยืนตัวตรง หลังตรง กางขากว้างประมาณหัวไหล่ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ให้นิ้วแตะไปที่บริเวณหัวไหล่ให้ข้อศอกอยู่สูงกว่าตำแหน่งของสะบัก ทำการหมุนข้อศอกไปทางด้านหลังให้ได้ 90 องศาหรือหมุนให้เป็นครึ่งวงกลม อยู่ในท่านี้ 5 วินาที

8. ท่ายืนเพื่อขยับหัวไหล่

ทำการผูกแผ่นยางยืดเข้าด้วยกัน หรือผู้ไว้ที่มือของผู้ปฏิบัติทั้งสองข้างให้แน่น ใช้เท้าเหยียบที่ตรงกึ่งกลางของแผ่นยางยืด แล้วค่อย ๆ ออกแรงดึงแผน่ยางยืดด้วยการยกมือขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ ข้างอยู่ในจุดสูงสุด 5 วินาที ทำการลดมือลง ทำซ้ำ 5 ครั้ง

9. ท่าการนอนหนุนไหล่ ( ท่านี้ต้องมีผู้ช่วยในการปฏิบัติ )

เริ่มจากนอนหงาย แขนทั้งสองข้างแนบลำตัว ผู้ช่วยนั่งท่าคุกเข่าตรงกับตำแหน่งข้อศอกของผู้ปฏิบัติ ผู้ช่วยทำการกดที่บริเวณหัวไหล่ของผู้ปฏิบัติ ทำการหมุนแขนไปตามทิศตามเข็มนาฬิกาช้า ๆ 

10. ท่านอนตะแคงเพื่อหมุนสะบัก ( ท่านี้ต้องมีผู้ช่วยในการปฏิบัติ )

เริ่มจากการนอนตะแคงด้านขวา โดยใช้หมอนหนุนด้านหลังไว้ งอเข่าทั้งสองด้านขึ้นไปด้านเล็กน้อย ผู้ช่วยต้องนั่งอยู่ที่ด้านหลังของผู้ปฏิบัติเพื่อช่วยในการประคองสะโพกไม่ให้เกิดการเคลื่อนที่พลาด โดยทำการจับที่บริเวณสะโพกและบ่าของผู้ปฏิบัติ ผู้ช่วยทำการหมุนสะบักขวาเป็นวงกลมกว้าง ๆ ตามเข็มนาฬิกาทำการหมุน 10 รอบ และทำการหมุนทิศทวนเข็มนาฬิการอีก 10 รอบ สลับโดยการเปลี่ยนนอนตะแคงด้านซ้ายและหมุนสะบักซ้าย

11. ท่าทำการกดไหล่ ( ท่านี้ต้องมีผู้ช่วยในการปฏิบัติ )

ผู้ปฏิบัติทำการนั่งคุกเข่า โดยที่ขาส่วนล่างแนบกับพื้น แขนทั้งสองขางแนบลำตัว ผู้ช่วยปฏิบัติให้ยืนอยู่ที่บริเวณด้านหลังของผู้ปฏิบัติ ทำการวางมือขวาบนไหล่ขวาของผู้ปฏิบัติ แล้วจึงทำมือซ้ายวางทับบนมือขวาพร้อมทั้งจับข้อมือขวาของตัวเองให้มั่น ออกแรงกดที่บริเวณหัวไหล่ที่จับ ผู้ปฏิบัติทำการยกไหล่ขึ้นต้านกับแรงกดของผู้ช่วย โดยทำการยกไหล่ขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะยกขึ้นได้และให้ออกแรงยกที่บริเวณไหล่เท่านั้น ห้ามให้ข้อศอก แขนเป็นตัวออกแรงดันให้กับไหล่

12. ท่ากระชับส่วนของกระดูกกะโหลก

เริ่มจากการนำแผ่นยางรัดบริเวณรอบศีรษะประมาณ 3 นาที และค่อยคลายแผ่นยางยืดออก ถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีแผ่นยางยืดก็สามารถนำผ้ามารัดรอบศีรษะแทนแผ่นยางยืดได้เช่นกัน

13. ท่านอนหงายหันหน้า

เริ่มจากการนอนหงายบนพื้นราบ ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง แขนทั้งสองข้างวางข้างลำตัว นำหมอนมาหนุนที่บริเวณใต้ลำคอ ค่อยทำการการหมุนคอไปด้านซ้าย นับ 3 หมุนคอกลับมาอยู่ที่ท่าเริ่มต้น นับ 3 หมุนคอไปด้านขวา นับ 3 หมุนคอกลับมาอยู่ในท่าเริ่มต้น ทำซ้ำ 5 รอบ

14. ท่านอนคว่ำเอียงคอ

เริ่มจากการนอนคว่ำบนพื้นเรียบ คางหนุนอยู่บนหมอน มือขวายกขึ้นมาจับปลายหมอนที่อยู่ด้านขวามือ มือซ้ายยกขึ้นมาจับปลายหมอนด้านซ้ายมือ ขาทั้งสองข้างเหยียดตรงแนบชิดกัน ทำการหมุนคอไปด้านซ้ายช้า ๆ นับ 3 ทำการหมุนคอกลับมาที่ท่าเริ่มต้น นับ 3 ทำการหมุนคอไปด้านขวา นับ 3 ทำการหมุนคอกลบมาที่ท่าเริ่มต้น ทำซ้ำ 5 รอบ 

15. ท่าหมุนข้อเท้า ( ท่านี้ต้องมีผู้ช่วยในการปฏิบัติ )

เริ่มจากการนอนคว่ำ เอียงศีรษะไปด้านที่ถนัด ขาและแขนเหยียดตรงแนบลำตัว ผู้ช่วยนั่งคุกเข่าอยู่ที่บริเวณปลายเท้าของผู้ปฏิบัติ ผู้ช่วยนำมือขวามาจับที่ข้อเท้าของผู้ปฏิบัติ และนำมือซ้ายจับที่ปลายนิ้วเท้าทั้งหมด ทำการหมุนข้อเท้าช้าตามเข็มนาฬิกา 10 รอบ และหมุนทวนเข็มนาฬิกา 10 รอบ สลับทำกับเท้าซ้ายเช่นเดียวกับที่ทำกับเท้าขวา

16. ท่ายืดหลังเท้า ( ท่านี้ต้องมีผู้ช่วยในการปฏิบัติ )

เริ่มจากการนอนคว่ำบนพื้นราบ เอียงศีรษะไปด้านที่ถนัด ขาและแขนเหยียดตรงแนบลำตัว ผู้ช่วยนั่งคุกเข่าอยู่ที่บริเวณปลายเท้าของผู้ปฏิบัติ ผู้ช่วยนำมือขวามาจับที่ข้อเท้าของผู้ปฏิบัติ และนำมือซ้ายจับที่ปลายนิ้วเท้าทั้งหมด ดันเท้าขึ้นเข้าหาหน้าแข้งให้ได้สูงที่เท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงจุดสูงสุดแล้วให้ทำการหมุนตามเข็มนาฬิกา 10 รอบ และทำการหมุนทวนเข็มนาฬิกาอีก 10 รอบ สลับทำกับเท้าซ้ายเช่นเดียวกับเท้าขวา

17. ท่านอนหงายเพื่อบิดแนวกระดูกสันหลัง

เริ่มจากการผูกแผ่นยงยืดที่บริเวณสะโพก นอนหงาย แขนทั้งสองข้างวางแนบลำตัว นำหมอนมารองที่บริเวณสะโพก พร้อมทั้งชันเข่าโดยที่ข่าและเท้าทั้งสองข้างยังชิดกันอยู่ ทำการเอนเข่าไปทางด้านขวาที่ละน้อยจนกระทั่งเข่าแนบกับพื้นที่ด้านขวาของเข่า โดยที่ลำตัวและเท้าไม่ยกขึ้นจากพื้น และเข่าทั้งสองข้างยังแนบชิดกันอยู่ ในการทำครั้งแรกเข่าจะไม่สามารถลงมาแนบกับพื้นได้ แต่ถ้าทำอย่างต่อเนื่องเข่าจะสามารถลงมาจรดพื้นได้ ในขณะที่ทำการลดเข่าลง หมอนที่รองใต้สะโพกจะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปอยู่ในแนว กระดูกสันหลัง ที่มีความผิดรูปทรงไป อยู่ในท่านี้ 10 วินาที ทำการยกเข่าขึ้นให้อยู่ตั้งฉากกับพื้น ทำการกดเข่าลงไปด้านซ้ายเช่นเดียวกับการลดเข่าด้านขวา ทำสลับกันข้างละ 10 ครั้ง

การทำกายบริหารเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทุกคนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ข้อดีของการทำการบริหารนอกจากจะช่วยให้กระดูกสันหลังที่มีความผิดรูปกลับเข้าสู่รูปทรงตามธรรมชาติแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกสันมีอาการผิดรูปร่างเกิดขึ้นได้อีกด้วย การออกกายบริหารด้วยท่าทางข้างต้นเมื่อปฏิบัติเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจะพบว่าอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ จะเกิดขึ้นน้อยลงจนในที่สุดอาการปวดจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย และเวลาที่เดินหรือทำกิจวัตรประจำวันจะรู้สึกคล่องแคลวเพิ่มขึ้นด้วย วันนี้คุณออกกายบริหารกันแล้วหรือยัง?

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

โทะชิมะสะ โอตะ. ปรับรูปร่างด้วยมือเปล่า สร้างหุ้นฟิต พิชิตโรค. กรุงเทพฯ : อมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2560.

Gomez-Pinilla F, Hillman C (January 2013). “The influence of exercise on cognitive abilities”. Compr. Physiol. 3 (1): 403–428. PMC 3951958 Freely accessible. PMID 23720292.

Erickson KI, Leckie RL, Weinstein AM (September 2014). “Physical activity, fitness, and gray matter volume”. Neurobiol. Aging. 35 Supp.

วิธีแก้อาการกระดูกสันหลังผิดรูปทรงขณะนอนหลับ

0
วิธีแก้อาการกระดูกสันหลังผิดรูปทรงขณะนอนหลับ
การนอนในท่าที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกผิดรูปทรงและยังช่วยให้ผู้ที่มีกระดูกสันหลังผิดปกติกลับมาปกติได้
วิธีแก้อาการกระดูกสันหลังผิดรูปทรงขณะนอนหลับ
การนอนในท่าที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกผิดรูปทรงและยังช่วยให้ผู้ที่มีกระดูกสันหลังผิดปกติกลับมาปกติได้

การนอน

การนอน เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ขณะที่ทำการนอนร่างกายจะทำการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ด้วยการหลั่งฮอร์โมนแห่งหารเจริญเติบโต ( Growth Hormone ) และช่วยฟื้นฟูการทำงานของระบบภายในร่างกาย ลดความตึงเครียด  ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ สมองและอวัยวะจากการทำกิจวัตรประจำวัน เพื่อให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังจากที่ตื่นนอน วัยเด็กจะนอนมากถึง 10-18 ชั่วโมงต่อมาเมื่อโตขึ้นการนอนของคนเราจะลดลง วัยกลางคนควรที่จะนอนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง ส่วนวัยสูงอายุจะมีการนอนที่น้อยลงเหลือวันละ 5-7 ชั่วโมง พบว่าการนอนมีความสำคัญต่อทุกคน เพราะว่าถ้าเรานอนไม่เพียงพอจะส่งผลเสียดังนี้

1. การทำงานของสมองช้าลง
การนอนน้อยจะทำให้การตอบสนองและการทำงานของสมองช้าลง ส่งผลให้การตัดสินใจทำเรื่องต่าง ๆ ช้าลง เพราะว่าการทำงานของสมองในส่วนต่างๆ มีประสิทธิภาพที่ลดลงส่งผลให้การสั่งงานของสมองเกิดความผิดปกติ

2.ความจำสั้นลง
เมื่อเรานอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ต่อมไฮโปแคมปัส ( Hippocampus ) มีบทบาทในการสร้างความทรงจำและทำการถ่ายโอนข้อมูลของความทรงจำ ซึ่งต่อมไฮโปแคมปัสจะทำงานในการถ่ายโอนข้อมูลเพื่อสร้างความทรงจำได้ดีในช่วงเวลานอน ดังนั้นเมื่อเรานอนเพียงพอจะทำให้สูญเสียความทรงจำบางอย่างไป

3.อารมณ์แปรปรวน
คนที่นอนพักผ่อนน้อยจะมีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่ายแม้กับเรื่องเล็กน้อย และเมื่อนอนพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อเป็นระยะเวลานานจะทำมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้

4.ป่วยง่าย
ถ้าเรานอนไม่เพียงพอแล้วร่างกายก็จะอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำทำให้มีอาการป่วยเกิดขึ้นได้ง่าย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อร่างกายอดนอนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต้องทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวต้องทำงานหนักมากจึงมีอายุสั้นลง เป็นเหตุให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้

5.เกิดกระดูกผิดรูปทรง
การนอนด้วยท่าทางที่ผิดปกติส่งผลให้กระดูกสันหลังเกิดอาการผิดรูปทรงตามธรรมชาติ เช่น การนอนด้วยท่างอตัว การนอนคว่ำงอเข่า เป็นต้น ท่านอนเหล่านี้จะส่งผลให้กระดูกสันหลังผิดรูปทรง ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกายได้และยังส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการหลับในซึ่งเป็นที่มาของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการขับรถได้

การนอนหลับสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วง

1.ช่วงการนอนแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น ( Rapid Eye Movement Sleep หรือ REM Sleep )
การนอนช่วงนี้จะมีระยะเวลา 20-25 % ของเวลาที่ใช้ในการนอนทั้งหมด ข้อดีของการนอนช่วงนี้ ลูกตามีการเคลื่อนไหวด้วยการใช้กล้ามเนื้อตา ( Periodic Intense Eye Movement ) สมองมีการทำงานที่สูงมากและการทำงานมีการกระจายทั่วทั้งสมองอย่างสม่ำเสมอ ( Generalized Heightened Brain Activity ) ซึ่งการทำงานของสมองในช่วงนี้จะทำให้เรามีความฝันเกิดขึ้น
การนอนในช่วงนี้ร่างกายจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น แสงสว่าง เสียงดัง กลิ่น ที่อยู่รอบตัว และระบบการหายใจจะมีช้า เร็ว สลับกันไป

2.ช่วงการนอนแบบหลับลึก ( Non rapid eye movement sleep หรือ NREM Sleep )
การนอนในช่วงนี้จะมีการหายใจที่มีความสม่ำเสมอราบเรียบอย่างเห็นได้ชัด การตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากภายนอกจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดและในช่วงนี้นี่เองที่ฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตจะหลั่งออกมาเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย เป็นช่วงเวลาการนอนที่ดีที่สุดของร่างกาย

ปัจจัยที่ช่วยในการนอนหลับ

ปัจจัยที่จะทำให้การนอนมีประโยชน์ต่อร่างกายที่จะสามารถช่วยให้การนอนหลับสามารถช่วยลดอาการกระดูกสันหลังผิดรูปทรง ในขณะที่ทำการนอนหลับได้ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ปัจจัย คือ

1.วัสดุรองรับการนอนหรือที่นอน

ที่นอนจัดเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการนอนที่จะส่งผลให้กระดูกสันหลังผิดรูปทรงได้ ซึ่งหลักการเลือกที่นอนสำหรับการนอนจึงต้องมีการเลือกให้เหมาะสมมีดังนี้

1.1 เลือกที่นอนที่มีความยาวและกว้างมากกว่าลำตัวเล็กน้อยเพื่อที่เมื่อนอนแล้วที่นอนจะสามารถรองรับน้ำหนักได้ทั่วตัว

1.2 นอนแล้วที่นอนแข็งหรือนิ่มจนเกินไป นั่นคือ เมื่อนอนแล้วกระดูกสันหลังอยู่ในแนวเส้นตรงไม่เกิดการผิดรูปทรง ไม่ว่าจะนอนในท่านอนหงายหรือนอนตะแคง เพราะที่นอนที่นิ่มจนเกินไปเมื่อนอนที่นอนจะยุบโดเฉพาะกระดูกสันหลังช่วงกลางลำตัวจะมีการแอ่นตัวมากกว่าส่วนอื่น เนื่องจากส่วนนี้มีน้ำหนักมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย แต่ถ้าที่นอนแข็งจนเกินไป เมื่อนอนที่นอนจะไม่มีการยุบตัวตามส่วนเว้า ส่วนโค้งของร่างกายทำให้กระดูกสันหลังต้องทำการแอ่นตัวในการนอนนั่นเอง

2.สภาพแวดล้อมในการนอน

สภาพแวดล้อมในการนอนจะมีส่วนช่วยให้การนอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการนอนมีดังนี้

2.1 มืด การนอนควรนอนในห้องที่มืดไม่มีแสงสว่าง ไม่ว่าจะเป็นแสงธรรมชาติหรือแสงจากหลอดไฟ เพราะว่าแสงสว่างที่มีเพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้ร่างกายหลับไม่สนิท

2.2 เงียบ ห้องหรือสถานที่นอนควรเงียบไม่มีเสียงดังรบกวน ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไรก็ตาม

2.3 อากาศถ่ายเทได้ดี ห้องนอนควรถ่ายเทอากาศได้ดี ไม่มีกลิ่นอับหรือออกซิเจนน้อย เพราะจะทำให้ร่างกายนอนหลับไม่สนิทและเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะขาดออกซิเจนในขณะที่นอนหลับได้

เวลาที่เหมาะสมในการนอนหลับที่มีประสิทธิภาพเริ่มตั้งแต่ 21.00-22.00 น.เป็นต้นไป ดังนั้นถ้าสามารถเข้านอนในช่วงเวลาดังกล่าวได้จะดีมาก

3.ท่าการนอน

ท่วงท่าในการนอนเป็นปัจจัยที่จะสามารถลดความเสี่ยงและช่วยลดอาการกระดูกสันหลังผิดรูปทรงตามธรรมชาติได้ เพราะนอกจากการนอนที่หลับสนิทแล้ว แต่นอนด้วยท่วงท่าที่ผิดก็จะส่งผลให้กระดูกสันหลังเกิดผิดรูปร่างจากธรรมชาติที่ควรจะเป็นได้ เช่น คนที่ชอบนอนงอตัว นอนกอดเข่า ท่าดังกล่าวจะส่งผลให้กระดูกสันหลังเกิดการผิดรูปทรงตามธรรมชาติได้ ดังนั้นการนอนในท่วงท่าที่ถูกต้องในขณะที่ทำการนอนจึงสามารถช่วยลดอาการกระดูกสันหลังผิดรูปทรงได้ ซึ่งท่วงท่าการนอนที่ถูกต้องมีดังนี้

3.1 ท่านอนหงาย เป็นท่านอนที่ดีที่สุดในการนอนหลับ ซึ่งท่าทางการนอนหงายที่ดี ต้องมีจัดศีรษะให้อยู่ตรงกลางของร่างกาย หมอนรองใต้คอให้มีความสูงพอดีกับช่องว่างระหว่างที่นอนกับคอ แขนและขาเหยียดตรง ไม่งอไหล่ปล่อยไหล่ทั้งสองข้างวางบนที่นอนอย่างอิสระ แขนทั้งสองข้างจะวางแนบลำตัวหรือวางบนหน้าอกได้

3.2 ท่านอนตะแคง ท่านี้สามารถนอนได้เช่นเดียงกับท่านอนหงาย แต่ไม่ควรนอนท่าตะแคงด้านใดด้านหนึ่งตลอดทั้งคืน แต่ต้องทำการสลับกับท่านอนหงายหรือเปลี่ยนตะแคงไปอีกด้านด้วย ท่านอนตะแคงให้เริ่มจากนอนหงายแล้วจึงทำการตะแคงไปด้านที่ต้องการ งอเข้าเล็กน้อย ให้นำหมอนข้างมาวางด้านหน้าและนำแขนที่อยู่ด้านบนมาวางผาดบนหมอนพร้อมทั้งเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อให้หมอนช่วยในการรองรับน้ำหนักของลำตัว ลดการรับน้ำหนักของกระดูกสันหลัง

3.3 ท่านอนคว่ำ โดยปกติท่านอนคว่ำเป็นท่าที่ไม่นิยมให้นอน แต่ในบางกรณีเพื่อลดความเมื่อยในการนอนท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานานก็สามารถนอนคว่ำได้เช่นกัน ท่านอนคว่ำที่ดีต้องนอนราบลำตัวไปกับที่นอน โดยตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง แขนทั้งสองข้างวางแนบลำตัว และควรหาหมอนมารองที่บริเวณสะโพกให้สูงกว่าไหล่เล็กน้อยก็จะเป็นท่านอนคว่ำที่เหมาะสมและช่วยในการจัดกระดูกสันหลังให้คงรูปตามธรรมชาติได้

การนอนหลับไม่ควรที่จะนอนท่าเดียวตลอดทั้งคืน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังต้องทำงานหนักเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเวลานอนหลับจึงควรที่จะเปลี่ยนท่านอนบ้าง โดยควรเปลี่ยนท่านอนหรือทำการพลิกตัวประมาณ 40 ครั้งต่อคืน เพื่อที่จะช่วยให้กระดูกสันหลังไม่ต้องทำงานหนักเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มีการกระจายการทำงานของกระดูกสันหลังไปทุกส่วน

เมื่อเราทำการนอนตามข้อปฏิบัติทั้ง 3 ข้อด้านบนแล้ว จะพบว่าการนอนหลับที่ปฏิบัติจะส่งผลให้กระดูกสันหลังมีรูปทรงตามธรรมชาติ ลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกสันหลังผิดรูปทรงซึ่งเป็นที่มาของความเจ็บปวดที่สร้างความทรมานและอุปสรรคในการดำเนินชีวิต นอกจากการนอนหลับจะช่วยให้กระดูกสันหลังมีรูปทรงตามธรรมชาติแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง เสริมสร้างภูมิต้านทานให้สูงขึ้น ในวัยเด็กมีการเจริญเติบโตที่เหมาะสมกับวัย ความจดจำดี การเรียนรู้ไว มีการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำ จิตใจแจ่มใส ลดความเครียด ซึ่งเป็นที่มาของโรคร้ายต่าง ๆ ในอนาคตได้

การนอนเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติอยู่ทุกวันและต้องนอนเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นการนอนด้วยท่วงท่าหรือท่าทางที่ถูกต้อง บนเครื่องนอนที่เหมาะกับการนอนแล้ว ย่อมช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกผิดรูปทรงตามธรรมชาติที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ และยังช่วยให้ผู้ที่มีกระดูกสันหลังผิดปกติสามารถกลับมามีรูปทรงปกติได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

โทะชิมะสะ โอตะ. ปรับรูปร่างด้วยมือเปล่า สร้างหุ้นฟิต พิชิตโรค. กรุงเทพฯ : อมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2560.

หน้าที่และประโยชน์ของผิวหนังมีอะไรบ้าง

0
หน้าที่และประโยชน์ของผิวหนังมีอะไรบ้าง
ผิวหนังจะคลุมร่างกายของมนุษย์ไว้ทั้งหมด กั้นตัวเราจากโลกภายนอก ป้องกันอวัยวะภายในจากเชื้อโรค ความร้อนและความเย็น สิ่งแวดล้อมที่มีพิษ จากการกระทบกระแทกรวมทั้งป้องกันไม่ให้สูญเสียน้ำ
หน้าที่และประโยชน์ของผิวหนังมีอะไรบ้าง
ผิวหนังเป็๋นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายและปกคลุมร่างกายของมนุษย์ไว้ทั้งหมด ป้องกันอวัยวะภายในจากเชื้อโรค และป้องกันไม่ให้สูญเสียน้ำ

ผิวหนัง ( Skin )

ผิวหนัง ( Skin ) เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย มีน้ำหนักรวมกันประมาณ 6 ปอนด์ ( 7 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ) มีความหนาโดยเฉลี่ย 2 มิลลิเมตร ส่วนที่บางที่สุดคือ บริเวณหนังตาประมาณ 0.5 มิลลิเมตร เท่านั้น และส่วนหนาที่สุดของร่างกาย คือ ตรงฝ่าเท้า วัดได้ 4.5 มิลลิเมตร [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ผิวหนังมาจากคำว่า Skin ทางวิชาการเรียก Cutaneous Membrane ถ้าเอาผิวหนังทั้งตัว ( ผู้ใหญ่ ) มาแผ่ออกจะได้พื้นที่ราว 1.75 ตารางเมตร

ผิวหนังประกอบด้วยเซลล์ ( Cell ) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีลักษณะแบน ซึ่งมีจำนวนถึง 52,000 ล้านเซลล์ โดยเฉลี่ยบน ผิวหนัง ( Skin ) 1 ตารางเซนติเมตรจะมีเซลล์อยู่ 3 ล้านเซลล์และเส้นผม 10 เส้น โดยเซลล์ที่หลุดลอกออกมาคือเซลล์ที่ตายแล้วเป็นขี้ไคลประมาณวันละ 300 ล้านเซลล์ และจะมีเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่

ผิวหนัง ( Skin ) จึงเป็นอวัยวะที่เจริญเร็วที่สุด ( Dynamic Organ ) สามารถสร้างเซลล์ของมันเองขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายไปได้ตลอดชีวิต เซลล์เกิดใหม่จะสีขาวปนชมพู เรียบเนียน สวยงาม ยิ่งมีมากยิ่งดี ความเร็วของการแบ่งตัวจะช้าลง เมื่อมีอายุมากขึ้นจึงทำให้ผิวหนังดูไม่สดใส

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า PH อยู่ระหว่าง 7-8 (คือเป็นด่างอ่อนๆ) สำหรับผิวปกติทั่วไป
ค่าความเป็นกรดด่างของผิวหนังอยู่ที่ PH 5.5 ( คือเป็นกรดอ่อน ๆ ) ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันของร่างกายที่จะไม่ยอมให้เชื้อแบคทีเรียอันตรายเจริญเติบโตบนผิวหนังได้ง่ายเกินไป ความเป็นกรดอ่อนๆของ ผิวหนัง ( Skin ) นี้มีความสำคัญในการดูแลและรักษาผิว ส่วนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวควรมีความเป็นด่างอ่อนๆเพื่อการทำความสะอาดที่ได้ผลดีและไม่ทำให้ผิวเป็นอันตราย ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีความเป็นด่างสูงๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดริ้วรอยก่อนวัย

ถ้าไม่มีผิวหนังปกคลุม มนุษย์คือซากศพเดินได้
ผิวหนังจะคลุมร่างกายของมนุษย์ไว้ทั้งหมด กั้นตัวเราจากโลกภายนอก ป้องกันอวัยวะภายในจากเชื้อโรค ความร้อนและความเย็น สิ่งแวดล้อมที่มีพิษ จากการกระทบกระแทกรวมทั้งป้องกันไม่ให้สูญเสียน้ำออกไปจากตัวเราอีกด้วย

ผิวหนังทำให้ร่างกายสวยงามและที่สำคัญคือทำหน้าที่รับรู้สัมผัสทั้งหนักและเบา ส่งข้อมูลเป็นสื่อไฟฟ้าให้ระบบประสาทของร่างกายซึ่งสามารถแปลรหัสให้ตัวเราเข้าใจความหมายได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ถ้ามนุษย์ไม่มีผิวหนัง ก็เหมือนซากศพที่ยังหายใจ
กายภาพของผิวหนัง ( The Anatomy of Skin ) ผิวหนังมี 2 ชั้น
เรามักเรียกผิวหนังว่า Skin แต่ทางการแพทย์จะเรียกว่า Cutaneous Membrane ผิวหนังปกคลุมภายนอกของร่างกาย ป้องกันภยันตรายจากการบาดเจ็บ ( Injury ) จากการติดเชื้อ ( lnfection ) ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายโดยถ้าอากาศข้างนอกร้อนเกินไปก็จะปล่อยน้ำออกมาเป็นเหงื่อ ( Sweat ) เมื่อระเหยเป็นไอจึงทำให้ร่างกายเย็นลง แต่ถ้าอุณหภูมิรอบตัวเย็นเกินไป ผิวหนังก็จะเก็บความร้อนเอาไว้ภายในทำให้เกิดความอบอุ่น เพื่อประโยชน์ดังกล่าว ธรรมชาติจึงสร้างให้ผิวหนังมีโครงสร้างเป็น 2 ชั้นที่สำคัญด้วยกัน

ผิวหนังของคนเรามีกี่ชั้น?

ชั้นหนังกำพร้า ( Epidermis ) อยู่ชั้นนอกสุด
ชั้นหนังแท้ ( Dermis หรือ Cutis ) อยู่ชั้นใน ใต้ Epidermis เข้ามา

1. หนังกำพร้า (Epidermis)

หนังกำพร้าอยู่ชั้นนอกสุดของ ผิวหนัง ( Skin ) คือเลยชั้นหนังแท้ออกมาและเซลล์บริเวณผิวนอกสุดนี้ก็จะลอกคราบเป็นขี้ไคลตลอดเวลา ส่วนหนังแท้ ( Dermis ) จะไม่ลอกออก จึงเปรียบเหมือนหนังแท้เป็นลูกที่มีพ่อแม่คอยดูแลให้อยู่กับตัว ส่วนหนังกำพร้า คือผิวหนังที่ขาดพ่อแม่จึงต้องเร่ร่อนหรือหลุดลอกออกไป

หนังกำพร้ามีลักษณะที่บางมาก หนาประมาณแผ่นกระดาษ ( 0.4 มม. ) เท่านั้น โดยชั้นผิวสุดของหนังกำพร้าประกอบด้วย เซลล์รูป 4 เหลี่ยมแบน ๆ ซ้อนกันหลายๆ ขั้นเหมือนสะเก็ด ( Stratified Squamous Epithelium ) แต่ชั้นล่างสุดของหนังกำพร้า ซึ่งเป็นฐานของหนังกำพร้ามีรูปร่างกลม ( Round Cell ) เรียกทางด้านวิชาการว่าเป็น เซลล์ฐาน ( Basal Cell ) มีหน้าที่แบ่งตัวเพื่อสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนโดยกลายเป็นขี้ไคลที่หลุดลอกออกไป

1.1 ในชั้นหนังกำพร้าไม่มีหลอดเลือด ( No Blood Vessel )

หนังกำพร้า ( Epidermis ) ต้องอาศัยชั้นหนังแท้ ( Dermis ) ที่อยู่ใต้ลงไปในการส่งสารอาหารขึ้นมาให้และรับของเสียกลับออกไป (Nutrient Delivery and Waste Cisposal) เซลล์ของหนังกำพร้าระยะเริ่มต้นมีรูปร่างกลมอยู่ตอนล่างสุด จะเบียดกันขึ้นมาจากการแบ่งตัว จนถึงชั้นนอกของร่างกายหรือผิวชั้นสุดท้ายจึงทำให้แบนเพราะการอัดกันแน่น ชั้นที่ผลิตเซลล์หนังกำพร้าดังกล่าวเรียก Basal Cell Layer ( หรือชื่อทางวิชาการเรียก Stratum Germinativum ) ส่วนชั้นผิวบนสุดของหนังกำพร้า ( Epidermis ) ที่พร้อมเป็นเซลล์ขี้ไคล เรียกชั้น Stratum Corneum หรือ ชื่อทั่ว ๆ ไปคือ Horny Cell Layer  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เซลล์ทั่วไปในร่างกายมีมากกว่า 60 ล้านล้านเซลล์ประกอบกันเป็นอวัยวะต่าง ๆ อาทิ เป็นกล้ามเนื้อ เลือด ฯลฯ ทำหน้าที่ต่างกัน มีแกนกลางอยู่ภายในตัวเซลล์ ทำหน้าที่เหมือนหัวใจของเซลล์ ซึ่งเรียกว่า Nucleus ( นิวเคลียส ) แต่เซลล์ของหนังกำพร้าชั้นผิวนอกสุด ( Horny Cell Layer ) ซึ่งเบียดกันขึ้นมาจากขั้นล่างที่ผลิตเซลล์ผิวหนังใหม่ทดแทนอยู่ตลอดเวลา ( ผิวหนังจึงนับว่าเป็น Dynamic Organ ) พบว่าความอัดกันแน่นของมัน ทำให้กลายเป็นเซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียส เมื่อใกล้ผิวนอกสุดและพร้อมจะหลุดลอกออกไปตามธรรมชาติของผิวหนังเพราะเซลล์ตายสนิท จึงไม่มีความรู้สึกเจ็บหรือปวดแต่อย่างใด

เซลล์ของผิวหนังกำพร้าขั้นล่าง ( Basal Cell ) มีการแบ่งตัวตลอดชีวิตของมัน ซึ่งมีผู้ประมาณว่า อาจได้นานถึง 120 ปี โดยเฉลี่ยและแบ่งตัวทุก ๆ สัปดาห์แต่เมื่ออายุมากขึ้น การแบ่งตัวจะช้าลง อาจเป็นทุก 6 สัปดาห์ ทำให้ผิวหนังขาดความสดใส ถ้าเครื่องสำอางช่วยให้การแบ่งตัวได้เร็วขึ้น ใกล้เคียงกับระยะหนุ่มสาวผิวหนังก็จะไม่แก่ ( Antiaging ) ในปัจจุบันจึงมีความพยายามที่จะค้นหา Growth Factor ( สิ่งที่กระตุ้นการเจริญเติบโต ) มาใช้ในการดูแล ผิวหนัง ( Skin )

1.2 เมลานิน ( Melanin ) คือเม็ดสี ( Pigment ) ที่ทำให้ผิวหนังเป็นสีดำเหลืองหรือขาว

มีเซลล์ชนิดหนึ่งซึ่งผลิตเม็ดสีเมลานิน เราเรียกเซลล์ชนิดนี้ว่า เมลาโนไซท์ ( Melanocyte หรือ Melanin Cell ) อยู่ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุด ( Basal Cell Layer ) เซลล์เมลาโนไซท์ เมื่อถูกแสงแดดรบกวนจะทำเอนไซม์ชื่อไทโรซิเนส ( Tyrosinase ) ถูกกระตุ้นให้ทำหน้าที่ย่อยสารตั้งต้น ( Substrate ) เป็น กรดอะมิโน ชื่อไทโรซิน ( Tyrosine ) ให้เกิดเป็นเม็ดสีเมลานิน ( Melanin Granule ) ซึ่งเป็นการป้องกันตัวจากแสงแดดของ ผิวหนัง ( Skin ) ที่จะไม่ให้แสงแดดผ่านเม็ดสีเข้ามาทำอันตรายกับร่างกายที่อยู่ลึกลงไปได้ เครื่องสำอางที่มีตัวยาห้ามการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ( Tyrosinase ) จะทำให้หยุดสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงทำให้ผิวขาวขึ้น

1.3 ไม่มีแสงแดด ก็ไม่สร้างเม็ดสีเมลานิน

ถ้าผิวหน้าถูกแสงแดดเข้มข้น เม็ดสีเมลานินก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผิวดูออกเป็นสีน้ำตาลเกรียม แต่จะค่อย ๆ จางลงถ้าไม่พาตัวเองให้ถูกแสงแดดบ่อย ๆ การใช้ตัวยาสำคัญซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ ( Enzyme lnhibitor ) โดยใช้ในเครื่องสำอางเพื่อไม่ยอมให้เอนไซม์ Tyrosinase ทำงาน ก็จะทำให้ไม่เกิดเม็ดสีเมลานิน สำหรับตัวเร่งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase นั่นก็คือ แสงแดด ดังนั้น ถ้าอยากมีผิวสวยก็ต้องไม่โดนแสงแดด แต่ถ้าจำเป็นต้องออกแดดก็ต้องทาครีมกันแดดเพื่อช่วยป้องกัน หรือจะใช้เครื่องสำอางที่มีตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ ทาผิวก็จะไม่เกิดเม็ดสีเมลานินได้เช่นเดียวกัน  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

1.4 เซลล์ต่างๆ ที่ควรรู้จักในชั้นหนังกำพร้า

A. เมลาโนไซท์ ( Melanocyte ) เป็นเซลล์ที่มีหน้าที่ผลิตเม็ดสี เมลานิน ( Melanin ) จึงทำให้ผิวหนังมีสีน้ำตาลเข้ม หรือ ดำ ถ้าเม็ดสีเมลานินมีน้อยก็เป็นสีเหลืองหรือถ้าน้อยมากก็เป็นสีขาว เมื่อมนุษย์เกิดมาแล้ว จำนวนเซลล์เมลาโนไซท์จะไม่เปลี่ยนแปลง คือ เซลล์ที่ผลิตเม็ดสีเมลานินนี้ ( ทั่ว ๆ ไปเรียก Melanin Cell ) ไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง การมีจำนวนเซลล์มากน้อยขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ถ้าคนผิวดำก็จะมีเมลาโนไซท์ ( Melanocyte ) ผลิตเม็ดสีเมลานินชนิด Eumelanin ซึ่งมีสีดำและน้ำตาลหนาแน่น ผลิตเม็ดสีได้มาก ผิวเหลืองก็มีเซลล์เมลาโนไซท์ ชนิด Pheomelanin เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีสีแดง ส่วนคนผิวขาวจะมีเซลล์ผลิตเม็ดสีน้อยมาก

เมลานิน (Melanin) มีข้อดี คือช่วยกรองแสงแดด ไม่ให้รังสียูวีทะลุผ่านเข้ามาทำลายผิวหนังและเนื้อเยื่อได้ คนผิวเข้มที่มีเม็ดสีเมลานินมากจึงไม่ค่อยเป็นโรคเนื้องอกผิวหนัง (Skin Cancer) ส่วนคนผิวขาวไม่มีเม็ดสีเมลานินมากพอไว้ช่วยกรองแสงแดด จึงมีโอกาสเกิดเนื้องอกผิวหนังสูงกว่า

B. Keratinocyte ( คีราติโนไซท์ ) เป็นเซลล์ที่อยู่บริเวณตอนล่างของผิวหนังกำพร้า เป็นเซลล์ที่ผลิตสาร คีราติน ( Keratin ) ซึ่งมีลักษณะเป็นโปรตีนแข็ง ( Fibrous Protein ) ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่มีแร่กำมะถันเป็นส่วนประกอบ ( Sulfured Amino Acid ) ช่วยทำให้เซลล์หนังกำพร้าแข็งและหนาขึ้น สามารถต้านทานการบาดเจ็บ เช่น จากการถลอก การเสียดสีได้ดี เมื่อคีราตินอยู่บนผิวนอกของผมและเล็บจึงทำให้เส้นผมและเล็บแข็งแรง

คีราติโนไซท์ (Keratinocyte) ได้รับเม็ดสีเมลานินผ่านมาทางฝอย ( Dendrite ) ที่ยื่นเป็นแขนออกมารอบตัวของเซลล์ Melanocyte ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง

คีราติน (Keratin) จะมีอยู่หนาแน่นที่เซลล์ชั้นผิวบนสุดของหนังกำพร้าที่เรียกชั้น Stratum Corneum หรือ Horny Cell Layer เซลล์ชั้นนี้จึงแข็งแรงและเหนียว ( คำว่า Keratin มาจากภาษากรีกโบราณว่า Keras แปลว่าเขาสัตว์หรือ Horn เซลล์ที่มี Keratin จึงเรียก Horny Cell )

อัตราส่วนของเซลล์เมลาโนไซท์ ( Melanocyte ) ผู้ผลิตสีเมลานิน ( Melanin ) กับเซลล์ คีราติโนไซท์ ( Keratinocyte ) ผู้ผลิตโปรตีนแข็ง ( Keratin ) ของหนังกำพร้าเท่ากับ 1 ต่อ 4 ในประเทศที่มีแสงแดดจัด แต่ถ้าอยู่ในภูมิภาคที่มีอากาศมืดครึ้ม จะมีสัดส่วนถึง 1 ต่อ 30 เลยทีเดียว คือมี Melanocyte ต่ำมาก เมื่อเทียบกับ Keratinocyte  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

เซลล์เมลาโนไซท์นี้จะไม่มีการขยายจำนวนเพิ่มขึ้น ( Since Melanocytes are of Neural Crest Origin, They have no ability to reproduce ) มีเพียงแต่เม็ดสีเมลานิน ( Melanin Pigment ) เท่านั้นที่เพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งได้จากการผลิตของเซลล์เมลาโนไซท์ เมื่อถูกกระตุ้นโดยแสงแดด

C. เม็ดโลหิตขาวขนาดใหญ่ ( Macrophage มีชื่อเฉพาะถ้าอยู่ที่ผิวหนังว่า Langerhans Cell ) มีอยู่ในหนังกำพร้า ( Epidermis ) ตั้งแต่ชั้นล่างสุด ( Basal Cell Layer ) ขึ้นมา มันมีความสามารถที่จะกินและย่อยสิ่งแปลกปลอมรวมทั้งผลิตสารเคมี ( Cytokine ) เพื่อสร้างภูมิต้านทาน

โดยปกติเม็ดโลหิตขาวขนาดใหญ่นี้ ( Macrophage : คำว่า Phage แปลว่าผู้กิน Macro แปลว่า ใหญ่ ) จะไม่ทำงาน ( Inactive ) จนกว่าจะถูกกระตุ้น ( ธรรมชาติเป็นผู้กำหนดให้มีการควบคุมเป็นทอด ๆ ) ตัวกระตุ้นจะเป็นกลุ่มแป้งชนิดเชิงซ้อน (Polysaccharide) เช่น Beta 1,3 Glucan ซึ่งพบมากในผนังเซลล์ของสาหร่ายหรือ ส่า (Brewer, s Yeast) ทำให้มันปล่อยสารเคมี ชื่อ Cytokine ออกมา ซึ่งสำคัญมากต่อภูมิต้านทานของร่างกายโดยเฉพาะที่ ผิวหนัง ( Skin ) ( อันเกิดจากคุณสมบัติ Transforming Growth Factor ของ Cytokine )

แป้งเชิงซ้อนชื่อ Beta 1, 3 Glucan นี้ถ้าทำเป็นชนิด Cosmetics grade ( มาตรฐานเครื่องสำอาง ) ซึ่งมีความบริสุทธิ์สูง จะมีราคาแพงมาก ครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมเบต้ากลูแคนใน 1 กระปุก ขนาด 2 ออนซ์เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าเป็นเครื่องสำอางชั้นสูงราคาอาจถึง 6,000 บาท ต่อกระปุกขนาดโตกว่าหัวแม่มือนิดเดียว ที่มีประสิทธิผลก็เพราะไปกระตุ้น Langerhans Cell ซึ่งเป็นเม็ดโลหิตขาวขนาดใหญ่ หรือ Macrophage ให้ทำงานผลิตสารไซโตคิน ( Cytokine ) ออกมา

D. เซลล์ประสาทรับสัมผัส ( Merkel Cell ) จะไวมากกับการสัมผัสที่ค่อนข้างแผ่วเบา ( Merkel Cells are specialized in the perception of light touch ) จึงพบได้มากที่ปลายนิ้ว ริมฝีปากและบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ของผู้หญิง ( Genitalia )

E. หนังกำพร้าเป็นผู้กำหนดความสวยงามของผิวหนัง ( Surface Texture of Skin ) ลักษณะที่ดีของหนังกำพร้าคือต้องหนา ( Thick Epidermis ) หนังกำพร้าถ้ายิ่งหนา รูขุมขน (Hair Follicle) ก็จะยิ่งกระชับเล็กลง ทำให้ผิวเนียนและแผลเป็นก็จะดูเรียบ เครื่องสำอางที่ดีจึงต้องทำหน้าที่คล้ายกาวธรรมชาติ ( เป็นพวก Ceramide ทำให้สารเคมีที่ยึดเซลล์หนังกำพร้าสมบูรณ์ กระชับรูขุมขนให้แคบ )
อย่างไรก็ดี ถ้าเซลล์ของหนังกำพร้า ( Epidermis ) งอกงามเกินไปจนผิดปกติหรือแห้งมาก เพราะขาดความชุ่มชื้นจากน้ำมันของต่อมไขมัน ( Sebaceous Gland ) ผิวหนัง ( Skin ) ก็จะแลดูหยาบเป็นเกล็ด ( Scaly ) ไม่น่ามอง และไม่น่าสัมผัส  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

F. ซีราไมด์ ( Ceramide ) เป็นไขมันชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เหมือนปูนซีเมนต์ ( Cement ) ใช้ในการก่อสร้าง คอยยึดก้อนอิฐคือเซลล์ต่าง ๆ ในชั้นหนังกำพร้าให้ติดกันเป็นชั้น ๆ ไม่หลุดลุ่ยหรือแยกออกจากกันโดยง่าย ผลที่เกิดจากการประสานกันของ ซีราไมด์ ( Ceramide ) อย่างเหนียวแน่นนี้ ทำให้มันสามารถป้องกันน้ำในร่างกายไม่ให้รั่วหรือระเหยออกมาข้างนอก จึงรักษาความชุ่มชื้น ( Hydration ) ของผิวหนังไว้ได้ วงการธุรกิจเครื่องสำอางให้ความสนใจ ซีราไมค์ ( Ceramide ) เป็นอย่างมากในปัจจุบัน

2. หนังแท้ ( Dermis หรือ Cutis )

เป็นชั้นของผิวหนังที่อยู่ใต้หนังกำพร้า ( Epidermis ) ลงมา หนาประมาณ 25 เท่า ของหนังกำพร้า มีปลายประสาท ( Nerve Ending ) ต่อมเหงื่อ ( Sweat Gland ), ต่อมไขมัน ( Sebaceous Gland หรือ ชื่อทั่ว ๆ ไปก็คือ Oil Gland ), ขุมขน ( Hair Follicle ) , หลอดโลหิต ( Blood Vessel ) ฯลฯ

องค์ประกอบสำคัญของหนังแท้ ( Dermis ) ซึ่งนักเคมีให้ความสนใจ คือ โปรตีนชื่อ คอลลาเจน ( Collagen ) และอีลาสติน ( Elastin ) สานกันอยู่เป็นใยโดยมีกรดไฮยารูโลนิก ( Hyarulonic Acid ) เป็นตัวเชื่อมที่สำคัญ กรดไฮยารูโลนิกนี้ในปัจจุบันพบว่า สามารถดูดน้ำได้อย่างดีเยี่ยม ( Hydrophilic ) โดย 1 โมเลกุลของกรดนี้จะจับน้ำไว้ถึง 214 โมเลกุล เป็นสารชุ่มชื้นธรรมชาติ ( Natural Moisturizer Factor ) ซึ่งพบใน ผิวหนัง ( Skin ) ราคาค่อนข้างแพง ทำเป็นครีมหน้าเด้ง ( Face Lift ) ช่วยลบริ้วรอยบนใบหน้า ส่วนโปรตีนคอลลาเจนเป็นตัวทำให้ผิวหนังเหนียว แข็งแรงและมีความยืดหยุ่น

ปริมาณของคอลลาเจนจะมีมากกว่าอีลาสติน 70 เท่า อีลาสตินช่วยทำให้ผิวหนังดีดกลับมาอยู่สภาพเดิมคล้ายกับยางยืดหรือหนังสะติ๊กที่หดกลับเหมือนสปริง ( Elasticity ) ตลอดเวลา

ถ้าผิวหนังถูกแสงแดดมากขึ้น หรืออายุมากขึ้น โปรตีนคอลลาเจนและอีลาสตินจะถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ทำให้ผิวหนังหมดความนุ่มนวลคอลลาเจนพร่องลง ทำให้เกิดรอยย่น (Wrinkle) บนใบหน้า ผิวจะเหี่ยวเพราะขาดความยืดหยุ่น แลดูเป็นผิวของคนแก่

หน้าที่สำคัญของหนังแท้ ( Dermis หรือ Cutis ) คือคอยประคับประคองและสนับสนุนหนังกำพร้า ( Sustain and Support Epidermis )  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2.1 เซลล์ที่สร้างโปรตีนคอลลาเจน ( Fibroblast )

เซลล์ไฟโบรบลาสท์ ( Fibroblast ) ของร่างกายมีจำนวนมากที่สุดอยู่ในชั้นหนังแท้ มันจะทำหน้าที่ผลิตสารคอลลาเจนและอีสาสติน ( Collagen ) และ Elastin คอลลาเจนมีน้ำหนักประมาณร้อยละ 70 ของหนังแท้ เพื่อสร้างความเหนียวและแน่น ส่วนอีลาสตินจะหนักเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น แต่มีบทบาทที่สำคัญในการดึงผิวหนังให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมตลอดเวลา ( Returning the skin to its resting shape )

ไฟโบรบลาสท์จึงเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สำคัญเฉพาะกับหนังแท้ ( Dermis ) ในการสร้างคอลลาเจนเพื่อมาเป็นโครงสร้าง ( Structure ) ของหนังแท้โดยสานกันเป็นมัด แน่นเหมือนเชือกควั่น ทำให้ผิวหนังแข็งแรงและดูสวยงามน่าจับต้อง
เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ไฟโบรบลาสท์จะผลิตคอลลาเจนน้อยลงและคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วก็เสื่อมสภาพ ถ้าเราทำให้ผิวหนังสามารถผลิตคอลลาเจนได้อย่างเดิม และคอลลาเจนที่มีไม่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เราก็สามารถชะลอความแก่ ( Aging ) ของผิวหนังลงได้ และนี่เป็นหัวใจของธุรกิจเครื่องสำอาง

คำว่า Collagen ( คอลลาเจน ) มีรากศัพท์มาจากภาษา Greek ( กรีก ) แปลว่า กาว ( Glue )

2.2 ต่อมไขมัน ( Sebaceous Gland )

พบได้ทั่วไปใน ผิวหนัง ( Skin ) ตรงชั้นหนังแท้ ( Dermis ) ยกเว้นบริเวณที่ไม่มีต่อมไขมัน คือ ฝ่ามือและหลังเท้า ผิวหนังส่วนที่มีความหนาแน่นของต่อมไขมันมากที่สุดคือ ใบหน้า หนังศรีษะ ( Scalp )

ต่อมไขมัน ( Sebaceous Gland หรือ เรียกทั่ว ๆ ไปว่า Oil Gland คือต้นเหตุของการเกิดสิว ) ( Acne )
ต่อมไขมันมีหน้าที่โดยปกติคือ ผลิตและขับ ( Produce and Secrete ) น้ำมัน ( มีชื่อเฉพาะว่า Sebum ) Sebum นี้เป็นสารประกอบชนิดหนึ่งโดยมีไขมันไตรกลีเซอไรด์ ( Triglyceride ) 30 % ผสมกับกรดไขมัน ( Fatty Acid ) 30% ไขมันโคเลสเตอรอล ( Cholesterol ) 5 % Squalene 12 % ฯลฯ น้ำมันซีบัม ( Sebum ) ที่ขับออกมานี้ ทำให้ผิวหนังเป็นมัน นุ่มไม่แตกแห้ง ลดความฝืด และช่วยสร้างความชุ่มชื้น เพราะความหนืดของน้ำมัน จึงไม่ยอมให้น้ำในร่างกายระเหยผ่านออกไปได้ แต่ถ้าน้ำมันซีบัมไม่สามารถขับออกมาได้เพราะปากท่อต่อมน้ำมัน Sebaceous Gland มีการอุดตันจะโดยสาเหตุใดก็ตาม ทำให้เกิดมีตุ่มสิวขึ้นและเชื้อแบคทีเรียที่ชอบทำให้เกิดการอักเสบที่สิวมากที่สุดชื่อ Propionibacterium ( Corynebacterium ) Acnes เรียกย่อ ๆ ว่า P.Acnes ถือโอกาสเข้ามาปนเปื้อน สิวธรรมดาก็จะกลายเป็นหัวหนองได้โดยง่ายท่อของต่อมไขมันจะอาศัยเปิดร่วมกับท่อขุมขน ( Hair Follicle ) โดยมาเชื่อมต่อบริเวณใกล้จะถึงหนังกำพร้า  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2.3 ต่อมเหงื่อ ( Sweat Gland ) ทางวิชาการเรียกชื่อ Eccrine Gland

ต่อมเหงื่อพบได้ทั่วร่างกายเช่นเดียวกัน ยกเว้นที่ริมฝีฝาก ( Lips ) ช่องหูส่วนนอก ( External Ear Canal ) และบริเวณแคมเล็ก หรือแคมในของอวัยวะเพศสตรี ( Labia Minora ) ต่อมเหงื่อจะมีมากที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และหน้าผาก เวลามีเรื่องตื่นเต้นจะพบว่าเหงื่อออกมากในบริเวณดังกล่าว

หน้าที่ของต่อมเหงื่อ คือ ผลิตเหงื่อ ( Sweat ) ซึ่งเป็นน้ำและเกลือโซเดียมละลายอยู่ค่อนข้างสูง โดยเหงื่อจะช่วยให้ร่างกายเย็นลง เมื่อน้ำเหงื่อระเหยเป็นไอน้ำก็จะดึงความร้อนแฝงออกไป กรณีอากาศร้อนทำให้ต่อมเหงื่อที่ผิวหนังผลิตเหงื่อออกมามาก ก็เพราะศูนย์ควบคุมอุณหภูมิ ( Thermoregulatory Center ) ที่อยู่บริเวณมันสมองส่วนล่าง ( Hypothalamus ) เป็นผู้สั่งการให้ต่อมเหงื่อทำงานเพิ่มขึ้นนั่นเอง

ต่อมกลิ่นตัว สำหรับต่อมกลิ่นตัว ( Apocrine Gland ) มีลักษณะโครงสร้างคล้ายต่อมเหงื่อ ( Sweat Gland ) แต่มีหน้าที่หลักคือ ผลิตกลิ่นเฉพาะที่ค่อนข้างฉุนเพื่อประโยชน์ทางเพศแต่ใช้มากกับสัตว์ มนุษย์มีบ้างแต่น้อยมากที่จะชอบกลิ่นฉุนแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ ต่อมดังกล่าวจะมีหนาแน่นบริเวณรักแร้ ( Axilla ) ผิวหนังรอบทวารหนักและอวัยวะเพศ ( Anogeital Region )

เหงื่อที่ออกมากเกินไปอย่าง เช่น กรณีเล่นกีฬาหนัก ๆ จะขับแมกนีเซียมออกมามาก พร้อมกับเหงื่อจนทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียม จนถึงหัวใจวายได้เหงื่อ ตามปกติจะมีกลิ่นอ่อนมา ( Only a slight Odor )

2.4 ขุมขน ( Hair Follicle ) ผมหรือขนจะงอกออกมาจากรากผม ( Hair Root ) ซึ่งมีเยื่อหุ้มถึง 2 ชั้น เป็นรูปกระเปาะ ( Bulb ) และเรียกทั้งหมดว่า ขุมขน ( Hair Follicle หรือ Hair Bulb ) ท่อขน ( Follicle ) ซึ่งมีขนหรือผมงอกผ่านมาด้วย โดยจะมาเปิดที่ชั้นหนังกำพร้า ( Epidermis ) ออกมาภายนอกร่างกาย ท่อขนแต่ละท่อจะมีปากท่อของต่อมไขมัน ( Oil Gland ) หลายท่อจากหลายต่อมไขมันมาอาศัยเปิดร่วมด้วย ทำให้น้ำมัน ( Sebum ) ไหลออกมาร่วมกับท่อขน จึงช่วยให้ขนหรือผมไม่แตกเปราะ เป็นเงาแวววาว และผมมีน้ำหนักเพราะน้ำมันจะจับชั้นนอกของผม ( Cuticle ) ผมจะแลดูสวย

การที่ผมหวีง่าย มีน้ำหนัก ไม่แตกปลาย ก็เพราะน้ำมันจับเข้าไปในชั้น Cuticle ( เปลือกนอก ) ของผมดังกล่าว เครื่องสำอางสำหรับเส้นผมจึงหาสารที่ให้หลักการเดียวกันนี้เพื่อดูแลเส้นผม  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

2.5 ตุ่มประสาทพาซิเนียน (Pacinian Corpuscle)

Pacinian Corpuscle อยู่ในชั้นหนังแท้ Dermis เป็นตุ่มประสาทที่รับรู้ความรู้สึกสัมผัสทางผิวหนังประเภทค่อนข้างแรง หรือหนัก ( Pressure ) เช่น ถูกบีบหรือกด โดยในหนังกำพร้า ( Epidermis ) จะมีปลายประสาทของ Merkel Cell รับสัมผัสที่เบา ( Light Touch ) ระบบประสาทสัมผัสทั้งหนักและเบานี้ จะมีมากที่ปลายนิ้วมือ ( Fingertips ) เราจึงใช้นิ้วมือในการลูบคลำสิ่งต่าง ๆ มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย

เพื่อประกอบความรู้ ความเจ็บ ( Pain ) จะรับรู้โดยปลายประสาท Merkel Cell ที่ฐานของหนังกำพร้า ( Basal Cell Layer ) กระเปาะเคร้าส ( Krause Bulb ) รับสัมผัสความเย็น ( Cold ) ต่อมราฟฟินิ ( Raffini Corpuscle ) รับรู้ความร้อน ( Heat ) ต่อมไมสเนอร์ ( Meissner Corpuscle ) รับสัมผัสชนิดแผ่วเบา ฯลฯ

3. ชั้นไขมันใต้ ผิวหนัง ( Subcataneous Fatty Layer )

ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเปรียบเหมือนเป็นชั้นที่ 3 ของ ผิวหนัง ( Skin ) คือผิวนอกสุดเป็นชั้น Epidermis หรือหนังกำพร้า ชั้นกลาง คือ หนังแท้ หรือชั้น Dermis ( หรือ Cutis ) ชั้นในสุดคือใต้ Dermis เข้ามา จึงเรียกชั้น Hypodermis ( Hypo แปลว่าใต้, Dermis คือหนังแท้, ชั้นนี้จึงเป็นชั้นที่อยู่ลึกกว่าหนังแท้ แปลว่า Hypodermis ) ชื่อทางการแพทย์เรียกว่าชั้น Subcutaneous Layer ( Sub แปลว่าใต้, Cutaneous Membrane แปลว่า ผิวหนัง ( Skin ) ; จึงเรียก Subcutaneous หมายถึงใต้ผิวหนัง )

ถ้าเรียงลำดับจะเป็นดังนี้
1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) อยู่นอกสุด
2. ชั้นหนังแท้ (Dermis หรือ Cutis) อยู่กลางเป็นชั้นหลักของผิวหนัง
3. ชั้นไขมัน (Hypodermis หรือ Subcutaneous หรือ Fatty Layer) อยู่ในสุดคือใต้หนังแท้

ชั้นไขมันนี้จะประกอบด้วยไขมัน ( Fat ) โดยมีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงในบริเวณนี้จำนวนมาก ( Blood vessel ) ไขมันจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางยึดหนังแท้ ( Dermis ) ด้านนอก กับกล้ามเนื้อ ( Muscle ) หรือกระดูก ( Bone ) อยู่ด้านในให้ติดกันและช่วยเป็นเบาะกันกระแทกให้กับอวัยวะต่าง ๆ อีกด้วย
หลอดเลือดบริเวณใบหน้า ถ้าฉีกขาดโลหิตจะไหลออกมาทั้ง 2 ข้างของรอยตัดขาดของ ผิวหนัง ( Skin ) การห้ามเลือดจึงต้องหยุดโดยการกด หรือใช้ปากคีบจับหลอดเลือดทั้งสองข้างของแผล (ถ้าอวัยวะบริเวณอื่น เลือดจะไหลออกมาจากหลอดโลหิตที่ฉีกขาดทางใดก็ทางหนึ่งเท่านั้น เหมือนถนนรถวิ่งทางเดียว – one way) จะเห็นได้ว่าผิวหนังที่ใบหน้ามีเลือดมาหล่อเลี้ยงสมบูรณ์กว่าผิวหนังบริเวณอื่นทั้งหมดทำให้เวลาเกิดการบาดเจ็บที่ใบหน้า จะหายง่ายเร็วกว่าที่อื่น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

Lipocyte (เซลล์สร้างไขมัน) อยู่ในชั้นใต้ผิวหนัง ( Hypodermis ) เซลล์ไลโปไซท์ Lipocyte จะผลิตไขมันให้กับชั้นใต้ผิวหนัง ( Fatty Layer หรือชั้น Subcutaneous ) ไขมันที่ผลิตออกมานี้ จะช่วยเป็นเบาะกันชน ( Cushion ) และฉนวน ( lnsulator ) ให้กับอวัยวะภายใน, กระดูก, กล้ามเนื้อ ฯลฯ และยังทำตัวเป็นแหล่งสะสมพลังงานให้กับร่างกาย เพราะไขมัน 1 กรัม จะให้ความร้อนถึง 9 แคลอรี่ ในขณะที่โปรตีนและน้ำตาลให้เพียง 4 แคลอรี่ต่อ 1 กรัมเท่านั้น

เซลล์ไขมัน ( Fat Cell ) ถ้าครั้งหนึ่งผลิตไขมันออกมาและสะสมไว้จำนวนมาก จะทำให้เซลล์ไขมันตัวมันเอง อ้วนพอง ใหญ่กว่าปกติและมีจำนวนมากเมื่อต่อมาเกิดพยายามลดน้ำหนักเพื่อต้องการให้รูปร่างผอมบาง ไขมันเหล่านี้จะหายไปวันละเล็กละน้อยอย่างแสนลำบาก ใช้เวลาเป็นเดือน แต่ทันทีที่เริ่มกินอาหารไขมันจากอาหารจะไหลกลับมาเข้าเซลล์ไขมันอย่างรวดเร็วเต็มที่ว่างและกลับมาอ้วนอย่างเดิมอีกครั้งภายในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ บางคนอาจอ้วนมากกว่าที่ผ่านมาเพราะ Hunger Center ( ศูนย์ความหิว ) ในสมองสั่งให้ร่างกายกักตุนไขมันไว้และเร่งเก็บสำรองให้มากยิ่งขึ้นกว่าเก่าเพราะกลัวจะขาดแคลนอีก เป็นการป้องกันตัวของร่างกายตามระบบสัญชาติญาณของการอยู่รอด

การที่ให้เด็กเล็ก ๆ กินอาหารจนอ้วนโดยเห็นเป็นของน่ารักน่าเอ็นดูนั้น ท่านกำลังทำผิดอย่างมหันต์ให้กับเด็กคนนี้ เพราะเมื่อโตขึ้น จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องโรคอ้วน ( Obesity ) ตามมา ขอให้พยายามแก้เสียก่อนที่จะช้าเกินไป

Fatty Layer ( ชั้นไขมัน ) นี้จะเก็บกักความร้อนในร่างกายไม่ให้กระจายออกไปทาง ผิวหนัง ( Skin ) ได้ ถ้า Fatty Layer หรือชั้น Hypodermis หนามาก ๆ เช่น คนอ้วน จะรู้สึกร้อนง่ายเพราะฉนวนกันความร้อนแน่นมาก คนอ้วนจึงมีลักษณะขี้ร้อน เพราะอุณหภูมิที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ถูกเก็บอยู่ในตัวไม่สามารถระบายไปไหนได้เหมือนคนห่มผ้านวมหนา ๆ ไว้ตลอดเวลา

หน้าที่ของ ผิวหนัง ( Skin ) คือ

เมื่อวิเคราะห์ลักษณะทางกายวิภาคแล้ว ( Anatomy ) สรุปได้ว่า ผิวหนัง ( Skin ) มีหน้าที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. ควบคุมระดับความร้อนของร่างกาย ( Body Temperature ) ให้เหมาะกับการดำรงชีวิต โดยไขมันในชั้นใต้ผิวหนัง ( Fatty Layer ) จะกั้นไม่ให้ความร้อนในตัวไหลออกเมื่ออากาศภายนอกเย็น และหลั่งเหงื่อออกมาโดยต่อมเหงื่อ ( Sweat Gland ) เพื่อให้น้ำระเหยเป็นไอ ทำให้ร่างกายเย็นลงเมื่ออากาศภายนอกร้อน อุณหภูมิของร่างกายผู้ใหญ่ปกติ ( วัดทางปาก ) จะอยู่ที่ 98.6๐ F ( 98.6 องศาฟาเรนไฮท์ ) เพราะผิวหนังจึงค่อนข้างคงที่ตลอดเวลา [adinserter name=”navtra”]

2. ป้องกันแสงแดดและรังสี ยูวี ( UV – Ultraviolet ) ไม่ให้ส่องทะลุเข้าไปทำอันตรายอวัยวะภายในและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ รังสียูวีที่มากับแสงแดดทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ( Free Radical ) ซึ่งเป็นอันตราย ก่อมะเร็งและทำให้เกิดโรคความเสื่อม ต่าง ๆ เม็ดสีเมลานีน ( Melanin ) ในชั้นหนังกำพร้ามีบทบาทสำคัญในการป้องกัน โดยดูดซึมรังสียูวีนี้ไว้

3. ป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียน้ำภายในตัวออกมา เพราะในชั้นผิวหนังมีสารประเภท Mucopolysaccharide เช่น Ceramide (ซีราไมด์) ทำตัวเหมือนปูนซีเมนต์ยึดเซลล์ต่างๆ ให้ติดกัน กั้นน้ำส่วนใหญ่ไม่ให้รั่วหรือระเหยออกมาและยังมีน้ำมัน ( Sebum ) จากต่อมไขมันจะช่วยเคลือบผิวหนังด้านนอกช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้

น้ำในร่างกายมีสูงถึงร้อยละ 70 ของน้ำหนักตัว ถ้าขาดน้ำไปเพียงร้อยละ 2 ร่างกายจะรู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลียและถ้าขาดน้ำถึง 5 เปอร์เซ็นต์ สมองจะเริ่มสับสนในเลือดต้องมีน้ำมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ มิฉะนั้นเลือดข้น ( Viscosity ) มากไปหล่อเลี้ยงสมองลำบาก ฯลฯ ในกรณีเช่นนี้ต้องกินน้ำให้มาก อย่างน้อย 8 แก้ว ( แก้วละ 8 ออนซ์ ) ต่อวัน

4. ผิวหนัง ( Skin ) จะห่อหุ้มร่างกายทั้งตัว มีความหนาบางในบริเวณต่างๆ ไม่เท่ากันตามความจำเป็น ทำให้สามารถป้องกันอวัยวะภายในจากอันตรายซึ่งอยู่ภายนอกเบื้องต้นได้อย่างเหมาะสม เช่น จากของแข็ง เชื้อโรค ฝุ่นละออง ฯลฯ โดยป้องกันการรบกวนไม่ให้รุกล้ำเข้ามาได้ รวมทั้งชั้น Fatty Layer ( อยู่ใต้หนังแท้ ) จะทำหน้าที่เป็นเบาะกันซน ( Cushion ) รองรับแรงกดและแรงกระแทกต่าง ๆ

5. สามารถรับรู้ความรู้สึกทั้งหนักและเบา ผิวหนัง ( Skin ) สร้างระบบสื่อสารที่สำคัญ ( Organ of Commumication ) การที่มีคุณสมบัติสามารถรับสัมผัสทำให้ร่างกายสามารถสร้างกระบวนการป้องกันตนเองได้ เช่น การตอบสนอง ( Condition Reflex ) เมื่อรับความรู้สึกเจ็บ โดยอาจจะกระโดดถอยออกไปทันทีเพื่อหนีภัยโดยอัตโนมัติ เป็นต้น ก่อนที่จะเกิดอันตรายกับร่างกายมากไปกว่านี้

6. ผิวหนังที่แข็งแรงสดใส เปล่งประกายสุขภาพดี เหมือนคืนกลับสู่ความเยาว์วัย ทั้งชุ่มชื้นและยืดหยุ่น ปราศจากริ้วรอย ย่อมเป็นเครื่องจูงใจ ทำให้ดึงดูดความรู้สึกทางอารมณ์ของเพศตรงข้าม กระตุ้นให้เกิดการสืบพันธุ์ขึ้น มนุษย์จึงยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ตลอดไป

มีเผ่าพันธุ์ของลิงชนิดมีหาง ( Monkey ) และลิงใหญ่ไม่มีหาง ( Ape ) รวม 193 ตระกูล ( Species ) บนโลกของเราใบนี้ โดย 192 ตระกูลมีขนดกและหนาทั่วทั้งร่างกาย ตั้งแต่หัวจรดหาง มีเพียงตระกูลที่ 193 อยู่ตระกูลเดียวที่ไม่มีขนบนลำตัว และพวกมันขนานนามตัวมันเองว่า มนุษย์ หรือ Homo Sapiens นั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ศ.ดร.น.พ. สมศักดิ์ วรคามิน. ผิวสวย (BEAUTY SECRET THE UNTOLD STORY) กรุงเทพ: 2539 – 2560 โดยบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) © Copy Right 1996, 2017.

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303.

อาการปวดไหล่มีสาเหตุมาจากอะไร

0
อาการปวดไหล่เกิดจากกล้ามเนื่้ออักเสบ เส้นเอ็นอักเสบหรือเอ็นฉีกขาด
อาการปวดไหล่มีสาเหตุมาจากอะไร?
อาการปวดไหล่เกิดจากกล้ามเนื่้ออักเสบ เส้นเอ็นอักเสบหรือเอ็นฉีกขาด

อาการปวดไหล่

มนุษย์เราสามารถใช้แขนเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วไปได้ในทุกทิศทุกทางอย่างอิสระ ทำให้เราสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอวัยวะที่มีหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของแขน มือ คือ ส่วนของ  ข้อไหล่ ไหล่นับเป็นอวัยวะที่ต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวอย่างเช่น คนไทยที่ใช้ไหล่ในการแบกหามสิ่งของสะพายเป้หรือกระเป๋า คนจีนก็ใช้ไหล่ในคล้องเชือกสำหรับลากรถ ซึ่งมักจะเกิด อาการปวดไหล่ ได้บ่อยๆ

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

กระดูกไหล่ 3 ชิ้นที่สำคัญ ได้แก่อะไรบ้าง ?

ไหล่หรือบ่าประกอบไปด้วยกระดูก 3 ชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน คือ

1.กระดูกไหปลาร้า ( Clavicle or Collar Bone ) คือ กระดูกขนาดยาวโค้งมีอยู่ 2 ชิ้น อยู่บริเวณด้านบนของหน้าอกที่อยู่ด้านบนของกระดูกซี่โครง ซึ่งปลายด้านหนึ่งของกระดูกไหปลาร้าต่อกับส่วนของกระดูกหน้าอกและปลายอีกด้านหนึ่งต่อกับกระดูกสะบัก

2.กระดูกส่วนต้นแขน ( Humerus ) คือ กระดูกที่อยู่ระหว่างส่วนของกระดูกสะบักกับกระดูกส่วนปลายของแขน ( Forearm ) มีลักษณะเป็นกระดูกยาวทำหน้าที่เป็นแกนของต้นแขน และเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อแขนอีกด้วย

3.กระดูกส่วนสะบัก ( Scapula ) คือ กระดูกที่มีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม มีรูปร่างแบนขนาดใหญ่ อยู่ที่ส่วนบนของหน้าอก สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน

นอกจากส่วนของกระดูกแล้วไหล่ยังประกอบด้วย กล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ ซึ่งทุกส่วนนี้จะเชื่อมต่อกันด้วยข้อต่อ การที่ไหล่เชื่อมต่อกันด้วยกล้ามเนื้อ เอ็นทำให้ไหล่มีความยืดหยุ่นที่ส่งผลให้แขนและมือสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ นอกจากชิ้นส่วนข้างต้นแล้ว ไหล่ยังประกอบด้วยกระดูกอโครเมียน ( Acromion ) หรือปุ่มกระดูกหัวไหล่และกระดูกโคราคอยด์ (Coracoid) หรือจะงอยบ่า เป็นส่วนของกระดูกสะบักที่มีการยื่นออกมาเพื่อมาประกบกับส่วนเพดานของหัวไหล่ ซึ่งบริเวณที่อยู่ข้างใต้ที่เป็นตำแหน่งของหัวไหล่ กระดูกต้นแขนที่เป็นทรงกลมจะเข้ามายึดกับบริเวณเบ้าที่กระดูกสะบัก ซึ่งมีเส้นเอ็นที่ทำหน้าที่ยึดข้อและกล้ามเอ็นกล้ามเนื้อเข้ามาเกาะติดไว้เพื่อให้แขนสามารถยืด งอและเหยียดตรงได้ โดยจะมีกล้ามเนื้อที่ทำให้ไหล่สามารถเคลื่อนไหวได้มีอยู่ 4 มัด บริเวณที่อยู่ระหว่างหัวไหล่และเส้นเอ็นกล้ามเนื้อจะมีปุ่มกระดูกอยู่ ที่ปุ่มนี้จะมีกล้ามเนื้อเกาะอยู่หลายมัดและมีถุงน้ำคั่นอยู่ด้วย เพื่อทำหน้าที่เป็นหมอนรองรับแรงกระแทกหรือเป็นตัวช่วยหล่อลื่นลดการเสียดสีระหว่างกระดูก ลดการสึกหรอของกระดูก ดังนั้นถ้าถุุงน้ำมีจำนวนน้อยหรือถุงน้ำไม่สามารถทำหน้าที่ได้จะส่งผลให้กระดูกเกิดการกระทบกันจนเกิดการสึกหรอขึ้นได้

การเคลื่อนไหวของข้อที่หัวไหล่มีลักษณะอย่างไร

แขนเป็นอวัยวะที่สามารถเคลื่อนไหวไปได้ทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะเป็น ซ้าย-ขวา หน้า-หลัง บน-ล่าง หรือแม้แต่การหมุนเป็นวงกลมแขนก็สามารถเคลื่อนไหวได้ทั้งสิ้น การเคลื่อนไหวของแขนเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของกระดูกไหปลาร้า กระดูกสะบัก กล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่มีจำนวนมากมากยประกอบเข้าด้วยกัน ดังนั้นเมื่อมีการใช้งานแขนเป็นระยะเวลานาน ๆ หรือมีการใช้งานอย่างผิดวิธีจะส่งผลให้ชิ้นส่วนที่เป็นองค์ประกอบของหัวไหล่ก็จะเกิดความผิดปกติได้ ส่งผลให้เมื่อมีความรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก  [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

ผลกระทบของการปวดไหล่และการเสื่อมประสิทธิภาพของไหล่

อาการปวดไหล่เป็นสิ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เพราะว่าไหล่เป็นอวัยวะที่มีการใช้งานอยู่ตลอดเวลา ทั้งการเล่น การทำงาน การนอน ส่งผลให้ไหล่อาจเกิดการเจ็บปวดขึ้นได้ ซึ่งอาการปวดไหล่ของคนแต่ละวัยจะมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป คือ

1.วัยเด็ก เป็นวัยที่มีการเล่นซุกซนและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีโอกาสปวดไหล่เนื่องจากการบาดเจ็บในขณะที่เล่นนั่นเอง

2.วัยรุ่นหรือวัยทำงาน เป็นวัยที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแต่ว่าร่างกายต้องทำงานหนักเพื่อรองรับการเคลื่อนไหวในการประกอบอาชีพ การออกกำลังกาย หรือการกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก ทำให้กล้ามเนื้อหรือหัวไล่เกิดการเสียดสีหรือมีแรงกระแทกเข้ามากระแทกหัวไหล่ทำให้เกิดการอักเสบที่ไหล่หรือเกิดอาการปวดไหล่ได้

3.วัยสูงอายุ เป็นวัยที่มีการเสื่อมของกล้ามเนื้อไหล่ เนื่องจากมีการใช้งานกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อมาเป็นเวลานานจึงมีการเสื่อมตามกาลเวลา

อาการปวดไหล่นอกจากจะเกิดจากการบาดเจ็บหรืออายุแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดไหลก็คือ โรค เช่น โรคหัวใจ โรคถุงน้ำดี โรคตับ เป็นต้น

อาการปวดไหล่ที่พบโดยมากจะมีสาเหตุมาจากการเสื่อมของกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ ซึ่งมีสาเหตุ ดังนี้

1.ระยะเวลาการใช้งาน ไหล่เป็นอวัยวะที่ถูกใช้งานมาตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีวันใดเลยที่ไหล่จะหยุดเคลื่อนไหว เพราะว่าเราต้องใช้ไหล่ในการบังคับแขน มือเพื่อทำกิจกรรมประจำวันต่าง ๆ ซึ่งการใช้งานที่ว่านี้จะก่อให้เกิดการสึกหรอกับส่วนต่าง ๆ ของข้อไหล่  [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

2.การอักเสบ การอักเสบของกล้ามเนื้อและเอ็นกล้ามเนื้อ เกิดขึ้นจากการเสียดสีของกระดูกกับถุงน้ำที่ทำหน้าที่รองรับ แต่ถ้าถุงน้ำไม่มีประสิทธิภาพที่จะรองรับได้หรือมีการเสียดสีที่รุนแรงมาก จะทำให้เกิดความเครียดหรือการอักเสบกับเส้นเอ็นและส่วนของถุงน้ำดี และถ้าอาการอักเสบที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานหรือมีการอักเสบเรื้อรังจะก่อให้เกิดหินปูนเกาะที่บริเวณเส้นเอ็นและเมื่อหินปูนนี้มีการแตกเข้าไปสู่ถุงน้ำดีก็จะส่งผลให้เกิดอาการปวดไหล่ชนิดเฉียบพลันได้

3.การฉีกขาดของเส้นเอ็น เกิดจากการที่ใช้งานกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นด้วยความรุนแรงหรือมีการใช้กล้ามเนื้อที่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติส่งผลให้เส้นเอ็นกล้ามเนื้อหรือกล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาดได้

4.เส้นเอ็นหย่อนยาน คือ อาการที่เวลาที่ผู้ป่วยเคลื่อนไหวแล้ว มีความรู้สึกหรือได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของกระดูกที่ส่วนของข้อไหล่ แต่ว่าในช่วงแรกอาจจะไม่มีอาการปวดไหล่เกิดขึ้น แต่ถ้าปล่อยไว้ในระยะเวลานานอาจจะทำให้เกิดอาการปวดไหล่ได้

อาการปวดไหล่ที่พบมักจะเป็นการปวดไหล่แบบค่อยเป็นค่อยไป คือจะมีอาการปวดไหล่เกิดขึ้นที่ละเล็กละน้อยจนบางครั้งผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือปวดเพียงชั่วครู่อาการดังกล่าวก็จะหายไป แต่เมื่อมีการสะสมหรือเกิดอาการปวดเป็นระยะเวลายาวนานโดยที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องแล้ว อาการปวดไหล่จะสร้างผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยได้

อะไรคือสาเหตุของการบาดเจ็บที่ไหล่

1.ภาวะที่ข้อไหล่มีการหลุด

เกิดจากการที่กระดูกต้นแขนมีการเคลื่อนตัวหลุดออกมาจากเบ้าโดยมีการเคลื่อนตัวจากด้านหลังมาทางด้านหน้ามากกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากการที่โดนกระแทกด้วยความรุนแรงจากด้านหลังทำให้กระดูกเกิดการเคลื่อนตัว ส่งผลให้รู้สึกเจ็บปวดที่หัวไล่เป็นอย่างมากจนไม่สามารถเคลื่อนไหวหัวไหล่ได้ หัวไหล่จะมีอาการบวมแดงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน  [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

ในการรักษาจะสามารถบอกอย่างละเอียดด้วยการเอ็กซเรย์ เพื่อดูว่ากระดูกมีการเคลื่อนที่อย่างไรและมีการแตกหักของกระดูกเกดขึ้นหรือไม่ เมื่อแพทย์ทราบว่ากระดูกมีการเคลื่อนไปอย่างไรก็จะทำการดึงกระดูกต้นแขนให้เข้าที่เหมือนเดิม และทำการพันต้นแขนเพื่อลดการเคลื่อนไหวของหัวไหล่แบบชั่วคราว พร้อมทั้งกินยาแก้อักเสบและยาแก้ปวด

2.ภาวะเอ็นหัวไหล่เกิดการอักเสบหรือมีการฉีกขาดของเอ็น

ภาวะเอ็นหัวไหล่เกิดการอักเสบหรือฉีกขาดจะพบมากในผู้ป่วยที่มีอายุสูง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าผู้สูงอายุจะมีการใช้งานถุงน้ำดีมากทำให้ถุงน้ำดีมีสภาวะเสื่อมสภาพจึงเกิดการอักเสบได้ง่าย หรือในคนที่มีการเล่นกีฬาที่ต้องให้แรงจากหัวไหล่อย่างมาก เอ็นอักเสบจะมีอาการปวดชนิดเฉียบพลันและมีความรุนแรงที่สูงมาก เมื่อทำการกดบริเวณไหล่จะ  รู้สึกเจ็บเป็นบางจุด หรือในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการชนิดเรื้อรังซึ่งการอักเสบชนิดเรื้อรังจะทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวและกว่าที่จะรู้ตัวก็ทำให้แขนไม่สามารถใช้งานได้อย่างปกติแล้ว

3.สภาวะเยื่อหุ้มที่บริเวณข้อไหล่เกิดการอักเสบ

เกิดจากความเสื่อมของการใช้งาน ทำให้เยื่อหุ้มเกิดการเสียดสีจนทำให้เยื่อหุ้มมีการฉีกขาด ซึ่งการฉีกขาดจะเกิดขึ้นจากแผลเล็ก ๆ และค่อย ๆ ขยายจนส่งให้เกิดการอักเสบชนิดรุนแรงขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บที่หัวไหล่เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือใช้งานหัวไหล่

4.อาการปวดกล้ามเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ

เกิดเนื่องจากการมีพังผืดที่บริเวณกล้ามเนื้อขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บลึกภายในกล้ามเนื้อที่มีพังผืดเกิดขึ้น ซึ่งเมือมีอาการชนิดรุนแรงผู้ป่วยจะไม่สามารถเคลื่อนไหวหัวไหล่ได้ และยังมีอาการปวดร้าวไปทั้งตัวด้วย การเกิดพังผืดที่กล้ามเนื้อจะค่อยเกิดขึ้นที่ละน้อย ทำให้สั่งเกิดได้ยากว่ามีพังผืดเกิดขึ้นแล้วหรือยัง และยังไม่ทราบด้วยว่าพังผืดที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร

5.สภาวะเส้นประสาทเกิดการฉีกขาด

เกิดจากาการที่รับอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดึง การกระแทกกับส่วนของหัวไหล่ ทำให้หัวไหล่มีการเคลื่อนที่อย่างผิดปกติ ส่งผลให้เส้นประสาทที่อยู่บริเวณดังกล่าวหรือบริเวณใกล้เคียงกับส่วนที่ได้รับการกระแทกมีการฉีกขาด ผู้ป่วยจึงมีอาการปวดร้าวเกิดขึ้นกับเส้นประสาทและส่วนของกล้ามเนื้อที่อยู่ใกล้เคียงกับเส้นประสาทด้วย กล้ามเนื้อของผู้ป่วยจึงอ่อนแรง มีการลีบตัวลงและเล็กลงตามมาในภายหลัง

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

6.หัวไหล่ยึดหรือเกิดการแข็งตัว

ข้อนับเป็นส่วนที่ช่วยสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว แต่ถ้าข้อไหล่มีการอักเสบ กล้ามเนื้อล้า และเกิดพังผืดขึ้น จะส่งผลให้เวลาที่หัวไหล่มีการเคลื่อนไหวจะมีอาการปวดเกิดขึ้น และแขนจะทำการเคลื่อนไหวได้น้อยกว่าปกติ เช่น การเท้าสะเอว การยกแขนไขว้ไปด้านหลัง การยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันอย่างติดขัด การรักษาสามารถรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างนาน  ในตอนแรกผู้ป่วยจะมีการปวดที่หัวไหล่ตอนที่ทำการขยับหัวไหล่ การนอนที่ต้องนอนทับแขนหรือหัวไหล่ข้างที่มีการยึด การป้องกันอาการข้อยึดสามารถทำด้วยการเคลื่อนไหวหัวไหล่อยู่เป็นประจำอย่างต่อเนื่องและเคลื่อนไหวในท่าที่ถูกต้องจะลดอาการหัวไหล่ยึดได้

พบว่าอาการเจ็บปวดที่พบได้บ่อยกับส่วนของหัวไหล่นั้นจะเป็นอาการที่ไม่ค่อยแสดงอาการในช่วงแรกที่เริ่มเป็นแล้ว แต่ว่าเมื่อผู้ป่วยรู้ว่าเกิดการบาดเจ็บที่หัวไหล่ก็ต่อเมื่ออาการดังกล่าวอยู่ในขั้นที่มีความรุนแรงค่อนข้างสูง ยากต่อการรักษาและส่งกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งการกิน การทำงาน การนอน เรียกว่าสร้างผลกระทบกับผู้ป่วยตลอดเวลาเลย ดังนั้นทางที่ดีการป้องกันหรือดูแลหัวไหล่ก่อนที่จะมีอาการเรื้อรังจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน

วิธีการรักษาและดูแลอาการปวดไหล่ที่เกิดขึ้นแบบชนิดเฉียบพลันตัวตนเอง

1.การประคบเย็น

เมื่อมีอาการปวดที่บริเวณหัวไหล่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ให้หายไปเอง เพราะบางครั้งกว่าจะหายใช้เวลานานและจะนานขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหัวไหล่เกิดขึ้นให้ทำการประคบเย็น คือ การประคบด้วยผ้าห่อน้ำแข็งหรือผ้าที่เย็นจัด นำมาประคบบริเวณที่ปวดประมาณ 15-30 นาทีต่อครั้ง และควรทำวันละ 2-3 ครั้ง การประคบเย็นจะช่วยป้องกันไม่ให้เลือดออกในบริเวณดังกล่าว ผู้ป่วยก็ควรลดการใช้งานของหัวไหล่ให้น้อยลงอาการปวดจะได้หายเร็วขึ้น

2.การประคบร้อน

การประคบร้อนจะทำหลังจากที่ทำการประคบเย็นมาแล้ว 3 วัน ด้วยการนำผ้าชุบน้ำอุ่นหรือกระเป๋าน้ำร้อนมาประคบที่บริเวณที่เคยทำการประคบเย็น การประคบร้อนจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเป็นการผ่อนคลายความ เครียดของกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัวด้วย การประคบร้อนควรประคบครั้ง 5- 10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เช่นเดียวกับการประคบเย็น

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

3.การรับประทานยา

บางครั้งการปวดก็สร้างความทุกข์ให้กับผู้ป่วยจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ดังนั้นผู้ป่วยสามารถกินยาแก้ปวดได้ เช่น พาราเซตามอล ได้แต่ว่าถ้ากินแล้วอาการปวดยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพราะว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นอาจจะมีสาเหตุที่รุนแรงมากก็ได้

4.การทำกายภาพบำบัด

ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีการกาบภาพบำบัดมีความลำหน้าเป็นอย่างมาก ทำให้การทำการกายภาพบำบัดสามารถช่วยลดอาการเจ็บปวดและสามารถฟื้นฟูให้หัวไหล่กลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม แต่ว่าการทำการภาพบำบัดนั้นควรอยู่ภายใต้การดูแลหรือคำแนะนำของผู้เชี่ยว

การดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีอาการปวดไหล่

การรักษาอาการปวดไหล่ด้วยตนเองเป็นการดูแลในช่วงเวลาที่มีอาการปวดขึ้นมาแล้ว แต่ว่าวิธีการที่ดีก็คือการออกกำลังกายเพื่อให้หัวไหลมีความแข็งแรง จะช่วยลดความเสี่ยงในการปวดหัวไหล่ได้มาก ซึ่งการออกกำลังกายสำหรับหัวไหล่มีดังนี้

1.การแกว่งแขน

เริ่มจากการทำแขนข้างที่ไม่ปวดมาจับยึดกับโต๊ะ ทำการก้มตัวลงเล็กน้อย แล้วทำการแกว่งแขนไปข้างหน้าและหลังสลับกันช้า ๆ ครั้งละ 5 นาที ทำซ้ำข้างละ 3 รอบ ถ้าแขนมีอาการปวดอยู่ก็ให้ใช้แขนข้างที่ไม่ปวดยึดกับโต๊ะ ส่วนแขนข้างที่ปวดให้ทำการแก่วงก็จะช่วยลดอาการปวดได้เช่นกัน

2.การยกไหล่ขึ้นลง

เริ่มจากยืนตรง กางเท้ากว้างเท่ากับหัวไหล่ เหยียดแขนตรงแนบลำตัว ทำการยกหัวไหล่ขึ้น-ลง ช้า ๆ ทำครั้งละ 5 นาที ทำซ้ำ 3 รอบ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดไหล่อยู่สามารถทำได้แต่ต้องทำช้า ๆ มากและถ้ารู้สึกปวดมากก็ควรหยุดในทันที  [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

3.การยกกระบอง

ท่าเตรียมให้นั่งตัวตรง หลังพิงพนักเก้าอี้ มือทั้งสองข้างจับไม้กระบองหรือไม้พลองขนาดพอดีมือ เหยียดแขนไปข้างหน้าพร้อมทั้งจับไม้และยกไม้ขึ้นเหนือศีรษะ ลดแขนลงให้อยู่ในระดับหน้าอก ครั้งละ 10 ทำซ้ำ 3 รอบ

อาการปวดไหล่เนื่องจากกระดูกหัวไหล่หัก

อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับหัวไหล่ นอกจากอาการที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่กล้ามเนื้อ ยังมีอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับกระดูที่เป็นที่มาของความเจ็บปวดชนิดเฉียบพลันและมีความรุนแรงสูงมากกับร่างกาย นั่นคือ อาการกระดูกหัก ซึ่งการกระดูกหักที่เกิดขึ้นได้กับส่วนของหัวไหล่มีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนคือ

1.การหักของกระดูกไหปลาร้า

กระดูกไหปลาร้าสามารถหักได้จากหลายสาเหตุ เช่น การตกจากที่สูง อุบัติเหตุที่ข้อหรือหัวไหล่ได้รับแรงกระแทกที่มีความรุนแรง เป็นต้น ซึ่งเมื่อมีอาการกระดูกหักจะทำให้ผิวหนังมีสีเขียวคล้ำและมีอาการปวดมาก

2.การหักของกระดูกส่วนต้นแขนและต้นคอ

เกิดขึ้นเมื่อมีการล้มที่ข้อศอกหรือมือต้องยันกระทบกับพื้น และการได้รับแรงกระแทกที่รุนแรงที่ส่วนของหัวไหล่ ทำให้มีอาภาวะเลือดออกมากจนบริเวณส่วนของต้นแขนมีสีเขียวซ้ำจนถึงข้อศอก ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับความเจ็บปวดที่รุนแรงเช่นเดียวกับการที่กระดูกไหปลาร้าหัก

การที่กระดูกหักสามารถทำการตรวจว่ากระดูกส่วนใดหักด้วยการเอกซเรย์กระดูก และทำการดึงกระดูกให้เข้ารูป พร้อมทั้งทำการเข้าเฝือกเพื่อที่ผู้ป่วยจะได้หยุดการเคลื่อนไหวของกระดูกส่วนที่หัก เพื่อที่กระดูกส่วนนั้นจะได้ทำการประสานต่อกันเหมือนเดิม ซึ่งการเข้าเฝือกนี้จะใส่อยู่ประมาณ 1-2 เดือน กระดูกก็จะประสานเป็นเนื้อเดียวกันและกลับมาทำงานได้อย่างปกติ

  [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

การดูแลสำหรับผู้ป่วยที่หัวไหล่และข้อยึด

การรักษาโรคข้อยึดสามารป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้หรือลดอาการข้อยึดให้บรรเทาลงได้ด้วยการเคลื่อนไหวหัวไหล่อยู่เป็นประจำและอีกวิธีหนึ่งก็คือการออกกำลังกาย ด้วยท่าดังนี้

1.การชักรอก

ท่าชักรอกเป็นท่าที่ช่วยให้ไหล่เคลื่อนไหวขึ้น ลง ด้วยการใช้เชือกช่วยในการดึงสิ่งของที่หนักพอประมาณ โดยการใช้รอกยึดติดกับผนัง ร้อยเชือกผ่านรอก ด้านหนึ่งผูกติดกับสิ่งของที่มีน้ำหนักพอประมาณ เชือกที่ด้านให้มือดึงลงและปล่อยมือ ดึงขึ้นลงครั้งละ 30 รอบ ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง

2.แกว่งแขน

เริ่มจากการก้มตัวเล็กน้อย มือถือลูกตุ้มหนักประมาณ 0.5 กิโลกรัม แกว่งแขนไปข้างหน้าช้า ๆ ชักแขนกลับมาด้านหลังช้า ๆ ทำสลับกันจนครบ 20 รอบ ทำซ้ำ 2-3 รอบ

3.โน้มตัวเข้าหาฝาผนัง

เริ่มจากการยืนห่างจากผนังหนึ่งช่วงแขน ยกมือขึ้นดันฝาผนัง ค่อย ๆ กดแขนลงจนกระทั้งข้อศอกแนบกับผนัง แล้วค่อย ๆ ดันแขนให้ยืดขึ้น เข้าสู่ท่าเริ่มต้น ทำสลับกัน 20 รอบ ทำซ้ำ 2-3 รอบ

4.การเล่นกีฬา

นอกจากการออกกำลังกายตามท่าที่กล่าวมาด้านต้นแล้ว การเล่นกีฬาที่ต้องอาศัยหัวไหล่ในการเล่นก็นับว่าเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยป้องกันและลดการเกิดข้อยึดได้ เช่น การเล่นเทนนิส การเล่นบาส การว่ายน้ำ เป็นต้น แต่ว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมควรออกกำลังกายแต่พอดี ไม่หนักจนเกินไปเพราะจะทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้

การดูแลป้องกันตัวเองจากอาการปวดที่อาจเกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่ว่าบางครั้งอาการปวดก็อาจจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องการ เช่น การเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น ซึ่งเมื่อมีอาการบาดเจ็บเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ต้องกระทำคือการรักษา แพทย์จะทำการตรวจ ซักถามและทำการเอกซเรย์เพื่อดูว่ามีความผิดปกติใดเกิดขึ้นบ้าง มีพังผืด มีการหักของกระดูก เพื่อที่จะได้ให้ยา การเข้าเฝือก และการให้ยากับผู้ป่วย เมื่อรักษาทางการแพทย์เสร็จแล้ว การเคลื่อนของผู้ป่วยอาจจะยังไม่เหมือนปกติ ต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อเป็นการฟื้นฟูหัวไหล่ให้กลับมาทำงานได้เป็นปกติ การทำกายภาพบำบัดสามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้าน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการหนักการทำกายภาพบำบัดต้องอยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยในขณะที่ทำกายภาพบำบัด

[adinserter name=”sesame”]

การทำกายภาพบำบัดมีอะไรบ้าง?

1.การประคบร้อน เพื่อลดอาการปวดและอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อด้วยความร้อน ซึ่งการประคบร้อนสามารถทได้ด้วยตนเอง

2.การประคบเย็น เพื่อลดอาการปวดเช่นเดียวกับการประคบร้อนแต่เป็นการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อด้วยความเย็น

3.การยืดกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นวิธีการเฉพาะสำหรับนักกายภาพบำบัดใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีพังผืดที่กล้ามเนื้อ

4.การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า เพื่อช่วยลดอาการปวดของผู้ป่วยให้มีความเจ็บปวดน้อยลง และยังช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการคลายตัวได้ด้วย

5.การออกกำลังกาย ด้วยท่าทางที่ถูกต้องตามหลักการออกกำลังกาย โดยนักกายภาพบำบัดจะทำการแนะนำและจัดการท่าที่ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้สามารถทำได้อย่างถูกต้องและสามารถกลับไปทำเองที่บ้านได้

หัวไหล่เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะเป็นอวัยวะที่เราต้องใช้งานอยู่ทุกวัน ดังนั้นเราควรดูแลเอาใจใส่อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการอักเสบที่เป็นที่มาของอาการปวด ซึ่งทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันมีอุปสรรค ไม่คล่องตัวอย่างที่ควรเป็น วันนี้คุณดูแลหัวไหล่ดีแล้วหรือยัง?

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

สุรศักดิ์ ศรีสุข. ปวดไหล่ : พิมพ์ครั้งที่ 7 : กรุงเทพฯ : หมอชาวบ้าน, 2560. 48 หน้า

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า.

https://www.medicinenet.com/shoulder_pain_facts/article.html

ความคิดผิดหลงผิดจากโรคสมองเสื่อมเป็นอย่างไร

0
ความคิดผิดหลงผิดจากโรคสมองเสื่อมเป็นอย่างไร
โรคจิตเภท เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางความคิด ส่งผลให้การรับรู้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง
ความคิดผิดหลงผิดจากโรคสมองเสื่อมเป็นอย่างไร
โรคจิตเภท เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางความคิด ส่งผลให้การรับรู้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง

โรคสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อม เป็นโรคที่มีความลับซับซ้อนซ่อนอยู่อีกมากมาย ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์จะก้าวหน้าไปมากจนทำให้เราได้เข้าใจส่วนประกอบและความเปลี่ยนแปลงของสมองมากขึ้นแล้ว

แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าทั้งหมดนั่นได้สักครึ่งหนึ่งของความลับในสมองหรือยัง ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมมากขึ้นหลายคนไม่รู้สึกว่าโรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่แปลกใหม่หรือหาได้ยากอีกแล้ว แต่กลับมีคนจำนวนไม่มากเท่าไรที่เข้าใจถึงรูปแบบของโรคสมองเสื่อมอย่างแท้จริง เพราะสัญญาณหรืออาการที่แสดงออกของผู้ป่วยไม่แน่นอน แถมยังทับซ้อนกับโรคอื่นๆ อย่างเช่น อัลไซเมอร์ จิตเภท พาร์กินสัน เป็นต้น ต้องเป็นคนที่ศึกษาด้วยความสนใจหรือคลุกคลีอยู่ในวงการแพทย์เท่านั้นเองถึงจะแยกแยะได้จริงๆ ว่าอาการของผู้ป่วยนั้นอยู่ในกลุ่มของโรคไหน

อาการของความคิดผิดหลงผิด ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างโรคสมองเสื่อมและจิตเภท หลายคนเข้าใจว่ามันคือโรคเดียวกันด้วยซ้ำ

ซึ่งในสมัยก่อนก็ต้องยอมรับว่าการดูแลรักษาหรือการวินิจฉัยนั้นสองโรคนี้แทบจะไม่ต่างกันเลย แต่ตอนนี้เรามีองค์ความรู้ทางการแพทย์เพิ่มมากขึ้นแล้ว จึงได้รู้ว่าที่แท้โรคสมองเสื่อมกับโรคจิตเภทนั้นต่างกันมาก และยังต้องมีรายละเอียดในการรักษาที่แตกต่างกันอีกด้วย

อาการความคิดผิดหลงผิดในโรคจิตเภท

โรคจิตเภท  ( Schizophrenia ) เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางความคิด ส่งผลให้การรับรู้ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงและก่อให้เกิดปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งโรคจิตเภทนั้นมีสาเหตุการเกิดได้ทั้งทางร่ายกายและจิตใจ ทางร่างกายได้แก่ พันธุกรรม สารเคมีในสมองผิดปกติ เป็นต้น ในทางจิตใจส่วนใหญ่เกิดจากความเครียดหรือได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง ความคิดผิดหลงผิดในกลุ่มโรคจิตเภทจึงเป็นไปในลักษณะที่มีความเชื่ออย่างสนิทใจในเรื่องที่ผิดไปจากความจริง ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขกันด้วยเหตุผลได้ด้วย เช่น คิดไปเองว่าจะมีคนอื่นมาทำร้าย คิดว่าตนเองกำลังจะถูกวางยาพิษ คิดว่าตนเองมีอำนาจหรือพลังพิเศษ

อาการความคิดผิดหลงผิดในโรคจิตเภทยังสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของอาการได้อีก 5 กลุ่ม คือ

1. Erotomanic Type คือ กลุ่มที่คิดว่าบุคคลอื่นหลงรักตนเอง หรือคิดว่าคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักนั้นเป็นคนรักของตนเอง โดยที่ผู้ป่วยจะ ปิดบังไว้หรือเปิดเผยออกมาก็ได้

2. Grandiose Type คือ กลุ่มที่คิดว่ามีพลังความสามารถเกินความเป็นจริง เช่น คิดว่ามีทรัพย์สินมากมายล้นฟ้า คิดว่ามีความรู้ในระดับที่สูงมากๆ เป็นต้น

3. Jealous Type คือ กลุ่มที่ระแวงว่าคนรักนอกใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นกลุ่มที่แยกได้ยากเสียด้วยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นอาการป่วยกันแน่

4. Persecutory Type คือ กลุ่มที่คิดว่าถูกปองร้าย หรือคนใกล้ชิดอย่างคนในครอบครัวกำลังอยู่ในอันตราย

5. Somatic Type คือ กลุ่มที่คิดว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้ายแรงบางอย่าง หรือคิดว่าอวัยวะของตนไม่ปกติ เช่น ใหญ่หรือเล็กเกินไป เป็นต้น

อาการความคิดผิดหลงผิดในโรคสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อมเกิดจากมีความเสียหายบางอย่างในเนื้อเยื่อสมอง ผู้ที่มีอาการความคิดผิดหลงผิดสำหรับกรณีที่เกิดจากภาวะสมองเสื่อม มีที่มาจากเกิดพยาธิสภาพที่ส่วนของสมองอย่างน้อย 1 ตำแหน่ง เช่น บริเวณสมองกลีบหน้า บริเวณของปมประสาท บริเวณสมองกลีบขมับ บริเวณเนื้อสมองส่วนอมิกดาลา เป็นต้น ซึ่งอาการที่แสดงออกมาก็มีหลายหลายเช่นเดียวกัน และมักจะพบในผู้ป่วยสมองเสื่อมที่อยู่ในระยะกลางเท่านั้นขึ้นไปเท่านั้น ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยสมองเสื่อม

  • มีความกลัวว่าสมบัติที่มีจะถูกขโมยไปด้วยวิธีการต่างๆ ( Delusion of Theft )
  • มีความกลัวว่าคู่รักของตนนอกใจไปกับคนอื่น ( Delusion of Infidelity )
  • มีความกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายอยู่ตลอดเวลา ( Persecutory Delusion ) 

อาการความคิดผิดหลงผิดในโรคสมองเสื่อมยังเชื่อมโยงกับการเห็นภาพหลอน เช่น มองเห็นปีศาจที่ไม่มีอยู่จริง มองเห็นสัตว์ป่าจะเข้ามาทำร้าย เป็นต้น และหูแว่ว เช่น ได้ยินเสียงผิดปกติแบบเดิมซ้ำๆ หรือได้ยินเสียงที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย เป็นต้น ทำให้เกิดอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรงและไม่สามารถควบคุมระดับอารมณ์ของตนเองได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการของความคิดผิดหลงผิดในโรคสมองเสื่อมนี้จึงมักมีความก้าวร้าวรุนแรงร่วมด้วยเสมอ

นอกจากนี้ยังมีอาการความคิดผิดหลงผิดในโรคเกี่ยวกับสมองที่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดโรคสมองเสื่อมด้วย นั่นก็คือ โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่หลายคนเหมารวมให้กลายเป็นโรคสมองเสื่อมไปเรียบร้อย ทั้งที่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย อัลไซเมอร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงที่จะต่อยอดไปเป็นโรคสมองเสื่อมเท่านั้น

สำหรับอาการความคิดผิดหลงผิดในอัลไซเมอร์ จะเป็นกลุ่มของการแยกแยะที่ผิดพลาด ( Misidentification Syndrome ) คือ มีอาการ Picture Sign แยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งที่มองเห็นเป็นจริงเท็จอย่างไร เช่น กรณีที่ดูโทรทัศน์อยู่ ผู้ป่วยก็อาจเข้าใจผิดว่าสิ่งที่มองเห็นในโทรทัศน์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จริงๆ ในจุดที่ตัวเองอยู่ ถ้าเห็นเป็นคนไล่ยิงกัน ก็จะเข้าใจว่ามีคนไล่ยิงกันอยู่ในบ้านของตัวเองจนเกิดความหวาดกลัว เป็นต้น และอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มของการระบุบุคคลที่ผิดพลาด ( Capgras Syndrome ) ผู้ป่วยจะสามารถจดจำใบหน้าบุคคลใกล้ชิดหรือคนที่รู้จักคุ้นเคยได้ทั้งหมด ไม่ได้หลงลืม แต่กลับเข้าใจว่าคนเหล่านั้นเป็นตัวปลอม เช่น ถ้าผู้ป่วยมีครอบครัว มีสามีหรือภรรยาที่อยู่ด้วยกัน ก็จะจำได้ว่าตนเองมีสามีหรือภรรยาชื่ออะไร หน้าตาแบบไหน แต่เมื่อมองก็คิดว่าเป็นคนอื่นที่ปลอมตัวมา หรือมีอีกคนอยู่ในร่างของสามีหรือภรรยานั่นเอง ส่งผลให้มีความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา เพราะเหมือนอยู่กับคนที่ไม่รู้จักเลยแถมไม่เห็นหน้าที่แท้จริงอีกด้วย อาจบานปลายไปถึงการทำร้ายร่างการสามีหรือภรรยาของตนเองเลยก็ได้

ระยะของอาการความคิดผิดหลงผิดในโรคสมองเสื่อม

ระยะต้น : ช่วงแรกนี้ในผู้ป่วยบางรายแทบไม่มีสิ่งผิดปกติที่แสดงออกมาเลย ด้วยหลายสาเหตุคือ ผู้ป่วยยังมีอาการไม่มากนักและยังไม่กระทบกับการใช้ชีวิตของเขา กับอีกกรณีคือเขาปิดบังไว้ไม่ยอมบอกใคร แต่ก็พอมีจุดให้คนใกล้ชิดสังเกตได้อยู่เหมือนกัน เพราะผู้ป่วยจะซึมเศร้าบ่อยครั้งกว่าปกติ มีช่วงจังหวะที่เฉยเมยต่อสิ่งรอบข้าง หงุดหงิดบ่อยแต่ก็ยังสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้อยู่แม้ว่าจะต้องใช้เวลามากกว่าปกติก็ตาม

ระยะกลาง : ช่วงนี้ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด ความถี่ของความแปรปรวนในอารมณ์มีมากขึ้น เห็นภาพหลอนหรือมีอาการหูแว่วบ่อยๆ ขี้ตกใจและหวาดระแวง

ระยะรุนแรง : มีการแสดงออกให้เห็นได้ชัดมากขึ้นถึงอารมณ์ที่หงุดหงิด อาจมีขว้างปาข้าวของให้เห็นบ้าง เริ่มด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง สลับกับซึมเศร้าเป็นพักๆ ช่วงท้ายๆ ของระยะนี้อาจไปไกลถึงขั้นทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วย

ระยะติดเตียง : ตอนนี้ผู้ป่วยจะมีปัญหาในการเคลื่อนไหวร่างกาย และจินตนาการเองไม่ได้แล้วเพราะสมองเสียหายอย่างหนัก แต่ยังคงมีอารมณ์หงุดหงิดและก้าวร้าวรุนแรงขึ้น

การดูแลรักษาอาการความคิดผิดหลงผิด

แน่นอนว่าขั้นแรกต้องมีการซักประวัติและตรวจสอบขั้นพื้นฐานก่อนว่าผู้ป่วยนั้นมีอาการความคิดผิดหลงผิดจริง แล้วแยกแยะว่ามีสาเหตุมาจากโรคจิตเภทหรือโรคสมองเสื่อมกันแน่ เพราะจะช่วยให้ทำการรักษาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ตัวเลือกในการรักษามีอยู่ 2 รูปแบบ คือ รักษาด้วยยาและรักษาด้วยการบำบัด

1. การรักษาด้วยการใช้ยา

ยากลุ่มนี้จะเป็นยาระงับประสาทในเบื้องต้น เพื่อผ่อนคลายให้ผู้ป่วยลดความตึงเครียดและความกังวลลง ซึ่งต้องติดตามผลและปรับปริมาณหรือชนิดของยาไปตามอาการที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถปรับเปลี่ยนยาได้เองแม้ว่าจะสามารถหาซื้อมาได้จากแหล่งอื่น แต่ทั้งหมดต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อยู่ตลอด

2. การรักษาด้วยการบำบัด

การบำบัดจะเน้นไปที่ลดหรือตัดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ป่วยกับสิ่งเร้า เช่น ถ้าผู้ป่วยกังวลว่าตนเองมีร่างกายที่ผิดปกติและมักจะส่องกระจกเพื่อสำรวจความผิดปกตินั้นตลอดเวลา ก็ให้เอากระจกออกไปจากห้องของผู้ป่วย แต่ไม่ถึงกับเก็บกระจกทั้งหมดในบ้านออกไป เพราะผู้ป่วยจะยิ่งรู้สึกผิดปกติและเกิดความขุ่นข้องหมองใจเพิ่มอีก พร้อมกับพยายามแทรกเรื่องราวความเป็นจริงให้กับผู้ป่วยในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย เช่น ขณะที่ผู้ป่วยส่องกระจกแล้วบ่นกับผู้ดูแลว่าแขนตัวเองผิดปกติ ผู้ดูแลก็สามารถบอกว่าเป็นปกติดี ไม่มีอะไร แต่ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์อารมณ์ของผู้ป่วยและต้องไม่เป็นการบีบคั้นจนเกินไปด้วย

อันที่จริงแล้วการรักษาจำเป็นต้องกระทำร่วมกันทั้ง 2 รูปแบบ คือทั้งให้ยาตามอาการและบำบัดทางจิตไปพร้อมกัน หากมีอาการร่วมในโรคสมองเสื่อมก็ต้องทำการรักษาในส่วนนั้นไปด้วยอีกทาง ปัญหาอย่างหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยก็คือ มากกว่าครึ่งไม่ยอมรับว่าตนเองนั้นป่วย จึงปฏิเสธการรักษาอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ตัวเขาเองจะรู้สึกว่าอาการความคิดผิดหลงผิดต่างๆ เริ่มกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันแล้วก็ตาม แต่ก็หาเหตุผลให้ไม่กลายเป็นคนป่วยได้อยู่ดี สิ่งสำคัญในการรักษาจึงเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้ดูแลใกล้ชิดและแพทย์ที่ทำการรักษา ทางฝ่ายของแพทย์ นอกจากจะต้องทำหน้าที่วินิจฉัย รักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ยังต้องสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ป่วย เพราะถ้าสามารถทำให้เกิดความไว้วางใจระหว่างกันได้จริงๆ แล้ว ต่อให้ผู้ป่วยยังไม่เชื่อว่าตนเองป่วยจริงๆ ก็จะยอมให้ทำการรักษาต่อไปได้ ในฝ่ายของผู้ดูแลใกล้ชิดก็ต้องเข้าใจว่าทั้งหมดที่ผู้ป่วยกระทำเป็นผลของโรค เป็นความผิดปกติของร่างกาย ไม่ใช่ความตั้งใจที่แท้จริง และระวังการใช้อารมณ์ตอบโต้กลับ พร้อมกับหมั่นสังเกตสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

วรพรรณ เสนาณรงค์. รู้ทันสมองเสื่อม / รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวรพรรณ เสนาณรงค์: กรุงเทพฯ: อมรินทร์เฮลท์ อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (22), 225 หน้า: (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 207) 1.สมอง. 2.สมอง–การป้องกันโรค. 3.โรคสมองเสื่อม. 4.โรคอัลไซเมอร์. 616.83 ว4ร7 ISBN 978-616-18-1556-1.

Luk KC, Kehm V, Lee VM, et al. (2012). Pathological alpha-synuclein transmission 
initiates Parkinson-like neurodegeneration in nontransgenic mice. Science. 338 : 949-953.

วิธีการดูแลผิวที่กำลังได้รับความนิยมมีอะไรบ้าง

0
วิธีการดูแลผิวที่กำลังได้รับความนิยมมีอะไรบ้าง?
วิธีในการดูแลความงามของผิวพรรณด้วยวิธีธรรมชาติ ด้วยผักผลไม้ใกล้ตัว
วิธีการดูแลผิวที่กำลังได้รับความนิยมมีอะไรบ้าง?
นวดหน้าด้วยคลื่นไฟฟ้าเป็นการรักษาปัญหาต่างๆบนผิวหน้าที่เห็นผลอีกวิธี และได้รับความนิยมอย่างมาก

วิธีการดูแลผิว

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง นับตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบันมนุษย์ได้คิดค้นกรรม วิธีการดูแลผิว และความงามของผิวพรรณมากมายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรายเนื้อละเอียดขัดตามผิวเพื่อคงความกระจ่างใสของผิวพรรณ ซึ่งเป็นวิธีที่เรียบง่ายไปจนถึงการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ซับซ้อนและใช้ทุนสูง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

สวยด้วยแพทย์ นวัตกรรมสมัยใหม่ในการดูแลผิวพรรณและความงาม

0
สวยด้วยแพทย์ นวัตกรรมสมัยใหม่ในการดูแลผิวพรรณและความงาม
นอกจากการดูแลผิวด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้วการมีแพทย์เข้ามาช่วยดูแลรักษาผิวก็จะยิ่งทำให้ผิวมีความงามยิ่งขึ้น
สวยด้วยแพทย์ นวัตกรรมสมัยใหม่ในการดูแลผิวพรรณและความงาม
นอกจากการดูแลผิวด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้วการมีแพทย์เข้ามาช่วยดูแลรักษาผิวก็จะยิ่งทำให้ผิวมีความงามยิ่งขึ้น

การดูแลผิวพรรณและความงาม

ความสวยงามดูดีและความอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน ล้วนเป็นสุดยอดความปรารถนาของคนทุกเพศทุกวัยและทุกเชื้อชาติ
จึงเป็นเหตุผลที่ว่า เพราะเหตุใดเราจึงใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการดูแลตนเองให้ดูดีอยู่เสมอ (อย่างน้อยในตอนเช้าเราต้องแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ สระผม) นอกจากการดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารที่ดี การพักผ่อนที่เพียงพอ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการใช้เครื่องสำอางในการแต่งแต้ม หรือลบเลือนจุดบกพร่องต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคในด้าน การดูแลผิวพรรณและความงาม ที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ

[adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับความงามมากขึ้นจากเดิมที่จำกัดอยู่ในวงการสุขภาพเท่านั้น ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมในการ การดูแลผิวพรรณและความงาม ขึ้นมากมาย บางอย่างก็ให้ผลเป็น ที่น่าพึงพอใจ ในขณะที่บางอย่างก็ส่งผลร้ายต่อผิวจนก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ซึ่งการตัดสินใจเลือกใช้วิธีใดนั้น ผู้บริโภคจำเป็นต้องพิจารณาและเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน

ด้วยการสอบถามข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปจนถึงผู้ที่เคยเข้าทำการรักษามาแล้ว ถึงผลลัพธ์และผลข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาเพราะทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งหนึ่งอาจใช้ได้ดีกับบางคน แต่อาจก่อให้เกิดผลร้ายอย่างคาดไม่ถึงกับอีกหลายคน

นวัตกรรมในการดูแลผิวพรรณที่กำลังได้รับความนิยม

1. การฉีดโบท็อกซ์

โบท็อกซ์เป็นชื่อย่อของยี่ห้อยาคลายกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง เป็นวิธีการรักษาริ้วรอยที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีสะดวกปลอดภัย ไม่เสี่ยงหากเปรียบเทียบกับการรักษาริ้วรอยโดยการผ่าตัดแบบอื่น ๆ ทำโดยการฉีดสารโบลิทูนัมทอกซิน ซึ่งเป็นโปรตีนบริสุทธิ์สกัดจากแบคทีเรียที่ใช้ในวงการแพทย์มานานร่วม 50 ปี แต่เพิ่งได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาให้ใช้ในวงการความงามได้

วิธีการรักษาผิวพรรณด้วยโบท็อกซ์

วิธีการใช้โบทอกซ์เพื่อรักษาริ้วรอยทำได้โดยการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณที่มีริ้วรอย โบท็อกซ์จะคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งออก ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นเรียบเนียนขึ้น โดยส่วนใหญ่นิยมฉีดเพื่อลบริ้วรอยตีนกา รอยย่นบนหน้าผาก ริ้วรอยข้างมุมปากที่เกิดจากการยิ้มและหัวเราะ ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยบริเวณหัวคิ้ว ซึ่งกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวจะมีการหดเกร็ง เนื่องจากการทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนกล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างถาวร มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าโบท็อกซ์จะช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึงได้ แท้จริงแล้วโบท็อกซ์จะช่วยลดเลือนริ้วรอยเท่านั้น ไม่อาจทำให้กล้ามเนื้อใบหน้ายกตัวกระชับ หรือแก้ไขปัญหาผิวหย่อนยานได้แต่อย่างใด และการฉีดโบท็อกซ์ไม่อาจทำให้ริ้วรอยหายไปในพริบตา เพราะสารเคมีที่ฉีดเข้าไปจำเป็นต้องใช้เวลา 1 – 2 สัปดาห์ในการออกฤทธิ์  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อดีของการรักษาด้วยโบทอกซ์

จะแตกต่างจากการทำศัลยกรรม การลบเลือนริ้วรอยด้วยโบท็อกซ์จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที (ประมาณ 10 นาที) ผิวเป็นร่องลึกจะเรียบตึงดังเดิม ยังผลให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ลง บางรายอาจอ่อนเยาว์ลงได้ถึง 10 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าการฉีดโบท็อกซ์ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่ผู้เข้ารับการรักษาแต่อย่างใด คนไข้ไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาลหรือต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้าน อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดบาดแผลแต่อย่างใดเพราะโบท็อกซ์จะหมดฤทธิ์เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น หากไม่พอใจในผลลัพธ์ของการรักษา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามสามารถกลับมาทำใหม่ได้อีกเมื่อยาหมดฤทธิ์แล้ว

ข้อเสียของการรักษาด้วยโบท็อกซ์

ทุกอย่างบนโลกใบนี้ จะต้องมีด้านที่ดีและด้านไม่ดี แม้ว่าโบท็อกซ์จะช่วยในเรื่องของ การดูแลผิวพรรณและความงาม ได้มาก จนผู้หญิงหลาย ๆคนต่างตั้งสมญานามให้ว่า Magic Bottel แต่มันก็มีข้อเสียอยู่บ้างบางประการเหมือนกัน โดยโบท็อกซ์ไม่อาจลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นให้หายได้ตลอดไป สารเคมีที่ฉีดเข้าไปจะหมดฤทธิ์เมื่อเวลาผ่านไป 3-4 เดือน หลังจากนั้นริ้วรอยเหี่ยวย่นจะกลับมาเหมือนเดิม เพื่อที่จะรักษาความเนียนเรียบของผิวหนังเอาไว้ จำเป็นต้องย้อนกลับมาฉีดซ้ำบ่อย ๆ สนนราคาในการฉีดแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน หากริ้วรอยมีจำนวนมากหรือลึกมากก็จำเป็นต้องฉีดมาก ซึ่งนั่นก็อาจทำให้ค่ารักษาแพงตามไปด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีราคาค่อนข้างสูง ( 5,000 บาท ขึ้นไป) เนื่องจากจำเป็นต้องนำยาเข้ามาจากต่างประเทศ แม้ว่าการฉีดโบท็อกซ์จะทำได้ง่ายและไม่มีความเสี่ยง ถ้าเปรียบเทียบกับการเสริมความงามประเภทอื่น ๆ ที่ต้องมีการผ่าตัดใหญ่ แต่การฉีดโบท็อกซ์ต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น คนไข้แต่ละคนแม้ว่าจะมีริ้วรอยอย่างเดียวกันแต่ขั้นตอนในการรักษาอาจแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านร่างกายและวิจารณญาณของแพทย์ผู้ให้การรักษาเป็นสำคัญ

2. การฉีดคอลลาเจน

เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โบท็อกซ์ช่วยลบเลือนริ้วรอยตื้น ๆ บนใบหน้า คอลลาเจนนอกจากจะช่วยลดริ้วรอยดังกล่าวให้หายไปแล้วยังช่วยแก้ไขรูปหน้าให้ออกมาตรงตามใจต้องการได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน

ความจริงแล้ว การแก้ไขรูปหน้าเดิมที่มีการใช้สารเคมีหลายชนิด เช่น พาราฟิน ซิลิโคนหรือน้ำมันเทียมที่นิยมกันมากที่สุดในขณะนี้นั่นก็คือคือคอลลาเจน ซึ่งเป็นสารสกัดจากคอลลาเจนของวัว การฉีดคอลลาเจนสามารถแก้ไขความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณต่าง ๆ ได้ เช่น ช่วยแก้ไขริ้วรอยเหี่ยวย่น ร่องแก้ม แผลที่เกิดจากสิว นอกจากนี้คอลลาเจนยังช่วยแก้ไขรูปหน้าให้ได้อย่างที่ต้องการแต่อยู่ได้เพียงชั่วคราว เช่น เติมคางให้ยาวขึ้น เติมแก้มให้อวบอิ่มขึ้น เป็นต้น

เช่นเดียวกับการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะฉีดคอลลาเจนลงไปในผิวบริเวณที่มีปัญหา เนื่องจากคอลลาเจนมีผลข้างเคียงน้อยและได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา ทำให้คอลลาเจนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับพาราฟินหรือซิลิโคน ซึ่งเป็นสารเคมีที่เคยนำมาใช้เพื่อแก้รูปหน้าในอดีตที่ถูกห้ามให้ใช้ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูงหรืออยู่ติดกับร่างกายเป็นการถาวร ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างยิ่งในระยะยาว

ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน

คอลลาเจนที่ฉีดเข้าไปในร่างกายจะอยู่ได้นาน 6 เดือน ถึง 2 ปี แล้วจะสลายตัวไปเอง จึงเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายในระยะยาว เนื่องจากคอลลาเจนได้รับจากสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายน้อยและมีความปลอดภัยสูงมาก

ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดคอลาเจน

เนื่องจากคอลลาเจนจะสลายตัวเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คนไข้จึงจำเป็นต้องไปรับการฉีดอยู่บ่อย ๆ นอกจากจะต้องเสียเงินจำนวนมากหลาย ๆ ครั้งแล้ว คอลลาเจนยังก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายอีกด้วย โดยพบว่าร้อยละ 3 ของผู้ที่ฉีดคอลลาเจนจะมีอาการแพ้ ดังนั้น ก่อนที่จะฉีดคอลลาเจนแพทย์ผู้ชำนาญจะทำการทดสอบคอลลาเจนกับร่างกายของคนไข้เพื่อความปลอดภัยเสียก่อนเสมอ คอลลาเจนไม่สามารถลบรอยแผลเป็นให้หายไปได้ ดังนั้น จึงมีอยู่บ่อยครั้งที่แพทย์ผู้ขาดความเชี่ยวชาญจะฉีดคอลลาเจนให้คนไข้มากจนเกินไป จนทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวบวมนูนขึ้นมาได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

3. ไฮยาลูโรนิก

ไฮยาลูโรนิกผลิตมาจากไฮยาลูโรนัน มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับคอลลาเจน ต่างกันตรงที่ไฮยาลูโรนิกไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างที่คอลลาเจนเป็น เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่พบในผิวหนังของมนุษย์ ร่างกายจึงไม่แสดงปฏิกิริยาต่อต้านแต่อย่างใด

วิธีการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก

รักษาเช่นเดียวกับคอลลาเจน แพทย์จะทำการฉีดไฮยาลูโรนิกลงไปยังบริเวณผิวที่มีปัญหา ช่วยในการกระชับโครงหน้า ทำให้หน้าเต่งตึงอุ้มน้ำได้ดีทำให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่นดี และแลดูอ่อนกว่าวัย ช่วยแก้ไขใบหน้าให้ได้รูป ฉีดริมฝีปากให้อวบอิ่ม เติมเต็มร่องแก้ม ลบเลือนรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผาก ริมฝีปากร่อง ปีกจมูก รักษารอยแผลเป็นให้เต็มตื้นขึ้น และจะสลายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ถึง 1 ปี

ข้อดีของการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก

เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ไฮยาลูโรนิกจึงไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด และเนื่องจากไม่อยู่ในร่างกายตลอดไป จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาวแก่ร่างกายอย่างซิลิโคนหรือพาราฟิน

ข้อเสียของการรักษารักษาผิวพรรณด้วยไฮยาลูโรนิก

แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาริ้วรอยที่ดีเยี่ยม แต่ไฮยาลูโรนิคอาจสร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่บางคนที่ปรารถนาจะมีความเต่งตึงและรูปหน้าที่กระชับได้รูปอยู่ไปชั่วกาลนาน เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ถึง 1 ปีมันจะสลายไปได้เอง

4. การฉีดไขมัน

เนื่องจากการเติมสารสังเคราะห์ภายในร่างกายอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงและเป็นอันตรายต่อร่างกาย จึงมีความคิดที่จะนำไขมันมาช่วยลบเลือนริ้วรอยและแก้ไขรูปหน้าให้ดีขึ้น เนื่องจากไขมันเป็นสารที่ได้จากร่างกาย เมื่อถูกฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ร่างกายจึงไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้านแต่อย่างใด [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน

แพทย์จะนำไขมันของคนไข้ฉีดกลับลงไปยังริ้วรอยหรือบริเวณที่ต้องการในปริมาณมาก เช่น แก้ม เพื่อให้แลดูอวบอิ่ม เป็นต้น

ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน

เนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายของคนไข้ผลิตขึ้นมาเอง จึงหมดปัญหาเรื่องอาการแพ้ไปได้เลย นอกจากนี้ยังพบว่าไขมันมีประสิทธิภาพในการเติมเต็มได้ยาวนานกว่าคอลลาเจนอีกด้วย

ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยการฉีดไขมัน

หลังจากการฉีดผิวหนังอาจเกิดอาการช้ำ คนไข้ต้องนอนพักที่บ้านสัก 1 – 2 อาทิตย์ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้ชำนาญการอย่างเคร่งครัดอีกด้วย หากฉีดไม่ดีอาจเกิดก้อนตะปุ่มตะป่ำขึ้น หรืออาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยก็ได้

5. การผลัดเซลล์ผิว

เป็นนวัตกรรมในการดูแลรักษาผิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีความเสี่ยง สะดวก ปลอดภัย ราคาไม่แพง และไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือใช้กระบวนการทางการแพทย์ชั้นสูงหรือเทคโนโลยีซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีหลายวิธีที่สามารถทำได้เองที่บ้าน การผลัดเซลล์ผิวช่วยแก้ปัญหาผิวที่พบโดยส่วนใหญ่ได้ดี เช่น ผิวหมองคล้ำ สิว จุดด่างดำ ริ้วรอยตื้น ๆ ผิวไม่สดใส ทำให้เซลล์ผิวที่เกิดใหม่แข็งแรง สดใสแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีริ้วรอยลึกหรือผิวที่มีความหย่อนคล้อย

การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยรักษาผิวหน้าระดับใดได้บ้าง?

เมื่อกล่าวถึงการผลัดเซลล์ผิว คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วหรือที่เรียกกันว่าชั้นขี้ไคลออกไปเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเราสามารถแบ่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวออกเป็น 3 ระดับ ได้ดังต่อไปนี้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 1 เป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด เนื่องจากเห็นผลเร็ว ปลอดภัยและไม่เสียเวลามาก เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกและปลอดภัย คนไข้สามารถทำเองได้ที่บ้าน นอกจากจะเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง นับเป็นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่อยู่ชั้นบนสุด ซึ่งเป็นเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เมื่อรวมตัวกับฝุ่นละอองและคราบเหงื่อไคลจะกลายเป็นขี้ไคล เซลล์ผิวชั้นนี้จัดเป็นสาเหตุของความหมองคล้ำ การมีแผลเป็นจาง ๆ ไม่ลึกมากนัก การมีจุดด่างดำขนาดเล็ก หรือการมีรอยตื้น ๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะหายไปด้วยการใช้กรดผลไม้ (เอเอชเอ) ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวออกไป

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นวิธีที่สะดวกและเห็นผลได้เร็ว แต่เพื่อให้ได้ผลจากการรักษาที่ดีที่สุด คนไข้ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวน 6 ครั้ง ทุก ๆ 2 – 3 อาทิตย์ วิธีการรักษาดังกล่าวไม่อาจทำให้สภาพผิวหน้ากลับมาดีได้อย่างถาวร หากหยุดทำใบหน้าก็จะกลับมาหมองคล้ำอีกเช่นเคย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดีที่สุดและคงความสวยใสของผิว นอกจากการเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอแล้ว คนไข้ต้องใส่ใจในเรื่องอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อ การดูแลผิวพรรณและความงาม ขอผิวด้วยเช่นกัน เป็นต้นว่า เรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน การดื่มน้ำ การหลบเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำลายเซลล์ผิว เช่น แสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ เป็นต้น

ด้วยประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวของกรดเอเอชเอที่ดีเยี่ยม บริษัทเครื่องสำอางจำนวนมากได้เพิ่มความน่าสนใจให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยการผสมกรดเอเอชเอลงไป ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างอ่อน ๆ ทำให้ผิวสวยใสและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างช้า ๆ โดยทั่วไปแล้วกรดที่ผสมลงไปจะมีความเข้มข้นอยู่ที่ร้อยละ 1 – 15 ซึ่งเป็นความเข้มข้นอ่อน ๆ ( เมื่อเปรียบเทียบกับความเข้มข้นที่ใช้ในคลินิกทั่วไปซึ่งจะอยู่ที่ร้อยละ 15 – 20 ซึ่งเป็นระดับที่มีความเข้มข้นมากกว่าและผลัดเซลล์ผิวได้มากกว่า ) ยังผลให้ประสิทธิภาพการผลัดเซลล์ผิวน้อยลงไปด้วย
แต่ถ้ามองในแง่ของความปลอดภัยแล้ว ที่ระดับความเข้มข้นนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยเพราะเราจะนำมาใช้เอง หากต้องการความเข้มข้นมากและได้ประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวที่ดียิ่งขึ้น ต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากใช้อย่างไม่เหมาะสมแล้ว อาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าผลดี

การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 2 เป็นกระบวนการรักษาเซลล์ผิวที่อยู่ลึกกว่าการผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 1 ปัญหาผิวที่มักเกิดขึ้นกับผิวชั้นนี้คือ จุดด่างดำ แผลเป็นและรอยตีนกา วิธีแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การใช้กรดทีซีเอ (TCA) (Trichloroacetic Acid) ช่วยในการผลัดเซลล์ กรดทีซีเอเป็นกรดที่มีความเข้มข้นมากกว่ากรดเอเอชเอและสามารถซึมลึกลงสู่ผิวได้ดีกว่าเอเอชเอ จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่อยู่ลึกลงไปได้ดีกว่า การผลัดเซลล์ผิวในระดับที่ลึกลงไปจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญอย่างเข้มงวด เราไม่สามารถทำได้เองที่บ้านเพราะอาจเกิดอันตรายตามมาภายหลังได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

กรดทีซีเอเป็นกรดที่มีความเข้มข้นสูง จึงทำให้สามารถรักษาปัญหาผิวในตำแหน่งที่ลึกขึ้น ซึ่งกรดเอเอชเอธรรมดาไม่อาจทำได้ ในระหว่างที่เข้ารับการรักษาคนไข้อาจรู้สึกเจ็บปวด และอาการดังกล่าวอาจกินเวลาในการรักษานานขึ้นอีก 1-2 วัน เนื่องจากผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อเข้ารับการรักษาคนไข้จำเป็นต้องผ่านการรักษาในระดับที่ 1 ก่อน เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของผิว หากไม่มีปัญหาใด แพทย์จะเพิ่มความเข้มข้นของสารเคมีไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสิ้นกระบวนการ เพื่อความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้คนไข้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผิว เช่น แสงแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 5 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าผิวอยู่ในสภาพที่ดีแล้ว มิฉะนั้น ผิวอาจจะหมองคล้ำยิ่งกว่าเดิมได้

การผลัดเซลล์ผิวระดับที่ 3 เป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ลึกที่สุด ปัญหาผิวที่มักเกิดขึ้นกับผิวชั้นนี้คือ จุดด่างดำ ริ้วรอยที่มีความลึกและแผลเป็นขนาดใหญ่ แพทย์ผู้ทำการรักษาจะใช้สารฟีนอลมาช่วยรักษาปัญหาผิวในชั้นนี้ สารฟีนอลมีฤทธิ์ในการทำลายเมลาโนไซต์ใต้ผิวหนังที่บรรจุเม็ดสีเอาไว้ ยังผลให้ผิวที่ผ่านการรักษาระดับนี้ขาวสว่างใสเกือบถาวร แต่กระบวนการรักษาในระดับนี้อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดได้หลังจากการทำ ผิวของคนไข้จะแดงเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ( ประมาณ 3 – 4 เดือน)

เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวในระดับที่ 2 และ 3 จะมีการใช้สารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ที่เข้มข้นมากกว่าระดับแรกมาก ทำให้ประสิทธิภาพในการผลัดเซลล์ผิวมีมากไปด้วย ยังผลให้ผิวที่ผ่านการผลัดมีความสดใสและขาวกว่าผิวเดิมอย่างเห็นได้ชัด ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า 2 วิธีหลังจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวขาวมากกว่า เนื่องจากผิวที่ผลัดใหม่กับผิวดั้งเดิมจะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ในขณะที่ผู้ที่มีผิวคล้ำอาจเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

ยกตัวอย่างเช่น หากผลัดเซลล์ผิวที่หน้า ผิวหน้าจะขาวขึ้นในขณะที่ผิวกายยังคล้ำเช่นเดิม ซึ่งการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี (เพราะอย่างน้อยก็สูญเสียความมั่นใจไปแล้ว) เพื่อเป็นการป้องกันผิวที่ผ่านการรักษาให้ปลอดภัย และช่วยให้การรักษาประสบความสำเร็จมากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้คนไข้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของผิว เช่น แสงแดด ฝุ่น ควันและมลภาวะต่าง ๆ เนื่องจากผิวที่เกิดขึ้นมาใหม่ยังบอบบางและง่ายต่อการถูกทำร้าย หากคนไข้จำเป็นต้องออกไปทำธุระข้างนอก อย่าลืมทาครีมกันแดดและหาอุปกรณ์กันแดด เช่น ร่มหรือหมวกปีกกว้างติดตัวไปด้วยเสมอ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดเป็นเวลานาน มิฉะนั้น จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เสียไป หนำซ้ำหากโชคร้ายผิวที่เกิดใหม่อาจมีสภาพแย่กว่าเดิมก็ได้  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อควรระวังในการผลัดเซลล์ผิว

แม้ว่าการผลัดเซลล์ผิวจะมีประโยชน์ในด้าน การดูแลผิวพรรณและความงาม เป็นอย่างมาก แต่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับกระบวนการนี้ สำหรับบางคนการผลัดเซลล์ผิวอาจก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี ซึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนทำการผลัดเซลล์ผิวมีดังต่อไปนี้

ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวหากมีความจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้งตลอดเวลา หรือมีแนวโน้มว่าจะต้องโดนแดด หรือโดนมลภาวะที่ส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของเซลล์บ่อยครั้ง

หากคุณเป็นคนที่มีผิวดำหรือผิวคล้ำ ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวเพราะจะเห็นความแตกต่างระหว่างผิวที่ทำและไม่ทำอย่างชัดเจน หากเป็นคนผิวคล้ำ การขัดผิวจะช่วยรักษาปัญหาผิวได้ดีกว่าการผลัดเซลล์ผิว สำหรับคนที่มีผิวขาว การผลัดเซลล์ผิวจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีกว่าการขัดผิว

หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวหากมีแนวโน้มที่จะเป็นแผลเป็นได้ง่ายและมีทีท่าว่าจะเป็นแผลเป็นชนิดนูน เพราะกระบวนการผลัดเซลล์ผิวบางอย่างอาจก่อให้เกิดแผลเป็นได้ง่าย

หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวหากเป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจหรือโรคไต เพราะกระบวนการผลัดเซลล์ผิวบางอย่างอาจมีการใช้สารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อโรคดังกล่าว เช่น ฟีนอล เป็นต้น

เพื่อการรักษาปัญหาผิว เช่น รอยแผลเป็น ร่องรอยที่เกิดจากสิว หรือรอยเหี่ยวย่นบริเวณริมฝีปาก การขัดผิวจะช่วยรักษาปัญหาดังกล่าวได้ดีกว่าการผลัดเซลล์ผิวเฉย ๆ

6. การขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี

เป็นวิธี การรักษาผิว ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ช่วยรักษาปัญหาผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวที่หมองคล้ำ จุดด่างดำ สิว รอยแผลเป็น ผิวแพ้เครื่องสำอางให้กลับมาผ่องใส แข็งแรง และเรียบเนียนได้ดี โดยไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

วิธีทำการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี

แพทย์จะนำเกร็ดอัญมณีที่มีความละเอียดสูงมาขัดผิวในบริเวณที่มีปัญหา โดยการรักษาแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที คนไข้ต้องทำสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลา 2 – 12 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลอย่างดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตามจำนวนครั้งในการทำจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพของผิวและปัญหาที่คนไข้มีเป็นหลัก หากคนไข้มีปัญหาผิวมาก อาจต้องใช้เวลาในการรักษามากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นหลัก

ข้อดีของการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี

เป็นขั้นตอนการรักษาปัญหาผิวที่ทำได้ง่าย สะดวก ใช้เวลาไม่มากนักและมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ดีเยี่ยม ไม่ก่อให้เกิดแผลเป็นตามมา ไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวแดงหรือผิวคล้ำหลังจากการทำ มีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าการต้องไปขัดผิวบ่อย ๆ เมื่อเทียบกับการผลัดเซลล์ผิวระดับ 2

ข้อเสียของการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณี

มีราคาค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เมื่อทำเสร็จแล้วจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสื่อมโทรมแก่ผิวที่เกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด เนื่องจากผิวที่เกิดใหม่จะมีความอ่อนแอ อาจเกิดความเสียหายได้ง่ายหากได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยเสี่ยงอาจทำให้มีปัญหาผิวใหม่ตามมา

7. การรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์

เป็นการรักษาปัญหาผิวพรรณที่กำลังได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ด้วยการใช้เลเซอร์ CO2 ในการรักษาปัญหาจุดด่างดำ ริ้วรอยรอบดวงตา แผลเป็น กระชับผิวหน้า เป็นต้น เลเซอร์จะทำหน้าที่ในการเผาเซลล์ผิวที่มีปัญหาและจะเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน

ข้อดีของการรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์

การรักษาผิว ด้วยเลเซอร์ แพทย์สามารถกำหนดขอบเขตความลึกในการรักษาที่แน่นอนได้ จึงไม่ทำให้เซลล์ข้างเคียงที่ไม่มีปัญหาได้รับความเสียหายไปโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังพบอีกว่าเลเซอร์มีฤทธิ์ในการเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่เซลล์ผิวใหม่ ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ยังผลให้ผิวเกิดใหม่มีความยืนหยุ่นและแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้เลเซอร์ยังช่วยให้สีของเซลล์ผิวใหม่กลับมาเรียบเนียนสม่ำเสมอกับเซลล์ดั้งเดิมอีกด้วยเมื่อเวลาผ่านไป 6 – 16 สัปดาห์ จึงเป็นวิธีการรักษาผิวที่เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่มีแผลเป็นหรือมีริ้วรอยมาก ๆ [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อเสียของการรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์

แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวพรรณที่ดีเยี่ยม แต่ การรักษาผิว ด้วยเลเซอร์มีข้อเสียที่ต้องระวังอยู่บ้างเช่นกัน การรักษาด้วยเลเซอร์จะเป็นการใช้แสงเลเซอร์ในการเผาเซลล์ผิวที่มีปัญหาเพื่อสร้างผิวใหม่ อาจก่อให้เกิดแผลขึ้นหลังการรักษา จนคนไข้ต้องหยุดพักและปรนบัติผิวอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพื่อป้องกันมิให้ผิวมีอาการรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะ ( ประมาณ 1 สัปดาห์ ) แผลดังกล่าวจะตกสะเก็ด

ในช่วงระหว่างที่รอให้แผลตกสะเก็ดอยู่นั้น คนไข้จำเป็นต้องดูแลผิวให้ดีเป็นพิเศษ ห้ามแต่งหน้า หลบเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ผิวที่ผ่านการรักษาเสื่อมโทรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดด เพราะอาจทำให้ผิวที่ผ่านการรักษามีความไม่สม่ำเสมอ

สำหรับผู้ที่ต้องออกไปทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ วิธีรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่สะดวกนัก เนื่องจากเลเซอร์จะทำหน้าที่เผาเซลล์เพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงทำให้ผิวเป็นแผลและรู้สึกแสบร้อนหลังการรักษา ทำให้ใครหลายคนต้องคิดอย่างหนักก่อนล้มเลิกความคิดที่จะรักษาผิวด้วยวิธีนี้ เพราะกลัวทนความเจ็บปวดไม่ไหว

8. การรักษาปัญหาผิวด้วยเลเซอร์เย็น

เนื่องจาก การรักษาผิว โดยใช้เลเซอร์แบบเดิมอาจก่อให้เกิดบาดแผลและอาการระคายเคืองหลังจากการรักษาได้ จึงทำให้มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการใช้เลเซอร์เพื่อการรักษาปัญหาผิว นวัตกรรมดังกล่าวคือการใช้เลเซอร์เย็น ซึ่งมีประสิทธิภาพในการขจัดปัญหาผิวพรรณที่มีปัญหาได้ดีในขณะที่ไม่ก่อให้เกิดบาดแผลหรืออาการระคายเคืองหลังการรักษาอย่างที่การใช้เลเซอร์แบบเดิมเป็นแต่อย่างใด

วิธีรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น

วีธีรักษาจะทำเหมือนกับการรักษาสิวด้วยเลเซอร์แบบเดิม ต่างกันตรงที่การรักษาด้วยเลเซอร์เย็น นอกจากจะมีการฉายเลเซอร์ลงไปบนผิวบริเวณที่มีปัญหาแล้ว แพทย์จะฉีดสเปรย์เย็นเข้าไปด้วย ทำให้ผิวบริเวณที่ใช้แสงมีอุณหภูมิอยู่ที่ -5 องศาเท่านั้น ในขณะที่ Lazer จะวิ่งผ่านลงไปยังผิวที่อยู่ลึกลงไปทันที การรักษาสิวด้วยเลเซอร์เย็นนอกจากจะช่วยแก้ไขลักษณะผิดปกติของผิวพรรณได้เป็นอย่างดีแล้ว มันยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ไม่เผาผิวจนไหม้เกรียม ทำให้ผิวตึง รูขุมขนกระชับ แผลเป็นตื้นขึ้น รอยย่นค่อย ๆ เลือนหายไป ไม่ทำลายผิวชั้นนอก จึงไม่ทำให้เกิดแผลเป็นและไม่ก่อให้เกิดอาการแสบร้อนภายหลังการรักษา ทำให้ผิวที่เกิดใหม่สดใส ยืดหยุ่นดี การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป    [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อดีของรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น

ข้อดีจะแตกต่างจากการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิมเดิม การรักษาสิวด้วยเลเซอร์เย็นเป็นวิธี การรักษาผิว ที่ทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็วและใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที คนไข้ไม่มีอาการปวดหลังจากการรักษาหรือมีบาดแผล หลังจากการรักษาคนไข้อาจมีรอยแดงที่ผิวหนังประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง รอยแดงดังกล่าวจะหายไปได้เอง คนไข้ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวสามารถกลับไปทำงานได้เลยทันทีและสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ

ข้อเสียของรักษาผิวพรรณด้วยเลเซอร์เย็น

แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ได้ผลดีเยี่ยมและไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงหรือรอยแผลเป็นอย่างที่เลเซอร์แบบเดิม ๆ แต่การรักษาด้วยเลเซอร์เย็นคนไข้ต้องปรนนิบัติผิวให้ดีเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน หลีกเลี่ยงการเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผิวเกิดใหม่ไปสู่ความเสื่อมโทรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ โดยตรงเนื่องจากผิวเกิดใหม่ยังมีความบอบบางและอาจถูกทำลายได้ง่ายหากไม่ปรนนิบัติหรือป้องกันให้ดี หลังจากการทำอย่างน้อย 1 สัปดาห์

9. วิธีการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล

ขั้นตอนการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล

การรักษาปัญหาผิวด้วยไอพีแอลเป็นการใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูงในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ช่วยรักษาปัญหาฝ้า กระ รอยแดงและจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไอพีแอลช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น กระชับรูขุมขนให้เล็กลง ช่วยลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำและรอยแดง โดยอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ เลือนหายไปเมื่อผ่านไป 3 – 5 ครั้ง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเพื่อให้ได้ผลในการรักษาที่ดีเยี่ยมคนไข้ควรเข้ารับการรักษา 3 – 5 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งควรห่างกัน ประมาณ 3- 4 สัปดาห์

ข้อดีของการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล

การรักษาผิว ด้วยไอพีแอล คนไข้จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับผิวได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ไอพีแอลมีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ดีเยี่ยม คนไข้จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ นอกจากนี้ไอพีแอลยังไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือมีแผลเป็นหลังจากการรักษาอีกด้วย  [adinserter name=”ความงามและผิวพรรณ”]

ข้อเสียของการรักษาฝ้า กระ และรอยแดงด้วยไอพีแอล

ไอพีแอลไม่ได้มีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไอพีแอลยังมีข้อบกพร่องบางอย่างด้วยเช่นกัน โดยไอพีแอลไม่สามารถรักษาปัญหาผิวที่อยู่ในชั้นผิวที่ลึกลงไปให้หายไปได้ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำด้วยว่าผู้ที่มีผิวคล้ำมาก ๆ ไม่ควรรักษาด้วยไอพีแอล เพราะอาจจะทำให้เกิดแผลไหม้หลังการรักษาได้ นอกจากนี้หลังจากการรักษาคนไข้ต้องหลบแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดผลร้ายต่อเซลล์ผิวที่เกิดใหม่ได้

10. การทำศัลยกรรมดึงหน้า

เป็นการรักษาความอ่อนเยาว์เอาไว้ให้ได้นานที่สุด เหมาะสำหรับผิวอายุมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่จะทำให้ผิวหนังที่หย่อนยานและมีริ้วรอยที่ไม่อาจเยียวยาด้วยวิธีใด ๆ ให้กลับมาเต่งตึงหรือเรียบเนียนได้อีกครั้ง

วิธีทำศัลยกรรมดึงหน้า

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการตัดเอาผิวหนังส่วนเกินซึ่งเป็นสาเหตุของการหย่อนคล้อย ริ้วรอยที่ส่วนใหญ่มักพบบริเวณหนังตา ใบหน้า หน้าผาก ลำคอ เป็นต้น ออกไป แล้วทำการยกกระชับให้ตึงแล้วนำผิวหนังมาเย็บเก็บไว้ที่ด้านหลังหูหรือตีนผมซึ่งเป็นจุดลับตาแล้วจึงทำการเย็บเก็บให้เรียบร้อย

ข้อดีของการทำศัลยกรรมดึงหน้า

เห็นผลทันตาจากผิวที่หย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอยมาก จะกลายเป็นเรียบเนียน เต่งตึงสมใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือมีผิวหนังที่หย่อนคล้อยที่รักษาหรือเยียวยาด้วยวิธีอื่นไม่ได้แล้ว

ข้อเสียของการทำศัลยกรรมดึงหน้า

การเจ็บตัวอาจเป็นข้อเสียข้อแรกที่ทำให้คนไข้ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนานหยุดสักหน่อย เพราะการผ่าตัดศัลยกรรมไม่ได้หมายถึงการใช้เคมีหรือเลเซอร์กับผิวหนัง แต่หมายถึงการต้องลงมีดหมอและการเสียเลือดเนื้อ อันเนื่องมาจากการเย็บเก็บ อาจทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็นอย่างชัดเจน จนทำให้บางรายสูญเสียความมั่นใจแม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ลับตาแล้วก็ตาม [adinserter name=”navtra”]

นอกจากนี้การกระชับผิวด้วยการผ่าตัดนี้หากทำในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีได้ หากทำเร็วเกินไปอาจทำให้รูปหน้าผิดไปจากธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้เสียบุคลิกได้ง่าย ๆ นอกจากเป็นการผ่าตัดใหญ่คนไข้จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมามากมาย หากดูแลรักษาบาดแผลไม่ดีเท่าที่ควร นอกจากนี้คนไข้ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานานหลังจากการรักษาอีกด้วย

11. การร้อยไหมแอบทอส

เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการคืนความเต่งตึงให้แก่ผิวพรรณแต่กลัวการผ่าตัด ใบหน้าของคนไข้จะกลับมาเต่งตึงริ้วรอยที่หย่อนคล้อยจะหายไปแม้ว่าจะไม่ต้องทำการผ่าตัดใหญ่ก็ตาม

วิธีทำการร้อยไหมแอบทอส

แอบทอสเป็นไหมชนิดหนึ่งที่ใช้ในการผ่าตัด มีลักษณะคล้ายก้างปลาแพทย์จะนำไหมแอบทอสสอดเข้าไปเพื่อยกกระชับผิวหน้า ไหมจะจับเกาะเนื้อเยื่อและชั้นโครงสร้างใต้ผิว ทำให้ใบหน้าของคนไข้ยกตัวกระชับขึ้นเองโดยไม่ต้องผ่าตัด

ข้อดีของการร้อยไหมแอบทอส

ข้อดีคือคุณไม่ต้องเจ็บตัวหรือเสียเลือดมาก เป็นลักษณะพิเศษของไหมแอบทอสที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับองค์การทำศัลยกรรมยกกระชับใบหน้ามากที่สุด ไม่เพียงเท่านั้นไหมแอบทอสยังก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยมาก ไม่ทำให้เกิดแผลเป็น ใช้เวลาในการทำน้อย (ประมาณ 5 – 10 นาทีเท่านั้น) สำหรับการยกกระชับเพียงบางส่วน อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาที นอกจากนี้คนไข้ยังไม่ต้องเสียเวลานอนพักรักษาตัวสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติทันทีหลังการรักษา

ข้อเสียของการร้อยไหมแอบทอส

ไหมแอบทอสมีข้อจำกัดหลายประการ ไหมแอบทอสเหมาะสำหรับคนไข้บางคนเท่านั้น คือผู้ที่มีผิวที่ไม่หย่อนยานหรือเหี่ยวย่นมากนักหรือผู้ที่มีผิวเริ่มหย่อนยาน ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวตึงหรือหย่อนคล้อยมากเกินไป นอกจากนี้ไหมแอบทอสยังไม่สามารถรักษาความเต่งตึงให้แก่ผิวได้ตลอดไป เมื่อเวลาผ่านไป 1 – 2 ปี ใบหน้าก็จะกลับมาหย่อนคล้อยตามเดิม

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

https://kellyplasticsurgery.com/

การดูแลผิว ในแต่ละวัยอย่างผู้เชี่ยวชาญ

0
วิธีการดูแลผิวในแต่ละวัยอย่างผู้เชี่ยวชาญ
สภาพผิวจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัยการทำให้การดูแลผิวในแต่ละวัยมีความแตกต่างกัน
วิธีการดูแลผิวในแต่ละวัยอย่างผู้เชี่ยวชาญ
วัยแต่ละวัยแต่ละเพศมีสภาพผิวที่ต่างกันดังนั้นการดูแลที่แตกต่างกันตามความเหมาะสม

การดูแลผิว

เพื่อการมีผิวสวยอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืน เราต้องเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและวิธีการปรนนิบัติผิวตามประเภทของผิวแต่ละคน ซึ่งจำเป็นต้องมี การดูแลผิว ตามวัยอีกด้วย เนื่องจากในแต่ละช่วงเวลาระบบต่าง ๆ ของร่างกายรวมไปถึงผิวพรรณจะมีการเติบโตและเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน การปรนนิบัติผิวที่ได้ผลดีในช่วงเวลาหนึ่งอาจใช้ไม่ได้ผลเมื่อเวลาผ่านไปด้วยการปรนนิบัติผิวอย่างถูกต้องเหมาะสม เราสามารถรักษาความสวยงามและความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้ได้อย่างยาวนาน ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณได้ทำการแบ่งประเภทของผิวพรรณและวิธีการดูแลเอาไว้ 8 กลุ่มตามลักษณะของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างดังต่อไปนี้

ประเภทของผิวพรรณและวิธีการดูแลตามลักษณะของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง

การดูแลผิว ช่วงวัยแรกเกิด – 1 ปี

ผิวในช่วงอายุนี้เป็นผิวที่เเห้ง แพ้ง่ายและมีความบอบบางเป็นที่สุด จึงควรหลีกเลี่ยงการขัดถูอย่างแรง อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารทำความสะอาด สบู่หรือสารเคมีที่รุนแรงเพราะอาจทำให้ผิวได้รับความเสียหาย ระคายเคืองและแพ้ง่าย เนื่องจากยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ต่อมน้ำมันและต่อมเหงื่อยังไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดปัญหาผิวตามมามากมายหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ปัญหาที่พบได้บ่อยในผิวช่วงอายุนี้ ได้แก่ ปัญหาผดผื่นที่เกิดจากต่อมเหงื่อบวม ผิวได้รับความเสียหาย มีอาการระคายเคืองจากการขัดถูอย่างรุนแรง เนื่องจากการสัมผัสสารเคมีที่รุนแรง ผิวแห้ง แพ้ง่าย มีอาการคันที่เกิดจากการติดเชื้อราที่มีสาเหตุมาจากความอับชื้น เป็นต้น

การดูแลผิว ช่วงวัย 2 – 6 ปี

ผิวในช่วงนี้เริ่มแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิม ต่อมน้ำมันและต่อมเหงื่อทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปัญหาผิวบางอย่างลดน้อยลง เช่น การติดเชื้อรา ต่อมเหงื่อบวม ผดผื่นคัน อย่างไรก็ตามผิวหนังในช่วงนี้ยังเติบโตไม่เต็มที่ยังคงมีปัญหาผิวใหม่ ๆ ตามมาอีก เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชั้นตื้น ๆ ซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน อาการผิวไหม้เนื่องจากการสัมผัสกับแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน

การดูแลผิว ช่วงวัย 7-11 ปี

โครงสร้างของผิวในช่วงอายุนี้มีการเจริญเติบโตและแข็งแรงขึ้นมาก ปัญหาผิวต่าง ๆ เริ่มลดน้อยลง แต่เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตสูง มีการออกไปทำกิจกรรมข้างนอกมากกว่าช่วงก่อน เช่น ไปโรงเรียน ไปเล่นกลางแจ้งกับเพื่อน ๆ ทำให้ผิวมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ผิวอาจมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น ผิวไหม้จากการโดนแดดจัดเป็นเวลานาน กลาก เกลื้อน เชื้อราบนหนังศีรษะ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาที่มีผลสืบเนื่องมาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทั้งสิ้น

การดูแลผิว ช่วงวัย 12-19 ปี

ช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว ผิวมีการพัฒนาเติบโตอย่างเต็มที่ ปัญหาผิวที่พบบ่อยในช่วงนี้คือ สิว วิธี การดูแลผิว ในช่วงนี้คือการหมั่นดูแลทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของ สารซักฟอก สบู่ แอลกอฮอล์ หรือสารเคมีที่รุนแรง หลีกเลี่ยงการแคะ แกะ เกา หรือบีบสิว พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าเครียด ปรนนิบัติผิวอย่างอ่อนโยน กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน แต่อย่ามากจนเกินไป ในบางครั้งอาจพบว่ามีหน้ามันมากให้ทำความสะอาดด้วยโฟมหรือสบู่อ่อน ๆ หลีกเลี่ยงการเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์เพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งตึง ระคายเคือง และแพ้ง่าย ทำให้แลดูแก่เกินวัย

การดูแลผิว ช่วงวัย 20-26 ปี

ช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ปัญหาสิวเริ่มลดน้อยลง ยกเว้นในบางคนที่ยังมีปัญหาสิวอยู่ เนื่องจากมีฮอร์โมนเพศมากและมีปัญหาผิวอย่างอื่นตามมา เช่น ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากผิวในช่วงนี้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเสื่อมโทรมจึงควรระมัดระวังผิวเอาไว้เสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันมิให้ผิวเสื่อมโทรมก่อนวัยอันควร หลีกเลี่ยงการทำงานกลางแสงแดดโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน หลีกเลี่ยงการตากแดดให้มากที่สุด ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ปรนนิบัติผิวอย่างนุ่มนวลและถูกต้องตามประเภทของผิว กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะเน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินสูง

การดูแลผิว ช่วงวัย 27-48 ปี

ผิวในช่วงอายุนี้จะเริ่มเสื่อมสภาพมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เช่น ผิวไม่สดใส หรือเปล่งปลั่งอย่างเคย มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก มุมปาก หางตา มีกระ ริ้วรอยใต้ตาและฝ้า โดยสาเหตุของความเสื่อมโทรมดังกล่าว 2 ประการ ได้แก่ ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นตามอายุ เนื่องจากกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของร่างกายทำงานได้น้อยลง ในขณะที่ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นกับเซลล์และเนื้อเยื่อกลับมีมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอก เช่น โภชนาการ ความเครียด การพักผ่อน การแสดงสีหน้า การออกกำลังกาย แรงโน้มถ่วงของโลกและความเสื่อมโทรมที่เกิดจากแสงแดดซึ่งเป็นตัวทำลายความเต่งตึง เรียบเนียนกระชับของผิวพรรณ เพื่อที่จะปรนนิบัติผิวอย่างถูกต้อง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่านอกจากการเอาใจใส่ด้านโภชนาการ การพักผ่อน การจัดการกับความเครียดและการออกกำลังกายแล้ว การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวก็มีส่วนช่วยรักษาผิวพรรณไม่ให้เสื่อมโทรมมากไปกว่าเดิม นอกจากการเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ให้ถูกต้องตามประเภทของผิวแล้ว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสรรพคุณในการต้านการเกิดริ้วรอยและลดรอยเหี่ยวย่น

การดูแลผิว ช่วงวัย 49-62 ปี

ช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ผิวจึงมีความเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ผิวจึงแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวน้อยลง ขาดความยืดหยุ่น และอ่อนแอ เพื่อคงความแข็งแรงของผิวพรรณและชะลอกระบวนการเสื่อมโทรมให้ดำเนินไปอย่างช้าลง นอกจากการทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธีแล้ว ควรปรนนิบัติผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ช่วยต้านและลดการเกิดริ้วรอยที่เหมาะกับสภาพผิว นอกจากปัญหาผิวที่คนในช่วงนี้ต้องให้ความสนใจแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคนในวัยนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ให้หมั่นสังเกตการผิดปกติของผิวพรรณอย่างใกล้ชิด หากสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ เช่น ไฝที่มีขนาดรูปร่าง หรือสีที่เปลี่ยนแปลงไป ไฝมีเลือดออก ผิวหนังมีผื่นและตกสะเก็ดเป็นขุย ๆ มีผื่นแดงอักเสบ หรือแผลเรื้อรังที่ไม่หายสักที โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ เช่น ใบหน้า คอ แขน หรือขา ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วนเพื่อหาวิธีรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ

การดูแลผิว ช่วงวัย 63 ปี ขึ้นไป

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผิวหนังมีความเสื่อมโทรมมากที่สุด เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ ระดับฮอร์โมนน้อยลง เกิดจุดด่างดำและมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น ผิวหนังบางลง ต่อมไขมันใต้ผิวหนังมีการผลิตน้ำมันที่มีประโยชน์ออกมาน้อยลง ยังผลให้ผิวหนังแห้งกร้านขาดความชุ่มชื้นและอ่อนแอ การปรนนิบัติผิวในช่วงอายุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณด้วยการดื่มน้ำสะอาดให้มาก ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปราศจากสารเคมีหรือสารซักฟอกที่รุนแรง แอลกอฮอล์ หรือสบู่จะทําให้ผิวที่เเห้งอยู่แล้วเกิดการระคายเคือง แพ้ และอักเสบได้ในที่สุด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ออกแบบมาเพื่อผิวแห้งโดยเฉพาะ ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาระดับน้ำของผิวพรรณเอาไว้ เสริมฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณ หมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่ต้องสัมผัสแดดเป็นประจำ เช่น ใบหน้า คอ แขน หรือขา หากพบอาการผิดปกติที่คาดว่าจะเป็นสัญญาณของมะเร็งผิวหนัง ให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

ริตา, เกรียร์. อาหารขจัดอนุมูลอิสระ. กรุงเทพ: หมอชาวบ้าน,2551. 176 หน้า : 1.อาหาร-แง่สุขภาพ. 2.อนุมูลอิสระ. I.วูดเวิร์ด,โรเบิร์ต, II.พิสิฐ วงศ์วัฒนะ,ผู้แปล. III.ชื่อเรื่อง. 613.2 ISBN 978-974-04-5522-6.

Papanelopoulou, Faidra (2013). “Louis Paul Cailletet: The liquefaction of oxygen and the emergence of low-temperature research”. Notes and Records, Royal Society of London. 67 (4): 355–73. doi:10.1098/rsnr.2013.0047.Emsley 2001, p.303

How Products are Made contributors (2002). “Oxygen”. How Products are Made. The Gale Group, Inc. Retrieved December 16, 2007.

อาการปวดหัวเข่าที่มีสาเหตุมาจากอะไร

0
อาการปวดเข่าที่มีสาเหตุมาจากอะไร?
อาการปวดเข่าพบในกลุ่มผูัสูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และนักกีฬาที่ใช้ขาและเข่ามาก
อาการปวดเข่าที่มีสาเหตุมาจากอะไร?
อาการปวดเข่าพบในกลุ่มผูัสูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และนักกีฬาที่ใช้ขาและเข่ามาก

ปวดเข่า

ปวดเข่า คืออาการปวดที่เกิดขึ้นบริเวณข้อต่อซึ่งเชื่อมระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้รองรับน้ำหนักของร่างกาย มีหน้าที่ช่วยในการเคลื่อนไหวของขาให้สามารถยืดและงอได้ หัวเข่าเป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อาการปวดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มเสี่ยงมักเป็นผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับการดูแลเข่า นอกจากเข่าเกิดอาการบาดเจ็บจึงจะทำการดูแลรักษา ซึ่งการที่ทำการดูแลเฉพาะเวลาที่เกิดการบาดเจ็บขึ้นแล้ว  นั้น เข่าก็อาจจะไม่สามารถกลับมาใช้ได้ดังเดิม

โครงสร้างของเข่ามีอะไรบ้าง

เข่าจัดเป็นข้อที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายมนุษย์ เข่าประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้

1.กระดูก กระดูกที่เป็นส่วนประกอบของข้อเข้ามีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วน คือ ส่วนปลายของกระดูกต้นขา ส่วนหน้าของกระดูกหน้าแข้ง และกระดูกสะบ้าส่วนด้านหน้า

2.กระดูกอ่อนและกระดูกอ่อนครึ่งวงกลม ที่ทำหน้าที่ในการรองรับแรงกระแทกและแรงเสียดสีระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง

3.กล้ามเนื้อ เข่าจะประกอบด้วยกล้ามเนื้อ 2 ส่วนด้วยกันคือ

3.1 กล้ามเนื้อต้นขาในส่วนหน้า ทำหน้าที่ยึดเข่าด้วยกล้ามเนื้อทั้งหมด 4 มัด กล้ามเนื้อเป็นกล้ามเนื้อที่สร้างความแข็งแรงให้กับข้อเข่า ช่วยให้เข่าสามารถเหยียด ยึดให้เข่าอยู่ในลักษณะตรงได้ โดยที่เอ็นกล้ามเนื้อจะยึดติดกับกระดูกสะบ้าและไปยึดติดกับปุ่มกระดูกหน้าแข้ง ถ้ากล้ามเนื้อกลุ่มนี้มีอาการเกิดภาวะอ่อนแรง จะส่งผลให้เวลาเดินหรือยืนเข่าจะไม่สามารถยืดเป็นเส้นตรงได้ จึงเกิดอาการเข่างอหรืออาจจะล้มขณะเดินก็ได้ และถ้ามีอาการนี้เกิดขึ้นนานจะส่งผลให้ข้อเข่าเสื่อมอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างร่างกายเกิดการผิดปกติ เข่าโก่งทั้งเวลายืนและเดิน อาจจะส่งผลให้มีความเจ็บปวดตามมาด้วย

3.2 กล้ามเนื้อต้นขาในส่วนด้านหลัง กล้ามเนื้อส่วนนี้จะประกอบด้วยกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ทั้งหมด 3 มัด ทำหน้าที่ในการยึดกระดูกนห้าแข้งบริเวณด้านหลัง คอยทำการพับและงอให้กับข้อเข่า และยังเป็นส่วนที่ช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของเข่าให้มากขึ้น ทั้งยังช่วยรักษาสมดุลระหว่างเข่าด้านหน้าและเข่าด้านหลังให้มีความสมมาตร แต่ว่ากล้ามเนื้อด้านหลังนี้เมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อด้านหน้าแล้วจะมีความแข็งแรงเพียงแค่ร้อยละ 60 ของกล้ามเนื้อด้านหน้าเท่านั้น ถ้ากล้ามเนื้อด้านหลังเกิดอาการอ่อนแรงจะทำให้การทรงตัวทางด้านหลังไม่ดี เวลายืนหรือเดินจะหงายไปด้านหลัง

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

4.บุกข้อเข่า เป็นอวัยวะส่วนที่ทำหน้าที่ในการผลิตไขหรือน้ำหล่อลื่นให้กับข้อ ซึ่งผลิภัณฑ์ที่ได้จากบุกข้อเข่าจะมีลักษณะเป็นของเหลว เคลือบอยู่ที่ผิวของกระดูกอ่อน เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวของข้อเข่าให้มีการเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี

5.ถุงน้ำ ถุงน้ำที่ข้อเข่าจะอยู่ระหว่างกระดูกกับส่วนของเอ็นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยึดกระดูก ซึ่งถุงน้ำที่ข้อเข่าจะมีอยู่เป็นจำนวนมาก ถุงน้ำมีหน้าที่คล้ายหมอนรองที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีระหว่างกระดูกและเส้นเอ็น
อวัยวะทุกส่วนของข้อเข่ามีความสำคัญเท่ากันหมด ไม่ว่าอวัยวะใดเกิดการเสื่อมหรือการสึกหรอก็จะส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดกับร่างกายทั้งสิ้น

อาการที่บ่งบอกว่าเข่ามีปัญหาเกิดขึ้นคืออะไรบ้าง

1.ความเจ็บปวดเข่า เมื่อเข่าเริ่มมีความปวดเกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย นั่นแสดงว่าข้อเข่าเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว

2.อาการเข่าบวม อาการบวมที่ข้อเข่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีเลือดออกที่ภายในข้อเข่า อาการบวมอาจจะแสดงให้เห็นในทันทีหรืออาจจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะการออกของเลือดว่ามีมากหรือน้อย เมื่ออาการบวมจะส่งผลเกิดความผิดปกติของอวัยวะส่วนต่างในข้อเข่าตามไปด้วย

3.เข่ายึด หรือที่เรียกอีกอย่างว่าเข่าฝืด คือ อาการที่เข่าเกิดการสะดุดหรือเดินติดขัด มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หยุดการใช้เข่าไปสักระยะ เช่น หลังตื่นนอน หลังจากที่นั่งนาน

4.เข่าอ่อน เป็นอาการที่เข่างอหรือเหยียดเข่าไม่ได้ต้องใช้เวลานานกว่าที่จะยึดเข่าออกมาได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บเข่า

1.การออกกำลังกาย การเล่นกีฬาเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของข้อเข่าได้ แต่ว่าถ้าการเล่นกีฬาที่หนักเกินไปก็จะส่งผลให้เอ็นกล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาด อักเสบได้

2.น้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ คนที่มีน้ำหนักตัวมากจะส่งผลให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมากตามได้ด้วย ทำให้มีแรงเสียดสีระหว่างกระดูกทั้งสองข้างมีค่าสูง กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพเร็วขึ้นจึงทำให้ข้อเข่าเกิดอาการปวด

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

3.การอยู่กับที่ การนั่งพับเพียบ นั่งคุกเข่า นั่งสมาธิเป็นเวลานาจะส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงเส้นเลือดที่ข้อเข่าได้น้อยลงจึงส่งผลให้เข่าเสื่อมสภาพได้มากขึ้น

อาการบาดเจ็บเข่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายเนื่องจากเข่าเป็นส่วนที่ต้องรับน้ำหนักของร่างกายส่วนบนทั้งหมด ถ้าเรามีรูปร่างหรือน้ำหนักตัวที่สูงเกินมาตรฐานก็จะส่งผลให้เข่าต้องรับน้ำหนักมาก และการเดินมาก การเดินขึ้นลงบันไดบ่อย ก็ทำให้เกิดการเสียดสีที่ส่วนของข้อเข่าสูงตามไปด้วย เข่าจึงเกิดความเสื่อมได้สูงขึ้น เป็นที่มาของอาการปวดเข่า

อาการและแนวทางการรักษาข้อเข่าที่พบได้บ่อยในคนไทย

1.เอ็นฉีดขาดหรือข้อเข่าแพลง

มักเกิดจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ ที่มีแรงกระแทกสูง ทำให้ข้อเข่ามีอาการปวดบวม แดงร้อนเนื่องจากการอักเสบ ซึ่งเมื่ออาการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจะต้องทำการประคบเย็นเพื่อลดอาการอักเสบในช่วง 3 วันแรก และหลังจากนั้นให้ทำการประคบร้อน พร้อมทั้งพันผ้าไว้รอบ ๆ ข้อเข่าเพื่อลดการใช้งานของข้อเข่าให้น้อยลง เมื่อมีอาการดีขึ้นให้ทำการยืด เหยียดช้า ๆ และเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเบาเบา

2.ข้อเข่าเกิดการเสื่อมสภาพ

เกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวสูงเกินมาตรฐานทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักมากจึงเกิดการเสื่อมได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสาเหตุอื่น อาการข้อเสื่อมจะเริ่มจากมีอาการติดขัด ได้ยินเสียงเสียดสีของกระดูก ข้อกระดูกเคลื่อนไหวได้น้อยลงทั้งการยืด การเหยียด และเกิดขาโกงในที่สุด ในการรักษาต้องทำการเคลื่อนไหวข้อเข่าให้ได้ทุกองศาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการเสื่อมของข้อเข่า

3.การบาดเจ็บของกระดูกอ่อน

เกิดจากการที่ข้อเข่าได้รับแรงกระแทกขณะที่กำลังงอเข่าอยู่ ซึ่งจะพบได้มากในนักกีฬามืออาชีพที่ต้องทำการเคลื่อนไหวในขณะทำการแข่งขัน ส่งผลมีอาการบวมที่ข้อเข่าไม่สามารถทำการเหยียดข้อเข่าได้ ต้องทำการประคบเย็นเพื่อลดอาการอักเสบ แต่ถ้ามีการขาดหรือฉีกของกระดูกจะต้องทำการผ่าตัดเอากระดูกส่วนที่ขาดออก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำการออกกำลังกายข่อเข่าอยู่เป็นประจำโดยการเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเป็นประจำ เพื่อช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับข้อข่าและยังช่วยลดอาการบาดเจ็บของข้อเข่าได้เป็นอย่างดี บางรายต้องทำการเข่าเฝือกพร้อมทั้งออกกำลังไปพร้อมกัน

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

4.โรคอัสกู๊ดซลาต์เตอร์

คือ การที่กระดูกปุ่มหน้าที่ส่วนของหน้าแข็งอักเสบ อาการนี้จะเกิดขึ้นกับเด็กผู้ชายที่มีข้อเข่าเกิดการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ มีขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วในเด็กผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬาหรือออกกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้เส้นเอ็นหรือเยื่อหุ้มกระดูกมีการอักเสบและปวดเกิดขึ้น ถ้ามีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วต้องทำการหยุดพักการใช้งานข้อเข่า และพยายามไม่ให้ข้อเข่าได้รับแรงกระแทกซ้ำเข้าไปที่บริเวณข้อเข่าเพิ่มอีก โรคอัสกู๊ดซลาต์เตอร์รักษาได้ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่ส่วนของข้อเข่า ด้วยการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ลดการเล่นกีฬาที่สร้างแรงกระแทกกับส่วนของข้อเข่า

5.การที่กระดูกสะบ้ามีการเคลื่อนตำแหน่ง

อาการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นเนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุจนส่งผลกระทบให้เอ็นยึดกระดูกสะบ้ามีการฉีกขาดหรือเกิดการหย่อน ซึ่งสามารถทำให้กระดูกสะบ้าเข้าที่ได้ด้วยการเหยียดเข่าให้เป็นเส้นตรง ใช้ผ้าเย็นประคบเพื่อช่วยลดอาการบวมที่ข้อเข่า พร้อมทั้งการใส่เฝือกอ่อนเพื่อให้กระดูกไม่เกิดการเคลื่อนที่ออกมาอีก แต่ในบางรายที่กระดูกสะบ้าเกิดการหลุดออกมาบ่อย ต้องทำการผ่าตัดเพื่อจัดกระดูกสะบ้าให้เข้าที่และยึดให้แน่น และผู้ป่วยก็ควรที่จะทำการฝึกกล้ามเนื้อที่ข้อเข่าให้มีความแข็งแรงจะได้ทำหน้าที่ยึดกระดูกสะบ้าให้อยู่กับที่ไม่สามารถเคลื่อนหลุดมาจากเบ้าได้

6.อาการคอนโดรมาเลเซีย

คือ อาการเสื่อมของกระดูกอ่อนที่ส่วนสะบ้าหัวเข่า อาการนี้พบได้มากในผู้ที่มีอายุน้อยเช่นเดียวกับโรคโรคอัสกู๊ดซลาต์เตอร์ นั่นคือเกิดกับผู้ที่มีอายุน้อยและต้องใช้ข้อเข่าในการเล่นที่ต้องออกแรงสูง ส่งผลให้กระดูกอ่อนที่อยู่บริเวณสะบ้ากับกระดูกส่วนต้นขามีการเสียดสีและกระแทกกันมากจนส่วนทั้งสองเกิดการสึกหรอและเสื่อมลง หรือมีกระดูกสะบ้ามีการเคลื่อนที่จากข้อเข่าเกิดขึ้นร่วมด้วย ทำให้มีอาการปวดเข่าที่ส่วนของกระดูกสะบ้าในเวลาที่ทำการเหยียดเกร็งให้เข่าตรง หรือมีการใช้งานข้อเข่าที่มีอาการเสื่อมเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อก็จะเกิดความล้าได้มากกว่าปกติจนทำให้เกิดการปวดขึ้น การรักษาต้องทำการหยุดการใช้งานข้อเข่าชั่วคราว พร้อมทั้งพันผ้ายืดรอบเข่าและทำการประคบร้อนอย่างต่อเนื่อง

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

7.ข้อเข่าเสื่อมเนื่องจากการอักเสบ

ข้อเข่าเป็นอวัยวะที่มีการอักเสบเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นเป็นประจำจะส่งผลให้เกิดการอักเสบชนิดเรือรัง ซึ่งการอักเสบเรือรังนี้จะส่งผลให้ข้อเข่าเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมของข้อเข่าได้ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อมีอาการอักเสบที่ข้อเข่าอย่าปล่อยให้หายเองโดยไม่ทำการรักษา ต้องทำการรักษาอาการอักเสบให้หายสนิทก่อนที่จะทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่ารับแรกกระแทกสูง เพราะการไม่รักษาการอักเสบให้หายสนิทจะทำให้เกิดอาการอักเสบชนิดเรือรังที่จะส่งผลเสียให้เกิดโรคที่เป็นอันตรายต่อข้อเข่าอย่างรุนแรง

8.การปวดเนื้อเยื่อด้านหน้าของข้อเข่า

เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านหน้าของข้อเข่าจะมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ เอ็นกล้ามเนื้อ เอ็นข้อต่อ ถุงน้ำ เนื้อเยื่อ ซึ่งเมื่อมีการใช้งานในการทำกิจกรรมต่างอาจจะส่งผลให้ส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดการฉีกขาดได้ การฉีกขาดของเนื้อเยื่อที่อยู่ในส่วนด้านหน้าของข้อเข่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด เมื่อเกิดการฉีกขาดถึงแม้ร่างกายจะสามารถทำการรักษาได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อหายแล้วจะทำให้เกิดพังผืดที่ข้อเข่า ทำให้เกิดสามารถเกิดการฉีกขาดซ้ำได้เนื่องจากการเกิดพังผืดจะทำให้ความยืดหยุ่นของข้อเข่าลดลง ดังนั้นเมื่อต้องทำการเคลื่อนไหวที่รุนแรงก็จะส่งผลให้เกิดการฉีกขาดซ้ำเดิมได้ ดังนั้นถ้ามีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำการรักษาด้านการทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันการเกิดพังผืดร่วมกับการออกกำลังกายและการกินยาลดความปวด

จะเห็นว่าโรคที่เกิดขึ้นกับข้อเข่าส่วนมากจะมีสาเหตุมาจากการที่ข้อเข่าไม่มีความแข็งแรงพอที่จะรองรับแรงกระแทกเข้ามาสู่บริเวณข้อเข่านั้นเอง ดังนั้นทางที่ดีที่จะป้องกันโรคที่จะเกิดกับข้อเข่านั่นคือ การออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับข้อเข่า การออกกำลังที่เหมาะสมกับข้อเข่าไม่ควรเป็นการออกกำลังกายที่รุนแรงหรือมีการส่งแรกกระแทกเข้าสู่ข้อเข่าโดยตรง การออกกำลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ข้อเข่าควรเริ่มทำตามลำดับจากท่าแรกจนถึงท่าสุดท้าย ควรออกกำลังกายทุกวันจะเห็นผลมากกว่าการออกไม่ต่อเนื่อง และควรเริ่มทำจากจำนวนครั้งที่น้อยก่อนแล้วค่อยเพิ่มจำนวนครั้งในการออกกำลังกายครั้งต่อไป อย่าออกกำลังกายหักโหมตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มออกกำลัง เพราะแทนที่จะทำให้ข้อเข่าแข็งแรงแต่กลับจะทำให้ข้อเข่าเกิดการเสื่อมหรือบาดเจ็บได้

[adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

ท่าบริหารข้อเข่าให้แข็งแรง ด้วยตนเองง่ายๆ

1.ท่านอนกดเข่า

เริ่มจากการนอนหงายพร้อมทั้งหาหมอนขนาดเล็กมาหนุนใต้เข่าทั้งสองข้างสูงขึ้นมาจากพื้นเล็กน้อย เหยียดขาตรง ยืดมือทั้งสองข้างมาจับกล้ามเนื้อที่ต้นขาเหนือเข่าของขาข้างใดข้างหนึ่ง ทำการยกขาข้างที่จับขึ้นและเกร็งกล้ามเนื้อกับลูกสะบ้าให้หยุดนิ่ง ประมาณ 5 นาที วางขาลงบนหมอน ทำซ้ำข้างละ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

2.ท่านอน นอนเหยียดและยกขา

เริ่มจากนอนราบกับพื้น ชันเข่าข้างขวาขึ้นทำมุม 45 องศากับพื้น ยกขาข้างซ้ายขึ้นจากพื้นประมาณ 1 ฟุต เหยียดขาซ้ายให้ตรง อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 นาที ลดขาลง ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ และสลับขาซ้ายวางบนพื้นและยกขาขวาขึ้นแทน

3.ท่านอนกดส้นเท้า

เริ่มจากนอนราบบนพื้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น กดส้นเท้ากับพื้นและยักเข้าขึ้นพร้อมทั้งเกร็งกล้ามเนื้อด้านหลังข้อเข่า อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

4.ท่านั่งเหยียดเข่า

เริ่มจากนั่งบนเก้าอี้ วางเท้าลงบนพื้นหลังพิงพนังเก้าอี้ในท่าสบาย ค่อยยกขาทั้งสองข้างขึ้นให้ยืดตรงที่สุดเท่าที่จะตรงได้ เกร็งกล้ามเนื้อขา อยู่ในท่านี้ประมาณ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

5.ท่านอนคว่ำ งอเข่า

เริ่มจากนอนคว่ำกับพื้น ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง งอเข่าเข้าหาลำตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยู่ในท่านี้ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ  [adinserter name=”อาการต่าง ๆ”]

6.ท่านอนคว่ำ งอเข่าโดยมีตุ้มน้ำหนักถ่วง

เริ่มจากนอนคว่ำกับพื้น สองมือยึดกับขอบโต๊ะหรือที่ยึดให้มั่น นำตุ้มน้ำหนักมายึดติดกับข้อเท้า ตุ้มน้ำหนักครั้งแรกควรหนัก 0.5 และสามารถเพิ่มน้ำหนักได้ในครั้งต่อไปเป็น 1.0 ,1.5,2.0 และสูงสุดไม่ควรเกิน 5 กิโลกรัม และค่อย ๆ งอเข่าเข้าหาลำตัว อยู่ในท่านี้ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

7.ท่านั่งเหยียดขาพร้อมติดตุ้มน้ำหนัก

เริ่มจากท่านั่งบนเก้าอี้ นำตุ้มน้ำหนักมาติดที่ข้อเท้า ยังขาทั้งสองข้างขึ้นช้า ๆ เกร็งขาไว้ 5 นาที แล้วลดขาลง ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ ตุ้มน้ำหนักสามารถเพิ่มน้ำหนักได้จนถึง 5 กิโลกรัม

8.ท่าขึ้นลงบันได

นำเก้าอี้ไม้หรือแผ่นไม้ที่สูงประมาณ 2 นิ้ว เริ่มจากยืนตัวตรง ก้าวเท้าข้างที่ปวดวางบนแผ่นไม้ อยู่ในท่านี้ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

9.ย่อตัวและลดตัวลง

เริ่มจากท่ายืนหลังชิดกำแพงหรือเก้าอี้ ทำการย่อตัวลงด้วยการงอเข่าทั้งสองข้างช้า ๆ จนเข่าวางลงบนพื้น ทำการลุกขึ้นด้วยการยกเข่าทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน ทำซ้ำ 5 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

10.ท่านั่ง ดัดเข่างอ

เริ่มจากนั่งบนที่เตียงนอนหรือเก้าอี้ที่มีความสูงประมาณเข่า ทำการนำขาข้างที่ไม่มีอาการปวดมาวางทับขาข้างที่มีอาการปวดเข่า กดขาข้างที่ปกติลงเพื่อที่เข่าที่มีอาการปวดจะสามารถทำการงอลงไปได้ เป็นการบริหารเข่าข้างที่ปวดโดยที่ไม่ต้องออกแรงที่เข่ามากเกินไป

11.นั่งดัดเข่า

เริ่มจากนั่งราบกับพื้น ยืดขาตรงเท่าที่จะทำได้ นำมือทั้งสองข้างมาจับที่เข่าแต่ละข้าง ทำการกดเข่าลงให้ขายืดเป็นเส้นตรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อรู้สึกเจ็บหรือตึงมากให้หยุด และยกขากลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้น

[adinserter name=”oralimpact”]

12.ย่อเข่าเพื่อดัดเข่างอ

เริ่มจากท่ายืน สองมือจับโต๊ะหรือที่ยึดให้มั่น ยืดขาข้างที่เข่ามีความผิดปกติไปด้านหน้า 1 ก้าว และทำการโน้มตัวไปข้างหน้าและทิ้งน้ำหนักตัวลงบนขาข้างที่เข่าเจ็บช้า ๆ เข่าจะเกิดการงอตัวลง ข้างไว้ประมาณ 5 นาที ยกตัวขึ้น ทำซ้ำ 5 ครั้ง ทั้งหมด 3 รอบ

ทั้งหมดนี่คือท่าที่ช่วยในการบริหารกล้ามเนื้อและกระดูกเข่าให้มีความแข็งแรง การบริหารควรเริ่มจากการทำครั้งละ 1-2 รอบก่อนแล้วค่อยเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในการทำครั้งแรกอาจจะรู้สึกเจ็บมาก อย่าฝืนทำต่อไปให้หยุด และกลับมาทำซ้ำในวันต่อไป และควรทำเรียงลำดับจากท่าที่ 1 มาจนถึงท่าสุดท้าย อย่าข้ามอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะเกิดอันตรายกับกล้ามเนื้อและกระดูกได้

การดูแลเข่าด้วยการบริหารกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นสิ่งที่ป้องกันการเสื่อมและโรคข้อเข่าได้ก็จริง แต่บางครั้งอุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจก็ส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บกับเข่าได้ ซึ่งเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเราก็ต้องทำการรักษาด้วยแพทย์เข้ามาช่วย ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยว่าโรคข้อเข่าที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากอุบัติเหตุเพียงอย่างเดียวหรือมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย พร้อมทั้งทำการเอ็กซเรย์ว่ามีกระดูกส่วนใดบางที่เกิดความผิดปกติจึงจะสามารถบอกได้ว่าต้องทำการรักษาด้วยวิธีใดบ้าง เช่น การผ่าตัด การฉีดยา การรับประทานยา เป็นต้น หลังจากที่ทำการรักษาจนมีอาการดีขึ้น คนไข้ต้องทำการกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของข้อเข่าให้กลับมาทำงานได้อย่างปกติอีกครั้ง ซึ่งการทำการภาพบำบัดในช่วงแรกต้องอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เมื่อคนไข้ทำได้จนมีการพัมนาการของกล้ามเนื้อที่ดีแล้ว คนไข้สามารถทำกายภาพบำบัดได้เองที่บ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อเข่ามีความแข็งแรงไม่เกิดการเสื่อมกลับมาอีก เราจะได้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวอย่างที่ใจนึก เพียงคุณใส่ใจสักนิดกับเข่าคุณก็ไม่ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ทำการขยับเข่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

นิดดา หงษ์วิวัฒน์. แสงแดด โอสถมหัศจรรย์ แสงแห่งชีวิตที่เป็นยารักษาโรค. กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด, 2558., 223 หน้า. ISBN 978-616-284-592-5.

https://www.medicinenet.com/knee_pain_facts/article.htm