ไลโคปีน คืออะไร และแคโรทีนอยด์จากมะเขือเทศ มีผลต่อความดันโลหิตอย่างไร

0
ในไลโคปีนมีสารอนุมูลอิสระมากกว่าเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
ไลโคปีนและสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ในมะเขือเทศ
ในไลโคปีนมีสารอนุมูลอิสระมากกว่าเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์

ไลโคปีน ( Lycopene )

ไลโคปีน ( Lycopene ) คือ สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งสารตัวนี้ทำให้ผลไม้ ผักมีสีแดง เป็นหนึ่งในเม็ดสีที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระในตระกูลแคโรทีนอยด์พบได้ในผลไม้สีแดง สีชมพู เช่น มะเขือเทศ แตงโม ส้มเนื้อแดง ส้มโอเนื้อแดง ฝรั่งใส้แดง ทับทิม มะละกอ พริกแดง ลูกพลับ หน่อไม้ฝรั่งสีม่วง กะหล่ำปลีม่วง และเกรฟฟรุต ไลโคปีนในอาหารมาจากผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ หรือมะเขือเทศสด โดยการแปรรูปมะเขือเทศดิบจากการใช้ความร้อน และยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยเสริมสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งขึ้นแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม เมื่อระดับอนุมูลอิสระมีมากกว่าระดับสารต้านอนุมูลอิสระก็สามารถสร้างความเครียดจากการออกซิเดชั่นในร่างกายได้ นอกจากนี้วิจัยพบว่าไลโคปีนถูกใช้ป้องกันโรคไม่ติดต่อได้หลายชนิดอย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและโรคเส้นเลือดตีบในสมอง เป็นต้น

มะเขือเทศกับสารไลโคปีน

จากการวิจัยพบว่าในมะเขือเทศจะอุดมไปด้วยสาร ไลโคปีน เป็นจำนวนมาก และไลโคปีนจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อมีการปรุงมะเขือเทศด้วยความร้อน เพราะจะทำให้เกิดชีวประสิทธิผลที่ดีขึ้นและเพิ่มปริมาณของไลโคปีนให้สูงขึ้นไปอีก นั่นก็เพราะเมื่อไลโคปีนสัมผัสกับความร้อน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงพันธะเคมีแบบทรานส์ ทำให้ไลโคปีนกลายเป็นพันธุแบบซิสที่เป็นเส้นโค้งงอ โดยจะสามารถละลายในไขมันได้ดีกว่า จึงทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าด้วยนั่นเองซึ่งจากกรณีของมะเขือเทศจะเห็นได้ว่า ผักผลไม้ทุกชนิดไม่ได้มีประโยชน์มากที่สุดเมื่อทานสดๆ เท่านั้น โดยเฉพาะมะเขือเทศที่จะยิ่งมีคุณค่าสูงขึ้นเมื่อได้ผ่านการปรุงด้วยความร้อนนั่นเอง เพราะฉะนั้นมาทานมะเขือเทศที่ปรุงด้วยความร้อนกันบ่อยๆ

ไลโคปีน ช่วยอะไร

ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากกว่าสารชนิดอื่นๆ ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ซึ่งรวมถึงเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมีประสิทธิภาพในการรักษาความแข็งแรงความหนาและความลื่นไหลของเยื่อหุ้มเซลล์ มีหน้าที่ช่วยคัดกรองสิ่งที่เข้าและออกจากเซลล์ช่วยให้สารอาหารที่ดีเข้า กำจัดขยะในเซลล์และป้องกันไม่ให้สารพิษเข้าสู่เซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ที่แข็งแรงมีความสำคัญในการป้องกันโรคต่างๆ

ไลโคปีนประโยชน์ต่อสุขภาพ

ประโยชน์ไลโคปีนนั้นสามารถช่วยป้องกันมะเร็งหลายรูปแบบ ตลอดจนการป้องกันและรักษาความเจ็บป่วย และโรคต่าง ๆ ได้ เช่น

  • ไลโคปีนช่วยต้านอนุมูลอิสระลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
  • ช่วยในการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผลจากการทดสอบพบว่าไลโคปีนสามารถเพิ่มความเข้มข้นของอสุจิในผู้ชายได้
  • ไลโคปีนช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  • การเสริมด้วยไลโคปีนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยลดพารามิเตอร์หรือความเครียดภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 30 วัน สามารถเพิ่มพลาสมาเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์
  • ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน
  • ป้องกันการเสื่อมสภาพของอายุและต้อกระจก
  • ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  • ทำหน้าที่เป็นครีมกันแดดภายในและปกป้องผิวของคุณจากการถูกแดดเผา

แหล่งอาหารของไลโคปีน

ไลโคปีนพบในผัก ผลไม้หลายชนิดที่มีสีแดง สีชมพู อาหารที่มีไลโคปีนสูงและได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาให้ใช้เป็นสารเติมแต่งในอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในรูปแบบที่เข้มข้นและแยกได้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

อาหาร ปริมาณในการรับประทาน ปริมาณไลโคปีน (มิลลิกรัม)
มะเขือเทศบดกระป๋อง 1 ถ้วย 54.4
มะเขือเทศตากแดด 1 ถ้วย  24.8
น้ำมะเขือเทศ 1 ถ้วย 22.0
ฝรั่งใส้แดง 1 ถ้วย 8.59
แตงโม (หั่นลูกเต๋า) 1 ถ้วย 6.89
มะเขือเทศแดงดิบ(สับ) 1 ถ้วย 4.63
ซอสมะเขือเทศเข้มข้น 1 ช้อนโต๊ะ 4.60
ส้มโอสีเนื้อแดง 1 ถ้วยตวง 3.26
มะละกอ 1 ถ้วย 2.65
ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ 2.05

สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ( Carotenoid )

สารในกลุ่ม แคโรทีนอยด์ ( Carotenoid ) ส่วนใหญ่ จะเป็นสารประกอบอินทรีย์ท่สามารถพบได้มากในพืชและแบคทีเรียที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะทำให้เกิดสีส้ม แดงและสีเหลือง จึงดูได้ไม่ยากว่าผักผลไม้ชนิดใดที่มีแคโรทีนอยด์สูงนั่นเอง ส่วนคุณสมบัติของสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ก็มีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลล์ ซึ่งในปัจจุบันพบว่าสารในกลุ่มนี้มีสูงมากถึง 600 ชนิด แต่ที่ได้รับความนิยมและมีการยอมรับมากที่สุด ก็มีเพียง 6 ชนิดได้แก่

1. อัลฟาแคโรทีน ( Alpha Carotene ) เป็นสาระสำคัญที่ร่างกายจะนำไปใช้ในการสังเคราะห์วิตามินเอ โดยจะพบมากในผักโขม มะเขือเทศ และแครอท

2. เบต้าแคโรทีน ( Beta Carotene ) เป็นสารที่จะช่วยสังเคราะห์วิตามินเอเช่นกัน แต่หากมีมากเกินความจำเป็น ก็จะทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ซึ่งก็จะพบได้มากใน มะม่วง มันเทศ แครอท แคนตาลูปและลูกพีช

3. คริปโตแซนทีน ( Cryptoxanthin ) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดโดยตรง ซึ่งมักจะพบได้มากในพริกหยวก ฟักทอง ส้มเขียวหวานและลูกพลัม

4. ไลโคปีน ( Lycopene ) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกิดมะเร็งได้หลากหลายชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม เป็นต้น และสามารถลดระดับไขมัน น้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้อีกด้วย

5. ลูทีน ( Lutein ) มีส่วนช่วยในการปกป้องและบำรุงสายตา พร้อมกับลดการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา โดยเฉพาะในคนที่ต้องทำงานหน้าคอม จ้องแสงหน้าจอตลอดเวลา โดยสามารถพบลูทีนได้มากในดอกดาวเรือง และผักเคล

6. ซีแซนทิน ( Zeaxanthin ) มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาและป้องกันภาวะต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาเช่นกัน โดยจะพบได้มากในผักขม บรอกโคลี และมะเขือเทศที่ปรุงผ่านความร้อนแล้ว

ไลโคปีน ผลข้างเคียงที่อาจเกิด

  • เจ็บหน้าอก
  • ท้องเสีย
  • ไขมันสะสมใต้ผิวหนัง
  • ท้องอืด จุกเสียดแน่นท้อง
  • หัวใจวาย
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • สีผิวเปลี่ยน
  • อาการปวดท้อง ไม่ย่อย
  • แผลระคายเคืองในกระเพาะอาหาร
  • ร้อนวูบวาบ

ไลโคปีนเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและร่างกายของคุณมากมาย แต่การรับประทานไลโคปีนส่วนใหญ่ไม่มีอาการแพ้อาหารพวกนี้ แต่อย่างไรก็ตามควรกินไลโคปีนในปริมาณที่เหมาะสมปริมาณ 9 – 12 มิลลิกรัมต่อวัน และที่สำคัญไลโคปีนอาจเป็นอีกทางเลือกในการกินอาหารแทนการรักษาด้วยยาที่ใช้ในผู้หญิงวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

I am text block. Click edit button to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

เอกสารอ้างอิง

“Tomato History. The history of tomatoes as food”. Home cooking. Retrieved 2013-08-07.

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผัก. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641.

ตรวจลิพิดโปรไฟล์เพื่ออะไร และค่าปกติควรอยู่ที่เท่าไหร่

0
ลิปิดโปรไฟล์คืออะไร ? (Lipid Profile)
ลิปิดโปรไฟล์เป็นกระบวนการตรวจหาค่าไขมันในเลือดเพื่อป้องกันโรคร้าย
ลิปิดโปรไฟล์คืออะไร ? (Lipid Profile)
ลิปิดโปรไฟล์เป็นกระบวนการตรวจหาค่าไขมันในเลือดเพื่อป้องกันโรคร้าย

ลิพิดโปรไฟล์ Lipid Profile คือ

ลิพิดโปรไฟล์ ( Lipid Profile ) คือ กระบวนการตรวจวัดระดับไขมันในเลือด เพื่อใช้บ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคเพื่อเป็นตัวช่วยในการป้องกันโรคร้าย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary Artery Disease ) โรคที่เกิดจากหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน โรคสมองขาดเลือดจากการอุดตัน หรือตีบตันของเส้นเลือด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ตีบตันก็คือ การมีไขมันในร่างกายปริมาณสูงง และยังใช้ติดตามการรักษาในผู้ป่วยที่ได้รับยาลดระดับไขมันในเลือด

การตรวจ lipid profile

การตรวจ lipid profile นั้นแพทย์จะใช้วิธีการเจาะเลือดแล้วนำเลือดมาตรวจหาค่าของไขมันชนิดต่างๆ โดยผู้ป่วยจะต้องอดอาหารก่อนการเจาะเลือด 12 ชั่วโมง สำหรับการตรวจวัดระดับไขมันทุกชนิด (ดื่มน้ำเปล่าได้)

ลิพิดโปรไฟล์สามารตรวจอะไรได้บ้าง

1. cholesterol เป็นไขมันที่ทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนต่างๆ เอนไซม์ และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผนังเซลล์ การตรวจวัดระดับคลอเลสเตอรอลจะบ่งชี้ระดับไขมันโดยรวม ทั้ง HDL-cholesterol, LDL-cholesterol และ triglyceride ภายในเลือด ค่าปกติ <200 mg/dL

2. triglycerides เป็นไขมันที่ถูกเก็บสะสมในร่างกายในเซลล์ไขมัน (adipose Tissue) ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานให้แก่ร่างกาย ซึ่งจะตรวจควบคู่กับไขมันตัวอื่นๆ ค่าปกติ <150 mg/dL หากค่าสูงจะทำให้ไขมันในเลือดสูง

3. low density lipoprotein (LDL) ไขมันชนิดนี้ทำหน้าที่นำพา cholesterol เป็นไขมันเลว
ค่าปกติ <100 mg/dL  หากค่าสูง(ไขมันในเลือดสูง) อาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง(atherosclerosis) ส่งผลให้เกิดการตีบตันของเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ และสมอง

4. high density lipoprotein (HDL) ไขมันชนิดนี้ทำหน้าที่เก็บ cholesterol จากอวัยวะต่างๆ กลับเข้าสู่ตับซึ่งเป็นศูนย์กลางของกระบวนการสลายของไขมัน ซึ่งเป็นไขมันดี
ค่าปกติ (ผู้หญิง) >40 mg/dL และ (ผู้ชาย) >50 mg/dL หากค่าต่ำอาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis) ส่งผลให้เกิดการตีบตันของเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ และสมอง

5. very low-density lipoprotein cholesterol (VLDL) เป็นโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นจากตับ ทำหน้าที่ขนส่งไตรกลีเซอไรด์ที่ร่างกายสร้างขึ้นจากตับไปยังผนังหลอดเลือด เนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อ

ค่าปกติ lipid profile

1. cholesterol ค่าปกติ <200 mg/dL
2. triglycerides ค่าปกติ <150 mg/dL
3. low density lipoprotein (LDL) ค่าปกติ <100 mg/dL  หากค่าสูง(ไขมันในเลือดสูง)
4. high density lipoprotein (HDL) ค่าปกติ (ผู้หญิง) >40 mg/dL และ (ผู้ชาย) >50 mg/dL หากค่าต่ำอาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง
5. very low-density lipoprotein cholesterol (VLDL) ค่าปกติ 7 – 32 mg/dL

แปลผล lipid profile

หาก LDL มีค่าสูง มีโอกาสเสี่ยงเป็นต่อโรคหลอดเลือดแข็ง ทำให้เกิดการตีบตันในเส้นเลือดของอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ
หาก HDL มีค่าต่ำ อาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็งตัว ทำให้เกิดการตีบตันในเส้นเลือดของอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ

ไขมันและแหล่งอาหาร ที่มีผลกับระดับ HDL หรือ LDL

อาหารหรือไขมันที่มีผลต่อระดับ Cholesterol ในเลือดสามารถแบ่งตามชนิดของไขมันได้ 4 ชนิดดังต่อไปนี้

1. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ( Monounsaturated Fat )

2. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ( Polyunsaturated Fat )

3. ไขมันอิ่มตัว ( Saturated Fat )

4. ไขมันทรานส์ ( Trans Fat )

ชนิดไขมัน แหล่งไขมัน ผลต่อระดับ Cholesterol ในเลือด
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว น้ำมันมะกอก , น้ำมันถั่วลิสง ,เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ,ถั่วอัลมอนด์ ,ถั่วลิสง และอื่นๆ HDL เพิ่มขึ้น , LDL ลดลง
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน น้ำมันข้าวโพด , น้ำมันถั่วเหลือง,น้ำมันดอกคำฝอย,น้ำมันดอกทานตะวัน,น้ำมันเมล็ดฝ้ายเนื้อปลาทุกชนิด HDL เพิ่มขึ้น , LDL ลดลง
ไขมันอิ่มตัว  น้ำมันสัตว์ทุกชนิด ,เนยที่ผลิตจากน้ำนมสัตว์ ,ไอศกรีม,เนื้อสัตว์ทุกชนิด ,ไข่ , ช็อกโกแลต ,มะพร้าว, กะทิ, น้ำมันมะพร้าว , น้ำมันปาล์ม HDL เพิ่มขึ้น , LDL ลดลง
ไขมันทรานส์ เนยเทียม (Margarine) , ผงฟูทำขนมฝรั่งทุกชนิด ,มันฝรั่งทอด , อาหารทอดความร้อนสูงในร้าน Fast-Food , ครีมเทียมใส่กาแฟ  HDL เพิ่มขึ้น , LDL ลดลง,  TG สูงขึ้น

 

ในแต่ละวันร่างกายมนุษย์เรา มี Lipid Profile ไขมันเกิดขึ้นในร่างกายมากมายหลายประเภท ทั้งการผลิตจากตับและการทานอาหารประเภทต่างๆเข้าไปซึ่งหากไม่มีการควบคุมที่ดีพอ ปล่อยให้มีปริมาณไขมันชนิดไม่ดีมากเกินไป ก็อาจจะเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราจะป่วยเป็นโรคร้ายจากไขมันเมื่อไหร่ดังนั้นการตรวจปริมาณไขมันในร่างกาย หรือ Lipid Profile  จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและควรทำ เพราะสามารถทำให้รู้ได้ว่ามีปริมาณของไขมันในร่างกายเป็นอย่างไรมีตัวไขมันดีและไม่ดีมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะได้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารการกิน หรือรับการรักษาจากแพทย์ที่เหมาะสม ทันเวลา ก่อนที่จะเกิดโรคร้ายกับตัวของเรานั้นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Davidson, Michael H. (28 January 2008). “Pharmacological Therapy for Cardiovascular Disease”. In Davidson, Michael H.; Toth, Peter P.; Maki, Kevin C. Therapeutic Lipidology. Contemporary Cardiology. Cannon, Christopher P.; Armani, Annemarie M. Totowa, New Jersey: Humana Press, Inc. pp. 141–142. 

Balch, Phyllis A. (2006). “Carnitine”. Prescription for nutritional healing (4th ed.). New York: Avery. p. 54.

GILL, Jason; Sara HERD; Natassa TSETSONIS; Adrianne HARDMAN (Feb 2002). “Are the reductions in triacylglycerol and insulin levels after exercise related?”. Clinical Science. 102 (2): 223–231. Retrieved 2 March 2013.

Friedewald WT, Levy RI, Fredrickson DS. Estimation of the concentration of low-density lipoprotein cholesterol in plasma, without use of the preparative ultracentrifuge. Clin Chem. 1972.

Sidhu, D.; Naugler, C. (2012). “Fasting Time and Lipid Levels in a Community-Based Population: A Cross-sectional Study / Fasting Time and Lipid Levels”. Archives of Internal Medicine.

สารเพคตินและใยอาหารในแอปเปิ้ล

0
สารเพคตินและใยอาหารในแอปเปิ้ล
เพคตินเป็นสารที่มักจะพบได้มากที่สุดในผนังเซลล์ของพืช ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเซลล์ให้คงรูป
สารเพคตินและใยอาหารในแอปเปิ้ล
เพคตินเป็นสารที่มักจะพบได้มากที่สุดในผนังเซลล์ของพืช ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเซลล์ให้คงรูป

เพคติน

เพคติน ( Pectin ) เดิมทีมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคำว่า “ Pektikos ” ที่มีความหมายว่า การทำให้ข้นหรือการทำให้แข็งตัว ในการทำแยมผลไม้จึงนิยมใส่เพคตินลงไป เพื่อให้เกิดเป็นเจลข้นๆ และทำให้แยมจับตัวกัน โดยเฉพาะและยังมีประโยชน์อีกมากมายอีกด้วย โดยเฉพาะการช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้ง ดูดซึมสารอาหารไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย เพคติน สามารถพบได้ในผักและผลไม้มากมายหลายชนิด และเนื่องจากร่างกายของคนเราไม่สามารถย่อยเพคตินได้ เพคตินจึงถูกจัดเป็นกลุ่มเดียวกับใยอาหาร ที่จะทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้นและลดอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี

เพคติน ที่พบในแอปเปิ้ลนั้น จะเป็นใยอาหารชนิดที่สามารถละลายน้ำได้ และช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องนานขึ้นอีกด้วย นั่นก็เพราะเมื่อทานเพคตินเข้าไป จะไปทำหน้าที่ในการจับกับโมเลกุลไขมันแล้วกลายเป็นวุ้นเจลเคลือบอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก โดยนอกจากจะทำให้อิ่มนานแล้วก็ช่วยให้ร่างกายได้มีเวลาในการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นนานขึ้นอีกด้วย

“เพคติน”เป็นสารที่มักจะพบได้มากที่สุดในผนังเซลล์ของพืช มีลักษณะเป็นสารพอลิแซ็กคาไรด์ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเซลล์ให้คงรูป

เพคติน ที่พบในผักผลไม้ทั่วไป จะพบได้ทั้งที่เป็นชนิดละลายน้ำและชนิดไม่ละลายน้ำ โดยขึ้นอยู่กับการสุกของผักผลไม้นั่นเอง จากผลงานวิจัยพบว่า ในผลไม้ที่ยังคงดิบหรือห่ามอยู่ จะมีเพคตินในรูปของ โปรโตเพคติน ชนิดไม่ละลายน้ำ และเมื่อผลไม้สุกเต็มที่ ก็จะพบเพคตินในรูปของเพคตินที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งเพคตินทั้งสองแบบนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างไร ศึกษาได้จากข้อมูลดังต่อไปนี้

เพคติคชนิดที่เป็นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ

เพคตินชนิดนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารและช่วยรักษาความสมดุลของการเป็นกรด-ด่างภายในลำไส้ ให้มีความเหมาะต่อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ได้ดี จึงไม่ทำให้แบคทีเรียเหล่าปล่อยสารพิษออกมา และช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ รวมถึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยมและป้องกันการเกิดริดสีดวงทวารได้อีกด้วย ซึ่งใยอาหารชนิดนี้ก็มักจะพบได้มากในผักใบเขียว ผิวของผลไม้บางชนิด เมล็ดพืช ข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี เป็นต้น 

เพคตินชนิดที่เป็นใยอาหารละลายน้ำได้

สำหรับชนิดที่สามารถละลายน้ำได้ จะทำหน้าที่ในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและไขมันชนิดเลวในร่างกาย รวมถึงช่วยลดการอุดตันในเส้นเลือดได้อย่างดีเยี่ยม และเนื่องจากเพคตินชนิดนี้จะละลายน้ำแล้วกลายเป็นเจลเคลือบใน กระเพาะอาหาร จึงทำให้รู้สึกอิ่มนาน หิวน้อยลง ซึ่งก็เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก หรือในผู้ป่วยเบาหวาน เพคตินชนิดนี้ก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ดีเช่นกัน เพราะจะช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าใยอาหารทั้งสองชนิดนี้ให้ประโยชน์ที่ต่างกัน แต่ร่างกายของคนเราก็มีความต้องการใยอาหารทั้งสองอย่างเพียงพอ ดังนั้นจึงควรกินแอปเปิ้ลควบคู่กับผักใบเขียวเป็นประจำ แล้วจะได้รับใยอาหารที่ครบถ้วนอย่างแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ. โภชนาการกับผลไม้. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2554. 1.ผลไม้–แง่โภชนาการ–ไทย. I.ชื่อเรื่อง. 641. 

ไขมัน LDL คืออะไร ทำไมถึงเป็นอันตรายต่อร่างกาย

0
คอเลสเตอรอลชนิดที่ต้องควบคุมไม่ให้สูงเกินไป Low-Density Lipoprotein (LDL)
LDL เป็นไขมันที่ความหนาแน่นต่ำชนิดหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นจากตับ ซึ่งถ้ารับมากเกินไปจะเป็นผลเสียต่อร่างกาย

Low Density Lipoprotein

ไขมัน LDL หรือที่เรียกกันว่า “ไขมันเลว” เป็นชนิดของคอเลสเตอรอลที่มีความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด เมื่อมี LDL ในเลือดมากเกินไป มันจะสะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น การเข้าใจถึงผลกระทบของไขมัน LDL และการควบคุมระดับไขมันในเลือดให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจเพื่อการมีสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคร้าย

การตรวจวัดค่าระดับ LDL ในแต่ละช่วงอายุ

การตรวจเลือดสามารถวัดระดับคอเลสเตอรอลของคุณรวมถึง LDL คุณควรได้รับการทดสอบนี้เมื่อใดและบ่อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับอายุ ปัจจัยเสี่ยง และประวัติครอบครัวของคุณ คำแนะนำทั่วไป คือ

  • ผู้ที่มีอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจวัดระดับค่า LDL ครั้งแรก
  • ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 25 ปีขึ้น ควรเข้ารับการตรวจวัดระดับค่า LDL ทุกๆ 5 ปี
  • ผู้ชายอายุ 45 ถึง 65 ปี และผู้หญิงอายุ 55 ถึง 65 ปี ควรเข้ารับการตรวจวัดระดับค่า LDL ทุก 1 ถึง 2 ปี

การตรวจวัดค่า LDL-c

โดยปกติวิธีที่สามารถตรวจหาค่า LDL-c ได้นั้น มี 2 วิธีดังนี้

1. การตรวจโดยตรง Direct LDL-c
การตรวจโดยวิธี Direct LDL-c คือ การตรวจเพื่อหาค่า LDL โดยตรง ซึ่งสามารถตรวจได้โดยการเจาะเลือดไปตรวจโดยแพทย์ วิธีนี้จะให้ผลที่แม่นยำ

2. การคำนวณด้วยค่าของคอเลสเตอรอลตัวอื่นๆ LDL ( calc )การตรวจวิธีที่การคำนวณด้วยค่าของคอเลสเตอรอลตัวอื่นๆ คือ การนำผลตรวจของ Total cholesterol ( TC ), High Density Lipoprotein ( HDL ) และ Triglyceride ( TG ) มาเข้าสูตรเพื่อหาค่า LDL การตรวจ LDL ส่วนมากจะใช้วิธีคำนวณโดยอาศัยสูตรวิธีนี้ เนื่องจากสะดวกประหยัด และรวดเร็วซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้

LDL = TC – HDL – 20% TG

คณะผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์เลือด นำโดย ดร.เต วาย วัง ( The Y. Wang, Ph.D. ) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจ LDL ทั้ง 2 วิธีว่า ค่าที่ตรวจได้จะมีเท่าหรือแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข คือ ค่าของ Triglyceride จะต้องไม่สูงเกินกว่า 400 mg / dL หรือไม่ต่ำกว่า 50 mg / dL หากค่าที่ตรวจอยู่ในระหว่างเกณฑ์ ก็ถือว่า LDL ที่ตรวจมีผลที่น่าเชื่อถือได้ แต่หากค่าของ Triglyceride ไม่อยู่ในเกณฑ์ ควรตรวจ LDL ด้วยวิธี Direct LDL-c เท่านั้น จึงจะได้ผลตรวจที่แม่นยำที่สุด

ตัวอย่างการตรวจหาค่า LDL

ผู้ป่วยรายหนึ่งทำการตรวจวัดค่าของคอเลสเตอรอลต่างๆได้ดังนี้

TC        =    262 mg / dL ,  HDL     =   79 mg / dL , TG       =   55 mg / dL

ดังนั้นผู้ป่วยรายนี้ สามารถตรวจหาค่า LDL ได้ทั้ง 2 วิธี เนื่องจากค่าของ TG   =   55 mg / dL ซึ่งอยู่ในค่ามาตรฐานของ Triglyceride ( 50 – 400 mg / dL )

จากสูตร LDL = TC – HDL – 20% TG   นำมาแทนค่าเพื่อเข้าสูตรได้ดังนี้   

LDL = 262 – 79 – ( 55 * 20 / 100 ) = 172 mg / dL

วิธีลดระดับค่า LDL

เนื่องจากค่าของ LDL คือปริมาณของไขมันชนิดที่ไม่ดีที่อยู่ในร่างกาย ดังนั้นจึงมีวิธีในการลดค่า LDL ในร่างกายลง เพื่อให้เป็นผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถทำได้ดังต่อไปนี้

1. เลือกประเภทของอาหารที่จะทาน โดยเน้นทานอาหารครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อร่างกาย เช่น     

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ( cholesterol ) จำพวกอาหารทะเล เช่น กุ้ง ปลาหมึก หรืออหากจำเป็นจะต้องทาน ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากจนเกินไป
  • หลีกเหลี่ยงอาหารทีมีไขมันชนิดอิ่มตัว ( Saturated Fat ) ที่เป็นไขมันชนิดไม่ดี ซึ่งสามารถพบได้ในกลุ่มอาหารดังต่อไปนี้ เช่น เนื้อสัตว์ นม เนยในน้ำมันปาล์มเป็นต้น โดยไขมันประเภทอิ่มตัวนี้ จะเพิ่มค่าทั้ง LDL และ HDL รวมถึงค่า TC ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ ( Trans Fat ) เช่น เนยเทียม มาการีน ผงฟูที่ใส่ในขนม เป็นต้น  ไขมันประเภทนี้ จะไปทำการเพิ่มค่า LDL และลดค่า HDL ในร่างกายลงด้วย
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนในการปรุงสูงๆ เพราะจะทำให้เกิดไขมันทรานส์ ขึ้นในอาหารชนิดนั้น  เช่น  อาหารในร้านฟาสต์ฟู้ดต่างๆ
  • ในแต่ละมื้อควรเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารสูง ( Fiber ) เช่น ผัก ผลไม้ ทุกชนิด

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  โดยให้ใช้เวลาในการออกกำลังกายติดต่อกันนาน 30 นาทีขึ้นไป จะส่งผลให้ลดปริมาณของ  LDL และเพิ่ม HDL ไปด้วยพร้อมๆ กัน

3. ควบคุมน้ำหนักตนเองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่มากหรือน้อยเกินไป

4. งดการสูบบุหรี่อย่างถาวร ไม่ใช่การลดปริมาณ

5. ในกรณีที่ค่า LDL สูงกว่าปกติ ควรพบแพทย์  เพื่อรับยาลดปริมาณ LDL ในร่างกาย

ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อระดับ LDL ภายในร่างกาย

  • อาหาร โดยเฉพาะของทอดเป็นไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลที่สะสมอยู่ในอาหารที่คุณกินทำให้ระดับ คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน (อ้วน) การมีน้ำหนักเกินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มระดับแอลดีแอล และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลอีกด้วย
  • การออกกำลังกายที่ไม่สม่ำเสมอ หรือการไม่ออกกำลังกาย อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้ระดับ LDL ของคุณสูงขึ้นตามมาด้วย
  • การสูบบุหรี่ทำให้ HDLหรือไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกายลดลง เนื่องจากเอชดีแอลช่วยในการกำจัดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี หรือ LDL ออกจากหลอดเลือดแดง หากร่างกายมี HDL น้อยนั่นอาจส่งผลทำให้ร่างกายมีระดับ LDL ที่สูงขึ้น
  • อายุและเพศ เมื่อผู้หญิงและผู้ชายอายุมากขึ้นระดับคอเลสเตอรอล cholesterol ก็จะสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือนผู้หญิงจะมีระดับคอเลสเตอรอลรวมต่ำกว่าผู้ชายในวัยเดียวกัน หลังจากวัยหมดประจำเดือนระดับ LDL ของผู้หญิงมักจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • กรรมพันธุ์และยีน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น พ่อหรือแม่มีไขมันในเลือดสูงเมื่อมีลูก ลูกก็มีโอกาสเป็นคอเลสเตอรอลในเลือดสูงที่สืบทอดมาจากครอบครัว หากไม่ดูแลใส่ใจและชอบรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์สุขภาพของตนเองรวมถึงอาหารที่ทำให้อ้วน และเครื่องดื่มที่ทำให้อ้วน อาหารที่ทำจากน้ำมันกับเนย เช่น ขนมปังขาว น้ำหวาน เฟรนช์ฟรายส์ น้ำอัดลม ของทอดทุกชนิด แอลกอฮอล์ ขนมอบกรอบ ขนมหวาน ชาและกาแฟที่ใส่ครีม ใส่น้ำตาลหวานๆ ผลไม้ที่มีรสหวานจัด น้ำผลไม้สำเร็จรูปที่ผสมน้ำตาล
  • การใช้ยาบางอย่างรวมถึงยาเตียรอยด์ ยาความดันโลหิต และยารักษาโรคเอชไอวีที่สำคัญผู้ป่วยโรคเอดส์อาจมีระดับ LDL ในเลือดสูงได้เช่นกัน
  • เชื้อชาติ โดยเฉพาะประเทศที่นิยมกินชีส เนย ทำอาหารโดยการทอดเป็นประจำ ขนมปังขาวเป็นอาหารหลักพบว่าจะมีระดับแอลดีแอล คอเลสเตอรอลสูงกว่า 

การวินิจฉัยความผิดปกติของคอเลสเตอรอล LDL

ความผิดปกติของไขมันได้รับการวินิจฉัยโดยการเจาะเลือด ผู้ป่วยควรอดอาหารก่อนการเจาะเลือด 12 ชั่วโมง สำหรับการตรวจวัดระดับไขมันทุกชนิด ( ดื่มน้ำเปล่าได้ )

  • ผลที่ออกมาพบว่า ค่า น้อยกว่า 100 mg/dL แปลว่า ค่าไขมันในเลือดปกติ
  • ผลที่ออกมาพบว่า ค่า มากกว่า 130 mg/dL ขึ้นไป แปลว่า ค่าไขมันในเลือดเริ่มสูง อาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis) ส่งผลให้เกิดการตีบตันของเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ และสมอง

ดังนั้น การใช้ผลตรวจจากค่า LDL ที่ได้แพทย์สามารถในการคำนวณโอกาสความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยแต่ละคนได้อีกด้วย ค่าของ LDL ที่วัดได้ สามารถนำไปใช้ในการประเมินผลถึงค่าความเสี่ยงต่อโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary Heart Disease ) หรือ CHD ได้ โดยวิธีการคำนวณจะใช้อัตราส่วน LDL ต่อ HDL ( คล้ายกับอัตราส่วน TC ต่อ HDL ) ดังนี้

การคำนวณความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

ค่าของ LDL ที่วัดได้ สามารถนำไปใช้ในการประเมินผลถึงค่าความเสี่ยงต่อโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary Heart Disease ) หรือ CHD ได้ โดยวิธีการคำนวณจะใช้อัตราส่วน LDL ต่อ HDL ( คล้ายกับอัตราส่วน TC ต่อ HDL ) ดังนี้

อัตราส่วน LDL : HDL ( หรือ LDL ÷ HDL )

ตารางแสดงอัตราส่วน LDL : HDL แสดงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

ค่าความเสี่ยง ชาย หญิง
ต่ำกว่าปกติ 1.0 1.5
ปกติ 3.6 3.2
มีความเสี่ยง 6.3 5.0
ความเสี่ยงสูง 8.0 6.1

ค่าปกติของ Direct LDL-c

หลังจากทำการตรวจวัดค่าของ Low-Density Lipoprotein ( LDL ) แล้ว ซึ่งสามารถทำได้ทั้ง 2 วิธี  ให้นำค่าที่ได้มาเปรียบเทียบกับตารางดังต่อไปนี้ เพื่อจะได้ทราบว่า สุขภาพของเรานั้นมีปริมาณ LDL อยู่ในหลักเกณฑ์ข้อใด ดังนี้

การจัดค่า ชาย หญิง
Direct LDL-c ( mg/dL )
ค่าปกติ ( ดีมาก ) <100 <110
เกือบดี 100 – 129 110 – 129
เริ่มสูง 130 – 159 >129
สูง 160 – 189
สูงมาก >190

จากตารางสามารถสรุปได้ว่า ค่าของ Low-Density Lipoprotein ( LDL ) ในร่างกายของผู้ชายไม่ควรให้มีค่าเกิน 129 mg/dL ส่วนในเพศหญิงต้องไม่เกิน 129 mg/dL เท่ากัน  และหากค่าที่วัดได้เกินกว่าค่ามาตรฐาน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาและทางป้องกัน ต่อไป

หากมี LDL ในร่างกายมากไปจะกลายเป็นไขมันตัวร้ายที่สามารถทำให้เกิดภาวะโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัวได้

กรณีค่า LDL-C มีค่าผิดปกติไปจากมาตรฐาน

สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีดังนี้

1. ตรวจวัด LDL-C ได้น้อยกว่าค่ามาตรฐาน อาจแสดงผลว่า

  • อาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมจากคนในครอบครัว
  • อาจเกิดสภาวะร่างกายมีโปรตีนต่ำกว่าปกติ  ( Hypoproteinemia ) ซึ่งอาจเกิดจาการดูดซึมอาหารของลำไส้ทำได้น้อยกว่าปกติ  โดยอาจมีสาเหตุจากบริโภคอาหารที่มีโปรตีนต่ำเกินไปหรือ เกิดบาดแผลจากไฟลวกอย่างรุนแรง
  • อาจเกิดสภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินปกติ ทำให้เกิดการแยกสลาย Catabolism LDL และ VLDL มากเกินไป ส่งผลให้จำนวน Low-Density Lipoprotein ( LDL ) ในกระแสเลือดลดลง

2. ตรวจวัด LDL-C ได้มากกว่าค่ามาตรฐาน อาจแสดงผลว่า

  • อาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมจากคนในครอบครัว
  • อาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป
  • อาจมีปัญหาเกี่ยวกับโรคตับเรื้อรัง ทำให้ประสิทธิภาพในการทำลาย LDL ในร่างกายลดลงไปด้วย
  • อาจเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น  ทานอาหารที่ไขมันสูง สูบบุหรี่จัด หรือเป็นผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย
  • อาจเกิดจากไตทำงานผิดปกติ โดยปล่อยทิ้งสารอาหารประเภทโปรตีน ออกมามากว่าปกติทางปัสสาวะ จึงมีผลไปกระตุ้นตับให้เร่งผลิต LDL ให้มีขึ้นมากกว่าปกติ
  • อาจเกิดโรคความผิดปกติของการสะสมไขมัน ( Von Gierkdesease ) ซึ่งเกิดจากปัญหาที่ร่างกายมีเอนไซม์จากโปรตีนต่ำ ทำให้การสลายไกลโคเจน ที่เป็นน้ำตาล ทำได้แย่ลง

7 สุดยอดอาหารที่ช่วยลด LDL ที่คุณสามารถทานได้ทุกวัน

จากการศึกษาพบว่าการกินอาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยป้องกันและลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้โดยโภชนาการบำบัด หรืออาหารบำบัดโรค ( Diet therapy ) เป็นการใช้อาหารช่วยในการรักษาโรคโดยการดัดแปลงอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันให้มีส่วนผสมของอาหารดังต่อไปนี้ในทุก ๆ มื้ออาหารทั้งอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็น
ให้เป็นอาหารที่เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่
1. ข้าวโอ๊ต ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจเนื่องจากมีใยอาหารชนิดละลายน้ำได้สูงเรียกว่า เบต้ากลูแคน ซึ่งเบต้ากลูแคนช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในเลือดได้ง
2. ผักและผลไม้ ได้แก่ มะเขือม่วง กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบแดง แอปเปิ้ล องุ่น สตรอเบอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยว หัวหอมใหญ่มีสรรพคุณช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด กำจัดคอเลสเตอรอลชนิดเลว ( LDL ) ควรรับประทานอาหารที่มีความหลากหลายของผักและผลไม้ที่มีสีสันเป็นประจำสามารถช่วยปกป้องโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็งบางชนิด ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล LDL ที่ไม่ดีในเลือดของคุณ
3. รับประทานอาหารที่อุดมด้วยไขมันชนิดดี เช่น อะโวคาโด ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน พืชตระกูลถั่ว ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจด้วยเนื่องจากอาหารเหล่านี้มีไขมันเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่ดีต่อหัวใจจะช่วยเพิ่มระดับ HDL คอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด
4. น้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้ประกอบอาหารแทน น้ำมันหมู เนย จะช่วยลดระดับ LDL
5. ดาร์กช็อกโกแลตและโกโก้ จากการศึกษาพบว่าดาร์กช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้ 75–85% ขึ้นไป ซึ่งมีฟลาโวนอยด์ในปริมาณที่สูงกว่าการกินอาหารตามปกติในแต่ละมื้อที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในเลือดได้
6. มันฝรั่ง ให้โพแทสเซียมที่ดีต่อหัวใจมากกว่ากล้วย เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่สำคัญทั้งหมดนี้ในปริมาณที่เพียงพอยังสามารถลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด
7. ผักใบเขียว ได้แก่ ผักคะน้า บร็อคโคลี ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง ผักเคลหรือคะน้าใบหยักจากการศึกษาพบว่าช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามร่างกายของเราก็ยังต้องการคอเลสเตอรอล เนื่องจากคอเลสเตอรอลมีบทบาทสำคัญต่อความสามารถในการสร้างเซลล์ที่แข็งแรง หากร่างกายขาดคอเลสเตอรอลก็ไม่สามารถทำงานได้ แต่ควรมีคอเลสเตอรอล LDL ในระดับที่เหมาะสมจึงจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายของเรา และควรเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี HDL เพราะ cholesterol ที่ดีจะช่วยขจัดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกจากกระแสเลือดได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“LDL and HDL: Bad and Good Cholesterol”. Centers for Disease Control and Prevention. CDC. Retrieved 11 September 2017.

Dashty M, Motazacker MM, Levels J, de Vries M, Mahmoudi M, Peppelenbosch MP, Rezaee F (2014). “Proteome of human plasma very low-density lipoprotein and low-density lipoprotein exhibits a link with coagulation and lipid metabolism.”. Thromb Haemost.

Dashti M, Kulik W, Hoek F, Veerman EC, Peppelenbosch MP, Rezaee F (2011). “A phospholipidomic analysis of all defined human plasma lipoproteins.”. Sci Rep. 1 (139). PMC 3216620 Freely accessible.

High Density Lipoprotein ( HDL ) คืออะไร

0
คอเลสเตอรอลชนิดดี (High Density Lipoprotein – HDL)
ชนิดไขมันที่มีความหนาแน่นในตัวสูง เป็นไขมันดีสำหรับหลอดเลือดแดง
คอเลสเตอรอลชนิดดี (High Density Lipoprotein – HDL)
ชนิดไขมันที่มีความหนาแน่นในตัวสูง เป็นไขมันดีสำหรับหลอดเลือดแดง

High Density Lipoprotein ( HDL ) คือ

ในร่างกายมนุษย์เราประกอบไปด้วยไขมันมากมายหลายชนิด ซึ่งมีทั้งชนิดที่ดีเป็นบวกต่อร่างกาย และชนิดที่ไม่ดีเป็นลบต่อร่างกาย ปะปนกันไป ซึ่งคอเลสเตอรอลชนิดดีที่อยู่ในร่างกายมนุษย์เรา จะถูกเรียกว่า High Density Lipoprotein หรือเรียกสั้นๆว่า HDL เป็นคอเลสเตอรอลชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันชนิดดี ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตับ ช่วยทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอล หรือไขมันชนิดไม่ดีที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด

คอเลสเตอรอลไม่สามารถที่จะเข้าสู่กระแสเลือดได้เอง แต่ต้องใช้ตัวชักนำอย่างไลโปโปรตีน ในการพาเข้าไป ซึ่งไลโปโปรตีนก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด โดยจะแบ่งได้ตามความหนาแน่นของ อัตราส่วนไขมันต่อโปรตีน  เมื่อ คอเลสเตอรอลมาจับคู่กับ ไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง High Density Lipoprotein ( HDL ) คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี จะทำให้เกิดเป็นไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกายที่เรียกว่า  High-Density Lipoprotein Cholesterol ( HDL-C ) นั่นเอง

ประโยชน์ของ HDL

High Density Lipoprotein ( HDL ) คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี  หรือ High-Density Lipoprotein Cholesterol ( HDL-C ) คือ ชนิดไขมันที่มีความหนาแน่นในตัวสูง เป็นไขมันดีสำหรับหลอดเลือดแดง เนื่องจากจะคอยป้องกันไม่ให้ไขมันชนิดที่ไม่ดี อย่าง คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL ไปพอกสะสมในหลอดเลือดแดง โดย HDL จะนำไขมันชนิดที่ไม่ดีส่งคืนสู่ตับเพื่อนำไปทำลายทิ้งออกจากร่างกายต่อไป ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆได้เช่น โรคหลอดเลือดสมองหรือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น และยังเป็นการช่วยลดคอเลสเตอรอล ( Total Cholesterol ) ในร่างกายให้ต่ำลงอีกด้วย

hdl คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี  High-Density Lipoprotein Cholesterol ( HDL-C ) คือ ชนิดไขมันที่มีความหนาแน่นในตัวสูง เป็นไขมันดีสำหรับหลอดเลือดแดง

วิธีการเพิ่มระดับ HLD ให้มีค่าสูง

ตามที่ได้ทราบกันแล้วว่า  HDL มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มาก ยิ่งมี HDL ในร่างกายมากเท่าไหร่ยิ่งดีต่อสุขภาพเท่านั้น ซึ่งได้มีข้อมูลทางวิชาการจาก นายแพทย์ ดร.ปีเตอร์ พี ทอธ แห่งโรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐเอมริกา ที่แนะนำการเพิ่ม HDL ให้ร่างกายได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

1. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อย่าปล่อยให้ตนเองอ้วนหรือผอมเกินไป ( ตรวจสอบจากค่า BMI )

2. งดการสูบบุหรี่อย่างถาวร

3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

4. ควบคุมปริมาณการกินอาหารประเภทแป้งทั้งหลายเช่น น้ำตาล ข้าว ขนมต่างๆ เป็นต้น ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป

5. เน้นการบริโภคเนื้อปลาให้มากขึ้น

6. ปรับเปลี่ยนเมนูอาหารในแต่ละวัน โดยให้ความสำคัญกับอาหารประเภท ผักสด ผลไม้ และข้าวไม่ขัดสี ( ข้าวกล้อง , ขนมปังโฮลวีต ) น้ำมันมะกอก และถั่วชนิดต่างๆให้มากขึ้น

7. ดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์ ขนาด 2 – 6 ออนซ์ ( ประมาณไม่เกิน 2 แก้วไวน์ ) ต่อวัน จะช่วยเพิ่มค่า HDL ให้ร่างกายได้  แต่วิธีไม่เหมาะกับคนไทยมากนัก เพราะวัฒนธรรมการดื่มของคนไทยเราแตกต่างจากชาวตะวันตก โดยชาวตะวันตกจะดื่มแค่ปริมาณที่เหมาะสม แต่คนไทยส่วนมากจะดื่มตามความพอใจของตน ข้อนี้จึงอาจทำให้เสียสุขภาพมากว่า จะได้ประโยชน์

การใช้ค่า HDL ที่ตรวจได้ไปวิเคราะห์ไขมันในเลือด ( TC : HDL )

HDL นอกจากจะมีประโยชน์ตามข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว HDL ยังสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ ความเสี่ยงต่อการเกิดของโรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย เนื่องจากค่าของ HDL เป็นตัวเลขอิสระ และมีความแน่นอน ไม่แปลผันง่ายเหมือนค่าของ LDL หรือ Triglyceride เช่นเดียวกับ ค่าของ Total Cholesterol ( TC ) หรือคอเลสเตอรอลรวม ก็มีความชัดเจนและแน่นอนเช่นเดียวกัน

ซึ่งทาง โครงการศึกษาคอเลสเตอรอลแห่งชาติ National Cholesterol Education Program, NCEP ของสหรัฐอเมริกา ได้ให้ข้อมูลว่า สามารถนำอัตราส่วน ระหว่าง TC: HDL ที่มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ไปใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ความเสี่ยงต่อการเกิดของโรคหลอดเลือดหัวใจ Coronary Artery Disease, CAD ได้ โดยจะเรียกอัตราส่วนนี้ว่า Risk of Coronary Heart Disease หรือ อัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพราะหลอดเลือด

หลักการคำนวณ  =  Total Cholesterol ( TC ) / HDL Cholesterol Ratio ( HDL )

หรือเรียกสั้นๆว่า TC / HDL

โดยค่ามาตรฐานอยู่ที่

เพศชาย ค่ามาตรฐานอยู่ที่        5     หรือต่ำกว่า

เพศหญิง ค่ามาตรฐานอยู่ที่       4.4  หรือต่ำกว่า

ตัวอย่างการคำนวณ

นายสมชาย ตรวจวัดค่า TC ได้เท่ากับ 220  mg/dL และ วัดค่า HDLได้เท่ากับ 50 mg/dL
ดังนั้นเมื่อนำมาคิดตามสูตร จะได้    220/50 = 4.4
สรุป : ผลที่ออกมาของคุณสมชาย มีค่าเท่ากับ 4.4 ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ในทางที่ดีคุณสมชายจะต้องเพิ่มค่า HDL ในร่างกายให้มากว่านี้

 

โรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐอเมริกา ได้บัญญัติศัพท์เรียกอัตราส่วนค่าคอเลสเตอรอลรวม TC ต่อค่าคอเลสเตอรอลความหนาแน่นสูง HDL ไว้ด้วยเช่นกัน โดยจะเรียกว่า อัตราส่วนความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ Cardiac Ratio หรือ CRR โดยมีสูตรการคำนวณเหมือนdกับโครงการศึกษาคอเลสเตอรอลแห่งชาติ คือ

CCR = Total Cholesterol ( TC ) / HDL Cholesterol Ratio ( HDL )

 

โดยมีหลักเกณฑ์ในการชี้วัดดังตารางนี้

ค่า CCR  ผลการชี้วัด
6.5 สูง
5.0 เหนือเกณฑ์เฉลี่ย
4.5 เกณฑ์เฉลี่ย
4.0 ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
3.0 ต่ำ

 

ดังนั้นหากค่าที่วัดได้ เกินมาตรฐาน  ( มากว่า 5.0 ขึ้นไป ) จะส่งผลให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจแข็ง หรือตีบตันที่เพิ่มขึ้น การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและการรับประทานอาหารให้เหมาะสม จะสามารถควบคุมหรือลดความเสี่ยงลงได้

การตรวจหาค่าของ HDL-c ในร่างกาย
การตรวจหาค่า HDL-c มีจุดประสงค์ คือ เพื่อต้องการทราบปริมาณของไขมันชนิดดีที่มีอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งค่าของ HDL-c ที่ตรวจได้มีปริมาณยิ่งสูงยิ่งดีต่อร่างกาย

ตารางแสดงผลค่า HDL-c ที่วัดได้

การจัดค่า ชาย หญิง
HDL ( mg/dL )
ค่าปกติ > 45 > 55
ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ต่ำ 60 70
ปานกลาง 45 55
สูง 25 35

จากตารางสามารถสรุปได้ว่า สำหรับผู้ชายจะต้องมีค่า HDL-c ในร่างกาย ไม่ต่ำว่า 45 mg/dL ส่วนในผู้หญิงต้องไม่ต่ำว่า 55 mg/dL

กรณีค่า HDL-C มีค่าผิดปกติไปจากมาตรฐาน
สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีดังนี้

1. ตรวจวัด HDL-C ได้น้อยกว่าค่ามาตรฐาน ( เป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นกับร่างกาย  )  อาจแสดงผลว่า

  • อาจเกิดจากมีภาวะมีไขมัน Triglycerides ในกระแสเลือดสูง จนเกิดโรค Hypertriglyceridemia ซึ่งมีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารที่มากไปด้วยแป้งและไขมัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งย่อมมีผลทำให้ ค่า HDL ต่ำลงด้วย
  • อาจเกิดโรคเกี่ยวกับตับ  เช่น โรคตับอักเสบ ( Hepatitis ) หรือตับแข็ง ( Cirrhosis ) ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งตับเป็นผู้ผลิต HDL ขึ้นมา จึงทำให้ปริมาณ HDL ที่สร้างโดยตับลดลงตามไปด้วย
  • มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น เป็นโรคอ้วน , ชอบสูบบุหรี่ , ไม่ออกกำลังกาย , ชอบทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

2. ตรวจวัด HDL-C ได้มากกว่าค่ามาตรฐาน ( เป็นสิ่งดีที่ควรจะเป็น ) อาจแสดงผลว่า

  • เป็นผลมาจากพันธุกรรม ซึ่งเกิดได้ค่อนข้างน้อยมาก
  • เป็นผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที

HDL เป็นไขมันชนิดที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ยิ่งหากมีปริมาณมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดีเท่านั้น ดังนั้นเราควรปรับพฤติกรรมตัวเองให้เป็นไปในทางดี เพื่อสร้าง  HDL ในร่างกายให้มากขึ้น เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้น ผักและผลไม้สด รวมถึงเนื้อปลา และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมอย่างการสูบบุหรี่ เป็นต้น  ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้โดยไม่ยากเกินไปนัก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆกับร่างกายของเรา เช่น โรคหลอดเลือดสมองหรือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น และยังเป็นการช่วยลดคอเลสเตอรอล ในร่างกายให้ต่ำลงได้อีกด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“LDL and HDL: Bad and Good Cholesterol”. Centers for Disease Control and Prevention. CDC. Retrieved 11 September 2017.

“LDL and HDL Cholesterol: What’s Bad and What’s Good?”. American Heart Association. 2 July 2009. Retrieved 8 October 2009.

Jump up ^ Toth PP (Feb 2005). “Cardiology patient page. The “good cholesterol”: high-density lipoprotein”. Circulation. 111 (5): e89–e91. PMID 15699268. 

Betteridge; et al. (2008). “Structural requirements for PCSK9-mediated degradation of the low-density lipoprotein receptor”. PNAS. 105 (35): 13045–13050. 

ประโยชน์ดี ๆ จากอาร์ติโชค ( Artichoke )

0
ประโยชน์ดีๆจากอาร์ติโชค (Artichoke)
อาร์ติโชคเป็นพืชที่มีคุณค่าทางยาสามารถบริโภคสดหรือปรุงเป็นอาหารหรือนำมาสกัดสารไซนาริน รับประทานเพื่อบำรุงรักษาสุขภาพได้ดี
ประโยชน์ดีๆจากอาร์ติโชค (Artichoke)
อาร์ติโชคเป็นพืชที่มีคุณค่าทางยาสามารถบริโภคสดหรือปรุงเป็นอาหารหรือนำมาสกัดสารไซนาริน รับประทานเพื่อบำรุงรักษาสุขภาพได้ดี

อาร์ติโชค

เมื่อกล่าวถึง อาร์ติโชค ( Artichoke ) คนไทยหลายคนคงไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยได้ยินชื่อพืชชนิดนี้มาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพืชชนิดนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยเท่าใดนัก แต่ว่าอาร์ติโชคนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศแถบยุโรปที่มีอากาศหนาวหรือหนาวจัดตลอดทั้งปี อย่างประเทศดาลัต ซาปา เป็นต้น  สำหรับประเทศแถบอาเซียนแล้ว มีประเทศเวียดนามที่มีการเพาะปลูกอาร์ติโชคกันมาก เรียกว่าเดินตลาดผักที่ปรเทศเวียดนามแล้วคุณต้องได้เห็นวางขายอยู่ทั่วไปและในราคาพอกับผักพื้ชบ้านชนิดอื่น

ต้นกำเนิด อาร์ติโชค

อาร์ติโชค มีชื่อสามัญว่า Globe Artichoke เป็นพืชที่อยู่ในตระกูล Asteraceae มีต้นกำเนิดอยู่แถบประเทศอียิปต์ กรีก โรมัน เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว ในปัจจุบับนี้มีการแพร่ขยายพันธุ์มาเขตหนาวเย็น ซึ่งมีความนิยมปลูกกันมาในแอฟริกาตอนเหนือ เมติเตอร์เรเนียน อเมริกาเหนือและประเทศออสเตเรเลีย ส่วนในประเทศไทยนั้นได้มีกานำเข้ามาปลูกอยู่บนทางตอนเหนือของประเทศ โดยมีการปลูกอาร์ติโชคในโครงการหลวงเป็นแห่งแรกเมี่อปี พ.ศ.2558 ลำต้นเป็นพุ่มเล็กๆ สีเขียว มีใบสีเขียวอ่อน ดอกมีกลีบสีเขียวซ้อนกันเป็นชั้น มีลักษณะคล้ายดอกบัว แต่ที่จริงแล้วส่วนที่เราเห็นว่าเป็นกลีบดอกนั้นเป็นเป็นใบเลี้ยงของดอก ส่วนที่เป็นดอกและเกสรดอกจะอยู่ตรงกลางสุดของดอก และส่วนนี้เมื่อแกะเอาเกสรออกจนกหมดจะเหลือส่วนที่เป็นสีขาวที่สามารถรับประทานได้และจัดว่าเป็นส่วนที่อร่อยที่สุดของอาร์ติโชคก็ว่าได้

ประโยชน์ของ อาร์ติโชค

อาร์ติโชค  คือพืชที่สามารถนำมาปรุงอาหารรับประทานและนำมาทำยารักษาโรคได้ ส่วนที่นำมารับประทานได้คือส่วนโคนกลีบและใจกลางดอกซึ่งมีรสชาติหวานมันคล้ายกับถั่ว และมีรสชาติเข้มข้นกว่าส่วนโคนกลีบอยู่มาก การรับประทานกลีบอาร์ติโชคให้ใช้การรูดเอาเนื้อส่วนโคนกลีบออมากินโดยที่ไม่ต้องกินเส้นใยเข้าไปด้วย จะต้มกินเล่นหรือจิ้มกับน้ำพริกได้ทั้งแบบไทยและแบบฝรั่ง หรือจะเอาอาร์ติโชคมาต้มกับเนื้อสัตว์ทำเป็นต้มจืดก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง

การที่ อาร์ติโชค  มีการรับประทานกันมาตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนก็เพราะว่าเป็นผักที่อุดมได้ด้วยสารอาหารทางโภชนาการ นั่นคือ มีวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก วิตามินซีนี้จะเข้าไปช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย โฟเลตและวิตามินบี 6 ที่มีส่วนช่วยในการป้องกันที่เกี่ยวกับหัวใจ โดยที่ทั้งโฟเลตและวิตามินบี 6 นั้นจะเข้าไปทำลายโฮโมชีสทีนที่มีอยู่ในกระแสเลือดออกไป โฮโมชีสทีนนี้เป็นตัวทำลายผนังหลอดเลือดแดงออกเมื่อไม่มีก็จะทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้

โพแทสเซียม ( Potassium ) ในอาร์ติโชคช่วยในการควบคุมความดันโลหิต ป้องกันเส้นเลือดอุดตันที่มีสาเหตุมาจากไขมันที่สะสมอยู่ตามผนังเส้นเลือด ช่วยลดน้ำตาลในเลือดโดยเปลี่ยนน้ำตาลในกระแสเลือดให้เป็นไกลโคเจนที่เป็นแหล่งพลังงานในกล้ามเนื้อ ลดไขมันและคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในกระแสเลือด และยังช่วยบำรุงตับทำให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น กระตุ้นการผลิตน้ำดีของตับ ทำให้มีการหลั่งน้ำดีเข้ามาช่วยในการย่อยอาหารในส่วนของลำไส้ ลำไส้จึงสามารถย่อยไขมันได้ทั้งหมด ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้องที่มีสาเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย และยังป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง ตับอักเสบ ดีซ่าน และถุงน้ำดีอักเสบ ช่วยให้ระบบการขับปัสสาวะเป็นปกติ 

ซิไลมาริน ( Silymarin ) เป็นฟลาโวนอยด์ที่อยู่ในอาร์ติโชคมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ช่วยป้องกันการออกซิเดชั่นของไขมันดีให้เปลี่ยนเป็นไขมันเลวที่เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ หรือไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้

วิตามินซี ( Vitamin C ) ในอาร์ติโชคมีวิตามินซีช่วนในการเสริมสร้างผิว การมองเห็น รักษาแผลและช่วยเรื่องการดูดซึมธาตุเหล็ก

วิตามินเค ( Vitamin K ) วิตามินเคในอาร์ติโชคจะช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือดนอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างกระดูก

จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่า อาร์ติโชค เป็นพืชที่ทรงคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก เหมาะที่จะนำมารับปรุงอาหารรับประทาน แต่ด้วยความที่เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้มีดีในพืชที่ที่มีอากาศหนาวถึงหนาวจัดจึงทำให้ประเทศไทยเพาะปลูกยาก เมื่อปลูกมีการเจริญเติบโตไม่ดี แต่เชื่อว่าในอนาคตมีการพัฒนาสายพันธุ์แล้ว การปลูกในพื้นที่ทั่วประเทศก็คงไม่ยาก และคงเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์กับคนไทยแน่นอน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

Rottenberg, A., and D. Zohary, 1996: “The wild ancestry of the cultivated artichoke.” Genet. Res. Crop Evol. 43, 53–58.

Ceccarelli N., Curadi M., Picciarelli P., Martelloni L., Sbrana C., Giovannetti M. “Globe artichoke as a functional food” Mediterranean Journal of Nutrition and Metabolism 2010 3:3 (197–201).

Cesar G. Fraga. Plant Phenolics and Human Health– Biochemistry, Nutrition and Pharmacology.

มาตรฐานน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปาที่ดีควรเป็นเช่นไร

0
มาตรฐานน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปาที่ดีควรเป็นเช่นไร
น้ำประปาที่ผลิตออกมานั้นมีความบริสุทธิ์สะอาดเทียบเท่ากับน้ำดื่มบรรจุขวด ด้วยมาตรฐานการผลิตน้ำประปาของรัฐบาล
มาตรฐานน้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปาที่ดีควรเป็นเช่นไร
น้ำประปาที่ผลิตออกมานั้นมีความบริสุทธิ์สะอาดเทียบเท่ากับน้ำดื่มบรรจุขวด ด้วยมาตรฐานการผลิตน้ำประปาของรัฐบาล

น้ำดื่มบรรจุขวดและน้ำประปา

น้ำดื่มบรรจุขวด หรือ ภาชนะต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน น้ำมีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนกระทั่งเข้านอนในตอนกลางคืน น้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคในประเทศสหรัฐอเมริการคือ น้ำประปา สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว น้ำประปามีมาตรฐานการผลิตที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ ในการผลิตน้ำประปาจะดูแลและควบคุมโดยหน่วยงานของ  รัฐบาล และมีหน่วยพิทักษ์สิ่งแวดล้อมทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของน้ำประปาที่ผลิตออกมาว่าได้ผ่านมาตรฐานหรือไม่ และนำผลการตรวจสอบมารายงาน ถ้าประชาชนต้องการตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดของน้ำประปาที่ผลิตออกมาว่าได้มาตรฐานหรือไม่ ก็สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ water.epa.gov ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพของน้ำประปานั้นจะต้องทำการตรวจสอบพร้อมทั้งรายงานผลทุกวัน

หน่วยผลิต น้ำประปา หนึ่งแห่งจะมีหน้าที่ผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในชุมชนที่มีประมาณหนึ่งแสนครัวเรือน มาตรฐานการผลิตน้ำประปาของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีมาตรฐานที่สูงมาก เพราะว่าน้ำประปาที่ผลิตออกมาเพื่อประชาชนนั้นได้มีการออกกฏหมายกำหนดมาอย่างชัดเจนว่า น้ำประปาต้องทำให้บริสุทธิ์เท่านั้น จึงจะสามารถปล่อยออกมาสู่ประชาชนได้ ดังนั้นน้ำประปาที่ออกมาประชาชนจึงสามารถดื่มได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปผ่านกระบวนการใดเพิ่มเติมอีก เพราะว่าน้ำประปาที่ผลิตออกมานั้นถือว่าเป็นน้ำที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว

สำหรับ น้ำดื่มบรรจุขวด ที่มีจำหน่ายอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นผลิตโดยบริษัทเอกชน ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมและการตรวจสอบของหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเหมือน น้ำประปา แต่ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหน่วยงานที่ควบคุมอยู่ เพราะน้ำบรรจุขวดนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์การอาหารและยาหรือ FDA ซึ่งองค์กรอาหารและยานี้ไม่ได้ทำการตรวจสอบน้ำดื่มบรรจุขวดโดยตรง แต่บริษัทนั้นสามารถส่งตรวจสอบคุณภาพสถาบันวิจัยเอกชนได้ ส่วนทางองค์การอาหารและยานั้นจะเข้าไปตรวจสอบเฉพาะในขั้นตอนการบรรจุน้ำดื่มลงขวด เพื่อป้องกันสารปนเบื้อนที่จะเข้ามาในขั้นตอนขณะบรรจุเท่านั้น

ด้วยมาตรฐานการผลิตน้ำประปาของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีทั้งด้านสุขภาพและอนามัย น้ำประปาที่ผลิตออกมานั้นมีความบริสุทธิ์สะอาดเทียบเท่ากับน้ำดื่มบรรจุขวดอยู่แล้ว

มาตรฐาน น้ำดื่มบรรจุขวด เน้นคุณภาพเป็นหลักเกณฑ์เพื่อบ่งชี้ถึงความสะอาด และความปลอดภัยของน้ำดื่ม นอกจากนั้นจากโฆษณาของบริษัทน้ำดื่มที่กล่าวว่าน้ำที่นำมาทำการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดนั้นนำมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งบางคนมีความสงสัยว่าแหล่งน้ำที่ว่าอาจจะเป็นแหล่ง น้ำประปา ก็เป็นได้ แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ออกมา หลายคนจึงมองว่าการบริโภคน้ำจากน้ำดื่มบรรจุขวดหรือน้ำประปาในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก  ทว่าการบริโภคน้ำดื่มบรรจุนั้นได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

การที่ น้ำดื่มบรรจุขวด เป็นที่ต้องการของประชาชนนั้น เป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าคนในปัจจุบันนี้ใส่ใจเรื่องสุขภาพเพิ่มขึ้น เพราะว่ามีการลดดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลและน้ำอัดลมลง และหันมาดื่มน้ำบรรจุขวดทดแทน มีการทำสถิติไว้ว่าขวดน้ำดื่มที่คนสหรัฐอเมริกาบริโภคในหนึ่งวัน เมื่อเอามาเรียงต่อกันจะได้ความยาวเท่ากับเส้นรอบโลกเลยที่ดี คิดดูสิว่าทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติกที่จะนำมาบรรจุน้ำดื่มนั้นต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมเป็นจำนวนเท่าใด ถึงแม้ว่าการบริโภคน้ำดื่มที่ไม่ได้ปรุงแต่งจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม แต่ว่าถ้ามีการปรับเปลี่ยนภาชนะที่ใช้บรรจุแทนที่จะเป็นขวดพลาสติกใช้แล้วทิ้งแบบเดิม หันมาใช้ขวดพลาสติกที่ไม่มี BPA เป็นส่วนผสมก็จะช่วยลดมลภาวะของโลกให้น้อยลง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด คือการใช้ภาชนะบรรจุน้ำแบบที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ทั้งแบบที่เป็นขวดสแตนเลสหรือขวดแก้วก็จะยิ่งดี เพื่อช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้ลดลงด้วย เราจะได้อยู่มีธรรมชาติที่สวยงามต่อไปให้ลูกหลาน

เชื่อกันว่าในอนาคตแล้วน้ำประปาในทุกประเทศควรที่จะบริโภคได้ไม่ต่างกับ น้ำดื่มบรรจุขวด ตามแบบประเทศสหรัฐอเมริกา และยังการพัฒนาน้ำประปาเพื่อประชาชนให้มีสุขภาพดีแล้ว มีแนวคิดที่จะเพิ่มสารฟลูออไรด์ในน้ำประปาเป็นการช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับฟันของประชาชน ให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลฟันอีกด้วย อย่างที่เห็นจึงกล่าวได้ว่า น้ำประปา ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นสามารถดื่มได้ไม่ต่างจากน้ำดื่มบรรจุขวด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Van der Leun, Justine (September 2009). “A Closer Look at New Research on Water Safety”. AOL Health. Retrieved September 2009.

Washington’s Gregoire plans 400 million more in budget cuts, Bloomberg Businessweek, December 16, 2010

การตรวจยีนเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์: ใครควรตรวจ และมีประโยชน์อย่างไร?

0
ตรวจยีนส์ก่อนสาย ป้องกันการกลายพันธุ์
การตรวจยีนส์ คือ การตรวจวัดสุขภาพและประเมินความเสี่ยงในระดับยีนส์ของเซลล์ เพื่อประเมินความเสี่ยงการกลายพันธุ์
ตรวจยีนส์ก่อนสาย ป้องกันการกลายพันธุ์
การตรวจยีน คือ การตรวจวัดสุขภาพและประเมินความเสี่ยงในระดับยีนของเซลล์ เพื่อประเมินความเสี่ยงการกลายพันธุ์

การตรวจยีนเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์คืออะไร?

การตรวจยีนเพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ เป็นการตรวจวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมเพื่อค้นหาความผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงของยีนที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ

ความสำคัญของการตรวจยีนต่อสุขภาพ

การตรวจยีนมีความสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและป้องกันโรคทางพันธุกรรม รวมถึงช่วยในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

การตรวจยีนช่วยป้องกันโรคทางพันธุกรรมได้อย่างไร?

การตรวจยีนช่วยระบุความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรม ทำให้สามารถวางแผนป้องกันหรือเริ่มการรักษาแต่เนิ่นๆ ได้

การกลายพันธุ์ของยีนมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร?

การกลายพันธุ์ของยีนอาจส่งผลให้เกิดโรคหรือความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น มะเร็งบางชนิด หรือโรคทางระบบประสาท

ความแตกต่างระหว่างการกลายพันธุ์ของยีนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเอง

การกลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากพ่อแม่ ส่วนการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเองเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือความผิดพลาดในการแบ่งเซลล์

ใครควรตรวจยีน?

การตรวจยีนอาจเหมาะสมสำหรับบุคคลบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคทางพันธุกรรม

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางพันธุกรรมควรตรวจยีนหรือไม่?

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางพันธุกรรมควรพิจารณาตรวจยีนเพื่อประเมินความเสี่ยงของตนเอง

หญิงตั้งครรภ์และคู่สมรสควรตรวจยีนเพื่อป้องกันโรคทางพันธุกรรมของบุตรหรือไม่?

การตรวจยีนในหญิงตั้งครรภ์และคู่สมรสอาจช่วยประเมินความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมในทารก

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งจากกรรมพันธุ์ควรตรวจยีนเมื่อใด?

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการตรวจยีนที่เหมาะสม

ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่หาสาเหตุไม่ได้สามารถได้รับประโยชน์จากการตรวจยีนหรือไม่?

การตรวจยีนอาจช่วยระบุสาเหตุของปัญหาสุขภาพที่ไม่ทราบสาเหตุได้ในบางกรณี

ประเภทของการตรวจยีนมีอะไรบ้าง?

การตรวจยีนมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่แตกต่างกัน

การตรวจยีนเพื่อหาความเสี่ยงของโรคมะเร็งทางพันธุกรรม (เช่น BRCA1 และ BRCA2)

การตรวจยีน BRCA1 และ BRCA2 ช่วยประเมินความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่

การตรวจยีนสำหรับโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมียและฮีโมฟีเลีย

การตรวจยีนสำหรับโรคทางพันธุกรรมช่วยในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา

การตรวจยีนเพื่อประเมินการตอบสนองต่อยา (Pharmacogenomics)

Pharmacogenomics ช่วยแพทย์เลือกยาและขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

การตรวจยีนสำหรับโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน

การตรวจยีนอาจช่วยประเมินความเสี่ยงของโรคทางระบบประสาทบางชนิด

การตรวจยีนมีประโยชน์อย่างไร?

การตรวจยีนมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งในแง่การป้องกันโรคและการวางแผนการรักษา

การตรวจยีนสามารถช่วยป้องกันโรคทางพันธุกรรมได้หรือไม่?

การตรวจยีนช่วยในการประเมินความเสี่ยง ทำให้สามารถวางแผนป้องกันหรือเฝ้าระวังโรคได้

การตรวจยีนช่วยให้สามารถวางแผนสุขภาพเฉพาะบุคคลได้อย่างไร?

ผลการตรวจยีนช่วยในการวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

การตรวจยีนสามารถช่วยแพทย์เลือกการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างไร?

ข้อมูลทางพันธุกรรมช่วยแพทย์เลือกวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลข้างเคียง

ข้อจำกัดและข้อควรระวังในการตรวจยีน

การตรวจยีนมีข้อจำกัดและประเด็นทางจริยธรรมที่ควรพิจารณา

การตรวจยีนสามารถให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนหรือเป็นเพียงการประเมินความเสี่ยง?

การตรวจยีนส่วนใหญ่เป็นการประเมินความเสี่ยง ไม่ใช่การทำนายอนาคตที่แน่นอน

การตรวจยีนมีผลกระทบต่อจิตใจและการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพอย่างไร?

ผลการตรวจยีนอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ จึงควรมีการให้คำปรึกษาทางพันธุศาสตร์

ปัจจัยทางกฎหมายและจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการตรวจยีนมีอะไรบ้าง?

ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการเลือกปฏิบัติเป็นข้อกังวลสำคัญในการตรวจยีน

ขั้นตอนการตรวจยีนและการเตรียมตัวก่อนตรวจ

การเตรียมตัวที่ดีช่วยให้การตรวจยีนมีประสิทธิภาพและได้ผลที่แม่นยำ

การตรวจยีนทำได้อย่างไร?

การตรวจยีนทำได้โดยการเก็บตัวอย่างเลือดหรือเนื้อเยื่อ แล้วนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ควรเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจยีนอย่างไร?

ควรปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาด้านพันธุศาสตร์ก่อนการตรวจ และเตรียมข้อมูลประวัติครอบครัว

ระยะเวลาที่ใช้ในการรับผลตรวจยีนเป็นเท่าใด?

ระยะเวลาในการรับผลตรวจยีนอาจใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ

เมื่อไรควรพบแพทย์เกี่ยวกับการตรวจยีน?

ควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเสี่ยงทางพันธุกรรมหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

อาการหรือประวัติครอบครัวที่บ่งชี้ว่าควรเข้ารับการตรวจยีน

ประวัติครอบครัวที่มีโรคทางพันธุกรรมหรือมะเร็งที่เกิดในอายุน้อยอาจเป็นข้อบ่งชี้ให้ตรวจยีน

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ได้รับผลตรวจยีนผิดปกติ

ผู้ที่ได้รับผลตรวจยีนผิดปกติควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการติดตามและป้องกันโรคอย่างเหมาะสม

การตรวจยีนเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและป้องกันโรคทางพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจตรวจยีนควรผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้น

ผู้ที่กำลังพิจารณาการตรวจยีนควรตระหนักว่า ผลการตรวจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวมสุขภาพ และไม่ได้กำหนดอนาคตอย่างแน่นอน การดูแลสุขภาพโดยรวม การรักษาสมดุลของร่างกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและจัดการกับปัญหาสุขภาพ

หากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางพันธุกรรมหรือผลการตรวจยีน ควรปรึกษาแพทย์หรือที่ปรึกษาด้านพันธุศาสตร์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การตัดสินใจเกี่ยวกับการตรวจยีนและการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมควรเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ ความเสี่ยง และผลกระทบทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้น

ในท้ายที่สุด การตรวจยีนเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการดูแลสุขภาพ การใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคและรักษาสุขภาพในระยะยาว

ร่วมตอบคำถามกับเรา

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Miller BF, Furano AV (April 2014). “Repair of naturally occurring mismatches can induce mutations in flanking DNA”. eLife. 

Rodgers K, McVey M (January 2016). “Error-Prone Repair of DNA Double-Strand Breaks”. Journal of Cellular Physiology. 231

Sharma S, Javadekar SM, Pandey M, Srivastava M, Kumari R, Raghavan SC (March 2015). “Homology and enzymatic requirements of microhomology-dependent alternative end joining”. Cell Death & Disease.

ประเภทและประโยชน์ของน้ำมันไขจากพืช

0
ประเภทและประโยชน์ของน้ำมันไขจากพืช
น้ำมันต่างๆที่สกัดได้จากพืชมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้บริโภคและการใช้งาน
ประเภทและประโยชน์ของน้ำมันไขจากพืช
น้ำมันต่างๆที่สกัดได้จากพืชมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้บริโภคและการใช้งาน

น้ำมันไขจากพืช

น้ำมันพืช ที่ใช้สำหรับการปรุงอาหาร ถือว่าเป็นวัตถุดิบหลักอย่างหนึ่งที่ทุกบ้านและทุกครัวต้องมีติดเอาไว้ใช้ในการประกอบอาหารเมนูต่างๆ  ซึ่งน้ำมันไขจากพืชและสัตว์ น้ำมันไขจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู จะเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างน้ำมันที่มาจากพืชต่างๆที่มีมากมายหลายชนิด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันรำข้าว เป็นต้น โดยน้ำมันที่ได้จากพืชแต่ละ ประเภทนั้นก็มีวัตถุประสงค์ในการใช้แตกต่างกันออกไป และยังรวมถึงความแตกต่างทางด้านประโยชน์ที่จะได้รับจากน้ำมันชนิดต่างๆอีกด้วย ซึ่งประเภทของน้ำมันที่ได้จากพืชที่นิยมนำมาใช้บริโภคมีดังต่อไปนี้

น้ำมันจากพืชมีอะไรบ้าง

1. น้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันพืชที่ได้จากการสกัดของผลมะกอก เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมในการนำมาปรุงอาหารเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพ  มีด้วยกันหลากหลายชนิด โดยส่วนมากน้ำมันมะกอกที่นำมาใช้จะไม่ได้ทำให้บริสุทธิ์เสียก่อน โดยน้ำมันมะกอกชนิดที่มีคุณภาพดีที่สุดจะมีกรดโอลีอิกอิสระสูงสุด 1 กรัมต่อน้ำมัน 100 กรัม ส่วนชนิดที่มีเกรดรองลงมาก็จะมีกรดโอลีอิกอิสระเพิ่มมากขึ้นไปตามลำดับในน้ำมันมะกอกจะประกอบไปด้วย ไขมันอิ่มตัว 8-26% กรดโอลีอิก 55-83% และกรดไลโนลีอิก 3.5-21% และยังประกอบไปด้วย สเควลีนในปริมาณที่สูง มีบีต้าแคโรทีน และมีคอเลสเตอรอลในปริมาณต่ำน้ำมันมะกอกสามารถใช้ทอดอาหารต่างๆ ได้จำนวนครั้งมากว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ  เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณต่ำกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นที่เป็นน้ำมันทอด มีความอยู่ตัวสูงทั้งในอุณหภูมิห้องและอุณหภูมิขณะทอด แต่การนำมาใช้ซ้ำนั้นควรใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารชนิดที่มีความร้อนสูงไม่มาก เพราะการใช้กับอุณหภูมิที่สูงมากๆ จะต้องคำนึงถึง ปฏิกิริยาการเกิดออกซิเดชัน เนื่องจากน้ำมันมะกอกประกอบด้วยกรดไลโนลีอิก 9.2% และคำนึงถึงสภาวะการเกิดไขมันทรานส์อีกด้วย

ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก : ข้อมูลจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา พบว่า ในน้ำมันมะกอกมีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดหัวใจได้จึงได้มีข้อแนะนำว่าให้เลือกใช้น้ำมันมะกอกแทนการใช้น้ำมันชนิดที่มีกรดไขมันอิ่มตัวในการปรุงอาหารต่างๆ กรดโอลีอิกที่อยู่ในน้ำมันมะกอก สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอลได้  จึงช่วยทำให้ลดภาวะความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและลดความดันโลหิตได้

2. น้ำมันงา

เป็นน้ำมันพืชที่ผลิตจากน้ำมันงา คือ น้ำมันที่ได้จากการนำเมล็ดของงามาผ่านกรรมวิธีแปรรูป โดยจะใช้วิธี บีบ อัด ให้ความร้อนเพื่อให้ได้น้ำมันงา โดยส่วนมากจะเป็นชนิดงาดำ แล้วจึงนำมาแยกตะกอนออกอีกครั้ง น้ำมันงาประกอบไปด้วย กรดไขมันอิ่มตัว 80% โดยเป็นกรดโอลีอิกและกรดไลโนลีอิก ประมาณ 40% เป็นกรดไขมันอิ่มตัว 20%  นิยมใช้เป็นสารแต่งกลิ่นในอาหาร แต่ในการประกอบอาหารไม่ควรใช้ในอุณหภูมิที่สูงมากเกินไป เพราะจะได้คงสภาพกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเอาไว้ ไม่ให้สูญเสียไปกับความร้อน

ประโยชน์ของน้ำมันงา : ทั้งงาและน้ำมันงาล้วนมีประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายมากมาย ช่วยชะลอความแก่และป้องการโรคต่างๆได้หลายชนิด  ในน้ำมันงาจะมีสารประกอบในกลุ่มของลิกแนน เช่น เซซามีน สเตอรอล เซซาโมลิน และโทโคฟีรอล  ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งสารต่างๆเหล่านี้เป็นสารที่จะไปช่วยในการต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชันหรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และในน้ำมันงายังมี เซซาโมลินที่จะไปยับยั้งการดูดกลืนและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลอีกด้วยน้ำมันงามีความอยู่ตัวต่อปฏิกิริยาออกซิเดชัน มากกว่าน้ำมันพืชอื่นในชนิดอื่นๆ เนื่องจากมีสารยับยั้งในปริมาณสูงและออกฤทธิ์ได้ดี แต่สารเหล่านี้อาจจะมีปริมาณลดลงถ้ามีการทำน้ำมันงาให้มีความบริสุทธิ์มากขึ้นหากใช้น้ำมันงาผสมกับน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ที่มีส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง  เช่น น้ำมันรำข้าวและน้ำมันถั่วเหลือง จะช่วยให้อาหารที่ทอดด้วยน้ำมันชนิดนี้ จะช่วยเพิ่มความอยู่ตัวของน้ำมันและอาหารทอดได้ นอกจากนี้ยังนิยมนำน้ำมันงามาผสมกับน้ำมันรำข้าวเพื่อใช้เป็นสารกันหืนสำหรับอาหารที่ใช้นำมันทอด โดยน้ำมันชนิดนี้จะมีฤทธิ์เป็นสารป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในอาหาร  

3. น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน

น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน เป็นน้ำมันพืชชนิดหนึ่งที่ได้สกัดได้มาจากเมล็ดของดอกทานตะวัน โดยนำเมล็ดของดอกทานตะวันมาบีบอัดให้เหลือแต่น้ำมัน มีส่วนประกอบของ กรดไลโนลีอิก 65-75%  กรดโอลีอิก 13-21% และยังมี โทโคฟีรอล ที่พบได้มากโดยเฉพาะชนิดแอลฟา นอกจากนี้ในน้ำมันทานตะวันยังมีสาร ไฟโตสเตอรอลซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารกันหืน ทำให้น้ำมันไขมีความอยู่ตัวต่อปฏิกิริยาออกซิเดชันน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพดี นิยมนำไปใช้เป็นน้ำมันในเมนูสลัด แต่ก็มีข้อจำกัดคือไม่สามารถใช้ประกอบอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงได้ โดยเฉพาะเมนูทอด เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งในปริมาณมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย และยังไปลดปริมาณของระดับคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันชนิดไม่ดี) และเอชดีแอล (ไขมันชนิดดี) ลงอีกด้วย

ประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน : เนื้อในเมล็ดทานตะวันมีสารอาหารที่ช่วยลดภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคอื่น รวมทั้งมีสารชะลอปฏิกิริยาออกซิเดชันและมีสารอาหารอื่นๆที่เป็นประโยชน์มากมายต่อร่างกาย หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม

4. น้ำมันรำข้าว

น้ำมันรำข้าว เป็น น้ำมันพืช ที่ได้มาจากการสกัดรำข้าวดิบ มีส่วนประกอบของเอนไซด์มากมายหลายชนิดซึ่งสามารถทำให้เกิดกรดไขมันอิสระได้ 5-7% ต่อวันดังนั้นหากจะสกัดน้ำมันจากรำข้าวต้องทำทันทีหลังจากขัดสีข้าว และรำข้าวต้องมีกรดไขมันไม่เกิน 5 %ในน้ำมันรำข้าวก่อนทำให้บริสุทธิ์ จะมีส่วนประกอบของกลีเซอไรด์ 85-88% นอกจากนั้นจะเป็นสารประกอบ สเตอรอล โทโคฟีรอล ไฮโดรคาร์บอนและอื่นๆ ประมาณ 4 %ในส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ 17-23% เป็นกรดพาลมิติก  12-28% ในขณะที่มีกรดโอลีอิก 35-50% ไลโนลีอิก 29-45% และไลโนลีนิก 1%  ส่วนที่ไม่ใช่กลีเซอไรด์มี 14-17%น้ำมันรำขาวเหมาะสำหรับในการปรุงอาหารที่มีความร้อนไม่สูงมาก เช่น ผัด เพื่อให้คงรักษาคุณประโยชน์ที่จะได้จากน้ำมันรำข้าวเอาไว้  และไม่ควรใช้น้ำมันรำข้าวทอดอาหารเป็นเวลานานเพราะอาจจะเกิดไขมันทรานส์ได้ในอาหารชนิดนั้น

ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว : น้ำมันพืชจะมีชื่อเรียกตามวัตถุดิบที่นำมาผลิตนั่นเอง น้ำมันรำข้าวมีสรรพคุณที่ดีมากมาย เช่น สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ ช่วยลดอาการเส้นเลือดแดงอุดตันระยะเริ่มต้นลดการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ และลดอัตราการดูดซึมคอเลสเตอรอลได้ เนื่องจากในน้ำมันรำข้าวมีสารประกอบอย่าง  โทโคฟีรอล โทโคไทรอีนอล โอรายซานอล และไฟโตสเตอรอล ที่ช่วยชะลอการเกิดอนุมูลอิสระช่วยยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล ( ไขมันชนิดไม่ดี ) และช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อสภาวะการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆได้อีกด้วยน้ำมันรำข้าวที่ทำให้บริสุทธิ์โดยการตกผลึก เหมาะสำหรับการใช้ทำน้ำสลัด และการผลิตมายองเนสส่วนของผลิตก็สามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเนยเทียม และเนยขาวได้ในน้ำมันรำข้าว มีกรดไขมันพาลมิติก ซึ่งทำให้เกิดสมดุลของการตีให้ฟูการคงรูปร่างเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง เมื่อนำไปผสมกับน้ำมันชนิดอื่น เช่น  น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง ก็จะยิ่งทำให้น้ำมันนั้น มีความอยู่ตัวที่ดีขึ้นในการนำไปประกอบอาหารเมนูต่างๆด้วยวิธีการทอด 

น้ำมันพืช เป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการประกอบอาหารเมนูต่างๆ ที่สกัดได้จากพืชมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป

5. น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย

น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย คือ น้ำมันที่ทำมาจากเมล็ดของดอกคำฝอย  โดยปกติในเมล็ดของดอกคำฝอยเองนั้นจะมีปริมาณของน้ำมันสะสมอยู่ ประมาณ 25-37% มีส่วนประกอบของกรดโอลิอิก 12-19% กรดไลโนลิอิก 68-78 %น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย เหมาะสำหรับประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนไม่สูงมากนัก  ทำให้ไม่เหมาะที่จะใช้กับการปรุงอาหารแบบทอด เพราะการทอดต้องใช้ความร้อนที่สูง เนื่องจากในน้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งในปริมาณที่สูง โดยปกติน้ำมันเมล็ดดอกคำฝอยชนิดนี้จะนิยมนำไปใช้กับผู้ที่ทานอาหารแบบมังสวิรัติ หรือผู้ที่เน้นทานอาหารเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังถูกนำไปแปรรูปเป็นเครื่องสำอาง และยารักษาโรค ส่วนในทางอุตสหกรรม น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย สามารถนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์น้ำยาผสมสีและน้ำยาเคลือบผิวได้อีกด้วย

ประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย : น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย ช่วยลดปริมาณคลอเรสตอรอลในเส้นเลือดให้ลดลง เนื่องจาก กรดไลโนลิอิกไปทำปฎิกิริยากับคลอเรสตอรอลให้เปลี่ยนเป็นคลอเรสตอรอลไลโนลีเอต ทำให้เอนไซด์ที่สังเคราห์ไขมันในร่างกายทำงานลดลง ซึ่งก็จัมีผลดีในเรื่องการลดความเสี่ยงการเกิดโรคไขมันอุดตันตามหลอดเลือดด้วย

6. น้ำมันถั่วเหลือง

น้ำมันถั่วเหลือง คือน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดของถั่วเหลือง เป็นที่นิยมในการนำไปประกอบอาหาร หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่สูงมาก น้ำมันถั่วเหลืองประกอบไปด้วยปริมาณของกรดไขมันอิ่มตัว 10-19% และกรดไขมันไม่อิ่มตัว 80-90% โดยมีกรดไลโนลีอิก 35-60% กรดโอลีอิก 20-50% และกรดไลโนลีนิก 2-13% มีองค์ประกอบที่ไม่ใช่ กลีเซอไรด์ 0.35% ซึ่งมีสเตอรอล สเควลีน และโทโคฟีรอล สตอรอลที่พบ ในน้ำนมถั่วเหลืองส่วนใหญ่เป็นไฟโตสเตอรอลน้ำมันถั่วเหลืองเหมาะสำหรับปรุงอาหารที่มีความร้อนไม่สูงมากและไม่เหมาะกับการนำไปทอดอาหารต่างๆ เนื่องจาก กรดไลโนลีนิกที่อยู่ในน้ำมันถั่วเหลืองอาจจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระและเกิดเป็นสารพิษในน้ำมันได้

ประโยชน์ของน้ำมันถั่วเหลือง : น้ำมันถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบที่ดีเหมาะสำหรับการใช้ผลิตเนยขาวโดยเนยขาวที่ทำจากน้ำมั่นถั่วเหลืองยังเป็นส่วนผสมที่ดีสำหรับการทำน้ำตาลไอซิ่ง และสำหรับครีมในไส้ขนมชนิดต่างๆ และน้ำมันถั่วเหลืองยังนิยมนำไปใช้ทำขนมประเภทที่ไม่ต้องการขึ้นฟูมากนักอีกด้วย นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบของมายองเนสและน้ำสลัดได้อีกด้วยน้ำมันถั่วเหลืองใช้เป็นส่วนผสมของอาหารกระป๋องและอาหารแห้งได้หลายประเภท อีกทั้งใช้ได้ดีในกลุ่มอาหารเรียนแบบผลิตภัณฑ์นมหลายชนิด เช่นเนยเทียม ไอศกรีม ครีมเทียม เป็นต้น

7. น้ำมันถั่วลิสง

น้ำมันถั่วลิสง คือ น้ำมันที่ผลิตได้จากเมล็ดถั่วลิสง โดยปกติแล้วในเมล็ดถั่วลิสงจะมีน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 40-50%  และมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ กรดโอลิอิก 44-46 % กรดไลโนลิอิก 3-34% กรดพาลมิติก 10% และกรดไขมันชนิดอื่นๆอีกเล็กน้อย น้ำมันถั่วเหลืองมีข้อเสียคือ จะเหม็นหืนได้ง่าย เป็นน้ำมันประเภทที่มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในปริมาณที่สูง และไม่เหมาะสมที่จะนำไปประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง หากนำไปใช้ในการทอดอาหารไม่ควรใช้เวลาที่นานเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดไขมันทรานส์ได้ในอาหารชนิดนั้น

ประโยชน์ของน้ำมันถั่วลิสง : ไขมันดีในน้ำมันถั่วลิสง จะไปทำปฏิกิริยากับคอเลสเตอรอลทำให้คอเลสเตอรอลลดลงกลายเป็นฮอร์โมนต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต กรดน้ำดี ฮอร์โมนเพศ เป็นต้น

8. น้ำมันปาล์มโอลีอิน

น้ำมันปาล์มโอลีอิน เป็น น้ำมันพืช ที่ผลิตได้จากผลของต้นปาล์ม นิยมนำไปประกอบอาหาร โดยน้ำมันชนิดนี้เหมาะกับปรุงอาหารด้วยวิธีการทอดที่ต้องใช้ความร้อนสูงๆ ที่น้ำมันพืชหลายๆชนิดไม่สามารถทำได้ เนื่องจากในน้ำมันปาล์ม มีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง จึงทำให้มีความอยู่ตัวสูง มีกรดไลโนลินิก น้อยกว่า 1% โอกาสที่จะเกิดการก่อตัวของอนุมูลอิสระก็ทำได้ยากขึ้นด้วยมีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัว 51-58% ที่เหลือเป็นกรดไขมันอิ่มตัว มีกรดพาลมิติก 38-42% มีกรดโอลีอิก 41-44% แล้วกรดไลโนลีอิก 10-13% แคโรทีนอย โทโคฟีรอล สเตอรอลและอื่นๆ 1% มีโทโคไทรอีนอลชนิดแกมมาซึ่งเป็นสารกันหืนในปริมาณสูงสุด สารดังกล่าวจะมีปริมาณลดลงประมาณ 50% จากการผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์และการแยกส่วนน้ำมันชนิดนี้ เมื่อนำไปใช้ทอดอาหารอาจจะมีควันที่มาก อาหารที่ใช้ทอดจะไม่มีกลิ่นหรือรสที่มาจากน้ำมัน เนื่องจากมีโทโคฟีรอย  กับโทโคไทรอีนอล ซึ่งเป็นสารกันหืนในอาหาร น้ำมันสามารถใช้งานได้นานหลายครั้งกว่าชนิดอื่น เกิดฟองน้อย

ประโยชน์ของน้ำมันปาล์มโอลีอิน : น้ำมันปาล์มโอลีอีนที่ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ จะปราศจากคอเลสเตอรอล ทำให้การบริโภคอาหารที่ใช้น้ำมันปาล์มโอลีอินเป็นส่วนประกอบ จะไม่ส่งผลกระทบต่อระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดในหัวใจได้ด้วย นอกจากนั้นน้ำมันปาล์มยังมีวิตามินอีซึ่งประกอบด้วยโทโคฟีรอลและโทโคไทรอีนอล โทโคไทรอีนอลสามารถลดคอเลสเตอรอลในเลือด และสามารถช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งในร่างกาย เนื่องจาก ในน้ำมันปาล์มโอลิอิน จะมีปริมาณของสารแคโรทีนที่สูงน้ำมันปาล์มโอลีอิน ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตเนยเทียมชนิดอ่อน และเนยขาวผลึกของปาล์มโอลีอินเหมาะสำหรับใช้ในเนยขาวชนิดที่ต้องการตีให้ขึ้นฟูเช่น ใช้ทำขนมเค้ก และยังสามารถใช้น้ำมันปาล์มโอลีอินในไอศกรีมแทนไขมันนม ผลิตภัณฑ์ที่ใช้น้ำมันปาล์มโอลีอินเป็นองค์ประกอบได้แก่ ซุป เค้กผง น้ำพริกแกง อาหารเช้าธัญพืชและขนมอบ เป็นต้น 

9. น้ำมันวอลนัต

น้ำมันวอลนัต คือ น้ำมันพืช ชนิดหนึ่งที่ถูกผลิตขึ้นมาโดยใช้ลูกวอลนัตเป็นวัตถุดิบ มีสีจาง รสนุ่มนวลและมีกลิ่นหอมเหมือนถั่ว สามารถนำมาประกอบอาหารได้ น้ำมันชนิดนี้ไม่เหมาะในการทำในประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เพราะความร้อนที่สูงจะทำให้คุณค่าของน้ำมันวอลนัตหายไป ซึ่งจะนิยมนำน้ำมันวอลนัตไปใช้ประกอบอาหารอย่างเช่น ทำน้ำสลัด

ประโยชน์ของน้ำมันวอลนัต : น้ำมันวอลนัตช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและยับยั้งการอักเสบสามารถเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยดักจับและทำลายเซลล์แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย จากสารโอเมก้า3 ที่มีอยู่ในน้ำมันวอลนัตน้ำมันวอลนัตยังสามารถใช้เคลือบงานไม้ในการทำอุปกรณ์เครื่องครัวอย่างเช่น เขียงและชามสลัด เนื่องจาก น้ำมันวอนัตมีคุณสมบัติทำให้สีแห้งเร็วและไม่ออกสีเหลืองจนเกินไป ทำให้เหมาะแก่การทำให้สีมีความสดใสขึ้น และสามารถใช้ทำความสะอาดแปรงสีได้ด้วย

10. น้ำมันเมล็ดฝ้าย

น้ำมันเมล็ดฝ้าย เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดฝ้ายโดยใช้วิธีการกลั่นและการบีบ โดยจะมีสีใสออกไปทางเหลือง เป็นน้ำมันที่ไม่มีคอเลสเตอรอลมีองค์ประกอบหลักคือกรดไขมันอิ่มตัว 23-28% ที่เหลือเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวซึ่งมีกรดไลโนลีอิก 44-53% และกรดโอลีอิก 22-28% ก่อนทำให้น้ำมันเมล็ดฝ้ายบริสุทธิ์ จะมีสีน้ำตาลแดง และมีองค์ประกอบที่ไม่ใช่กลีเซอไรด์ประมาณ 2% เมื่อผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์แล้ว สารเหล่านี้จะถูกกำจัดออกไปเกือบหมด โทโคฟีรอล ที่พบมีตั้งแต่ชนิดแอลฟาหรือวิตามินอี ถึงแกมมาซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สเตอรอลที่พบมากคือไฟโตสเตอรอลน้ำมันเมล็ดฝ้าย เหมาะสำหรับประกอบอาหารที่มีความร้อนไม่สูงมาก เนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งเป็นจำนวนมาก และยังสามารถเกิดไขมันทรานส์ได้หากนำไปใช้ซ้ำหลายๆครั้ง

ประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดฝ้าย : น้ำมันเมล็ดฝ้ายสามารถใช้ผลิตเนยขาวที่มีสมบัติด้านการกักเก็บฟองอากาศมีเนื้อสัมผัสเรียบเนียนและตีให้เกิดครีมได้ดีนอกจากนี้น้ำมันเมล็ดฝ้ายยังเป็นแหล่งของกรดไลโนลีอิกซึ่งเป็นสาระสำคัญในร่างกายที่ดีอีกด้วย

11. น้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าว เป็น น้ำมันพืช ที่สกัดแยกน้ำมันจากเนื้อผลของต้นมะพร้าวโดยองค์ประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าวคือกรดไขมันอิ่มตัวประมาณ 90% และยังประกอบไปด้วย กรดลอริก 45-53% มีกรดไขมันที่จำนวนอะตอมของคาร์บอนเป็น 6, 8 และ 10 รวมกันอยู่ในปริมาณ 10-15% ในการประกอบอาหารน้ำมันมะพร้าว ไม่เหมาะในการใช้ในเมนูการทอดที่ใช้น้ำมัน เยอะหรือท่วมอาหาร เนื่องจาก เป็นน้ำมันชนิดที่มีจุดเกิดควันค่อนข้างต่ำ และสามารถเกิดฟองได้ แต่สามารถนำมาประกอบเมนูอาหารทอดที่ใช้น้ำมันน้อยๆ ในปริมาณที่สูงกว่าผิวกระทะเพียง 2-3 มิลลิเมตร ได้เหมือนน้ำมันอื่นๆปกติ

ประโยชน์จากน้ำมันมะพร้าว : น้ำมันมะพร้าวสามารถต่อต้านเชื้อโรค และช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายด้วยแอลกอฮอล์ รวมทั้งปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันการอักเสบน้ำมันมะพร้าวที่ยังไม่ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์มีส่วนประกอบที่ไม่ใช่กลีเซอไรด์ 0.5 % ส่วนใหญ่เป็นโทโคฟีรอล สเตอรอลและสเควลีน โดยสเตอรอลส่วนใหญ่เป็นโฟโตสเตอรอล ซึ่งสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้น้ำมันมะพร้าวสามารถใช้เป็นส่วนประกอบในการทำครีมเทียม ที่ใช้ในการประกอบอาหารได้ด้วย และรวมถึงครีมในการทำขนม สำหรับขนมบิสกิต ทำไอศกรีมที่มีนมเป็นส่วนผสม รวมถึง ใช้เป็นส่วนผสมของช็อคโกแลตเคลือบไอศกรีมได้ด้วย และยังใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเด็กและอาหารของคนไข้ เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นแหล่งของกรดไขมันชนิดที่ถูกดูดกลืนได้ง่ายในระบบทางเดินอาหาร จึงแปลงไปเป็นแหล่งพลังงานอย่างรวดเร็ว และไม่สะสมเป็นไขมันส่วนเกิน

12. น้ำมันคาโนลา

น้ำมันคาโนลา ได้มาจากการนำเมล็ดของต้นคาโนลามาผลิตเป็นน้ำมันโดยต้นคาโนลานั้น มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศแคนาดามีสารที่สำคัญคือกรดไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตำแหน่งโดยเฉพาะกดโอลีอิก 60-62% มีกรดไขมันอิ่มตัว 6% มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 34-38% เป็นน้ำมันที่เหมาะสำหรับใช้ในการประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนที่ไม่สูงมาก เนื่องจากความร้อนจะทำให้สารอาหารที่ดีและมีประโยชน์ในน้ำมันมะพร้าวละเหยหายไปจนหมด

ประโยชน์ของน้ำมันคาโนลา : น้ำมันคาโนลา สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก  มีสารไฟโตสเตอรอลที่ช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลในปริมาณสูงน้ำมันคาโนลา สามารถใช้เป็นส่วนประกอบในการทำน้ำสลัด และ เป็นส่วนผสมในการทำเนยเทียมและเนยขาวได้อีกด้วย   

13. น้ำมันข้าวโพด

น้ำมันข้าวโพด เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากผลของข้าวโพด สามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้มีสารประกอบที่สำคัญคือ มีกรดไขมันที่เป็นองค์ประกอบหลัก 5 ชนิด ปริมาณรวมทั้งสิ้น 99%  ของกรดไขมันทั้งหมด กรดไขมันเหล่านี้ได้แก่ กรดไลโนลีอิก 60% กรดโอลีอิก 26% กรดพาลมิติก 11% กรดสเตียริก 2%  และกรดไลโนลีนิก 1% ซึ่งน้ำมันข้าวโพดที่ผลิตในแต่ละประเทศก็มีองค์ประกอบของกรดไขมันที่แตกต่างกันออกไป ตามสภาพอากาศและพันธุ์ของข้าวโพดในประเทศนั้นๆ น้ำมันข้าวโพด เหมาะสำหรับประกอบอาหารที่มีความร้อนไม่สูงมาก แต่ไม่ควรนำมาใช้ทอดอาหารเนื่องจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถเกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย

ประโยชน์ของน้ำมันข้าวโพด :น้ำมันข้าวโพดเป็นชนิดน้ำมันที่มีคอเลสเตอรอลในปริมาณที่ต่ำมาก และเป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกายหลากหลายชนิดน้ำมันข้าวโพดมีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ถึงแม้ว่าจะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณค่อนข้างมาก แต่น้ำมันข้าวโพดค่อนข้างอยู่ตัวที่อุณหภูมิห้องน้ำมันข้าวโพด มักนิยมนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร อย่างเช่น  การใช้เป็นส่วนผสมของน้ำสลัด การทำเนยเทียม เนยขาวชนิดเหลวมายองเนส และใช้เคลือบเนื้อสัตว์ สัตว์ปีกและอาหารอบ

จะเห็นได้ว่าน้ำมันต่างๆ ที่สกัดได้จากพืชมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ดังนั้นในฐานะผู้บริโภคถือว่าโชคดีที่มีตัวเลือกในการบริโภคที่หลากหลายแต่ควรเลือกและศึกษาข้อมูลของ น้ำมันพืช ชนิดที่จะนำไปบริโภคว่า เหมาะสมกับตนเองหรือไม่ และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำเมนูประเภททอดที่ต้องเลือกประเภทน้ำมันจากพืชให้เหมาะสม เพื่อที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบริโภคผลิตภัณฑ์น้ำมันที่สกัดได้จากพืชอย่างมากที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

“What are cold pressed oils?”. World’s Healthiest Foods. Retrieved 2011-10-11.

Karl A. D. Swift (2002). “Commercial Essential Oils: Truths and Consequences”. Advances in flavours and fragrances: from the sensation to the synthesis. Royal Society of Chemistry. p.57.

“Hexane solvent oil extraction – Definition, Glossary, Details”. Oilgae. Retrieved 2011-11-10.

แคลเซียมแร่ธาตุจำเป็นสำหรับกระดูกและฟัน ( Calcium )

0
แคลเซียมแร่ธาตุจำเป็นสำหรับกระดูกและฟัน (Calcium)
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญทำหน้าที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนในร่างกายพบมากในกระดูกและฟัน
แคลเซียมแร่ธาตุจำเป็นสำหรับกระดูกและฟัน (Calcium)
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญทำหน้าที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนในร่างกายพบมากในกระดูกและฟัน

แคลเซียม คือ อะไร ?

แคลเซียม ( Calcium ) หรือ แคลเซียมคาบอเนต เป็นแร่ธาตุที่จําเป็นต่อร่างกายชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้มากในร่างกาย ตรวจพบแคลเซียมอยู่มากกว่า 1,200 กรัมซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะพบอยู่ในกระดูกและฟันในรูปของแคลเซียมฟอสเฟต ( Calcium  Phosphates ) มากที่สุด ทั้งนี้ยังพบแคลเซียมได้ในเลือดจับตัวอยู่กับโปรตีนส่วนแคลเซียมที่เหลือก็จะอยู่ในรูปของ เนื้อเยื่อและของเหลวในร่างกายนั่นเอง  นอกจากนี้ แคลเซียม ครึ่งหนึ่งก็จะจับเข้ากับโปรตีนในเลือด และอีกครึ่งหนึ่งก็จะลอยอยู่ในน้ำเลือดไม่จับกับอะไรทั้งสิ้น และถูกควบคุมโดยพาราธัยรอยด์ฮอร์โมน ส่วนการทำงานของแคลเซียม มักจะทำงานได้ดีเมื่อทำงานไปพร้อมกับ วิตามินเอ แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินดีและวิตามินซี สำหรับอัตราในการดูดซึมของแคลเซียม ในวัยเด็กจะมีการดูดซึมเพื่อนำไปใช้ในการสร้างกระดูกมากกว่าที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเด็กนั่นเอง แต่ในวัยผู้ใหญ่ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีการดูดซึมแคลเซียมจากกระดูกออกมาใช้ประโยชน์มากขึ้น จึงเป็นผลให้กระดูกเปราะบางและเกิดภาวะกระดูกพรุน กระดูกแตกหักง่ายในที่สุด โดยจะพบว่าผู้หญิงเสี่ยงกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า

วัยสูงอายุควรเน้นการทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงหมั่นออกกำลังกายและเลี่ยงสาเหตุที่เป็นตัวการทำลายกระดูกก็จะช่วยลดปัญหาโรคกระดูกและฟันได้

หน้าที่ของแคลเซียม

แคลเซียม มีความสําคัญในการสร้างกระดูกและฟัน เพื่อให้กระดูกและฟันมีความแข็งแรงมากขึ้น โดยพบว่าในเถ้ากระดูกจะมีแคลเซียมอยู่ร้อยละ 50 ซึ่งพบว่าจะอยู่ในรูปของแคลเซียมไตรฟอสเฟต ( Calcium Triphosphates ) ร้อยละ 85 แคลเซียมคาร์บอเนต ( Calcium Carbonate ) ร้อยละ 12 และแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Calcium Hydroxide) ร้อยละ 3 นอกจากนี้สารประกอบของแคลเซียมส่วนใหญ่จะอยู่ที่ตอนปลายของกระดูกเรียกว่า ทราเบคูลาร์ ( Trabecular ) นั้น หากร่างกายได้รับปริมาณแคลเซียมอย่างเพียงพอ ทราเบคูลาร์จะเกิดการพัฒนาและทำให้ส่วนปลายของกระดูกมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น และยังช่วยให้ระดับของแคลเซียมในเลือดเกิดความสมดุลอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย นอกจากนี้คนเราจะมีความหนาแน่นของกระดูกมากที่สุดโดยผู้หญิงจะอยู่ช่วงอายุ 25 – 30 ปี และผู้ชายจะอยู่ช่วงอายุ 30 – 35 ปี และหลังจากช่วงอายุดังกล่าว เนื้อกระดูก และฟันซึ่งมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงไปนั่นก็เพราะในช่วงวัยดังกล่าวจะมีการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากกว่าการดึงเอาแคลเซียมเข้าไป ความหนาแน่นของกระดูกและฟันจึงเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะแคลเซียมจำเป็นต่อกระดูกและฟันเมื่อฟันขาดแคลเซียมจะทำให้ฟันโยกหลุดได้ง่ายเมื่อกระดูกขาดแคลเซียมจะทำให้เป็นโรคกระดูกได้ง่าย โดยในวัยสูงอายุจะเห็นได้จากการเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกเปราะบางหักง่ายนั่นเอง ดังนั้นวัยสูงอายุจึงควรเน้นการทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง หมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ และเลี่ยงสาเหตุที่เป็นตัวการทำลายกระดูกก็จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้ดี

1. แคลเซียมมีความจำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท

โดยพบว่ากล้ามเนื้อจะมีความไวต่อการกระตุ้นเพื่อมีแคลเซียมต่ำ และหากมีแคลเซียมมากเกินไป ก็อาจจะไปกดการทำงานของกล้ามเนื้อได้อีกด้วย เช่นทำให้หัวใจหยุดเต้นในท่าบีบตัว และการทำงานของประสาทเกิดการเฉื่อยชาลง เป็นต้น ดังนั้นการได้รับแคลเซียมอย่างพอเหมาะจึงมีความสำคัญมากต่อการเต้นของหัวใจ และทำให้หัวใจแข็งแรงยิ่งขึ้นและเป็นตัวเร่งและช่วยในการยับยั้งการทำงานของน้ำย่อยหลากหลายชนิด 

2. แคลเซียมเป็นตัวเร่งการแข็งตัวของลิ่มเลือด

ในภาวะที่มีเลือดออก เลือดจึงแข็งตัวเร็วขึ้น จึงช่วยยับยั้งไม่ให้เลือดไหลออกมามากเกินไปได้ดี โดยมีกระบวนการตามภาพดังนี้

                  Platelets 

                                          ↓                 Ca++

   Prothrombin            Tromboplastin       Thrombin

——-→

                         Ca++              ↓

                                          Fibrinogen     →→→       Fibrin

                                                       ( Clot )

ภาพแสดงหน้าที่ของแคลเซียม ในการช่วยการแข็งตัวของเลือด     

  • แคลเซียมช่วยกระตุ้นการย่อยโปรตีนของน้ำนม ทำให้โปรตีนในน้ำนมถูกย่อยง่ายขึ้น
  • ทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของการเป็นกรดและด่างในร่างกาย โดยจะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายมีการสะสมของกรดและด่างที่มากเกินไปนั่นเอง
  • ช่วยในการสังเคราะห์ อะซิทิลโคลีน ( Acetylcholine ) โดยเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อการส่งกระแสความรู้สึกของระบบประสาทเป็นอย่างมาก
  • แคลเซียมเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมวิตามินบี 12 ที่บริเวณลำไส้เล็กตอนปลาย ให้มีการดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น
  • แคลเซียมทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของ Intracellular Cement หรือสารสื่อประสาทที่เชื่อมยึดกับเซลล์ เพื่อให้เซลล์สามารถคงตัวอยู่ได้

องค์ประกอบทางเคมีของแคลเซียม

เป็นหนึ่งในโลหะอัลคาไลน์เอิร์ธของกลุ่มที่ 2 (ไอไอเอ) ของตารางธาตุ มันเป็นธาตุโลหะที่ส่วนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ในร่างกายมนุษย์ แคลเซียม คุณสมบัติขององค์ประกอบ
1. เลขอะตอม 20
2. น้ำหนักอะตอม 40.078
3. จุดหลอมเหลว 842 ° C (1,548 ° F)
4. จุดเดือด 1,484 ° C (2,703 ° F)
5. แรงดึงดูดเฉพาะ 1.55 (20 ° C หรือ 68 ° F)
6. สถานะออกซิเดชั่น +2
7. การกำหนดค่าอิเล็กตรอน 1s ยกกำยัง 2 , 2s ยกกำยัง2 , 2p ยกกำยัง 6 , 3s ยกกำยัง2

ระดับแคลเซียมที่ต้องการ คือ 8.3 – 9.5
ระดับฟอสฟอรัสที่ต้องการ คือ 3.5 – 5.5

ร่างกายมีการดูดซึมแคลเซียมได้อย่างไร?

ร่างกายของคนเราจะสามารถดูดซึมแคลเซียมได้บริเวณลำไส้เล็กตอนต้น โดยจะดูดซึมที่ประมาณ 30–40 ของปริมาณที่บริโภค และที่เหลือก็จะขับออกมาทางอุจจาระ และปัสสาวะอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ในกรณีที่ทานอาหารที่มีโปรตีนสูง จะทำให้มีการขับถ่ายแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะมากขึ้น และจะหยุดการดูดซึมตรงส่วนล่างของลำไส้ ตรงส่วนที่อาหารมีสภาพเป็นด่าง

นอกจากนี้หากแคลเซียมอยู่ในรูปที่ไม่สามารถละลายน้ำในลำไส้ได้ ก็จะทำให้การดูดซึมแย่ลงได้เหมือนกัน และที่สำคัญความสามารถในการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของวิตามินดีด้วย อย่างไรก็ตามหากปริมาณของแคลเซียมที่ได้รับจากอาหารน้อยมาก ในขณะที่มีวิตามินดีอย่างเพียงพอ ก็จะเกิดการยืมแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ซึ่งก็จะส่งผลให้เป็นโรคกระดูกอ่อนตามมาได้

ร่างกายได้รับแคลเซียมมากเกินไป แคลเซียมส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมจะเข้าไปจับตัวกับไขมัน และอาจไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้องอกในลำไส้ จนทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ในที่สุดนอกจากนี้จากงานวิจัยของ ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ก็ได้พบว่าคนไทยมียีนส์ชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในขณะที่คนตะวันตกมียีนส์ชนิดนี้อยู่แค่ร้อยละ 23 เท่านั้น

ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมเพิ่มขึ้น

1. ความต้องการของร่างกาย พบว่าในคนที่มีระดับแคลเซียมในร่างกายสูงอยู่แล้วจะดูดซึมแคลเซียมได้น้อย ส่วนในคนที่มีระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำก็จะดูดซึมแคลเซียมได้มากขึ้นไปด้วย นั่นก็เพื่อให้เกิดความสมดุลมากที่สุด นอกจากนี้ในวัยที่ต้องการแคลเซียมเพื่อการเจริญเติบโตสูง เช่น วัยเด็ก หรืออยู่ในช่วงที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ เช่น หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร ก็จะมีการดูดซึมแคลเซียมมากกว่าปกติเช่นกัน โดยจะดูดซึมที่ร้อยละ 40 หรือมากกว่าจากอาหาร   

2. ความเป็นกรด เพราะร่างกายจะสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดีในสภาพที่เป็นกรด โดยกรดจะช่วยละลายแคลเซียมให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น และนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการของร่างกาย

3. ปริมาณของวิตามินดีในร่างกาย โดยวิตามินดีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีวิตามินดีในร่างกายอย่างเหมาะสมด้วย

4. อัตราส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัส โดยอัตราส่วนดังกล่าวมีอัตราส่วนของแคลเซียม 1 ต่อฟอสฟอรัส 1 ( 1 : 1 ) หรือ แคลเซียม 2 ฟอสฟอรัส 1 ( 2 : 1 ) ซึ่งจะทำให้การดูดซึมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหากอัตราส่วนผิดไปจากนี้จะทำให้การดูดซึมลดลงในที่สุดเพราะฟอสฟอรัสจะเข้าไปรวมกับแคลเซียมฟอสเฟตจนทำให้ละลายได้ยากนั่นเอง

5. การมีปริมาณวิตามินเอและวิตามินซีอย่างเหมาะสม เพราะวิตามินทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดี

6. ไขมัน โดยพบว่าหากมีไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะทำให้การดูดซึมของแคลเซียมเป็นไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

7. การทานโปรตีน เพราะโปรตีนจะเป็นตัวช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดี ยิ่งทานอาหารที่มีโปรตีนสูงมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมดีเท่านั้น

8. ปริมาณของน้ำตาลแลคโทส เพราะน้ำตาลแลคโทสจะช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมได้ดี เพราะแบคทีเรียจะเข้าไปเปลี่ยนแลคโทสให้เป็นกรดแลคติคนั่นเอง

ปัจจัยที่จะขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียม

1. ไขมัน พบว่าหากร่างกายมีไขมันที่มากกว่าปกติ ก็จะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ยาก เพราะแคลเซียมกับไขมันจะรวมตัวกันจนเกิดเป็นสารประกอบที่ไม่ละลายนั่นเอง

2. กรดออกซาลิค โดยกรดชนิดนี้เมื่อรวมเข้ากับ แคลเซียม จะเกิดเป็นเกลือแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งเป็นเกลือที่ไม่ละลาย จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ประโยชน์ได้และจะถูกขับออกมาจากร่างกายเป็นลำดับต่อไป แต่ก็อาจทำให้เป็นโรคนิ่วในไตหรือถุงน้ำดีได้เหมือนกัน

3. กรดไฟติค โดยกรดชนิดนี้จะรวมเข้ากับแคลเซียมจนทำให้กลายเป็นเกลือที่ไม่ละลายน้ำและย่อยได้ยากมาก เป็นผลให้ไม่สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้     

4. เมื่อร่างกายได้รับฟอสฟอรัสที่มากกว่าปกติ เพราะจะทำให้อัตราส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัส ( Phosphorus ) ขาดสมดุล และร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยมาก โดยกรณีนี้จะต้องทานแคลเซียมให้มากขึ้นเพื่อให้ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมกับฟอสฟอรัส

5. การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะไปลดประสิทธิภาพในการทำงานของตับให้ลดน้อยลง ทำให้วิตามินดีที่เป็นตัวช่วยในการดูดซึมแคลเซียมลดลง และดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง

6. การสูบบุหรี่จัดหรือสูบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะควันบุหรี่จะทำให้ร่างกายเกิดความเป็นกรด จนต้องมีการปล่อยแคลเซียมจากกระดูกออกมาเพื่อปรับสภาพให้เป็นกลาง ผลที่ตามมาก็อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกอ่อนหรือกระดูกพรุนได้

7. ผู้ที่ดื่มกาแฟมาก โดยดื่มมากกว่าวันละ 6 แก้วขึ้นไปเพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้มีการปล่อยแคลเซียมออกมาจากกระดูกมากกว่าปกติถึง 2 เท่า

8. แร่ธาตุในร่างกายขาดความสมดุล จึงทำให้เกิดการแข่งขันกับแคลเซียมเพื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจึงเป็นผลให้แคลเซียมอาจจะถูกดูดซึมน้อยลงกว่าปกติได้

9. การออกกำลังกายน้อยหรือแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย เพราะจะทำให้ความหนาแน่นของกระดูกน้อยลง และอาจเป็นโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

10. การดื่มน้ำอัดลมเพราะน้ำอัดลมมีกรดฟอสฟอริคที่ทำให้เกิดฟองสูงมาก จึงอาจทำให้ร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไปและเสียสมดุลกับแคลเซียมในที่สุด

11. การทานยาลดกรดที่มีอลูมินัมเป็นส่วนผสม เพราะจะทำให้แคลเซียมถูกปล่อยออกมาจากกระดูกมากขึ้น และยังทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ลดลงจากเดิมอีกด้วย

แหล่งอาหารที่พบแคลเซียม

ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมเองได้ จึงสามารถหาแคลเซียมได้จากอาหาร ดังนี้

1. น้ำนมมีแคลเซียมสูง

นมวัว 100  ซีซี มีแคลเซียม 120 มิลลิกรัม
น้ำนมคน 100  ซีซี มีแคลเซียม 30 มิลลิกรัม
นมผง 100 ซีซี มีแคลเซียม 990 มิลลิกรัม

จะเห็นได้ว่าในน้ำนมของคนมี แคลเซียม อยู่น้อยมาก แต่ในขณะเดียวกันกลับมีอัตราส่วนระหว่างแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เหมาะสมที่สุด จึงสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่านมชนิดอื่นๆ และเหมาะกับทารกมากกว่านมวัวอีกด้วย   

2. ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ไอศกรีม เนยแข็ง เนยเหลวและผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำขึ้นจากนม

3. กระดูกที่สามารถกินได้ เช่น ปลากระป๋อง กุ้งแห้ง ปลากรอบ ปลาป่น กุ้งฝอยสด กุ้งแห้ง กะปิ ปลาเล็กปลาน้อย หอยนางรม เป็นต้น

4. แคลเซียมพบมากในผักใบเขียวที่มีลักษณะแข็ง เช่น คะน้า ใบยอ ใบชะพลู งาดำและงาขาวเป็นธัญพืชที่พบว่ามีแคลเซียมสูง

5. เต้าหู้ที่มีการเติมแคลเซียมคลอไรด์ลงไป จึงทำให้มีแคลเซียมอยู่ในเต้าหู้พอสมควร

6. น้ำส้มคั้นรวมถึงน้ำนมถั่วเหลืองที่มีการเติมแคลเซียมลงไป

อาหารที่มีแคลเซียมต่ำ ก็จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ ข้าวเหนียว ถั่วเมล็ดแห้ง และ ข้าวเจ้า รวมถึงผักผลไม้หลากหลายชนิดซึ่งจากการวิจัยของ ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน คนไทยส่วนใหญ่มักจะได้รับแคลเซียมจากอาหารที่ไม่ใช่นมมากกว่า และมีการรับแคลเซียมผ่านยาแคลเซียมชนิดแคปซูลอีกด้วย

ปริมาณแคลเซียมที่พอเพียงในแต่ละวันสำหรับคนไทย ( AI )

ทารก 6-11 เดือน 270 มิลลิกรัม/วัน
เด็ก 1-3 ปี 500 มิลลิกรัม/วัน
เด็ก 4-8 ปี 800 มิลลิกรัม/วัน
วัยรุ่น 9-18 ปี 1,000 มิลลิกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ 19-50 ปี 800 มิลลิกรัม/วัน
ผู้ใหญ่ 51-71 ปี 1,000 มิลลิกรัม/วัน
หญิงตั้งครรภ์ ≤18 ปี 1,000 มิลลิกรัม/วัน
19-50 ปี 800 มิลลิกรัม/วัน
หญิงให้นมบุตร ≤18 ปี 1,000 มิลลิกรัม/วัน
19-50 ปี 800 มิลลิกรัม/วัน

โดยจะเห็นได้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น คนเราก็จะมีความต้องการ แคลเซียม เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ในขณะที่อัตราการดูดซึมต่ำลงมาก อย่างไรก็ตาม หากรับประทานแคลเซียมสูงจะต้องทานอาหารที่มีแมกนีเซียมในประมาณสูงขึ้นด้วย รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ทองแดง ฟอสฟอรัส แมงกานีส เป็นต้น เพราะวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญของกระดูกและฟันที่จะขาดไม่ได้นั่นเอง ทั้งนี้การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของเนื้อกระดูกได้ จึงจำเป็นต้องทานอาหารที่มีแร่ธาตุเหล่านี้อย่างครบถ้วน เพื่อให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีและมีมวลกระดูกที่หนาแน่นขึ้น ห่างไกลจากภาวะโรคกระดูกพรุนและภาวะกระดูกอ่อนนั่นเอง

เซลล์ในกระดูกจะมีอยู่ 2 ชนิดคือ เซลล์สลายกระดูกโดยจะทำหน้าที่ในการสลายกระดูกที่ผุกร่อนออกไป และเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างกระดูก เพื่อทดแทนกระดูกที่สลายออกไป

อาหารเสริมแคลเซียมและการดูดซึม

แคลเซียมในร่างกายทั้งหมดพบว่าเป็นแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Ca 10 [PO 4 ] 6 [OH] 2 )
ในกระดูก ฟัน และเนื้อเยื่อแข็งมีความแข็งแรง เมื่อหญิงชายอายุมากขึ้น และผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน (วัยทอง) การดูดซึมแคลเซียมจะลดลงโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 0.21 เปอร์เซ็นต์ต่อปีหลังอายุ 40 ปี มักเป็นโรคกระดูกพรุน การสูญเสียมวลกระดูก และเสี่ยงต่อภาวะกระดูกหัก ดังนั้น เพื่อป้องกันการโรคเหล่านี้ควรกินอาหารที่มีแคลเซียมให้เพียงพอ ถึงแม้ในนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมจะมีแคลเซียมสูงแต่ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการตามช่วงอายุนั้นก็อาจไม่เพียงพอ ดังนั้นอาหารเสริมที่มีแคลเซียมจึงมีความสำคัญสำหรับผู้หญิงวัยทอง ผู้สูงอายุที่ต้องการแคลเซียมประมาณ 1,200 มิลลิกรัมต่อวันเลยทีเดียว

การเสริมแคลเซียม

แคลเซียมที่ได้จากการกินอาหารเข้าไปนั้นจะไม่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว แต่แคลเซียมจะดูดซึมตลอดความยาวของลำไส้เล็ก เมื่อแคลเซียมถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กแล้วก็จะเข้าสู่เส้นเลือดและขนส่งไปยังกระดูก เนื้อเยื่อ และอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายปริมาณแคลเซียมที่ดูดซึมขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่
1. ปริมาณแคลเซียมในเลือด
2. รูปแบบของแคลเซียม
3. ลักษณะความยาวของลำไส้เล็ก

อาหารแคลเซียมสูงที่มีบทบาทสําคัญต่อความแข็งแรงของกระดูก

อาหารเสริมแคลเซียม มีชนิดหลัก

1. แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ( Calcium L Theonate )  ร่างกายสามารถดูดซึมได้ 90% รับประทานตอนท้องว่างได้

2. แคลเซียม คาร์บอเนต ( Calcium Carbonate ) ร่างกายดูดซึมได้ 10% อาจทำให้ท้องผูก

3. แคลเซียม ซิเตรต ( Calcium Citrate ) ร่างกายดูดซึมได้ 50% ต้องรับประทานพร้อมอาหาร จะมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อมีกรดในกระเพาะเท่านั้น

ผลจากการขาดแคลเซียมหรือมีแคลเซียมในร่างกายน้อยเกินไป

เมื่อร่างกายได้รับปริมาณของ แคลเซียม น้อยเกินไป จะเกิดการสกัดกั้นแคลเซียมที่กำลังจะขับออกจากร่างกายเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ก่อน ส่วนตับก็จะปล่อยวิตามินดีออกมาเพื่อกระตุ้นให้มีการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารมากขึ้น โดยหากอาหารที่ทานเข้าไปมีปริมาณของแคลเซียมน้อยมาก ก็จะทำให้มีการยืมเอาแคลเซียมในกระดูกออกมาใช้ และส่งผลให้เกิดอาการดังต่อไปนี้

1. เป็นตะคริวและชาตามมือตามเท้า

2. มีการสร้างกระดูกที่ผิดปกติ เพราะขาดแคลเซียม ทำให้มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนได้สูง และจะรุนแรงมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตามการขาด แคลเซียม อย่างร้ายแรงมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นมากนัก เพราะจะทำให้ร่างกายต้องขาดวิตามินดีและฟอสฟอรัสด้วย แต่เมื่อขาดแล้วก็จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรงและมีปัญหาตามมาได้ รวมถึงทำให้รูปร่างและลักษณะของกระดูกแตกต่างออกไปอีกด้วย โดยที่พบได้บ่อยก็คือ ภาวะโรคกระดูกอ่อนในเด็ก โดยจะมีอาการข้อมือและเท้าใหญ่ หน้าอกยื่นออกมา ขางอโค้งและกระดูกอกกลวง ส่วนในผู้ใหญ่อาจเป็นโรคกระดูกอ่อนในผู้ใหญ่ได้ โดยจะมีผลให้โครงร่างผิดไปจากเดิมและเกิดภาวะกระดูกร้าวได้ง่าย โดยภาวะขาดแคลเซียมอย่างรุนแรงนี้ มักพบมากในคนที่ตั้งครรภ์ติดกัน คนที่ให้นมบุตรเป็นเวลานานและคนที่มักจะไม่ค่อยได้เจอแสงแดดบ่อยๆ 

3. โรคกระดูกพรุน เป็นโรคที่เกิดจากความหนาแน่นของมวลกระดูกลดน้อยลง จนทำให้กระดูกเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ไม่สามารถรับน้ำหนักของร่างกายได้ เป็นผลให้กระดูกแตกหักหรือแตกยุบลงในที่สุด นั่นก็เพราะแคลเซียมถูกดึงออกจากกระดูกเร็วกว่าที่มีการสะสมเข้ามา ซึ่งโดยปกติแล้วเซลล์ในกระดูกจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ เซลล์สลายกระดูกโดยจะทำหน้าที่ในการสลายกระดูกที่ผุกร่อนออกไป และเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างกระดูก เพื่อทดแทนกระดูกที่สลายออกไป โดยกระบวนการดังกล่าวนี้จะหมุนเวียนประมาณ 100 วัน และทุก 10 วันร่างกายจะมีการสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่อยู่เสมอ แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือผู้หญิงในวัยที่หมดประจำเดือน เซลล์ที่สลายกระดูกจะทำหน้าที่มากกว่าเซลล์ที่สร้างกระดูก เป็นผลให้มีการสูญเสียเนื้อกระดูกเร็วกว่าปกติ และสร้างเนื้อกระดูกขึ้นมาใหม่ไม่ทัน จน กระดูกบางลงและเกิดภาวะกระดูกพรุนในที่สุด ซึ่งก็จะมีอาการเจ็บบริเวณกระดูก ข้อ และเตี้ยลงกว่าเดิม เพราะกระดูกสันหลังได้ยุบตัวลงนั่นเอง นอกจากนี้ยังอาจส่งผลให้ระบบอาหารถูกกระทบกระเทือนอีกด้วย อย่างไรก็ตามหากได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยชะลอการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกได้

4. เตตานี ( Tetany ) เป็นความผิดปกติที่เกิดจากการขาด แคลเซียม โดยเป็นโรคที่มีอาการผิดปกติของประสาทคือประสาทจะไวกว่าปกติและไม่สามารถที่จะควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อได้ อาการที่พบบ่อยคือมีภาวะการเกิดตะคริว การชักเกร็งตัว ชักจากแคลเซี่ยมในเลือดต่ำ อาการมือกำ กำปลายนิ้วทุกนิ้วเข้าหากัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะพบได้บ่อยมากในหญิงตั้งครรภ์และหญิงคลอดบุตร เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการแคลเซียมมากกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่จะขาดแคลเซียมและเป็นโรคเตตานี ( Tetany ) ได้ในที่สุด

ผลจากการได้รับแคลเซียมมากเกินไป

การได้รับแคลเซียมที่มากเกินไป มักเกิดจากการรับประทานแคลเซียมในรูปแร่ธาตุที่อัดเป็นเม็ด แคปซูล
หรือเป็นแร่ธาตุที่เติมเข้าไปในอาหาร แคลเซียมประเภทนี้จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเร็วโดยที่ร่างกาย
ปรับสภาพไม่ทัน ฉะนั้น การรับแคลเซียมที่เป็นองค์ประกอบอยู่ในตัวอาหารที่มาจากธรรมชาติจะไม่เกิดผล
ข้างเคียงดังกล่าว แคลเซียมจากอาหารธรรมชาติมีมากมาย เช่น แคลเซียมจากนม ชีส กระเจี๊ยบเขียว
ปลาจิ้งจั้ง ปลาข้าวสาร เป็นต้น ดังนั้น หากต้องการเสริมแคลเซียมให้เลือกรับประทานอาหารธรรมชาติ
ที่มีแร่ธาตุแคลเซียมสูงจะเป็นการดีกว่าประหยัดกว่าและปลอดภัยกว่า

ในกรณีที่ได้รับแคลเซียมและวิตามินดีมากเกินไปก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้เหมือนกัน โดยส่วนใหญ่ก็มักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ มีความดันเลือดสูงและอาจเป็นโรคนิ่วในไตได้ นั่นก็เพราะแคลเซียมจะเข้าไปจับเกาะกับไตมากเกินไป จึงทำให้เป็นนิ่วได้ในที่สุด นอกจากนี้ในบางคนก็อาจมีอาการปวดท้อง ท้องร่วงได้อีกด้วย รวมถึงภาวะกล้ามเนื้อกระบังลมทำงานหนัก จนแข็งเกร็งและอาจเสียชีวิตด้วยหัวใจวายได้ในที่สุด โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ส่วนในบางคนก็อาจจะมีความคิดที่สับสน เก็บกดและมีอาการทางจิตได้

การขับแคลเซียมออกจากร่างกาย

แคลเซียมจะถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะและอุจจาระ

ร่างกายรักษาระดับแคลเซียมอย่างไร

โดยปกติร่างกายจะควบคุมแคลเซียมที่ไหลเวียนในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลาอยู่แล้ว หากระดับแคลเซียมในเลือดลดลงต่อมพาราไทรอยด์ ( Parathyroid ) จะปล่อยพาราทอร์โมน (Parathormone, PTH) เข้าไปในเลือดและส่งสัญญาณให้เซลล์ในกระดูกปล่อยแคลเซียมออกจากผิวกระดูก พาราทอร์โมนยังส่งสัญญาณให้ไตกักเก็บแคลเซียมที่มากเกินไปก่อนที่จะถูกขับออกผ่านทางปัสสาวะ

ดังนั้นจึงควรทานแคลเซียมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไปจะดีกว่า

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่าง

เอกสารอ้างอิง

โภชนศาสตร์เบื้องต้น, สิริพันธุ์ จุลกรังคะ.–พิมพ์ครั้งที่ 9.–กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2558. 314 หน้า. 1.โภชนาการ. RA784 .ส37 2558 ISBN 978-616-556-046-7.

USDA National Nutrient Database, Calcium content of selected foods

Nutrition fact sheet from the National Institutes of Health

UK Food Standards Agency: Calcium

Weast, Robert (1984). CRC, Handbook of Chemistry and Physics. Boca Raton, Florida: Chemical Rubber Company Publishing.

Krieck, Sven; Görls, Helmar; Westerhausen, Matthias (2010). “Mechanistic Elucidation of the Formation of the Inverse Ca(I) Sandwich Complex [(thf)3Ca(μ-C6H3-1,3,5-Ph3)Ca(thf)3] and Stability of Aryl-Substituted Phenylcalcium Complexes”. Journal of the American Chemical Society. 132