คุณประโยชน์ของแอปเปิ้ล ( Apple Benefits )

0
คุณประโยชน์ของแอปเปิ้ล (Apple Benefits)
แอปเปิลเป็นผลไม้ที่ปลูกทั่วโลก มีรสหวานมีหลากหลายสายพันธุ์ ทานได้ทั้งผลสดและนำไปประกอบอาหาร
คุณประโยชน์ของแอปเปิ้ล (Apple Benefits)
แอปเปิลเป็นผลไม้ที่ปลูกทั่วโลก มีรสหวานมีหลากหลายสายพันธุ์ ทานได้ทั้งผลสดและนำไปประกอบอาหาร

แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล ( Apple ) คือ ผลไม้ที่จัดอยู่ในกลุ่มไม้ผลัดใบในวงศ์ของกุหลาบ โดยมีต้นกำเนิดมาจากแถบเอเชียกลาง ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีการรู้จักกันอย่างแพร่หลายและนิยมปลูกทั่วโลกเลยทีเดียว โดยขนาดของต้นแอปเปิ้ลนั้นจะใหญ่หรือเล็กก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะในการนำมาปลูกด้วย กล่าวคือหากนำมาปลูกจากเมล็ดจะมีขนาดที่ใหญ่มาก แต่ถ้านำมาจากการตัดต่อเนื้อเยื่อเข้ากับราก จะมีขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน แอปเปิ้ลก็มีหลากหลายสายพันธุ์ด้วยกัน ซึ่งพบ มากกว่า 7,500 ชนิดเลยทีเดียว โดยแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีรสชาติและลักษณะพิเศษที่แตกต่างกันไปด้วย รวมถึงมีวิธีการนำมาใช้ที่ต่างกันเช่นกัน เช่น นำมาทำเป็นเครื่องดื่ม นำมากินผลสด ประกอบอาหารหรือทำขนมเป็นต้น

คุณประโยชน์ของแอปเปิ้ลแต่ละสี

1. แอปเปิ้ลสีเขียว ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อผลกรอบ มีน้ำตาลน้อยกว่า ให้พลังงานน้อยที่สุดในบรรดาแอปเปิ้ล มีปริมาณไฟเบอร์และวิตามินซีมากกว่าสีอื่นเล็กน้อย ช่วยในเรื่องของการป้องกันไข้หวัด และโรคเลือดออกตามไรฟัน

2. แอปเปิ้ลสีเหลือง ให้รสชาติดี หวาน หอม นุ่มละมุน สามารถช่วยในเรื่องล้างสารพิษจากตับ ช่วยบำรุงสายตา และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจก

3. แอปเปิ้ลสีชมพู ให้รสชาติหวาน เนื้อไม่กรอบมาก มีวิตามินซีซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการอักเสบ ลดริ้วรอยแห่งวัย ลดอาการเลือดออกตามไรฟัน ช่วยทำให้ผนังของหลอดเลือดฝอยแข็งแรงมากขึ้น และยังป้องกันโรคมะเร็ง

4. แอปเปิ้ลสีแดงเข้ม ให้รสชาติหวานมาก เปลือกแอปเปิ้ลสีแดงมีสารแอนโทไซยานินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ลดความเครียด ช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ

สารอาหารที่ได้จากแอปเปิ้ล

  • มีสารฟลาโวนอยด์ ที่จะทำหน้าที่ในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดี และพบได้มากในเปลือก แอปเปิ้ล 
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านมะเร็ง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้ดี และจะให้คุณประโยชน์สูงสุดเมื่อทานทั้งเปลือก
  • ไม่อ้วน เพราะมีพลังงานแค่ 50 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 กรัมเท่านั้น แถมอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่จะทำให้อิ่มเร็วอีกด้วย- ช่วยบำรุงสายตาเนื่องจากมีสารเบต้าแคโรทีนสูง และสามารถบำรุงหัวใจ ลดความดัน ลดระดับคอเลสเตอรอล รวมถึงสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีอีกด้วย
  • มีส่วนช่วยในการฆ่าเชื้อไวรัสบางชนิด

แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย เนื้อและเปลือกของแอปเปิ้ลช่วยเพิ่มกากใยในทางเดินอาหาร

สายพันธุ์แอปเปิ้ล ที่คนนิยมรับประทานมากที่สุด

1.เรดดีลิเซียส ( Red Delicious ) 

สายพันธุ์นี้จะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแอปเปิ้ลแดง ซึ่งผลของมันจะเป็นทรงคล้ายกับหัวใจและมีสีแดงสด ทั้งยังมีเนื้อกรอบอร่อย รสชาติอาจหวานไม่มากแต่ก็อร่อยไม่น้อยเลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่แอปเปิ้ลชนิดนี้ก็มักจะนำมาใส่ในเมนูสลัดหรือนำมาทานเล่นอีกด้วย อาจเรียกได้ว่าเป็นแอปเปิ้ลที่เหมาะกับการนำมาทานเป็นสลัดและของว่างในช่วงต่างๆ ได้ดีทีเดียว ส่วนแหล่งกำเนิดพบว่า ชุมชนพีรู รัฐไอโอวา และมีต้นกำเนิดไม่ชัดเจน แต่มีระบุว่าพบในสวนของเจสซี่ เฮียทท์ หรือชื่อเดิมคือ ฮอว์กอาย 

2.โกลเด้นดีลิเชียส ( Golden Delicious ) 

แอปเปิ้ล สายพันธุ์นี้จะมีเปลือกเป็นสีเหลืองทอง รสชาติหวานฉ่ำและเนื้อกรอบอร่อย โดยจะหวานกว่าแอปเปิ้ลสายพันธุ์แรกเล็กน้อย โดยจุดเด่นของแอปเปิ้ลชนิดนี้คือ หลังจากหั่นเรียบร้อยแล้ว ผิวแอปเปิ้ลจะยังคงความขาวสวยน่า ทานได้นานกว่าแอปเปิ้ลชนิดอื่นๆ ทั้งยังสามารถนำมาประกอบเมนูต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะสลัดและพวกเมนูของว่าง อย่างเช่น ขนมอบ พาย เป็นต้น ส่วนแหล่งกำเนิด พบว่าเคลย์เค้าน์ที้ รัฐเวสต์เจอร์จิเนีย และต้นกำเนิดของแอปเปิ้ลสายพันธุ์นี้ก็ไม่พบแน่ชัดเช่นกัน

3.ฟูจิ ( Fuji ) 

เป็น แอปเปิ้ล ที่มีผลค่อนข้างกลม มีเปลือกสีแดงอมส้ม รสชาติของมันจะมีความหวานอร่อยและโดดเด่นกว่าทุกสายพันธุ์ แถมยังมีความกรุบกรอบน่าทานอีกด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว แอปเปิ้ลฟูจิจะนิยมนำมาทานสดๆ หรือเป็นของว่างมากที่สุด รวมถึงนำไปทำเป็นขนม เช่น ซอส ขนมอบและพายเช่นกัน สำหรับแหล่งกำเนิดพบที่ ประเทศญี่ปุ่น และไม่ใช่พันธุ์แท้ แต่เป็นสายพันธุ์ที่ถูกผสมระหว่างแอปเปิ้ลเรดดีลิเชียส และแรลส์เจเน็ตนั่นเอง

4.กาล่า ( Gala )

เป็น แอปเปิ้ล สายพันธุ์ที่มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์สุดๆ ด้วยลายทางสีชมพู-ส้ม และมีพื้นหลังเป็นสีเหลืองดูสวยแปลกตา แถมยังมีกลิ่นหอมดูน่าเย้ายวนสุดๆ แต่แอปเปิ้ลชนิดนี้จะหวานน้อยกว่าฟูจิ อย่างไรก็ตาม กาล่าก็สามารถนำไปทำสลัด ซอสและพายได้อย่างอร่อยอีกด้วย ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลกเลยทีเดียว และนอกจากนี้กาล่าก็เหมาะสำหรับการนำมาทำเครื่องดื่มและขนมอบเช่นกัน ส่วนแหล่งกำเนิด พบได้ที่นิวซีแลนด์ เป็นแอปเปิ้ลที่มีการผสมกันระหว่างสายพันธุ์แอปเปิลคิดส์ออเร้นจ์และโกลเด้นดีลิเซียส

5.ฮันนี่คริปส์ ( Honeycrisp ) 

สำหรับ แอปเปิ้ล สายพันธุ์นี้ก็กำลังเป็นที่นิยมมากเช่นกัน เพราะมีความโดดเด่นด้วยเปลือกสีแดงสดแต้มด้วยรอยจุดสีเขียวจางๆ แถมมีความกรอบอร่อยและมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ซึ่งก็จะช่วยสร้างความตื่นตัวและทำให้เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้เป็นอย่างดี และสามารถนำมาใช้ประกอบเมนูต่างๆ ได้อย่างหลากหลายอีกด้วย โดยเฉพาะเมนูสลัด ซอส พาย ขนมอบและเมนูอาหารคาวต่างๆ ส่วนแหล่งกำเนิดพบที่มหาวิทยาลัยแห่งมินนิโซตา มินนีแอโพลิส-เซนต์พอล มินนิโซตา โดยแอปเปิ้ลสายพันธุ์นี้ก็เป็นพันธุ์ที่ผสมระหว่างแอปเปิ้ลคีปสกและแอปเปิลไม่ทราบชนิด

6.แกรนนี่สมิธ ( Granny Smith ) 

เป็น แอปเปิ้ล สีเขียวซึ่งจะมีเปลือกเป็นสีเขียวอ่อน มีรสชาติเปรี้ยว ไม่หวานเหมือนกับแอปเปิ้ลชนิดอื่นๆ แต่ก็มีความกรอบอร่อยให้ความรู้สึกที่แสนรื่นรมย์และกระตุ้นรสสัมผัสได้ดีเช่นกัน โดยแอปเปิ้ลชนิดนี้ก็เหมาะกับการนำมาใช้ทำ เป็นของหวาน โดยเฉพาะพายที่สุด เพราะมีรสชาติที่เข้ากันได้ดีและน่าทานไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งสูตรอาหารต่างๆ ที่นิยมนำแกรนนี่สมิธมาทำ ได้แก่ ซอส สลัด ขนมอบและเมนูแช่แข็ง โดยแหล่งกำเนิดพบที่ประเทศออสเตรเลียเชื่อว่าน่าจะมาจากเฟรนช์แครบแอปเปิล เนื่องจากปลูกโดยคุณย่าชาวออสเตรเลียมาเรีย แอนน์ สมิธนั่นเอง

7.แบร์เบิร์น ( Braeburn )

แอปเปิ้ล ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวผสมผสานกันอย่างลงตัวและมีสีส้มจนถึงแดงบนพื้นสีเหลือง แถมมีกลิ่นหอมละมุนน่าทานสุดๆ และยังเหมาะกับการนำมาทำเป็นสลัด ขนมอบ ซอสและพาย ซึ่งก็จะให้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมและน่าทานไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็เหมาะกับการนำมาทำเป็นเมนูเครื่องดื่มหรือแช่แข็งเช่นกัน ส่วนแหล่งกำเนิดพบที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยคาดว่าน่าจะเป็นแอปเปิ้ลพันธุ์ผสมระหว่างเลดี้ฮามิลตันและแกรนนี่สมิธ

8.คริปส์พิ้งค์ ( Cripps Ping )

แอปเปิ้ล ชนิดนี้จะมีเปลือกเป็นสีชมพูสดใส ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ซึ่งก็ถือเป็นเอกลักษณ์ของแอปเปิลชนิดนี้เลยทีเดียว และยังมีเนื้อนุ่ม กรอบอร่อยอีกด้วย โดยถือเป็นแอปเปิ้ลอีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาทำเป็นของว่างและขนมอบสุดๆ หรือจะทานสดๆ ใส่ในสลัด ซอส พาย ทำเป็นเครื่องดื่ม แช่แข็ง ก็ให้ความอร่อยที่ไม่แพ้กันเลยทีเดียว  โดยสำหรับแหล่งกำเนิดพบที่ประเทศออสเตรเลีย เป็นพันธุ์ที่ผสมระหว่างแอปเปิลสายพันธุ์โกลเด้นดีลิเชียสและเลดี้วิ ลเลียมส์ และนอกจาก 8 สายพันธุ์เด่นๆ เหล่านี้แล้ว แอปเปิ้ลก็ยังมีอีกมากมายหลายพันธุ์ด้วยกัน เช่น พันธุ์ออโรรา ( Aurora ) มีรสชาติหวานและกรุบกรอบ, พันธุ์สวีทแทงโก้ ( SweeTango ) มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมน่าทานและมีความกรอบอร่อยมาก, พันธุ์ซอนญ่า ( Sonya ) หวานอร่อยและกรุบกรอบสุดๆ, พันธุ์โรม ( Rome ) มีเนื้อนุ่มและมีรสชาติเปรี้ยวแต่มีความละมุนและน่าทานไม่น้อย เป็นต้น 

ข้อควรระวังในการรับประทานแอปเปิ้ล

  • ผู้ป่วยเบาหวานควรสังเกตระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งจำกัดปริมาณการบริโภคแอปเปิ้ลและน้ำแอปเปิ้ล เนื่องจากอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้
  • สตรีมีครรภ์หรือผู้ที่ให้นมบุตรรับประทานแอปเปิ้ลได้ แต่ควรเลี่ยงรับประทานแอปเปิ้ลเพื่อหวังผลทางยา เนื่องจากยังไม่ปรากฏข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยในการรับประทานแอปเปิ้ลจำนวนมากสำหรับรักษาปัญหาสุขภาพ
  • ผู้ที่เกิดอาการแพ้อาหารบางอย่างควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานแอปเปิ้ล เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้ได้ โดยปรึกษาแพทย์ในกรณีที่แพ้แอพปริคอต อัลมอนด์ ลูกพลัม พีช ลูกแพร์ หรือสตรอว์เบอร์รี่

สุดท้ายนี้ต้องบอกเลยว่าการกิน แอปเปิ้ล ควรจะกินทั้งเปลือก เพราะให้คุณประโยชน์ที่มากกว่า แต่เนื่องจากแอปเปิ้ลที่ขายในตลาดส่วนใหญ่จะมีการเคลือบให้สีผิวสดใสและคงความสดนานขึ้น ดังนั้นก่อนกินจึงควรล้างแอปเปิ้ลให้สะอาด ก่อน ด้วยการละลายเกลือทะเล 1 ช้อนชาในน้ำสะอาด 1 กะละมัง แล้วนำแอปเปิ้ลลงไปแช่ไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นขัดถูด้วยฟองน้ำให้ทั่ว เท่านี้ก็พร้อมทานได้อย่างปลอดภัย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“National Fruit Collection”. Retrieved 2 December 2012.

“ECPGR Malus/Pyrus Working Group Members”. Ecpgr.cgiar.org. 22 July 2002. Retrieved 25 August 2014.

“Apple – Malus domestica”. Natural England. Archived from the original on 12 May 2008. Retrieved 22 January 2008.

กรดอะมิโนจำเป็น สำคัญอย่างไร ? ( Amino Acids )

0
กรดอะมิโนจำเป็น สำคัญอย่างไร ? (Amino Acids)
กรดอะมิโน คือหน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีน
กรดอะมิโนจำเป็น สำคัญอย่างไร ? (Amino Acids)
กรดอะมิโน เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีน

กรดอะมิโน คือ ?

ความสำคัญของโปรตีนและกรดอะมิโนอาจกล่าวได้ว่า โปรตีน ก็คือสารประกอบชนิดหนึ่งที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่มาก โดยเกิดขึ้นมาจากการที่กรดอะมิโนมาเชื่อมต่อกันเป็นจำนวนมาก โดยกรดอะมิโน ( Amino Acids ) คือ หน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีนนั่นเอง ซึ่งจะอยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้น เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีโปรตีนเข้าไป ร่างกายจึงต้องย่อยสลายโปรตีนจนกลายเป็นกรดอะมิโนก่อน จึงจะสามารถนำกรดอะมิโนไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้กรดอะมิโนก็ยังเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือด กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ ฮอร์โมนและเอ็นไซม์อีกด้วย รวมถึงในแอนติบอดี ( Antibody ) ที่จะทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายโดยตรง

ชนิดของกรดอะมิโน

กรดอะมิโนแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

1. Essential Amino Acids
essential amino acid คือ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย กรดอะมิโนจําเป็น หมายถึงกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการแต่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง จึงต้องทานเสริมเข้าไปจากอาหารที่มีกรดอะมิโนชนิดนี้

2. Conditionally Essential Amino Acids เป็นกรดอะมิโนจำเป็นชนิดที่มีเงื่อนไข ก็คือ กรดอะมิโนชนิดนี้ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นมาได้ตามปกติ แต่ในบางสภาวะ อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงต้องทานอาหารเสริมเข้าไป เช่น ในภาวะที่บาดเจ็บ ไม่สบายหรือเมื่อทำคีโมบำบัด เป็นต้น

3. Non – Essential Amino Acids เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง โดยไม่ต้องทานอาหารเสริมเข้าไป

“กรดอะมิโน คือหน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีน “

ประโยชน์ของกรดอะมิโน

สำหรับประโยชน์ของกรดอะมิโน แบ่งได้ตามชนิดของกรดอะมิโน ดังนี้

1.Essential Amino Acids

กรดอะมิโนจำเป็นชนิดนี้จะมีทั้งหมด 8 ชนิด โดยมีประโยชน์ดังต่อไปนี้

  • ไอโซลิวซีน ( Isoleucine ) ช่วยให้ร่างกายมีการสลายไขมันและคาร์โบไฮเดรตเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทได้ดี
  • ลิวซีน ( Leucine ) ช่วยกระตุ้นให้สมอง กล้ามเนื้อและเซลล์ประสาท สามารถทำงานได้ดีขึ้น
  • ไลซีน ( Lysine ) ช่วยสร้างสารแอนติบอดี้ พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง และกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมให้ดียิ่งขึ้น
  • เมไธโอนีน ( Methionine ) จะทำหน้าที่ในการป้องกันการสะสมของไขมันที่ตับและหลอดเลือด พร้อมเร่งการสลายไขมันอย่างรวดเร็วและสามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดี
  • ฟีนิลอะลานีน ( Phenylalanine ) เร่งการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่จะส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ภายในสมอง โดยจะช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าและลดอาการเวียนศีรษะได้ดี
  • ทรีโอนีน ( Treonine ) ทำหน้าที่ในการลดการสะสมไขมันที่ตับ รักษาระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดี
  • ทริปโตแฟน ( Tryptophan ) เป็นกรดอะมิโนที่จะช่วยสังเคราะห์สารเซโรโทนินขึ้นมา โดยสารตัวนี้ก็จะช่วยแก้ปัญหาการนอนไม่หลับได้ดีและสามารถบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ดีอีกด้วย รวมถึงช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรนได้เช่นกัน
  • วาลีน ( Valine ) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และรักษาระดับไนโตรเจนในร่างกายให้เกิดความสมดุลมากขึ้นอีกด้วย

2.Conditionally Essential Amino Acids

กรดอะมิโนแบบมีเงื่อนไข ซึ่งมีทั้งหมด 4 ชนิด โดยมีประโยชน์และหน้าที่ดังต่อไปนี้

  • อาร์จีนีน ( Arginine ) ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบเผาผลาญไขมันและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บหรือฉีกขาด
  • ซีสเทอีน ( Cysteine ) ช่วยสังเคราะห์กลูต้าไธโอน ( Glutathione ) ที่จะช่วยในการบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดการสะสมของสารพิษหรือโลหะหนักได้ดี
  • ไกลซีน ( Glycine ) มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์ DNA และ RNA ซึ่งจะทำหน้าที่ในการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาเพื่อชดเชยเซลล์เก่าที่ตายแล้ว
  • ไทโรซีน ( Tyrosine ) ทำหน้าที่ในการสังเคราะห์สารสื่อประสาท ซึ่งเป็นสารที่จะช่วยดูแลการทำงานของต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไตและต่อมไทรอยด์ให้เป็นปกติได้ดี 

3.Non-Essential Amino Acids

กรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้ด้วยตนเอง มีทั้งหมด 8 ชนิด ซึ่งมีประโยชน์และหน้าที่ดังต่อไปนี้

  • อะลานิน ( Alanine) จะทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ( Lymphocyte ) ซึ่งจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี
  • แอสพาราจีน ( Asparagine ) ทำหน้าที่ในการส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
  • กรดแอสพาร์ติด ( Aspartic Acid ) ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและลดการสะสมของแอมโมเนียได้ดี
  • กรดกลูตามิก ( Glutamic Acid ) ทำหน้าที่ในการกระตุ้นการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงานและส่งเสริมการทำงานของสมองให้ทำงานได้ดีขึ้น
  • กลูตามีน ( Glutamine ) ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บให้หายโดยเร็ว พร้อมลดความเมื่อยล้าได้ดี
  • ฮีสทิดีน ( Histidine) ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว
  • โพรลีน ( Proline ) เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและข้อต่อ
  • ซีรีน ( Serine ) ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย พร้อมกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ให้เจริญเติบโตเร็วขึ้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“Amino acid”. Cambridge Dictionaries Online. Cambridge University Press. 2015. Retrieved 3 July 2015.

“Amino”. FreeDictionary.com. Farlex. 2015. Retrieved 3 July 2015.

Wagner I, Musso H (November 1983). “New Naturally Occurring Amino Acids”. Angewandte Chemie International Edition in English. 22 (11): 816–28.

Latham MC (1997). “Chapter 8. Body composition, the functions of food, metabolism and energy”. Human nutrition in the developing world. Food and Nutrition Series – No. 29. Rome: Food and Agriculture Organization of the United Nations.

Proline is an exception to this general formula. It lacks the NH2 group because of the cyclization of the side chain and is known as an imino acid; it falls under the category of special structured amino acids.

น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู อะไรดีกว่ากัน ?

0
น้ำมันพืชกับน้ำมันหมูอะไรดีกว่ากัน
น้ำมันประกอบอาหารในปัจจุบันมีหลากหลายทั้งที่ได้จากพืชและสัจว์
น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู อะไรดีกว่ากัน ?
น้ำมันประกอบอาหารในปัจจุบันมีหลากหลายทั้งที่ได้จากพืชและสัตว์

น้ำมันพืช  และ  น้ำมันหมู

เป็นเรื่องที่ยังคงสงสัยและมีการถกเถียงกันมาโดยตลอดว่า น้ำมันพืช กับ น้ำมันหมู นั้น อะไรดีและมีประโยชน์กว่ากัน  และอะไรที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่ากัน ดังนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจกับน้ำมันพืชและน้ำมันหมูทั้งสองชนิดนี้ก่อน เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น ก่อนจะเปรียบเทียบว่าน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูชนิดไหนดีกว่ากันนั่นเอง

น้ำมันพืช

น้ำมันพืช เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยกรดไขมันชนิดนี้เมื่อผ่านเข้าสู่ร่างกายและเจอกับอุณหภูมิ 37 องศา จะกลายสภาพมีความเหนียวข้นและเข้าไปยึดเกาะกับลำคอไปจนถึงลำไส้ใหญ่ ซึ่งเมื่อนานไปก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้มากที่เดียว โดยสังเกตได้จากน้ำมันพืชที่กระเด็นไปโนข้างฝาขณะกำลังทำกับข้าว ซึ่งน้ำมันพืชก็จะมีลักษณะเหนียวและยึดเกาะเข้ากับฝาผนังทันที แถมน้ำมันพืชยังทำความสะอาดได้ยากอีกด้วย ดังนั้นเมื่อเราทานเข้าไปในร่างกายก็เช่นกัน น้ำมันพืชชนิดนี้จะเข้าไปติดหนึบอยู่กับระบบทางเดินอาหาร เมื่อนานไปก็จะเกิดปัญหาสุขภาพ อย่างเช่นโรคเกี่ยวกับลำไส้และโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารในที่สุด

น้ำมันหมู

น้ำมันหมู จะไม่เข้าไปเกาะกับระบบทางเดินอาหารเหมือนกับน้ำมันพืช จึงไม่ทำให้มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับลำไส้หรือระบบทางเดินอาหารตามมาอย่างแน่นอน สังเกตได้จากเมื่อทำกับข้าวแล้วน้ำมันหมูกระเด็นไปโดนกับฝาผนังบ้านจะสามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่า น้ำมันพืช นั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า น้ำมันหมู จะไม่มีข้อเสีย เพราะน้ำมันหมูมีกรดไขมันชนิดอิ่มตัวที่จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายของคนเราเพิ่มสูงขึ้นและตามมาด้วยปัญหาสุขภาพอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไขมันอุดตันเส้นเลือด ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ความดัน โรคหัวใจ เป็นต้น

ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า น้ำมันพืช และ น้ำมันหมู ทั้งสองชนิดต่างก็ไม่ดีทั้งคู่ แต่ความจริงแล้วข้อเสียของน้ำมันพืชและน้ำมันหมูไม่ได้เกิดจากน้ำมันโดยตรง เพราะต่างก็เป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติโดยเฉพาะ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากกระบวนการผลิตน้ำมันนั่นเอง ดังตัวอย่างเช่นน้ำมันปาล์ม ซึ่งการผลิตจะมีการฟอกสีให้ใส ใส่สารกันบูดและสารเติมแต่งต่างๆ รวมถึงมีการแต่งกลิ่นลงไป ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากพอสมควร ส่วนน้ำมันหมูแม้จะไม่ได้ผ่านกระบวนการใดๆ แต่ก็เป็นแหล่งไขมันชนิดเลวที่ร่างกายไม่ต้องการ ซึ่งเมื่อทานมากๆ ก็จะทำให้เกิดผลเสียตามมาได้เช่นกัน โดยเฉพาะโรคร้ายต่างๆ

แล้วเราควรใช้น้ำมันชนิดไหนดี ?

เนื่องจากน้ำมันมีความจำเป็นในการใช้ทำอาหารทั้ง น้ำมันพืช หรือ น้ำมันหมู ก็ดี จึงไม่สามารถเลี่ยงการใช้น้ำมันได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออกเสมอไป เพราะเราสามารถเลือกใช้น้ำมันที่มีการสกัดจากธรรมชาติแทนได้ เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันปลาหรือน้ำมันมะพร้าว เป็นต้น โดยน้ำมันเหล่านี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนและไม่มีสารเคมี จึงปลอดภัยและดีต่อสุขภาพแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันก็มีราคาสูงพอสมควร เนื่องจากน้ำมันเหล่านี้มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในปริมาณมาก ซึ่งเป็นกรด ไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูงอีกด้วย ซึ่งข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คือ จะช่วยในการลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีให้ต่ำลงและเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีเข้าไปแทน ผู้ที่ทานน้ำมันเหล่านี้เป็นประจำ จึงมักจะมีภูมิต้านทานโรคสูง และไม่ป่วยด้วยโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ง่ายอีกด้วย

น้ำมันมะกอก ที่มีอัลฟาโตโคฟีรอล ( Alpha-Tocopheral ) ผสมอยู่ในรูปของวิตามินอี และมีแคโรทีนในรูปของวิตามินเอสูงมาก จึงทำให้น้ำมันชนิดนี้มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ลดความดันโลหิตและสามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยชดลอความแก่ได้อีกด้วย

และสำหรับน้ำมันมะพร้าวก็มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงมากถึงร้อยละ 92 โดยจะทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งชนิดต่างๆ และมีแร่ธาตุวิตามินที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที อย่างเช่น วิตามินอี ดี อี แค แมกนีเซียม แคลเซียนและเบต้าแคโรทีน เป็นต้น นอกจากนี้ก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างสารพิษในร่างกายและทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

ส่วนน้ำมันปลา ก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอแมก้า 6 สูงมาก โดยเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายมากทีเดียว ทั้งยังสามารถบำรุงผิวพรรณ เล็บผม ให้มีสุขภาพดี รวมถึงช่วยเสริมสร้างความจำและกระตุ้นการเรียนรู้ การใช้ความคิดได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนในด้านของการป้องกันโรค น้ำมันปลาก็สามารถลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ลดความดัน พร้อมลดระดับคอเลสเตอรอลและต้านการเกิดมะเร็งเต้านมได้ดีเช่นกัน

เพราะฉะนั้นหากถามว่าระหว่าง น้ำมันพืช และ น้ำมันหมู อะไรดีกว่ากัน ก็คงต้องบอกว่าควรบริโภคให้น้อยที่สุด และเน้นการบริโภคน้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติจะดีกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Dietary Guidelines for Americans 2005; Key Recommendations for the General Population”. US Department of Health and Human Services and Department of Agriculture. 2005.

Yanai H, Katsuyama H, Hamasaki H, Abe S, Tada N, Sako A (2015). “Effects of Dietary Fat Intake on HDL Metabolism”. J Clin Med Res. 7 (3): 145–9.

เราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจริงหรือ?

0
เราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจริงหรือ?
ร่างกายต้องการน้ำเข้าไปทดแทนน้ำที่สูญเสียไปกับการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆซึ่งแต่ละคนจะมีการดื่มน้ำปริมาณที่ต่างกัน
เราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจริงหรือ?
ร่างกายต้องการน้ำเข้าไปทดแทนน้ำที่สูญเสียไปกับการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆซึ่งแต่ละคนจะมีการดื่มน้ำปริมาณที่ต่างกัน

การดื่มน้ำ

น้ำดื่ม สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักมีข้อปฏิบัติหลายอย่างด้วยกันทีต้องปฏิบัติ ทั้งกินผักและผลไม้ ลดการกินอาหารที่เป็นแป้งกับน้ำตาล และมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การดื่มน้ำ ให้ได้ 8 แก้วต่อวัน ซึ่งการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วต่อวันแล้วทำให้สามารถลดน้ำหนักได้เนื่องจากน้ำดื่มที่เข้าไปจะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มนานขึ้น และให้ดื่มน้ำก่อนที่จะรับประทานอาหาร เข้าไปเพื่อที่จะได้อิ่มเร็วขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลงกว่าปกติด้วย การดื่มน้ำยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายทำให้ผิวพรรณผุดผ่องราว แต่สำหรับบางคนแล้วน้ำ 8 แก้วต่อวันกลับทำให้เกิดความลำคาญใจเล็กในเรื่องของการเดินเข้าห้องน้ำ เพราะเมื่อมีน้ำเข้าสู่ร่างกายเพิ่มมากขึ้นก็ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยนั่นเอง

น้ำที่เราควรบริโภคเข้าสู่ร่างกายควรเป็นน้ำสะอาด หลายคนเข้าใจผิดว่าจะดื่มน้ำอะไรก็ได้ขอเพียงแค่ดื่มให้ได้ 8 แก้วต่อวันเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำที่ดื่มแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดคือน้ำสะอาด ไม่ใช่ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชา กาแฟ น้ำแต่จริงๆแล้ว การดื่มน้ำ ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องดื่มเท่ากันหมดนั่นคือ 8 แก้วต่อวัน เพราะว่าคนแต่ละคนมีลักษณะการกินอาหารที่ต่างกัน บางคนชอบทานผักและผลไม้ บางคนไม่ชอบทานผลไม้ คนที่ชอบทานผักจะร่างกายจะไม่ค่อยขาดน้ำ เนื่องจากในผลไม้นั้นจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ถึง 80%

ส่วนคนที่ชอบทานเนื้อสัตว์ก็จะได้รับน้ำจากเนื้อสัตว์เช่นกัน เพราะเนื้อสัตว์นั้นมีส่วนประกอบของน้ำถึง 60% ทำให้ร่างกายได้รับน้ำจากผลไม้และเนื้อสัตว์ที่รับประทานเข้าไป ต่างจากคนที่ไม่รับประทานผลไม้และเนื้อสัตว์ย่อมไม่ได้รับน้ำส่วนนี้เข้ามาในร่างกาย จึงต้องการน้ำจากส่วนอื่นเข้ามาทดแทนด้วยการดื่มกินเข้ามา

ดื่มน้ำน้อยแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าร่างกายเราขาดน้ำหรือไม่?

ร่างกายของเราจะมีไตทำหน้าที่ควบคุมและรักษาสมดุลของน้ำกับเกลือในร่างกายให้เหมาะสม ซึ่งช่วงความเข้มข้นของเกลือจะอยู่ในช่วงแคบๆเท่านั้น เมื่อร่างกายได้รับน้ำเข้าไปมากจนความเข้มข้นของเกลือเจือจางมากเกินไป ไตก็ ต้องขับน้ำออกทางปัสสาวะ ทำให้เราต้องเข้าห้องน้ำบ่อย แต่ว่าถ้าร่างกายได้รับน้ำน้อยเกินไปความเข้มข้นของเกลือสูงมากไตก็จะกักเก็บน้ำไว้ทำให้ปัสสาวะของเรามีสีเหลืองเข้มและมีกลิ่นฉุน ดังนั้น ไม่ว่าร่างกายได้รับน้ำมากหรือน้อย ไตก็จะทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำในร่างกายให้กับเราอยู่แล้ว เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำมีความเข้มข้นของเกลือสูง เราจะรู้สึกกระหายน้ำต้องการหาน้ำมาดื่ม แต่ถ้าเราไม่รู้สึกกระหายน้ำแสดงว่าน้ำในร่างกายของเราอยู่ในสถาวะสมดุลแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำเข้าไปในปริมาณมาก

สาเหตุที่คนเรามีความเชื่อว่าต้องดื่มน้ำถึง 8 แก้วต่อวัน ( แก้วละ 8 ออนซ์ )

เนื่องจากทางคณะกรรมการอาหารและสารอาหารแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา The U.S. Food and Nutrition Board ซึ่งเป็นองค์กรสังกัดสถาบันการแพทย์ ได้มีการเผยแพร่แนวทางปฏิบัติของการบริโภคที่ดี ว่าควรดื่มน้ำให้มีปริมาณเท่ากับปริมาณน้ำที่ใช้ในการย่อยสลายอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งต่อมาได้มีการคำนวณออกมาเป็นตัวเลข คือผู้หญิงควรดื่มในปริมาณ 2.7 ลิตรต่อวัน และผู้ชายควรดื่มในปริมาณ 3.7 ลิตรต่อวัน เมื่อนำมาคำนวณเป็นแก้วขนาด 8 ออนซ์แล้ว ผู้หญิงต้องดื่ม 11 แก้วต่อวันและผู้ชายต้องดื่ม 15 แก้วต่อวัน แต่ผลการวิจัยที่ออกมานี้เป็นการคำนวณสำหรับคนที่อยู่ในสภาวะขาดน้ำ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าขาดน้ำ ก็ต่อเมื่อร่างกายเรารู้สึกกระหายน้ำนั่นเอง แต่สำหรับคนที่ร่างกายปกตินั้นไม่จำเป็นต้องมี การดื่มน้ำ ตามที่คำนวณมานี้ เพราะเราได้รับน้ำบางส่วนจากอาหารที่รับประทานเข้าไปอยู่แล้ว

การดื่มน้ำมากขึ้นหรือน้อยลงก็ขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวัน สภาพแวดล้อม อุณหภูมิและความชื้นของอากาศและสภาพของร่างกายด้วย คนที่ทำงานหรือทำกิจกรรมที่ต้องสูญเสียเหงื่อ คุณจะรู้สึกกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าร่างกายต้องการน้ำเข้าไปทดแทนน้ำที่สูญเสียไปนั้นเอง

ส่วนผู้ป่วยที่เป็นไข้ตัวร้อน หายใจหอบ คุณหมอจะแนะนำให้ดื่มน้ำเข้าไปมากๆ เพื่อช่วยลดความร้อนภายในร่างกายทำให้หายไข้เร็วขึ้น แต่ก็มีผลการวิจัยบางจากนิตยสารทางการแพทย์ The British Medical Journal ที่ได้วิจัยว่า การดื่มน้ำ มาก เวลาที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจแล้วอาจจะเป็นอันตรายได้ แต่ว่างานวิจัยนี้ยังไม่มีการสนับสนุนอย่างชัดเจน แต่จากสถิติพบว่าผู้ป่วยที่เป็นไข้เมื่อดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้น อาการไข้ก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าสำหรับบางคนที่ได้รับน้ำมากเกินไป หรือที่เรียกว่า “เมาน้ำ” ( Water Intoxication ) จะเป็นอาการที่กระหายน้ำมากผิดปกติ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยทางจิตหรือผู้ป่วยที่ได้รับน้ำทางสายน้ำเกลือมากเกินไป ทำให้ร่างกายได้รับน้ำมากความข้มข้นของเกลือลดต่ำลงผิดปกติ ร่างกายขับน้ำออกมาไม่หันก็จะทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด แต่กรณีนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก

การดื่มน้ำ สะอาดเป็นสิ่งที่ดีเพราะน้ำสะอาดไม่มีแคลอรี เมื่อเราดื่มน้ำแทนการกินอาหารที่มีแคลอรีสูง อย่าง ขนมกินเล่น ขนมขบเคี้ยว ก็จะช่วยควบคุมและลดน้ำหนักที่สูงเกินไปได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความพอดีในตัวของมัน การดื่มน้ำก็เช่นกัน เราต้องดื่มตามความต้องการของร่างกาย คือเมื่อรู้สึกกระหายน้ำก็ให้หาน้ำมาดื่มหรือจิบน้ำบ่อยแทนการดื่มน้ำครั้งละหลายแก้ว ไม่จำเป็นต้องดื่มให้เท่ากับที่ทฤษฏีบอกไว้เสมอไป เพราะร่างกายของคนเราแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน เราซึ่งเป็นเจ้าของร่างกายย่อมรู้จักร่างกายดีว่าต้องการน้ำมากน้อยเพียงใด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Exposure Factors Handbook: 2011 Edition (PDF). National Center for Environmental Assessment. September 2011. Archived (PDF) from the original on 24 September 2015. Retrieved 24 May 2015.

Miller, Thomas A. (2006). Modern surgical care physiologic foundations and clinical applications (3rd ed.). New York: Informa Healthcare. p. 34. ISBN 9781420016581. Archived from the original on 2017-09-01.

Nancy caroline’s emergency care in the streets. (07 ed.). [S.l.]: Jones And Bartlett Learning. 2012. p. 340. ISBN 9781449645861. Archived from the original on 2017-09-01.

อัลบูมิน คืออะไร ? ( Albumin )

0
อัลบูมินในไข่ขาว
อัลบูมินในไข่ขาว โปรตีนที่มีความสำคัญต่อผู้ป่วยมะเร็ง โดยจะทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดและซ่อมแซมส่วนต่างๆ
อัลบูมินคืออะไร ?
อัลบูมินพบในไข่ขาว เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญต่อผู้ป่วยมะเร็ง โดยจะทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดและซ่อมแซมส่วนต่างๆ

อัลบูมิน คือ อะไร ?

อัลบูมิน ( อาบูมิน, Albumin ) คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ลอยอยู่ในกระแสเลือด ถูกผลิตขึ้นจากตับและมีปริมาณมากกว่าโปรตีนชนิดอื่น มีความสำคัญต่อผู้ป่วยมะเร็ง โดยจะทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดและซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้มีความแข็งแรง สมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราจะพบอัลบูมินเป็นส่วนประกอบหนึ่งประมาณ 50% ของโปรตีนที่พบในเลือดเลยทีเดียว นอกจากนี้อัลบูมินยังสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายเพื่อต่อต้านการติดเชื้อต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

อัลบูมินถูกสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนที่ตับ ดังนั้นหากร่างกายได้รับกรดอะมิโนน้อยเกินไปหรือได้รับพลังงานจากอาหารไม่เพียงพอก็จะทำให้ระดับของอัลบูมินลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นผลให้ภูมิต้านทานต่ำและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนง่ายขึ้นอีกด้วย

อัลบูมิน คือ โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งพบสารอัลบูมินได้มากที่สุดคือใน “ไข่ “

ซึ่งภายในไข่ก็ยังอุดมไปด้วยอัลบูมินสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสีหรือวิตามินและสารอาหารอื่นๆ แถมยังสามารถนำมาทำอาหารได้อย่างหลากหลายเมนูเลยทีเดียว และสำหรับใครที่กังวลว่าการทานไข่บ่อยๆ จะทำให้คอเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้น ก็หมดกังวลไปได้เลย เพราะเราสามารถเลือกทานเฉพาะไข่ขาวได้ ซึ่งพบว่าโปรตีนจากไข่ขาวก็มีอัลบูมินอยู่มากถึง 50% เช่นกัน

และนอกจาก albumin จะเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว การทานอัลบูมินก็สามารถบรรเทาอาการของโรคตับและโรคมะเร็งตับได้อย่างดีเยี่ยม จึงถือเป็นโปรตีนที่มีความจำเป็นต่อผู้ที่ป่วยด้วยมะเร็งตับและโรคตับเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการรักษาอาการบวมน้ำของผู้ป่วยให้ดีขึ้น นั่นก็เพราะโปรตีนอัลบูมินมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำนั่นเอง อัลบูมินจากไข่ในผู้ป่วยที่ทานไข่ แนะนำให้ทานเฉพาะไข่ขาววันละ 2 ฟอง เท่านี้ก็จะช่วยบรรเทาอาการป่วยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กรดอะมิโนและอัลบูมินที่พบในไข่ขาว ก็สามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอภายในร่างกาย รวมถึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ป่วยได้ดีเช่นกัน แถมยังมีกรดอะมิโนซิสตีน ที่จะช่วยลดการเกิดอาการข้างเคียงจากการฉายแสงและการทำคีโมในผู้ป่วยมะเร็งได้อีกด้วย

กรดอะมิโนที่พบในไข่ขาว

  • ไลซีน ( Lysine ) ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสร้างเอ็นไซม์ต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ทริพโตเฟน ( Tryptophan ) ช่วยแก้ปัญหาในคนที่นอนไม่หลับได้อย่างดีเยี่ยม โดยจะช่วยให้ร่างกายมีการปรับตัวเข้ากับเวลานอนได้ดียิ่งขึ้น
  • ฮิสทิดีน ( Histidine ) ตัวช่วยที่จะเสริมการทำงานของระบบประสาทให้ดียิ่งขึ้น
  • ฟีนิลแอลานีน ( Phenylalanine ) ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียดและสร้างความสุขได้ดี
  • ลิวซีน ( Leucine ) กระตุ้นการหลั่ง Growth Hormone และช่วยให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
  • ไอโซลิวซีน ( Isoleucine ) ทำหน้าที่ในการรักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะเมื่อกล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บ
  • ทรีโอนีน ( Threonine ) ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และทำให้ระบบการทำงานของลำไส้ การดูดซึมสารอาหารและระบบการย่อยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เมไทโอนีน ( Methionine ) จะทำหน้าที่ในการลดการสะสมของไขมันตับ
  • ซิสตีน ( Cystine ) จะทำหน้าที่ในการลดการเกิดอาการข้างเคียงจากการฉายรังสีและทำคีโม รวมถึงลดการสะสมขอจุดด่างดำ พร้อมทั้งดูแลสุขภาพผลให้แข็งแรงไม่หลุดร่วงได้ง่าย
  • วาลีน ( Valine ) ทำหน้าที่ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ พร้อมช่วยรักษาสมดุลของไนโตรเจนในร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 

การตรวจ อัลบูมิน

การทำการตรวจต้องงดอาหารก่อนเจาะเลือดอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ซึ่งวัตถุประสงค์คือตรวจเพื่อทราบค่าโปรตีนในกระแสเลือดชนิด “ อัลบูมิน ” ในกรณีปนออกมากับน้ำปัสสาวะว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ และจะมีผลชี้ไปถึงสภาวะการทำงานของตับและไต ตรวจสอบว่าร่างกายได้รับโปรตีนจากอาหารในแต่ละวันที่บริโภคเพียงพอหรือไม่ หรือมีกลไกการดูดซึมอาหารผิดปกติอย่างไรบ้างหรือไม่

ค่าปกติของ Albumin อยู่ที่เท่าไหร่?

ปกติจะตรวจ 2 ค่าคือ ค่าปกติของอัลบูมิน ( Albumin ) และ โกลบูลิน ( Globulin ) ค่าปกติทั่วไป

อัลบูมิน Albumin 3.5 – 5 gm/dL
โกลบูลิน Globulin 2.3 – 3.4 gm/dL

ค่า Albumin ผิดปกติมีอะไรบ้าง?

ค่าอัลบูมินผิดปกติ คือ ค่าอัลบูมินที่ตรวจพบในเลือดมีปริมาณอัลบูมินต่ำ หรือ อัลบูมินสูงกว่าค่าปกติ

ค่า Albumin ต่ำกว่าค่าปกติ มีสาเหตุจากอะไร ?

ค่าอัลบูมิน Albumin ต่ำ มีสาเหตุ ดังนี้

เมื่อตรวจผลเลือดได้ค่าอัลบูมิน Albumin ต่ำ แพทย์มักวิเคราะห์ถึงสาเหตุได้ ดังนี้
ผู่ป่วยได้รับสารเคมีที่เป็นพิษต่อตับ หรือมีโรคมะเร็งตับระยะแพร่กระจาย
ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
โรคเกี่ยวกับตับ ซึ่งทำตับให้ผลิตสารอัลบูมินได้น้อยลง
โรคตับอักเสบ ( Hepatitis ) เช่น มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี
โรคตับแข็ง ( Cirrhosis ) เช่น จากพิษสุราเรื้อรัง
ร่างกายขาดโปรตีน ทำให้ผลิตอัลบูมินไม่ได้
อาจมีโรคลำไส้อักเสบร่วมด้วย
อาจเกิดการรั่วของโปรตีนผ่านทางการปัสสาวะ
อาจเป็นโรคไต

 

ค่า Albumin สูงกว่าค่าปกติ

  • ค่าอัลบูมินผิดปกติเพราะได้รับโปรตีนในปริมาณมากเกินไป     [adinserter name=”โภชนาการสำคัญที่ควรรู้”
  • ค่าอัลบูมินผิดปกติเพราะร่างกายเกิดสภาวะการขาดน้ำ ( Dehydration )
  • ค่าอัลบูมินผิดปกติเพราะอาจเป็นโรคมะเร็งไขกระดูก ( Multiple Myeloma )

จะเห็นได้ว่า การตรวจค่าอัลบูมินทำให้เราทราบถึงความผิดปกติของร่างกายและรวมไปถึงการวิเคราะห์โรคได้ จึงควรใส่ใจและรักษาระดับอัลบูมินให้อยู่ในระดับปกติเสมอ เริ่มจากการเลือกรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ และอาหารที่ สามารถหาได้ง่ายคือ ไข่ นอกจากไข่มีประโยชน์แล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของสารอัลบูมินในปริมาณมาก เราจึงควรรับประทานไข่ ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่รัฐบาลรณรงค์ให้คนไทยกินไข่ให้ได้ 300 ฟองต่อปี เพื่อสุขภาพที่ดีอีกด้วย ดังนั้นเรามากินไข่เพิ่มอัลบูมินกันเถอะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Kashima, A.; Mochizuki, S.; Noda, M.; Kobayashi, K. (1 June 1999). “Crystal structure of human serum albumin at 2.5 A resolution”. Protein Engineering Design and Selection. 

He, Xiao Min; Carter, Daniel C. (16 July 1992). “Atomic structure and chemistry of human serum albumin”. Nature. 

Haefliger, Denise Nardelli; Moskaitis, John E.; Schoenberg, Daniel R.; Wahli, Walter (October 1989). “Amphibian albumins as members of the albumin, alpha-fetoprotein, vitamin D-binding protein multigene family”. Journal of Molecular Evolution.

การกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่?

0
การกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่?
การกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่
การกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่?
ไข่ 1 ฟองมีปริมาณคอเลสเตอรอลประมาณ 185 มิลลิกรัม การกินไข่วันละฟองย่อมไม่ผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด

คอเลสเตอรอลในไข่

คอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) สูงหลังการกิน ไข่ เป็นความจริงหรือไม่? ไข่วันละฟอง กินไข่วันละฟอง เป็นสโลแกนที่ร้านสะดวกซื้อใช้ในการโฆษณาขายไข่ที่มีจำหน่ายอยู่ในร้าน ทำไมบางคนบอกว่าการกินไข่จะทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น แล้ว การกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่ เราสามารถกินไข่ได้โดยที่คอเลสเตอรอลไม่ขึ้นจริงหรือ เป็นคำถามที่คาใจใครหลายคนแน่นอน สาเหตุที่มีคนกล่าวว่าเมื่อกินไข่แล้วจะทำให้คอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น

เนื่องจากช่วงเวลาหนึ่งเรานิยมบริโภค ไข่ เป็นอาหารเช้าโดยการรับ ประทานคู่กับเบคอนและไส้กรอก ซึ่งหลังจากช่วงนั้นไม่นาน ผู้คนส่วนใหญ่ก็ตรวจพบว่ามีคอเรสเตอรอลสูง ทำให้เกิดความเข้าใจว่าการรับประทานไข่ทุกวันนั้น ทำให้เกิดคอเรสเตอรอลสูงนั้นเอง

ก่อนที่เราจะมาสรุปกันว่า การกินไข่ทำให้ คอเลสเตอรอล สูงใช่หรือไม่นั้น เรามาทราบถึงการเกิดคอเลสเตอรอลในร่างกายกันก่อน

คอเลสเตอรอล สูงจากการกินไข่ไม่จริง คอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในร่างกายคนเรานั้นเป็นคอเลสเตอรอลที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมาเองเกือบทั้งหมด ส่วนคอเลสเตอรอลที่มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับที่ร่างกายสร้างขึ้นมา

คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาตามกลไกตามธรรมชาติ เพราะว่าคอเลสเตอรอลนั้นเป็นส่วนประกอบของเซลล์ร่างกาย เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนและยังเป็นตัวช่วยในการดูดซึมวิตามินบางชนิดเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย

จะเห็นว่า คอเลสเตอรอล นั้นมีความจำเป็นต่อร่างกายมาก ร่างกายจึงต้องทำการสังเคราะห์ขึ้นมาเอง เพราะว่าถ้าต้องนำมาจากภายนอกนั้นก็คงไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นแน่ แต่ว่าการที่มีคนบอกว่าการกินไข่นั้นทำให้คอเลสเตอรอลสูง ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของคนแต่ละคนด้วย 

คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาตามกลไกตามธรรมชาติ

เนื่องจาก ไข่ 1 ฟองมีปริมาณ คอเลสเตอรอล ประมาณ 185 มิลลิกรัม ร่างกายคนเราในสภาวะปกติสามารถรับคอเลสเตอรอลจากอาหารได้วันละ 300 มิลลิกรัม เมื่อเทียบดูแล้วจะเห็นว่าต้องรับประทานไข่ 2 ฟองระดับคอเลสเตอรอลที่ได้รับจึงจะเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นการกินไข่วันละฟองย่อมไม่ผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือผู้ป่วยที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้สามารถบริโภคอาหารที่มีคอเรสเตอรอลได้ไม่เกิน  200 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น

แต่อย่าลืมว่านี่เป็นผลรวมของ คอเลสเตอรอล สูงไม่ได้มาจาก ไข่ แต่มาจากการที่รับประทานเข้าไปทั้งหมด แล้วในหนึ่งวันคุณรับประทานอาหารกี่อย่าง อาหารแต่ละอย่างมีคอเลสเตอรอลเท่าไหร่? เวลาที่คิดปริมาณคอเลสเตอรอลที่รับประทานเข้าไปคุณต้องคิดรวมทุกอย่างด้วย ไม่ใช่ว่าคอเลสเตอรอลจะมาจากไข่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ในหนึ่งวันเรารับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลรวมเท่ากับที่ร่างกายต้องการแล้ว แต่ยังรับประทานไข่เพิ่มเข้าไปอีก แสดงว่าคอเลสเตอรอลจากไข่นั้นเป็นคอเลสเตอรอลส่วนเกิน ร่างกายจึงได้รับคอเลสเตอรอลสูงกว่าที่กำหนดไว้ ดังนั้นการคำนวณคอเลสเตรอลที่เรารับประทานเข้าไปก็ต้องรวมคอเลสเตอรอลจากทุกแหล่งที่ได้รับด้วย เราจึงได้ข้อคิดว่าการกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงใช่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพและปริมาณที่บริโภคต่อหนึ่งวันนั้นเอง

สำหรับคนที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักแล้ว การรับประทาน ไข่ เป็นอาหารหลักทดแทนการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง อย่าง แป้ง ขนมปัง ข้าวขาว ถือเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะว่าในไข่นอกจากจะมี คอเลสเตอรอล แล้ว ยังให้พลังงานต่อร่างกาย ไข่หนึ่งฟองให้พลังงานเพียง 70 กิโลแคลอรี  ดังนั้นในหนึ่งมื้อเราทานไข่เพียงหนึ่งฟองกับผักและผลไม้แล้ว เราได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่พลังงานที่ได้รับน้อยลง เมื่อร่างกายต้องการใช้พลังงานก็ต้องดึงไขมันในร่างกายมาใช้ทำให้น้ำหนักเราลดลงได้ นอกจากนั้นไข่ยังประกอบด้วยโปรตีน กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างกรดโฟลิคและโคลีน ( Choline ) ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญในการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นไข่ยังมีแคโรทีนอยด์ในปริมาณที่สูง แคโรทีนอยด์เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา จากที่กล่าวมาจะพบว่าไข่จัดเป็นอาหารที่สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย แต่การรับประทานไข่นั้นก็ข้อปฏิบัติดังนี้

1.รับประทานไข่ได้วันละไม่เกิน 1 ฟอง รวมแล้วสัปดาห์ละไม่เกิน 5 ฟองเท่านั้น

2.อย่าคิดว่าคอเลลสเตอรอลที่ได้รับมาจากไข่ทั้งหมด ต้องนับรวมคอเลสเตอรอลจากอาหารอย่างอื่นด้วย โดยนับรวมแล้วคอเลสเตอรอลต้องไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับคนปกติ และไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้มีความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

3.ถ้าคุณเป็นคนที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับ คอเลสเตอรอล แล้ว สามารถรับประทานไข่ขาวได้ แต่ไม่ควรกินไข่แดง

4.ถ้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับการกินไข่ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ก่อนการกิน ไข่

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Hardisty, M. W., and Potter, I. C. (1971). The Biology of Lampreys 1st ed. (Academic Press Inc.).

Leonard J. V. Compagno (1984). Sharks of the World: An annotated and illustrated catalogue of shark species known to date. Food and Agriculture Organization of the United Nations.

Gorbman, A. (June 1997). “Hagfish Development”. Zoological Journal. 14. 

ขอบคุณคลิปดี ๆ มีสาระจาก หมอปุ้ม พญ. สิรนาถ.

อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเลือดจาง

0
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเลือดจาง
ผู้เป็นโลหิตจางเกิดจากร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเลือดจาง
ผู้เป็นโลหิตจางเกิดจากร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ

ผู้ป่วยเลือดจาง

สำหรับ ผู้ป่วยเลือดจาง หรือภาวะที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงงน้อยกว่าปกติ สามารถรักษาอาการให้ดีขึ้นได้ไม่ยาก โดยการเสริมด้วยอาหารเพิ่มเกล็ดเลือด เช่น ธาตุเหล็ก กรดโฟลิกและวิตามินบี 12 ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงเลือดได้ดีนั่นเอง โดยภาวะเลือดจางนี้ในทางการแพทย์จะเรียกว่า ระดับค่าฮีโมโกลบินต่ำ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ชายจะต้องมีฮีโมโกลบินไม่ต่ำกว่า 13  กรัมต่อเดซิลิตรและผู้หญิงจะต้องมีฮีโมโกลบินไม่ต่ำกว่า 12 กรัมต่อเดซิลิตรนั่นเอง ดังนั้นหากพบความผิดปกติจึงต้องรีบทำการรักษาโดยด่วน

โดยฮีโมโกลบิน เป็นสารสำคัญในเม็ดเลือดแดง ที่ประกอบไปด้วยโปรตีนที่เรียกว่าโลกบิน ( Globin ) 94% และฮีม ( Heme)  6% ซึ่งหากลองวัดค่าความเข้มข้นดูจะพบว่า ผู้ชายที่เป็น โรคโลหิตจาง จะต้องมีค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 39% และผู้หญิงจะต้องมีค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 36%

ฮีโมโกลบิน เกิดจากอะไร?

ฮีโมโกลบิน เกิดจากการสร้างขึ้นโดยไขกระดูก ซึ่งจะเป็นส่วนประกอบ 97% และน้ำ 3% โดยหน้าที่ของฮีโมโกลบินก็จะทำการจับออกซิเจนและนำออกซิเจนเหล่านี้ผ่านไปยังอวัยวะและเซลล์ กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงใช้เพื่อทำปฏิกิริยาเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานอีกด้วย ดังนั้นเมื่อร่างกายอยู่ใน ภาวะเลือดจาง หรือมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ จึงมักจะส่งผลให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายแย่ลงไปด้วย โดยสังเกตได้จาก ผิวที่ซีดเหลืองกว่าปกติ ร่างกายมีความอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายและรู้สึกไม่ค่อยมีแรง มักจะหน้ามืดวิงเวียนศีรษะบ่อยๆ และในบางคนที่เข้าขั้นรุนแรงก็อาจเป็นลมหมดสติได้

การเกิดโรคโลหิตจางนั้น มักจะเกิดจากการที่ร่างกายต้องสูญเสียเลือดมากเกินไป เช่น ที่ระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย โดยภาวะเลือดออกที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และการทานยาบางชนิดที่ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร เช่นกัน

นอกจากนี้ก็อาจรวมถึงการมีพยาธิภายในร่างกายที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออกในอวัยวะต่างๆ ภายในได้อีกด้วย
และนอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว โรคเลือดจาง ก็อาจจะเกิดจากการขาดสารอาหารบางชนิดได้อีกด้วย โดยเฉพาะกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และธาตุเหล็ก ซึ่งสาเหตุดังกล่าวมักจะพบได้จากผู้ที่ทานอาหารไม่เหมาะสม ไม่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ และที่พบได้มากที่สุดก็คือในผู้สูงอายุนั่นเอง เนื่องจากวัยนี้มักจะมีอาการเบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อยลง และชอบเลือกทานอาหารบางชนิดเท่านั้น จึงทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่สำคัญไปจนทำให้เกิดภาวะเลือดจางได้นั่นเอง

ผู้เป็นโลหิตจางเกิดจากร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ

การรักษาอาการของ โรคเลือดจาง

สำหรับการรักษาและบรรเทาอาการของผู้ป่วยเลือดจางให้ดีขึ้น จะต้องใช้วิธีการโภชนาการบำบัด คือทานอาหารที่เพิ่มเกล็ดเลือดหรือสร้างเม็ดเลือดเป็นหลักนั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็น โรคเลือดจาง จากการป่วยด้วยโรคเรื้อรังบางชนิด เช่นโรคไต โรคตับ ข้ออักเสบและบุคคลที่ต้องฟอกไตเป็นประจำ มักจะมีอาการของโรคเลือดจางที่รุนแรงมากกว่าคนทั่วไป แถมยังมีระดับของเม็ดเลือดแดงที่ลดต่ำอย่างต่อเนื่อง นั่นก็เพราะร่างกายได้ขาดฮอร์โมนที่ชื่อว่าอีริโทรโพอิติน ( Erythropoietin หรือ EPO ) โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้ไขสันหลังสร้างเม็ดเลือดแดงออกมามากขึ้น ซึ่งเมื่อฮอร์โมนต่ำลงหรือขาดไป ก็จะทำให้เม็ดเลือดแดงถูกสร้างออกมาน้อยกว่าปกตินั่นเอง

ส่วนผู้ที่ป่วยด้วย โรคโลหิตจาง หรือเรียกง่ายๆ ว่า โรคเลือดจาง นั่นเอง จากเม็ดเลือดแดงแตก เป็นเพราะเม็ดเลือดแดงแตกง่ายกว่าปกติ และไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงเข้ามาแทนที่ได้ทัน จึงทำให้เม็ดเลือดไม่พอและมีภาวะโลหิตจางได้ โดยสำหรับสาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายนั้นก็อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ และผลจากโรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคไขกระดูกเสื่อมและโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

สำหรับอาหารที่จะช่วยในการเพิ่มเม็ดเลือดแดงให้สูงขึ้นได้ ก็คืออาหารที่มีธาตุเหล็กสูงนั่นเอง เช่น ตับ เนื้อสัตว์ เลือด โดยเฉพาะธาตุเหล็กที่อยู่ในรูปของสารประกอบฮีม เพราะร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่าย เช่น ธัญพืช ผักใบเขียวเข้ม ผักบุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง ไข่ แป้ง เป็นต้น และสำหรับธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม แนะนำให้ทานร่วมกับวิตามินซี เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมได้ดีกว่านั่นเอง เช่น ฝรั่ง ส้ม เป็นต้น นอกจากนี้ก็จะมีพวกข้าวเสริมธาตุเหล็ก เช่น ข้าวสายพันธุ์ 313 และข้าวหอมนิลอีกด้วย โดยเป็นข้าวที่ประกอบไปด้วยธาตุเหล็กและโฟลิกสูง จึงสามารถเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดีทีเดียว

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Burka, Edward (1969). “Characteristics of RNA degradation in the erythroid cell”. The Journal of Clinical Investigation. 150.

“Hemoglobin Tutorial.” University of Massachusetts Amherst. Web. 23 Oct. 2009.

Steinberg, MH (2001). Disorders of Hemoglobin: Genetics, Pathophysiology, and Clinical Management. Cambridge University Press. 

Van Kessel et al. (2003) “2.4 Proteins – Natural Polyamides.” Chemistry 12. Toronto: Nelson.

สารให้รสหวานแทนน้ำตาล

0
สารให้รสหวานแทนน้ำตาล
หญ้าหวานเป็นพืชที่ให้รถหวานตามธรรมชาติต้นคล้ายกระเพาหรือต้นแมงลัก ให้ความหวาน10-15 เท่า แต่ไม่มีแคลอรี
สารให้รสหวานแทนน้ำตาล
น้ำผึ้งมีสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่เรียกว่าฟรักโทสซึ่งร่างกายสามารถน้ำไปใช้ได้ทันที

สารให้ความหวาน

ถ้าพูดถึงโรคเบาหวานในปัจจุบันทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักหลายๆ คนต่างให้ความสนในเรื่องของการดูแลสุขภาพตนเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการบริโภคน้ำตาล เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป และไม่ได้ใช้พลังงานที่ได้รับออกไปให้หมด  น้ำตาลนั้นก็จะทำการเปลี่ยนตัวเองเป็นรูปของไขมันไปสะสมอยู่ในร่างกาย จนเป็นต้นเหตุของโรคร้ายต่างๆ ได้ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิต โรคหัวใจ และรวมถึงโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดอีกด้วย หลายคนจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงการบริโภคน้ำตาล โดยหันมาบริโภค สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลจริงอย่าง น้ำตาลทรายหรือน้ำตาลซูโครส เนื่องจากน้ำตาลจริงจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วมาก ซึ่งน้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานจะมีการดูดซึมเข้าร่างกายโดยใช้เวลานานกว่านั้นเอง

สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียม สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายโดยใช้เวลานาน

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือ น้ำตาลเทียม

เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยจะให้รสหวานแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ และไม่ก่อให้เกิดพลังงานนิยมนำมาใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ทานน้ำตาลจริงไม่ได้เป็นสารที่นิยมนำมาใช้ในทางการแพทย์ นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารสำหรับผู้เป็นโรคอ้วนหรือต้องการควบคุมปริมาณน้ำหนักและยังใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร เพื่อลดต้นทุนการผลิต หรือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้อีกด้วย สารให้ความหวานหรือน้ำตาลเทียมมีด้วยกันมากมายหลากหลายชนิด ดังต่อไปนี้

1.ขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน

แซ็กคาริน หรือที่คนไทยมักรู้จักกันในชื่อของ ขัณฑสกร เป็นสารสังเคราะห์ ที่ ให้ความหวานแทนน้ำตาล ชนิดหนึ่ง ถูกสังเคราะห์ขึ้นในปี ค.ศ. 1879 เป็นผงผลึกสีขาว ทนต่อความร้อนและละลายในน้ำได้ดีไม่มีพลังงาน  นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมานานหลายปีแล้ว มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 500 เท่า แต่ที่มีขายจะอยู่ในรูปของแซ็กคารินโซเดียม จะให้รสหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 375 เท่า เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ขัณฑสกรหรือแซ็กคารินจะค่อยๆถูกดูดซึมเข้าร่างกายอย่างช้าๆ และหลังจากนั้นจึงจะถูกขับออกมาในรูปของปัสสาวะ โดยจะมีสภาพเดิมประมาณ 95% ภายในระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 

แต่จากการทดลอง สารขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน ที่ใช้ทดสอบกับสัตว์ทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า สัตว์ทดลองเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะจากการให้ทานสารขัณฑสกรหรือแซ็กคารินเข้าไป แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลใดๆที่บ่งบอกว่าพบได้ในคนจากข้อมูลดังกล่าว หลายฝ่ายก็เกิดความวิตกกังวลที่จะนำ แซ็กคารินมาใช้ในการบริโภค แต่ทั้งนี้สมาคมแพทย์สหรัฐอเมริกาเองก็ยังคงสนับสนุนการใช้แซ็กคารินต่อไปโดยให้เหตุผลว่าจนถึงปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าแซ็กคารินจะเพิ่มโอกาสของการเกิดมะเร็งในคนได้ แต่การใช้ แซ็กคาริน ก็มีข้อที่ควรระมัดระวังคือ สำหรับสตรีมีครรภ์หรือในเด็ก ไม่ควรใช้สารแซ็กคาริน เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ เมื่อนำมาใช้กับคนนั้นเองเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง

สำหรับในประเทศไทย มีการนำสารขัณฑสกรหรือแซ็กคารินเข้ามาใช้กันอย่างมากมาย แต่ก็มีการควบคุมไม่ให้ใช้กับผลิตภัณฑ์บางชนิด เช่น อาหารเด็ก น้ำหวาน น้ำอัดลม แต่สามารถใช้ได้กับอาหารบางชนิดที่ผลิตขึ้นสำหรับคนบางกลุ่ม  เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน โดยอาหารชนิดนั้นต้องมีรายละเอียดและคำเตือนระบุไว้ที่ฉลากให้ผู้บริโภคทราบด้วย

2.ไซคลาเมต

ไซลาเมต ( Cyclamate ) คือเกลือของกรดไซคลามิกมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว คุณสมบัติทนความร้อนได้ เก็บได้ในระยะเวลานาน เป็นสารที่ให้ความหวานที่ได้รับความนิยมรองมาจาก สารขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน แต่ก็มีความอันตรายมากกว่าไซลาเมตมีความมากว่าน้ำตาลจริงประมาณ 30 เท่า เป็น สารให้ความหวาน ชนิดที่ได้รับความนิยม อย่างมากในอดีต แต่ก็ถูกยังบังคบให้เลิกจำหน่ายในปี ค.ศ. 1970 จาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) เนื่องจากพบข้อมูลจากการทดสอบว่า ทำให้หนูที่นำไปทดลองกับการให้ไซลาเมต แล้วพบว่าเกิดมะเร็งขึ้นในหนูที่ทดลองนั้นเอง

3.แอสพาร์เทม

แอสพาร์เทม เป็น สารให้ความหวาน อีกชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ละเอียด ไม่มีกลิ่น มีชื่อเรียกในการค้ามากมาย เช่น อิควลฟิทเนสพอลสวิทสลิมม่า เป็นต้นแอสพาร์เทมถูกนำมาวางจำหน่ายในตลาดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1965 ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 2 ตัวจับกัน คือ กรดแอสพาร์ติก และกรดเฟนิลอะลานีน ให้พลังงานเท่ากับ 4 กิโลแคลอรี/กรัม เท่ากับพลังงานที่ได้จากน้ำตาลทราย แต่จะดูดซึมเข้าร่างกายได้ช้ากว่าแอสพาร์เทมมีความหวานเป็น 200 เท่าของน้ำตาลทราย ปริมาณในการใช้แต่ละครั้งจึงน้อยกว่าน้ำตาลทรายจึงทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่น้อยกว่าการใช้น้ำตาลทราย โดย แอสพาร์เทม 1 ซอง ( ประมาณ 38 มิลลิกรัม ) จะให้ความหวานเทียบเท่ากับน้ำตาลทราย 2 ช้อนชา ข้อดีอีกอย่างของแอสพาร์เทม คือ รสหวานของสารมีความใกล้เคียงกับน้ำตาลจริงมาก และไม่มีรสขมซึ่งต่างจากแซ็กคาริน และหากใช้ผสมร่วมกันระหว่างแอสพาร์เทมและแซ็กคาริน ความหวานที่ได้รับจะมากว่าการใช้เพียงแค่ชนิดใดชนิดหนึ่งในสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลหลายๆชนิด  

แอสพาร์เทม เป็นชนิดที่ได้รับการทดสอบด้านความปลอดภัยมากที่สุด ก่อนที่จะมีการให้นำไปจำหน่ายจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา เนื่องจาก สารให้ความหวาน ชนิดก่อนหน้านี้ยังคงไม่ได้รับความไว้วางใจในเรื่องความปลอดภัยต่อคนนั้นเองการใช้ปริมาณของ แอสพาร์เทม ที่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัยคือ ประมาณวันละไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักตัวเท่ากับ 70 กิโลกรัม จะสามารถใช้แอสพาร์เทมได้วันละ 3,500 มิลลิกรัม ( ประมาณ 90 ซอง ) ซึ่งหากมองในความเป็นจริงแล้วก็คงไม่มีใครใช้ในปริมาณเกินที่ตั้งไว้แน่นอน แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้งานคือ ในกลุ่มของเด็กเล็ก และ กลุ่มผู้ที่เป็นโรคเฟนิลคีโทนยูเรีย นั้นไม่ควรใช้แอสพาร์เทม เนื่องจากจะขาดเอนไซม์ที่จะทำหน้าที่ขจัดเฟนิลอะลานีนออกจากร่างกาย และหากยิ่งได้รับเฟนิลอะลานีนเพิ่มจาการแตกตัวของแอสพาร์เทมเข้าไปอีก ก็จะทำให้ระดับเฟนิลอะลานีนในเลือดสูงกว่าปกติ มีผลต่อระบบสมอง อาจทำให้ปัญญาอ่อนได้ นอกจากนี้ แอสพาร์เทม ยังมีข้อเสียคือเป็นสารที่ไม่ทนต่อความร้อน จึงใช้ในขณะหุงต้มประกอบอาหารไม่ได้ เพราะความร้อนจะทำให้ความหวานจากสารละเหยหมดไป ดังนั้นจึงควรเติมแอสพาร์เทมหลังจากประกอบอาหารเสร็จหรือเย็นตัวแล้วเท่านั้น

4.อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม

อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม ( Acesulfame Potassium ) หรือชื่อที่เรียกในทางการค้าคือ ซูเนตต์  Sunett เป็นเกลือของสารประกอบที่ให้ความหวาน ถูกค้นพบขึ้นในปี ค.ศ.1967 และเริ่มได้รับความนิยมใช้มากในแถบซีกโลกตะวันตกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983  เป็นต้นมา เนื่องจากเป็นสารประกอบให้ความหวาน ที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกว่ามีความปลอดภัยในการนำมาใช้งาน

อะเซซัลเฟมโพแทสเซียมจะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลประมาณ 200 เท่า แต่ไม่มีผลต่อระดับอินซูลินหรือน้ำตาลในเลือดแต่อย่างใด สามารถถูกขับออกจากร่างกายในสภาพเดิมทางปัสสาวะ เป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดฟันผุเหมือนน้ำตาลจริงเนื่องจากแบคทีเรียในช่องปากไม่สามารถย่อยสารชนิดนี้ได้ และยังช่วยคงระดับของน้ำหนักตัวเนื่องจากเป็นสารที่ไม่ให้พลังงาน จึงถูกนำมาใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน ด้วย สามารถใช้การปรุงอาหารได้ เนื่องจากเป็นสารที่ทนต่อความร้อน

อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม เป็น สารให้ความหวาน ที่มีรสชาติดีกว่าสารให้ความหวานชนิดอื่นๆ เนื่องจากไม่มีรสขม เมื่อนำอะเซซัลเฟมโพแทสเซียมมาผสมกับสารให้ความหวานชนิดอื่นๆ เช่น แอสพาร์เทมจะให้รสชาติที่ใกล้เคียงกับน้ำตาลทราย  นอกจากนี้ในน้ำอัดลมบางชนิด ที่เป็นแบบให้พลังงานน้อยหรือมีการโฆษณาว่า 0 แคลลอรี่ จะมีการใช้ อะเซซัลเฟมโพแทสเซียมกับแอสพาร์เทม เป็นส่วนผสมแทนการใช้น้ำตาลจริงเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค 

ในแง่ของความปลอดภัย แม้ว่าสารประกอบที่อยู่ในอะเซซัลเฟมโพแทสเซียมจะมีกำมะถัน เป็นองค์ประกอบหลัก แต่ก็ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้กับผู้ที่ใช้งานแต่อย่างใด แตกต่างจากสารประกอบกำมะถันของซัลไฟต์และยาซัลฟาที่มักก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ จึงทำให้ อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม เป็นสารให้ความหวานที่มีความปลอดภัยสูง จากหลักฐานทางการทดสอบกว่า 90  ฉบับด้วยกันและยังไม่มีรายงานการพบอาการเกี่ยวมะเร็งในสัตว์ทดสอบเหมือนการทดลองในสารให้ความหวานชนิดอื่นๆอีกด้วย

การใช้ สารให้ความหวาน อย่างอะเซซัลเฟมโพแทสเซียมมีข้อแนะนำในการใช้ คือ ไม่ควรบริโภคเกิน 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ดังนั้นหากผู้บริโภคมีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ก็สามารถบริโภคอะเซซันเฟมโพแทสเซียมได้วันละ 900 มิลลิกรัม (เท่ากับ 0.9 กรัม) ซึ่งสามารถเทียบได้กับปริมาณของน้ำตาลจริงถึง 200 กรัม เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลประมาณ 7.5 ลิตร  เลยทีเดียว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ปกติถึงแม้จะบริโภคอะเซซันเฟมโพแทสเซียมในทุกมื้อและใส่ในอาหารทุกชนิด ก็จะได้รับอะเซซันเฟมโพแทสเซียม สูงสุดอยู่ที่วันละ 3.8 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเท่านั้นซึ่งยังต่ำกว่าระดับปลอดภัยที่กำหนดไว้มาก ส่วนข้อควรระวังในการใช้คือ เด็กหรือผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ควรที่จะหลีกเลี่ยงสารตัวนี้จะดีที่สุด ยกเว้นได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนเท่านั้น

5.น้ำผึ้งและน้ำตาลฟรักโทส

ฟรักโทส คือ น้ำตาลที่มีโมเลกุลเดี่ยว ( โมโนแซ็กคาไรด์ ) พบได้ในน้ำผึ้งและผลไม้ชนิดต่างๆ สารให้ความหวาน ชนิดนี้จะต่างจากประเภทอื่นๆที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เนื่องจากเป็นสารให้ความหวานที่ได้มาจากธรรมชาติ

น้ำผึ้ง มีความหวานจากการประกอบกันของน้ำตาลหลายชนิด เช่น น้ำตาลฟรักโทส ประมาณ 40%  น้ำตาลกลูโคส ประมาณ 35%  และน้ำตาลซูโครสหรือน้ำตาลทราย  ประมาณ 10% และหากเทียบกัน ความหวานในน้ำผึ้งจะอยู่ที่ประมาณ 75 % ของน้ำตาลทราย

น้ำตาลฟรักโทส เป็นน้ำตาลประเภทที่ร่างกายสามารถใช้เป็นพลังงานได้ โดยไม่ต้องอาศัยอินซูลินในการนำเข้าสู่เซลล์ ดังนั้นผู้ที่ทานน้ำตาลประเภทนี้  จะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นทันทีทันใดเหมือนกับการทานน้ำตาลประเภทกลูโคส น้ำตาลทรายหรือแป้งแต่ทั้งนี้ น้ำตาลประเภทฟรักโทสมีกลไกการเผาผลาญที่แตกต่างจากน้ำตาลกลูโคส ตรงที่สามารถเผาผลาญได้เฉพาะที่ตับและยังไปกระตุ้นการสร้างไขมันทั้งที่ตับและในเส้นเลือด ส่งผลให้ผู้ที่บริโภคฟรักโทส มากเกินไป อาจจะมีระดับไขมันไม่ดีอย่าง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และยังมีไขมันเกาะตับมากขึ้นด้วย

ข้อแนะนำในการทานฟรักโทสและน้ำผึ้ง คือ หากเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี สามารถทานน้ำผึ้งได้ปริมาณที่จำกัดไม่เกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน และต้องคอยนับหรือควบคุมปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับต่อวันด้วย ซึ่งน้ำผึ้ง1 ช้อนโต๊ะจะให้พลังงานสูงถึง 72 กิโลแคลอรี เลยทีเดียว ส่วนน้ำตาลฟรักโทสที่พบได้ในผลไม้ต่างๆ จะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี/กรัม เช่นเดียวกับน้ำตาลทรายและกลูโคส แต่ฟรักโทสเป็นน้ำตาลที่บริสุทธิ์และมีประโยชน์กว่าน้ำตาลทรายธรรมมากถึง 2 เท่า ปริมาณที่ใช้ในอาหารแต่ละอย่างจึงน้อยกว่า  สมาคมโภชนาการของสหรัฐอเมริกาได้ให้คำแนะนำของการทานน้ำตาลในกลุ่มของฟรักโทสว่า ควรทานฟรักโทสที่มาจากผลไม้มากว่าการทานจากน้ำผึ้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานหากต้องการทานฟรักโทส ต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงและไม่เป็นโรคอ้วน และต้องทานในปริมาณที่เหมาะสมพอควร

จะเห็นได้ว่ามี สารให้ความหวาน มากมายหลายชนิด ที่สามารถใช้ประกอบอาหารให้รสหวานแทนน้ำตาลได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ไม่ว่าสารที่นำมาใช้จะเป็นชนิดใดก็แล้วแต่ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆให้ดีเสียก่อน หากไม่แน่ใจว่าจะมีผลอันตรายต่อตนเองหรือไม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุด นอกจากนี้ยังควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป และหากเลี่ยงได้ควรทานอาหารที่มีรสชาติปกติ ไม่หวานจนเกินไปก็จะดีต่อร่างกายในระยะยาวมากที่สุดนั้นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

“High-Intensity Sweeteners”. U.S. Food and Drug Administration. 19 May 2014. Retrieved 17 September 2014.

“Unique Sweetener Supports Oral health”. vrp.com.
Mela, D. (ed.). (2005). Food, diet and obesity. Cambridge, England: Woodhead Publishing Limited.

Coultate, T. (2009). Food: The chemistry of its components. Cambridge, UK: The Royal Society of chemistry

“Generally Recognized as Safe (GRAS)”. U.S. Food and Drug Administration. 14 July 2014. Retrieved 17 September 2014.”Generally Recognized as Safe (GRAS)”. fda.gov.

วิตามินบี 12 ( Cobalamin ) คืออะไร มีคุณสมบัติและหน้าที่อะไรบ้าง

0
วิตามินบี 12 (Cobalamin) คืออะไร มีคุณสมบัติและหน้าที่อะไรบ้าง
วิตามินบีสิบสองจะพบในอาหารที่มาจากสัตว์ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงระการทำงานของระบบประสาท
วิตามินบี 12 (Cobalamin) คืออะไร มีคุณสมบัติและหน้าที่อะไรบ้าง
วิตามินบีสิบสองจะพบในอาหารที่มาจากสัตว์ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงระการทำงานของระบบประสาท

วิตามินบี 12 คืออะไร ทำไมต้องกินวิตามิน B12

วิตามินบี 12 ( Vitamin B12 ) หรือ Cobalamin คือ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติในอาหารบางชนิด แล้วทำไมต้องกินวิตามิน B12 เนื่องจากวิตามินบี 12 มีส่วนช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง สร้างDNA ผลิตพลังงานเร่งการเผาผลาญ และช่วยในทำงานของเส้นประสาทอย่างมาก

ร่างกายควรได้รับวิตามินบี 12 ปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน

ปริมาณวิตามินบี 12 ที่แนะนำต่อวันมีความแตกต่างกันไปตามเพศ อายุ และความต้องการอาหารโดยเฉพาะผู้ขาดวิตามินบี 12 ดังนี้ ปริมาณวิตามินบี 12 สำหรับเด็ก คือ 0.5 – 1.2 ไมโครกรัม/วัน สำหรับวัยรุ่น วัยทำงาน ผู้ใหญ่ รวมถึงสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรต้องการปริมาณที่สูงขึ้น ควรได้รับวิตามินบี 12 ประมาณ 1.8-2.4 ไมโครกรัม/วัน

คุณสมบัติของวิตามินบี 12 หรือ โคบาลามิน

วิตามินบี 12 หรือ โคบาลามิน เป็นผลึกสีแดงเข้ม วิตามินบี 12 สามารถละลายได้ในน้ำและแอลกอฮอล์ ไม่ทนกรด ด่างและแสง โดยวิตตามินบี12 มีสูตรโครงสร้างสลับซับซ้อนคล้ายกับเฮโมโกลบิน จะแตกต่างกันเพียง วิตามินบี12 มีโคบอลท์อยู่ที่ 1 อะตอม แต่เฮโมโกลบินมีธาตุเหล็กอยู่ ทั้งนี้วิตามินบี12 จะแตกต่างจาก วิตามินบีตัวอื่นๆตรงที่พืชไม่สามารถสังเคราะห์เองได้

วิตามินบี 12 เมื่ออยู่ในร่างกายจะมีหลายแบบ แต่จะเรียกรวมๆกัน ว่า “ โคบาลามิน ” สำหรับตัวที่มีฤทธิ์มากจะเป็นผลึกสีแดงเข้ม ส่วนตัวที่วางขายกันในท้องตลาดและมีฤทธิ์สูงกว่าในทางยา ก็คือ  “ ไฮดรอกโซโคบาลามิน ” ( Hydroxocobalamin )

บี12 หรือ Cyanocobalamine เมื่อใช้ร่วมกับยา Chloramphenical จะทำให้ประสิทธิภาพของการรักษาภาวะโรคโลหิตจางด้วย Cyanocobalamine ด้อยลงไป ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน

กินวิตามินบี 12 ช่วยอะไรบ้าง

วิตามินบี 12 มีความสำคัญต่อกระบวนการต่างๆ ของร่างกายรวมถึง

  • มีส่วนช่วยให้การทำงานของสมองและระบบประสาทเป็นปกติ
  • การสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
  • การป้องกันภาวะโลหิตจาง
  • ช่วยสร้างและควบคุมดีเอ็นเอ (DNA)
  • ช่วยปกป้องดวงตาจากการเสื่อมสภาพของเม็ดสี
  • การสร้างพลังงานในร่างกาย

ผลข้างเคียงหลังได้รับวิตามินบี 12 ในปริมาณสูงเกินไป

หลังร่างกายได้รับวิตามินบี 12 มากเกินไป อาจทำให้รู้สึกปวดศึรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย และมีอาการชาที่มือและเท้าได้

ผลของการขาดวิตามินบี 12

ส่วนใหญ่สาเหตุของการขาดวิตามินบี12 ( Vitamin B12 ) มาจากการได้รับวิตามินไม่เพียงพอจากการทานอาหาร หรืออาจมีปัญหาในการดูดซึม หรือรับประทานยาบางชนิดที่มีผลต่อการปิดกั้นการดูซึมวิตามิน

1. การได้รับจากอาหารไม่พอ ทำให้เกิดการขาดขาดวิตามินบี12 เช่น คนที่ทานอาหารมังสวิรัติ

2. คนที่มีความผิดปกติของการดูดซึม เช่น การขาด IF การเป็นโรคท้องเสียเรื้อรัง การตัดกระเพาะอาหารบางส่วนออก หรือเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้เสื่อมทำให้มีการดูดซึมผิดปกติและถ้าขาดวิตามินบี 12 ไขกระดูกจะไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดแดงให้เจริญเต็มที่ได้ เม็ดเลือดแดงนี้ก็จะไม่ถูกแบ่งตัว จะมีลักษณะใหญ่ที่เรียกว่าเมกกะ โลบลาสท์ Megalobladst และจะถูกปล่อยเข้ามาสู่กระแสโลหิต ก็จะทำให้ความสามารถในการนำเฮโมโกลบินไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายลดลง เป็นผลให้เกิดโรคโลหิตจางชนิดเพอร์นิเซียสได้ง่าย ซึ่งโรคนี้จะมีอาการที่แสดงให้เห็นได้อย่างเด่นชัดคือ น้ำหนักลด  ผิวหนังมีสีเหลืองอ่อน คลื่นไส้ หายใจขัดข้อง ท้องอืด ลิ้นอักเสบ มีความผิดปกติของระบบประสาทและเดินไม่ตรงได้

การรักษาอาการขาดวิตามินบี12

ต้องทานวิตามินบี 12 ให้มากขึ้น เพื่อเสริมวิตามินชนิดนี้ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือให้สารทดแทนหรืออาหารเสริมวิตามินบี12 ที่มีคุณสมบัติในการเร่งหรือการบำรุงการสร้าง IF นั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“Vitamin B12”. Micronutrient Information Center, Linus Pauling Institute, Oregon State University. 2014. Retrieved February 16, 2017.

Yamada, Kazuhiro (2013). “Chapter 9. Cobalt: Its Role in Health and Disease”. In Sigel, Astrid; Sigel, Helmut; Sigel, Roland K. O. Interrelations between Essential Metal Ions and Human Diseases. Metal Ions in Life Sciences. 13. Springer. pp. 295–320.

Miller, Ariel; Korem, Maya; Almog, Ronit; Galboiz, Yanina (June 15, 2005). “Vitamin B12, demyelination, remyelination and repair in multiple sclerosis”. Journal of the Neurological Sciences. 233 (1–2)

ผักเซเลอรี่ ( Celery ) คืออะไร

0
ผักเซเลอรี่ (Celery) คืออะไร
เซเลอรี่หรือคื่นฉ่ายฝรั่งเป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ ส่วนก้านใบยังมีน้ำและเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำเป็นเส้นใยหลัก
เซเลอรี่ (Celery)
เซเลอรี่หรือคื่นฉ่ายฝรั่งเป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ ส่วนก้านใบยังมีน้ำและเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำเป็นเส้นใยหลัก

ผักเซเลอรี่ คือ

ผักเซเลอรี่ ( Celery ) หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ คือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง ขึ้นฉ่ายของฝรั่งจะมีขนาดลำต้นและก้านใบอวบใหญ่กว่าขึ้นฉ่ายจีนแต่มีลำต้นสั้นสีเขียวเหมือนกัน ในตัวก้านนั้นฉ่ำไปด้วยน้ำปริมาณสูงมีกลิ่นฉุนน้อยกว่าขึ้นฉ่ายจีน มีลักษณะใบเป็นแบบ Pinnate ในหนึ่งก้านจะมีใบประมาณ 5 -7 ใบ ก้านที่อยู่ด้านในมีขนาดเล็กและมีความกรอบ เรียกว่า “ The Heat ”

ผักเซเลอรี่ หรือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง มีลักษณะเฉพาะของคือก้านใบมีสันกว้าง โคนของก้านใบกว้าง จัดเป็นพืชที่มีแป้งและสารอาหารประเภทแป้งที่สูงมากชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการเรียกชื่อส่วนต่างๆของต้น ดังนี้ ใบเรียกว่า Riba, Shanks ก้านใบ มีชื่อเรียกว่า Bunches, Head หรือ Stalks ส่วนที่นิยมนำมาประกอบอาหารคือส่วนที่เป็นก้านใบ และ ใบ เพราะว่า ก้านใบนี้เป็นส่วนที่มีความหนากรอบน่ารับประทานที่สุดเมื่อนำมาปรุงอาหาร ส่วนใบของคื่นฉ่ายฝรั่งนั้นมีสาร Apiin ( Apigenin 7-Apiosylglucoside ) ซึ่งเป็นสารที่เป็นต้นกำเนิดของการเกิดกลิ่นและรสชาติในขึ้นฉ่ายฝรั่ง

ผักเซเลอรี่ ( Celery )หรือขึ้นฉ่ายฝรั่งเป็นผักที่ให้พลังงานต่ำ ส่วนก้านใบยังมีน้ำและเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำเป็นเส้นใยหลัก ซึ่งน้ำที่มีอยู่ในก้านใบนี้จะทำเรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้นเมื่อรับประทานเข้าไปก่อนที่จะกินอาหารมือหลักหรือรับประทานเล่นแทนขนมและของหวาน

และขึ้นฉ่ายฝรั่ง 100 กรัมนั้นให้พลังงานเพียงแค่ 13 กิโลแคลอรีเท่านั้น ผู้ที่ต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักสามารถรับประทานอาหารขึ้นฉ่ายฝรั่งได้ และเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำจะเข้าไปเพิ่มปริมาณกากใยอาหารในลำไส้ ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้นลดอาการหิวได้เป็นอย่างดี

สรรพคุณและประโยชน์ของเซเลอรี่

ผักเซเลอรี่ ยังประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้ 

แคลเซียม แคลเซียมที่ได้รับจากคื่นฉ่ายฝรั่งนั้น เป็นแคลเซียมที่เหมาะสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์และเด็กที่อยู่ในภาวะเป็นโรคกระดูกอ่อน

โพแทสเซียม ผักเซเลอรี่ นั้นมีปริมาณโพแทสเซียมสูง ที่มีฤทธิ์อ่อนในการขับปัสสาวะออกจากร่างกาย ช่วยลดอาการบวมน้ำและช่วยในให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างได้ดี โดยเฉพาะหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวขาดเลือด ช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่สมดุล โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง โดยการรับประทานขึ้นฉ่ายนี้วันละอย่างน้อย 4 ก้าน โดยการกินดิบหรือนำมาคั้นทำเป็นน้ำผักเซเลอรี่ ดื่มก็ได้เช่นกัน เมื่อรับประทานอย่างนี้ต่อเนื่องกันเป็นทุกวัน ความดันโลหิตสูงก็จะลดลงอยู่ในระดับปกติและยังช่วยในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย โดยเฉพาะกรดยูริกที่สะสมอยู่ในร่างกายที่เป็นสาเหตุของโรคเกาต์ เซเลอรี่เป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และมีเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำเป็นส่วนประกอบหลักๆ จึงทำให้รู้สึกอิ่มได้นานยิ่งขึ้น

โซเดียม ที่พบในขึ้นฉ่ายหรือผักเซเลอรี่ จัดเป็นโซเดียมอินทรีย์ทีสามารถช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดและความเป็นด่างในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายรักษาสมดุลของกรดและด่างได้ ป้องกันการเกิดโรคไต

วิตามินซี ขึ้นฉ่ายฝรั่งหรือผักเซเลอรี่ จะมีวิตามินซีสูงมากเมื่อรับประทานแบบสดๆ วิตามินซีนี้จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกาย

เบต้าแคโรทีน เบต้าแคโรทีนในขึ้นฉ่ายฝรั่งหรือ ผักเซเลอรี่ จะมีมากเมื่อนำขึ้นฉ่ายฝรั่งไปผัดกับน้ำมัน เพราะว่าน้ำมันจะเป็นกระตุ้นให้เบต้าแคโรทีนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น สารเบต้าแคโรทีนนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งรังไข่

สารโพลิฟีนอล ที่มีหน้าที่ในการป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ที่เป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ของ DNA ที่ส่งผลให้เกิดมะเร็งในร่างกาย และยังช่วยในการลดการอักเสบในร่างกายได้อีกด้วย

สารฟลาโวนอยด์ ที่ชื่อว่า เอพิจินิน ( Epigenin ) สารชนิดนี้มีคุณสมบัติในการลดปริมาณสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในเลือด ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานน้อยลง

เมื่อนำขึ้นฉ่ายหรือ ผักเซเลอรี่ มาสกัดเป็นน้ำพบว่าน้ำขึ้นฉ่าย หรือ น้ำเซเลอรี่นั้นออกฤทธิ์คล้ายกับยากล่อมประสาทที่มาจากธรรมชาติจึงไม่มีอันตรายต่อร่างกาย ทำให้นอนหลับลึกและรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจเพราะว่าน้ำขึ้นฉ่ายมีสรรพคุณในการบำรุงเลือดและหัวใจได้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันการเกิดโรคหอบหืด ช่วยล้างสารพิษตกค้างในเลือดและระบบลำไส้ ช่วยป้องกันโรคซิลิโคซิส ( Silicosis ) หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากการสูดดมฝุ่นที่มีสารซิลิกาเข้าไปเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ผักเซเลอรี่หรือขึ้นฉ่ายฝรั่งยังเป็นผักที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด รวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลชนิดไตรกลีเซอไรด์และไขมันที่สะสมอยู่ในเส้นเลือดได้อีกด้วย และผู้สูงอายุบางคนได้กล่าวว่า เวลาที่มีอาการร้อนในให้รับประทานขึ้นฉ่ายเข้าไป จะช่วยลดอาการร้อนในได้ หรือถ้ามีอาการท้องเสีย ท้องร่วง จุกท้อง กรดไหลย้อนหรือกรดเกินในกระเพาะอาหารแล้ว ให้รับประทานขึ้นฉ่ายเป็นประจำ อาการที่กล่าวมาทั้งหมดจะค่อยหายไป

จะพบว่า ผักเซเลอรี่ หรือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง นั้น อุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุหลายชนิด แต่ วิธีรับประทานที่ดีที่สุดก็คือการกินดิบหรือว่านำมาปั่นทำเป็นน้ำผักจะปั่นเพียงชนิดเดียว หรือปั่นรวมกับผักผลไม้ชนิดอื่นร่วมด้วยก็ได้ผลดีเช่นกัน ขึ้นฉ่ายเป็นผักที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่สูงมาก จัดว่าเป็นผักที่ควรนำมารับประทานในชีวิตประจำวันอีกชนิดหนึ่ง

คุณค่าทางโภชนาการของ เซเลอรี่ 100 กรัมส่วนที่กินได้

คุณค่าทางโภชนาการของ
เซเลอรี่

เซเลอรี่ 100 กรัม

พลังงาน 67 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม
น้ำตาล 1.34 กรัม
เส้นใย 1.6 กรัม
โปรตีน 0.69 กรัม
วิตามินเอ 22 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.021 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.057 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 0.320 มิลลิกรัม
วิตามินบี 6 0.074 มิลลิกรัม
วิตามินบี 9 36 ไมโครกรัม
วิตามินซี 3.1 มิลลิกรัม
วิตามินอี 0.27 มิลลิกรัม
วิตามินเค 29.3 ไมโครกรัม
แคลเซียม 40 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก 0.20 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 11 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 24 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 260 มิลลิกรัม
โซเดียม 80 มิลลิกรัม
สังกะสี 0.13 มิลลิกรัม

อ้างอิงจาก ndb.nal.usda.gov

การปลูกเซเลอรี่

เซเลอรี่เป็นผักเมืองหนาวที่ปลูกง่าย โตเร็ว แต่ต้องดูแลเอาใจใส่อย่าพิถีพิถันจึงจะได้ผลผลิตสูง
ดังนั้น ในส่วนของการให้น้ำต้องให้อย่างสม่ำเสมอ เพราะเซเลอรี่เป็นพืชที่ต้องการความชุ่มชื้น
เมื่อเซเลอรี่มีอายุ 25-30 วันให้ปุ๋ย ซึ่งช่วงนี้จะต้องเก็บวัชพืชออกและเด็ดหน่อที่เกิดใหม่ทิ้งไป

Celery Detox คือ

เซเลอรี่ดีท็อกซ์ คือ การดื่มเครื่องดื่มเซเลอรีเพื่อให้มีผลดีต่อร่างกาย ช่วยลดปัญหาเรื่องสิว ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติ และช่วยลดน้ำหนัก ผลจากการดื่ม Celery Detox พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำเซเลอรี่เป็นประจำ มีสิวอักเสบหรือสิวผดผื่นตามใบหน้าลดลง อาการปวดหัวไมเกรนลดลง และอาการผื่นแพ้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเชื่อกันว่า ในเซเลอรีมีสารอาหารสำคัญที่ช่วยเรื่องการขับของเสีย ขับสารพิษ และสารเคมีตกค้างออกจากร่างกาย

วิธีทำน้ำเซเลอรี่ ( Celery Juice )

น้ำเซเลอรี่ หรือน้ำขึ้นฉ่ายฝรั่ง เป็นกระแสฮิต ติดลมบนอยู่พักใหญ่สำหรับสายรักสุขภาพ และสาว ๆ ต้องรู้จักเป็นอย่างดี เพราะน้ำเซเลอรี่ หรือ น้ำผักขึ้นฉ่ายนั้น เป็นอีกหนึ่งเมนูควบคุมน้ำหนัก สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและไขมันส่วนเกินในร่างกาย น้ำเซเลอรี่มีวิธีการทำได้ง่ายมาก วันนี้ Amprohealth นำวิธีทำน้ำเซเลอรี่มาฝากค่ะ

สูตรน้ำเซเลอรี่มีหลายชนิด แบ่งตามความชื่นชอบชนิดของผัก และที่เป็นที่นิยมมากสุดคือ น้ำเซเลอรี่แครอท

วิธีทำน้ำเซเลอรี่แครอท
ลำดับ วัตถุดิบ ปริมาณ
1 ขึ้นฉ่ายฝรั่งสดหั่นเป็นท่อน 800 กรัม
2 แครอทสดปอกเปลือกหั่นชิ้น 300 กรัม
3 แอปเปิ้ลเขียวสดหั่นชิ้น 1 ลูก
4 มะนาวสด 1 ลูก

วิธีทำ
1. นำวัตถุดิบทั้งหมด ขึ้นฉ่ายสด แครอทสด แอปเปิ้ลเขียวสด ปั่นรวมกัน ใช้ผ้าขาวบางกรองกากทิ้ง
2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว สามารถดื่มได้ทันที หรือผสมน้ำแข็งก่อนดื่มเพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น หรือ แช่เย็นก่อนดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นได้
หมายเหตุ :
1. สำหรับท่านไหนไม่ชอบความเปรี้ยวของมะนาว สามารถใช้น้ำส้มคั้นสดแทนน้ำมะนาวได้
2.ควรดื่มให้หมดไม่ควรทิ้งข้ามคืน

วิธีทำน้ำเซเลอรี่แตงกวา
ลำดับ วัตถุดิบ ปริมาณ
1 ขึ้นฉ่ายสดหั่นเป็นท่อน 800 กรัม
2 แตงกวาสด ไม่ปอกเปลือก หั่นชิ้น 200 กรัม
3 แอปเปิ้ลเขียวสดหั่นชิ้น 1 ลูก
4 ขิงสด ปอกเปลือก หั่นแว่น 1 แง่ง
5 มะนาวสด 1 ลูก

วิธีทำ
1. นำวัตถุดิบทั้งหมด ขึ้นฉ่ายสด แตงกวาสด แอปเปิ้ลเขียวสด ขิงสด ปั่นรวมกัน กรองกากทิ้ง
2. บีบน้ำมะนาวสดเป็นการปรุงรสชาติลดความขืนของผักเซเลอรี สามารถดื่มได้ทันที หรือ แช่เย็นเพื่อเพิ่มความสดชื่นได้ หรือลดความเผ็ดร้อนของขิงด้วยเกลือเล็กน้อยได้

วิธีทำน้ำเซเลอรี่สับปะรดมิ้นท์
ลำดับ วัตถุดิบ ปริมาณ
1 คื่นฉ่ายสดหั่นเป็นท่อน 800 กรัม
2 สับปะรดสด ปอกเปลือก หั่นชิ้น 400 กรัม
3 แอปเปิ้ลเขียวสดหั่นชิ้น 1 ลูก
4 ใบมิ้นท์ ( ใบสาระแหน่ ) 10 ใบ
5 มะนาวสด 1 ลูก

วิธีทำ
1. นำวัตถุดิบทั้งหมด ขึ้นฉ่ายสด สับปะรดสด แอปเปิ้ลเขียวสด ใบมิ้นท์ ปั่นรวมกัน กรองกากทิ้ง
2. บีบน้ำมะนาวสดเป็นการปรุงรสชาติ โรยหน้าด้วยใบมิ้นท์ ดื่มสดให้หมดแก้ว หรือ แช่เย็นเพิ่มความสดชื่น ไม่ควรเก็บข้ามวัน

หากท่านไหนยังไม่ชอบดื่มน้ำเซเลอรี่ จะลองทานก้านเซเลอรี่สดจิ้มเครื่องจิ้มได้ตามใจชอบ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง 

ศัลยา คงสมบูรณ์เวช. บำบัดเบาหวานด้วยอาหาร. พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : อัมรินทร์เฮลท์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2559. (12), 311 หน้า. (ชุดชีวิตและสุขภาพ ลำดับที่ 113) 1.เบาหวาน 2.โภชนบำบัด 3.การปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วย 4.การดูแลสุขภาพตนเอง. 616.462 ศ7บ6 2559. ISBN 978-616-18-7741-9

Celsus, de Medicina, Nesheim, M.C. (2012). Why Calories Count: From Science to Politics. University of California Press. 

Heiner, DC (1993). “Food-induced anaphylaxis”. The Western journal of medicine. 10.

Fortin ND. Food Regulation: Law, Science, Policy and Practice. John Wiley and Sons, 2009.