14 สุดยอดอาหารที่คุณควรกิน เพื่อลดความเครียด

0
14 สุดยอดอาหารที่คุณควรกิน เพื่อลดความเครียด
การรับประทานอาหารบางชนิดสามารถช่วยลดความเครียดได้ แม้ว่าความเครียดในบางครั้งยากที่จะหลีกเลี่ยงได้โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน เศรษฐกิจ
14 สุดยอดอาหารที่คุณควรกิน เพื่อลดความเครียด
การรับประทานอาหารบางชนิดสามารถช่วยลดความเครียดได้ แม้ว่าความเครียดในบางครั้งยากที่จะหลีกเลี่ยงได้โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน เศรษฐกิจ

อาหารลดความเครียด

จากงานวิจัยพบว่าการรับประทานอาหารบางชนิดสามารถช่วยลดความเครียดได้ แม้ว่าความเครียดในบางครั้งยากที่จะหลีกเลี่ยงได้โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน เศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันสูง และโรคซึมเศร้า

การบำบัดความเครียด ด้วยอาหารที่มีประโยชน์มีอะไรบ้าง

1. ชาเขียว ( Green Tea ) เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพเพราะอุดมไปด้วย แอล-ธีอะนีน ( L- theanine ) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ไม่ใช่โปรตีนที่มีคุณสมบัติในการคลายความเครียด

2. ช็อกโกแลต ( Chocolate ) ช่วยลดความเครียดจากการศึกษาพบว่าการรับประทานดาร์กช็อกโกแลต 40 กรัม ทุกวันกินในตอนเช้าและกลางวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ( Cortisol ) คือ ฮอร์โมนความเครียดที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไต

3. ผักสวิสชาร์ด ( Swiss Chard ) เป็นผักใบเขียวที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่ช่วยต่อสู้กับความเครียดในปริมาณ 175 กรัม ซึ่งมีปริมาณแมกนีเซียม 36 เปอร์เซ็นต์ สามารถตอบสนองต่อความเครียดของร่างกายได้

4. มันเทศ ( Sweet Potato ) มีคาร์โบไฮเดรตและแมกนีเซียมในปริมาณสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยปรับสมดุลของอารมณ์ทำให้ผ่อนคลายและอารมณ์ดี และยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจเมื่อรู้สึกวิตกกังวลหรือเครียด

5. กิมจิ ( Kimchi ) เป็นอาหารประเภทผักหมักที่มักทำด้วยกะหล่ำปลี เต็มไปด้วยแบคทีเรียที่มีประโยชน์เรียกว่าโปรไบโอติกและมีวิตามินแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จากการวิจัยพบว่าอาหารหมักดองบางชนิดมีความเชื่อมโยงกับแบคทีเรียในลำไส้ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ ลดความเครียด และลดความวิตกกังวล

6. อาร์ติโชค ( Artichoke ) การกินอาร์ติโชคเป็นที่ทราบกันดีว่ามีพรีไบโอติกสูง ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารที่ทำหน้าที่เป็นอาหารของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ สามารถช่วยในการฟื้นตัวจากความเครียด รู้สึกผ่อนคลาย และทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น

7. เครื่องในสัตว์ ( Organ meats หรือ Offal ) อุดมไปด้วยวิตามินบี 2 ( Riboflavin ) วิตามินบี 6 วิตามินบี 9 ( Folate ) และวิตามินบี 12 ช่วยป้องกันความเครียดได้เป็นอย่างดี

8. ไข่ ( Eggs ) มีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการผลิตอะซิติลโคลีนที่ส่งผลต่อส่วนต่าง ๆของสมอง ทำหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมอารมณ์และลดความเครียด

9. หอย ( Shellfish ) เช่น หอยแมลงภู่ และหอยนางรมมีกรดอะมิโนสูง พบว่ามีคุณสมบัติในการกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุขให้เพิ่มมากขึ้น

10. ข้าวกล้อง ( Brown rice ) มีวิตามินบีหลายชนิดซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตโดปามีน ( Dopamine ) หรือ สารแห่งความสุข และเซโรโทนิน ( Serotonin ) ทำหน้าที่หลายอย่างในร่างกาย เช่น ควบคุมความหิว อารมณ์ ความโกรธ เป็นต้น

11. ปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ( Salmon ) ปลาแมคเคอเรล ( Mackerel ) และ ปลาซาร์ดีน ( Sardine ) อุดมไปด้วยไขมันโอเมก้า 3 และวิตามินดี ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ฮอร์โมนความเครียดพุ่งสูงขึ้น ปรับสมดุลของอารมณ์ และภาวะซึมเศร้า

12. เมล็ดทานตะวัน ( Sunflower Seed ) งานวิจัยพบว่ามีกรดแอนิโมที่กระตุ้นการปล่อยเซโรโทนินในสมองที่ส่งผลต่อความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และทำให้หลับสนิท

13. หน่อไม้ฝรั่ง ( Asparagus ) มีโฟเลตสูงเป็นวิตามินบีคอมเพล็กซ์ที่ช่วยลดความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลและผลิตโดปามีนสำหรับสมอง

14. โยเกิร์ต ( Yogurt ) เป็นอาหารที่มีโปรไบโอติก สามารถเปลี่ยนแปลงการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด ความกดดัน

ความเครียดสามารถรักษาได้โดยการทานอาหารที่มีประโยชน์จะส่งผลดีต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ช่วยให้คุณรับมือกับความเครียดที่อาการไม่รุนแรง ลดความวิตกกังวล และลดความสับสน หากอาการเครียดยังคงอยู่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการรักษาแบบอื่นที่นอกเหนือจากการกินอาหารที่แนะนำข้างต้น

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

โรคเครียด ( Acute Stress Disorder ) สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง

0
โรคเครียด สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง
โรคเครียด เกิดจากหลายสาเหตุที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการเครียดกำเริบรุนแรงมากขึ้น เกิดได้ทั้งในเด็ก วัยทำงาน และผู้สูงอายุ
โรคเครียด สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง
โรคเครียด เกิดจากหลายสาเหตุที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการเครียดกำเริบรุนแรงมากขึ้น เกิดได้ทั้งในเด็ก วัยทำงาน และผู้สูงอายุ

โรคเครียด

โรคเครียด ( Acute Stress Disorder ) คือ โรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา การเผชิญหน้ากับความเครียดเฉียบพลันสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากมีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ในด้านลบหรือที่เรียกว่า ความทุกข์ ( Suffering ) ซึ่งเป็นผลทำให้ต่อมไร้ท่อที่หลั่งฮอร์โมนความเครียดทำงานผิดปกติรวมทั้งเกิดจากสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดโรคเครียดและแสดงอาการที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายอย่างรุนแรง

สาเหตุของความเครียด

สิ่งที่ทำให้เกิดโรคเครียดสำหรับคนทั่วไป อาจเกิดจากหลายสาเหตุที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการเครียดกำเริบรุนแรงมากขึ้น สามารถแบ่งกลุ่มประชากรที่มีความเครียดได้ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ 1) เด็กหรือเยาว์ ( Young-Age Population ) 2) วัยทำงาน ( Working-Age Population ) 3) สูงอายุ ( Old-Age Population ) หรือเรียกว่า ผู้สูงอายุ ( Elderly ) สำหรับคนอายุน้อยอัตราความเครียดสูงขึ้นทุกปีมีผลมาจากเรื่องการเรียน ทำการบ้านไม่ได้ ความขัดแย้งกันในครอบครัว การย้ายบ้าน การย้ายโรงเรียน รวมถึงถูกกดดันจากครอบครัวหรือคนรอบข้างประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ วัยทำงานมีความเครียดจากการทำงานประมาณ 41 เปอร์เซ็นต์ และผู้สูงอายุมีความเครียดด้านความสัมพันธุ์ในครอบครัว ด้านการเงิน ด้านสภาพแวดล้อมทางสังคมและชุมชน ด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์

อาการของความเครียด

ความเครียดสามารถแบ่งออกได้ตามพฤติกรรม ดังนี้

1. อาการทางสติปัญญา ( Cognitive Symptoms ) ได้แก่ อาการหลงลืมบ่อย ๆ ไม่มีสมาธิ การติดสินใจบกพร่อง มองโลกในแง่ลบ รู้สึกวิตกกังวล เป็นต้น
2. อาการทางอารมณ์ ( Emotional Symptoms ) ได้แก่ อาการซึมเศร้า อารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกหนักใจ สับสน รู้สึกโดดเดี่ยว
3. อาการทางกายภาพ ( Physical Symptoms ) ได้แก่ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดท้อง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ เวียนหัว ท้องร่วง ท้องผูก เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นแรงและถี่ ความต้องการทางเพศลดลง เป็นหวัดบ่อยและไข้หวัดใหญ่
4. อาการทางพฤติกรรม ( Behavioral Symptoms ) ได้แก่ การทานอาหารมากหรือน้อยเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนมากเกินไป โรคกลัวสังคม ละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ การกัดเล็บ ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และใช้สารเสพติด

ชนิดของความเครียด

1. Acute Stress คือ ความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด เช่น เสียง อากาศเย็นหรือร้อน ชุมชนที่คนมากๆ ความกลัว ตกใจ หิวข้าว เป็นต้น
2. Chronic Stress หรือ ความเครียดเรื้อรัง เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง เช่น ความเครียดที่ทำงาน ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความเครียดของแม่บ้าน และความเหงา

ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพร่างกายอย่างไร

1) ระบบประสาทส่วนกลางและต่อมไร้ท่อ ซึ่งมีหน้าที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนความเครียด กระตุ้นการเต้นของหัวใจ
2) ระบบทางเดินหายใจและระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งฮอร์โมนความเครียดส่งผลต่ออาจทำให้หายใจลำบาก
การสูบฉีดของเลือด การหายใจเร็วขึ้น ความเครียดทำให้หลอดเลือดและกล้ามเนื้อหดตัวรวมทั้งทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน
3) ระบบทางเดินอาหาร ซึ่งฮอร์โมนความเครียดส่งผลต่อร่างกายทำให้ระบบย่อยอาหารแย่ลง นอกจากนี้ยังพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เสียดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก หรือกรดไหลย้อย หรือเรียกว่าอีกอย่าง คือ เครียดลงกระเพาะ เกิดความเครียดสะสมทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
4) ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก เมื่อร่างกายเครียดกล้ามเนื้อจะตึงขึ้น อาจกระตุ้นปฏิกิริยาอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น น้ำหนักลดอย่างต่อเนื่อง อาการปวดศีรษะแบบตึงเครียดและปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความตึงเครียดของกล้ามเนื้อเรื้อรังในบริเวณไหล่คอและศีรษะ อีกทั้งอาการปวดกล้ามเนื้อ กระดูกบริเวณหลังส่วนล่าง และส่วนบนมีความสัมพันธ์กับความเครียดโดยเฉพาะความเครียดจากการทำงานหนัก
5) ระบบสืบพันธุ์ ความเครียดเรื้อรังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนเพศชายเกิดสมรรถภาพทางเพศลดลง
6) ระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งความเครียดส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
รวมถึงระบบสืบพันธุ์ของเพศชายทั้งหมด เช่น อัณฑะ ต่อมลูกหมาก และท่อปัสสาวะ

10 วิธีการจัดการความเครียดด้วยตัวเอง

ขั้นตอนที่ 1 การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ส่งผลดีต่อสุขภาพและสามารถลดความเสี่ยงของโรคเครียด (Acute Stress Disorder) มีงานวิจัยพบว่าการบริโภคดาร์กช็อกโกแลตทุกวันสามารถช่วยลดฮอร์โมนความเครียด เพราะช็อกโกแลตมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า สารฟีนิลเอทิลามีน ( Phenylethylamine ) อยู่มากถึง 660 มิลลิกรัม ทำหน้าที่กระตุ้นการหลั่งสารโดพามีน ( Dopamine ) และอะดรีนาลีน ( Adrenaline ) ให้หลั่งออกมาแล้วทำให้เกิดความสุขร่างกายกระฉับกระเฉง และเพิ่มน้ำตาลกลูโคสหลั่งเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด ช่วยเร่งกายใช้พลังงานในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 2 การออกกำลังกายเบา ๆ จะช่วยลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 3 การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สามารถฟื้นตัวจากเหตุการณ์ที่ตึงเครียด
ขั้นตอนที่ 4 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่ ๆ เช่น ใช้เวลา 2 – 3 นาที เพื่อชื่นชมตัวเองในแต่ละวัน จัดห้องนอนใหม่ จัดโต๊ะทำงานด้วยไม้ประดับเล็ก ๆ สามารถบำบัดความเครียดได้อย่างหนึ่ง
ขั้นตอนที่ 5 การมองโลกในแง่ดี หาเวลาสำหรับงานอดิเรก สามารถทำให้คุณตื่นตัวมากขึ้นและช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น
ขั้นตอนที่ 6 เรียนรู้และพยายามฝึกทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
ขั้นตอนที่ 7 หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์ คาเฟอีน ยาเสพติด หรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบีบบังคับเพื่อลดความเครียด
ขั้นตอนที่ 8 ใช้เวลากับคนที่คุณชอบให้มากขึ้น
ขั้นตอนที่ 9 การใช้ธรรมชาติมาช่วยลดความเครียดสะสม
ขั้นตอนที่ 10 ปรึกษานักจิตวิทยา เพื่อจัดการและรักษาความเครียดในระยะยาว

โรคเครียด นับว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก เพราะความเครียดก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายมากที่สุด โรคเครียดยังพบว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในประชาชนของไทยอย่างต่อเนื่อง

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ความดันต่ำเกิดจากอะไร ป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไร

0
ความดันต่ำเกิดจากอะไร ป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไร
ความดันโลหิตต่ำ เป็น ภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ
ความดันต่ำเกิดจากอะไร ป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไร
ความดันโลหิตต่ำ เป็น ภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ

ความดันโลหิตต่ำ

ความดันโลหิตต่ำคือ ( Low Blood Pressure / Hypotension ) เป็น ภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ โดยแพทย์จะกำหนดความดันโลหิตต่ำเป็น 90 มากกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท

ความดันต่ำมีอาการอย่างไร

ผู้ที่มีความดันต่ำอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อวัดค่าความดันโลหิตได้ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท อาการของความดันต่ำที่พบบ่อย และมีอาการต่างๆดังนี้

  • เวียนหัว มึนงง หน้ามืด
  • ตาพร่ามัว
  • หายใจเร็ว
  • หน้าซีด
  • มือ เท้าเย็น
  • กระหายน้ำ
  • ร่างกายอ่อนเพลีย
  • เหงื่อออกมาก
  • เป็นลมหมดสติ

สาเหตุความดันต่ำเกิดจากอะไร

ความดันโลหิตต่ำด้มีสาเหตุหลายประการสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
1) ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า นั่ง นอน หรือลุกขึ้นยืนทันที
2) ภาวะความดันโลหิตต่ำภายหลังรับประทานอาหาร
3) ภาวะความดันโลหิตต่ำจากระบบประสาทอัตโนมัติ
4) ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการบาดเจ็บอย่างรุนแรงหรือภาวะช็อก
5) ความดันต่ำจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคพาร์กินสัน

ปัจจัยเสี่ยงของความดันต่ำ

1. อายุ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมักเกิดขึ้น เช่น เจอเหตุการณ์น่ากลัว ยืนเป็นเวลานาน การอยู่ในที่แออัด อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
2. ยาที่รับประทาน เช่น ยาในกลุ่ม Alpha blockers ยาในกลุ่ม Beta-blockers ยาไนโตรกลีเซอริน (Nitroglycerin) ยาขับปัสสาวะ ยาโรคซึมเศร้า
3. สารอาหาร เช่น ขาดวิตามินทั้ง B-12 โฟเลต ธาตุเหล็ก
4. โรค เช่น โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสัน โรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคที่เกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ

การดูแลตัวเองสำหรับคนเป็นความดันต่ำ

  • ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 2 ถึง 3 ลิตรทุกวัน
  • ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากที่นั่ง หรือนอนราบ
  • ไม่เปลี่ยนท่านั่ง นอนลงไป หรือยืนทันที
  • นอนยกหัวขึ้นประมาณ 15 เซ็นติเมตร
  • รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง
  • ควรนอนราบหรือนั่งนิ่ง ๆ สักพักหลังจากรับประทานอาหาร
  • ทำจิตใจให้สบายลดความเครียด
  • การรับประทานเกลือ ผัก ผลไม้ที่มีโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสมหรือ 1 ช้อนชา สามารถช่วยเพิ่มระดับความดันโลหิต
  • การออกกำลังกายเบา ๆ อย่างน้อย 30 นาที ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตได้
  • ควรสวมถุงน่องช่วยการบีบรัด ซึ่งช่วยให้เลือดไหลกลับขึ้นจากขาและเท้าได้อย่างดี

การป้องกันความดันต่ำทำได้อย่างไร

  • การรับประทานอาหารมื้อเล็กวันละหลาย ๆ ครั้ง ช่วยป้องกันความดันต่ำได้
  • หลีกเลี่ยงการนั่ง หรือยืนเป็นเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนตอนกลางคืน

การรักษาความดันต่ำเบื้องต้น

1. อาการไม่รุนแรง หรือระดับปานกลาง ให้คอยติดตามอาการ จดบันทึกอาการที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งเพื่อประโยชน์ต่อการวินิจฉัยและรักษา
2. หากความดันต่ำที่เกิดจากการรับประทานยา แพทย์อาจเปลี่ยนตัวยาหรือปรับลดขนาดยาลง แต่สำหรับภาวะความดันต่ำที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้การรักษาจึงไม่เฉพาะเจาะจง แพทย์จะพิจารณาการใช้
3. สวมถุงน่อง หรือถุงน่องที่ใช้ในทางการแพทย์ ช่วยเพิ่มความดันโลหิตและการไหลเวียนของเลือด
4. เพิ่มปริมาณเกลือในอาหาร แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
5. ดื่มน้ำมากขึ้น จะช่วยเพิ่มปริมาณเลือดในร่างกาย ทำให้เลือดไม่ข้นหนืดและไหลเวียนดีขึ้น

อาหารแก้ความดันต่ำมีอะไรบ้าง

1. ธัญพืชต่างๆ เช่น เมล็ดงา ข้าวโอ๊ต ถั่วขาว ถั่วแระ นมถั่วเหลือง อัลมอนด์
2. ผลไม้ที่มีวิตามินซี วิตามินอี เช่น เงาะ ฝรั่ง กีวี ลิ้นจี่ ส้มโอ พุทรา มะขามป้อม มะขามเทศ มะละกอสุก และสตรอว์เบอร์รี สับปะรด มะปรางหวาน มะยงชิด แคนตาลูป ผลไม้ที่มีสีเขียวและสีเหลือง
3. อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่ ปลา เนยแข็ง เนื้อสัตว์ หอยนางรม ปลาซาร์ดีน สาหร่ายทะเล
4. เครื่องดื่มประเภทชาต่าง ๆ เช่น ชาโสม ชาขิง
5. ผลไม้อบแห้ง เช่น ลูกพรุนอบแห้ง ลูกเกด เมล็ดทานตะวัน อินทผาลัม

อย่างไรก็ตามคนที่เป็นความดันต่ำควรสังเกตุอาการของตนเอง ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาความดันโลหิตต่ำได้อย่างถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อาหารผู้ป่วยหลังการผ่าตัด คืออะไร

0
อาหารผู้ป่วยหลังการผ่าตัด คืออะไร
หากคุณกำลังจะเข้ารับการผ่าตัดคุณอาจต้องเตรียมตัวเรื่องโภชนาการ เพราะผู้ป่วยหลังการผ่าตัดส่วนใหญ่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ
อาหารผู้ป่วยหลังการผ่าตัด คืออะไร
หากคุณกำลังจะเข้ารับการผ่าตัดคุณอาจต้องเตรียมตัวเรื่องโภชนาการ เพราะผู้ป่วยหลังการผ่าตัดส่วนใหญ่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ

อาหารผู้ป่วยหลังการผ่าตัด

หากคุณกำลังจะเข้ารับการผ่าตัดคุณอาจต้องเตรียมตัวเรื่องโภชนาการสำหรับผู้ป่วยหลังการผ่าตัดไว้ด้วย สามารถใช้ไดักับผู้ป่วยผ่าตัดสมอง ระบบประสาท เนื้องอก ลำไส้ มดลูก กระดูก แขน ขา และผ่าตัดมะเร็ง เพราะการทานอาหารประเภทโปรตีนคุณภาพสูงทุกมื้ออย่างน้อย 20 – 30 กรัมต่อมื้อจนถึงวันที่ผ่าตัด ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาได้เร็วยิ่งขึ้นและเป็นสิ่งสำคัญช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย ช่วยให้แผลหายเร็ว ลดภาวะความเครียด เพราะผู้ป่วยหลังการผ่าตัดส่วนใหญ่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร อาการทรุดลง ร่างกายอ่อนเพลีย แผลหายช้า ดังนั้น อาหารที่คุณกินจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดจึงควรได้รับอาหารที่เพียงพอและเหมาะสม ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น อาการท้องผูก การติดเชื้อที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัด ( Surgical site infection ) เกล็ดเลือดต่ำ ( Thrombocytopenia ) จากการสูญเสียเลือดหลังการผ่าตัด

ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด

  • คลื่นไส้และอาเจียนจากการดมยาสลบ
  • เกล็ดเลือดต่ำ จากการสูญเสียเลือดหลังการผ่าตัด
  • ผู้ป่วยทานอาหารได้น้อยลง อาจมีแผลในช่องปาก
  • เจ็บคอ ( เกิดจากใส่ท่อช่วยหายใจระหว่างการผ่าตัด )
  • รู้สึกเจ็บปวด หรือบวมบริเวณบาดแผลที่ผ่าตัด
  • กระสับกระส่าย หรือนอนไม่หลับ
  • กระหายน้ำ
  • อาการท้องผูก

โภชนาการหลังการผ่าตัดสำคัญอย่างไร

โปรตีนเป็นอาหารที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสมานแผล ช่วยสร้างผิวหนังและเนื้อเยื่อใหม่ให้แข็งแรง ดังนั้น

  • การรับประทานอาหารโปรตีนคุณภาพสูงทุกมื้อ จะช่วยเพิ่มโปรตีนในร่างกายซึ่งโปรตีนเป็นส่วนประกอบของร่างกายของเราในการรักษาแผลผ่าตัด และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
  • ความเครียดจากการผ่าตัด อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังการผ่าตัดได้ ควรได้รับสารอาหารที่สำคัญ เช่น โปรตีน โอเมก้า-3 แอล-อาร์จินีน ไรโบนิวคลีโอไทด์ เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

อาหารที่ให้โปรตีนสูงมีอะไรบ้าง

ควรรับประทานอย่างน้อย 20 กรัมโปรตีนต่อมื้อและโปรตีน 10 กรัมต่ออาหารว่าง

  • ไก่ / เนื้อ / หมู เท่ากับ 7 กรัม
  • ไข่ 6 กรัม
  • นม 1 แก้ว เท่ากับ 8 กรัม
  • ปลาทูน่า 1 กระป๋อง เท่ากับ 40 กรัม
  • ชีส เท่ากับ 15 กรัม
  • โยเกิร์ตธรรมชาติ 1 ถ้วย เท่ากับ 12-20 กรัม
  • ถั่วเหลือง เท่ากับ 14 กรัม
  • เนื้อแดง เท่ากับ 7 กรัม

อาหารที่ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดควรรับประทาน

  • ควรทานอาหารอ่อนประเภท อาหารต้ม อาหารตุ๋น อาหารนึ่ง จะช่วยให้ง่ายต่อการกลืนและย่อยง่าย สามารถฟื้นฟูร่างกายให้ผู้ป่วยหลักการผ่าตัดได้เป็นอย่างดี
  • อาหารที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
  • การทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ไฟเบอร์ ซึ่งจำเป็นต่อการรักษารวมทั้งการฟื้นตัวจากการผ่าตัด
  • นม และผลิตภัณฑ์จากนม ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

สิ่งที่ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารแห้ง หรืออาหารอบแห้ง ( ยกเว้นลูกพรุนสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ )
  • อาหารแปรรูป ที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
  • นม และผลิตภัณฑ์จากนม ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
  • เนื้อแดง เพราะมีไขมันอิ่มตัวสูงอาจทำให้ท้องได้
  • อาหารหวานต่าง ๆ

อย่างไรก็ตามผู้ป่วยหลังการผ่าตัดควรได้รับอาหารที่ครบถ้วนเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถปรับประทานอาหารได้ตามปกติหรือเบื่ออาหาร ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัดดังนั้นอาหารเสริมทางการแพทย์ เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่เตรียมตัวผ่าตัดและหลังการผ่าตัด แนะนำให้ทานอาหารเสริมออรัล อิมแพค เป็นอาหารสูตรครบถ้วนที่มีโปรตีนสูงมีส่วนประกอบสำคัญ คือ โปรตีนเวย์ อาร์จีนีน โอเมก้า-3 ไรโบนิวคลีโอไทด์ และกลูตามีน ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น ช่วยให้แผลหารเร็ว ลดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อต่างๆ และที่สำคัญช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาวในผู้ป่วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

อาหารโปรตีนสูงทางเลือกใหม่ สำหรับผู้ป่วยผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด

0
อาหารโปรตีนสูงทางเลือกใหม่ สำหรับผู้ป่วยผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด
โภชนาการอาหารที่ดีในระหว่างการรักษามะเร็งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะความเจ็บปวดจากการรักษาส่งผลกระทบต่อร่างกายรวมถึงการทานอาหารของผู้ป่วยด้วย
อาหารโปรตีนสูงทางเลือกใหม่ สำหรับผู้ป่วยผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด
โภชนาการอาหารที่ดีในระหว่างการรักษามะเร็งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะความเจ็บปวดจากการรักษาส่งผลกระทบต่อร่างกายรวมถึงการทานอาหารของผู้ป่วยด้วย

อาหารโปรตีนสูงทางเลือกใหม่ สำหรับผู้ป่วย

การรับประทานอาหารที่ดี หมายถึง การรับประทานอาหารที่มีความหลากหลายเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนที่ร่างต้องการ เพื่อต่อสู่กับโรคมะเร็งอาหารเหล่านี้หลักๆ ประกอบด้วย โปรตีน ใยอาหาร โอเมก้า-3 แอล-อาร์จินีน ไรโบนิวคลีโอไทด์ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และเกลือแร่ อาหารที่ดีในระหว่างการรักษาโรคมะเร็งโภชนาการที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการรักษามะเร็ง เพราะความเจ็บปวดจากการรักษาส่งผลกระทบต่อร่างกายรวมถึงการทานอาหารของผู้ป่วยด้วย การกินอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละมื้อส่วนใหญ่เน้นการทานผัก ผลไม้ นม เนื้อแดง และธัญพืช เนื่องจากในระหว่างการรักษาโรคมะเร็งผู้ป่วยจำเป็นต้องเปลี่ยนอาหาร เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มกล้ามเนื้อจากโปรตีน สามารถลดผลข้างเคียงที่มีความรุนแรงจากการรักษามะเร็งได้ เช่น การผ่าตัด การฉายแสง และยาเคมีบำบัด ช่วยให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามะเร็ง

  • รู้สึกดีขึ้น
  • ช่วยในการเจริญเติบโตซ่อมแซมเนื้อเนื้อที่เสียหายทำให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ช่วนให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง
  • ช่วยป้องกันการสลายตัวของเนื้อเยื่อ และขนส่งวิตามินบางชนิดโดยผ่านเส้นเลือด
  • คาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายมีการเผาผลาญเชื้อเพลิงสำหรับการออกกำลังกาย และการทำงานของอวัยวะที่เหมาะสม
  • ช่วยลดการอักเสบ และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
  • ช่วยปรับสมดุลของน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ช่วยให้ร่างกายทนต่อผลข้างเคียงจากการรักษาได้เป็นอย่างดี
  • ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • ช่วยลดจำนวนการนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลให้น้อย

ผู้ป่วยมะเร็งเกล็ดเลือดต่ำ มีผลต่อการรักษาอย่างไร

ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ( Thrombocytopenia ) มักเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยหลังการผ่าตัด โดยมีรอยช้ำเป็นจ้ำ หรือจุดแดงใต้ผิวหนัง เกล็ดเลือด ( Platelet ) น้อยกว่า 100,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร แพทย์คิดว่าอาจทำให้เกิดปัญหากับผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเข้ารับการรักษาในครั้งต่อไป ผู้ป่วยมะเร็งเกล็ดเลือดต่ำอาจทำให้การรักษาต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนดเพราะร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ หรืออาจเป็นโรคขาดสารอาหารหลังการรักษาได้

ผลข้างเคียงสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง

ผู้ป่วยที่เข้ารักษามะเร็งส่วนใหญ่มักมีผลข้างเคียงน้อย ผลข้างเคียงมากหรือไม่มีเลยในระหว่างการรักษามะเร็ง ผลข้างเคียงสามารถเกิดขึ้นได้ในวันเดียวกันหรือหลังการรักษา การรักษาด้วยเคมีบำบัด การฉายแสง และการผ่าตัดมีผลต่อเซลล์มะเร็งเป็นส่วนใหญ่ แต่อาจส่งผลกระทบต่อเซลล์ที่ดีได้เช่นกัน จากการศึกษาพบผลข้างเคียงต่างๆ รวมถึงตำแหน่งของร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากการรักษามะเร็งด้วยการฉายแสง ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ลิ้นไม่สามารถรับรสอาหารได้ ท้องอืด เป็นแผลในช่องปาก กลืนลำบาก กระหายน้ำ และน้ำหนักลด เป็นต้น

อย่างไรก็ตามภาวะเกล็ดเลือดต่ำจึงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการรักษาและการฟื้นตัวจากการผ่าตัดของผู้ป่วยมะเร็ง อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแนะนำให้ใช้ อาหารเสริมออรัลอิมแพค ( Oral impact ) ทีมีวางจำหน่ายในเว็บไซส์ www.amprohealth.com หากท่านใดสนใจอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด สามารถสอบถาม หรือสั่งซื้ออาหารเสริมออรัล อิมแพค ได้ที่ไลน์แอด : @ amprohealth

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

บุก สารสกัดกลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำหนักป้องกันท้องผูก

0
บุก สารสกัดกลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำหนักป้องกันท้องผูก
บุก มีสารกลูโคแมนแนนเป็นเส้นใยธรรมชาติ สามารถป้องกันอาการท้องผูกช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียจุลินทรีย์ชนิดโปรไบโอติกในระบบขับถ่าย
บุก สารสกัดกลูโคแมนแนนช่วยลดน้ำหนักป้องกันท้องผูก
บุก มีสารกลูโคแมนแนนเป็นเส้นใยธรรมชาติ สามารถป้องกันอาการท้องผูกช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียจุลินทรีย์ชนิดโปรไบโอติกในระบบขับถ่าย

บุก

บุก ( Konjac ) เป็นพืชมีถิ่นกำเนิดในประเทศเอเชีย พบมากที่สุดในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียที่พบมากกว่า 80 ชนิด แต่บุกที่รับประทานได้มีเพียง 3 สายพันธุ์ พบมากที่จังหวัดลำปาง พะเยา ตาก เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ลำต้นอวบสีเขียวเข้ม ใบเดี่ยวปลายแหลม ดอกคล้ายต้นหน้าวัว มีกลิ่นเหม็นเน่า ขนาดใบยาว 12 – 15 เซนติเมตร ลำต้นสูง 1- 2 เมตร หัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน ขยายพันธุ์จากการแตกหน่อหรือเพาะเมล็ด จากงานวิจัยพบว่าบุกมีสารสำคัญที่เรียกว่า กลูโคแมนแนน ( Glucomannan ) สกัดจากรากบุก และมีแป้งบุก ( konjac powder ) ที่เรียกว่า แมนแนน ( Mannan ) เป็นเส้นใยธรรมชาติสามารถป้องกันอาการท้องผูกช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียจุลินทรีย์ชนิดโปรไบโอติกในระบบขับถ่าย หัวบุกอุดมไปด้วยปริมาณไฟเบอร์สูงและมีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักต่าง ๆ นิยมใช้บุกในการควบคุมน้ำหนัก และลดน้ำหนักได้

คุณค่าโภชนาการของบุก

ข้อมูลโภชนาการของบุก 100 กรัมพลังงานทั้งหมด 14 แคลอรี่

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม
โปรตีน 0 กรัม
ไขมัน 0.002 กรัม
โซเดียม 2 มิลลิกรัม
คอเลสเตอรอล 0 กรัม
แคลเซียม 2 มิลลิกรัม
วิตามินซี 0.6 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 26 มิลลิกรัม
ไขมันไม่อิ่มตัว 0.002 กรัม
น้ำตาล 0.02 กรัม
เส้นใยอาหาร 0.1 กรัม

บุก สามารถป้องกันอาการท้องผูกช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียจุลินทรีย์ชนิดโปรไบโอติกในระบบขับถ่าย

ประโยชน์ของบุก

  • ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก
  • ช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วน และการควบคุมน้ำหนัก
  • ช่วยจัดการโรคลำไส้แปรปรวน
  • ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
  • ช่วยกระตุ้นทางเดินอาหารส่วนล่าง
  • ช่วยให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวขับกากอาหารที่คั่งค้างออกมา
  • ช่วยเพิ่มและกระตุ้นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่
  • ช่วยให้อิ่มนานขึ้น
  • ช่วยควบคุมและลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
  • ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลกลูโคส
  • ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่
  • ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร
  • ช่วยป้องกันการเกิดโรคผนังลำไส้อักเสบ
  • ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้
  • ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
  • ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  • ช่วยให้ร่างกายสมานแผลได้เร็วขึ้น
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ
  • กลูโคแมนแนน มีประโยชน์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดได้มากถึง 8 มก. / ดล.
  • กลูโคแมนแนน ช่วยลดไขมันเสียได้ เช่น ลดปริมาณโคเลสเตอรอลได้ถึง 19.3 mg / dl ( 0.5 mmol / L )
    ลด LDL คอเลสเตอรอลได้ถึง 19.99 mg / dl ( 0.4 mmol / L ) และลด Triglycerides ได้ถึง 11 mg / dl ( 0.12 mmol / L )

เมนูอาหารคุมน้ำหนักจากเส้นบุก

  • ขนมจีนเส้นบุก น้ำยาป่า
  • ยำวุ่นเส้นหมูสับ ( เส้นบุก )
  • ยำเส้นบุกเห็ดหูหนูขาว
  • เส้นบุกผัดน้ำสลัดงาซีอิ๊วญี่ปุ่น
  • ผัดเส้นบุกใส่ไข่กุ้งสด
  • ปอเปี๊ยะสดห่อเส้นบุก
  • สุกี้หมูน้ำเส้นบุก
  • เส้นบุกผัดขี้เมา
  • ลาบเส้นบุกแซลมอน

คำแนะนำในการใช้บุก สำหรับการลดน้ำหนักลดความอ้วน
ปริมาณที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 3 – 5 กรัมต่อวัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์จากผงบุก หัวบุกสำหรับการลดน้ำหนักในปริมาณ 3 กรัมต่อวัน ก่อนรับประทานอาหาร 15 นาที ควรออกกำลังกายควบคู่กับการอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต และไขมันต่ำเพื่อผลลัพธ์ลดน้ำหนักและได้หุ่นสวยของคุณกลับมา

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

สิวอุดตัน สามารถป้องกันได้ด้วยเทคนิคง่าย ๆ

0
สิวอุดตัน สามารถป้องกันได้ด้วยเทคนิคง่าย ๆ
สิวอุดตัน ( Comedones ) เกิดจากไขมันส่วนเกินที่ผลิตโดยต่อมน้ำมัน และมีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ในรูขุมขน
สิวอุดตัน สามารถป้องกันได้ด้วยเทคนิคง่าย ๆ
สิวอุดตัน ( Comedones ) เกิดจากไขมันส่วนเกินที่ผลิตโดยต่อมน้ำมัน และมีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ในรูขุมขน

สิวอุดตัน

สิวอุดตัน ( Comedones ) เกิดจากไขมันส่วนเกินที่ผลิตโดยต่อมน้ำมัน และมีสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่น
ละอองขนาดเล็ก เหงื่อไคล บางครั้งเซลล์ผิวที่ตายอาจตกค้างอยู่ในรูขุมขน เมื่อไขมันสัมผัสกับ
อากาศภายนอกผิวหนังทำให้สิวอุดตันใต้ผิวหนังมีการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือเป็นสีดำ

สิวอุดตันมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ
1. สิวหัวดำหรือสิวหัวเปิด เกิดจากการอุดตันของขน เนื้อเยื่อ และไขมันภายในรูขุมขน
2. สิวหัวขาวหรือสิวหัวปิด มักพบบ่อยบริเวณ หน้าผาก แก้ม จมูก และคาง

สามารถแบ่งระดับความรุนแรงของสิวอุดตันได้ ดังนี้
ระดับที่ 1 สิวอุดตันระดับไม่รุนแรง มีสิวอุดตันน้อยกว่า 20 จุด
ระดับที่ 2 สิวอุดตันระดับปานกลาง มีสิวอุดตัน 20 – 100 จุด
ระดับที่ 3 สิวอุดตันระดับรุนแรง มีสิวอุดตันมากกว่า 100 จุด

สาเหตุของสิวอุดตัน

เกิดขึ้นจากเซลล์ผิวที่ตายผสมกับน้ำมันบนใบหน้าแล้วมีการอุดตันบริเวณต่อมที่ผลิตน้ำมันใน
ผิวหนังปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน ได้แก่

  • สารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง จากการสัมผัสแอลกอฮอล์หรือมีส่วนผสม
    ของน้ำมัน สีย้อมผม เจลใส่ผม
  • การผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนมากเกินไป
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแอนโดรเจน หรือฮอร์โมนเพศชาย ทำให้มีการอุดตันของรูขุม
    ขนตามมาเกิดเป็นสิวอุดตันได้
  • การสัมผัสกับผิวที่รุนแรง เช่น การบีบสิว การกดสิว หรือการขัดผิวอย่างรุนแรง เป็นต้น
  • ผิวหนังถูกแสงแดดเป็นเวลานานเกินไป

การรักษาสิวอุดตัน

  • ทายาแต้มสิว เจลแต้มสิว
  • ใช้กรดซาลิไซลิกและกรดอะซีลิก เป็นกรดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • รับประทานยาปฏิชีวนะ สำหรับอาการสิวระดับปานกลาง และสิวที่มีความรุนแรง ซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าแบคทีเรียบริเวณผิวหนังส่วนเกิน และลดรอยแดง
  • ทาครีมแต้มสิวกลุ่มเรตินอยด์
  • กดหัวสิวอุดตันออก ทายาฆ่าเชื้อ
  • การบำบัดด้วยแสงเลเซอร์
  • ยาคุมกำเนิดเพื่อปรับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน

การป้องกันการเกิดสิวอุดตัน

การดูแลผิวของคุณด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยป้องกันการเกิดสิวอุดตัน ดังนี้

  • ล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
  • หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าเป็นประจำ
  • ไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น
  • หลังการแต่งหน้าให้เช็ดหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทันที และล้างหน้าด้วยโฟมล้าง
    หน้าให้สะอาดอีกครั้ง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง หรือ
    ก่อให้เกิดสิว
  • ล้างหน้าล้างผิวหลังทำกิจกรรมออกกำลังกายทันที
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง

อย่างไรก็หากสิวอุดตันมีอาการที่รุนแรงควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ
และหาวิธีรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคนตามขั้นตอนของแพทย์ เพื่อลดความรุนแรง
ของการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณผิวหนังและลดการเกิดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ฟันผุ สามารถรักษาและป้องกันได้ 

0
ฟันผุ สามารถรักษาและป้องกันได้ 
ฟันผุเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมถึงแบคทีเรียในช่องปากผลิตกรดบางชนิด พบได้ทั้งในเด็กจนถึงผู้ใหญ่ ถ้าไม่ได้รับการรักษาจากทันตแพทย์จะลุกลามขยายใหญ่และลึกขึ้นเรื่อยๆ
ฟันผุ สามารถรักษาและป้องกันได้ 
ฟันผุเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมถึงแบคทีเรียในช่องปากผลิตกรดบางชนิด พบได้ทั้งในเด็กจนถึงผู้ใหญ่ ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะลุกลามขยายใหญ่และลึกขึ้นเรื่อยๆ

ฟันผุ

ฟันผุ ( Dental Caries ) เป็น ปัญหาในช่องปากที่พบบ่อยที่สุดในประชากรโลกตั้งแต่เด็กฟันผุอายุระหว่าง 6 ถึง 11 ปี วัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 12 ถึง 19 ปี และยังส่งผลต่อผู้ใหญ่ที่มีอายุ 20 ขึ้นไป ฟันผุเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมถึงแบคทีเรียในช่องปากผลิตกรดบางชนิด โดยมีการทำลายแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อผิวเคลือบฟัน จนทำให้เกิดฟันเป็นรูเล็กๆ รากฟันผุเป็นรู ฟันเป็นโพรง มีอาการเหงื่อกบวม เหงือกอักเสบ เหงือกร่นร่วมด้วย ถ้าไม่ได้รับการรักษาจากทันตแพทย์จะลุกลามขยายใหญ่และลึกขึ้นเรื่อยๆ เกิดการเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และสุดท้ายอาจต้องสูญเสียฟันโดยต้องถอนออกไป

สาเหตุฟันผุเกิดจากอะไร

ฟันผุเกิดมาจากการแปรงฟันได้ไม่สะอาดเพียงพอค่ะ คือแปรงไม่ทั่วถึงทุกซอกทุกมุม เวลาที่เราแปรงฟันไม่สะอาด มันก็จะเหลือคราบอาหาร และคราบจุลินทรีย์ทิ้งไว้ (เชื้อโรคนั่นเอง) ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุ และโรคเหงือกอักเสบตามมาได้

1. คราบน้ำตาล มาจากอาหารที่เราทานอยู่ทุกมื้อทุกวันนี่แหละค่ะ จำได้ไหมคะ ตอนเด็กๆที่เราเคยเรียนกันมาว่าอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต พอย่อยโดยเอ็นไซม์จากน้ำลายในช่องปากแล้ว ก็จะกลายเป็นน้ำตาล เพราะฉะนั้น เรากินข้าว กินขนม กินน้ำอัดลม น้ำผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขนมหวาน สุดท้ายแล้วพอโดนย่อย ก็จะกลายเป็นน้ำตาลทั้งนั้น

2. เชื้อโรคในช่องปาก ในร่างกายของคนเรามีเชื้อแบคทีเรีย เชื้อจุลินทรีย์ อยู่แล้วค่ะ มีทั้งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่พวกให้โทษก็มีเยอะค่ะ ถ้าเราทำความสะอาดเก่งๆ แปรงฟันสะอาด แบคทีเรียพวกนี้มันก็จะอยู่กับเราอย่างสันติค่ะ คือถูกเรากำจัดออกไป(ก็โดยการแปรงฟันนี่แหละ)อยู่เรื่อยๆ ไม่สามารถเพิ่มปริมาณได้มากจนทำร้ายเราได้ แต่ถ้าเราทำความสะอาดไม่ทั่วถึง แบคทีเรียพวกนี้มันก็จะเริงร่า พากันสร้างบ้านอย่างสุขสบายในปากเรา ยิ่งได้อาหาร(น้ำตาลนั่นเอง) ก็ยิ่งตัวอ้วน ออกลูกออกหลานกันใหญ่ ประกอบกับองค์ประกอบที่ 3 ก็จะทำให้เกิดฟันผุได้ค่ะ

3. มีเชื้อโรค และมีอาหารให้เชื้อโรคเจริญเติบโต (น้ำตาล) และปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็จะทำให้ฟันผุได้ค่ะ เริ่มต้นจากเชื้อโรค หรือแบคทีเรียจะมาย่อยสลายอาหารประเภทน้ำตาล ซึ่งจะทำให้เกิดสภาพความเป็นกรดในช่องปาก ส่งผลให้ฟันเราถูกดึงแร่ธาตุออกไป (ถูกดึงแคลเซียม และฟอสฟอรัส) ถ้าเกิดสภาพความเป็นกรดบ่อยๆ ฟันถูกดึงแร่ธาตุออกไปบ่อยๆ ในที่สุดก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สีดำ และเป็นรูฟันผุได้

ประเภทของฟันผุ ( Types of cavities )

1. ฟันผุเหนือรากฟัน (Root cavity )
เกิดขึ้นบนผิวเหนือรากฟันพบมากในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีความผิดปกติของเหงือกรวมทั้งเหงือกบวม
เหงือกอักเสบ เหงือกร่นลงเนื้อเยื่อรอบ ๆ ฟันจะร่นต่ำลงมาทำให้พื้นผิวของรากจะถูกเปิดออก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อ
การกัดกร่อนจากแบคทีเรียที่ผลิตกรดบางชนิดออกมาทำให้เกิดฟันผุเหนือรากฟันได้
2. ฟันผุตามหลุมรองฟัน ( Pit and fissure cavity )
มักพบร่องแยกหรือโพรงด้านในฟันกรามที่ใช้เคี้ยวอาหาร เนื่องจากเศษอาหารจะติดอยู่ในร่องฟันส่วนบน
มีการสะสมของคราบแบคทีเรียเป็นจำนวนมากติดอยู่ในร่องบริเวณรอยแยกที่ด้านบนของฟัน พบมากในผู้ที่แปรงฟันไม่สะอาด
3. ฟันผุผิวเรียบ ( Smooth surface cavity )
เกิดขึ้นที่ผิวด้านนอกของฟันและพบมากที่สุดบนฟันด้านข้าง มักเกิดกับคนที่แปรงฟันไม่ถูกวิธีและไม่ค่อยแปรงฟัน ฟันผุประเภทนี้จะค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย

การแปรงฟันที่ถูกวิธี

  • แปรงฟันวันละสองครั้งด้วยยาสีฟันที่ยับยั้งและป้องกันแบคทีเรีย
  • วางแปรงสีฟันของคุณในมุม 45 องศากับเหงือก
  • ค่อย ๆ เลื่อนแปรงไปมาในจังหวะสั้น ๆ (กว้างฟัน)
  • แปรงพื้นผิวด้านนอกพื้นผิวด้านในและพื้นผิวเคี้ยวของฟัน
  • การทำความสะอาดฟันหน้าด้านใน ให้เอียงแปรงในแนวตั้งและหมุนขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง
  • ทำความสะอาดฟันทุกวันด้วยไหมขัดฟัน เพื่อกำจัดเศษอาหารตกค้างตามซอกฟัน
  • ทำความสะอาดฟันด้วยน้ำยาบ้วนปากเพื่อลดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก

ผู้ที่เสี่ยงต่อฟันผุ

โรคฟันผุมักจะพบได้บ่อยในเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน โดยมีปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ

  • การบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล)
  • การดื่มน้ำที่ไม่มีฟลูออไรด์เป็นส่วนประกอบ
  • อาการปากแห้ง
  • การใช้ยาบางชนิด
  • การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ

การรักษาฟันผุ

ฟันผุมีการรักษาได้ต่างๆ กันไป ตามระยะการเกิดโรคก็คือ การใช้ฟลูออไรด์เฉพาะที่ หรือการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ จะช่วยรักษา ฟันที่เกือบจะผุ ให้กลับสู่ปกติได้ โดยแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์เป็นประจำ และทิ้งยาสีฟัน นั้นให้คงอยู่ในช่องปากนานขึ้นไม่น้อยกว่า 2 นาที แล้วค่อยบ้วนทิ้ง ก็จะช่วยให้ฟันไม่ผุต่อไปได้ (แต่ สำหรับเด็กเล็กๆ ต้องระวังไม่ให้กลืนยาสีฟัน เพราะอาจเกิดผลเสียได้) คนที่มีการใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้ หรือติดแน่น หรือผู้ที่ใส่ เครื่องมือเพื่อการจัดฟัน หากไม่ได้ดูแลทำความสะอาดฟันอย่างดี จะทำให้เกิดการสะสมของคราบจุลินทรีย์ได้ง่าย เกิดความเสี่ยงต่อ การเป็นโรคฟันผุ เหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์อักเสบได้เช่นเดียวกัน

1. อุดฟัน

เมื่อฟันผุเห็นเป็นรูชัดเจน อยู่ในระยะที่มีการทำลายเฉพาะถึงส่วนเนื้อฟัน การอุดฟัน มีวัสดุ 2 แบบ

1.1. การอุดฟันด้วยวัสดุอุดที่เป็นโลหะ (อมัลกัม)

1.2. การอุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน

2. รักษารากฟัน

เป็นการรักษาโรคฟันผุ ที่มีการผุลุกลามเข้าไปถึงโพรงประสาทฟันแล้ว

3. ถอนฟัน

เมื่อการอักเสบลุกลามไปมาก ไม่เหลือเนื้อฟันที่จะสามารถรักษาฟันซี่นั้น ไว้ได้ต่อไป

การป้องกันฟันผุ

  • แปรงฟันวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์หรือมีคุณสมบัติช่วยลดการก่อตัวของคราบแบคทีเรียได้
  • การใช้ไหมขัดฟัน หรือ แปรงทำความสะอาดฟอกฟันเป็นประจำ เพื่อทำความสะอาดบริเวณซอกฟันหรือบริเวณที่การแปรงฟันเข้าไม่ถึง
  • การบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ออกฤทธิ์ในต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • บริโภคอาหารให้เหมาะสมตามหลักโภชนาการ และจำกัดการบริโภคคาร์โบไฮเดรต
  • เข้าพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เป็นประจำ
  • การเคลือบหลุมร่องฟัน ก็เป็นอีกวิธีที่ ทันตแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำ

ในช่องปากของเรามีแบคทีเรียที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการกินอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล แบคที่เรียจะผลิตสารที่เป็นอันตรายต่อผิวฟันจะค่อย ๆ กัดเซาะไปที่ผิวฟันชั้นนอกเมื่อเวลาผ่านไปผิวเคลือบฟันจะกร่อนลงและเริ่มเห็นร่องฟันชัดขึ้น จึงทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าอยู่ภายในเนื้อฟันได้ เมื่อเข้าไปข้างในแล้วแบคทีเรียสามารถพัฒนานำไปสู่ฟันผุและโรคเหงือกได้ ดังนั้น แคลเซียมสามารถช่วยบำรุงรักษาสุขภาพช่องปากของคุณด้วยการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากแบคทีเรียในช่องปาก แคลเซียมทำหน้าที่เคลือบฟันช่วยให้ฟันของคุณแข็งแรงยิ่งขึ้น คำแนะนำควรไปพบทันตแพทย์เป็นประจำ หรืออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อดูแลและตรวจสุขภาพช่องปาก เช่น ถอนฟันรักษารากฟัน ใส่รากฟันเทียม เคลือบฟลูออไรด์ ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟันคุด ผ่าฟันคุด ขอคำแนะนำที่กูกต้องเพื่อสุขภาพเหงือกและฟันที่ดีของคุณ

ขอบคุณบทความ

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

วิธีแก้ท้องผูกง่าย ๆ บทความนี้ช่วยคุณได้

0
วิธีแก้ท้องผูกง่าย ๆ บทความนี้ช่วยคุณได้
ท้องผูก ( Constipation ) เป็น อาการทางเดินอาหารที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากการถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์
วิธีแก้ท้องผูกง่าย ๆ บทความนี้ช่วยคุณได้
ท้องผูก ( Constipation ) เป็น อาการทางเดินอาหารที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากการถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์

ท้องผูก

ท้องผูก ( Constipation ) เป็น อาการทางเดินอาหารที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากการถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์ ส่งผลให้อุจจาระการขับถ่ายอุจจาระแข็งและแห้งเป็นผลจากลำไส้ใหญ่ดูดซับน้ำมากเกินไป โดยปกติเมื่ออาหารเคลื่อนที่ผ่านลำไส้ใหญ่จะมีการดูดซับน้ำในขณะที่ของเสียกำลังถูกกล้ามเนื้อลำไส้บีบรัดและดันอุจจาระไปทางทวารหนัก แต่การที่ลำไส้ไม่สามารถขับของเสียออกได้ตามปกติจึงทำให้เกิดการจับตัวของอุจจาระในลำไส้มีลักษณะแข็งเป็นก้อนเล็กๆ ขับถ่ายออกได้ยากจนทำให้เกิดอาการท้องผูกในผู้สูงอายุ คนท้องท้องผูก เด็กท้องผูก

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการท้องผูก

  • กินอาหารที่มีกากใยไม่เพียงพอ
  • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
  • การใช้ยาระบายมากเกินไป
  • ลำไส้แปรปรวน
  • ดื่มนมมากเกินไป
  • ชอบกลั้นอุจจาระ
  • ความเครียดสะสม
  • ลำไส้แปรปรวน
  • ใช้ยาระบายบ่อยเกินไป

อาการท้องผูก

  • ปวดท้อง ท้องอืดรุนแรง
  • การขับถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ต่อสัปดาห์
  • อุจจาระเป็นก้อนแข็งและเล็ก
  • อุจจาระมีเลือดปน
  • ต้องเบ่งอุจจาระมากกว่าปกติ
  • รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่สุด
  • เบ่งอุจจาระไม่ออก
  • รู้สึกอึดอัดท้อง

การวินิจฉัยอาการท้องผูก

แพทย์จะทำการทดสอบโดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความรุนแรงของอาการท้องผูก

  • ซักประวัติทางการแพทย์ อธิบายเกี่ยวกับอาการท้องผูก ระยะเวลาที่เป็น อาหารที่รับประเข้าไป
  • การตรวจร่างกาย เช่น การตรวจทางทวารหนักแบบดิจิทัล ซึ่งแพทย์จะใส่นิ้วเข้าไปในไส้ตรงเพื่อประเมินกล้ามเนื้อที่ปิดทวารหนักเป็นต้น
  • เอกซเรย์ (X-Ray) ในช่องท้อง

ใครมีความเสี่ยงต่อการท้องผูก

  • ผู้ที่กินอาหารที่มีกากใยน้อย ไม่ชอบกินผัก
  • ดื่มน้ำน้อย
  • ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ผู้ป่วยนอนติดเตียง
  • ผู้ที่มีความเครียด

ภาวะแทรกซ้อนของท้องผูก

ภาวะแทรกซ้อนของอาการท้องผูกเรื้อรังรวมถึง

  • มีเลือดออกทางทวารหนัก
  • เป็นริดสีดวงทวาร
  • เป็นฝีบริเวณทวาร
  • แผลปริที่ผิวหนังขอบทวารหนัก
  • ลำไส้ใหญ่โผล่ออกมาทางทวารหนัก
  • การบีบตัวของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักไม่ประสานกับการแบ่ง
  • ลำไส้โป่งพอง หรือแตกทะลุได้
  • มะเร็งลำไส้
  • เนื้องอก
  • ลำไส้ตีบตัน

วิธีแก้ท้องผูกง่าย ๆ

ต่อไปนี้สามารถช่วยคุณหลีกเลี่ยงการพัฒนาอาการท้องผูกเรื้อรัง

  • การปรับเปลี่ยนอาหารที่มีไฟเบอร์สูงประมาณ 20 – 35 กรัมต่อวัน เช่น ถั่ว ผัก ผลไม้ ธัญพืชและข้าวกล้อง
  • ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 6 – 8 แก้วต่อวัน
  • ควรกินอาหารแปรรูปให้น้อยลง ผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว์
  • พยายามออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน หรือวันละ 30 นาที
  • พยายามหากิจกรรมเพื่อลดความเครียด
  • พยายามขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน
  • จำกัดปริมาณการดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
  • อาหารแก้ท้องผูกเรื้อรังควรกินอาหาร เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เพราะโปรไบโอติกมีประโยชน์ต่อลำไส้มากกว่าการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยระบบย่อยอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โปรไบโอติกช่วยให้ร่างกายของคุณฟื้นตัวหลังจากออกกำลังกาย และลดความเครียดของกล้ามเนื้อได้อีกด้วย
  • ใช้ยาระบายแก้ท้องผูกตามที่แพทย์สั่งเพื่อความปลอดภัย

แม้อาการท้องผูกจะพบได้ในคนทุกวัยโดยเฉพาะเกิดอาการท้องผูกในผู้สูงอายุ คนท้องท้องผูก เด็กท้องผูก หากอาการท้องผูกรุนแรงเรื้อรังอาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นได้แก่ ริดสีดวงทวาร มะเร็งลำไส้ หากคุณมีอาการท้องผูกเรื้อรังควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

ไฟเบอร์พรีไบโอติกมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายอย่างไร

0
พรีไบโอติก
ไฟเบอร์พรีไบโอติกมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์และแบคทีเรียดีในระบบทางเดินอาหาร
ไฟเบอร์พรีไบโอติกมีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายอย่างไร
prebiotic ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์และแบคทีเรียดีในระบบทางเดินอาหาร พบได้ทั้งผัก ผลไม้ และธัญพืช

พรีไบโอติก

พรีไบโอติก ( Prebiotic ) คือ อาหารสำหรับโปรไบโอติกมีเส้นใยจากธรรมชาติที่ไม่สามารถย่อยได้ จากงานวิจัยพบว่าพรีไบโอติกและโปรไบโอติกมีประโยชน์ต่อสุขภาพลำไส้ ทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์และแบคทีเรียดีในระบบทางเดินอาหาร เส้นใยเหล่านี้สามารถป้องกันเชื้อโรคที่ไม่พึงประสงค์ และที่สำคัญช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบลำไส้ได้อย่างสมบูรณ์ช่วยให้ลำไส้แข็งแรงอีกด้วย

อาหารที่มี Prebiotic สูงจากแหล่งธรรมชาติ

พบได้ทั้งผัก ผลไม้ และธัญพืช โดยเฉพาะอาหารดิบมีไฟเบอร์ Prebiotic มากกว่าอาหารปรุงสุก ได้แก่

  • กล้วย มีเส้นใย 2.6 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • กระเทียม มีเส้นใย 1.8 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • ข้าวโอ๊ตดิบ มีเส้นใย 15.4 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • ถั่วเหลือง มีเส้นใย 4.9 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • หอมแดง มีเส้นใย 3.2 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • กะหล่ำปลี มีเส้นใย 3.1 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • ถั่วพิสตาชิโอ มีเส้นใย 10.3 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • ถั่วแดง มีเส้นใย 15.2 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • อาร์ติโชค มีเส้นใย 1.6 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • ข้าวบาร์เลย์ดิบ มีเส้นใย 15.6 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • อัลมอลด์ มีเส้นใย 12.5 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
  • ต้นชิกโครี มีเส้นใย 3 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม

ประโยชน์ของ Prebiotic

  • ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี
  • ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
  • ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ช่วยลดและรักษาความดันโลหิตสูง
  • การป้องกันโรคลำไส้อักเสบ
  • ช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้
  • ช่วยเพิ่มแบคทีเรียดีในระบบลำไส้
  • ช่วยลดการติดเชื้อในลำไส้
  • ช่วยลดการอักเสบในเยื่อผนังลำไส้
  • ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
  • ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนสุขภาพ
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารอย่างเหมาะสม
  • เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก
  • ช่วยป้องกันผมร่วง
  • ช่วยลดคอเลสเตอรอล
  • ช่วยควมคุมน้ำหนัก
  • เพิ่มความอยากอาหาร
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • ช่วยลดระดับตรกลีเซอไรด์ในเลือด

พรีไบโอติกแม้จะไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง แนะนำให้ทานในปริมาณที่เหมาะสมไม่น้อยกว่า 2.5 – 10 กรัม ต่อวัน จะสามารถช่วยให้อาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ แต่ถ้ารับประทานมากเกินไปตั้งแต่ 40 – 50 กรัมต่อวัน อาจทำให้ท้องอืดและท้องเสียได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม